เครื่องบินรบ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 28 May 2025 12:59:09 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 F-5TH พญาอินทรีแห่งอุบลราชธานี ออกบินฝึกยุทธวิธีเต็มรูปแบบ รับมือทุกสถานการณ์ความมั่นคง พิทักษ์อธิปไตยไทย https://thestandard.co/ubon-f-5th-fighter-jets/ Wed, 28 May 2025 12:59:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1079661

วันนี้ (28 พฤษภาคม) เพจเฟซบุ๊กของกองทัพอากาศไทยเผยแพร่ภ […]

The post F-5TH พญาอินทรีแห่งอุบลราชธานี ออกบินฝึกยุทธวิธีเต็มรูปแบบ รับมือทุกสถานการณ์ความมั่นคง พิทักษ์อธิปไตยไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (28 พฤษภาคม) เพจเฟซบุ๊กของกองทัพอากาศไทยเผยแพร่ภาพการฝึกบินของฝูงบิน 211 จากกองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งดำเนินการฝึกยุทธวิธีการรบทางอากาศ และการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นในห้วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อยกระดับความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ทางอากาศ หากเกิดสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้กำลังทางอากาศในการพิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ และความสงบสุขของประชาชน

 

รายงานข่าวจากกองทัพอากาศระบุว่า การฝึกบินในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการฝึกตามวงรอบที่กำหนดไว้ โดยเน้นการฝึกในลักษณะเสมือนจริงในพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และนักบินมีความเชี่ยวชาญ และสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

 

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันว่ามีความพร้อมในการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ พร้อมยืนหยัดในการปกป้องประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยด้วยศักยภาพของกองทัพอากาศอย่างเต็มกำลัง

 

สำหรับ F-5TH คือชื่อเรียกเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทย ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับปรุงและพัฒนาต่อจาก Northrop F-5 หรือ F-5 Freedom Fighter / F-5E/F Tiger II ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่แบบเบารุ่นเก่าของสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันประจำการในฝูงบิน 211 ‘พญาอินทรี’ กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี

 

The post F-5TH พญาอินทรีแห่งอุบลราชธานี ออกบินฝึกยุทธวิธีเต็มรูปแบบ รับมือทุกสถานการณ์ความมั่นคง พิทักษ์อธิปไตยไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาวุธจีนในสมรภูมิโลก อนาคตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ https://thestandard.co/china-military-weapons-global-strategy/ Thu, 15 May 2025 04:40:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1074496 china-military-weapons-global-strategy

แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปากีสถานและอินเดียเสียอาก […]

The post อาวุธจีนในสมรภูมิโลก อนาคตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-military-weapons-global-strategy

แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปากีสถานและอินเดียเสียอากาศยานของตนในสงครามทางอากาศระหว่าง Operation Sindoor ของอินเดียมากน้อยเท่าใด เพราะส่วนใหญ่แล้วยังเป็นแค่คำกล่าวอ้าง ซึ่งแต่ละฝ่ายอ้างว่าสามารถทำลายอากาศยานของอีกฝ่ายได้ แต่ยังมีภาพและหลักฐานไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่าอากาศยานถูกทำลายตามที่อ้างไว้ทั้งหมด

 

แต่สิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนก็คือ เครื่องบินขับไล่ชั้นนำของโลกอย่าง Rafale ของอินเดียถูกยิงตกอย่างน้อย 1 ลำ เพราะเห็นซากเครื่องบินพร้อมเลขประจำตัวเครื่องชัดเจน และถ้าตามคำกล่าวอ้างของปากีสถานก็คือ ผู้ที่ยิงทำลาย Rafale ก็คือ J-10CE ของปากีสถานโดยใช้จรวด PL-15E นั่นเอง

 

สาเหตุที่การถูกทำลายของ Rafale ของอินเดีย ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกนั้นก็เพราะว่า Rafale ถือเป็นเครื่องบินยุค 4.5 ที่ดีที่สุดเท่าที่มีในตลาด อย่างน้อยก็ตามสเปกหน้ากระดาษ วัดจากการที่หลายประเทศที่ถ้าไม่สามารถจัดหา F-35 มาประจำการได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็จะเลือกมาจัดหา Rafale ทดแทน เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรืออินโดนีเซีย เพราะถือว่า Rafale มีประสิทธิภาพใกล้เคียงเครื่องบินยุคที่ 5 อย่าง F-35 มากที่สุด แต่กลายเป็นว่าวันนี้ Rafale ถูกทำลายโดยเครื่องบินขับไล่ J-10CE ของจีนที่ยังไม่เคยออกสงครามจริงมาก่อน จึงทำให้หลายฝ่ายให้ความสนใจค่อนข้างมาก

 

เพราะในครั้งนี้ คือปฏิบัติการจริงครั้งแรกของ J-10 ทุกรุ่นแม้แต่ของจีนเองก็ตาม และการทำลาย Rafale ก็คือการยิงเครื่องบินขับไล่ของฝ่ายตรงข้ามตกได้เป็นเครื่องแรก ในขณะที่ Rafale ก็ถือว่าสูญเสียในการปฏิบัติการจริงครั้งแรกเช่นกัน

 

แม้ว่าเมื่อพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว การรบที่มีอากาศยานกว่า 100 ลำเข้าร่วม ซึ่งก็น่าจะเป็น J-10 ไม่ต่ำกว่า 10 ลำ แล้ว Rafale ถูกยิงตกได้เพียงลำเดียว จากเครื่องบินและจรวดหลายสิบนัดที่เข้าร่วมปฏิบัติการ อาจถือได้ว่าอัตราส่วนการทำลายต่ำมาก เพราะหมายถึงการต้องยิงจรวดเป็นสิบๆ ลูกกว่าจะทำลายอากาศยานได้แค่ 1 ลำ ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของจรวดชั้นนำของโลกเป็นอย่างมาก และยังมีปัจจัยอีกอื่นพอสมควรเช่นการที่อินเดียเป็นฝ่ายรุก ปากีสถานเป็นฝ่ายรับ ซึ่งมีความได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน รวมถึงปัจจัยด้านการฝึก ความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธี และการวางแผนการปฏิบัติการของทั้งอินเดียและปากีสถานนั้นส่งผลต่อผลของปฏิบัติการมากกว่าประสิทธิภาพเครื่องบินเสียอีก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ J-10CE ของจีนที่ใช้งานโดยปากีสถานสามารถทำลาย Rafale ของฝรั่งเศสที่ใช้งานโดยอินเดียได้ถือว่าส่งผลทางจิตวิทยามากพอสมควร

 

ประการแรกคืออาวุธของจีนมักจะถูกมองว่ามีราคาถูก ใช้ปริมาณมากกว่าคุณภาพ และส่วนใหญ่แล้วอาวุธของจีนแทบไม่เคยออกสนามรบจริง ต่างจากอาวุธของตะวันตกหรือรัสเซียที่มีการใช้งานจริงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของการวิจัยและคาดการณ์ของผู้ผลิตอย่างจีนทั้งสิ้น แต่ในเมื่อมีเหตุการณ์ที่อาวุธของจีนได้พิสูจน์ตัวเองในสถานการณ์จริง ก็ทำให้สามารถลบภาพอาวุธที่มีดีแค่ในโบรชัวร์ออกไปได้

 

ประการต่อมาก็คืออาวุธของจีนหลายแบบที่เข้าร่วมปฏิบัติการนี้เกิดจากการวิจัยและพัฒนาของจีนเอง ไม่ได้เป็นการลอกเลียนแบบเอาให้เหมือนต้นฉบับที่สุดเหมือนในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนก้าวขึ้นมาจากการก๊อปปี้เพื่อผลิตใช้ มาเป็นการใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ตนเองเคยได้จากการก๊อปปี้มาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของจีนเองได้ ซึ่งหมายถึงสิ่งที่จีนขายให้ปากีสถานอย่าง J-10CE และ PL-15E นั้นเป็นเทคโนโลยีที่พูดได้ว่าเกิดขึ้นจากมันสมองของจีนล้วนๆ

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้โลกหันมามองอาวุธของจีนในมุมที่แม้ว่าอาวุธจีนจะเหนือกว่าของประเทศอื่นหรือไม่ยังต้องพิสูจน์ต่อไป แต่ที่แน่ๆ คืออย่างน้อยอาวุธของจีนขึ้นมาเทียบเท่าผู้ผลิตอาวุธชั้นนำของโลกแล้ว

 

สิ่งนี้จะสร้างผลกระทบต่อทั้งตลาดอาวุธของโลกและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกแน่นอน อย่างแรกก็คืออาวุธของจีนอาจจะกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น เพราะจีนสามารถบอกได้ว่าอาวุธหลายอย่างของตนเองนั้นได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วในสนามรบหรือ Combat Proven ไม่ต้องขายตามสเปกในโบรชัวร์อีกต่อไป เมื่อบวกกับราคาที่ถูกกว่า และการลงทุนอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ น่าจะทำให้จีนมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของโลกได้อีกมาก

 

ส่วนในแง่ภูมิรัฐศาสตร์นั้น ประเทศที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของจีนอาจจะต้องคิดมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าจะต้องทำสงครามกับจีน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกซึ่งอาจต้องจริงจังมากขึ้นในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารของตนเพื่อคงความเหนือกว่าหรือแม้แต่ป้องกันไม่ให้จีนไล่ตามทัน ซึ่งต้องพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า เพราะอาวุธจีนได้รับการพิสูจน์ในสนามรบแล้วว่าทำงานได้จริงตามที่โฆษณา

 

นอกจากมหาอำนาจแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านของจีนก็อาจจะต้องตื่นตัวมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน เช่นไต้หวันอาจจะต้องเป็นประเทศที่ต้องกลับมาพิจารณาการเสริมสร้างอาวุธของตนมากเป็นพิเศษ เพราะในกรณีของปากีสถานนั้น ปากีสถานใช้เพียงเครื่อง J-10CE พร้อมจรวด PL-15E ซึ่งล้วนเป็นรุ่นส่งออกที่ลดประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ไต้หวันต้องรับมือกับรุ่นที่มีขีดความสามารถตามปกติ และต้องรับมือกับอากาศยานรุ่นอื่นอย่าง J-20 ที่เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อีกด้วย ในขณะที่โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-16V จำนวน 66 ลำดำเนินการไปค่อนข้างช้า และเพิ่งได้รับมอบเครื่องบินลำแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เท่านั้น

 

โดยรวมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามปากีสถานและอินเดียทำให้ช่องว่างระหว่างกองทัพจีนและไต้หวันที่เคยกว้างอยู่แล้วนั้นกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้นไต้หวันอาจต้องพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น การพยายามจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่กว่า F-16V เช่น F-15EX หรือแม้แต่เครื่องบินขับไล่ F-35 ซึ่งสหรัฐอเมริกาเคยปฏิเสธไม่ขายมาแล้ว รวมถึงอาจต้องพิจารณาจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบอาวุธที่ใช้งานกับอากาศยานเพิ่มเติม เพื่อลดช่องว่างดังกล่าวให้มากที่สุด

 

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหลักของไต้หวันก็คือ ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ยินดีขายอาวุธให้ เพราะประเทศอื่นๆ ล้วนเกรงว่าการขายอาวุธให้ไต้หวันอาจทำให้จีนไม่พอใจจนนำมาสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไต้หวันต้องพยายามหาทางออกให้ได้

 

อีกประเทศคือฟิลิปปินส์ซึ่งมีความขัดแย้งกับจีนในทะเลจีนใต้ และช่องว่างของขีดความสามารถของฟิลิปปินส์และจีนนั้นกว้างกว่าไต้หวันและจีนมากกว่ามาก เช่นเครื่องบินขับไล่ที่ดีที่สุดของฟิลิปปินส์นั้นมีแค่ 11 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่เบาที่พัฒนาจากเครื่องบินฝึกอย่าง FA-50PH หรือเรือฟริเกตที่มีขีดความสามารถสูงที่มีเพียงสองลำเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่ากองกำลังรักษามณฑลๆ หนึ่งของจีนเสียอีก ทำให้ฟิลิปปินส์เสียเปรียบทั้งจำนวน เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญถ้าต้องเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้จริงๆ

 

ฟิลิปปินส์จึงอาจจะต้องลงทุนในการพัฒนากองทัพให้มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อความเหนือกว่า แต่เพื่อปิดช่องว่างให้แคบที่สุด และเน้นไปที่การป้องกันตนเองหรือป้องกันพื้นที่หนึ่งๆ ให้ได้ ซึ่งจะเป็นโจทย์ที่ง่ายกว่าการพยายามเอาชนะจีนให้ได้ในทะเลจีนใต้ทั้งหมด แต่แค่โจทย์นี้ก็ต้องมาพร้อมกับการลงทุนจัดหาเครื่องบินขับไล่เพิ่มเติม รวมถึงเรือฟริเกตที่มีขีดความสามารถสูงเพิ่มเติมเช่นกัน

 

ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่า จรวด PL-15E ที่ J-10CE ของปากีสถานยิงออกไปทำลาย Rafale ของอินเดียนั้นไม่ได้ส่งผลเฉพาะการรบในแคชเมียร์เท่านั้น แต่ส่งผลต่อเนื่องไปค่อนข้างมาก และเป็นเหมือนคลื่นที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้หลายฝ่ายที่แม้จะจริงจังในการรับมือกับการขยายตัวของจีนอยู่แล้ว อาจต้องจริงจังมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า เพราะจีนกลายมาเป็นผู้เล่นชั้นนำที่มีทั้งเทคโนโลยีทางทหาร อำนาจทางเศรษฐกิจ และอิทธิพลทางการเมืองของโลกอย่างแท้จริง

The post อาวุธจีนในสมรภูมิโลก อนาคตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน? https://thestandard.co/china-fighter-jets-pakistan-india-war/ Wed, 14 May 2025 05:26:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1074110 china-fighter-jets-pakistan-india-war

เครื่องบินขับไล่ J-10CE พร้อมจรวดที่จีนส่งมอบให้กองทัพป […]

The post เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-fighter-jets-pakistan-india-war

เครื่องบินขับไล่ J-10CE พร้อมจรวดที่จีนส่งมอบให้กองทัพปากีสถาน เป็นที่จับตามองจากทั่วโลก หลังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในระหว่างการเผชิญหน้ากับฝูงบินรบของอินเดียที่ทำการโจมตีทางอากาศเข้าใส่หลายพื้นที่ของปากีสถานและแคว้นแคชเมียร์ในส่วนการปกครองของปากีสถาน เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา 

 

รัฐบาลปากีสถานอ้างว่า เครื่องบินรบสัญชาติจีนดังกล่าว ซึ่งติดตั้งจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยไกลแบบ PL-15E ที่ผลิตในจีนเช่นกัน สามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ 5 ลำ ในจำนวนนี้รวมถึงเครื่องบินรบ Rafale ที่ผลิตในฝรั่งเศสจำนวน 3 ลำ ส่วนอีก 2 ลำคือ MiG-29 และ Su-30 ที่ผลิตในรัสเซีย

 

โดยเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของฝรั่งเศสยืนยันว่า มีเครื่องบิน Rafale ถูกยิงตกอย่างน้อย 1 ลำ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ขอไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า มีเครื่องบินรบของอินเดียอย่างน้อย 2 ลำถูกยิงตก หนึ่งในนั้นคือ Rafale แต่อินเดียยังไม่แสดงความเห็นต่อรายงานดังกล่าว

 

ในด้านการทหาร ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นจุดสนใจของนานาชาติ เนื่องจากเครื่องบินรบ Rafale นั้นเป็นเครื่องบินรบยุค 4.5 ที่มีสมรรถนะทางการบินและเทคโนโลยีในระดับสูง ในขณะที่กองทัพปากีสถานใช้ทั้งเครื่องบินรบ และระบบตรวจจับอาวุธจากจีนเป็นหลัก ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถือเป็นการสูญเสียเครื่องบิน Rafale ในสมรภูมิครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา Rafale ยังไม่เคยมีประวัติถูกยิงตกมาก่อน

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมมองว่า ข่าวการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกหลายลำ แสดงให้เห็นภาพความเป็นไปได้ของสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หากความขัดแย้งระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันเกิดปะทุขึ้น จนมีการใช้กำลังต่อสู้กัน

 

สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน

 

นักวิเคราะห์ไต้หวันมองว่า หากเครื่องบินรบของจีนมีศักยภาพสูงจริงแบบที่เป็นข่าว ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไต้หวันต้องเตรียมพร้อมและปรับปรุงระบบอาวุธทั้งหมดของตน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเทคโนโลยีอาวุธของจีน

 

ขณะที่ เฉินกวนถิง สมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวันจากพรรค DPP ของไต้หวัน ให้ความเห็นว่า กรณีที่ปากีสถานใช้ระบบอาวุธและเครื่องบินรบสัญชาติจีน ยิงเครื่องบินรบ Rafale ของอินเดียตกได้สำเร็จจริง ถือเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของไต้หวัน

 

เขากล่าวว่า เหตุการณ์นี้อาจเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในการประเมินสมรรถนะของอาวุธจีนในการเผชิญหน้ากับเทคโนโลยีอาวุธจากชาติตะวันตกโดยผลลัพธ์ของการสู้รบ จะมีผลต่อการตัดสินใจจัดซื้ออาวุธของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

“สำหรับไต้หวัน เราต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามของเราคืออะไร และเราควรลงทุนด้านใดอย่างเร่งด่วน”

 

ทางด้าน ซูเสี่ยวหวง นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันวิจัยความมั่นคงและการป้องกันแห่งชาติของไต้หวัน (INDSR) มองว่า เหตุการณ์นี้เป็นการแสดงออกถึงการทำสงครามแบบบูรณาการของจีนผ่านประเทศพันธมิตร

 

“ปากีสถาน ภายใต้การสนับสนุนของจีน ใช้ระบบเตือนภัยทางอากาศ KJ-500, เรดาร์ภาคพื้นดิน และเครือข่ายสั่งการดิจิทัล ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเป้าหมายไปยังเครื่องบินรบ”

 

ด้วยระบบนี้ทำให้ J-10C สามารถยิงขีปนาวุธ PL-15E ได้โดยไม่ต้องเปิดเรดาร์ของตนเอง ซึ่งเรียกว่าการแยกฟังก์ชัน ‘เซ็นเซอร์’ กับ ‘การยิง’ (Sensor-Shooter Separation) โดยลดการถูกตรวจจับ ในขณะที่เพิ่มศักยภาพในการเปิดฉากโจมตีก่อน

 

“ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ตัวขีปนาวุธ แต่คือเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังมัน”

 

โดยนักวิเคราะห์มองว่า ระบบเช่นนี้คือภัยคุกคามที่ไต้หวัน ‘ยังไม่พร้อมรับมือ’

 

อีริช ชีห์ นักวิเคราะห์การทหาร กล่าวว่า “นอกจากเรือพิฆาต Kidd-class ที่ไต้หวันได้จากสหรัฐฯ แทบไม่มีระบบอาวุธใดที่สามารถบูรณาการเข้ากับเครือข่ายควบคุมการยิงร่วมของไต้หวันได้”

 

เขาเสริมว่า แม้แต่เครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ E-2K ที่สหรัฐฯ ขายให้ไต้หวัน ก็ยังขาดระบบสำหรับการปฏิบัติการร่วม โดยถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงในสงครามทางอากาศยุคใหม่

 

ข้อจำกัดนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ F-16V ของไต้หวันมีเรดาร์ AESA ที่ทันสมัย 

 

ส่วนเครื่องบินอื่นอย่าง Indigenous Defence Fighter และ Mirage 2000-5 ยังขาดระบบรบอิเล็กทรอนิกส์และการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลที่ปลอดภัย

 

ซูจื่อหยุน นักวิเคราะห์ของ INDSR เตือนว่า “หากไม่มีการบูรณาการระบบอาวุธ ไต้หวันจะมีข้อจำกัดอย่างรุนแรงในการรับมือกับการโจมตีระยะไกลที่ประสานงานกัน

 

“เราต้องเพิ่มศักยภาพนักบินให้สามารถตอบโต้การรบแบบรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ และการล็อกเป้าด้วยเรดาร์ของศัตรูได้”

 

พล.ร.อ. หลานหนิงลี่ อดีตผู้บัญชาการทหารไต้หวันที่เกษียณอายุแล้ว มองว่าเหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักวางแผนของกองทัพไต้หวัน

 

“หลักนิยมแบบตะวันตกยังคงเน้นความเหนือกว่าของยุทโธปกรณ์ แต่นั่นล้าสมัยแล้ว เครื่องบินรบ Rafale อาจมีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Spectra ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการซุ่มโจมตีแบบประสานงานกันของระบบอาวุธจีน ซึ่งขีปนาวุธเป็นแค่ขั้นตอนสุดท้ายของห่วงโซ่การสังหารที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน”

 

เขาย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปากีสถาน ไม่ใช่แค่การรบกลางอากาศธรรมดา แต่เป็นการแสดงศักยภาพการโจมตีทางอากาศตามแบบฉบับจีน

 

“ไต้หวันต้องสร้าง ‘ระบบ’ ไม่ใช่แค่ซื้อยุทโธปกรณ์ หากกองทัพปลดปล่อยจีน (PLA) ใช้ระบบ ISR และสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบเดียวกันในกรณีไต้หวัน ยุทโธปกรณ์ของเราจะถูกโจมตีก่อนที่จะได้ยิงตอบโต้ด้วยซ้ำ”

 

ขณะที่ไต้หวันกำลังเผชิญแรงกดดันจากจีนมากขึ้น ทั้งจากกิจกรรมสีเทาใกล้เขตอากาศแทบทุกวัน  โดยนักวิเคราะห์เตือนว่าหากไม่เรียนรู้จากบทเรียนในเอเชียใต้ ไต้หวันอาจต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก

 

อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวไต้หวันยังดูจะเพิกเฉยต่อเหตุการณ์นี้ โดยมีการพูดคุยเรื่องนี้ในโซเชียลมีเดียเพียงเล็กน้อย แม้สื่อท้องถิ่นหลายสำนัก จะรายงานข่าวนี้อย่างกว้างขวางพร้อมตั้งข้อสังเกตถึงผลกระทบที่อาจมีต่อไต้หวัน

 

ไต้หวันต้องเสริมเขี้ยวเล็บรับมือจีน?

 

อนาลโย กอสกุล ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์เทคโนโลยีการทหาร มองว่าไต้หวันอาจต้องกลับมาพิจารณาการเสริมสร้างอาวุธของตนมากเป็นพิเศษ เพราะเครื่องบินรบและจรวดจากจีนที่กองทัพปากีสถานนำมาใช้นั้น ล้วนเป็นรุ่นส่งออกที่ลดประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ไต้หวันต้องรับมือกับรุ่นที่มีขีดความสามารถตามปกติ และต้องรับมือกับอากาศยานรุ่นอื่นอย่าง J-20 ที่เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อีกด้วย 

 

ในขณะที่โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-16V จากสหรัฐฯ จำนวน 66 ลำของไต้หวันดำเนินการไปค่อนข้างช้า และเพิ่งได้รับมอบเครื่องบินลำแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เท่านั้น

 

โดยรวมแล้ว อนาลโยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามปากีสถานและอินเดียทำให้ช่องว่างระหว่างกองทัพจีนและไต้หวันที่เคยกว้างอยู่แล้วนั้นกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้นไต้หวันอาจต้องพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น การพยายามจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่กว่า F-16V เช่น F-15EX หรือแม้แต่เครื่องบินขับไล่ F-35 ซึ่งสหรัฐฯ เคยปฏิเสธไม่ขายมาแล้ว รวมถึงอาจต้องพิจารณาจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบอาวุธที่ใช้งานกับอากาศยานเพิ่มเติม เพื่อลดช่องว่างดังกล่าวให้มากที่สุด

 

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหลักของไต้หวันก็คือ ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ยินดีขายอาวุธให้ เพราะประเทศอื่นๆ ล้วนเกรงว่าการขายอาวุธให้ไต้หวันอาจทำให้จีนไม่พอใจจนนำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไต้หวันต้องหาทางออกให้ได้

 

ภาพ: REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo

 

อ้างอิง: 

The post เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผย เครื่องบินรบปากีสถานที่ผลิตในจีนยิงเครื่องบินรบอินเดียตก 2 ลำ https://thestandard.co/pakistan-china-jets-shoot-down-indian-aircraft/ Fri, 09 May 2025 04:43:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1072706 เครื่องบินรบปากีสถาน

สำนักข่าว Reuters รายงานข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ว […]

The post เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผย เครื่องบินรบปากีสถานที่ผลิตในจีนยิงเครื่องบินรบอินเดียตก 2 ลำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องบินรบปากีสถาน

สำนักข่าว Reuters รายงานข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ว่า เครื่องบินขับไล่ของปากีสถานที่ผลิตในจีน ได้ยิงเครื่องบินขับไล่ของอินเดียตกอย่างน้อย 2 ลำ ในเหตุการณ์ที่อินเดียเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่ปากีสถานและแคว้นแคชเมียร์ในการปกครองของปากีสถานเมื่อวันพุธ (7 พฤษภาคม) ที่ผ่านมา

 

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นสูงว่าปากีสถานใช้เครื่องบินขับไล่ J-10 ที่ผลิตในจีน ในการยิงขีปนาวุธอากาศสู่อากาศโจมตีเครื่องบินขับไล่ของอินเดียอย่างน้อย 2 ลำ

 

ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคน ระบุว่าเครื่องบินขับไล่ของอินเดียอย่างน้อย 1 ลำที่ถูกยิงตกเป็นเครื่องบินขับไล่ Rafale ที่ผลิตในฝรั่งเศส

 

เจ้าหน้าที่ทั้งสองรายระบุว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 ของปากีสถาน ซึ่งผลิตโดยบริษัท Lockheed Martin ของสหรัฐฯ ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการยิงสกัดเครื่องบินขับไล่ของอินเดีย

 

Reuters เผยว่า โฆษกกองทัพอากาศอินเดียไม่ให้คำตอบใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าว

 

โดยที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดีย ไม่ได้ยอมรับว่า เครื่องบินขับไล่ของตนสูญหายแม้แต่ลำเดียว ภายหลังปฏิบัติการโจมตี ที่อินเดียอ้างว่ามุ่งเป้าโครงสร้างพื้นฐาน “ของกลุ่มก่อการร้าย” ในปากีสถานที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีนักท่องเที่ยวในแคว้นแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้รัฐบาลปากีสถานอ้างว่าสามารถยิงเครื่องบินขับไล่ของอินเดียตกได้ 5 ลำ

 

โดยเหตุการณ์นี้ถือเป็นการยืนยันครั้งแรกจากชาติตะวันตก ว่ากองทัพปากีสถานได้ใช้เครื่องบินขับไล่ที่ผลิตในจีน ในการยิงเครื่องบินขับไล่ของอินเดีย

 

ภาพ: Costfoto/Future Publishing via Getty Images

อ้างอิง:

The post เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผย เครื่องบินรบปากีสถานที่ผลิตในจีนยิงเครื่องบินรบอินเดียตก 2 ลำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภูมิธรรมชี้ เครื่องบินรบเมียนมาเป็นการบินเฉียดชายแดนไทย ไม่ถือเป็นการรุกล้ำน่านฟ้า เจรจากันจนเข้าใจแล้ว https://thestandard.co/phumtham-myanmar-jet-no-violation/ Wed, 07 May 2025 05:53:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1071925

วันนี้ (7 พฤษภาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ […]

The post ภูมิธรรมชี้ เครื่องบินรบเมียนมาเป็นการบินเฉียดชายแดนไทย ไม่ถือเป็นการรุกล้ำน่านฟ้า เจรจากันจนเข้าใจแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (7 พฤษภาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงกรณีที่กองทัพอากาศ (ทอ.) ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นสกัดอากาศยานไม่ทราบชนิด ที่รุกล้ำน่านฟ้าประเทศไทย บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เป็นเครื่องบินของฝั่งข้างบ้านที่บินเฉียดผ่านชายแดนระหว่างทำการขึ้นบิน

 

“เมื่อบินอยู่บนอากาศก็เข้าใจว่าอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เมื่อบอกเขา เขาก็ถอยห่างออกไปก็จบ ก็แค่นั้นเอง กองทัพอากาศก็ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างแม่นยำและตรงไปตรงมา” รองนายกรัฐมนตรีระบุ

 

ส่วนจะเป็นการบินล้ำชายแดนเข้ามาหรือไม่นั้นภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นการยืนอยู่ที่ขอบชายแดน กองทัพอากาศจึงได้บินขึ้นเพื่อเตือนก่อน ไม่ต้องการให้มีการรุกล้ำเข้ามา ส่วนอากาศยานไร้คนขับ (UAV) หรือโดรน ของกรมแผนที่ทหาร ที่ประชาชนบันทึกภาพไว้ได้นั้น ภูมิธรรมบอกว่า เรื่องนี้ไม่ต้องลงรายละเอียด เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่ใช่ปัญหารุกล้ำดินแดน ตอนนี้มีการเจรจาจนเข้าใจกันหมดแล้ว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (6 พฤษภาคม) หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศตรวจพบอากาศยานไม่ทราบฝ่าย มีลักษณะคล้ายเครื่องบินโจมตีแบบ K-8 บินเข้าใกล้เขตแดนไทย บริเวณตรงข้ามอำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สื่อหลายสำนักรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ทหารเมียนมาได้นำเครื่องบินรุ่น K-8 บินมาทิ้งระเบิดที่บ้านทิกิ อำเภอเมตตา จังหวัดเมืองทวาย ภาคตะนาวศรี ประเทศเมียนมา ฝั่งตรงข้ามช่องทางบ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อป้องกันการรุกล้ำน่านฟ้า

 

จากนั้นเวลา 12.45 น. กองทัพอากาศได้สั่งการให้เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 จำนวน 2 ลำ จากกองบิน 4 จังหวัดนครสวรรค์ ขึ้นบินเพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย พร้อมทั้งแสดงท่าทีเชิงป้องปราม และหลังจากนั้นได้ปฏิบัติการบินลาดตระเวนรบทางอากาศในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยผลการปฏิบัติไม่พบการล้ำอธิปไตย หรือท่าทีคุกคามจากอากาศยานดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ต่อมาแหล่งข่าวจากกองทัพไทยให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า กรณีที่มีการแชร์ภาพอากาศยานบินอยู่ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็น UAV (อากาศยานไร้คนขับ) ของกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งเป็นรุ่น VTOL SUD-60

 

UAV ลำนี้ใช้เพื่อปฏิบัติภารกิจถ่ายภาพทางอากาศ สำหรับจัดทำแผนที่ ตรวจสอบภูมิประเทศแบบ 2D/3D และสำรวจพื้นที่ห่างไกลโดยไม่ต้องใช้รันเวย์ ทั้งนี้ยืนยันได้ว่า ทางกรมแผนที่ทหารมีภารกิจบินในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีแผนการบินตั้งแต่ช่วงเวลา 08.00-18.00 น.

 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ทั้งสองเหตุการณ์ไม่ใช่กรณีเดียวกัน โดยกองทัพอากาศได้ขึ้นบินสกัดเครื่องบิน K-8 ของเมียนมาที่บินเฉียดชายแดนไทยในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีจริง ขณะที่อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของกรมแผนที่ทหารก็มีภารกิจบินจริงเช่นกัน แต่เกิดขึ้นในอีกอำเภอหนึ่ง จึงยืนยันได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งคู่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน

The post ภูมิธรรมชี้ เครื่องบินรบเมียนมาเป็นการบินเฉียดชายแดนไทย ไม่ถือเป็นการรุกล้ำน่านฟ้า เจรจากันจนเข้าใจแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปากีสถานอ้าง ทำลายเครื่องบินรบอินเดีย 5 ลำ https://thestandard.co/pakistan-claims-downing-5-indian-jets/ Wed, 07 May 2025 03:39:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1071879

ทางการ ปากีสถาน อ้างว่า สามารถยิงทำลายเครื่องบินรบของ ก […]

The post ปากีสถานอ้าง ทำลายเครื่องบินรบอินเดีย 5 ลำ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ทางการ ปากีสถาน อ้างว่า สามารถยิงทำลายเครื่องบินรบของ กองทัพอากาศ อินเดีย จำนวน 5 ลำและโครนอีก 1 ลำ หนึ่งในนั้นคือเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงอย่าง Rafale อย่างไรก็ตาม ทางการอินเดียยังไม่ยืนยันข่าวดังกล่าว

 

ปากีสถานระบุว่า การตอบโต้ครั้งนี้เป็นการป้องกันตนเองหลังอินเดียเปิดปฏิบัติการทางทหารโดยมุ่งเป้าไปที่ฐานปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานที่อินเดียเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายโจมตีสถานที่ท่องเที่ยวในแคชเมียร์ และอินเดียเชื่อว่าปากีสถานให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ ขณะที่ปากีสถานปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ในเอเชียใต้ที่มีนิวเคลียร์ในครอบครอง ตกต่ำลงเรื่อยๆ หลังเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์เมื่อวันที่ 22 เมษายน โดยหลังเกิดเหตุ กลุ่ม ‘The Resistance Front’ หรือ TRF ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบ โดยระบุว่าเป็นการตอบโต้ต่อ ‘กลุ่มคนนอก’ ที่มาจาก ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในแคชเมียร์’ หลังแคชเมียร์ถูกเปลี่ยนสถานะโดยรัฐบาลอินเดียในปี 2019 ขณะที่แคชเมียร์เป็นดินแดนที่ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของ

 

แฟ้มภาพ: REUTERS / Samuel Rajkumar

อ้างอิง:

The post ปากีสถานอ้าง ทำลายเครื่องบินรบอินเดีย 5 ลำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
การแข่งขันสหรัฐฯ-จีน ขยายสู่เครื่องบินรบยุคที่ 6 https://thestandard.co/us-china-rivalry-sixth-generation-fighter-jets-f-47/ Wed, 26 Mar 2025 05:27:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1056714 เครื่องบินรบ F-47

สัปดาห์ที่แล้วเรดาร์ของนักสังเกตการณ์เทคโนโลยีการทหารจั […]

The post การแข่งขันสหรัฐฯ-จีน ขยายสู่เครื่องบินรบยุคที่ 6 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องบินรบ F-47

สัปดาห์ที่แล้วเรดาร์ของนักสังเกตการณ์เทคโนโลยีการทหารจับไปที่โครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ของสหรัฐฯ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า Boeing คือผู้ชนะเหนือ Lockheed Martin ในโครงการพัฒนาและผลิตเครื่องบินขับไล่แบบ F-47 ภายใต้โครงการ Next Generation Air Dominance (NGAD) ของสหรัฐฯ

 

การประกาศของทรัมป์ถือเป็นการยืนยันข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดของโครงการ NGAD หลังจากที่สหรัฐฯ เก็บเป็นความลับมานานหลายปี

 

ที่ว่าลึกลับนั้นก็เพราะกองทัพอากาศสหรัฐฯ เพิ่งเปิดเผยว่าต้นแบบของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ทั้งจากค่าย Boeing และ Lockheed Martin ต่างทดสอบบินมาแล้วหลายร้อยชั่วโมง รวมเวลา 5 ปีโดยที่ไม่มีใครรู้

 

แต่จากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยออกมาก็นับว่ายังน้อยอยู่ดี นอกจากภาพร่างของต้นแบบเครื่องบินที่ยังไม่เห็นรายละเอียดชัดเจนนัก ดังนั้นโครงการนี้จึงจัดว่ายังลับสุดยอดมาก สิ่งที่เราทำได้คือการคาดคะเนด้านคุณสมบัติต่างๆ จนกว่าจะมีการเปิดเผยภาพออกมามากกว่านี้ 

 

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนทรัมป์ประกาศผู้ชนะโครงการพัฒนา F-47 สื่อใหญ่อย่าง South China Morning Post รายงานว่ามีผู้พบเห็นและถ่ายภาพโปรโตไทป์ของ J-36 ของจีนได้อีกครั้ง หลังจากที่ J-36 เคยปรากฏตัวจนสร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยในวันนั้นมีคนถ่ายภาพเครื่องต้นแบบเครื่องบินรบยุคที่ 6 อีกรุ่นในสถานที่ต่างกันด้วย (J-XX)

 

แม้ทางการจีนยังไม่เคยยืนยันว่า J-36 เป็นเครื่องบินรบยุคที่ 6 แต่จากรูปร่างและการวิเคราะห์คุณสมบัติต่างๆ ทำให้นักวิเคราะห์ฟันธงว่ามันคือเครื่องบินรบเจนใหม่ที่มีคุณสมบัติหลบหลีกการตรวจจับของเรดาร์ได้ดีขึ้น และเป็นแพลตฟอร์มการรบที่มีขีดความสามารถสูงกว่าเครื่องบินยุคที่ 5

 

แน่นอนว่า การที่สหรัฐฯ เปิดเผยรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับ F-47 และการปรากฏตัวของ J-36 ในจีนก่อนหน้านี้ ย่อมถูกนำมาเปรียบเทียบ และทำให้การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนในด้านเทคโนโลยีการทหารเด่นชัดขึ้นไปสู่มิติของการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเป็น Game Changer ในการครองอากาศในอนาคตอันใกล้ โดยที่ปี 2025 นั้นเป็นดั่งหมุดหมายหรือจุดสตาร์ทในเชิงสัญลักษณ์กลายๆ ของการวิ่งแข่ง ถึงแม้ว่าทั้งสองชาติจะเริ่มพัฒนาเครื่องบินรบยุคที่ 6 มานานหลายปีแล้วก็ตาม

 

เรารู้อะไรแล้วบ้างเกี่ยวกับ F-47 และ J-36 

 

ทรัมป์เปิดเผยว่า F-47 จะทำความเร็วได้มากกว่ามัค 2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่าเครื่องบินขับไล่ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ นอกจากนี้ยังบอกว่า F-47 จะมีเทคโนโลยีสเตลธ์ที่ล้ำสมัย “จนทำให้เราแทบมองไม่เห็นมันเลย” 

 

ขณะที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เผยข้อมูลว่า F-47 จะบินได้ไกลกว่า F-22 ซึ่งเป็นเครื่องบินแบบที่สหรัฐฯ เตรียมจะปลดประจำการและนำ F-47 เข้าประจำการแทนที่ในอนาคต 

 

สำหรับคุณสมบัติพื้นฐานของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ที่ F-47 ต้องมีก็คือความสามารถในการหลบหลีกเรดาร์หรือการถูกตรวจจับได้ยาก หรือที่เรียกว่า Stealth และต้องมีคุณสมบัตินี้เหนือกว่าเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ซึ่งเป็นเครื่องยุคก่อนหน้าอย่าง F-22 หรือ F-35 ด้วย หรือหากเทียบคู่แข่งจากชาติอื่น ก็ต้องเหนือกว่า Su-57 ของรัสเซีย รวมถึง J-20 และ J-35 ของจีนเช่นกัน

 

อีกคุณสมบัติเด่นของเครื่องบินรบยุคที่ 6 คือ การเป็น ‘เครื่องบินรบแบบร่วมปฏิบัติการ’ ที่ทำหน้าที่เป็นยานแม่คอยควบคุมโดรนเพื่อให้ทำภารกิจบางอย่างแทน เช่นการสั่งให้โดรนบินลาดตระเวน ปล่อยอาวุธ หรือทำภารกิจการข่าวอื่นๆ ซึ่ง อนาลโย กอสกุล นักสังเกตการณ์การทหารอิสระและแอดมินเพจ Thaiarmedforce.com ระบุว่า เครื่องบินขับไล่ยุค 6 เพียงลำเดียวสามารถสร้างอำนาจการยิงและปฏิบัติภารกิจได้เหมือนมีเครื่องบินหลายลำ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติแรกของ F-47 และเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6

 

โดยโดรนที่จะทำงานร่วมกับ F-47 ในอนาคตนั้น เวลานี้ยังอยู่ในขั้นประกวดแบบระหว่าง YFQ-44A Fury ของ Anduril Industries และ YFQ-42A Gambit ของ General Atomic ซึ่งยังต้องรอประกาศผู้ชนะ

 

หลังมีภาพร่างของ F-47 ออกมา สื่อทางการจีนอย่าง Global Times ได้นำเสนอการวิเคราะห์เกี่ยวกับคุณสมบัติ F-47 ของผู้เชี่ยวชาญหลายคนด้วย ซึ่ง จางเสวี่ยเฟิง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของจีนมองว่า เมื่อดูจากลักษณะภายนอกของ F-47 มีความสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไม่มีแพนหางดิ่ง ซึ่งเป็นความพยายามในการเพิ่มสมรรถนะการล่องหนในทุกทิศทุกทาง นอกจากนี้ยังมีจมูกแบน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเครื่องบินขับไล่ยุคนี้ด้วย

 

เขาระบุด้วยว่า เครื่องบินรบยุคที่ 6 ต้องมีระบบควบคุมใหม่มาแทนหางดิ่ง เช่น ปลายปีกที่ขยับได้เพื่อควบคุมทิศทางการบิน อย่างไรก็ตาม จางตั้งข้อสังเกตว่า การที่ F-47 มีคานาร์ด (ปีกเล็กด้านหน้า) อยู่ด้านหน้าปีกหลักอาจส่งผลต่อสมรรถนะด้านการล่องหนไม่มากก็น้อย ซึ่งเป็นไปได้ว่า Boeing อาจขาดเทคโนโลยีในการพัฒนาระบบควบคุมใหม่ๆ จึงต้องอาศัยคานาร์ด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างเก่า 

 

ส่วน หวังหย่าหนาน บรรณาธิการบริหารนิตยสาร Aerospace Knowledge ที่มีสำนักงานอยู่ในปักกิ่ง ให้ความเห็นกับ Global Times ว่า เมื่อเปรียบเทียบขนาดของกระจกครอบห้องนักบินและล้อหน้าลงจอดแล้ว สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ขนาดโดยรวมของ F-47 ไม่น่าจะใหญ่กว่า F-22 มากนัก ซึ่งหมายความว่า F-47 ยังคงเป็นเครื่องบินรบทางยุทธวิธี ไม่ใช่แพลตฟอร์มอากาศยานขนาดใหญ่แบบอเนกประสงค์ที่สามารถปฏิบัติภารกิจในระดับยุทธการเหมือนกับเครื่องบินของค่ายจีนที่มีรูปถ่ายปรากฏออกมาก่อนหน้านี้

 

อย่างไรก็ตาม หวังระบุว่า ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงการวิเคราะห์จากภาพจำลอง ซึ่งเป็นแค่การร่างขึ้นเท่านั้น ยังไม่ใช่ภาพถ่ายจริง 

 

แต่หวังตั้งข้อสังเกตว่า การให้ Boeing พัฒนาโครงการนี้อาจมีความเสี่ยง เพราะก่อนหน้านี้ Boeing ก็แพ้ให้กับ Lockheed Martin ในโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 และพอร์ตในปัจจุบันที่มีอยู่อย่าง F-15 และ F/A-18 ก็เป็นเครื่องบินที่เริ่มพัฒนาโดย McDonnell Douglas ที่ภายหลังเข้าควบรวมกับ Boeing นอกจากนี้ Boeing ยังเผชิญกับปัญหาอื้อฉาวมากมายในเครื่องบินพาณิชย์แบบ 737 MAX ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ข้ามมาที่คุณสมบัติของ J-36 บ้าง นักสังเกตการณ์วิเคราะห์จากภาพถ่ายก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นเครื่องบินรบยุคที่ 6 ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ไม่ต่างจาก F-47 ที่กล่าวไว้ข้างต้น 

 

ในบทความ China’s 6th-Generation Fighter: Potential Game Changer for Air Superiority in Asia? ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ The Diplomat เมื่อเดือนกุมภาพันธ์วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า การเปิดตัว J-36 และ J-XX เป็นการแสดงถึงก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการพัฒนาแสนยานุภาพทางอากาศของจีน และเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนพร้อมเปลี่ยนโครงสร้างความมั่นคงหรือดุลอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก 

 

J-36 ใช้เครื่องยนต์ถึงสามเครื่อง ลำตัวเครื่องเป็นรูปทรงเพชรและออกแบบไร้แพนหางเพื่อปฏิบัติภารกิจในระยะไกลโดยที่สามารถหลบหลีกการถูกตรวจจับด้วยระบบของศัตรูได้ 

 

คาดว่าระยะปฏิบัติการของ J-36 อาจมีพิสัยเกินกว่า 2,500 กิโลเมตร ซึ่งหมายความว่าสามารถโจมตีไกลถึงฐานทัพสหรัฐฯ ที่เกาะกวม ดิเอโกการ์เซีย หรือแม้แต่รัฐอะแลสกาได้ 

 

นอกจากนี้อีกคุณสมบัติเด่นที่คาดว่าจะมีในเครื่องบินรุ่นนี้คือความเร็วเหนือเสียง (hypersonic) โดยสามารถทำความเร็วได้เกินมัค 2 และหากมีการปรับแต่งเพิ่มเติม อาจทำความเร็วเฉียดมัค 3 โดยเฉพาะในระดับความสูงที่อากาศเบาบาง 

 

อีกคุณสมบัติที่คล้าย F-47 คือ เครื่องบินเหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางการควบคุมฝูงอากาศยานไร้คนขับ โดยผสานระบบขับเคลื่อนแบบมีนักบินและไร้นักบินเข้าด้วยกัน เช่น UCAV (อากาศยานไร้คนขับที่ติดอาวุธ) ซึ่งทำให้จีนสามารถขยายระยะการปฏิบัติการรบได้อีกหลายร้อยกิโลเมตร

 

ต้นแบบ J-36 และ J-XX มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบิน F-35 และ F-22 ของสหรัฐฯ อย่างมาก จีนเชื่อว่าเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ของสหรัฐฯ มีขนาดเล็กเกินไป ซึ่งจำกัดทั้งปริมาณเชื้อเพลิงและขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการรวมข้อมูลจากเซนเซอร์ (sensor fusion), การประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการควบคุมฝูง UCAV ในสงครามปฏิบัติการร่วม

 

นอกจากโครงการ NGAD ของสหรัฐฯ และโครงการ J-36 ของจีนแล้ว ยังมีหลายประเทศที่กำลังพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 เช่นกัน โดยฝรั่งเศส เยอรมนี และสเปน มีโครงการ Future Combat Air System (FCAS) ขณะที่สหราชอาณาจักร อิตาลี และญี่ปุ่น ร่วมมือกันพัฒนาโครงการ Global Combat Air Programme (GCAP) ส่วนรัสเซียก็มีรายงานจากสำนักข่าว TASS ว่ากำลังพยายามพัฒนาเครื่องบินรบยุค 6 เช่นกัน

 

จากนี้คาดว่าทั้ง F-47 และ J-36 จะใช้เวลาทดสอบระบบต่างๆ อีกหลายปี ก่อนที่จะพร้อมเข้าประจำการ ซึ่งการแข่งขันจะดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่จีนลดช่องว่างกับสหรัฐฯ ลงเรื่อยๆ ขณะที่ชาติอื่นๆ ที่หันมาพัฒนาเครื่องบินรบยุคที่ 6 ด้วยก็น่าจับตาไม่แพ้กัน

 

อ้างอิง:

The post การแข่งขันสหรัฐฯ-จีน ขยายสู่เครื่องบินรบยุคที่ 6 appeared first on THE STANDARD.

]]>
F-47 โครงการลับ เครื่องบินรบยุคที่ 6 ของ กองทัพอากาศสหรัฐฯ https://thestandard.co/f-47-the-sixth-gen-fighter/ Sun, 23 Mar 2025 11:33:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1055361

Boeing คือผู้ชนะและได้รับเลือกให้ผลิตเครื่องบินขับไล่ยุ […]

The post F-47 โครงการลับ เครื่องบินรบยุคที่ 6 ของ กองทัพอากาศสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Boeing คือผู้ชนะและได้รับเลือกให้ผลิตเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ที่ตั้งชื่อว่า F-47 ภายใต้โครงการ Next Generation Air Dominance หรือ NGAD ซึ่งเอาชนะแบบแผนของ Lockheed Martin ไปได้ โครงการนี้วางแผนที่จะพัฒนาเครื่องบินขับไล่เพื่อทดแทน F-22 ภายในทศวรรษที่ 2030 ซึ่งจะกลายมาเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุด

 

แม้ว่าจะเพิ่งประกาศมาเมื่อสองวันก่อน แต่มีการเปิดเผยว่าต้นแบบของ F-47 นั้นขึ้นบินและทดสอบมากว่า 5 ปีแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงทั้งสองบริษัทต่างมีเครื่องบินต้นแบบที่ทำการบินให้กับ กองทัพอากาศสหรัฐฯ ทดสอบและประเมินค่ามานานหลายปีก่อนที่จะมีการเลือกผู้ชนะในครั้งนี้

 

กองทัพอากาศสหรัฐฯ

 

F-47 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Next Generation Air Dominance หรือที่เรียกย่อๆ ว่า NGAD ซึ่งเป็นแนวคิดของสำนักโครงการวิจัยขั้นสูงเพื่อการป้องกันประเทศ หรือ DARPA (Defense Advanced Research Projects Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีทางทหารใหม่ๆ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และเราอาจจะรู้จักกันในฐานะองค์กรผู้คิดค้นและให้กำเนิดอินเทอร์เน็ตนั่นเอง โดย DARPA เสนอแนวคิดโครงการนี้ในปี 2014 ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นการประกาศโครงการพัฒนาเครื่องบินต้นแบบ (X Plane) ในปี 2015 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และการนำแนวคิดนี้ไปบรรจุในแผนงานระยะยาวของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในชื่อ Air Superiority 2030

 

ที่จริงแล้ว NGAD นั้นไม่ใช่การพัฒนาเครื่องบินรบอย่างเดียว แต่ DARPA ระบุว่าคือการพัฒนาระบบการรบหลายๆ ระบบเพื่อทำงานร่วมกัน โดยเครื่องบินรบที่มีนักบินเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่เรียกว่า Penetrating Counter-Air หรือ PCA ซึ่งก็คือเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 อย่าง F-47 ที่ Boeing ได้รับสัญญาในครั้งนี้ โดย PCA จะต้องทำงานร่วมกับเครื่องบินที่ไม่มีนักบินหรือโดรนที่พัฒนาเป็นองค์ประกอบที่เรียกว่า Collaborative Combat Aircraft หรือ CCA ซึ่งในปัจจุบันมี 2 บริษัทที่สร้างเครื่องบินต้นแบบเพื่อแข่งขันกันอยู่คือ YFQ-44A Fury ของ Anduril Industries และ YFQ-42A Gambit ของ General Atomic ซึ่งยังรอผลว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

 

เมื่อการพัฒนาเสร็จเรียบร้อย F-47 ซึ่งมีนักบินจะทำหน้าที่เป็นยานแม่ที่ควบคุมโดรนหนึ่งในสองแบบที่คัดเลือกแบบกันอยู่ระหว่าง YFQ-42A และ YFQ-44A เพื่อให้ทำภารกิจบางอย่างแทนไม่ว่าจะเป็นการลาดตระเวน การปล่อยอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศหรืออากาศสู่พื้น หรือภารกิจการข่าวอื่นๆ ซึ่งทำให้นักบินและเครื่องบินขับไล่เพียงแค่ลำเดียวสามารถสร้างอำนาจการยิงและปฏิบัติภารกิจได้เหมือนเครื่องบินหลายลำ ซึ่งนี่คือคุณสมบัติแรกของ F-47 และเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6

 

 

อีกคุณสมบัติที่สำคัญก็คือคุณสมบัติตรวจจับได้ยากหรือ Stealth ซึ่งจะต้องมีมากกว่าเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อย่าง F-22 หรือ F-35 นอกจากนั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเปิดเผยว่า F-47 จะมีความเร็วมากกว่ามัค 2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่าเครื่องบินขับไล่แทบทุกแบบในปัจจุบัน นอกจากนั้นจากการเปิดเผยของกองทัพอากาศสหรัฐฯ มีข้อมูลว่า F-47 จะมีพิสัยบินไกลกว่า F-22 อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นจะซ่อมบำรุงได้ง่ายกว่า ใช้คนน้อยกว่า ใช้โครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า รวมถึงจะมีราคาถูกกว่า F-22 ที่ราคาแพงกว่าลำละ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย ซึ่งข้อสุดท้ายนี้ยังเป็นคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะแทบไม่มีโครงการไหนของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่งบไม่บานปลาย ไม่ช้า และค่าตัวไม่ถูกกว่ารุ่นก่อนหน้าเลย

 

อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศสหรัฐฯ ยืนยันว่าต้นแบบของ F-47 นั้นทำการบินมา 5 ปี รวมหลายร้อยชั่วโมงบินแล้วอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครรู้ ซึ่งการให้ผู้ผลิตพัฒนาต้นแบบและทดสอบการบินอย่างเข้มข้นไปพร้อมกับการพัฒนาแบบแผนและการทดสอบแนวคิดในการออกแบบเครื่องบินจะช่วยลดความผิดพลาดและช่วยทดสอบว่าแนวคิดที่ออกแบบในคอมพิวเตอร์จะสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและความล่าช้าของโครงการลง เพื่อไม่ให้ต้องมาแก้ไขปัญหาหลังจากยืนยันการออกแบบและอยู่ในขั้นตอนการผลิตแล้วแบบ F-35

 

แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้ก็คือทั้งหมดที่เรารู้ เพราะโครงการนี้ยังถือเป็นความลับสุดยอดของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ให้กับสาธารณชนทราบมากกว่าไปภาพร่างที่ตั้งอยู่ในห้องทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นแบบที่เห็นแต่ด้านหน้าของเครื่องบินเท่านั้น ไม่เหมือนในตอนพัฒนา F-22 หรือ F-35 ที่เราได้เห็นต้นแบบของเครื่องบินมาแข่งขันกันตั้งแต่ต้น ดังนั้นกว่าจะมีข้อมูลออกมาเพิ่มเติมก็คงต้องรอจนกว่าการออกแบบจะเสร็จสิ้นและเริ่มทำการผลิต

 

นอกจากนั้น สิ่งที่หลายคนสนใจก็คือ สหรัฐฯ จะขาย F-47 ให้ต่างประเทศหรือไม่ เพราะสหรัฐฯ ก็ปฏิเสธไม่ขาย F-22 ให้กับใคร แม้จะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด เรื่องนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเองในการแถลงข่าวว่าอาจจะพิจารณาขาย F-47 ให้กับประเทศพันธมิตร แต่จะต้องเป็นรุ่นที่ลดคุณสมบัติให้ไม่เท่ากับที่สหรัฐฯ มี อาจจะลดราว 10% เพราะไม่แน่ใจว่าพันธมิตรเหล่านั้นจะเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ไปเรื่อยๆ หรือไม่ ซึ่งก็เป็นการตอบคำถามสไตล์ทรัมป์ที่กำลังใช้ทุกทางไล่กดดันพันธมิตรของสหรัฐฯ อยู่ในขณะนี้

 

 

แต่ก็อีกหลายปีกว่า F-47 จะเข้าประจำการจริง ซึ่งยังมีเวลาและยังต้องรอว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เพียงแต่หนึ่งในความคาดหวังของทรัมป์ที่กล่าวมาก็คือ เขาจะต้องเปิดตัว F-47 ต่อสายตาคนทั้งโลกก่อนที่เขาจะหมดวาระลงในอีกไม่กี่ปีนี้ เพื่อส่งสัญญาณไปยังประเทศที่เป็นศัตรูกับสหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯ มีการพัฒนาขีดความสามารถทางการทหารที่ก้าวหน้ากว่าใคร เหมือนคำกล่าวของเสนาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ (เทียบได้กับผู้บัญชาการทหารอากาศ) ที่บอกว่า ด้วย F-47 เราจะเสริมความเข้มแข็งให้กับจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อโลก สร้างความเหนือกว่าศัตรูของสหรัฐฯ ให้ไม่สามารถเทียบเคียงกับสหรัฐฯ ได้ และเมื่อศัตรูเหล่านั้นมองขึ้นมาบนฟ้า พวกเขาจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากความพ่ายแพ้ที่จะรอคนที่กล้าท้าทายสหรัฐฯ อยู่ เพราะคำว่ากำลังทางอากาศทุกที่ทุกเวลานั้นไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจ แต่เป็นคำสัญญาที่ทำได้จริง

The post F-47 โครงการลับ เครื่องบินรบยุคที่ 6 ของ กองทัพอากาศสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โฆษก กต. รายงานเหตุเครื่องบินรบเกาหลีใต้ทิ้งระเบิดผิดพลาดในพื้นที่ชุมชนระหว่างฝึกซ้อม มีคนไทยบาดเจ็บ 4 คน https://thestandard.co/korea-jet-mistaken-bombing/ Fri, 07 Mar 2025 03:15:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1049491

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่าง […]

The post โฆษก กต. รายงานเหตุเครื่องบินรบเกาหลีใต้ทิ้งระเบิดผิดพลาดในพื้นที่ชุมชนระหว่างฝึกซ้อม มีคนไทยบาดเจ็บ 4 คน appeared first on THE STANDARD.

]]>

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ว่า เมื่อวานนี้ (6 มีนาคม) ได้ปรากฏรายงานข่าวว่า เครื่องบินรบของกองทัพอากาศเกาหลีใต้ 2 ลำ ปล่อยระเบิดรุ่น MK-82 ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ที่ใช้สำหรับการทำลายอาคารและสะพานเป็นหลักรวมทั้งหมด 8 ลูก ผิดพลาดในพื้นที่ชุมชนที่เมืองโพชอน จังหวัดคยองกี ในระหว่างการฝึกซ้อมรบร่วม Freedom Shield ระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ 

 

เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับบ้านเรือนและอาคารอื่นๆ ในพื้นที่ และส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้นจำนวน 15 คน ซึ่งมีคนไทยได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยรวมทั้งหมด 4 คน โดยมีคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณมือและขา และอยู่ระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโพชอนอึยรโยวอน ก่อนรอเข้ารับการผ่าตัดในวันนี้ (7 มีนาคม) โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเกาหลีใต้จะเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ส่วนคนไทยอีก 3 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและเดินทางกลับที่พักแล้ว

 

กองทัพอากาศเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ขอโทษประชาชนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะมีมาตรการเพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมรบทางอากาศระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ นับตั้งแต่การสงบศึกของสงครามเกาหลี 

 

ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ติดต่อพูดคุยกับผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อเยี่ยมเยียนและสอบถามอาการแล้ว โดยจะติดตามอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป

 

ภาพ: Reuters

อ้างอิง: 

  • กระทรวงการต่างประเทศ

The post โฆษก กต. รายงานเหตุเครื่องบินรบเกาหลีใต้ทิ้งระเบิดผิดพลาดในพื้นที่ชุมชนระหว่างฝึกซ้อม มีคนไทยบาดเจ็บ 4 คน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทอ. เตรียมนำเครื่องบิน ‘กริพเพน’ ทดสอบขึ้น-ลงบนถนนหลวงครั้งแรก 27 ก.พ. นี้ ยืนยันปลอดภัย 100% https://thestandard.co/gripen-test-run-feb-27/ Tue, 25 Feb 2025 08:06:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1045503

วันนี้ (25 กุมภาพันธ์) รายงานข่าวจากกองทัพอากาศเปิดเผยว […]

The post ทอ. เตรียมนำเครื่องบิน ‘กริพเพน’ ทดสอบขึ้น-ลงบนถนนหลวงครั้งแรก 27 ก.พ. นี้ ยืนยันปลอดภัย 100% appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (25 กุมภาพันธ์) รายงานข่าวจากกองทัพอากาศเปิดเผยว่า คณะกรรมการทดสอบการบินขึ้น-ลงเครื่องบิน กริพเพน ได้กำหนดให้วันที่ 27 กุมภาพันธ์ เป็นวันทดสอบการฝึกตามยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเครื่องบินขับไล่และการปฏิบัติภารกิจได้จากทุกสนามบินและทุกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมทั่วประเทศไทย

 

รวมถึงแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของการบินขึ้น-ลงบนถนนที่รถยนต์ใช้วิ่งได้หากเกิดเหตุสนามบินถูกทำลาย ซึ่งเครื่องบินขับไล่กริพเพนใช้ทางระยะทางวิ่งไม่เกิน 800 เมตร

 

ทั้งนี้ การทดสอบเครื่องบินกริพเพนจะลงบนทางหลวงหมายเลข 4287 ในจังหวัดสงขลา ที่ได้รับการตรวจสอบสภาพถนนแล้วว่าสามารถรองรับการขึ้น-ลงของเครื่องบินขับไล่ได้ โดยจะทดสอบการลงจอดและขึ้นบิน

 

สำหรับการทดสอบครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง คอยป้องกันตลอดแนวถนน

The post ทอ. เตรียมนำเครื่องบิน ‘กริพเพน’ ทดสอบขึ้น-ลงบนถนนหลวงครั้งแรก 27 ก.พ. นี้ ยืนยันปลอดภัย 100% appeared first on THE STANDARD.

]]>