เขื่อนภูมิพล – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 07 Oct 2024 07:57:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ศปช. เตือน 3 อำเภอในเชียงใหม่ – 7 ตำบลในลำพูน เตรียมรับน้ำปิง อพยพกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยง-เร่งกำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำเขื่อนภูมิพล https://thestandard.co/warn-3-districts-in-chiang-mai-7-sub-districts-in-lamphun/ Mon, 07 Oct 2024 07:57:07 +0000 https://thestandard.co/?p=992721

วันนี้ (7 ตุลาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์  ที่ปรึกษาของน […]

The post ศปช. เตือน 3 อำเภอในเชียงใหม่ – 7 ตำบลในลำพูน เตรียมรับน้ำปิง อพยพกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยง-เร่งกำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำเขื่อนภูมิพล appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (7 ตุลาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์  ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) และ ศปช. ส่วนหน้า จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศปช. ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำปิงที่เอ่อล้นเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่า ระดับน้ำที่สถานีวัดน้ำ P.1 สะพานนวรัฐ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับตลิ่งที่ 3.70 เมตรได้ภายในวันนี้

 

สั่งอพยพ 3 อำเภอในเชียงใหม่ – 7 ตำบลในลำพูน

 

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามมวลน้ำจำนวนมากจากแม่น้ำปิงที่เคลื่อนตัวผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่าก่อให้เกิดผลกระทบในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำปิง ซึ่ง นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ออกประกาศขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสารภี อำเภอหางดง และอำเภอสันป่าตอง เคลื่อนย้ายสัตว์ สิ่งของ และยานพาหนะขึ้นที่สูง รวมทั้งให้อพยพผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบาง ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดเชียงใหม่ และสถานที่ปลอดภัย ภายใน 24 ชั่วโมง หากต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านสายด่วน 1567 ได้ทันที

 

สำหรับพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดลำพูน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนภัยระดับ 3 ในพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง 7 ตำบล ของอำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ได้แก่ ตำบลเหมืองง่า, ตำบลอุโมงค์, ตำบลต้นธง, ตำบลประตูป่า, ตำบลริมปิง, ตำบลหนองช้างคืน และตำบลมะเขือแจ้ ให้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ และขนย้ายสิ่งของรวมถึงอพยพกลุ่มเปราะบาง

 

“จากการประเมินปริมาณน้ำที่ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ บางจุด อาทิ ตำบลหนองผึ้ง อาจมีน้ำท่วมสูง 0.8-1.5 เมตร เช่นเดียวกับพื้นที่ลุ่มต่ำของจังหวัดลำพูน อาจเจอระดับน้ำสูง 0.8-1.5 เมตรได้เช่นกัน ส่วนพื้นที่อำเภอเมืองลำพูน ระดับน้ำจะน้อยกว่าอยู่ที่ระดับ 0.3 – 0.5 เมตร ขอให้บ้านที่อยู่ในพื้นที่ต่ำและมีกลุ่มเปราะบางให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย” จิรายุกล่าว

 

ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือ ขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 16 จุด รองรับประชาชนได้ 890 คน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าพักจริง 203 คน

 

ส่วนการดูแลกลุ่มเปราะบาง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมโรงพยาบาล 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสวนปรุง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และโรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยพักรักษาตัวอยู่ 41 คน นอกจากนี้ยังมีการระดมทีม MCATT ประกอบด้วย จิตแพทย์, นักจิตวิทยา, พยาบาลจิตเวช และสหวิชาชีพ เข้าดูแลสภาพจิตใจผู้ประสบภัยซึ่งส่วนใหญ่มีภาวะความเครียดสะสมในระดับสูง

 

เขื่อนภูมิพลมีน้ำแค่ 69%

 

ด้านการระบายน้ำ กรมชลประทานได้นำเครื่องจักรและเครื่องสูบน้ำ เร่งระบายน้ำ พร้อมกำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน และให้น้ำไหลลงไปยังเขื่อนภูมิพลโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ปริมาณกักเก็บของเขื่อนภูมิพลยังอยู่ที่ 9,321 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 69% ของความจุเขื่อนเท่านั้น

 

จิรายุกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้ยังคงการระบายน้ำอยู่ที่ปริมาณ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และได้บริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเพื่อให้ปริมาณการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาคงที่และต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบให้กับที่ท้ายน้ำ ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวว่าคันดินแตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ได้ตรวจสอบพบว่าเป็นคันดินชั่วคราวที่ใช้ป้องกันพื้นที่เกษตรบริเวณตำบลธรรมามูล อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำริมแม่น้ำและได้ทำคันดินชั่วคราวป้องกัน ความเสียหายของคันดินดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนในวงกว้างแต่ประการใด

 

ศปช.ส่วนหน้าติดตามภารกิจฟื้นฟูแม่สาย-เวียงป่าเป้า

 

ขณะที่ ศปช. ส่วนหน้า จิรายุเปิดเผยว่าจังหวัดเชียงรายได้เปิดปฏิบัติการฟื้นฟูให้กลับคืนสภาพปกติภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ โดยล่าสุด พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะที่ปรึกษา ศปช. ส่วนหน้า ลงพื้นที่บ้านห้วยทรายขาว อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อประเมินหน้างานก่อนระดมความช่วยเหลือและเครื่องมือทหารช่างเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

 

โดยก่อนหน้านี้ ที่ปรึกษา ศปช. ส่วนหน้า ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูบ้านถ้ำผาจม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งกองทัพเรือรับผิดชอบการฟื้นฟู โดยพบว่าแม้จะมีโคลนที่เป็นอุปสรรคในการคืนสภาพพื้นที่ แต่โดยภาพรวมยังเดินหน้าตามแผน ทั้งนี้ได้ชื่นชมความเสียสละและความมุ่งมั่นของกำลังพลที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและกองทัพในการฟื้นฟูชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่กองทัพอากาศนำกำลังพลจากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน เดินทางถึง กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ สนธิกำลังลุยน้ำ เร่งอพยพประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและแจกจ่ายอาหาร-น้ำดื่มให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ชุมชนและโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ชุมชนป่าแดด และอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ อย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ยังช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยสูงวัยออกจากพื้นที่ประสบภัยได้อย่างปลอดภัย

The post ศปช. เตือน 3 อำเภอในเชียงใหม่ – 7 ตำบลในลำพูน เตรียมรับน้ำปิง อพยพกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยง-เร่งกำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำเขื่อนภูมิพล appeared first on THE STANDARD.

]]>
โฆษก ศปช. ยืนยัน เขื่อนภูมิพลรับน้ำเพียงพอและระบายน้ำปกติ ไม่กระทบประชาชนท้ายน้ำ สั่งเร่งต่อน้ำ-ไฟ จัดการขยะ-น้ำขัง อำเภอแม่สายโดยเร็ว https://thestandard.co/bhumibol-dam-safe-mae-sai-recovery/ Mon, 30 Sep 2024 08:42:47 +0000 https://thestandard.co/?p=989736 เขื่อนภูมิพล

วันนี้ (30 กันยายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกร […]

The post โฆษก ศปช. ยืนยัน เขื่อนภูมิพลรับน้ำเพียงพอและระบายน้ำปกติ ไม่กระทบประชาชนท้ายน้ำ สั่งเร่งต่อน้ำ-ไฟ จัดการขยะ-น้ำขัง อำเภอแม่สายโดยเร็ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เขื่อนภูมิพล

วันนี้ (30 กันยายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) รวมถึง ศปช. ส่วนหน้า จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าน้ำจากตอนบนไหลเข้า เขื่อนภูมิพล จำนวนมาก จนเกรงว่าเขื่อนจะไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียงพอและอาจต้องระบายน้ำออกจำนวนมากนั้น ในที่ประชุม ศปช. ส่วนกลาง ได้ติดตามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมชลประทานและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้รับการยืนยันตรงกันว่า ขณะนี้ (30 กันยายน 2567) ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก มีศักยภาพเพียงพอในการรับน้ำได้อีกมาก และการปล่อยน้ำของเขื่อนจะไม่กระทบพื้นที่ท้ายเขื่อนแต่อย่างใด

 

“เขื่อนภูมิพลที่รับน้ำจากแม่น้ำปิงนั้นสามารถรองรับน้ำได้สูงถึง 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ปัจจุบันมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 8,247 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 61% ของความจุทั้งหมด ซึ่งยังสามารถรับน้ำได้อีก 5,215 ล้าน ลบ.ม. และจากผลการประชุม สรุปว่า มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนวันละ 134 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่การระบายน้ำอยู่ที่ 1 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะปกติ ศปช. ยืนยันได้ว่าการระบายน้ำของ เขื่อนภูมิพล ไม่กระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีข้อสรุปว่าปลายสัปดาห์หน้า ฤดูในพื้นที่ภาคเหนือจะเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว จึงจะทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลง” จิรายุกล่าว

 

เร่งต่อน้ำ-ไฟเข้าบ้านประชาชนในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมสั่งเร่งจัดการขยะ

 

ส่วนการประชุม ศปช. ส่วนหน้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งมี ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นที่ปรึกษาการประชุม

 

จิรายุระบุว่า คณะทำงานรายงานเรื่องการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ว่า ขณะนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ดำเนินการฟื้นฟูระบบจ่ายไฟให้กลับมาใช้งานได้ทั้งหมดแล้ว เช่นเดียวกับระบบน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ กฟภ. จังหวัดเชียงราย กำลังเร่งต่อไฟจากระบบสายเมนตามถนนเข้าบ้านเรือนประชาชน

 

จิรายุกล่าวอีกว่า ประชาชนขอให้ ศปช. เร่งจัดการขยะและระบายขังที่น้ำเน่าเสีย ซึ่งพบว่าปัจจุบันมีปริมาณขยะตกค้างอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก เนื่องจากบ่อขยะถูกน้ำท่วม ซึ่งมีการแก้ปัญหาด้วยการจัดจุดพักขยะชั่วคราว

The post โฆษก ศปช. ยืนยัน เขื่อนภูมิพลรับน้ำเพียงพอและระบายน้ำปกติ ไม่กระทบประชาชนท้ายน้ำ สั่งเร่งต่อน้ำ-ไฟ จัดการขยะ-น้ำขัง อำเภอแม่สายโดยเร็ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำ คาดไม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจกรุงเทพฯ https://thestandard.co/chao-phraya-dam-increases-water-discharge/ Mon, 02 Sep 2024 01:55:44 +0000 https://thestandard.co/?p=978341

วานนี้ (1 กันยายน) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กร […]

The post เขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำ คาดไม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจกรุงเทพฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วานนี้ (1 กันยายน) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่า ที่สถานีวัดน้ำ C2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,485 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณน้ำทางตอนบนและฝนที่ตกในพื้นที่ ก่อนจะไหลลงสู่เขื่อนเจ้าพระยา ทำให้ปริมาณน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น  

 

กรมชลประทานได้รับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว พร้อมควบคุมการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในอัตรา 1,399 ลบ.ม./วินาที เร่งระบายน้ำทางตอนบนลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด 

 

ส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา รวมถึงตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 50 เซนติเมตร ถึง 1.50 เมตร  

 

ส่วนที่สถานีวัดน้ำ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ยในอัตรา 1,400 ลบ.ม./วินาที จากอิทธิพลของสถานการณ์น้ำทะเลหนุนในช่วงวันที่ 30 สิงหาคม – 5 กันยายน 2567 อาจจะส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานครบางพื้นที่ยกตัวสูงขึ้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน 4 เขื่อนหลักในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 14,209 ล้าน ลบ.ม. (57% ของความจุอ่างเก็บน้ำรวมกัน) ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 10,662 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ได้ปรับลดการระบายน้ำ เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านท้ายน้ำ  

 

อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้จะมีปริมาณฝนตกเพิ่มในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งภาคกลาง ซึ่งอาจจะส่งผลให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น จึงยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป

The post เขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำ คาดไม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจกรุงเทพฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุป 10 ข้อเท็จจริง ‘โครงการผันน้ำยวม’ ทำไมถึงควรสร้าง [PR NEWS] https://thestandard.co/yuam-water-diversion-project/ Mon, 27 Mar 2023 07:42:06 +0000 https://thestandard.co/?p=768725 โครงการผันน้ำยวม

‘โครงการผันน้ำยวม’ จะเดินหน้าอย่างไรในวันที่ข้อมูลบางส่ […]

The post สรุป 10 ข้อเท็จจริง ‘โครงการผันน้ำยวม’ ทำไมถึงควรสร้าง [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงการผันน้ำยวม

‘โครงการผันน้ำยวม’ จะเดินหน้าอย่างไรในวันที่ข้อมูลบางส่วนถูกปิดบัง ยังมีข้อกังขาที่ไม่ได้รับคำตอบจากผู้เกี่ยวข้อง ด้วยเม็ดเงินลงทุนระดับเมกะโปรเจกต์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นชัดเจนกว่าผลประโยชน์ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับ จึงทำให้โครงการนี้เป็นที่จับตามองอย่างมาก

 

THE STANDARD มีโอกาสซักถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมชลประทาน ทั้งประเด็นเรื่องงบประมาณและแนวทางการเยียวยา 

 

นี่คือข้อมูลที่เคยเปิดเผยไปแล้ว และบางส่วนเพิ่งเปิดเผยที่นี่เป็นที่แรก

 

โครงการผันน้ำยวม


ทำไมต้องมีโครงการผันน้ำยวม

แม่น้ำยวมเป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ไหลลงสู่แม่น้ำเมยและแม่น้ำสาละวิน ที่ผ่านมาปริมาณน้ำในฤดูฝนที่ไหลลงแม่น้ำสาละวินจำนวนมหาศาลไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลหรือโครงการผันแม่น้ำยวม จึงเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล สร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำปิงและลุ่มเจ้าพระยา และช่วยแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำปิง (ท้ายเขื่อนภูมิพล) และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทั้งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และการท่องเที่ยว ในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิตตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปี 2561-2580) 

 

โครงการผันน้ำยวม

โครงการผันน้ำยวม

 

โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำยวม ประกอบด้วย 

  1. เขื่อนและอ่างเก็บน้ำยวม ตั้งอยู่บนแม่น้ำยวม ในตำบลแม่วะหลวง อำเภอ ท่าสองยาง จังหวัดตาก และตำบลสบเมย อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่หัวงานห่างจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 223 กิโลเมตร เป็นเขื่อนหินถมดาดคอนกรีต ปริมาตรเก็บกักปกติ 68.74 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาตรเก็บกักใช้งาน 13.95 ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 5 แห่ง ได้แก่ ป่าแม่แจ่มและป่าแม่ตื่น ป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย ป่าแม่ยวมฝั่งขวา ป่าอมก๋อย และป่าท่าสองยาง
  2. สถานีสูบน้ำบ้านสบเงา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ จำนวน 6 เครื่อง
  3. ระบบอุโมงค์ส่งน้ำ (โครงสร้างใต้ดิน) ระยะทางประมาณ 61.52 กิโลเมตร เริ่มต้นที่อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปยังอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย อุโมงค์อัดน้ำ อุโมงค์พักน้ำ และอุโมงค์ส่งน้ำ ซึ่งเป็นอุโมงค์ดาดคอนกรีต คาดว่าจะสามารถผันน้ำสู่เขื่อนภูมิพลเฉลี่ยปีละ 1,795.25 ล้านลูกบาศก์เมตร
  4. พื้นที่ จัดการวัสดุจากการขุดเจาะอุโมงค์ (DA) จำนวน 6 พื้นที่
  5. ถนน ปรับปรุงถนนเดิมและเป็นการก่อสร้างถนนใหม่ เพื่อเข้าสู่เขื่อนน้ำยวม สถานีสูบน้ำ อุโมงค์เข้า-ออก พื้นที่กองเก็บวัสดุตามแนวขุดเจาะอุโมงค์ ฯลฯ ทั้งหมด 8 เส้นทาง
  6. ทางออกอุโมงค์ส่งน้ำ น้ำผันจากอุโมงค์ส่งน้ำจะไหลลงห้วยแม่งูด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนไหลลงอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล


งบประมาณที่แท้จริงหรือเกินจริง? 

กรมชลประทานได้แจกแจงค่าก่อสร้างโครงการ (ข้อมูลเดือนมีนาคม 2566) รวมประมาณ 88,745 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าค่าใช้จ่าย ดังนี้

 

  • ค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมและชดเชยทรัพย์สิน 515 ล้านบาท (0.6%)
  • ค่าก่อสร้างเขื่อนน้ำยวมและอาคารประกอบ 2,128 ล้านบาท (2%)
  • ค่าก่อสร้างสถานีสูบน้ำบ้านสบเงา 2,934 ล้านบาท (3%)
  • ค่าก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำและถังพักน้ำ 69,679 ล้านบาท (78%)
  • ค่างานปรับปรุงลำน้ำยวมและห้วยแม่งูด 238 ล้านบาท (0.3%)
  • ค่างานถนนและสะพาน 471 ล้านบาท (0.5%)
  • ค่างานจัดหาและติดตั้งระบบไฟฟ้า-เครื่องกล 12,250 ล้านบาท (15%)
  • ค่างานระบบควบคุม 530 ล้านบาท (0.6%) 

 

โครงการผันน้ำยวม

 

สามารถใช้แนวทางการแก้ปัญหาอื่นแทนโครงการผันแม่น้ำยวมได้หรือไม่ 

จากการคาดการณ์ปริมาณความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นในอนาคต การขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จำเป็นต้องมีการดำเนินการกำหนดแผนการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างจริงจัง

 

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ การบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำ และการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก สามารถลดปัญหาการขาดแคลนน้ำได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น 

 

ส่วนมาตรการใช้สิ่งก่อสร้างอื่น เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางเพิ่มเติม ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการหาแนวทางอื่นที่มีผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อย มีความเหมาะสมในการพัฒนา ได้แก่ การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยนำน้ำจากภายนอกลุ่มน้ำมาใช้ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการพัฒนาโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล มีค่าลงทุนสูง เพื่อเป็นการลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ จึงมีแนวคิดที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนและดำเนินงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ 

 

ปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนภูมิพลที่ไม่เพียงพอในปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างไร 

ตลอด 25 ปีที่กรมชลประทานเก็บข้อมูลระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลตั้งแต่ปี 2534-2558 พบว่า มีระดับน้ำเต็มอ่างเก็บน้ำเพียง 3 ปีเท่านั้น คือ ปี 2545, 2549 และ 2554 ส่วนปีอื่นๆ มีปริมาณน้ำไม่เต็มอ่าง

 

ปัจจุบันเขื่อนภูมิพลมีความจุใช้งาน 9,662 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่กลับมีปริมาณน้ำท่าที่ไหลเข้าอ่างเฉลี่ยปีละ 5,626 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น

 

นอกจากนี้การเติบโตของเมืองในพื้นที่ต้นน้ำของอ่าง ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำด้านเหนือน้ำของอ่างเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าอ่างลดลง 

 

ขณะเดียวกันบริเวณท้ายเขื่อนภูมิพลในลุ่มน้ำปิงตอนล่างและลุ่มน้ำเจ้าพระยากลับมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำปิงตอนล่างและลุ่มน้ำเจ้าพระยามีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในระยะยาว 

 

โครงการผันน้ำยวม

 

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 

โครงการนี้สามารถสร้างประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกมากมาย ได้แก่ 

  1. การเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรในฤดูแล้งจำนวนกว่า 1.6 ล้านไร่ แบ่งเป็น กำแพงเพชร 286,782 ไร่ และเจ้าพระยาใหญ่ 1,323,244 ไร่ 
  2. การผลักดันน้ำเค็มในช่วงฤดูแล้ง ลดค่าใช้จ่ายการแก้ปัญหาในน้ำเค็ม 
  3. เพิ่มการผลิตพลังงานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลเฉลี่ย 417 ล้านหน่วยต่อปี และผลิตพลังงานไฟฟ้าท้ายเขื่อนน้ำยวมได้เพิ่มขึ้น 46.02 ล้านหน่วยต่อปี
  4. สร้างอาชีพการทําประมงในอ่างเก็บน้ำ มีการเพาะพันธุ์ปลาและปล่อยปลาให้ประชาชนในพื้นที่จับปลาไปบริโภคและสร้างรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยมีพื้นที่ประมาณ 2,075 ไร่ สามารถกักเก็บน้ำได้ตลอดปี 
  5. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ขยายระยะเวลาการท่องเที่ยวในพื้นที่ทะเลสาบดอยเต่า ซึ่งปัจจุบันสามารถประกอบกิจการแพท่องเที่ยวเฉพาะในเดือนที่มีน้ำเท่านั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-มกราคม แต่เมื่อมีการผันน้ำจะส่งผลให้สามารถประกอบกิจการได้ตลอดทั้งปี

 

ขณะที่บริเวณเขื่อนน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจทั้งในส่วนของชุมชนและนักท่องเที่ยว

 

ศึกษาผลกระทบก่อนดำเนินโครงการอย่างไร  

ตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 – ตุลาคม 2561 กรมชลประทานลงพื้นที่เพื่อการศึกษาทบทวนการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล พบว่า การผันน้ำด้วยอุโมงค์ส่งน้ำจากลำน้ำยวม ซึ่งเป็นสายน้ำในประเทศที่ไหลลงแม่น้ำเมย ก่อนไหลออกสู่แม่น้ำสาละวินที่ประเทศเมียนมา โดยที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร และสามารถนำกลับมาเติมน้ำให้อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลได้ถึงปีละ 1,795 ล้านลูกบาศก์เมตร นั้นเป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมที่สุดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำท้ายน้ำ รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในการรักษาระบบนิเวศ จึงได้เสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้กับคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา

 

รายงานดังกล่าวได้ดำเนินการตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมครอบคลุมทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ, ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ, คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต โดยครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้ไร้สัญชาติ และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ โดยสอดคล้องตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ และแนวทางต่างๆ ที่กำหนด

 

ที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขรายงาน EIA ตามข้อพิจารณาและชี้แจงเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA จำนวน 4 ครั้ง ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 และได้ผ่านความเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 ซึ่งมีรายละเอียดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และประชาชน ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ได้กำหนดให้มีมาตรการป้องกันลดผลกระทบฯ ด้านต่างๆ ตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และประชาชน รวมถึงการพัฒนาด้านต่างๆ ให้แก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำและอยู่ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ หรือประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง 

 

ซึ่งจะเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น กรณีค่าทดแทนทรัพย์สินที่ถูกเขตโครงการ จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาจ่ายเงินค่าทดแทนทรัพย์สินอย่างเป็นธรรมต่อไป

 

แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ผู้ที่ได้รับผลกระทบรัฐบาลได้มีมาตรการชดเชยอย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะดำเนินการทันทีเมื่อเริ่มเปิดโครงการ ทั้งเรื่องเงินเยียวยาและการส่งเสริมกลุ่มเป้าหมายคนในชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและกลุ่มผู้เสียเปรียบในสังคม ให้ได้รับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานและได้รับการพัฒนาศักยภาพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างเสมอภาค และไม่เลือกปฏิบัติตามแนวทางสันติวิธีหลักมนุษยธรรม หลักสิทธิมนุษยชน และความมั่นคงของมนุษย์  

 

โครงการผันน้ำยวม


แนวทางการรับมือเรื่องผลกระทบด้านป่าไม้และระบบนิเวศ

ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ได้มีการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่าทดแทนป่าไม้ที่สูญเสียไปอย่างน้อย 2 เท่า และกำหนดให้จัดตั้งสถานีเพาะพันธุ์ปลา เพื่อนำไปปล่อยคืนสู่ลำน้ำยวม ทั้งในบริเวณเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน และมีการออกแบบอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ปลาเข้าใกล้สถานีสูบน้ำ เพื่อไม่ให้ปลาหลุดเข้าไปในอุโมงค์ส่งน้ำ

 

ส่วนผลกระทบระหว่างการก่อสร้าง ได้มีการกำหนดพื้นที่ทิ้งวัสดุขุดให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และมีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยพื้นที่จัดการวัสดุต้องไม่อยู่ในพื้นที่ชั้นคุณภาพชั้น 1A และ 1B ห่างจากลำน้ำสายหลักและห่างจากชุมชน

 

ความคืบหน้าของโครงการขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติเปิดโครงการ เชื่อว่าจะใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะได้ข้อตกลงที่ลงตัวกับทุกฝ่าย เพราะนี่คือเมกะโปรเจกต์ที่ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลและเกี่ยวข้องโดยตรงกับประชาชนคนไทยที่อยู่ในพื้นที่การก่อสร้าง รวมถึงประชาชนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำที่ผันมาทั้งด้านการเกษตรและอุปโภคบริโภคในลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด



หลังจากข้อตกลงเสร็จสิ้น นับจากวันที่เครื่องจักรเริ่มเดินเครื่องไปอีก 6 ปี การก่อสร้างโครงการผันน้ำยวมจึงจะแล้วเสร็จ 

The post สรุป 10 ข้อเท็จจริง ‘โครงการผันน้ำยวม’ ทำไมถึงควรสร้าง [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลประโยชน์จาก ‘โครงการผันน้ำยวม’ ใครคือผู้ได้รับ? [PR NEWS] https://thestandard.co/nam-yuam-water-diversion-project/ Wed, 22 Mar 2023 08:30:54 +0000 https://thestandard.co/?p=764989

ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม น้ำหลาก ในพื้นที่จังหวัดลุ่มแม่น้ำ […]

The post ผลประโยชน์จาก ‘โครงการผันน้ำยวม’ ใครคือผู้ได้รับ? [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม น้ำหลาก ในพื้นที่จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ว่ากรมชลประทานจะมีมาตรการบริหารจัดการน้ำและเตรียมความพร้อมรับมือภัยแล้งทั้งการใช้ระบบชลประทานอย่างเต็มศักยภาพ การจัดสรรน้ำทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ไปจนถึงให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องจักร เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ 

 

แต่ดูเหมือนว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดสรรน้ำยังเกิดจากปริมาณน้ำต้นทุนไม่พอเพียง ปริมาณน้ำต้นทุนทั้งประเทศ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 รวมทั้งสิ้น 64,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) มากกว่าปี 2564 กว่า 5,495 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มเจ้าพระยาที่ใช้น้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 20,770 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าปี 2564 กว่า 6,330 ล้าน ลบ.ม. ด้านลุ่มแม่กลอง ใช้น้ำต้นทุนจาก 2 เขื่อนหลัก (เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 22,000 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าปี 2564 กว่า 1,349 ล้าน ลบ.ม. 

 

สวนส้มเฮียประทีบ บ้านหนองนกชุม ตำบลทุ่งทราย อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร

 

ปริมาณน้ำต้นทุนที่ดูเหมือนจะสามารถจัดสรรได้อย่างพอเพียง ยิ่งทำให้ข้อถกเถียงถึงความจำเป็นในการผลักดันโครงการผันน้ำยวม ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ที่ทางกรมชลประทานให้เหตุผลว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและจะทำให้เกษตรกรภาคกลางมีน้ำกินน้ำใช้อย่างมั่นคง 

 

คำถามที่ตามมาคือ หากกรมชลประทานสามารถบริหารจัดการน้ำต้นทุนได้ดีขึ้น โครงการผันน้ำยวมยังจำเป็นอยู่หรือไม่? หรือหากจำเป็นจริงจังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดจะได้รับประโยชน์จริงอย่างที่กล่าวไปหรือเปล่า 

 

THE STANDARD ลงพื้นที่บ้านหนองนกชุม ตำบลทุ่งทราย อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร พูดคุยกับ สมศรี นามสง่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 หนองนกชุม ถึงแนวทางการรับมือภัยแล้งของพี่น้องเกษตรกร จังหวัดกำแพงเพชร พบว่า เดิมทีพื้นที่ตรงนี้สามารถทำนาได้เพียงปีละครั้ง จนกระทั่งปี 2545 กรมชลประทานเข้ามาช่วยเหลือในการบริหารจัดการน้ำ ทำให้บางปีสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง  

 

สมศรี นามสง่า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 หนองนกชุม

 

“แทบจะนับปีได้ที่น้ำจะพอเพียง บางปีน้ำแล้ง เขาก็แจ้งมาแล้วว่าจะไม่ส่งน้ำมาทำนานะ แต่จะส่งเฉพาะรักษาระบบนิเวศ ชาวบ้านก็ต้องเข้าใจ เราทำอะไรไม่ได้ น้ำมันไม่มี” 

 

แม้ว่าในจังหวัดกำแพงเพชร กรมชลประทานจะเข้ามาช่วยบริหารจัดการน้ำได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่การเกษตรกว่า 750,000 ไร่ ก็เป็นเพียงส่วนน้อย เพราะระยะเวลาของช่วงที่ขาดแคลนน้ำมากกว่า และส่งผลกระทบต่อเนื่องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและชาวบ้านในพื้นที่ 

 

“เกษตรกรในจังหวัดก็ต้องปรับตัว เปลี่ยนวิธีการปลูกพืชไร่ใหม่ มาทำไร่นาผสมผสาน ปลูกพืชน้ำน้อยแทน หันมาปลูกข้าวโพด ถั่วเขียวกันไป ยิ่งปีไหนเขื่อนภูมิพลน้ำไม่เต็มก็ได้รับผลกระทบมากเพราะเขาจำกัดน้ำ ทุกวันนี้ต้องดูปริมาณน้ำในเขื่อนด้วย ถ้าเห็นแล้วว่าน้ำน้อยเกษตรกรก็ต้องวางแผนให้รอบคอบว่าปีนั้นจะปลูกพืชอะไร อย่างตอนปี 2562 เจอวิกฤตน้ำแล้งเข้าไปด้วย เกษตรกรก็ขาดน้ำทำมาหากิน เกิดการประท้วงขอน้ำจากกรมชลประทาน ตั้งแต่พิจิตร นครสวรรค์ ขึ้นมาเรียกร้องขอน้ำจากกำแพงเพชร เพราะกรมชลฯ ผันน้ำออกไปแต่ก็ยังไม่ถึงทุกพื้นที่ เพราะน้ำมันน้อย ทำอย่างไรก็ไม่พอเพียง” 

 

 

ในฐานะตัวแทนหมู่บ้านที่เห็นพี่น้องเกษตรกรต้องปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตรอดจากรายได้ที่ไม่พอเพียง ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า โครงการผันน้ำยวม เป็นเหมือนความหวังเล็กๆ ของคนในจังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 

 

“ได้ยินโครงการนี้มานานมากๆ ถามคนพื้นที่นี้ก็ต้องอยากให้เกิดขึ้น ผมติดตามข่าวทุกปีว่าจะอนุมัติสร้างได้หรือไม่ ถ้าทำได้จริงก็จะเป็นผลดีกับพี่น้องเกษตรกรลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีน้ำมาเติมในเขื่อนภูมิพล 1,700-2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ขอแค่เขื่อนภูมิพลมีน้ำแค่ 80% พี่น้องเกษตรกรลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะได้กลับมามีพื้นที่ทำกินกันแล้ว พิจิตร นครสวรรค์ พิษณุโลก และกำแพงเพชรจะได้ประโยชน์ร่วมกัน และสามารถร่วมบริหารจัดการใช้น้ำได้ ถ้าน้ำมันเพียงพอนะ แต่น้ำไม่พอบริหารจัดการอย่างไรก็ต้องมีพื้นที่ที่ไม่ได้รับน้ำ” 

 

สวนส้มเฮียประทีบ บ้านหนองนกชุม ตำบลทุ่งทราย อำเภอทรายทองวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร

 

ผู้ใหญ่บ้านยังบอกด้วยว่า ผลดีไม่ใช่แค่กับเกษตรกรเท่านั้น แต่จะเกิดการจ้างงานในชุมชนและจังหวัดโดยรอบ และก็เห็นใจคนที่ได้รับผลกระทบ เชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขและเยียวยาได้อย่างเหมาะสม 

 

“ก็เห็นใจพี่น้องชาวไทยทุกคนเหมือนๆ กัน แต่พูดกันตามตรงคนที่จะได้รับผลประโยชน์ก็อยากให้โครงการนี้เกิดขึ้น เชื่อว่าคนกำแพงเพชรก็คิดเหมือนกัน” เสียงสะท้อนเล็กๆ จากใจคนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่หวังเพียงว่า น้ำที่พอเพียงและทั่วถึงจะทำให้พี่น้องจังหวัดกำแพงเพชรสามารถทำมาหากินบนพื้นดินของตัวเองได้อีกครั้ง

The post ผลประโยชน์จาก ‘โครงการผันน้ำยวม’ ใครคือผู้ได้รับ? [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟังเสียง ‘เกษตรกร’ คนลุ่มเจ้าพระยา ‘ถ้าน้ำไม่มี พื้นดินก็ไร้คุณค่า’ [PR NEWS] https://thestandard.co/voice-of-the-farmers-of-chao-phraya/ Tue, 21 Mar 2023 08:00:28 +0000 https://thestandard.co/?p=765018

จนถึงตอนนี้ข้อกังขาของโครงการผันน้ำยวม หรือชื่อที่เป็นท […]

The post ฟังเสียง ‘เกษตรกร’ คนลุ่มเจ้าพระยา ‘ถ้าน้ำไม่มี พื้นดินก็ไร้คุณค่า’ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>

จนถึงตอนนี้ข้อกังขาของโครงการผันน้ำยวม หรือชื่อที่เป็นทางการว่า ‘โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล’ บนพื้นที่แนวเขตป่ารอยต่อ 3 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก และจังหวัดเชียงใหม่ ถึงความ ‘คุ้มได้’ หรือ ‘ไม่คุ้มเสีย’ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน 

 

ผลกระทบด่านแรกคือคนต้นน้ำ จำนวนคร่าวๆ ของชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบกว่า 46 หมู่บ้านในเขตป่า 3 จังหวัดคือ แม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ ยังไม่นับรวมพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัดใกล้เคียง จากการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยวมความสูง 69 เมตร ในอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 2,075 ไร่ สถานีสูบน้ำบ้านสบเงาและอาคารประกอบ อุโมงค์คอนกรีต ความยาว 61 กิโลเมตร เจาะผ่านผืนป่าต้นน้ำรอยต่อ 3 จังหวัด จุดกองดินที่ขุดขึ้นจากอุโมงค์ 6 จุด และพื้นที่ปากอุโมงค์บริเวณบ้านแม่งูด ตำบลนาคอเรือ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

 

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้คือ พื้นที่ป่า 3,641.78 ไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ (Zone C) 2,735.06 ไร่ ป่าเพื่อการเศรษฐกิจ (Zone E) 899.65 ไร่ ป่ากันออกจากพื้นที่ของรัฐที่อยู่ในเขตป่าแต่ราษฎรใช้ที่ดินทำกินได้ (Zone N) 4.28 ไร่ และป่าที่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรม (Zone A) 2.79 ไร่ ทั้งหมดนี้คือตัวเลขที่เผยในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ (Environmental Impact Assessment: EIA) ปี 2564  

 

นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศของสัตว์น้ำ สัตว์ป่า เมื่อเทียบกับงบประมาณ ค่าใช้จ่ายโครงการ งานดำเนินงาน บำรุงรักษา และค่าลงทุนจะสูงถึง 1.7 แสนล้านบาท อาจยังสรุปไม่ได้ว่าสิ่งที่ได้จะคุ้มเสียหรือเปล่า  

 

 

แต่หากย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของแนวคิดโครงการผันน้ำยวม มีวัตถุประสงค์ที่จะผันน้ำจากแม่น้ำยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปเติมเข้าเขื่อนภูมิพลให้คนภาคกลางมีน้ำใช้ เหตุผลเพราะจังหวัดตามแนวลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นที่ทางการเกษตร ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมาโดยตลอด ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลมีเพียง 40% ซึ่งเก็บได้ 13,500 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ยังขาดอีก 8,000 กว่าล้าน ลบ.ม.

 

แม้ว่าปัญหาขาดแคลนน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะเกิดจากเขื่อนหลัก ไม่ว่าจะเป็น เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมถึงเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ แต่จากการศึกษาโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่า แนวส่งน้ำที่มีความเหมาะสมในการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล คือแนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล

 

ข้อมูลจากเอกสารกรมชลประทานระบุว่า โครงการนี้จะเติมน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรในฤดูแล้ง จำนวนกว่า 1.6 ล้านไร่ เพิ่มพลังงานการผลิตไฟฟ้าให้เขื่อนภูมิพล เฉลี่ย 417 ล้านหน่วยต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำประปา การประมงในเขื่อนและการท่องเที่ยว 

 

THE STANDARD ลงพื้นที่จังหวัดชัยนาท สำรวจความคิดเห็นของเกษตรกรและกลุ่มชาวนา เพื่อฟังเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่ถึงผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำและสิ่งที่พวกเขา ‘หวัง’ ว่าจะได้รับประโยชน์หากโครงการผันน้ำยวมแล้วเสร็จ  

 

 

ประทีป พรหมแจ้ง ประธานสภาสมาชิกเทศบาลตำบลห้วยกรดพัฒนา จังหวัดชัยนาท เล่าว่า พื้นที่ตรงนี้ชาวบ้านทำนาเป็นหลัก ฤดูนาปีไม่ค่อยมีปัญหา แต่นาปรังเมื่อไรน้ำแล้งทันที 

 

“พื้นที่ของผมเป็นพื้นที่ขั้นบันได เวลาน้ำจากกรมชลประทานปล่อยมา เราเป็นพื้นที่ปลายทางไม่ค่อยได้รับน้ำเท่าไร ส่วนมากต้องใช้น้ำเดรน ให้มันเอ่อแล้วก็มาวิดใส่นา แก้ปัญหากันแบบนี้ตลอด แต่ถ้าช่วงไหนเขื่อนภูมิพลน้ำไม่พอ อย่างปีที่แล้วต้องขอให้กรมชลประทานช่วยเอาเครื่องวิดน้ำ 3 เครื่องไปวิดน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาใส่คลองระยะทาง 18 กิโลเมตร เพื่อให้ชาวนาพอจะมีน้ำใช้ช่วงนาปรัง”

 

พจน์ คุ้มศรี สมาชิกเทศบาลตำบลห้วยกรดพัฒนา จังหวัดชัยนาท เล่าเสริมว่า “แต่ก่อนชาวนาถ้าไม่มีน้ำต้องต่อบ่อบาดาล ราคาอยู่ที่ 10,000-30,000 บาท บางทีขุดบ่อน้ำก็ไม่มี พอดีว่าพื้นที่ของเรามันเหมาะจะทำเป็นที่เก็บน้ำ ตอนนี้ก็ได้หน่วยงานของชลประทานมาช่วยดูแล สามารถผันน้ำได้โดยที่ชาวบ้านไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย ก็เข้าใจนะที่เขื่อนภูมิพลปล่อยน้ำมาไม่ได้เพราะน้ำต้นทุนน้อย พวกเราก็ต้องแก้ปัญหากันเอาเอง” 

 

ดำเนิน รุ่งศรี เกษตรกร อดีตสมาชิกเทศบาลตำบลห้วยกรดพัฒนา จังหวัดชัยนาท บอกว่า “ทุกปีพอหมดฤดูฝนจะเข้าฤดูหนาว น้ำในคลองจะแห้ง เคยแห้งนานเกือบครึ่งปี ช่วงหลังๆ ยิ่งแย่ นึกจะแล้งช่วงไหนก็แล้ง พออากาศแปรปรวน นากำลังออกรวงเจอฝนมาก็ไปหมดเลย เอาแน่เอานอนไม่ได้” 

 

 

จักรรินทร์ คุ้มชะนะ เจ้าของสวนส้มโอลุงผ่อนจักรรินทร์ จังหวัดชัยนาท เล่าว่า ครอบครัวของเขาทำสวนส้มโอมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ทำสวนทำไร่สมัยก่อนไม่มีปัญหาเลยเพราะน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ช่วงหลังๆ น้ำไม่สมบูรณ์ ดินไม่ดี และเริ่มมีโรคแมลงเข้ามาทำลายผลผลิต ทำให้แต่ละปีผลผลิตน้อยลง 

 

“ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมาหลายปีแล้ว สมัยก่อนคลองชลประทานน้ำไม่เคยขาด เริ่มท้อเหมือนกัน ปุ๋ยก็แพง ยาก็แพง ราคาส้มโอก็ตก และถ้าน้ำไม่พอ ส้มโอก็ไม่ติด ผลก็ร่วงเสียหาย ช่วงไหนน้ำแล้งก็ต้องไปสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ แต่มันก็ได้ไม่เท่าไร แค่รดประทังไม่ให้มันตาย ปีไหนแล้งมากๆ เกษตรกรบางคนที่เคยทำไร่ ทำสวน ผลผลิตไม่ดี เขาก็ทำต่อไม่ได้ ก็ต้องเลิกทำ เมื่อก่อนพอหมดหน้านาก็ยังทำสวน ทำไร่ หารายได้เสริม ตอนนี้จะทำอะไรก็ติดขัด” 

 

 

จากการพูดคุยยังพบว่า ทุกวันนี้เกษตรกรจังหวัดชัยนาทที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำนา ทำเกษตร ต้องสูบน้ำบาดาลจากบ่อบาดาล บางรายต้องใช้เวลา 2 วัน กว่าจะได้ปริมาณน้ำที่ต้องการ ตามมาด้วยค่าไฟ ค่าน้ำมัน แม้จะมีหน่วยงานอย่างกรมชลประทานเข้ามาช่วยแก้ปัญหา สูบน้ำจากคลองมาไว้ให้เกษตรกรใช้น้ำต่อ แต่ช่วงแล้งจัด ไม่มีน้ำในคลองก็ชาวบ้านก็ต้องสูบน้ำบาดาลมาใช้แก้ปัญหา 

 

เมื่อถามว่า หากปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลเพิ่มขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ปริมาณน้ำที่มาถึงจังหวัดชัยนาทก็จะเพิ่มมากขึ้น จักรรินทร์บอกว่า “ถ้าน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ชาวนา ชาวไร่ คนชัยนาทจะได้ประโยชน์มากๆ พืชสวนนาไร่ก็สมบูรณ์ ทุกคนดึงน้ำมาใช้ได้เต็มที่”



“ถามชาวไร่ ชาวนา คนชัยนาท ก็ต้องเป็นผลดีแน่นอน ยิ่งน้ำมากการเพาะปลูกก็ให้ผลผลิตดีขึ้น ตอนนี้บางพื้นที่แค่ระยะทางห่างกันครึ่งกิโลเมตร น้ำไปไม่ถึง ถ้าน้ำมากขึ้นก็สามารถจัดสรรน้ำให้ทุกคนได้อย่างเท่าเทียม ทุกวันนี้เราก็ช่วยกันส่งน้ำให้ทั่วถึง” พจน์กล่าวเสริม 

 

ประทีปบอกว่า “อยากให้คิดไปถึงลูกหลาน ผมว่าอีก 9 ปี ถ้าโครงการนี้สำเร็จ ลูกหลานเกษตรกรก็ไม่ต้องประสบปัญหาแล้งน้ำเหมือนรุ่นเรา ปีไหนน้ำแล้ง ข้าวไม่ดี สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ดี” 

 

ดำเนินก็บอกว่าตัวเขาเห็นด้วยกับโครงการผันน้ำยวม และคิดว่าคนชัยนาทก็ได้ประโยชน์เยอะ “ถ้าน้ำไม่แห้งคลอง ตามห้วย ตามหนองที่ยังเหลือน้ำ พ่อแม่ปลายังอยู่ วางไข่ได้ ก็จะขยายพันธุ์ไปได้อีก ก็ทำให้ชาวบ้านหากินคล่องขึ้น ช่วงทำนาก็ไม่ขาดฤดู ถ้าสร้างเขื่อนเสร็จ คิดว่าน้ำน่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า ปีไหนฝนเหนือเยอะน้ำก็มาก”  

 

“เสียงคัดค้านมันเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียผลประโยชน์ แต่ถ้าโครงการนี้ทำได้จริงก็น่าจะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรในจังหวัดภาคกลางตอนล่าง” จักรรินทร์กล่าว 

 

“เราก็เห็นใจพี่น้องที่ได้รับผลกระทบเหมือนกัน แต่คิดว่ารัฐบาลก็ควรจะมีการเยียวยาหรือชดเชยที่ชัดเจนให้กับเขาด้วย บางคนที่เขาคัดค้านเพราะเขาต้องย้ายถิ่น เขาเสียที่ทำกินก็ต้องชดเชยให้เขาส่วนนี้ แต่ถ้าพูดกันถึงผลประโยชน์ที่เกษตรกรภาคกลางจะได้รับ ผมเป็นชาวนาในพื้นที่ก็อยากให้มันเกิดขึ้น” พจน์กล่าว 

 

อย่างไรก็ดี คงไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ‘ไม่คุ้มเสีย’ หรือ ‘คุ้มได้’ เพราะนี่ก็เป็นเพียงเสียงเล็กๆ ของเกษตรกรและชาวนาจังหวัดชัยนาท ที่บอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญและความในใจหากวันหนึ่งพื้นที่ทำกินของพวกเขาจะกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

The post ฟังเสียง ‘เกษตรกร’ คนลุ่มเจ้าพระยา ‘ถ้าน้ำไม่มี พื้นดินก็ไร้คุณค่า’ [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนเหนือเขื่อน กับชีวิตที่ถูกลืม https://thestandard.co/karen-tak-province/ Thu, 22 Aug 2019 12:12:40 +0000 https://thestandard.co/?p=280917 ชุมชนกะเหรี่ยง

เมื่อประมาณช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนซึ่งเป […]

The post คนเหนือเขื่อน กับชีวิตที่ถูกลืม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชุมชนกะเหรี่ยง

เมื่อประมาณช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนซึ่งเป็นหนึ่งในทีมผู้ช่วยวิจัยพลวัตชุมชนกะเหรี่ยง โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ซึ่งมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิเชฐ สายพันธ์ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ได้ไปลงพื้นที่ทำวิจัยที่ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่รับผิดชอบของโครงการ

 

การเดินทางไปในพื้นที่มีความลำบากพอสมควร เนื่องด้วยไม่สามารถเดินทางโดยใช้ถนนในช่วงฤดูฝน และโดยปกติชาวบ้านก็ไม่นิยมเดินทางด้วยวิธีนั้น เนื่องจากถนนที่เข้าถึงชุมชนยังคงเป็นถนนลูกรังและคดเคี้ยวไปตามแนวเขาสูงที่กั้นระหว่างเขต อำเภอสามเงา กับอำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง ดังนั้นการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้กันเป็นประจำคือ จะต้องเดินทางโดยเรือข้ามเขื่อนภูมิพลไป โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที (ในช่วงน้ำแล้ง) ไปถึงพื้นที่บ้านสันป่าป๋วย ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา และต้องนั่งรถในพื้นที่ต่อเข้าไปอีกกว่า 3 ชั่วโมงเพื่อจะเข้าไปถึงพื้นที่ชุมชน ทั้งที่เป็นชุมชนชาวกะเหรี่ยงและชุมชนคนเมือง (คนเหนือ)

 

ชุมชนกะเหรี่ยง

 

นอกเหนือไปจากโครงการวิจัยที่เรารับผิดชอบแล้ว จุดที่น่าสนใจของที่นี่คือ พื้นที่เขต ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ที่มีชุมชนคนเมืองจำนวนหนึ่งที่ต้องอพยพหนีน้ำท่วม อันเป็นผลจากการสร้างเขื่อนยันฮี หรือชื่อที่รู้จักกันดีในทุกวันนี้คือเขื่อนภูมิพล ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2500 อันเป็นช่วงเวลาที่พอดีกับที่ทีมของเราได้เดินทางไปในพื้นที่ ซึ่งเป็นช่วงเดือนครบรอบ 62 ปีของการเริ่มสร้างเขื่อนและพระราชทานชื่อเขื่อน

 

เขื่อนภูมิพล หรือเขื่อนยันฮี เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่ 1 โดยได้มีการดำเนินการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 

 

ชีวิต น้ำตา ครอบครัวคนเหนือเขื่อน

เขื่อนยันฮีมีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งอเนกประสงค์เพียงแห่งเดียวของประเทศไทยและอุษาคเนย์ และเป็นลำดับ 8 ของโลก โดยสร้างปิดกั้นลำน้ำแม่ปิง บริเวณช่องเขายันฮี อำเภอสามเงา จังหวัดตาก 

 

วัตถุประสงค์หลักๆ ของโครงการสร้างเขื่อนคือ 1. เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า โดยเขื่อนแห่งนี้ได้ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 420,000 กิโลวัตต์ จ่ายผลิตงานไฟฟ้าไปกว่า 36 จังหวัด และ 2. เพื่อการจัดการชลประทานแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยได้กล่าวถึงความสำเร็จด้านชลประทานในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 2 ว่าสามารถแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้มากถึง 1.9 ล้านไร่ในปี 2504 และ 11.7 ล้านไร่ในปี 2509

 

แต่อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์ต่างๆ ของการสร้างเขื่อนนี้คงเป็นเพียงวาทกรรมการพัฒนา เพื่อแก้ปัญหาและเพื่อสนองความสุขของคนกรุงและคนใต้เขื่อนเสียมากกว่า แต่อีกด้านต้องแลกกับชีวิต น้ำตา ครอบครัว และความเป็นอยู่ของคนจำนวนมากที่อยู่เหนือเขื่อน

 

ชุมชนกะเหรี่ยง

 

นอกจากกลุ่มชาวบ้านที่หนีแยกย้ายแตกกันออกไปคนละพื้นที่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังคงเหลือชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่เดิม หมู่บ้านที่ผู้เขียนได้ไปพักและได้ไปพูดคุยกับชาวบ้านคือ บ้านอูมวาบ ม.1 ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (ผู้เขียนได้ไปค้างที่สถานีอนามัยชุมชนที่นั่น 1 คืน) หมู่บ้านนี้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ชาวบ้านไม่ยอมหนีออกไปนอกพื้นที่ และได้ย้ายมาตั้งหมู่บ้านใหม่ที่เชิงเขาเหนือน้ำเขื่อน แต่ยังใช้ชื่อของหมู่บ้านเดิมในการตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ คือบ้านอูมวาบ ชื่อนี้มาจากปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านมักเล่ากันว่า แถบเขาบริเวณใกล้หมู่บ้านมักจะปรากฏดวงไว้สีขาวสุกใสมีแสงวูบวาบๆ ลอยออกมาประจำในวันพระวันศีล จึงได้นำเอาปรากฏการณ์ตามความเชื่อมาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านคือ ‘อูมวาบ’ อันเป็นการเลียนลักษณะของดวงแสงที่ปรากฏ

 

ผ่านมาแล้ว 62 ปี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้เขียนพบเห็นคือ ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐ ไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ เลย แม้แต่ไฟฟ้ายังไม่มีใช้ แถมยังโดนตัดขาดจากโลกภายนอกอีก เพราะมีน้ำเขื่อนมากั้นไว้ 

 

คุณตาท่านหนึ่งอายุ 75 ปี หนีน้ำท่วมมาตอนอายุประมาณ 15-16 ปี เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นที่หมู่บ้านจะให้ไปอยู่ที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง แต่ก็ไม่มีใครไป เพราะพ่อแม่ปู่ยาตายายก็ห่วงที่ไร่ที่นา ไม่อยากจากพื้นที่ไปไหน เราเป็นเด็กอยู่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ ตอนแรกๆ หมู่บ้านที่มาตั้งมีคนเยอะ 300 กว่าหลังคาเรือน แต่ทุกวันนี้เหลือไม่ถึง 20 หลังคาเรือน เพราะลำบาก ทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ ลูกหลานก็ออกไปทำงานต่างจังหวัด ไปอยู่เชียงใหม่ ไปอยู่กรุงเทพฯ กันบ้าง ทุกวันนี้ไฟฟ้าก็ยังไม่มีใช้ จะเข้าไปในเมืองก็ลำบาก เวลาป่วยหรือไม่สบายเพราะต้องนั่งเรือข้ามเขื่อนออกไป สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี บางครั้งมีญาติพี่น้องบางคนเสีย กว่าลูกหลานที่ออกไปทำงานต่างจังหวัดจะรู้บางทีเผาไปแล้วเป็นปีก็มี

 

ชุมชนกะเหรี่ยง

 

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้เขียนได้กับคุยยายคนหนึ่งอายุ 85 ปี แกหนีน้ำท่วมมาตอนอายุประมาณ 33 ปี (นับจากอายุลูกสาวคนเล็ก เพราะปีน้ำท่วมแกคลอดลูกสาวคนนี้พอดี) คุณยายสนทนากับผู้เขียนด้วยน้ำเสียงติดตลกแต่สะท้อนความน้อยเนื้อต่ำใจ สรุปความได้ประมาณว่า เขาว่าสร้างเขื่อนจะทำไฟฟ้า แต่จนทุกวันนี้บ้านนี้ก็ยังไม่เห็นมีไฟฟ้าใช้กับเขาสักที 

 

“…เอาไร่เอานาของเราไปทำเขื่อนแท้ๆ…” 

 

“…เราก็อยากหุงข้าวด้วยหม้อหุงไฟฟ้าบ้าง…” 

 

พอคุณยายบอกกับผู้เขียนเช่นนี้ ผู้เขียนจึงถามต่อไปว่า ถ้ามันลำบากขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นถึงไม่ย้ายออกไปข้างนอกที่รัฐเขาจัดสรรที่ไว้ให้ คุณยายตอบด้วยเหตุผลหลักๆ ก็คือ ห่วงไร่ห่วงนา ไปแล้วจะไปทำมาหากินอะไร เพราะเขาให้ครอบครัวละ 1 ไร่ ถ้าย้ายก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร ไร่นาก็อยู่ที่นี่หมด ไม่พอให้ไปอยู่ใต้เขื่อนเราก็กลัวเขื่อนมันจะแตก เราก็จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ทำมาหากินตามเท่าที่มี เมื่อก่อนจากที่เคยทำนาข้าว ก็ต้องมาทำข้าวไร่ บางครอบครัวก็ทำแพปลา ไม่ได้อยู่บ้านอยู่เรือน ทุกวันนี้ข้าวของตัวเองยังไม่มีกิน ต้องซื้อข้าวกินเอาด้วยซ้ำ

ชุมชนกะเหรี่ยง

 

ไม่เพียงเท่านั้นในแง่ของสาธารณสุข เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยในพื้นที่ก็มีเพียงสถานีอนามัยชุมชนเพียงแห่งเดียว พี่เจ้าหน้าที่อนามัยที่ดูแลเราตอนไปขอพักที่นั่น เล่าให้ฟังว่า ยากลำบากเหมือนกันเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน มีครั้งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุชาวบ้านในชุมชนโดนใบมีดเครื่องตัดหญ้าตัดเข้าตรงท้อง จนไส้ทะลักออกมา ชาวบ้านก็ทำอะไรกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ขนาดจะฉีดยารักษาโรคเบื้องต้นทั่วไปเขายังไม่สามารถทำได้ ต้องส่งเรื่องไปให้หมอในโรงพยาบาลอำเภออนุมัติด้วย หากเกิดทำอะไรขึ้นมา ชาวบ้านตายเขาก็จะโดนลงโทษอีก ในกรณีอุบัติเหตุเช่นที่เล่านี้ เขาก็ทำได้มากที่สุดก็แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และถือโทรศัพท์วิ่งไปถ่ายรูปแผล แล้วก็วิ่งกลับมาต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่สถานีอนามัย (เพราะมีเสาสัญญาณอยู่ที่เดียว) แล้วส่งรูปไปให้หมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอเพื่อพิจารณาว่าเป็นเหตุฉุกเฉินที่สมควรและคุ้มค่ากับการส่งเฮลิคอปเตอร์มารับผู้ป่วยเข้าไปรักษาในเมืองหรือไม่ 

 

ไม่เพียงเท่านั้น การพิจารณากว่าจะส่งเรื่องอะไรต่อมิอะไรก็มีความล่าช้า ในกรณีที่เกิดขึ้นชาวบ้านจึงพยายามพากันนำผู้ประสบอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาลเอง แต่สุดท้ายก็ไปเสียชีวิตระหว่างทางตอนอยู่บนเรือ

 

ชุมชนกะเหรี่ยง

 

บทเรียนชีวิตคนเหนือเขื่อนที่เห็นกับตา

จากเรื่องราวที่ผู้เขียนได้สัมผัส จากการได้ลงพื้นที่ไปเจอชาวบ้านที่หมู่บ้านเหนือเขื่อน ทำให้เห็นว่า แม้ทุกวันนี้โลกของเราจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน รัฐบาลจะมีโครงการพัฒนามากมาย โลกโซเซียล เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ จะไปไกลแค่ไหน แต่ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นกลับยังคงอยู่ที่เดิมและไม่ได้รับการเหลียวแล หนำซ้ำหากเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ ชีวิตเขากลับถูกประเมินคุณค่าชีวิตด้วยคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าอีกด้วยซ้ำไป 

 

บทความของผู้เขียนฉบับนี้จึงมีเจตนาเพียงอยากช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับชาวบ้าน เพื่อหวังจะให้ใครสักคนได้ยินและกลับไปเหลียวแล และให้ความสำคัญกับเขาเหล่านั้น ผู้เสียสละน้ำตา ครอบครัว ชีวิต เพื่อความสุขสบายของคนกว่าครึ่งค่อนประเทศ

ชุมชนกะเหรี่ยง

 

สุดท้ายผู้เขียนขอนำบทบรรยายถึงหมู่บ้านอูมวาบของ อาจารย์พิเชฐ ผู้เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ที่อาจารย์ได้เขียนลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของอาจารย์ไว้เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นบทบรรยายที่ผมชอบมากๆ มาให้ทุกท่านได้ลองอ่านกันดู ซึ่งถือเป็นบทบรรยายที่สะท้อนปัญหาและสะท้อนอารมณ์ความรู้ของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

 

‘อูมวาบ’ หมู่บ้านที่งามหมดจดราวภาพวาดในเทพนิยาย ล่องลอยอยู่ริมสายน้ำกลางหุบเขาลึกปลายสุดทะเลสาบเขื่อนภูมิพล ทว่าท่ามกลางความงามงด ชะตากรรมผู้คนกลับล่องลอยดุจเรือนแพขึ้นลงตามระดับน้ำในทะเลสาบ ชาวบ้านคือผู้ที่ถูกเคลื่อนย้ายจากลุ่มน้ำเบื้องล่างที่ถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน ซ่อนตัวกลางหุบเขาสูงอันห่างไกลแทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีความสว่างจากไฟฟ้า ทั้งที่กว่า 60 ปีแล้วที่เขื่อนได้สร้างขึ้นแลกกับผืนดินทำกินของพวกเขาเพื่อผลิตกระแสไฟและน้ำชลประทานเลี้ยงคนค่อนประเทศ

 

 

ชุมชนกะเหรี่ยง

ชาวอูมวาบและคนทั้งตำบลยังมีชีวิตอับแสงบนขุนเขาหลังความรุ่งเรืองของเขื่อนยักษ์ ความงามที่เราเห็นจึงเป็นเพียงมายาภาพของการพัฒนาและความโรแมนติกฉาบฉวย ที่ใครบางคนอาจคิดว่าที่นี่เป็นดั่งหมู่บ้านในฝัน หากแต่คนจำนวนมากยังมีชีวิตท่ามกลางฝันร้ายมาชั่วนาตาปี

 

แสงวาบแห่งขุนเขาอันเป็นที่มาของชื่อบ้าน ‘อูมวาบ’ อาจเป็นเพียงแสงวาบแห่งความปรารถนาที่ชาวบ้านวาดหวังว่าสักวันหนึ่ง… ชีวิตของพวกเขาคงได้สว่างงามขึ้นมาบ้างดังวาบฝันที่พวกเขาหวังไว้

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • สัมภาษณ์ พ่อสุภา น้อยเรียน อายุ 75 ปี
  • สัมภาษณ์ แม่วันดี น้อยเรียน อายุ 72 ปี
  • สัมภาษณ์ แม่จั๋นคำ น้อยเรียน อายุ 83 ปี
  • ขอขอบคุณศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนและทีมวิจัยได้เข้ามาสัมผัสและรับรู้ถึงปัญหาชีวิตของคนในพื้นที่
  • พิเชฐ สายพันธ์, บทบรรยายสภาพชีวิตและความทุกข์ยากของชาวบ้านในหมู่บ้านอูมวาบ, ที่มา www.facebook.com/phanpichet.phan
  • สุนทร คำยอด, จาก ‘ซอนํ้าทวม’ ถึง ‘เพลงผาวิ่งชู’ สู ‘ผาซิ่นนํ้าทวม’: การต่อสู้ด้วยภาษาและอุดมการณ์ล้านนานิยม, วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้, ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2558.
  • องอาจ เดชา, เรียนรู้ ‘ฮอด’ ชุมชนเก่าแก่ บทเรียนก่อนและหลังกำเนิดเขื่อนภูมิพล (ตอน 3), ที่มา prachatai.com/journal/2012/03/39849

The post คนเหนือเขื่อน กับชีวิตที่ถูกลืม appeared first on THE STANDARD.

]]>
น้ำใน 11 เขื่อนหลักน่าห่วงแค่ไหนเมื่อเทียบกับปี 2554 https://thestandard.co/thailand-11-main-dam-water-level-compare-2554/ https://thestandard.co/thailand-11-main-dam-water-level-compare-2554/#respond Thu, 02 Aug 2018 11:14:59 +0000 https://thestandard.co/?p=111364

  ภาพประกอบ: Thiencharas.w

The post น้ำใน 11 เขื่อนหลักน่าห่วงแค่ไหนเมื่อเทียบกับปี 2554 appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

ภาพประกอบ: Thiencharas.w

The post น้ำใน 11 เขื่อนหลักน่าห่วงแค่ไหนเมื่อเทียบกับปี 2554 appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/thailand-11-main-dam-water-level-compare-2554/feed/ 0