อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 17 Aug 2025 07:20:32 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 กกพ. หนุนขยายสถานีชาร์จรถ EV ปูทางพลังงานใหม่สู่เป้า 30@30 https://thestandard.co/thai-ev-market-growth/ Mon, 18 Aug 2025 03:00:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1107745 thai-ev-market-growth

ลองหลับตานึกภาพถนนในเมืองไทยอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เสียงเค […]

The post กกพ. หนุนขยายสถานีชาร์จรถ EV ปูทางพลังงานใหม่สู่เป้า 30@30 appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-ev-market-growth

ลองหลับตานึกภาพถนนในเมืองไทยอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เสียงเครื่องยนต์เบนซินที่เคยคุ้นอาจค่อยๆ จางหาย กลายเป็นเสียงเงียบของมอเตอร์ไฟฟ้า รถยนต์ไม่มีท่อไอเสีย ไม่มีควันดำ ไม่มีเสียงดังรบกวน สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นจริงแล้วในประเทศไทย

 

และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “สังคมยานยนต์ไฟฟ้า” ก็ไม่ได้เป็นเพียงภาพในจินตนาการ หากแต่กำลังเกิดขึ้นจริงด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ตัวเลขการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยคือหลักฐานสำคัญที่ชี้ชัดว่า รถไฟฟ้าไม่ใช่แค่ ‘อนาคตที่ใกล้เข้ามา’ แต่คือ ‘ปัจจุบันที่มาไกลเกินคาด’

 

ยานยนต์ไฟฟ้าไทยทะลุ 280,000 คันในปี 2568

 

แค่ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยมีการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้ารวมแล้วกว่า 53,000 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 43,000 คัน ขณะที่ยอดจดทะเบียนตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 96,000 คัน แปลว่าเราใช้เวลาเพียงครึ่งปี ก็สามารถไล่ทันยอดทั้งปีของปีก่อนได้แบบไม่เห็นฝุ่น

 

ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโต

 

หากรวมยอดสะสมตั้งแต่มีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศจนถึงพฤษภาคม 2568 ข้อมูลจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ระบุว่ามีจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในระบบกว่า 280,000 คัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราว 200,000 คัน และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอีกประมาณ 80,000 คัน แต่กระนั้น สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าจำนวน คือ ‘ความเร็ว’ ที่มันเปลี่ยน

 

EV ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรถ แต่คือการเปลี่ยนระบบ

 

หลายคนเข้าใจว่า EV คือการเปลี่ยนจากน้ำมันมาใช้ไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริง มันลึกกว่านั้นมาก เพราะการเติบโตของ EV สะท้อนการเปลี่ยนผ่านทั้งระบบเศรษฐกิจ พลังงาน และพฤติกรรมของคนไทย

 

การใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้แค่ลดค่าน้ำมัน แต่คือการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับโครงสร้าง และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคขนส่ง ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนรายใหญ่ของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

 

มากกว่านั้น EV ยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย จากเดิมที่เรานำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน ปัจจุบันหลายแบรนด์ใหญ่เริ่มย้ายฐานการผลิตมาตั้งในประเทศไทย ทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการพัฒนาอุตสาหกรรม Local Content เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

ข้อมูลจาก EVAT ชี้ชัดว่าไทยมีอัตราการเติบโตของ EV สูงที่สุดในอาเซียน และกำลังเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลกให้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศ

 

4D + 1E พิมพ์เขียวพลังงานใหม่ของไทย

 

เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านที่ดูเป็นธรรมชาติ มีพิมพ์เขียวที่ชัดเจนของภาครัฐอยู่เบื้องหลัง นั่นคือ นโยบาย 4D + 1E ของกระทรวงพลังงาน ที่วางแนวทางให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานแห่งอนาคต

 

  • Digitalization ใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • Decarbonization ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกภาคส่วน
  • Decentralization กระจายการผลิตพลังงานให้หลากหลายและเข้าถึงได้
  • De-regulation ปรับกฎเกณฑ์ให้เอื้อต่อเทคโนโลยีใหม่

 

และที่สำคัญที่สุดในบริบทนี้คือ “Electrification” การเปลี่ยนพลังงานทุกระบบสู่ไฟฟ้าที่สะอาด ยืดหยุ่น และควบคุมได้

 

ภายใต้แนวทางนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย “30@30” หมายถึงการที่ไทยจะต้องมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศอย่างน้อย 30% ของยอดการผลิตรถทั้งหมด ภายในปี 2030 หรืออีกไม่ถึง 5 ปีนับจากนี้

 

กกพ. กับการเปลี่ยนผ่านสู่ EV Charging Infrastructure

 

การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีคนดูแล ‘โครงสร้าง’ ให้มั่นคงและปลอดภัย และนี่คือจุดที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. เข้ามามีบทบาทสำคัญ

 

ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโต

 

หลายคนอาจคุ้นชื่อ กกพ. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องค่าไฟ แต่ในความเป็นจริง กกพ. คือผู้ออกแบบระบบไฟฟ้าสำหรับอนาคต เป็นผู้ที่วางโครงสร้างให้ระบบพลังงานของไทยเดินหน้าอย่างไม่สะดุด โดยเฉพาะในระบบ EV Charging Infrastructure ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. อธิบายว่าปัจจุบัน กกพ. มีหน้าที่หลัก 3 ด้านที่เกี่ยวข้องกับ EV Charging

 

ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโต

 

  1. การอนุญาตให้เปิดสถานีชาร์จ
    1. หากสถานีมีกำลังเกิน 1,000 กิโลวัตต์ ต้องผ่านการตรวจสอบ ใช้เวลา 75 วัน
    2. ถ้าขนาดต่ำกว่า สามารถใช้ระบบ e-Licensing ใช้เวลาเพียง 15 วัน
  2. การกำกับอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
    1. ปัจจุบันมีการกำหนดอัตรา “Low Priority Rate” ไว้ที่ประมาณ 2.90 บาทต่อหน่วย
    2. เป็นราคาที่สมดุลระหว่างความคุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ และแรงจูงใจสำหรับผู้ลงทุน
  3. การกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยของสถานีชาร์จ
    1. กกพ. ทำงานร่วมกับ กฟภ. กฟน. และกรมธุรกิจพลังงาน
    2. เพื่อให้สถานีชาร์จมีความปลอดภัยเทียบเท่าปั๊มน้ำมัน

 

“กกพ. ไม่ได้เป็นแค่ผู้กำกับราคาพลังงาน แต่เป็นผู้ออกแบบความเชื่อมั่นในระบบใหม่ของประเทศไทย” ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์

 

ในวันนี้ สถานีชาร์จ EV มีมากเท่าไร?

 

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ประเทศไทยมีผู้ให้บริการสถานีชาร์จ EV ถึง 20 แบรนด์

รวมสถานีทั้งหมด 3,720 แห่ง และมีจำนวนหัวชาร์จรวมทั้งสิ้น 11,622 หัว แบ่งเป็น

 

  • DC CCS2: 6,103 หัว
  • DC CHAdeMO: 421 หัว
  • AC Type 2: 5,098 หัว

 

ตัวเลขนี้สะท้อนว่าโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จในไทย กำลังเติบโตตามจำนวนรถ EV ได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เพียง “เติบโตเชิงปริมาณ” แต่ยัง “มีมาตรฐานและระบบรองรับ” ที่ชัดเจน ด้วยการกำกับของ กกพ.

 

เลือกใช้ EV ต้องสำรวจความต้องการตัวเอง

 

แม้การเติบโตของ EV จะเป็นภาพใหญ่ที่น่าตื่นเต้น แต่ รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล อดีตนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย แนะนำว่า EV อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน

 

ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโต

 

เขาแนะนำว่า คนที่จะใช้ EV ควรถามตัวเองก่อนว่า ใช้รถอย่างไร เดินทางวันละกี่กิโล หากการใช้งานอยู่ในเมือง วิ่งวันละ 50-100 กิโลเมตร มีจุดชาร์จใกล้บ้านหรือที่ทำงาน EV คือทางเลือกที่ดี

 

แต่หากต้องเดินทางไกลบ่อยครั้ง หรืออยู่ในพื้นที่ที่สถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม อาจต้องวางแผนมากกว่าปกติ รวมถึงต้องเลือกแบรนด์ที่มีความมั่นคง ไม่ใช่เพียงราคาถูก

 

กกพ. ผู้สร้างความเชื่อมั่นให้อนาคตของ EV

 

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้รถ EV หรือสถานีชาร์จ คือ ‘ระบบ’ ที่อยู่เบื้องหลัง ระบบที่ไม่ใช่แค่สายส่งไฟฟ้า หรือซอฟต์แวร์ในตู้ชาร์จ แต่คือโครงสร้างนโยบาย มาตรฐาน กฎเกณฑ์ และความเชื่อมั่น ที่ทำให้รถไฟฟ้าทุกคันสามารถวิ่งได้จริงบนท้องถนน

 

ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโต

 

และในระบบนั้นเอง กกพ. คือหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นกลไกกลาง เชื่อมโยงระหว่าง เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนเร็ว, นโยบายพลังงาน ที่ต้องชัด และ ความไว้วางใจจากประชาชน ที่ไม่สามารถสร้างได้ด้วยการประกาศเพียงครั้งเดียว

 

กกพ. คือผู้วางกรอบกำกับกิจการพลังงานในยุคใหม่ ให้การเปลี่ยนผ่านสู่ EV เป็นไปอย่างมีระบบ มีมาตรฐาน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป นักลงทุน หรือผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้าสู่ระบบสถานีชาร์จ

 

ถ้า EV คือยานพาหนะสู่อนาคต กกพ. ก็คือผู้ออกแบบถนนที่ทำให้การเดินทางนั้น ปลอดภัย มั่นคง และไปถึงจุดหมายได้จริง

 

และเมื่อถนนนั้นเชื่อมต่อกันได้ทั่วประเทศ อนาคตพลังงานสะอาดของไทย ก็จะไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่คือเส้นทางที่เริ่มต้นขึ้นแล้วจริงๆ

 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

The post กกพ. หนุนขยายสถานีชาร์จรถ EV ปูทางพลังงานใหม่สู่เป้า 30@30 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีนบินกว่างโจว ดูงานระบบรางกว่างโจว-โรงงานยานยนต์ไฟฟ้า AION https://thestandard.co/china-rail-innovation-vision/ Sat, 16 Aug 2025 10:53:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1108125 china-rail-innovation-vision

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา สมาชิกหลักสูตรผู้บริหาร […]

The post หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีนบินกว่างโจว ดูงานระบบรางกว่างโจว-โรงงานยานยนต์ไฟฟ้า AION appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-rail-innovation-vision

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา สมาชิกหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (บทจ. Young Executive Program 2) ได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่นครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้และสร้างมุมมองใหม่ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยคณะได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยวิศวกรรมแห่งชาติเพื่อความปลอดภัยและการประกันการปฏิบัติงานของระบบขนส่งทางรางในเขตเมือง ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญของจีนในการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยและระบบควบคุมการเดินรถไฟในเขตเมือง

 

คณะได้รับเกียรติจาก เหอ จื้อซิน รองผู้อำนวยการศูนย์ฯ ในการบรรยายภาพรวม วิสัยทัศน์ และแนวทางการพัฒนานวัตกรรมระบบรางของจีน รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันพันธมิตรชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยชิงหัว และมหาวิทยาลัยจงซาน

 

บทจ.2 ศึกษาดูงานกว่างโจว

 

นอกจากนี้ คณะเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ยังได้นำเสนอระบบปฏิบัติการรางอัจฉริยะ Swifton OS 2.0 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นจากแนวคิดแบบเปิด โดยใช้เทคโนโลยีสำคัญ เช่น การควบคุมอุตสาหกรรม, อินเทอร์เน็ต, IoT และคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อเชื่อมโยงอุปกรณ์และระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน และได้พาเยี่ยมชมพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมและผลงานวิจัยอื่นๆ เช่น ระบบสแกนชำระเงินด้วยฝ่ามือ และระบบตรวจสอบรางรถไฟอัจฉริยะ

 

บทจ.2 ศึกษาดูงานกว่างโจว

 

ต่อมาช่วงบ่ายในวันเดียวกัน คณะได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานและโชว์รูม GAC Aion New Energy Automobile เพื่อศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์อัจฉริยะ โดย GAC Aion เป็นบริษัทในเครือของบริษัท กว่างโจว ออโตโมบิล กรุ๊ป จำกัด (Guangzhou Automobile Group Co., Ltd. หรือ GAC Group) ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ จนก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิต EV ชั้นนำของจีนในปัจจุบัน

 

คณะฯ ได้รับการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรม รวมถึงสายการผลิตที่ทันสมัย โดยได้ชมรถยนต์รุ่นต่างๆ ของ Aion และเทคโนโลยีที่โดดเด่น เช่น แพลตฟอร์ม AEP 3.0 ที่ออกแบบมาสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ และเทคโนโลยี Magazine Battery ซึ่งผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยขั้นสูงด้วยการยิงทะลุแบตเตอรี่โดยที่แบตเตอรี่ไม่เกิดการติดไฟ นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมสายการประกอบหลักที่ใช้หุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ รวมถึงสายการผลิตรถซูเปอร์คาร์ Hyper SSR ที่มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 2.3 วินาที

 

GAC Group มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2024 มีรายได้รวมสูงถึง 4.01 แสนล้านหยวน และได้ขยายตลาดไปแล้วในหลายประเทศ เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ตุรกี และเบลเยียม การเยี่ยมชมครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของ GAC Aion ในฐานะผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก

 

บทจ.2 ศึกษาดูงานกว่างโจว

 

ต่อจากเยี่ยมชมศูนย์ GAC Group ทางคณะฯ ยังเดินทางไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดป้ายสำนักงานผู้แทนสมาคมพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้านเศรษฐกิจและการค้าอาเซียน (ASEAN SME Economic & Trade Association) ในเขตหนานซา โดยถือเป็นการประกาศตั้งสำนักงานในหนานซาอย่างเป็นทางการ 

 

กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างหนานซากับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพิ่มพลังขับเคลื่อนใหม่ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจคุณภาพสูงของภูมิภาค ซึ่งไม่เพียงเป็นอีกก้าวสำคัญในการตอบสนองต่อข้อริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ แต่ยังเป็นการดำเนินการเชิงรูปธรรมเพื่อส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคด้วย

 

พิธีนี้ดำเนินรายการโดยเซี่ย เสี่ยวฮุ่ย รองประธานการประชุมปรึกษาการเมืองของเขตหนานซาและผู้อำนวยการสำนักพาณิชย์เขตหนานซา โดยมีผู้นำหลายคนเข้าร่วมในงานอย่างพร้อมเพรียง นำโดย เฉิน เจี๋ยเคอ ประธานสมาคมพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้านเศรษฐกิจและการค้าอาเซียน และเซี่ย เว่ย รองเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเทศบาลนครกว่างโจว รองเลขาธิการพรรคคณะกรรมการเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจและเทคโนโลยีหนานซา (เขตการค้าเสรีหนานซา) และรองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหาร ซึ่งร่วมกันเปิดป้ายสำนักงานอย่างเป็นทางการ

 

นอกจากนี้ ยังมีจู อวี้ รองประธานบริหารสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศจีน ตัวแทนสมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน และแขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชนของประเทศไทยจำนวนมากมาร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญนี้

 

การศึกษาดูงานครั้งนี้นับเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสามารถนำไปสู่การต่อยอดพัฒนาโครงการระบบรางและโครงสร้างพื้นฐานของไทยในอนาคต โดยหลักสูตร บทจ. Young 2 นี้ จัดขึ้นจากความร่วมมือของสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย–จีน, สมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน และหอการค้าไทย–จีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ China Media Group เพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย–จีนอย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง:

  • สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน

The post หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีนบินกว่างโจว ดูงานระบบรางกว่างโจว-โรงงานยานยนต์ไฟฟ้า AION appeared first on THE STANDARD.

]]>
EV ดันยอดผลิตรถพุ่งรอบ 21 เดือน! ส.อ.ท. จี้รัฐอัดแคมเปญ ‘รถเก่าแลกใหม่’ สู้ภาษีสหรัฐฯ-สงครามตะวันออกกลาง https://thestandard.co/car-production-ev-may/ Tue, 24 Jun 2025 11:45:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1088606 car-production-ev-may

ยอดผลิตรถเดือนพฤษภาคม พุ่ง 10.32% แตะ 139,186 คัน เพิ่ม […]

The post EV ดันยอดผลิตรถพุ่งรอบ 21 เดือน! ส.อ.ท. จี้รัฐอัดแคมเปญ ‘รถเก่าแลกใหม่’ สู้ภาษีสหรัฐฯ-สงครามตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
car-production-ev-may

ยอดผลิตรถเดือนพฤษภาคม พุ่ง 10.32% แตะ 139,186 คัน เพิ่มครั้งแรกในรอบ 21 เดือน เหตุค่ายรถเร่งผลิต EV ชดเชย EV3.5 ‘ส.อ.ท.’หนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ชี้ปิดชายแดนไม่สะเทือนส่งออก ห่วงเจรจาภาษีสหรัฐฯ สงครามตะวันออกกลางสะเทือนส่งออก

 

วันที่ 24 มิถุนายน สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตรถยนต์ได้ทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ถึง 33.51% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 10.32%

 

ทั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน เหตุผลหลักมาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ BEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88% นับว่าเป็นข่าวดีในรอบปี ที่ยอดผลิตรถยนต์เริ่มไปในทางสัญญาณบวก

 

อย่างไรก็ตาม หากรวมตัวเลข 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) ยังคงมียอดผลิตทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลง 7.82% ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 1.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก็ยังคงลดลง 10.2%

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ห่วงสารพัดปัจจัยฉุดเศรษฐกิจทั้งการเมือง ค่าครองชีพ นักท่องเที่ยวลดลง 

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ที่ 10.67% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 4.73% เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV เพราะราคาที่ลดลงและจับต้องได้มากขึ้น 

 

“แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง 24.84% จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพราะหนี้ครัวเรือนสูง เศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอ จากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น การจ้างงานแรงงานกลุ่มยานยนต์ลดลง 3-4 วันต่อสัปดาห์ อีกทั้งการท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัวลง บวกกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เพราะปัญหาการเมืองที่ขัดแย้ง ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก”

 

ดังนั้น ยอดขาย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) จึงอยู่ที่ 252,615 คัน ลดลงจากปี 2567 ที่ 2.98%

 

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV 5 เดือนอยู่ที่ 53,955 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 22.85% ประเภท HEV 60,793 คัน เพิ่มขึ้น 2.49% ประเภท PHEV 9,822 คัน เพิ่มขึ้น 142.34%

 

‘ตอนนี้ยอด 5 เดือน ผลิต EV ได้สูงสุด เพราะค่ายรถเร่งผลิตชดเชยตามมาตรการที่ EV3.0-3.5 และปีนี้คาดว่าจะเห็น EV ผลิตถึง 50,000 คัน รวมยอดผลิตรถทั้งหมดจะผลิตได้ที่ 600,000 คัน’

 

หวัง ‘รถเก่าแลกรถใหม่’ กระตุ้นยอดขาย

 

สำหรับโครงการ ‘รถเก่าแลกรถใหม่’ เป็นข้อเสนอที่กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมุ่งหวังกระตุ้นยอดขายในประเทศ โดยปัจจุบันรถเก่าที่เป็นกระบะอายุ 20 ปี อยู่ในระบบราว 2 ล้านคัน 

 

ดังนั้น เงื่อนไขต้องรอดูว่าจะลดภาษีรุ่นไหนและแลกอะไร ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องหารือกับไฟแนนซ์ เพื่อปลดล็อกมาตรการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เพื่อให้โครงการเดินหน้า และควรมีกองทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับไม่ให้รถขาดทุน ซึ่งต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อคัน และจะสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายรถทั้งระบบได้ 50,000-100,000 คัน ทั้งนี้ เสนอให้รถที่มีอายุ 7-8 ปี เข้าเงื่อนไขด้วย 

 

ปิดชายแดนไม่สะเทือนส่งออกยานยนต์ ห่วงรัฐเจรจาภาษีสหรัฐฯ จับตาตะวันออกกลางใกล้ชิด

 

สุรพงษ์กล่าวอีกว่า การปิดชายแดนไม่กระทบมาก เนื่องจากไทยส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และรถสำเร็จรูปทางเรือส่วนใหญ่ และ ล่าสุดยังไม่ได้รับรายงานผลกระทบจากโรงงานที่ไปตั้งฐานการผลิตที่กัมพูชา

 

ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากตะวันออกกลางเป็นตลาดหลักของไทย ที่มีสัดส่วนส่งออกไปถึง 19% แต่มีเพียงไม่กี่บริษัทใช้ช่องแคบฮอร์มุช พร้อมทั้งเฝ้าติดตามการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ซึ่งใกล้ครบกำหนด 8 กรกฎาคม ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งจะกระทบกับการส่งออกอุตสาหกรรมซัพพลายอย่างมาก

 

ภาพ: Justin Sullivan / Getty images

The post EV ดันยอดผลิตรถพุ่งรอบ 21 เดือน! ส.อ.ท. จี้รัฐอัดแคมเปญ ‘รถเก่าแลกใหม่’ สู้ภาษีสหรัฐฯ-สงครามตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกิดอะไรขึ้นกับ NETA? 1 ใน 8 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีน บุกไทยเพียง 3 ปี เข้าสู่โหมด ‘ปรับโครงสร้างหนี้’ สะท้อน EV เดือดเกินคาด https://thestandard.co/hozon-neta-restructuring/ Fri, 13 Jun 2025 01:30:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1084567 hozon-neta-restructuring

‘Hozon’ บริษัทแม่ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า ‘NETA’ Auto ร่อนแ […]

The post เกิดอะไรขึ้นกับ NETA? 1 ใน 8 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีน บุกไทยเพียง 3 ปี เข้าสู่โหมด ‘ปรับโครงสร้างหนี้’ สะท้อน EV เดือดเกินคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
hozon-neta-restructuring

‘Hozon’ บริษัทแม่ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า ‘NETA’ Auto ร่อนแถลง เผยบริษัทเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านหนี้สิน และส่งเสริมพันธมิตรทางธุรกิจให้เข้ามาร่วมลงทุน อีกทั้งยกระดับการบริหารจัดการองค์กร ภายใต้กรอบของกระบวนการทางกฎหมาย

 

โดยแบรนด์ NETA ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่สยายปีกเข้ามาทำตลาดในไทย ช่วงปี 2565 วันนี้ เกิดอะไรขึ้นทำไม บริษัทออกมาประกาศ เข้าสู่กระบวนการ ‘ปรับโครงสร้างหนี้’ โดยย้ำว่า ขอเวลาปรับเพื่อให้บริษัทกลับมา ‘แข็งแกร่ง’ อีกครั้ง

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเป็นทางการ

 

รายงานข่าวระบุว่า บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด หรือ ‘Hozon’ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ NETA Auto ออกแถลงการณ์ว่า ขณะนี้ทาง Hozon ได้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว การดำเนินการดังกล่าวเป็นกระบวนการปรับโครงสร้างที่นำโดยภาครัฐบาลภายใต้การกำกับดูแลของศาลประชาชนชั้นกลางเมืองเจียซิง ในการปกครองของมณฑลเจ้อเจียง

 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ‘แก้ไขปัญหาทางด้านหนี้สิน’ และส่งเสริมพันธมิตรทางธุรกิจให้เข้ามาร่วมลงทุน ปรับประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบของกระบวนการทางกฎหมาย ทั้งนี้ Hozon มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสู่การดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

 

ภายในหนังสือ ยังระบุถึงสาระสำคัญอีกว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงความกังวลที่อาจเกิดขึ้นในกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ พนักงาน และลูกค้า NETA ทุกท่าน จึงขอเรียนชี้แจงแผนการปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตของบริษัทฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

NETA ยอมรับตลาด EV แข่งขันที่สูง

 

NETA Auto

 

ในด้านบริบทและวัตถุประสงค์ของการปรับโครงสร้างองค์กร ตลอดช่วงที่ผ่านมา NETA Auto ได้เผชิญกับอุปสรรคในการดำเนินงาน และ “การแข่งขันที่สูงขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) รวมถึงความผันผวนของยอดขายรถยนต์ แรงกดดันด้านหนี้สิน และข้อจำกัดในการจัดสรรอะไหล่รถยนต์”

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะแบรนด์รถยนต์ที่เคยเป็นผู้นำผู้ผลิตรถยนต์ NEV รายใหม่ ด้วยการสร้างสถิติยอดขายสูงสุดทั่วโลกถึง 152,000 คัน ในปี 2565 NETA Auto ยังคงรักษาขีดความสามารถหลักในด้านเทคโนโลยีและมูลค่าทางการตลาดไว้ได้

 

การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง “ความเสถียรของกระบวนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องรวมถึงคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจทุกฝ่าย”

 

โดยจะดำเนินการผ่านกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ การยกระดับด้านการบริหารจัดการองค์กร และการเพิ่มเงินทุน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ให้กลับมาแข็งแกร่ง และยั่งยืนอีกครั้ง

 

‘ปรับกลยุทธ์’ แสวงหาผู้ร่วมลงทุนจากบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ

 

สำหรับมาตรการหลักภายใต้กระบวนการปรับโครงสร้างองค์กร มีดังนี้

 

  1. มาตรการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ที่เกี่ยวข้องทางธุรกิจ

กระบวนการปรับโครงสร้างจะถูกดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เจ้าหนี้ พนักงาน และลูกค้า อย่างเป็นธรรม โดยให้ความสำคัญกับการชำระหนี้แก่คู่ค้าทางธุรกิจ ตลอดจนการดูแลรักษามาตรฐานการให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อภาคสังคมโดยรวมน้อยที่สุด

 

  1. การปรับโครงสร้างการลงทุนและการบริหารเชิงกลยุทธ์

Hozon จะดำเนินการร่วมมือกับทีมผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้ง เพื่อแสวงหาผู้ร่วมลงทุนจากบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรม โดยเงินทุนจะถูกนำมาใช้สำหรับการกลับมาเริ่มดำเนินการผลิต การพัฒนาและการวิจัย และการขยายธุรกิจในต่างประเทศ

 

“นอกจากนี้ จะทำการปรับโครงสร้างฝ่ายบริหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ท่านใหม่ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจยานยนต์ในหลายประเทศ เพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญในการบริหาร และจัดการองค์กร”

 

แถลง NETA Auto thailand

 

พัฒนาธุรกิจตลาดหลัก ไทย อินโดนีเซีย บราซิล ไม่ทิ้ง ‘ไทย’

 

  1. การดำเนินธุรกิจทั่วโลกต่อเนื่อง

 

  •  ตลาดภายในประเทศ ฐานการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ อาทิ โรงงานที่เมืองถงเซียงจะทยอยกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้งภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการผลิตเพื่อรองรับตามคำสั่งซื้อที่ได้รับ จัดเงินทุนเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจของผู้แทนจำหน่ายได้อย่างเสถียรภาพ
  •  ตลาดต่างประเทศ การดำเนินธุรกิจในตลาดต่างประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการปรับโครงสร้าง

 

“หลังได้รับเงินทุนจะเร่งเดินหน้าพัฒนาธุรกิจตลาดหลักในต่างประเทศ เช่น ไทย อินโดนีเซีย บราซิล และประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดในไทย ได้เริ่มดำเนินการจัดหาชิ้นส่วนอะไหล่ผ่านระบบรูปแบบการบริหารจัดการแบบใหม่แล้ว”

 

  1. ความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้า

มุ่งมั่นเพื่อยกระดับศักยภาพด้านการให้บริการหลังการขายอย่างครอบคลุม เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์ OTA ชิ้นส่วน อะไหล่ รวมถึงบริการผ่านแอปพลิเคชัน จะยังคงดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดชะงัก

 

ส่วนทิศทางเชิงกลยุทธ์ มีดังนี้

 

  1. การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์

สำหรับด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยภายในปี 2570 มีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่น ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไป (ราคาประมาณ 100,000-200,000 หยวน) พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดพรีเมียม

 

  1. การขยายธุรกิจสู่ตลาดทั่วโลกและการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

 

“NETA Auto จะดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในจีน และไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของ NETA Auto Thailand ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตามปกติ โดยให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าและพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง”

 

รู้จัก NETA แบรนด์ EV จีนที่บุกตลาดไทยปี 2565

 

NETA Auto

 

สำหรับ ตลาดในประเทศไทย NETA ได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดในช่วงปี 2565 ในนาม บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด โดยเป็นการเข้ามาลงทุน จับมือกับ ‘กลุ่มปตท.’ ร่วมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในไทย ในนาม บริษัท โฮซอนนิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด หรือ Hozon Auto ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จากประเทศจีน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2557 ก่อนที่ธุรกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็วภายในช่วงเวลาเพียงแค่ 4 ปีของการดำเนินธุรกิจ

 

NETA เริ่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกในปี 2561 และจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายที่เติบโตสูงในจีนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลาง ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน ต่างทยอยเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย ทั้งเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น BYD, MG, Great Wall Motor, Changan Automobile, GAC Aion, NETA , XPENG และ Chery เป็นรายที่ 8 เจอสมรภูมิการแข่งขันตลาดที่ร้อนแรง โดย NETA เน้นเจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มกลางถึงล่าง ซึ่งเปิดตัวรุ่นแรกคือ NETA V รถยนต์สไตล์ City Car ราคาเริ่มต้นประมาณ 5 แสนบาท

 

“จนมาถึงช่วงปี 2566 NETA ประกาศใช้ไทยเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ EV พวงมาลัยขวาป้อนตลาดในภูมิภาคอาเซียน”

 

กระทั่งปีที่ผ่านมา NETA มีกระแสข่าวการใช้งานมาสักระยะ ล่าสุดช่วงต้นสัปดาห์ผู้ใช้ NETA ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสภาผู้บริโภค ระบุว่า เผชิญปัญหาระยะยาว ทั้งจดทะเบียนป้ายขาวไม่ได้ ขาดอะไหล่ซ่อมบำรุง และศูนย์บริการบางแห่งปิดตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

 

สะพัด ‘Toyota’ อาจเข้าซื้อกิจการ NETA

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีการรายงานว่า ปี 2024 NETA มียอดขายลดลงเหลือ 64,500 คัน นอกจากนี้ยังถูกวิจารณ์ว่าใช้เทคโนโลยีล้าหลัง ส่งผลให้มูลค่าบริษัท NETA ร่วงหนักกว่า 80%

 

และมูลค่าของ NETA ลดลงอย่างมาก ในปี 2023 ส่งผลให้ Toyota กำลังพิจารณาเข้าซื้อกิจการของ NETA ซึ่งกำลังประสบปัญหา แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ดีลนี้อาจช่วยให้ Toyota เสริมความแข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และช่วยต่อชีวิตทางการเงินให้กับ NETA ได้ อนาคตจะเป็นอย่างไรต้องติดตาม

 

ภาพ: VGC / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post เกิดอะไรขึ้นกับ NETA? 1 ใน 8 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีน บุกไทยเพียง 3 ปี เข้าสู่โหมด ‘ปรับโครงสร้างหนี้’ สะท้อน EV เดือดเกินคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดิมพันอนาคต! BOI เปิดเกมรุก ดันไทยฐานผลิต EV สู้อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-เวียดนาม ย้ำสร้างเศรษฐกิจใหม่ กู้วิกฤตการจ้างงาน https://thestandard.co/thailands-ev-future-bois-bold-play/ Mon, 09 Jun 2025 10:28:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1083324

บีโอไอส่งเสริม EV รักษาผู้นำฐานผลิตอาเซียน ย้ำไทยได้ประ […]

The post เดิมพันอนาคต! BOI เปิดเกมรุก ดันไทยฐานผลิต EV สู้อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-เวียดนาม ย้ำสร้างเศรษฐกิจใหม่ กู้วิกฤตการจ้างงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>

บีโอไอส่งเสริม EV รักษาผู้นำฐานผลิตอาเซียน ย้ำไทยได้ประโยชน์ หนุนผู้ประกอบการเข้าสู่ Supply Chain ดัน BCG – EV – AI เศรษฐกิจใหม่ กู้วิกฤตจ้างงาน

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ยืนยันการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีความจำเป็นต่อการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว รักษาความเป็นผู้นำฐานการผลิตรถยนต์ของภูมิภาคอาเซียน ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างประเทศที่เข้มข้น และเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยให้ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม หลังมีประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับประโยชน์ของการลงทุนจากบริษัทต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย

 

ย้ำส่งเสริม EV ดันฮับอาเซียน

 

ทั้งนี้ บีโอไอยืนยันว่าการผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรม EV เป็นส่วนสำคัญของการรักษาความเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของอาเซียนซึ่งอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมจากรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) สู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามแนวโน้มโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลายประเทศ

 

“อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างแข่งกันดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ประเทศไทยจึงต้องช่วงชิงการเป็นฐานผลิต EV ในทุกเทคโนโลยี”

 

ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด (HEV), ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), Range-Extended EV (REEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) โดยเป็นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เช่น บีโอไอ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ผ่านนโยบายและมาตรการสนับสนุนต่อเนื่อง

 

“ผู้ผลิต EV ระดับโลกหลายรายตัดสินใจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาค เช่น MG, Great Wall Motor, GAC Aion, Changan, Omoda & Jaecoo, Foton และ Hyundai การลงทุนเหล่านี้ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต สร้างงานให้คนไทยจำนวนมาก เสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศ และเพิ่มมูลค่าการส่งออก อีกทั้งยังส่งเสริมไทยให้เป็นศูนย์กลางวิจัยและพัฒนาดังกรณีบริษัท Changan ที่ได้ประกาศจัดตั้งศูนย์วิจัยขนาดใหญ่และสำนักงานภูมิภาคในไทย”

 

นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์เดิมในประเทศให้สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ EV ผ่านมาตรการส่งเสริมรถยนต์ HEV, MHEV และ PHEV ส่งผลให้ผู้ผลิตรายเดิมอย่าง Mazda, Nissan, Mitsubishi และ Isuzu ได้ประกาศแผนขยายลงทุนผลิตรถยนต์ EV ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อการส่งออก

 

เปิดแผนการลงทุน จ้างงาน และยกระดับซัพพลายเออร์ไทย

 

การลงทุนในอุตสาหกรรม EV ถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทั้งการประกอบรถยนต์ การผลิตชิ้นส่วนและระบบสำคัญและการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งผลประโยชน์จะไม่ได้เกิดขึ้นครบถ้วนในวันแรกแต่จะค่อยๆ เติบโตและขยายผลในระยะยาวโดยปัจจุบันนโยบายEV ได้เริ่มสร้างผลสัมฤทธิ์ที่จับต้องได้ในหลายมิติ ดังนี้

 

  • การจ้างงานคุณภาพ : ผู้ผลิต EV รายใหม่ที่เข้ามาลงทุนในไทย เช่น MG, GWM, BYD, GAC Aion, Changan ส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มต้นผลิตไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันได้จ้างงานรวมแล้วกว่า 9,600 คน โดยร้อยละ 85-95 เป็นบุคลากรไทย ครอบคลุมตั้งแต่ช่างเทคนิค วิศวกร ไปถึงระดับบริหาร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งมีการฝึกอบรมบุคลากรไทยเหล่านี้ ให้มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิต EV ที่ทันสมัย ซึ่งจะกลายเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญของประเทศต่อไป ยกตัวอย่างกรณี BYD ซึ่งเป็นผู้ผลิต EV ที่จ้างงานมากที่สุดกว่า 5,900 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทยถึง 88% และวางแผนเพิ่มเป็น 8,000 คนในปี 2569 โดยจะเป็นคนไทยถึง 95%

 

  • การพัฒนาซัพพลายเออร์ไทย : บีโอไอ กรมสรรพสามิต และกระทรวงอุตสาหกรรม มีข้อกำหนดแผนพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย รวมทั้งการใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ เช่น แบตเตอรี่, Traction Motor, PCU Inverter, Reduction Gear, คอมเพรสเซอร์ระบบปรับอากาศ, ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) และระบบควบคุมการขับขี่ (DCU) โดยปัจจุบันผู้ผลิต EV มีสัดส่วน Local Content เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 40 – 60 อีกทั้งเริ่มมีการพัฒนาผู้ผลิตไทย ผ่านการจัดอบรมเชิงเทคนิค การให้คำปรึกษา และส่งวิศวกรเข้ามาทำงานร่วมกัน ตัวอย่างเช่นผู้ผลิตรายใหม่อย่าง BYD จับมือซัพพลายเออร์ไทยแล้ว 35 ราย และขึ้นทะเบียนใช้ชิ้นส่วนในประเทศแล้ว 415 รายการ

 

  • การสร้างระบบนิเวศ EV : นอกจากเงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ บีโอไอยังกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า สถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ และการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม

 

นอกจากนี้บีโอไอจะช่วยผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ Supply Chain ระหว่างประเทศ ซึ่งปกติแล้วจะมี 5 ขั้นตอนสำคัญ คือ

 

1. การลงทะเบียนผู้ผลิตชิ้นส่วนที่จะเข้าร่วมเจรจา (Supplier Registration)

2. การตรวจประเมินผู้ผลิตชิ้นส่วน (Supplier Audit)

3.การขึ้นทะเบียนเป็นSupplier ที่ได้รับการรับรอง (Approved Vendor List)

4. การพัฒนาชิ้นงานตัวอย่าง (Candidate Supplier)

5.การจัดทำคำสั่งซื้อ (Nominated Supplier)

 

“ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ประเทศไทยที่เป็นฐานผลิตยานยนต์ของภูมิภาคและของโลกมานาน จำเป็นต้องช่วงชิงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดึงดูดบริษัทที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ให้เข้ามาลงทุนในไทยให้มากที่สุด เพื่อรักษาฐานอุตสาหกรรม การจ้างงาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงจะสร้างโอกาสให้กับวิศวกรและแรงงานฝีมือของไทย ได้พัฒนาทักษะและเติบโตไปกับเทคโนโลยีใหม่ในอนาคตด้วย” นฤตม์กล่าวย้ำ

 

บีโอไอเน้นย้ำว่า การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตEV เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกราย มีเงื่อนไขชัดเจน ทั้งการใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ การพัฒนาซัพพลายเออร์ไทยและระบบนิเวศ อีกทั้งมีการตรวจสอบเข้มงวด โดยในส่วนของการยกเว้นอากรนำเข้า จะให้สิทธิเฉพาะเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตตามโครงการที่ได้รับส่งเสริมเท่านั้น มีการตรวจสอบสายการผลิตที่โรงงานจริง

 

4 ปี สร้างงานให้คนไทยมากกว่า 510,000 ตำแหน่ง

 

ข้อมูลการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2565 – มี.ค. 2568) แสดงให้เห็นว่าโครงการที่บีโอไอส่งเสริมส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง โดยคาดว่าจะสร้างงานให้คนไทยมากกว่า 510,000 ตำแหน่ง ใช้วัตถุดิบในประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกถึง 5.8 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งหมายถึงรายได้จำนวนมากที่จะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตวัตถุดิบและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักอย่างยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

 

“การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ทำเพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่จะเป็นอนาคตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัลและ AI รวมทั้งการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเน้นสร้างระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงและสร้างโอกาสให้คนไทย หากไทยไม่สามารถคว้าการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เหล่านี้มาได้ เราจะสูญเสียการจ้างงานและโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย” นฤตม์ทิ้งท้าย

 

ภาพ: Jens Schlueter / Getty Images

The post เดิมพันอนาคต! BOI เปิดเกมรุก ดันไทยฐานผลิต EV สู้อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-เวียดนาม ย้ำสร้างเศรษฐกิจใหม่ กู้วิกฤตการจ้างงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ทิศทางใหม่ของยานยนต์จีน’ BYD บอกอะไรเราใน Auto Shanghai 2025 https://thestandard.co/byd-auto-shanghai-2025/ Fri, 02 May 2025 11:00:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1070479 BYD Auto Shanghai 2025

เป็นประจำทุกปีที่ประเทศจีนจะจัดงานมอเตอร์โชว์ครั้งใหญ่ […]

The post ‘ทิศทางใหม่ของยานยนต์จีน’ BYD บอกอะไรเราใน Auto Shanghai 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
BYD Auto Shanghai 2025

เป็นประจำทุกปีที่ประเทศจีนจะจัดงานมอเตอร์โชว์ครั้งใหญ่ เพื่อให้แบรนด์ยานยนต์ได้ขนหมัดเด็ดของตัวเองมาจัดแสดงกันแบบเต็มที่ และปีนี้งานจัดแสดงรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดก็ถูกจัดขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ กับงาน Auto Shanghai 2025 

 

ท่ามกลางสงครามราคายังคงดำเนินต่อไปในจีน การขับขี่แบบอัตโนมัติกลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมทั่วทั้งประเทศ เราได้เห็นผู้ผลิตรถยนต์มากกว่า 70 ราย เปิดตัวรถรุ่นใหม่มากกว่า 100 รุ่น ชูเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสู้กับสงครามราคาในตลาด ที่ความต้องการรถยนต์ของผู้บริโภคยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ  

 

และเมื่อพูดถึงยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติจีน ปฏิเสธไม่ได้ว่าแบรนด์ที่มาแรงที่สุดในเวลานี้ คงหนีไม่พ้น BYD Motor ที่ทะยานสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในภูมิภาค 

 

BYD ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและระบบไฮบริดชั้นนำของจีน ได้นำเทคโนโลยีและรถยนต์ของตัวเองมาจัดแสดง ณ ฮอลล์ 8.1 พร้อมกับการชูสามประเด็นหลักอย่าง Technology Green Tomorrow (เทคโนโลยี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่อนาคต) มานำเสนอผ่านรถยนต์รุ่นต่างๆ อย่างจัดเต็ม ทั้งแบรนด์หลักและแบรนด์ย่อย ไม่ว่าจะเป็น Denza (เดนซา) YangWang (หยางหวาง) และ Fang Cheng Bao หรือ Formula Leopard (ฟางเฉิงเป่า)

 

THE STANDARD ได้รวบรวมไฮไลต์สำคัญของบูธเครือ BYD ในงาน Auto Shanghai 2025 มาให้ได้รับชมไปพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว 

 

BYD เปิดตัวรถยนต์ใหม่และรุ่นปรับโฉม พร้อมลุยตลาดทั่วโลก  

 

ในงาน Auto Shanghai ปีนี้ BYD เปิดตัวยานยนต์ใหม่และอัปเกรดดีไซน์รถหลายรุ่น แต่หนึ่งในคันที่สะดุดตาและโดดเด่นมากที่สุดอยู่ใน BYD Ocean Series ที่ได้แรงบันดาลใจจากมหาสมุทรและเกลียวคลื่น แล้วนำเสนอผ่านรถยนต์รุ่นใหม่ 5 รุ่น อย่าง 

 

  • Ocean-S 
  • SEAL 06 EV 
  • SEAL 06 DM-i Travel Edition 
  • SEALION 06 DM-i 
  • SEALION 06 EV 

 

 

Ocean Series โดยเฉพาะกับรุ่นเรือธง ดีไซน์ตัวถังมีรูปทรงเพรียวบาง มีความโค้งมน ให้ความรู้สึกหรูหรา ประตูไร้กรอบแบบเปิดสวนทาง (Suicide Doors) ส่วนการออกแบบภายในโดดเด่นด้วยแผงคอนโซลที่ได้แรงบันดาลใจจากชายหาดริมทะเล มีเลเยอร์เป็นชั้นๆ เหมือนระลอกคลื่น มาพร้อมกับหน้าจอแบบครบชุดทั้งจอฝั่งคนขับ จอกลางระบบสัมผัส และจอฝั่งผู้โดยสาร

 

ส่วนรุ่นอื่นๆ ในซีรีส์ที่คนไทยให้ความสนใจไม่น้อยคือ BYD Dolphin โฉมใหม่ปี 2025 ปรับจากเดิมพอสมควร เห็นได้ชัดที่สุดคือการใช้โลโก้ BYD แทนคำว่า ‘Build Your Dreams’ ด้านหลังรถ ปรับดีไซน์กันชนหน้า-หลัง ให้ดูทันสมัย เพิ่มกล้องด้านข้างในตำแหน่งแก้มซ้าย-ขวา ไปจนถึงไฟหน้า LED ที่ยาวขึ้น 

 

ส่วนภายในห้องโดยสารก็ปรับคอนโซลใหม่ ย้ายคันเกียร์ไปยังคอพวงมาลัยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย หน้าจอ LCD ขนาด 8.8 นิ้ว รวมถึงแบตเตอรี่ปรับใหม่ 3 รุ่นที่จำหน่ายในประเทศจีน จะสามารถรองรับการชาร์จเร็วแบบ DC ได้สูงสุด 80 กิโลวัตต์

 

สำหรับใครที่กำลังรอ BYD Dolphin รุ่นปรับโฉมปี 2025 คาดว่าน่าจะเข้าไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ในงาน Motor Expo 2025 

 

BYD Auto Shanghai 2025

 

ทางด้านของ BYD Atto 3 รุ่นปี 2025 ก็ปรับด้านหลังเป็นโลโก้ BYD ย้ายคันเกียร์ไว้บริเวณคอพวงมาลัย เหมือนกับ Dolphin 2025 รวมถึงเพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 8.8 นิ้ว ติดตั้งกล้องเพื่อตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับขี่ และเพิ่มตู้เย็นขนาดเล็กไว้ในรถอีกด้วย 

 

Dynasty Series ก็ไม่น้อยหน้า เปิดตัวรถยนต์ SUV ต้นแบบรุ่นใหม่อย่าง Dynasty-D เป็นครั้งแรกของโลก นำเสนอความหรูหราภายใต้คอนเซปต์ Dragon Face ผสมผสานความเป็นจีนให้เข้ากับนวัตกรรมล้ำสมัย เห็นได้จากไฟหน้าแบบ Light Bar ยาว 2.4 เมตร รับแรงบันดาลใจจากชายคาของวังจีนแบบโบราณที่มีรูปทรงคล้ายหนวดมังกร หรือไฟท้ายที่มีต้นแบบมาจากขนของนกฟีนิกซ์ ส่วนภายในห้องโดยสารได้ไอเดียจากพระราชวังต้องห้าม เบาะทรงสปอร์ตสีแดงสด และมีลวดลายทำจากทองคำแซมไว้เหมือนตำหนักในวังหลวง

 

 

Dynasty Series สองรุ่น รุ่นแรกคือ BYD Han L ซีดานเรือธงดีไซน์หรู จัดเต็มเรื่องการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Ultra-fast charging รองรับพลังงานการชาร์จสูงสุดถึง 1,000 กิโลวัตต์ วิ่งไกล 400 กิโลเมตรด้วยการชาร์จเพียง 5 นาที และชาร์จเต็มร้อยภายในเวลา 20 นาที จอดอยู่คู่กับ BYD Tang L SUV ที่มีโดรนอัจฉริยะความชัดระดับ 4K จากความร่วมมือระหว่าง BYD และ DJI รวมถึงลานจอดโดรนพับได้บนหลังคา ที่เราจะไม่เคยเห็นรถยนต์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน

 

BYD Auto Shanghai 2025 BYD Auto Shanghai 2025

 

ส่วนแบรนด์รุ่นน้องอีกเจ้าอย่าง Denza สร้างความฮือฮากับการเปิดตัวรถ Denza Z สปอร์ตต้นแบบคันแรก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พวงมาลัยพับเก็บได้ ถือเป็นรถสปอร์ตคันแรกของโลกที่ติดตั้งระบบช่วงล่าง DiSus-M อัจฉริยะ ช่วยให้ขับขี่คล่องตัวแต่ยังคงความสบาย ที่ทางบริษัทแม่อย่าง BYD วางไว้ให้เป็นคู่แข่งกับ Porsche 911

 

อีกคันที่น่าสนใจคือ Denza Z9GT รุ่นพิเศษกับคอนเซปต์ Black Myth: Wukong ที่รับแรงบันดาลใจมาจากเกมหงอคงที่กระแสตอบรับล้นหลาม กับยอดขายทะลุ 10 ล้านก๊อบปี้ภายใน 3 วัน  

 

 

แบรนด์ YangWang ก็เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ชื่อว่า U8L รถ SUV ดีไซน์หรูหราขนาด 6 ที่นั่ง ตกแต่งด้วยทองคำ 24K ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และพวงมาลัย เหมาะสำหรับการรับรองแขกระดับสูงหรือการเดินทางแบบกลุ่มแบบสะดวกสบาย มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยขั้นสูงทั้งการลอยน้ำฉุกเฉิน การกลับรถในที่แคบ และระบบควบคุมเสถียรภาพกรณียางระเบิด 

 

นอกจากนี้ ตัวรถของ U8L ยังมีความยาวถึง 5,400 มิลลิเมตร มากที่สุดในบรรดารุ่นหลักในระดับเดียวกัน ส่งผลให้รถยนต์รุ่นนี้ถูกเรียกว่า ‘ที่นั่ง 3 แถวเต็มรูปแบบ’ อย่างแท้จริง 

 

แบรนด์สุดท้ายอย่าง Fang Cheng Bao ชูวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์รถยนต์ที่มอบประสบการณ์ใหม่แก่ผู้ขับขี่ ควบคู่กับการตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด เปิดตัวแล้วหลายรุ่น โดยในงานนี้มีให้รับชมทั้งรุ่น BAO 5 ที่มีระบบขับขี่ขั้นสูงจาก Huawei กับคอนเซปต์รถยนต์สำหรับเมืองแห่งอนาคต ส่วนรุ่น BAO 8 เน้นความดุดันแข็งแกร่ง ได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีจากทั้ง Huawei และ DJI ส่วนรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง BAO 3 (Titanium 3) เป็น SUV ขนาดกะทัดรัดแต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย 

 

เทคโนโลยีใหม่ของ BYD ความทะเยอทะยานในการปฏิวัติวงการยานยนต์ไฟฟ้า

 

เมื่อได้ไปเยือนยังงาน AUTO Shanghai 2025 จะเห็นว่า BYD ยังคงเป็นผู้นำของยานยนต์แห่งอนาคต เพราะขนนวัตกรรมมาจัดแสดงและนำเสนอหลายอย่าง โดย THE STANDARD ได้หยิบยกที่เทคโนโลยีที่น่าสนใจมาให้รับชมดังต่อไปนี้ 

 

e-Platform 3.0 (Super e Platform

 

 

โครงสร้างรถยนต์ที่พัฒนาจนมีจุดแข็งถึง 4 ด้านด้วยกัน 

 

  • ความปลอดภัยจากการผสาน Blade Battery เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวถัง
  • การรวมชิ้นส่วนของขุมพลังงานไฟฟ้าเข้าเป็นหนึ่งเดียวแบบ 8 in 1 เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  • ระบบควบคุมส่วนกลางอัจฉริยะ ที่อัปเกรดระบบได้ด้วยตัวเอง
  • การจัดวางตัวถังอย่างเหมาะสมให้มีระยะฐานล้อยาว ช่วยลู่ลม เพิ่มพื้นที่ห้องโดยสาร

 

DiPilot Intelligent Driving System ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะพร้อมเทคโนโลยี God’s Eye

 

หลายคนอาจจะรู้จักกับเทคโนโลยี God’s Eye หรือที่เรียกกันว่า ‘ตาเทพ’ ของ BYD กันมาบ้างแล้ว ที่จะคอยให้ความช่วยเหลือผู้ขับขี่ มีสามรุ่นทั้ง 

 

  • God’s Eye C ตาเทพระดับเริ่มต้น 
  • God’s Eye B ตาเทพระดับกลาง สำหรับรถยนต์รุ่นเรือธงของ BYD และ Denza 
  • God’s Eye A ตาเทพระดับสูงสุดที่ตอนนี้ใช้กับแบรนด์ Yangwang เท่านั้น

 

ความสามารถของตาเทพถือว่ามีหลากหลายมาก ทั้งเป็นเรดาร์ตรวจสอบสภาพท้องถนน ตรวจสอบการเปลี่ยนเลน ประคองเลน ควบคุมระบบช่วยขับ ระบบช่วยการตัดสินใจขั้นสูง ฯลฯ โดยจะทำงานร่วมกับเซนเซอร์และกล้องหลายชนิด เพื่อให้ได้การทำงานที่แม่นยำสูงสุด

 

Megawatt Fast Charging Technology เทคโนโลยีชาร์จด่วน

 

BYD ได้พัฒนา Blade Battery โฉมใหม่เพื่อรองรับการถ่ายโอนประจุได้เร็วยิ่งขึ้น มีแรงเสียดทานภายในต่ำลง รองรับกำลังไฟสูงสุด 1,000 โวลต์ พร้อมทั้งรองรับกระแสไฟจากการชาร์จสูงสุด 1,000 แอมป์ และรองรับกำลังไฟจากการชาร์จสูงสุด 1,000 กิโลวัตต์ (kW) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในโลก

 

Lingyuan นวัตกรรมโดรนในรถยนต์

 

 

ภายในงานเราจะได้เห็นโดรนของ BYD พร้อมการนำเสนอคุณภาพกล้องระดับ 4K ที่ขึ้นบินระหว่างขับขี่โดยทำความเร็วไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถบินกลับมาลงจอดอัตโนมัติได้ในรัศมีไม่เกิน 2 กิโลเมตร และบินตามรถยนต์ด้วยความเร็วสูงสุด 54 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จพลังงานแบตเตอรี่ 20-80% ด้วยระยะเวลา 30 นาที และสั่งการผ่านหน้าจอภายในห้องโดยสาร หรือสั่งการได้ผ่านแอปพลิเคชัน Ling Yuan ในสมาร์ตโฟน 

 

DiSus-Z (Yunnian-Z) ระบบควบคุมการตัวถังอัจฉริยะ

 

 

 

ระบบควบคุมการตัวถังอัจฉริยะที่จะลดการสะเทือนของตัวถังขณะเข้าโค้ง เร่งความเร็ว และเบรกกะทันหัน โดย BYD พัฒนาขึ้นเพื่อยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานใหม่โดยเฉพาะ ถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่ติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวไว้ในรถที่จำหน่ายจริง ไม่ใช่แค่ติดตั้งไว้ในรถยนต์ต้นแบบ 

 

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ BYD ได้ทาง: https://www.reverautomotive.com/

The post ‘ทิศทางใหม่ของยานยนต์จีน’ BYD บอกอะไรเราใน Auto Shanghai 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส.อ.ท. ลุ้นไทยเจรจาสหรัฐฯ! หวั่นภาษีทรัมป์ฉุด ส่งออกรถยนต์ ทั้งปี 2568 วืดเป้าเหลือ 1.4 ล้านคัน https://thestandard.co/thai-auto-export-trump-tariff/ Tue, 29 Apr 2025 10:09:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1069505 thai-auto-export-trump-tariff

สรุปอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ไตรมาส 1 ยังไม่สู้ดี! ยอดผลิต […]

The post ส.อ.ท. ลุ้นไทยเจรจาสหรัฐฯ! หวั่นภาษีทรัมป์ฉุด ส่งออกรถยนต์ ทั้งปี 2568 วืดเป้าเหลือ 1.4 ล้านคัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-auto-export-trump-tariff

สรุปอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ไตรมาส 1 ยังไม่สู้ดี! ยอดผลิต ส่งออก และยอดขายเดือนมีนาคมลดลงทุกเซ็กเตอร์ เหตุเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน แบงก์ยังเข้มสินเชื่อ ‘ส.อ.ท.’ จับตากลางปี อาจปรับเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้เหลือ 1.4 ล้านคัน ลุ้นผลเจรจาสหรัฐฯ มีความชัดเจนหลังทรัมป์ชะลอขึ้นภาษี 90วัน

 

วันนี้ (29 เมษายน) สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การค้าโลก โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไตรมาสแรก จึงประเมินว่า อาจมีความจำเป็นต้องปรับลดเป้าการผลิตรถยนต์ลดลงในช่วงกลางปี 

 

โดยเฉพาะตัวเลขส่งออกรถยนต์มีแนวโน้มปรับลดต่ำกว่าล้านคัน หรือคิดเป็นยอดการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกของไทยลดลงกว่า 100,000 คัน จากเดิมคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้จะส่งออกรถยนต์ได้ 1 ล้านคัน อาจเหลือ 900,000 คัน ขณะที่ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศน่าจะอยู่ที่ 500,000 คันตามเป้าหมายที่คาดไว้ 

 

ดังนั้นเบื้องต้นยอดผลิตรถยนต์ปี 2568 ทั้งปีอาจลดลงอยู่ที่ 1.4 ล้านคัน จากเดิมคาดว่าจะผลิตได้ 1.5 ล้านคัน

 

สุรพงษ์ระบุว่า ต้องขอดูปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์สักระยะ ซึ่งกลางปี 2568 จึงจะบอกได้ว่าจะปรับลดเป้าตัวเลขยอดผลิต-ส่งออกเป็นเท่าไร 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

“ต้องรอความชัดเจนภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐฯ ที่ชะลอการจัดเก็บภาษีไป 90 วัน โดยไทยโดนภาษีศุลกากร 36% แต่กลุ่มยานยนต์เสียภาษีฐานเดิมอยู่แล้ว 25% รวมเป็น 27.5% และไทยเองก็ส่งออกรถจักรยานยนต์ เช่น บิ๊กไบค์ไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับ 1 จึงต้องรอการเจรจาระหว่างกันอีกครั้งถึงจะสามารถสรุปยอดผลิตรถยนต์โดยรวมทั้งปีได้”

 

อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้วไทยส่งออกทั้งหมด 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยส่งไปตลาดสหรัฐฯ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ สัดส่วน 18% ต้องรอดูว่าการตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่จะทำให้เราส่งออกลดน้อยลงหรือไม่ 

 

“ที่แน่ๆ จะมีส่วนหายไปแน่นอน คือรถยนต์นั่งราว 3-4 หมื่นคัน จากการเปลี่ยนรุ่นรถ ในขณะที่ชิ้นส่วนมียอดส่งออก 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ไปทั่วโลก ส่งไปสหรัฐฯ 1.5 พันล้านดอลลาร์ ครั้งนี้สงครามการค้ามีผลต่ออุตสาหกรรมซัพพลาย และการส่งออกชิ้นส่วนอย่างมาก ตรงนี้น่าห่วง” 

 

บวกกับเมื่อดูตัวเลขส่งออก 3 เดือนก็เป็นที่น่าห่วง เพราะตลาดคู่ค้าอย่างออสเตรเลียก็ยังเป็นตลาดที่ติดลบ และตลาดยุโรป เยอรมัน ฝรั่งเศสก็ติดลบ มีเพียงตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม ยังคงเป็นบวก สะท้อนว่าตลาดเอเชียยังเติบโต รวมถึงบราซิล แคนาดา เม็กซิโก ยังเป็นบวก

 

ต่อคำถามที่ว่า มีกระแสข่าวสหรัฐฯ อาจผ่อนคลายการขึ้นภาษีรถยนต์บางประเทศเช่น ญี่ปุ่น สุรพงษ์ มองว่า “สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางทหาร ซึ่งญี่ปุ่นส่งรถยนต์ไปสหรัฐฯ มายาวนานและได้เปรียบดุลการค้า มีโรงงานทั้งในสหรัฐฯ และเม็กซิโก ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงเป็นคู่ค้าสำคัญ ตลาดหลัก และเป็นพันธมิตร มีภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีกับสหรัฐฯ หากเริ่มผ่อนคลายกับญี่ปุ่นได้ ก็ส่งผลดีต่อไทยด้วย มองว่าเป็นแนวโน้มที่ดี แต่คงต้องเฝ้าติดตามในช่วง 90 วันที่สหรัฐฯ ยืดเวลาว่าสุดท้ายจะขึ้นภาษีอัตราเท่าไรหรือจะเป็นอย่างไร”

 

ไตรมาสแรก รถ EV จีนแย่งคู่ค้า แบงก์เข้มสินเชื่อ ฉุดยอดผลิตลดลง 14.88% 

 

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อดูจากยอดผลิตรถยนต์เดือนมีนาคม 2568 จะพบว่า ยอดผลิตอยู่ที่ 129,909 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.09% ส่งผลให้ภาพรวมไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2568) ยอดผลิตเพื่อส่งออกลดลง 13.48% อยู่ที่ 236,796 คัน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ไตรมาส 1/68 ลดลง 14.88% อยู่ที่ 352,499 คัน เนื่องจากมีสัดส่วนถึง 67.18% ของยอดการผลิตทั้งหมด

 

สอดคล้องกับการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมีนาคม 2568 ส่งออกได้ 80,914 คัน ลดลงจากปีก่อน 14.91% เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่น และจากการเข้มงวดในการลดการปล่อยคาร์บอนของบางประเทศและการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ราคาถูกของจีนในบางประเทศคู่ค้า จึงส่งออกลดลงในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตามส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น

 

ขณะที่ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนมีนาคม 2568 ผลิตได้ 46,692 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย 0.36% สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 55,798 คัน ยังคงลดลง 0.54% เพราะการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ยังกังวลหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราต่ำ ค่าครองชีพสูง 

ส่งผลให้ไตรมาส 1/68 ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 115,703 คัน ลดลง 17.62% เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายในประเทศอยู่ที่ 153,193 คัน ลดลง 6.45%

 

อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวโน้มยอดผลิตรถยนต์เดือนเมษายนอาจติดลบไม่มาก แม้จะมีวันหยุดมากก็ตาม แต่ยังคงได้อานิสงส์จากยอดจองรถในงานมอเตอร์โชว์ 2568 ที่มียอดจอง 77,379 คัน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มียอดจองโดยรวมเป็นอันดับหนึ่ง สูงกว่ายอดจองรถยนต์น้ำมันที่เคยอันดับหนึ่งของตลาดรถยนต์ในประเทศไปแล้ว และน่าสนใจว่า กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEV และ PHEV ยังเติบโตในไทยต่อเนื่อง

 

ภาพ: Kevin Frayer / Getty images

The post ส.อ.ท. ลุ้นไทยเจรจาสหรัฐฯ! หวั่นภาษีทรัมป์ฉุด ส่งออกรถยนต์ ทั้งปี 2568 วืดเป้าเหลือ 1.4 ล้านคัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Foxconn จ้องฮุบดีล 3 ยักษ์ญี่ปุ่น! หวังผงาดเบอร์ 1 รถยนต์ไฟฟ้าโลก หลัง Honda-Nissan ‘รักล่ม’ https://thestandard.co/foxconn-honda-nissan/ Mon, 24 Feb 2025 07:49:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1045226 Nissan Foxconn Honda

ความทะเยอทะยานในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Hon Hai Precision In […]

The post Foxconn จ้องฮุบดีล 3 ยักษ์ญี่ปุ่น! หวังผงาดเบอร์ 1 รถยนต์ไฟฟ้าโลก หลัง Honda-Nissan ‘รักล่ม’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Nissan Foxconn Honda

ความทะเยอทะยานในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Hon Hai Precision Industry หรือที่รู้จักกันในนาม Foxconn นั้นร้อนแรงเกินใคร ล่าสุดยักษ์ใหญ่ไต้หวันผู้ผลิต iPhone ประกาศเดินหน้าจับมือเป็นพันธมิตรกับ Honda Motor พร้อมเล็งเป้าหมายต่อไปคือการรวบ Nissan Motor และ Mitsubishi Motors เข้าก๊วน หลังจากการเจรจาควบรวมกิจการระหว่าง Honda และ Nissan ล่มไม่เป็นท่า

 

ก่อนหน้านี้ Foxconn เคยแสดงความสนใจที่จะเข้าซื้อหุ้น Nissan มาแล้ว ก่อนที่การเจรจาควบรวมกิจการจะเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Foxconn ในการปูทางขยายธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถูกวางให้เป็นหัวใจการเติบโตใหม่ของบริษัทนอกเหนือจากการรับจ้างประกอบสมาร์ทโฟน

 

ด้วยโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการออกแบบและผลิตรถยนต์ตามสัญญาจ้าง Foxconn ได้เปิดตัวรถโดยสารไฟฟ้าและรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในไต้หวันมาแล้ว แต่กลับต้องดิ้นรนอย่างหนักในการเจาะตลาดต่างประเทศ

 

เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ในสหรัฐอเมริกาหลายรายที่ Foxconn เคยวาดหวังจะดึงมาเป็นลูกค้า ต่างล้มหายตายจากหรือประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ทำให้ Foxconn หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุเป้าหมายเดิมในการครองส่วนแบ่ง 5% ของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2025

 

ในขณะที่ Nissan ให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับแรก Honda กลับมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฮบริด Foxconn หวังว่าการผนึกกำลังกับผู้ผลิตรถยนต์ทั้งสองราย รวมถึง Mitsubishi Motors ที่มีเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเป็นของตัวเอง จะช่วยเร่งการพัฒนาธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทให้เติบโตในระดับโลกได้

 

แม้ว่าการเจรจาควบรวมกิจการระหว่าง Honda และ Nissan จะจบลงอย่างไม่สวยงาม แต่ทั้งสองบริษัทยังคงจับมือกับ Mitsubishi Motors เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป การดึง Foxconn เข้ามาร่วมวงด้วยจึงอาจเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

 

นักวิเคราะห์มองว่าการจับคู่กันระหว่าง Honda และ Nissan นั้นอาจสร้างการ Synergy ได้น้อยเนื่องจากตลาดหลักของทั้งสองบริษัททับซ้อนกัน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีน อีกทั้งโมเดลรถยนต์หลักของทั้งสองแบรนด์ก็มีความคล้ายคลึงกัน การนำโรงงานผลิตและที่ดินส่วนเกินของ Nissan มาใช้ให้เกิดประโยชน์จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องท้าทาย

 

อย่างไรก็ตาม การเป็นพันธมิตรกับ Foxconn อาจช่วยให้การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใส่ในรถยนต์ของค่ายญี่ปุ่นเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายขึ้น การใช้ประโยชน์จากโรงงานส่วนเกินก็เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ Foxconn ดังที่เห็นได้จากโครงการต่างๆ เช่น แผนการเปลี่ยนโรงงานผลิตแผงวงจรที่ได้มาจาก Sharp ในปี 2016 ให้กลายเป็นศูนย์ข้อมูล

 

Nissan ที่กำลังดิ้นรนทางการเงินมีเวลาจำกัดในการพลิกฟื้นสถานการณ์ Moody’s Ratings เพิ่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ของ Nissan ลงสู่ระดับ Ba1 และยังคงมุมมองเชิงลบต่อไป สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าว ระบุว่าการปรับลดอันดับเครดิตครั้งนี้สะท้อนถึงผลกำไรที่ ‘อ่อนแอ’ ท่ามกลางอุปสงค์ที่ลดลงสำหรับรถยนต์รุ่นเก่าของ Nissan

 

ผู้ผลิตรถยนต์รายนี้คาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิ 8 หมื่นล้านเยนในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคมนี้ แถมยังมีหนี้สินถึง 5.8 แสนล้านเยนที่จะครบกำหนดชำระในปีงบประมาณ 2025

 

การผงาดขึ้นมาของผู้เล่นรายใหม่ๆ เช่น BYD ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าตลาดเดิมต้องดิ้นรนมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด Makoto Uchida ประธานของ Nissan กล่าวในการแถลงผลประกอบการเมื่อเดือนนี้ว่า บริษัทจะดำเนินการทบทวนเชิงกลยุทธ์เพื่อค้นหาโอกาสสำหรับพันธมิตรใหม่ๆ

 

ในขณะเดียวกัน Financial Times รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า กลุ่มบุคคลระดับสูงของญี่ปุ่นซึ่งรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรี Yoshihide Suga ได้รวมตัวกันเพื่อ ‘ชักชวน’ ให้ Tesla เข้ามาลงทุนใน Nissan ข่าวนี้ทำให้หุ้นของ Nissan พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 13% จากราคาปิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (20 กุมภาพันธ์) ณ จุดหนึ่ง

 

Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ตอบสนองต่อรายงานข่าวดังกล่าวด้วยโพสต์บน X ว่า “โรงงานของ Tesla ก็คือผลิตภัณฑ์ สายการผลิต Cybercab ไม่เหมือนใครในอุตสาหกรรมยานยนต์”

 

อ้างอิง:

The post Foxconn จ้องฮุบดีล 3 ยักษ์ญี่ปุ่น! หวังผงาดเบอร์ 1 รถยนต์ไฟฟ้าโลก หลัง Honda-Nissan ‘รักล่ม’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ควบรวม! บิ๊กยานยนต์ญี่ปุ่น Honda-Nissan ตั้งโฮลดิ้งลุย EV บุกตลาดโลก | Morning Wealth 24 ธ.ค. 2567 https://thestandard.co/morning-wealth-24122024/ Tue, 24 Dec 2024 02:41:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1022840 morning-wealth-24122024

Honda และ Nissan บิ๊กค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ประกาศเซ็น MOU ค […]

The post ชมคลิป: ควบรวม! บิ๊กยานยนต์ญี่ปุ่น Honda-Nissan ตั้งโฮลดิ้งลุย EV บุกตลาดโลก | Morning Wealth 24 ธ.ค. 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
morning-wealth-24122024

Honda และ Nissan บิ๊กค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ประกาศเซ็น MOU ควบรวมกิจการภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง ดันรายได้ทะลุ 30 ล้านล้านเยน รายละเอียดเป็นอย่างไร

 

เหลียวหลังแลหน้า เศรษฐกิจโลกและไทยปี 2024-2025 พูดคุยกับ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ควบรวม! บิ๊กยานยนต์ญี่ปุ่น Honda-Nissan ตั้งโฮลดิ้งลุย EV บุกตลาดโลก | Morning Wealth 24 ธ.ค. 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
คุยกับ ‘BOI’ ทำไมไทยเนื้อหอม ต่างชาติเลือกย้ายฐานผลิตมาไทย กับแผนหนุนอุตสาหกรรม Local Content หนุนรายใหญ่ดันหลังรายเล็ก https://thestandard.co/thailand-boi-manufacturing-investment/ Fri, 01 Nov 2024 10:01:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1002634 BOI

จากกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็น Geopolitics […]

The post คุยกับ ‘BOI’ ทำไมไทยเนื้อหอม ต่างชาติเลือกย้ายฐานผลิตมาไทย กับแผนหนุนอุตสาหกรรม Local Content หนุนรายใหญ่ดันหลังรายเล็ก appeared first on THE STANDARD.

]]>
BOI

จากกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็น Geopolitics หรือ Climate Change ทำให้ทิศทางการลงทุนโลกเปลี่ยน หลายๆ ประเทศต่างต้องการแย่งชิงเป็นเบอร์หนึ่ง ‘อุตสาหกรรมใหม่’

 

ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นในการรองรับคลื่นการย้าย ฐานผลิต จากทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์, PCB, Data Center, EV และพลังงานหมุนเวียน

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

THE STANDARD WEALTH ร่วมพูดคุยกับ นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระหว่างเยี่ยมชมโรงงาน บริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชนิด FPCB ระดับโลกจากญี่ปุ่น ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงความสำคัญของอุตสาหกรรม PCB และปีนี้ทำไมมาแรงในไทย ซึ่งโดดเด่นในการรองรับคลื่นการย้าย ฐานผลิต จากทั่วโลก

 

ทำไม PCB มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศในเวลานี้

 

นฤตม์กล่าวว่า จากกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ในวันนี้ไทยอยู่ท่ามกลางความท้าทาย 3 G นั่นคือ Geopolitics, Green Transition, Global Minimum Tax ทำให้เทรนด์และทิศทางการลงทุนอุตสาหกรรมเปลี่ยน ดังนั้นในช่วง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2024-2027 รัฐบาลจึงมุ่งดึงดูดการลงทุน ‘เศรษฐกิจใหม่’ โดยปี 2024 คาดว่าจะสามารถดึงดูดการลงทุนอยู่ที่ 900,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2025 คาดว่าจะเติบโตเช่นกัน และเชื่อว่าถึงปี 2027 คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะแตะ 3,000,000 ล้านบาท

 

นฤตม์ระบุว่า เพียงแค่เฉพาะอุตสาหกรรมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) ถือว่ามาแรงมากในช่วง 2-3 ปี นอกจากเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ วันนี้ PCB ถือเป็นหัวใจของการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์, เครื่องมือแพทย์, โทรคมนาคม, เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ, ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์

 

“ด้วยกระแสการย้ายฐานการผลิตและปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ของโลก ส่งผลให้ผู้ผลิต PCB รายใหญ่จำนวนมากตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย ทำให้ปัจจุบันไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิต PCB อันดับ 1 ของอาเซียน และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก”

 

นับตั้งแต่ปี 2023 การลงทุนในอุตสาหกรรม PCB ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในช่วงเดือนมกราคม 2023 – กันยายน 2024 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม PCB จำนวน 95 โครงการ เงินลงทุนสูงถึง 162,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงปี 2021-2022 ที่มีมูลค่าคำขอเฉลี่ย 15,000 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น

 

จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ย้ายฐานผลิตมาไทยเพิ่ม

 

ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของผู้ผลิต PCB ชั้นนำจากจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเกิดการจ้างงานในระยะแรกกว่า 20,000 ตำแหน่ง ใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้น 700,000 ล้านบาทต่อปีทีเดียว” นฤตม์กล่าว

 

อย่างบริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่มบริษัท Mektec Manufacturing Corporation ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบริษัทในเครือ NOK Corporation สัญชาติญี่ปุ่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม PCB ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น และอันดับ 6 ของโลก โดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดยืดหยุ่น (Flexible Printed Circuit Board: FPCB และ FPCBA)

 

BOI

 

เมื่อถามว่า FPCB คืออะไร ต้องบอกว่า FPCB มีคุณสมบัติพิเศษสำหรับใช้กับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่โค้งงอให้เข้ากับพื้นที่และรูปทรงที่ซับซ้อนได้ มีข้อดีตรงที่รูปทรงบางและเบา เหมาะสำหรับการใช้งานในผลิตภัณฑ์ที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และน้ำหนัก

 

ปัจจุบันนำ FPCB ไปใช้ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กอย่างสมาร์ทคอนแทคเลนส์ ไปจนถึงแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า นับว่าอยู่ในหลายๆ ผลิตภัณฑ์รอบตัวเรา

 

ปีนี้จึงถือว่ากลุ่ม PCB มีมูลค่าสูงต่ออุตสาหกรรมไทย ซึ่งโครงการของเม็กเท็คที่ได้รับการส่งเสริมใหม่ในครั้งนี้เป็นการขยายกำลังการผลิต FPCB และ FPCBA รองรับคำสั่งซื้อในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น มีเงินลงทุน 920 ล้านบาท จ้างงานบุคลากรไทยเพิ่ม 260 คน (ปัจจุบันจ้างงานกว่า 3,000 คน) และใช้วัตถุดิบในประเทศเพิ่มอีกกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี

 

“ไทยได้รับการยอมรับให้เป็นฐานการลงทุน PCB แห่งใหม่ของเอเชีย ในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมามีทั้งการขยายการลงทุนของผู้ผลิตรายเดิม เช่น Mektec, KCE และการลงทุนตั้งโรงงานใหม่โดยบริษัทผู้ผลิต PCB ระดับโลกจำนวนมาก เช่น Unimicron, Compeq, WUS, Gold Circuit, Chin Poon, Dynamic Electronics, Apex Circuit, Unitech และ Well Tek

 

“คาดว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะยังมีผู้ผลิต PCB และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยยกระดับซัพพลายเชนต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกมาก” นฤตม์กล่าว

 

โดยปัจจัยสำคัญที่บริษัทต่างชาติเลือกลงทุนในไทยคือการซัพพอร์ตจากรัฐ สิทธิประโยชน์ 3 ประเภทหลัก คือ ภาษีเงินได้ การยกเว้นภาษีอากรนำเข้าวัตถุดิบ ไปจนถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘Non-Tax’ ให้เข้ามาครอบครองที่ดินและประกอบกิจการได้ และมี Financial Incentives อีกด้วย

 

 

หนุนอุตสาหกรรม Local Content หวังให้รายใหญ่ดันหลังรายเล็ก

 

นฤตม์กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปีนี้มีการลงทุนต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อให้อุตสาหกรรมในประเทศได้รับประโยชน์จากทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย BOI จึงมีแผนส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศให้มากขึ้น โดยอยู่ระหว่างหารือใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) กับผู้ผลิตเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา BOI ให้สิทธิประโยชน์ครอบคลุมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกเซ็กเมนต์ แต่ละรายเองก็มีจุดยืนในการใช้ไทยเป็นฐานผลิตหลักในอาเซียน ซึ่ง BOI กำหนดไว้ที่ 40% แต่บริษัทส่วนใหญ่ใช้ Local Content อยู่ที่ 45-55% บางรายอาจจะตั้งเป้า 80% และทำอยู่แล้ว

 

“ก่อนหน้านี้ก็มีเวทีหารือค่ายรถจีนไปแล้วหลายราย ซึ่งแต่ละรายก็พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมซัพพลายเชนในประเทศ ดังนั้นอนาคตอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วน Local Content ให้มากขึ้นราว 50-80% ซึ่งในส่วนนี้เป็นมาตรการสมัครใจ ต้องยอมรับว่าปีนี้ยอดขายรถยนต์หายไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง อาทิ เศรษฐกิจชะลอ และไทยก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยนต์”

 

ดังนั้นเพื่อยกระดับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เข้มแข็ง เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก ในอนาคตเราจะเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปพร้อมๆ กัน ทั้งสันดาป (ICE), ไฮบริด, EV ซึ่งจุดประสงค์หลักๆ ก็เพื่อให้รายใหญ่ช่วยรายเล็กไปด้วยกัน” นฤตม์กล่าว

 

เล็งออกมาตรการใหม่หารือผู้ผลิต EV ที่ชดเชยไม่ทัน

 

นอกจากนี้ จะหารือถึงมาตรการสนับสนุนการลงทุนของแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับรถ EV เพิ่มเติม มาตรการช่วยผู้ประกอบการชิ้นส่วนภายในประเทศในรถ ICE และการพิจารณาเพื่อขยายระยะเวลาการผลิตรถ EV เพื่อชดเชยการนำเข้าแบบสำเร็จรูปตามมาตรการ EV 3.0 ซึ่งอยู่ที่ 1 ต่อ 1 คัน

 

“เนื่องจากตามเงื่อนไขของการลงทุนเพื่อตั้งฐานการผลิตรถ EV ในประเทศกำหนดให้ช่วงแรกสามารถนำเข้ารถ EV สำเร็จรูปได้ แต่จะต้องผลิตชดเชยในปี 2024 ซึ่งกลับพบว่าตลาดรถยนต์ติดลบต่อเนื่องและยังคงมีแนวโน้มติดลบไปจนถึงสิ้นปี 2024 หมายความว่าผู้ผลิตผลิตชดเชยไม่ทัน เรื่องนี้กำลังหารือกับทุกฝ่าย”

 

ทั้งนี้ คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายน 2024 จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ครั้งแรก โดยนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานบอร์ด รวมถึงกรมสรรพสามิต มาร่วมกันพิจารณาและดำเนินตามนโยบาย 30@30

 

เล็งเก็บภาษี 15% จากบริษัทข้ามชาติ รับ OECD

 

นอกจากนี้ จะพิจารณามาตรการลดผลกระทบจากการเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่จะเก็บภาษี 15% จากบริษัทข้ามชาติ โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ต้นปี 2025

 

โดยขณะนี้เป็นภารกิจของกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดการจัดเก็บภาษี 15% กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีบริษัทต่างชาติในไทยประมาณ 1,000 บริษัท

 

ทั้งนี้ BOI จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านภาษีและด้านการเงินคือสิทธิการลดหย่อนภาษีแทนการยกเว้น แต่เป็นระยะเวลานานขึ้น

 

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทได้รับสิทธิยกเว้นภาษี 5 ปี เปลี่ยนเป็นสิทธิลดหย่อนภาษี 50% เป็นเวลา 10 ปี และการใช้ พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ) เพื่อเป็นเงินสนับสนุนในส่วนของการลงทุนเพื่อพัฒนา วิจัย ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีลงทุนหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ซึ่งขณะนี้ได้ของบเพิ่มไปแล้วราว 30,000 ล้านบาท

 

คลื่นลงทุน Data Center ไทยยังมีต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ การประชุมบอร์ด BOI วันนี้ (1 พฤศจิกายน) ซึ่งมี พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท และบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ GDS มูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท

 

“กระแสการลงทุนในกิจการ Data Center ในไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ทั้ง 2 โครงการของบริษัทระดับโลกเป็นการตอกย้ำศักยภาพของไทย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ รองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลของทั้งภาคธุรกิจและองค์กรภาครัฐ อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น Digital Innovation Hub ของภูมิภาคอาเซียนด้วย” นฤตม์กล่าว

 

 

ด้านสมชาย อัศวรุ่งแสงกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เม็กเท็ค แมนูแฟ็คเจอริ่ง คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เม็กเท็คมีแต้มต่อในการลงทุนอย่างมากจากการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในหลายโครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,800 ล้านบาท โดยโครงการส่วนใหญ่เป็นการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น FPCB, FPCBA ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจกลุ่ม PCB ในไทยจะยังขยายอย่างต่อเนื่องจากแรงขับเคลื่อนที่มาจากการเติบโตของเทคโนโลยี 5G, ความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่อกับ IoT, การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, หุ่นยนต์ AI, ความก้าวหน้าในการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ และอื่นๆ

 

“เม็กเท็คมีโรงงานผลิตและสำนักงานขายกระจายอยู่ทั่วโลก เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อผลิต FPCB ตั้งแต่ปี 1995 ด้วยซัพพลายเชนที่เข้มแข็งในอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทเกิดความเชื่อมั่นในไทย” ส่วนแนวโน้มในปี 2025 น่าจะเติบโตอีกมาก เพราะจะมีการพัฒนาระบบ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ

 

ดังนั้นบริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนในอีก 3 ปีข้างหน้าโดยเฉลี่ย 300 ล้านบาทต่อปี และการลงทุนเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอีก 200 ล้านบาทต่อปี เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก” สมชายกล่าว

The post คุยกับ ‘BOI’ ทำไมไทยเนื้อหอม ต่างชาติเลือกย้ายฐานผลิตมาไทย กับแผนหนุนอุตสาหกรรม Local Content หนุนรายใหญ่ดันหลังรายเล็ก appeared first on THE STANDARD.

]]>