อุตสาหกรรมท่องเที่ยว – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 01 Nov 2024 08:27:19 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รัฐบาลไทยจ่อทุ่มงบ 9.7 หมื่นล้านบาท ขยาย-สร้างรันเวย์ในสนามบิน 6 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้ารับผู้โดยสารเพิ่ม 2 เท่าในปี 2032 https://thestandard.co/thailand-airport-runway-expansion-plan/ Fri, 01 Nov 2024 08:27:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1002591 รันเวย์ AOT

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวคึกคัก! รัฐบาลไทยเตรียมทุ่มงบ 9.7 ห […]

The post รัฐบาลไทยจ่อทุ่มงบ 9.7 หมื่นล้านบาท ขยาย-สร้างรันเวย์ในสนามบิน 6 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้ารับผู้โดยสารเพิ่ม 2 เท่าในปี 2032 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รันเวย์ AOT

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวคึกคัก! รัฐบาลไทยเตรียมทุ่มงบ 9.7 หมื่นล้านบาท เร่งขยายสนามบินและสร้าง รันเวย์ ใหม่ในสนามบิน 6 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2032

 

Nikkei Asia รายงานว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตขึ้นต่อเนื่อง สร้างเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปจนถึงปีหน้า เพื่อรองรับโอกาสดังกล่าวประเทศไทยได้เตรียมงบประมาณ 2.86 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 9.7 หมื่นล้านบาทแบ่งใช้หลายส่วน เริ่มตั้งแต่ขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารในสนามบินหลักทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

โดยประกอบไปด้วยสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง รวมถึงสนามบินในต่างจังหวัด ทั้งภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ และเชียงราย ส่วนงบที่เหลือจะแบ่งไปใช้สร้าง รันเวย์ ใหม่ ติดตั้งระบบจดจำใบหน้า และพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

 

เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จคาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 246.5 ล้านคนภายในปี 2032 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจาก 116 ล้านคนในเดือนกรกฎาคม 2024

 

ในส่วนแผนงานของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ล่าสุดเปิดใช้งานทางวิ่งเส้นที่ 3 หรือรันเวย์ 3 ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของสนามบิน มีความกว้าง 60 เมตร และความยาว 4,000 เมตร โดยจะรองรับเที่ยวบินเพิ่มจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

 

รวมถึงยังวางแผนติดตั้งระบบจดจำใบหน้าให้ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนข้อมูลหนังสือเดินทางและสแกนใบหน้าที่เคาน์เตอร์เช็กอินได้ หลังจากนั้นก็ไม่ต้องแสดงหนังสือเดินทางและบอร์ดดิ้งพาสอีกตั้งแต่จุดฝากสัมภาระไปจนถึงประตูขึ้นเครื่อง เรียกได้ว่าผู้โดยสารจะมีความสะดวกมากขึ้น

 

ทั้งหมดอยู่ในแผนงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดูแลโครงการขยายสนามบิน โดยแผนการขยายสนามบินของ AOT ก็สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันการท่องเที่ยว โดยปี 2025 ประเทศไทยตั้งเป้าจะมีเที่ยวบินรวมถึง 1 ล้านเที่ยวต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จากปีงบประมาณ 2024

 

ทั้งนี้ ในปี 2023 AOT สร้างรายได้รวมเพิ่มขึ้นราว 170% หรือ 4.8 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.8 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากการขาดทุนที่ 1.1 หมื่นล้านบาทในปี 2022

 

ปัจจุบันรายได้จากการท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักของเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนถึง 20% ของ GDP ที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างหนัก และดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการยกเว้นวีซ่าให้กับหลายประเทศมากขึ้น

 

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการลงทุนที่มากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2024 ยังอยู่ที่ 80% ขณะที่สถานการณ์ประเทศอยู่บนความไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองที่ยังน่ากังวล

 

หลังจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีปัจจุบันก็ต้องเผชิญกับคดีความที่อาจนำไปสู่การถูกตัดสิทธิจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน หากสังเกตจะเห็นว่าโครงการต่างๆ ของประเทศมักจะถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

 

อ้างอิง:

The post รัฐบาลไทยจ่อทุ่มงบ 9.7 หมื่นล้านบาท ขยาย-สร้างรันเวย์ในสนามบิน 6 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้ารับผู้โดยสารเพิ่ม 2 เท่าในปี 2032 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก ‘สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ IGNITE THAILAND’ ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี ฟรีค้ำประกัน 2 ปี https://thestandard.co/ignite-thailand-low-interest-loans/ Tue, 11 Jun 2024 08:25:54 +0000 https://thestandard.co/?p=943879 IGNITE THAILAND

กระทรวงการคลังเปิดตัวมาตรการ ‘สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ IGNIT […]

The post รู้จัก ‘สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ IGNITE THAILAND’ ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี ฟรีค้ำประกัน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
IGNITE THAILAND

กระทรวงการคลังเปิดตัวมาตรการ ‘สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ IGNITE THAILAND’ เพื่อหนุน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ท่องเที่ยว สุขภาพ และอาหาร โดยมีดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ฟรีค้ำประกัน 2 ปี

 

วันนี้ (11 มิถุนายน) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ Thailand Vision IGNITE THAILANDเพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกตามนโยบายนายกรัฐมนตรี

 

กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ IGNITE THAILANDเพื่อสนับสนุนเงินทุนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 10 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 10 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.5% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ปลอดชำระเงินต้น 6 เดือน

 

โดย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่

  1. ศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub)
  2. ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ (Wellness & Medical Hub)
  3. ศูนย์กลางอาหาร (Agriculture & Food Hub) 

 

นอกจากนี้ ยังมีกลไกการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อได้รับสินเชื่อตามโครงการได้เพียงพอกับความต้องการดำเนินธุรกิจ โดยฟรีค่าธรรมเนียมการค้ำประกันใน 2 ปีแรก และค่าธรรมเนียมเพียง 0.75% ต่อปี ในปีที่ 3-4 

 

“โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILANDจะช่วยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกตามที่รัฐบาลประกาศวิสัยทัศน์ IGNITE THAILANDไว้” เผ่าภูมิกล่าว

 

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILANDได้รับการอนุมัติวงเงินงบประมาณรวม 1,150 ล้านบาท จากงบประมาณประจำปี 2567 โดยจะดำเนินการผ่านธนาคารออมสิน

The post รู้จัก ‘สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ IGNITE THAILAND’ ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี ฟรีค้ำประกัน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ERW – ราคาหุ้นที่ลดลงเปิดโอกาสให้เข้าซื้อ https://thestandard.co/market-focus-erw-2/ Thu, 28 Mar 2024 09:51:06 +0000 https://thestandard.co/?p=916640

เกิดอะไรขึ้น: ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ในกลุ่มผู้ประ […]

The post ERW – ราคาหุ้นที่ลดลงเปิดโอกาสให้เข้าซื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ในกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ERW ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุด โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลง 12% Underperform หุ้นโรงแรมรายอื่นๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1-16% และ SET ที่ลดลง 2% ซึ่งมองว่าสะท้อนถึงมุมมองเชิงลบที่ตลาดมีต่อการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในประเทศญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ และการที่กำไรจะกลับมาเติบโตในระดับปกติในปี 2567 โดยมองว่าประเด็นลบสะท้อนในราคาหุ้นไปมากพอสมควรแล้ว เนื่องจากหุ้น ERW ซื้อขายที่ P/E ปี 2567 ระดับ 28 เท่า ซึ่งเท่ากับระดับเกือบ -1SD ของ P/E เฉลี่ยในอดีต 

 

InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติปี 2567 ของ ERW จะเติบโต 10%YoY สู่ 818 ล้านบาท Upside ของกำไรจะเกิดจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าคาดของโรงแรมในประเทศญี่ปุ่น ประมาณการดังกล่าวรวมขาดทุนซึ่งประเมินได้ที่ 30-40 ล้านบาท (3-5% ของประมาณการกำไรปี 2567) จากการดำเนินงานเต็มปีเป็นปีแรกของโรงแรม 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่น 

 

โดยอิงกับอัตราการเข้าพักที่ 75% และ ARR ที่ 3,000 บาทต่อห้อง เข้ามาแล้ว ERW คาดการณ์ถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งของการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับการสนับสนุนอุปสงค์ระดับสูงจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่อุปทานมีจำกัดเนื่องจากขาดแคลนที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ

 

1Q67 ช่วงไฮซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ช่วยสนับสนุนให้ RevPAR (กลุ่มโรงแรมระดับ 3-5 ดาว, 80% ของรายได้) ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ อยู่ที่ ~2,900 บาทต่อห้อง เพิ่มขึ้น 13%YoY และ 9%QoQ หลักๆ ได้แรงหนุนจาก ARR ที่ ~3,400 บาทต่อห้อง เพิ่มขึ้น 12%YoY และ 6%QoQ ในขณะที่อัตราการเข้าพักยังอยู่ในระดับสูงที่ 85% (เทียบกับ 84% ใน 1Q66 และ 83% ใน 4Q66) ซึ่งประเมินได้ว่ากำไรปกติ 1Q67 ของ ERW จะเติบโต YoY และ QoQ

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น ERW ปรับลง 2.93% สู่ระดับ 4.64 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.92% สู่ระดับ 1,380.83 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

InnovestX Research มองว่าราคาหุ้น ERW ที่ปรับตัวลดลง โดย Valuation ต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม บ่งชี้ถึงความคาดหวังระดับต่ำของตลาด ซึ่งสวนทางกับกำไรที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นใน 1Q67 และแนวโน้มกำไรขาขึ้นในปี 2567 ซึ่งมองว่าตอนนี้เป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้น ERW และ ERW เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มท่องเที่ยว 

 

โดยให้คำแนะนำ Tactical Call ระยะ 3 เดือนสำหรับ ERW ที่ Outperform ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 6 บาทต่อหุ้น อ้างอิง EV/EBITDA ที่ 13 เท่า (ค่าเฉลี่ยระยะยาวในปี 2548-2562) 

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทาง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ความเสี่ยง ESG คือ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพ (E)

 

The post ERW – ราคาหุ้นที่ลดลงเปิดโอกาสให้เข้าซื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 ชาวเผ่านักเดินทางกับบ้านหลังแรกในไทย https://thestandard.co/life/tribe-living-bangkok-sukhumvit-39 Mon, 25 Mar 2024 07:29:36 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=915148 TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39

ช่วงนี้ตลาดระดับกลาง (Midscale) ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแ […]

The post TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 ชาวเผ่านักเดินทางกับบ้านหลังแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39

ช่วงนี้ตลาดระดับกลาง (Midscale) ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมดูเหมือนจะเริ่มเดือดขึ้นทุกที เพราะแค่ช่วงต้นปี 2024 กรุงเทพมหานครก็มี 2 เชนดังเข้ามาเปิดในไทยถึง 2 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 แบรนด์ TRIBE แห่งแรกในไทยที่แอบเปิดตัวรับแขกเงียบๆ แม้จะยังเปิดไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

 

TRIBE เพิ่งกำเนิดได้ไม่นาน แต่ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ และมีสาขาแฟรนไชส์มากถึง 10 แห่งภายในไม่กี่ปี โรงแรมระดับ Midscale ที่มุ่งมอบประสบการณ์การพักผ่อนคุณภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่หรือบุคคลที่เดินทางเป็นนิตย์ ต้องการใช้ชีวิตแต่ยังต้องทำงานไปด้วย ฉะนั้นบรรยากาศของ TRIBE จึงเป็นโรงแรมไวบ์สนุก กระฉับกระเฉง มีพื้นที่ส่วนกลางยืดหยุ่นตามไลฟ์สไตล์ผู้เข้าพัก เอื้อกับอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี ทว่าก็ไม่ลืมเรื่องราวของชุมชน 

 

 

Why Here?

 

TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสุขุมวิท ซอย 39 ประมาณ 500 เมตรจากถนนสุขุมวิท มีห้องพัก 272 ห้อง แบ่งออกเป็น 6 รูมไทป์ มีให้บริการทั้งแบบโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ด้วยคอนเซปต์ของแบรนด์ห้องพักจึงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เน้นอยู่สบาย เริ่มต้นที่ 24-58 ตารางเมตร ด้านในตกแต่งด้วยโทนสีขาวสลับน้ำเงินหรือเหลือง ผนังบางส่วนกรุวอลล์เปเปอร์ลวดลายกราฟิก ทุกห้องมีกระจกบานโตเปิดรับแสงอาทิตย์ เตียงนอนหนานุ่ม ห้องน้ำในตัว ฝักบัวน้ำแรงแบบเรนชาวเวอร์ น้ำดื่มในห้องบรรจุในขวดแก้ว ตู้แช่เย็นปรับตามไซส์ห้อง เครื่องชงกาแฟ Nespresso และเสื้อคลุมผ้าเนื้อดีที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อ TRIBE โดยเฉพาะ

 

 

ทางด้านอาหารการกิน TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 มีห้องอาหารหลักอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ‘TRIBE Table’ All Day Dining บนชั้น 5 ที่เสิร์ฟอาหารตลอดวัน เน้นคอมฟอร์ตฟู้ดกินง่าย เข้าใจง่าย และอร่อย ยังคงความเป็นเอเชียที่สอดแทรกกลิ่นอายจากแคลิฟอร์เนีย ส่วนอีกแห่ง ‘Grab & Go’ คาเฟ่บริเวณชั้น 1 เน้นเสิร์ฟน้ำชง น้ำกระป๋อง และของกินง่ายๆ อย่างเช่น สลัดหรือแซนด์วิช เปิดตลอด 24 ชั่วโมง หิวเมื่อไรก็แวะมาหาของกินได้ทุกเมื่อ

 

 

Worth it

 

แม้จะเป็นโรงแรมขนาดเล็กที่เน้นเรื่องพื้นฐานของนักเดินทาง แต่ TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 ก็มีหลายอย่างที่เราชอบมาก เช่น

 

  • Swiming Pool: สระว่ายน้ำบนชั้น 5 ที่รายล้อมไปด้วยเดย์เบดไว้นอนบ่มผิว แม้ไม่ใหญ่มากแต่ก็ว่ายน้ำจนเหนื่อยได้ ปกติโรงแบบ Midscale จะตัดเรื่องพวกนี้ไป แต่ TRIBE ยังใส่ฟังก์ชันนี้มาด้วย
  • Onsen: เราเป็นแฟนตัวยงออนเซน และ TRIBE Bangkok ก็มีบ่นออนเซนไว้ให้บริการด้วย น่าเสียดายช่วงเวลาที่เราไปบ่อออนเซนยังไม่เสร็จดี เราจึงยังไม่ได้ใช้บริการ แต่เท่าที่สำรวจถือว่าโอเคเลยสำหรับที่พักไซส์นี้
  • Kevin Murphy: สิ่งที่ทำให้การพักผ่อนระหว่างโรงแรมหรูและโรงแรมทั่วไปแตกต่างกันคือ Sense ซึ่ง TRIBE เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมจาก Kevin Murphy มาเสริมตรงนี้ ผลิตภัณฑ์จากออสเตรเลียที่มอบกลิ่นสดชื่นให้กับผู้ใช้ บรรจุอยู่ในขวดพิเศษซึ่งเป็นวัสดุที่รีไซเคิลจากทะเล ‘Ocean Bound Material’ เป็นมิตรทั้งสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้

 

 

Good for

 

หลังจากที่ได้ไปพักเราว่า TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 เหมาะกับนักเดินทางที่ชอบสำรวจเมือง กลางวันออกไปท่องโลก เดินเที่ยวตามย่านต่างๆ กลางคืนกลับมาชาร์จพลังที่โรงแรม ถ้าวันไหนรู้สึกเหนื่อยก็ใช้วันว่างพักผ่อน แถมยังมีสเปซหลากหลายไว้เปลี่ยนบรรยากาศ สามารถนั่งทำงานได้สำหรับคนที่ชอบ Digital Nomad

 

TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39

Location: สุขุมวิท ซอย 39, BTS สถานีพร้อมพงษ์

Budget: เริ่มต้นที่ 2,511 บาท

Facebook: www.facebook.com/TRIBELivingBangkokSukhumvit39

Instagram: www.instagram.com/tribebangkok

Website: https://mytribehotel.com

Map:

 

The post TRIBE Living Bangkok Sukhumvit 39 ชาวเผ่านักเดินทางกับบ้านหลังแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่โรงแรมไทยต้องชัดเจนเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก https://thestandard.co/thailands-hotels-reduce-greenhouse-gas/ Mon, 25 Mar 2024 05:37:09 +0000 https://thestandard.co/?p=915113 โรงแรมไทย

เมื่อโลกเริ่มมองเป็นเป้าหมายเดียวกันที่พยายามหาทางบรรเท […]

The post ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่โรงแรมไทยต้องชัดเจนเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงแรมไทย

เมื่อโลกเริ่มมองเป็นเป้าหมายเดียวกันที่พยายามหาทางบรรเทาภาวะโลกเดือด จึงทำให้ทุกอุตสาหกรรมต้องหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจไม่เป็นตัวทำลายโลกไปมากกว่านี้ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมก็ไม่อาจฝืนกระแสโลกด้านนี้เช่นกัน

 

ท่องเที่ยวทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจก 8% จากทุกกิจกรรม

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยรายงานของ A Net Zero Road Map or Travel and Tourism ของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% ของทุกกิจกรรมที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกบนโลก และธุรกิจโรงแรมมีการปล่อย GHG เฉลี่ยไม่ถึง 1% 

 

เหตุผลที่โรงแรมปฏิเสธ ‘ไม่ทำไม่ได้’

 

  1. เป็นความต้องการของลูกค้า

 

จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาคสหรัฐอเมริกาและยุโรปออกมาชัดเจน โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าที่เดินทางเพื่อทำธุรกิจ (Business Travel) สำหรับจัดงานประชุมสัมมนาทั้งองค์กรในประเทศและต่างประเทศต่างต้องการให้โรงแรมที่บริษัทจะใช้บริการ ต้องแสดงข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารรับรองที่มีการดำเนินงานดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น Green Key, GSTC หรือ Green Globe ซึ่งมีบริษัทระดับโลกที่ประกาศใช้นโยบายนี้ชัดเจน เช่น Amazon, Microsoft, Siemens และ Ernst & Young

 

  1. แบรนด์โรงแรมระดับโลกแข่งขันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง

 

เพราะเชนโรงแรมรายใหญ่ระดับโลกต่างประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการดำเนินงานในธุรกิจ ตั้งแต่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและน้ำให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์มาช่วยในการบริหารจัดการด้านพลังงานมากขึ้น หรือใช้วัตถุดิบ Recycle และ Upcycle รวมถึงใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ส่วนโรงแรมที่กำลังสร้างใหม่จะเน้นการออกแบบและบริหารจัดการให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ (Decarbonize)

 

  1. พันธมิตรธุรกิจและคู่ค้าต่างเริ่มปรับตัวสู่ความยั่งยืน

 

หากโรงแรมไม่เริ่มวางแผนและลงมือปฏิบัติ เห็นทีอาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการประกอบธุรกิจในอนาคต

 

ความพร้อมโรงแรมไทยลดการปล่อยคาร์บอนยังฝืด

 

ข้อมูลจาก Cornell Hotel Sustainability ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ระบุว่า ค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการเข้าพักของลูกค้า 1 ห้องของโรงแรมในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.064 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นระดับสูงหากเทียบกับค่าเฉลี่ยของโรงแรมในภูมิภาคเอเชียที่ระดับ 0.057 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลกที่ 0.019 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สำรวจผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมทั้งหมด 400 แห่งเมื่อเดือนธันวาคม 2566 พบว่า ผู้ประกอบการโรงแรมในไทยมีความสนใจด้านความยั่งยืน แต่ยังมีการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพร้อมที่จะจัดทำรายงานความยั่งยืนในระดับที่น้อยอยู่ ซึ่งไม่สามารถดำเนินการเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันทีหรือพร้อมใช้งบลงทุนที่ยังไม่สูง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่ธุรกิจท่องเที่ยวเพิ่งกลับมาหรือเพิ่งฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด

 

โดยพบผู้ประกอบการเพียง 52.8% ที่มีการปรับตัวและดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรายใหญ่หรือบริหารเชนจากต่างประเทศ ตั้งแต่การเปลี่ยนหลอดไฟประหยัดพลังงานทั้งระบบไฟฟ้าและระบบน้ำ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือทำปุ๋ย ลดการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้ง นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ประกอบการมากถึง 96.5% ยังขาดความเข้าใจในการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือการจัดทำรายงานความยั่งยืน

 

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเกือบครึ่งหรือประมาณ 43.8% บอกว่า ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า มีแผนที่จะยกระดับโรงแรมให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ส่วนที่เหลือบอกว่า ยังไม่มีแผนงานหรือยังไม่แน่ใจที่จะดำเนินการ เนื่องจากกังวลเรื่องเงินลงทุนและต้นทุนทางธุรกิจที่จะสูงขึ้น ประกอบกับยังมองว่าธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวดีจากโควิด รวมถึงมองว่ายังไม่มีความชัดเจนในมาตรฐานการวัดเรื่องดังกล่าวที่ชัดเจน

 

ทั้งนี้มีข้อแนะนำว่า รัฐควรเข้ามามีบทบาทกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้โรงแรมไทยเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนได้ เช่น จัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงและกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานสากล การออกมาตรการทางภาษีชั่วคราว เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่มีการลงทุนหรือปรับปรุงโรงแรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประกอบกับรัฐควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพลังงานทางเลือกหรือพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีต้นทุนที่ถูกลง

 

สำรวจตัวอย่างโรงแรมไทยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

จากข้อมูล ESG Impacts and Business Showcases 2023 ที่ตลาดหลักทรัพย์ได้จัดทำขึ้น ในหมวดอุตสาหกรรมกลุ่มบริการ (Service) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมที่มีการดำเนินการเรื่อง ESG อย่างเป็นระบบ และมีเป้าหมายเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบว่า 

 

  • บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL

 

กำหนดเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 โดยมีการจัดทำนโยบายและกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ที่เน้นจัดการทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จัดการของเสียอย่างเป็นระบบ และกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมใช้เทคโนโลยีมาจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมีการเก็บข้อมูลและวัดผลความคืบหน้า ซึ่งได้เริ่มกำหนดเป้าหมายระยะ 10 ปีทางด้านสิ่งแวดล้อม (ปี 2563-2572) โดยมี 4 เป้าหมาย ได้แก่ ลดการใช้พลังงาน ลดปริมาณการใช้น้ำ ลดปริมาณขยะที่ส่งไปฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% จากปีฐาน 2562 รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกและพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจก พร้อมคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล และยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ในการให้บริการในห้องพัก โดยตั้งเป้าหมายยกเลิกการใช้ทั้งหมดภายในปี 2568 

 

นอกจากนี้ธุรกิจโรงแรมเน้นการบริหารจัดการด้านพลังงานและไฟฟ้า โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์ ปรับปรุงระบบและอุปกรณ์เพื่อลดการใช้พลังงาน โดยนำพลังงานความร้อนที่ปล่อยทิ้งกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และติดตั้งระบบทำน้ำร้อนแบบประหยัดพลังงานที่สระจากุซซีของโรงแรม ซึ่งสามารถช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ 2-3 เท่า และติดตั้ง Chiller Optimizer ที่โรงแรม 5 แห่ง ทำให้ลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 10-15% 

 

รวมถึงนำเทคโนโลยี Magnetic-Bearing Chiller Compressors ของเครื่องทำความเย็นที่ใช้กับระบบปรับอากาศมาติดตั้งที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ รีสอร์ท พัทยา ช่วยลดการใช้พลังงานได้ 10% และกำลังจะติดตั้งเพิ่มเติมอีก 3 โรงแรม พร้อมติดตั้งระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวในห้องพัก เพื่อควบคุมแสงสว่างและระบบปรับอากาศที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์, เซ็นทรัลเวิลด์ และโรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย ส่งผลให้ในปี 2565 อัตราการใช้พลังงานรวมต่อพื้นที่เท่ากับ 218.65 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อตารางเมตร ลดลง 84% จากปีฐาน 2562 และอัตราการใช้ไฟฟ้าต่อห้องที่ลูกค้าเข้าพักเท่ากับ 77.59 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ลดลงจากปีก่อนถึง 42%

 

  • บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT 

 

ตั้งเป้าหมายการจัดการสิ่งแวดล้อมระยะสั้นโดยอ้างอิง Cornell Hotel Sustainability Benchmarking Index 2021 และกำหนดเป้าหมาย Net Zero ที่อิงหลัก Science Based Targets initiative (SBTi) ภายในปี 2593 และมีการทบทวนบัญชีคาร์บอนของหน่วยธุรกิจทั้งหมดทั้ง Scope 1, 2 และ 3 โดยนำแนวปฏิบัติ 4R มาใช้ คือ การลด การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล และการทดแทน เช่น ใช้พลังงานทดแทนที่มีสัดส่วนมากกว่า 30% ของการใช้พลังงานรวมของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 11% ของพลังงานที่ซื้อทั้งหมดในปี 2565 ทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 23% เมื่อเทียบกับปี 2564 พร้อมหาวัตถุดิบหรือทดแทนด้วยวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการใช้พลังงานทดแทนในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท

 

นอกจากนั้นมีนโยบายลดปริมาณของเสียและกำจัดขยะอย่างถูกวิธี เพื่อนำมาหมุนเวียนใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจโรงแรมนำของเสียของอาหารไปทำปุ๋ยหมักและเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งในปี 2565 สามารถลดปริมาณขยะอินทรีย์ได้ 25% กลุ่มธุรกิจ Nomad Coffee นำของเสียไปทำเป็นปุ๋ยหมักและเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล จนสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่สูงถึง 60% พร้อมเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมวัตถุดิบ พลังงาน และน้ำ ควบคู่กับความรับผิดชอบในการปล่อยของเสีย น้ำเสีย และก๊าซเรือนกระจก รวมถึงใช้แนวทางการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) ในการประเมินความเสี่ยงและโอกาส อีกทั้งติดตามการดำเนินงานของคู่ค้าสำคัญให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง 

 

  • บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR

 

มีนโยบายให้ทุกโรงแรมบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงมีการบำบัดน้ำเสีย เช่น ที่โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ จังหวัดกระบี่ ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยขุดบ่อดินกักเก็บน้ำดิบแล้วส่งเข้าระบบ Reverse Osmosis เพื่อแปรรูปเป็นน้ำจืด มีระบบบำบัดน้ำเสียแยกถังเกรอะ แยกกาก และใช้ถังกรองชีวภาพแบบเติมอากาศ เพื่อนำน้ำที่ผ่านการบำบัดไปรดน้ำต้นไม้ ทำให้ปริมาณการใช้น้ำต่อหน่วยลดลง 23% และมีปริมาณน้ำที่รีไซเคิลได้ 60% ที่โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนสามารถลดปริมาณน้ำต่อหน่วยลงได้ถึง 52% และมีปริมาณน้ำที่รีไซเคิลได้ 80% ที่โรงแรม Crossroads Maldives ซึ่งสามารถลดปริมาณการใช้น้ำต่อหน่วยลง 14% และมีปริมาณน้ำที่รีไซเคิลได้ 47%

 

ไม่มีเป้าหมาย Net Zero แต่ก็มีโรงแรมรักษ์โลกมานาน

 

แม้เรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกำลังเป็นเทรนด์ที่โรงแรมแต่ละแห่งจะเพิกเฉยไม่ได้ แต่ก่อนหน้าที่กระแสหรือผลกระทบโลกเดือดจะเห็นชัดเจนถึงตอนนี้ ก็มีโรงแรมบางแห่งที่ต้องการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นมิตรมาโดยตลอด 

 

  • The Moken Eco Village

 

บนเกาะพระทอง จังหวัดพังงา ที่มีนโยบายเน้นการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างเป็นมิตร งดการใช้ขวดพลาสติก และให้ความสำคัญกับการรีไซเคิล เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะอาจจะมีไฟฟ้ารองรับไม่ได้ทั้งหมด และเลือกที่จะทำทุกส่วนด้วยการใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ร้อยเปอร์เซ็นต์แทนระบบการปั่นไฟเหมือนในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามออกแบบอาคารที่พักที่เน้นจากธรรมชาติจากต้นไม้ที่ปลูกเองมานาน ซึ่งเมื่อตัดใช้แล้วก็จะมีการปลูกขึ้นมาทดแทนตลอด เพราะพยายามไม่ใช่ปูนหรือสิ่งแปลกปลอม ไม่มีแอร์หรือทีวี และผนังห้องทุกหลังจะทำเป็นช่องลมตามภูมิปัญญาชาวบ้าน แล้วติดมุ้งลวดกันยุงแทน รวมถึงสนับสนุนให้คนใช้พลาสติกบนเกาะให้น้อยที่สุด เพื่อลดการสร้างขยะบนเกาะหรือเพิ่มภาระการกำจัดที่ปัจจุบันก็มีขยะทะเลที่พัดเข้าฝั่งมาจำนวนมาก โดยจะฝากถุงตาข่ายไว้ที่ร้านประจำเพื่อเวลาไปซื้อของไว้ใส่กลับมา หรือสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวใช้กระบอกน้ำไว้เติมน้ำเวลาพกไปหน้าหาดแทนขวดพลาสติก ส่วนเศษอาหารที่ได้ก็จะนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์

 

ททท. จับมือ มช. พัฒนาแพลตฟอร์มหนุนโรงแรมลดก๊าซเรือนกระจก

 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับหน่วยวิจัยเพื่อการจัดการพลังงานและเศรษฐนิเวศ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาแพลตฟอร์ม www.cf-hotels.com ขึ้นมาให้ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักสามารถสร้างฐานข้อมูลบัญชีรายการสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พลังงาน น้ำ ของเสีย และก๊าซเรือนกระจก โดยจัดอบรมการคำนวณปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ปล่อยจากกิจกรรมในการดำเนินธุรกิจโรงแรมและที่พัก ซึ่งจะสะท้อนการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมและที่พักที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถบ่งชี้ถึงศักยภาพการบริหารจัดการที่ผ่านมาว่า ธุรกิจประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนมากน้อยเพียงใด

 

ปัจจุบันมีโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการนี้แล้วทั้งหมด 149 แห่ง คิดเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 74,306 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมีการปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกไปทั้งหมด 8,034 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

  • เขาหลัก เมอร์ลิน รีสอร์ท จังหวัดพังงา

 

มีเป้าหมายเป็นโรงแรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และได้เข้าร่วมอบรมในโครงการ CF-Hotels เพื่อประเมินว่ากิจกรรมที่ทำจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้เท่าใด ทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน ประหยัดน้ำ การจัดการขยะ และการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกต้นไม้เพิ่ม การนำขยะมาทำเป็นปุ๋ยหมัก การนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วไปขาย และสามารถทำกิจกรรมชดเชยได้เท่าใด

 

นอกจากนั้นยังเป็นโรงแรมที่ได้ออกแบบโครงสร้างและการก่อสร้างอาคารที่ไม่ให้มีการทำลายต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เดิมหลายร้อยต้น ทำให้บริเวณโดยรอบมีต้นไม้สูงๆ และทำให้มีสัตว์ที่อาศัยตามธรรมชาติอยู่เยอะ โดยมีเป้าหมายคงแนวทางรักษ์ธรรมชาติเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือ การดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง BIGTrees Project และ Love Wildlife Foundation (มูลนิธิรักสัตว์ป่า) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อการอนุรักษ์ให้ดีที่สุด มีหมอต้นไม้เข้ามาตรวจสุขภาพต้นไม้ หรือถ้ากรณีข้างในต้นไม้เป็นเชื้อราหมดแล้ว ก็จะช่วยมาตัดอย่างปลอดภัยและมีการปลูกทดแทนเสมอ อีกทั้งมีการจัดการแยกขยะ ลดการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น พร้อมนำเศษอาหารใบไม้ในโรงแรมมาทำปุ๋ยหมักใช้ภายในโรงแรม และมีระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนอีกครั้งหนึ่ง

 

อย่างไรก็ดี การช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจไม่ใช่หน้าที่ของโรงแรมหรือผู้ประกอบการเพียงฝ่ายเดียว เพราะในฐานะผู้ไปเยือนหรือนักท่องเที่ยว ก็สามารถช่วยทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์จากการพักผ่อนและกิจกรรมเวลาไปเที่ยวได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งกิจกรรมอะไรที่ช่วยลดการคุกคามธรรมชาติได้หลังจากเราไปเสพประโยชน์จากเขาแล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ควรทำ?

 

อ้างอิง: 

The post ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่โรงแรมไทยต้องชัดเจนเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภูฏานหั่นค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวลงครึ่งหนึ่ง หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น https://thestandard.co/bhutan-cuts-tourist-fee-by-half/ Sun, 27 Aug 2023 02:24:03 +0000 https://thestandard.co/?p=834190

ภูฏานประกาศลดค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวลงครึ่งหนึ่ง จาก […]

The post ภูฏานหั่นค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวลงครึ่งหนึ่ง หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

ภูฏานประกาศลดค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวลงครึ่งหนึ่ง จาก 200 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยความพยายามที่จะส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าไรนัก หลังจากประเทศยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิดมาแล้ว 1 ปี

 

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ภูฏานขึ้น ‘ค่าธรรมเนียมการพัฒนาที่ยั่งยืน’ หรือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวต่อคนต่อคืน จาก 65 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 200 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อประเทศตัดสินใจยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดที่ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปี โดยชี้แจงว่า จะนำเงินที่ได้จากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวไปชดเชยกับคาร์บอนที่นักท่องเที่ยวสร้างขึ้น

 

รัฐบาลภูฏานระบุในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมว่า อัตราค่าธรรมใหม่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ ต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลา 4 ปี

 

“นี่เป็นการคำนึงถึงบทบาทที่สำคัญของภาคการท่องเที่ยวในการสร้างการจ้างงาน การสร้างรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม” แถลงการณ์ระบุ

 

หลังโดดเดี่ยวมานาน ภูฏานตัดสินใจเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวในปี 1974 ข้อมูลทางการเผยว่า ในปีแรกนั้นภูฏานมีนักท่องเที่ยว 300 คน ก่อนที่ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 315,600 คนในปี 2019 ซึ่งเพิ่มขึ้น 15.1% จากปีก่อนหน้า

 

ที่ผ่านมาภูฏานระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาโดยตลอด เช่น ห้ามปีนเขาเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของยอดเขา และค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวเป็นการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เหลือเพียงนักท่องเที่ยวที่มีกำลังจ่าย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงเศษเสี้ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเนปาล

 

อย่างไรก็ตาม ภูฏานหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของประเทศ โดยเพิ่มจากประมาณ 5% เป็น 20% 

 

ดอร์จี ดราดุล อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวว่า การลดค่าธรรมเนียมลงครึ่งหนึ่งอาจช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม ซึ่งถือเป็นช่วงพีคของการท่องเที่ยว 

 

ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน รัฐบาลได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับระยะเวลาเข้าพักและค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวกลับไม่กระเตื้องขึ้นตามที่คาดหวังไว้

 

อธิบดีเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้มีนักท่องเที่ยวไปเยือนภูฏานมากกว่า 56,000 คน แต่ในจำนวนนี้เป็นชาวอินเดียถึงประมาณ 42,000 คน ซึ่งต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพียง 1,200 รูปีอินเดีย (14.5 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อวันเท่านั้น

 

ปัจจุบันมีชาวภูฏานที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยวประมาณ 50,000 คน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 84 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วง 3 ปีก่อนเกิดการระบาดใหญ่ 

 

ภาพ: Kuni Takahashi / Getty Images

อ้างอิง:

The post ภูฏานหั่นค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวลงครึ่งหนึ่ง หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เลส์โรชส์’ สถาบันการบริหารโรงแรมระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ เข้ามาเปิดสอนในไทย รับโอกาสอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโต https://thestandard.co/les-roches-teaching-in-thailand/ Wed, 07 Jun 2023 03:00:58 +0000 https://thestandard.co/?p=800133 เลส์โรชส์

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยโตแรง เป็นโอกาสให้ ‘เลส์ โรชส์’ […]

The post ‘เลส์โรชส์’ สถาบันการบริหารโรงแรมระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ เข้ามาเปิดสอนในไทย รับโอกาสอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
เลส์โรชส์

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยโตแรง เป็นโอกาสให้ ‘เลส์ โรชส์’ สถาบันการศึกษาชั้นนำด้านการบริหารโรงแรมและธุรกิจบริการโรงแรมระดับลักชัวรีจากสวิตเซอร์แลนด์ เปิดหลักสูตรเพิ่มทักษะดึงคนรุ่นใหม่ไปเรียน การันตีเรียนจบพร้อมทำงานในตำแหน่งผู้บริหารทันที

 

“จุดเด่นของเราที่แตกต่างจากสถาบันอื่นๆ คือเรื่องพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยและรีสอร์ตที่ให้บริการแบบลักชัวรี เน้นให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติงาน และได้รับประสบการณ์จริงทั้งมุมการเป็นผู้บริการและผู้ใช้บริการ ทำให้มีความพร้อมในการทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่นักศึกษาที่จบจากสถาบันจะเป็นผู้บริหารในโรงแรมต่างๆ ทั่วโลก” คาร์ลอส ดิเอช เดอ ลา ลาสตรา ประธานกรรมการบริหาร ของ สถาบันเลส์โรชส์ (Les Roches) กล่าว

 

สิ่งที่น่าสนใจคือสถาบันการศึกษาจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ มาให้ผู้เรียนได้ ใช้ อย่างเช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ แม้กระทั่งรถยนต์ MINI Cooper, Tesla และ BMW ที่สามารถจองในแอปพลิเคชันแล้วขับไปเที่ยวได้เลย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ประสบการณ์ในมุมมองของแขกที่เข้ามาพัก

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ยิ่งไปกว่านั้น เลส์โรชส์ได้นำความเชี่ยวชาญทั้งหมดมาใช้ในไทย ที่ผ่านมาสถาบันได้ตั้ง Asian Institute of Hospitality Management ในวิทยาเขตทั้งในกรุงเทพฯ และชลบุรี ด้วยการเปิดหลักสูตรในระดับประกาศนียบัตร อนุปริญญา และปริญญาตรี  ด้านการบริหารจัดการธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับไมเนอร์ โฮเทลส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของโรงแรมในเครือไมเนอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้ผูกติดกับแบรนด์โรงแรมใดโรงแรมหนึ่ง เพราะเป้าหมายหลักๆ ต้องการรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะ

 

สำหรับสถาบันเลส์โรชส์ จัดตั้งมานานกว่า 70 ปี อยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และสเปน ถูกจัดอันดับอยู่ใน 4 และ 5 ของสถาบันชั้นนำในโลกทางด้านการบริหารโรงแรมและธุรกิจบริการโรงแรม

 

ส่วนหลักสูตรปริญญาโท จะเน้นการบริการต้อนรับและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน การตลาดและการบริหารจัดการสำหรับการท่องเที่ยวระดับลักชัวรี และหลักสูตรปริญญาโทการบริหารธุรกิจ (MBA) ซึ่งในหลักสูตรนี้จะมีทั้งการเรียนที่สถาบัน เรียนทางไกล หรือเรียนแบบผสม

 

โดยที่ผ่านมาสถาบันมีนักศึกษาจากทั่วโลกเข้าไปเรียนกว่า 16,000 คน รวมถึงจากประเทศไทยที่มีศิษย์เก่าจบการศึกษาและเข้ามาทำงานในไทยกว่า 100 คน มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

 

คาร์ลอส ดิเอช เดอ ลา ลาสตรา ประธานกรรมการบริหาร ของ สถาบันเลส์โรชส์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เราทำจะสามารถรองรับกับภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใน ประเทศไทยที่มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง และประเทศไทยเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

ที่สำคัญปัจจุบันภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในไทยคิดเป็นสัดส่วน 12% ของ GDP ก่อนเกิดโควิด โดยมีเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 2.38 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวในประเทศ 6.70-8.80 แสนล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทย 6.15 ล้านคน ซึ่งถือว่ามากกว่าเป้าหมายที่วางไว้

 

แน่นอนว่าได้สร้างอานิสงส์ให้ธุรกิจโรงแรมที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครือโรงแรมระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีการขยายต่อไปอีกในอนาคต เริ่มตั้งแต่เครือแอคคอร์ (Accor) มีโรงแรม 87 แห่ง และห้องพัก 19,977 ห้อง กระจายอยู่ใน 11 แบรนด์ และวางแผนจะขยายโรงแรมอีก 21 แห่งภายในปี 2571 ทำให้มีความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้น และหลักสูตรของสถาบันจะสามารถตอบโจทย์ได้อย่างต่อเนื่อง

The post ‘เลส์โรชส์’ สถาบันการบริหารโรงแรมระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ เข้ามาเปิดสอนในไทย รับโอกาสอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
WTTC คาด GDP การเดินทางท่องเที่ยวโลกปีนี้พุ่งแตะระดับ 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวกลับสู่ระดับ Pre-COVID ในปีหน้า https://thestandard.co/wttc-forecast-gdp-travel-tourism/ Mon, 08 May 2023 09:06:47 +0000 https://thestandard.co/?p=787069 GDP ท่องเที่ยว

สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) คาดการณ์ว่า GDP […]

The post WTTC คาด GDP การเดินทางท่องเที่ยวโลกปีนี้พุ่งแตะระดับ 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวกลับสู่ระดับ Pre-COVID ในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
GDP ท่องเที่ยว

สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) คาดการณ์ว่า GDP ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเดินทางทั่วโลกในปีนี้จะมีมูลค่ารวมแตะระดับ 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่า GDP ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดเพียง 5% โดยการฟื้นตัวในปีนี้จะได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวจีนที่จะเริ่มทยอยกลับมาเดินทางอีกครั้ง 

 

Julia Simpson ประธานของ WTTC เชื่อว่า GDP ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเดินทางโลกจะกลับไปเท่ากับระดับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดในปี 2024 และมีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะสูงกว่าในปี 2019 ด้วย โดยคาดว่าการเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาเหนือและใต้จะกลับสู่ระดับก่อนโควิดในปีนี้ ขณะที่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชีย-แปซิฟิกอาจต้องรอถึงปี 2024 โดยภูมิภาคที่จะฟื้นตัวช้าที่สุดคือแคริบเบียน

 

ข้อมูลจากงานวิจัยของ WTTC ระบุว่า ในปีที่ผ่านมามีประเทศที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิดแล้ว 34 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐโดมินิกัน และมีความเป็นไปได้สูงที่ในปีนี้จะมีอีก 50 ประเทศที่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับดังกล่าว

 

อย่างไรก็ดี WTTC อธิบายว่าการฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิดในที่นี้เป็นการคำนวณตามมูลค่า GDP ไม่ได้หมายถึงในแง่จำนวนทริปการเดินทาง โดย WTTC คาดว่าจำนวนทริปเดินทางในปีนี้จะลดลงจากในช่วงโควิด จากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนการเดินทางและตั๋วเครื่องบินมีราคาสูงขึ้น 

 

ขณะเดียวกัน WTTC ยังคาดว่าปัจจัยเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสความยั่งยืน ก็จะส่งผลให้บริษัทต่างๆ ลดจำนวนทริปการเดินทางของพนักงานลงด้วย

 

งานวิจัยของ WTTC ยังประเมินด้วยว่า การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและเดินทางจะส่งผลดีต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมนี้ โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมนี้ราว 95% ของจำนวนการจ้างงานในปี 2019 ที่ 334 ล้านตำแหน่ง และหากมองไปใน 10 ปีข้างหน้า WTTC คาดว่าการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวและเดินทางจะเพิ่มขึ้นเป็น 430 ล้านตำแหน่ง หรือราว 12% ของแรงงานทั่วโลก


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


อ้างอิง:

The post WTTC คาด GDP การเดินทางท่องเที่ยวโลกปีนี้พุ่งแตะระดับ 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวกลับสู่ระดับ Pre-COVID ในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดมุมมองเอกชนต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ปั้นแบรนด์ประเทศไทยในมิติใหม่ สร้าง ‘ทีมไทยแลนด์’ สู่เป้าหมายเดียวกัน https://thestandard.co/tourism-business-and-services/ Fri, 21 Apr 2023 02:25:38 +0000 https://thestandard.co/?p=779274 ธุรกิจท่องเที่ยว และบริการ

“ภาคการท่องเที่ยวและบริการของไทยจะเป็นแชมป์ รักษาความเป […]

The post เปิดมุมมองเอกชนต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ปั้นแบรนด์ประเทศไทยในมิติใหม่ สร้าง ‘ทีมไทยแลนด์’ สู่เป้าหมายเดียวกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจท่องเที่ยว และบริการ

“ภาคการท่องเที่ยวและบริการของไทยจะเป็นแชมป์ รักษาความเป็น Top of mind of Tourism จำเป็นต้องมีเป้าหมายและแนวทางขับเคลื่อนด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนตามท้องถิ่นต่างๆ ไปในทิศทางเดียวกัน (One Goal One Direction) ไทยจึงต้องมี ‘ทีมไทยแลนด์’ ที่แข็งแกร่งพร้อมจะเดินหน้า Rebranding Thailand ให้มีจุดยืนที่แตกต่างและชัดเจนขึ้น สร้างเรื่องราวและประสบการณ์ใหม่ๆ สื่อสารไปถึงคนทั่วโลก ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างกลยุทธ์เพื่อครองแชมป์ไปตลอด” ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ บนเวทีตอบข้อซักถาม ‘มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ’ การส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ จัดขึ้นโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  

 

ชฎาทิพกล่าวเพิ่มว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย และอิทธิพลของการท่องเที่ยวยังส่งผลกระทบครอบคลุมกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะคนที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น ซึ่งก่อนสถานการณ์โควิด ไทยรับนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 40 ล้านคน ในปี 2565 นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยถึง 11.5 ล้านคน ส่งผลให้การท่องเที่ยวต้องปรับเป้าในปี 2566 จาก 25 เป็น 30 ล้านคน 

 

เหล่านี้สะท้อนชัดว่า การรุกหนักเรื่องท่องเที่ยวไทยด้วยกลยุทธ์และทิศทางที่แข็งแกร่งมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศอย่างมากมายมหาศาล  

 

ชฎาทิพวิเคราะห์ว่า ปัจจัยที่ทำให้ไทยยังคงได้รับการโหวตให้เป็นสถานที่ที่คนอยากมาเยี่ยมเยือนมากที่สุด เป็นหมุดหมายอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลกมาได้อย่างยาวนาน ล้วนขึ้นอยู่กับรากฐานของ 5 Superpowers ดังนี้  

 

  1. เราเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม เพราะจุดแข็งของไทยเริ่มต้นวางฐานรากที่มั่นคง ผ่านการเซ็ตบริบทต่างๆ และจัดการ Network ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากว่า 50 ปีแล้ว 

 

  1. วัฒนธรรมไทยคือเรื่องราวที่สามารถบอกเล่าและขายได้ตลอดกาล เป็นสิ่งที่ประทับใจไปทั่วโลก และเป็นจุดขายที่ไม่มีวันล้าสมัย 

 

  1. ไทยตั้งอยู่ใจกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แวดล้อมด้วยประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังเติบโตทางด้านการท่องเที่ยว จึงสามารถต่อยอดการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยได้ 

 

  1. ภาคเอกชนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแข็งแรงที่สุด มี Network ที่กว้างไกล ทำงานแบบร่วมมือซึ่งกันและกันในทุกภาคส่วน และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเต็มที่ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนจาก GDP 20% มาจากการท่องเที่ยว สร้างเงินได้ถึง 1.93 ล้านล้านบาท และมีคนทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นจำนวนหลายล้านคน   

 

  1. คนไทยเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุด ซึ่งทั่วโลกประทับใจในความอบอุ่น และความเป็น Land of Smile ที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์อันทรงพลังในหลากหลายมิติ ได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลก

 

และเมื่อบริบทของโลกเปลี่ยนไปหลังโควิด การส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวและบริการของไทยจึงควรชูประเด็นการ Rebranding Thailand ขึ้นมาให้เป็น ‘เข็มทิศ’ 

 

“วันนี้เราอยากให้คนทั้งโลกเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร ถึงเวลาที่ต้องกลับมาทบทวนว่าเราจะมีนโยบาย กลยุทธ์อะไรที่จะทำให้เราครองความเป็นแชมป์ให้ได้ การสื่อสารแบรนด์ประเทศไทยที่มีเป้าหมายและแนวทางเดียวกันในทุกสื่อ ที่ไม่ได้พูดแค่เรื่อง Thainess อย่างเดียว แต่ต้องเป็นการรวบรวมทั้งอัตลักษณ์ความเป็นไทย และความเป็น World Class Destination ที่แท้จริงเข้ามาอยู่รวมกัน อีกทั้งต้องจับเทรนด์ของการท่องเที่ยวมาสร้างกลยุทธ์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” ชฎาทิพกล่าว

 

สิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งมือทำอย่างเร่งด่วน คือการสร้าง ‘ทีมไทยแลนด์’ ร่วมมือรวมพลังกันตั้งทีมทำงานเป็นองค์รวม ระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน เพื่อปรับใช้กลยุทธ์ไปในทิศทางเดียวกัน สร้างเป้าหมายและ Action Plan ในทิศทางเดียวกัน จัดสรรและบริหารงบประมาณเรื่องการท่องเที่ยวให้คุ้มค่าที่สุด ควบคู่ไปกับการทำงานแบบ Agile แลกเปลี่ยน สื่อสาร ร่วมแก้ปัญหา และปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกลยุทธ์ครองแชมป์ไปตลอด 

 

ชฎาทิพกล่าวถึงเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้ไทยคว้าชัยชนะไปตลอด ก็คือมิติใหม่ๆ ของการท่องเที่ยว ซึ่งระยะสั้นควรพุ่งเป้าไปที่ Hub of Art of Asia ซึ่งไทยมีศักยภาพด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และศิลปินไทยมี Creativity อยู่แล้ว สามารถดึงอาร์ตแฟร์ของโลกให้มาอยู่ในเมืองไทย และยกระดับศิลปินไทยให้ทัดเทียมได้ สร้าง Cultural Destination เช่น สร้างพิพิธภัณฑ์ที่มีมาตรฐานระดับโลกเพื่อรองรับการแสดงงานศิลปะจากต่างประเทศ เหล่านี้สามารถสร้างได้เร็วที่สุดและใช้ต้นทุนน้อย   

 

สำหรับแผนระยะกลางต้องเร่งผลักดันให้ไทยเป็น Hub of World-Class Events มีงานระดับโลกเข้ามาจัดในไทยมากขึ้น เพราะแนวทางนี้สามารถดึง Quality Tourists เข้ามาได้กว่าแสนคนต่องาน ยิ่งมีอีเวนต์ระดับโลกในไทยมากเท่าไรก็ยิ่งดึงเม็ดเงินเข้าประเทศได้มากเท่านั้น 

 

และที่เหนือไปกว่านั้น คือต้องคว้าเป้าหมายในการเป็น Hub of Headquarter ทำให้ต่างชาติย้ายมาตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย โดยกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ กลยุทธ์ และเป้าหมายการสร้าง Headquarter Hub ให้เกิดขึ้น สร้างศูนย์กลางการให้บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุน และปรับแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป้าหมายนี้จะสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้ ด้วยรายได้จากหลายมิติในทันที

 

รวมถึงเน้นการสนับสนุนการท่องเที่ยวคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ได้ บนพื้นฐานของการสร้างเรื่องราวใหม่ การท่องเที่ยวรักษ์โลก ความเท่าเทียม เสริมสร้างเครือข่ายที่กว้างไกล พร้อมตอกย้ำการจัดทีมไทยแลนด์ให้สำเร็จ ปรับการทำงานเป็น Smart Tourism ใช้ดิจิทัลเข้ามาบอกเล่าสื่อสารทำให้ถูกต้อง ควบคู่ไปกับการเร่งปรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่าง ท่าอากาศยาน และสายการบินแห่งชาติ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว และจัดระบบแรงงานที่มาจากต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นระบบและเพียงพอ

 

“เพราะประเทศไทยต้องครองความเป็นที่หนึ่งในใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก ต้องสร้างการเติบโตที่แข็งแรงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ให้เราเป็นที่หนึ่งได้ตลอดกาล Win the World for Thailand” ชฎาทิพกล่าวทิ้งท้าย

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

 

The post เปิดมุมมองเอกชนต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ปั้นแบรนด์ประเทศไทยในมิติใหม่ สร้าง ‘ทีมไทยแลนด์’ สู่เป้าหมายเดียวกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
บริษัทนำเที่ยวจีนพร้อมเปิดกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศ คาดอัดเงินเข้าระบบ 2 แสนล้านดอลลาร์ ฟื้นเศรษฐกิจโลก https://thestandard.co/china-opening-international-tourism/ Mon, 06 Feb 2023 05:26:20 +0000 https://thestandard.co/?p=746439

Global Times รายงานว่า บริษัทนำเที่ยวของจีนกำลังเตรียมเ […]

The post บริษัทนำเที่ยวจีนพร้อมเปิดกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศ คาดอัดเงินเข้าระบบ 2 แสนล้านดอลลาร์ ฟื้นเศรษฐกิจโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

Global Times รายงานว่า บริษัทนำเที่ยวของจีนกำลังเตรียมเปิดให้บริการกรุ๊ปทัวร์ขาออกอีกครั้งตั้งแต่วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกจะออกเดินทางไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงไทย และ สปป.ลาว

 

บุคคลในแวดวงอุตสาหกรรมคาดว่า ทัวร์และนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนมีนาคม และการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวจีนคาดว่าจะสร้างแรงกระตุ้นใหม่ให้กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

China Spring Tour หนึ่งในบริษัทนำเที่ยวของจีนกล่าวว่า ในวันนี้ (6 กุมภาพันธ์) กลุ่มนักท่องเที่ยวราว 40 คนจะเดินทางสู่กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยจะออกเดินทางจากกว่างโจวในช่วงเช้าตรู่ และเดินทางถึงกรุงเทพฯ เวลา 08.05 น. ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ถือเป็นกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศกลุ่มแรกของบริษัทในปี 2023 โดยบริษัทกล่าวว่า ทัวร์ 6 วัน 5 คืนไปภูเก็ตขายหมดตั้งแต่วันแรกที่ออก เนื่องจากราคาค่อนข้างต่ำ บริการวีซ่าที่สะดวก และเวลาเดินทางที่ตอบโจทย์

 

นอกจากนี้ China Spring Tour จะเปิดตัวกรุ๊ปทัวร์อีก 2 กลุ่มที่กรุงเทพฯ ในประเทศไทย และเวียงจันทน์ใน สปป.ลาวในวันจันทร์นี้ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บริษัทได้ขายทัวร์ต่างประเทศไปเกือบ 1,000 รายการ ซึ่งรวมถึงทัวร์แบบหมู่คณะ การเดินทางด้วยตนเอง บริการวีซ่า และการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม

 

สถานการณ์ของ China Spring Tour สะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเริ่มการเดินทางต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีน ประกาศเมื่อวันที่ 20 มกราคมว่า จีนจะเปิดตัวโครงการนำร่องเพื่อกลับมาให้บริการการเดินทางต่างประเทศแบบกลุ่มไปยัง 20 ประเทศ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป 

 

ด้าน Zhou Weihong รองผู้จัดการทั่วไปของ China Spring Tour กล่าวเสริมว่า การเดินทางต่างประเทศของชาวจีนจะมีมากขึ้นในฤดูใบไม้ผลินี้ โดยในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจำนวนพนักงานที่กลับเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเดินทางในต่างประเทศที่มากขึ้น และการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินระหว่างประเทศ ขณะที่การฟื้นตัวเต็มที่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ  

 

การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในเอเชียและแปซิฟิกควบคู่ไปกับการกลับมาเปิดใหม่ของจีนนั้น ถือเป็นตัวเร่งที่สำคัญสำหรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั่วโลก และแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2023 

 

Zurab Pololikashvili เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลก กล่าวว่า การยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับโควิดในประเทศจีนถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ และน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในเอเชีย-แปซิฟิกและทั่วโลก

 

ก่อนหน้านี้ Financial Times ได้ประเมินไว้เมื่อเดือนมกราคมว่า การกลับมาของกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศของจีนอีกครั้งสามารถดึงมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์กลับคืนสู่การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยข้อมูลจาก China Tourism Academy ระบุว่า ในช่วงปี 2019 ก่อนเกิดโควิด มีชาวจีน 155 ล้านคนเดินทางไปต่างประเทศ และใช้จ่ายมากกว่า 1.338 แสนล้านดอลลาร์ 

 

ขณะที่ UOB Global Economics & Market Research เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า (3 กุมภาพันธ์) ผลกระทบของกิจกรรมการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการกลับมาของกรุ๊ปทัวร์ประเทศจีน สามารถกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของมาเลเซียได้อย่างน้อย 1%


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง:

The post บริษัทนำเที่ยวจีนพร้อมเปิดกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศ คาดอัดเงินเข้าระบบ 2 แสนล้านดอลลาร์ ฟื้นเศรษฐกิจโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>