อาวุธยุทโธปกรณ์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 03 Oct 2025 02:38:54 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สถานทูตจีนยืนยัน ไม่ได้ส่งอุปกรณ์ทางทหารให้กัมพูชา เพื่อใช้สู้กับไทย พร้อมเรียกร้องให้หยุดเผยแพร่ข่าวเท็จ https://thestandard.co/china-nomilitaryaid-thaicambodia-clash/ Fri, 03 Oct 2025 02:38:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1125905 China-NoMilitaryAid-ThaiCambodia-Clash

โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวาน […]

The post สถานทูตจีนยืนยัน ไม่ได้ส่งอุปกรณ์ทางทหารให้กัมพูชา เพื่อใช้สู้กับไทย พร้อมเรียกร้องให้หยุดเผยแพร่ข่าวเท็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
China-NoMilitaryAid-ThaiCambodia-Clash

โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้ (2 ตุลาคม) โดยเน้นย้ำว่า นับตั้งแต่การเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในฐานะเพื่อนบ้านฉันท์มิตรของไทยและกัมพูชา จีนได้พยายามทำงานเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ด้วยวิธีของตนเอง จีน ‘ไม่ได้ส่งอุปกรณ์ทางทหารใดๆ ให้กับกัมพูชา เพื่อใช้ในเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา’ อุปกรณ์ทางทหารจากจีนที่กัมพูชามีอยู่ในปัจจุบัน ล้วนมาจากโครงการความร่วมมือระหว่างจีน-กัมพูชา ‘ที่มีอยู่แล้ว’

 

จีนไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และได้สนับสนุนอาเซียนที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาทางการเมืองตาม ‘วิถีอาเซียน’ จีนยินดีที่จะสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับไทย กัมพูชา มาเลเซีย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และแสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการเสริมสร้างการหยุดยิงอย่างยั่งยืนและฟื้นฟูความสงบสุขของบริเวณชายแดน

 

โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยยังเรียกร้องให้ บุคคลที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และความผาสุขของประชาชน และทำสิ่งที่เป็นบวกและสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชา แทนที่จะเผยแพร่ข่าวเท็จอย่างมีเจตนาเลวร้ายและปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวาย 

 

แฟ้มภาพ: Cha29 / Shutterstock

 

อ้างอิง:

  • สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย

The post สถานทูตจีนยืนยัน ไม่ได้ส่งอุปกรณ์ทางทหารให้กัมพูชา เพื่อใช้สู้กับไทย พร้อมเรียกร้องให้หยุดเผยแพร่ข่าวเท็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เรารู้อะไรบ้าง จากรายงาน New York Times โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุโจมตีไทย https://thestandard.co/key-messages-chinese-weapons-cambodia/ Thu, 02 Oct 2025 05:48:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1125552

กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมไทย หลัง New Yo […]

The post เรารู้อะไรบ้าง จากรายงาน New York Times โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุโจมตีไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมไทย หลัง New York Times เปิดเผยรายงานพิเศษที่ชื่อว่า How Chinese Weapons Transformed a War Between Two Neighbors ซึ่งอ้างอิงข้อมูลข่าวกรองของไทยว่า จีนมีการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กัมพูชาไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุโจมตีทางชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย โดยที่อาวุธบางส่วนถูกใช้โจมตีบ้านเรือน และสังหารประชาชนฝั่งไทยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 

 

THE STANDARD สรุปเนื้อหาในบทความดังกล่าว รวมถึงข้อมูลสำคัญ และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

 

รายงาน New York Times อ้างข่าวกรองไทย โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุปะทะไทย

 

  • New York Times ปูพื้นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุด โดยกล่าวถึงความขัดแย้งพื้นที่พิพาทที่ลุกลามกลายเป็น ‘สงคราม 5 วัน’ กินเวลาตั้งแต่วันที่ 24 – 28 กรกฎาคมในช่วงที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า กัมพูชาใช้ยุทธวิธีอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ คือ วางกำลังตามแนวชายแดน พื้นที่พิพาท สร้างถนน และฐานทัพขึ้นมาใหม่ ซึ่งขณะนี้ กำลังยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ)

 

  • ขณะเดียวกัน รายงานอ้างอิงข้อมูลจากข่าวกรองไทยว่า จีนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กัมพูชา ได้แก่ จรวด กระสุนปืนใหญ่ และปืนครก โดยบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ 42 ตู้ และขนส่งด้วยเครื่องบิน Y-20 ไปยังเมืองสีหนุวิลล์ ก่อนจะย้ายไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีข้อพิพาท ไม่กี่วันก่อนเหตุปะทะครั้งสำคัญ

 

  • New York Times อ้างอิงรายงานของผู้สังเกตการณ์อื่นๆ เช่น Fortify Rights ที่ประเมินว่า กัมพูชามีการใช้อาวุธเหล่านี้มาโจมตีประเทศไทย เช่น เหตุการณ์โจมตีปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และบ้านเรือนของประชาชน เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนจะกลายเป็นสงคราม 5 วัน ที่ทำให้เกิดการอพยพของผู้คนนับแสน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ชีวิต 

 

  • นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า จีนยังส่งกระสุนของเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ราว 700 นัด พร้อมทั้งระบบยิงจรวดลำกล้องอย่าง Type-90B และ PHL-03 ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายนที่ผ่านมา 

 

  • แม้อาวุธจากจีนทำให้กัมพูชามีศักยภาพ ‘ซื้อเวลา’ การสู้รบออกไปได้ แต่ New York Times ระบุว่า ไทยได้แสดงแสนยานุภาพทางทหาร และแก้เกมโต้กลับกัมพูชาด้วยเครื่องบิน F-16 ที่โจมตีเป้าหมายทางทหารต่างๆ ของกัมพูชา

 

  • สำหรับประเด็นการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเอกสารข่าวกรองนั้น ทาง New York Times ได้สอบถามไป 3 ประเทศที่ถูกกล่าวถึงทั้งหมด โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพไทยยืนยันว่า ข้อมูลในเอกสารถูกต้องจริง ขณะที่เจ้าหน้าที่อีก 2 รายระบุว่า เป็นเอกสารภายในกองทัพ ทว่ากระทรวงกลาโหมจีนไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

 

  • ด้านกัมพูชา พลโท รัฐ ดาราโรธ (Rath Dararoth) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาไม่ได้ปฏิเสธว่า อาวุธดังกล่าวมาจากจีนจริง หากแต่ระบุว่า เอกสารข่าวกรองเป็นความเข้าใจผิด เพราะการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์เกิดขึ้นในช่วงการซ้อมรบประจำปีจีน-กัมพูชาสิ้นสุดลง 

 

  • อย่างไรก็ตาม New York Times ตั้งคำถามว่า การซ้อมรบของ 2 ชาติสิ้นสุดตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม นับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนมีการขนอาวุธ ซึ่งไม่ใกล้เคียงระยะเวลาตามรายงาน แต่ทางการกัมพูชาก็ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

 

  • ด้านความเคลื่อนไหวจากรัฐบาลไทย ล่าสุด อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แสดงความคิดเห็นต่อรายงานดังกล่าวว่า รัฐบาลจะหารือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พร้อมรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของกัมพูชา เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมป้องกันประเทศต่อไป

 

นักวิเคราะห์มอง ‘อาวุธ’ จากจีน ตัวแปรสำคัญปะทุความขัดแย้ง

 

  • บทวิเคราะห์ New York Times มองต้นสายปลายเหตุว่า เพราะเหตุใดกัมพูชาจึงเปิดศึกกับไทย โดยเชื่อว่า ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตผู้นำราว 4 ทศวรรษ ต้องการใช้กระแสชาตินิยมกลบฝังความไม่พอใจของประชาชนในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือเป็นไปได้ว่า เขาอาจจะขัดแย้งกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไทย ที่มีบุตรสาว คือ แพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้ผู้นำขณะนั้น 

 

  • แต่ถึงอย่างไร อาวุธจากจีนทำให้กัมพูชามีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับไทยในเชิง ‘ยั่วยุ’ มากกว่าครั้งที่ผ่านมา โดย นาธาน รูเซอร์ (Natha Ruser) นักวิเคราะห์จาก Australian Strategic Policy Institute ระบุว่า รายงานข่าวกรองลับครั้งนี้คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้นำกัมพูชาได้วางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลง Status quo ของชายแดนไทย-กัมพูชา 

 

  • รูเซอร์พบหลักฐานจากภาพถ่ายดาวเทียมว่า กัมพูชามีการเตรียมการต่างๆ เช่น สร้างฐานทัพทางทิศตะวันออกของปราสาทเขาพระวิหาร สร้างถนน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในปี 2022 พร้อมกับป้อมปราการตามแนวชายแดนเพิ่มขึ้นพร้อมกันในหลายพื้นที่

 

  • ฮันกยู อี (Hangyu Lee) ผู้เชี่ยวชาญจาก Armed Conflict Location & Event Data วิเคราะห์สถานะไทย-กัมพูชาในความขัดแย้งว่า กัมพูชามีความกระตือรือร้นในการเสริมสร้างศักยภาพทางทหารมากกว่า ขณะที่ไทยเป็นฝ่าย ‘รับ’ และ ‘โต้กลับ’ เช่น เสริมฐานทัพเดิม สร้างเส้นทางขนบำรุง และติดตั้งปืนใหญ่ ยานเกราะ และเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเท่านั้น

 

  • นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังระบุว่า จีนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฮุน เซน มั่นใจกว่าเดิมว่า ประเทศจะมีสถานะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น​ โดย ราห์มาน ยาคอบ (Rahman Yaacob) นักวิชาการจาก Australian National University วิเคราะห์ว่า จากเหตุการณ์ปะทะทางชายแดน 2 ประเทศในปี 2011 ทำให้กัมพูชามีบทเรียนว่า การขาดแคลนอาวุธคือจุดอ่อน จึงตัดสินใจผูกสัมพันธไมตรีเพื่อพึ่งพาจีนในประเด็นดังกล่าว

 

  • ยาคอบระบุว่า หากเทียบกับเหตุการณ์ 2011 กัมพูชามีความก้าวหน้าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์มาก เพราะมีอาวุธหนัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้ความขัดแย้งสองประเทศรุนแรงตามไปด้วย 

 

  • หลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า จีนสนับสนุนกัมพูชา คือ ภาพถ่ายทางโซเชียลที่เผยให้เห็น จรวดปืนใหญ่ SHE-40 ขนาด 122 มิลลิเมตร โดย ปีเตอร์ บูคคาร์ต (Peter Bouckaert) ผู้เชี่ยวชาญจาก Fortify Rights ยืนยันว่า อาวุธทั้งหมดเป็นของจีนจริง

 

  • บูคคาร์ตยังทิ้งท้ายว่า จีนควรไตร่ตรองการให้ความช่วยเหลือกัมพูชาให้ดี โดยย้ำว่า การจัดหาอาวุธให้อีกประเทศสังหารพลเรือนของประเทศเพื่อนบ้านนั้น ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น

 

ความคิดเห็นจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญไทย

 

  • รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา วิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวผ่าน THE STANDARD ว่า ความช่วยเหลือจากจีนเป็นปัจจัยเสริมทำให้กัมพูชาฮึกเหิม มีความมั่นใจในอาวุธยุทโธปกรณ์ จนกล้ายั่วยุทางทหารกับไทยครั้งใหญ่ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้อาจสัมพันธ์กับการซ้อมรบจีน-กัมพูชา ที่จีนอาจจะขนอาวุธเข้ามา และลำเลียงไปสู่ชายแดนไทยอย่างรวดเร็ว

 

  • อ.ดุลยภาคมองว่า ในมุมของจีนที่ขายอาวุธให้ทั้งไทย-กัมพูชา อาจมองว่า เหตุปะทะสองชาติไม่ใช่ความผิดของตนเองมากนัก หากอ้างอิงจากกรณีอื่นๆ จากหลายประเทศในทำนองเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การซ้อมรบครั้งนี้ไปเสริมสร้างให้กัมพูชาทำพฤติกรรม ‘เกเร’ ยิ่งขึ้น หากเทียบกับกรณีไทยที่ซื้อ F-16 หรือ Gripen เป็นระยะเวลานาน และใช้เพื่อป้องกันตัวเองแล้ว

 

  • อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งประเด็นถึงบทบาท 2 หน้าของจีน ที่เป็นทั้ง ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ และ ‘ผู้สนับสนุน’ ว่า ในอนาคต จีนอาจจะต้องรอบคอบ และทบทวนจุดยืนครั้งนี้ เพราะกัมพูชาใช้อาวุธทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสันติภาพของภูมิภาค

 

  • ขณะที่ อ.ดุลยภาคยังทิ้งท้ายภาพรวมความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า บทบาทของจีนจะเข้ามายุ่งเกี่ยวมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัวแปรอย่างสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจนอกภูมิภาค รวมถึงบทบาทมหาอำนาจในภูมิภาคอย่าง อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลียในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะเห็นได้ว่า จีนลงทุนไปกับความมั่นคงในกัมพูชาเยอะ เช่น ท่าเรือสีหนุวิลล์ ขณะที่กองเรืออินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ พยายามจะเทียบท่า ซึ่งเป็นเหตุให้จีนต้องมีส่วนร่วมเพื่อรักษาอิทธิพลยิ่งขึ้น

 

  • ด้าน อนาลโย กอสกุล นักสังเกตการณ์การทหารและบรรณาธิการเว็บไซต์  thaiarmedforce.com ตั้งประเด็นบนเฟซบุ๊กแฟนเพจว่า จีนอาจให้อาวุธกัมพูชาในฐานะ ‘ประเทศอารักขา’ ตามปกติ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็อาจใช้เงินซื้ออาวุธจากจีน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า การซื้ออาวุธถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาจจะมีช่องโหว่สำคัญ คือ เกณฑ์การซื้อขายอาวุธของจีนต่ำกว่ามาตรฐานตะวันตก และจีนไม่รู้มาก่อนว่า กัมพูชาตั้งใจเปิดฉากความขัดแย้งจริงๆ 

 

  • บรรณาธิการ thaiarmedforce ยังทิ้งท้ายว่า ไทยสามารถใช้ เทคนิค‘ทางการทูต’ ผสมผสานกดดันให้จีนไม่ขายอาวุธให้กัมพูชาได้ เช่น ชี้ให้จีนเห็นว่า อาวุธดังกล่าวถูกใช้สังหารพลเรือนไทย เปรียบเสมือนจีนกำลังการสนับสนุนอาชญากรรมสงคราม ไปจนถึงเสนอผลประโยชน์ที่มากกว่า หรือซื้ออาวุธจากจีนเพิ่มเติม

 

อ้างอิง:

The post เรารู้อะไรบ้าง จากรายงาน New York Times โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุโจมตีไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทอ. เผย ครม. เห็นชอบเดินหน้าจัดซื้อกริพเพน E/F 12 เครื่อง พร้อมรับชดเชยทางเศรษฐกิจ 1 แสนล้าน จ่อลงนามจัดซื้อที่สวีเดน 25 ส.ค.นี้ https://thestandard.co/cabinet-approves-gripen-jet-purchase/ Tue, 19 Aug 2025 12:18:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1109049 กริพเพน E/F

วันนี้ (19 สิงหาคม) พล.อ.ท. ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอา […]

The post ทอ. เผย ครม. เห็นชอบเดินหน้าจัดซื้อกริพเพน E/F 12 เครื่อง พร้อมรับชดเชยทางเศรษฐกิจ 1 แสนล้าน จ่อลงนามจัดซื้อที่สวีเดน 25 ส.ค.นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กริพเพน E/F

วันนี้ (19 สิงหาคม) พล.อ.ท. ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพน E/F และการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Defence Offset) ว่า ครม. เห็นชอบให้โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนของกองทัพอากาศเดินหน้าต่อ โดยมีการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์จากบริษัท Saab AB 

 

พล.อ.ท. ประภาสระบุว่า การจัดหาครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเพิ่มขีดความสามารถด้านความมั่นคงทางทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และเทคโนโลยี ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้ 

 

  1. รอบคอบตามกฎหมาย: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบกฎ ระเบียบ และขั้นตอนครบถ้วน เพื่อความโปร่งใสและถูกต้อง
     
  2. ประโยชน์หลายมิติ: การชดเชยจาก Saab AB จะช่วยทั้งด้านความมั่นคง เสริมอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และยกระดับการศึกษาไทย 
  3. ทำงานร่วมกัน: กองทัพอากาศจะบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลลัพธ์สูงสุดต่อสังคม
     
  4. ประชาชนเป็นศูนย์กลาง: การลงทุนด้านความมั่นคงครั้งนี้ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชน 

 

กองทัพอากาศพร้อมดำเนินการด้วยความโปร่งใส รอบคอบ และร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนครั้งนี้ ไม่เพียงเสริมศักยภาพการป้องกันประเทศ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของคนไทยทุกคน

 

ทั้งนี้ พล.อ.อ. พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะ มีกำหนดเดินทางลงนามจัดซื้อกริพเพน ที่ประเทศสวีเดน ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้

 

สำหรับมูลค่า Defence Offset หรือ Offset Policy การชดเชยทางเศรษฐกิจที่ไทยจะได้รับประมาณ 1 แสนล้านบาท จากโครงการจัดหากริพเพน E/F 1 ฝูง 12 เครื่อง ที่มีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท

The post ทอ. เผย ครม. เห็นชอบเดินหน้าจัดซื้อกริพเพน E/F 12 เครื่อง พร้อมรับชดเชยทางเศรษฐกิจ 1 แสนล้าน จ่อลงนามจัดซื้อที่สวีเดน 25 ส.ค.นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสิมันต์ปูดพลเรือนชื่อ บ. เอี่ยวเบื้องหลังทุจริตเรือดำน้ำ ย้ำกองทัพควรมีเรือฟริเกตมากกว่า https://thestandard.co/rangsiman-civilian-submarine-scandal/ Fri, 08 Aug 2025 08:33:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1105260

วันนี้ (8 สิงหาคม) รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ ร […]

The post รังสิมันต์ปูดพลเรือนชื่อ บ. เอี่ยวเบื้องหลังทุจริตเรือดำน้ำ ย้ำกองทัพควรมีเรือฟริเกตมากกว่า appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (8 สิงหาคม) รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำล่าสุด โดยระบุว่า เรื่องเรือดำน้ำเป็นมหากาพย์ เข้าใจว่าในสถานการณ์ที่มีวิกฤติของประเทศแบบนี้ เรามีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ หากเกิดการขัดกันทางอาวุธ เราจำเป็นจะต้องมีอย่างเพียงพอในการปกป้องประเทศ และปกป้องคนไทย เราไม่ได้ต้องการที่จะรุกรานชาติอื่น ดังนั้น เมื่อเราพิจารณาจากกรอบนี้ ความสำคัญอันดับแรกมาจากยุทธศาสตร์

 

“แต่เมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ ก็ต้องพูดกันตรงไปตรงมาว่า คนที่อยู่ในกองทัพเรืออาจไม่แฮปปี้ก็ได้ ขอเรียนตามตรงว่า จากการที่ผมพูดคุยกับบุคลากรในกองทัพเรือ รวมถึงการที่เคยไปพูดคุยกับกองทัพเรือ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่กองทัพเรือขาดแคลนจริงๆ และน่ากังวลคือเรือฟริเกต เท่าที่ผมทราบ มีการอนุมัติประมาณ 1 ลำ จากเดิมที่ขอ 2 ลำ ซึ่งจริงๆ แล้วกองทัพเรืออาจจะต้องการมากกว่านั้น ดังนั้นในเรื่องเรือฟริเกตมีความสำคัญในการรักษาอำนาจอธิปไตยโดยเฉพาะในน่านน้ำไทย แต่ปัญหาคือเมื่อเราไปโฟกัสเรือดำน้ำ ก็ต้องถามไปว่าตอบสนองยุทธศาสตร์หรือไม่ ผมทราบดีว่าองค์ความรู้เรื่องเรือดำน้ำมีความสำคัญแต่ต้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญให้ดี” รังสิมันต์กล่าว

 

รังสิมันต์ยังกล่าวอีกว่า เมื่อมีการทำสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำในขณะนี้ สัญญาควรเป็นสัญญา เราตกลงกับจีนว่า จะซื้อเรือดำน้ำและเครื่องยนต์เยอรมัน แต่เท่าที่ทราบในการตกลงที่จะจ่ายเงินเป็นงวดๆ โดยหลักการ ทางบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำเรือดำน้ำ เคยบอกกับประเทศไทยว่า เขาสามารถจัดซื้อเครื่องยนต์จากเยอรมันได้แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม ถึงเวลาเมื่อประเทศไทยจ่ายเงินไปแล้ว ปรากฏว่าไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์จากเยอรมันได้ แต่ประเทศไทยก็ยังตกลงยอมรับกันอีก แสดงให้เห็นว่าการที่ฝ่ายจีนผิดสัญญา ฝ่ายไทยเป็นผู้ถูกละเมิด แต่ฝ่ายไทยกลับต้องจำยอมใช้เครื่องยนต์ตัวอื่น ที่แม้กระทั่งจีนยังไม่เคยใช้ จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลทั้งความปลอดภัย ศักยภาพ และคุณภาพที่จะเกิดขึ้น

 

“ที่ผ่านมาเราต้องยอมรับว่าเรือดำน้ำจีน มีข้อครหาในเรื่องของการทุจริตมาโดยตลอด ผมเป็นห่วงจริงๆ ว่า เหตุผลที่เราไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้เบื้องหลังอาจเป็นเรื่องคอร์รัปชัน และผมทราบว่ามีนายคนหนึ่ง ตัวย่อ บ. ซึ่งเป็นพลเรือน ที่เป็นคีย์แมนสำคัญ อาจจะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน ดังนั้น เหตุผลที่เรายอมรับเรือดำน้ำจีนที่มีเครื่องยนต์จีน อาจจะไม่ใช่เหตุผลด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ แต่อาจเป็นเหตุผลความมั่นคงของใครบางคนที่จ่าย กิน รับทรัพย์กันไปหมดแล้ว จึงทำให้เรายกเลิกสัญญาไม่ได้” รังสิมันต์กล่าว

 

รังสิมันต์ระบุด้วยว่า การจัดซื้ออาวุธของประเทศไทยไม่ควรจะมีประเด็นเรื่องคอร์รัปชัน เพราะการคอร์รัปชันจะทำให้การจัดซื้ออาวุธผิดพลาด ทำให้กองทัพอ่อนแอ ซึ่งพรรคประชาชนเห็นด้วยกับการซื้ออาวุธอย่างมียุทธศาสตร์ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ได้ และคอร์รัปชันอย่างไรก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่มีทางยอมรับให้เกิดขึ้นได้”

The post รังสิมันต์ปูดพลเรือนชื่อ บ. เอี่ยวเบื้องหลังทุจริตเรือดำน้ำ ย้ำกองทัพควรมีเรือฟริเกตมากกว่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชยพลแนะรัฐบาลเสริมกำลังกองทัพ ผนวกนโยบายซื้ออาวุธให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ https://thestandard.co/chayapol-urges-military-buildup/ Thu, 07 Aug 2025 13:01:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1105009

วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ชยพล สะท้อนดี สส. กทม […]

The post ชยพลแนะรัฐบาลเสริมกำลังกองทัพ ผนวกนโยบายซื้ออาวุธให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ชยพล สะท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการการศึกษาและแก้ไขกฎหมายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงแนะนำรัฐบาลกรณีการซื้อยุทโธปกรณ์

 

ชยพลระบุว่า ด้วยความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีความขัดแย้งกันบริเวณชายแดน ในเรื่องของการส่งกำลังบำรุงที่ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งปัญหาบริเวณชายแดนที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้นอาจจะยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ ทำให้จากเดิมที่คิดว่ามีทรัพยากรเพียงพอ อาจจะไม่พอ อาจจะยืดยาวกว่าที่วางแผนไว้ และไม่ทราบว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ ทำให้การส่งกำลังบำรุงยุทโธปกรณ์ไปยังหน้างานต้องวางแผนกันให้ดี

 

ชยพลแนะนำไปยังรัฐบาลว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี อีกทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้ว่า หากเหล่าทัพไหนต้องการยุทโธปกรณ์อะไร ให้รีบจัดเตรียมทำเรื่องขอมา จะมีการอนุมัติซื้อยุทโธปกรณ์เป็นพิเศษ ถือเป็นโอกาสดีที่จะผนวกใช้แนวคิดกลไกในการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีในบางส่วน เพื่อที่จะใช้โอกาสนี้ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศไทย และให้ประเทศไทยยืนได้ด้วยตนเอง หากดูสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาในขณะนี้ มองได้ว่า อาจมีการยกระดับ และเป็นที่จับตาดูของประชาคมโลกมากขึ้นกว่าเดิม

 

ฉะนั้น ถ้าเราจะหวังพึ่งยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศในอนาคตอาจมีการสะดุดได้เช่นเดียวกัน หากต่างประเทศไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชา ระหว่างนี้เราสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการในไทยได้ ในการจะสนับสนุนยุทโธปกรณ์และทรัพยากรต่างๆ ที่สามารถหาได้ในไทย ซึ่งเป็นโอกาสที่รัฐบาลควรคว้าเอาไว้

 

ด้าน น.ต.ดร.บดินทร์ สันทัด อนุกรรมาธิการศึกษาและแก้ไขกฎหมายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่า ยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในการปะทะที่ผ่านมาเป็นยุทธภัณฑ์สิ้นเปลือง เช่น กระสุน มีการใช้งานไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งอนุกรรมาธิการฯ เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลจะหันมาสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตกระสุนหลายรายการ และมีหลายโครงการที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน บริษัทเอกชนที่สามารถผลิต กระสุนขนาด 30 มม., กระสุนและอาวุธประจำกาย และกระสุนปืนใหญ่หลายขนาด

 

“จึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ไทยจะหันมาสนับสนุนยุทธภัณฑ์ภายในประเทศให้จริงจัง เพื่อผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อนำกำไรส่วนเกินไปศึกษาวิจัย ขีดความสามารถอุตสาหกรรมป้องกันภายในประเทศให้ต่อยอดมากกว่านี้ โดยเฉพาะสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นส่วนสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการพึ่งพาอุตสาหกรรมป้องกันภายในประเทศในอนาคต” ชยพลกล่าว

 

ชยพลกล่าวต่อว่า สำหรับร่างกฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่างเสร็จแล้ว แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาปรับปรุงกฎหมาย ขณะที่ภาคเอกชนก็มีความพร้อมในการผลิตยุทโธปกรณ์ เพียงแต่ขาดกลไกการสนับสนุนบริษัทที่ผลิตยุทโธปกรณ์ให้สามารถพัฒนาขีดความสามารถของตนเองและจับคู่พัฒนายุทโธปกรณ์ร่วมกันได้จากภาครัฐ

The post ชยพลแนะรัฐบาลเสริมกำลังกองทัพ ผนวกนโยบายซื้ออาวุธให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครั้งแรกของโลก Gripen ไทยใช้อาวุธในสมรภูมิจริง ในภารกิจสนับสนุนกองทัพบก https://thestandard.co/thai-gripen-jets-see-combat-debut/ Sun, 27 Jul 2025 02:31:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1100467

ในการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ มีระบบอาวุธในกอ […]

The post ครั้งแรกของโลก Gripen ไทยใช้อาวุธในสมรภูมิจริง ในภารกิจสนับสนุนกองทัพบก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ มีระบบอาวุธในกองทัพไทยที่ถูกใช้งานในสงครามจริงเป็นครั้งแรกหลายแบบ และแสดงประสิทธิภาพได้ค่อนข้างดี ระบบอาวุธที่น่าจะมีชื่อเสียงและคนไทยสนใจกันมากที่สุดในเวลานี้ก็คือเครื่องบินขับไล่ Gripen C/D ของกองทัพอากาศ ซึ่งเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ด้วย โดยทำการทิ้งระเบิดสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก

 

ทั้งนี้ Gripen เป็นเครื่องบินรบที่ผลิตในสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลางทางการทหารมานานก่อนที่จะเข้าร่วมกับ NATO หลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ทำให้ที่ผ่านมาสวีเดนเข้าร่วมในสงครามและความขัดแย้งต่างๆ น้อยมาก ยกเว้นที่ลิเบียซึ่งกองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมในภารกิจเฝ้าตรวจและบังคับใช้เขตห้ามบิน

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

กองทัพอากาศวางกำลัง Gripen C/D และมีรายงานว่าพบเห็น Gripen ทำการบิน ดังนั้นเมื่อกองทัพอากาศไทยใช้ Gripen ในภารกิจ Battlefield Air Interdiction หรือการขัดขวางทางอากาศในพื้นที่การรบ ก็จะถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ Gripen ใช้อาวุธอากาศสู่พื้นต่อเป้าหมายจริงนั่นคือกำลังทหารของกัมพูชา

 

นอกจากระเบิดอเนกประสงค์ต่างๆ ที่ไม่นำวิถีแล้ว Gripen ก็สามารถใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์แบบ GBU-12 ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นคาดว่า Gripen จะใช้ระเบิดชนิดนี้เช่นเดียวกับ F-16 ที่มีรายงานการใช้ระเบิดชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง Gripen มีกระเปาะชี้เป้าแบบ LITENING III ใช้งาน ดังนั้นก็สามารถใช้งาน Gripen ชี้เป้าได้ด้วย

 

อันที่จริงแล้ว จุดเด่นของ Gripen ของไทยก็คือจรวดต่อต้านเรือผิวน้ำ RBS-15F ซึ่งเป็นจรวดต่อต้านเรือผิวน้ำแบบเดียวของกองทัพอากาศไทย แต่คงจะไม่มีบทบาทในภารกิจครั้งนี้เนื่องจากกัมพูชามีแต่เรือรบขนาดเล็กและยังไม่มีความขัดแย้งที่นำไปสู่การใช้กำลังทางเรือ

 

อย่างไรก็ตาม อีกองค์ประกอบหนึ่งที่กองทัพอากาศจัดหามาพร้อมกับ Gripen เมื่อสิบปีก่อนคือ Saab 340 AEW ซึ่งติดตั้งเรดาร์ Erieye จำนวน 2 ลำในบทบาทของอากาศยานแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อใช้ในการตรวจตราน่านฟ้า นอกจากนั้นยังมี Saab 340 ELINT ซึ่งเป็นเครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภารกิจการข่าวที่เกี่ยวข้องกับสัญญาณและคลื่นวิทยุ สุดท้ายก็คือศูนย์ควบคุมปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอากาศไทยใช้ระบบ ACCS ของสวีเดนในการควบคุมและบัญชาการการใช้กำลังทางอากาศทั้งหมดของกองทัพอากาศไทยเช่นเดียวกัน

 

นอกจาก Gripen แล้ว ยังมีอาวุธอีกหลายแบบที่ใช้งานจริงครั้งแรก อย่างเช่น ระเบิดนำวิถี KGGB ซึ่งผลิตโดยบริษัท LIG Nex1 ของเกาหลีใต้ ที่จริงๆ แล้วคือการติดตั้งชุดปีกบนระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ขนาด 500 ปอนด์ ชุดนำวิถีนี้ช่วยทำให้ระเบิดนำวิถีปกติสามารถทิ้งได้ในระยะที่ไกลขึ้นมาก ในเงื่อนไขที่เหมาะสม เราสามารถทิ้งระเบิดได้จากระยะไกลถึง 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว

 

นอกจากนั้นยังมีรถถังหลัก VT-4 ซึ่งผลิตโดยบริษัท Norinco จากประเทศจีน ซึ่งกองทัพบกทยอยจัดหาเข้าประจำการในหน่วยทหารม้าของกองทัพภาคที่ 2 มาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นรถถังหลักที่ทันสมัยที่สุดของไทยในปัจจุบัน แม้ช่วงแรกๆ จะมีข่าวเรื่องความพร้อมรบและการซ่อมบำรุงอยู่บ้าง ซึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องปกติของระบบอาวุธที่ใช้งานใหม่ แต่ล่าสุดกองทัพบกค่อนข้างมั่นใจในประสิทธิภาพและการใช้งาน อย่างที่ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวในที่ประชุมกรรมาธิการงบประมาณ 2569 ว่า ปัจจุบัน VT-4 เป็นรถถังที่มีความพร้อมสูงสุดของกองทัพบกไทย

 

ซึ่งในการรบครั้งนี้ รถถัง VT-4 ก็พิสูจน์ประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดีในบทบาทของการเป็นฐานยิงสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ของทหารฝ่ายเรา เนื่องจากมีอำนาจการยิงที่สูงโดยใช้ปืนใหญ่ขนาด 125 มม. และระบบกล้องเล็งที่ทันสมัยแบบ Catherine-FC ของ Thales พร้อมเลเซอร์วัดระยะ ทำให้การยิงอาวุธเป็นไปได้อย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพ

 

แม้ว่ารถถังในตระกูลนี้อาจจะเคยออกปฏิบัติการจริงไปแล้วคือ MBT-3000 ของไนจีเรียในภารกิจการรบกับกลุ่มกบฏโบโกฮาราม แต่ถ้านับเฉพาะรุ่นย่อยอย่าง VT-4 นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกของการรบจริง และเป็นการรบตามแบบ คือการรบระหว่างกองทัพและกองทัพ ดำเนินกลยุทธ์ตามหลักการทั้งหมด ซึ่ง VT-4 ก็มีส่วนช่วยให้กำลังทหารราบของกองทัพบกสามารถยึดพื้นที่กลับคืนจากกัมพูชาได้ และยิ่งเมื่อเทียบกับรถถังของกัมพูชาที่ใช้ T-55 แล้ว ความทันสมัยและประสิทธิภาพต่างกันมากแบบเรียกได้ว่าหลายสิบปี โดยเฉพาะเทคโนโลยีเกราะที่ VT-4 ดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

 

กองทัพบกกำลังทยอยจัดหา VT-4 ทุกปีตามงบประมาณที่ได้รับ ซึ่งก็น่าจะมาทดแทนตามอัตราเดิมของ M41 ต่อไป

 

นอกจากนั้นยังมีรายงานข่าวว่ากองทัพบกไทยใช้งาน DTI-1G เป็นครั้งแรกในการรบครั้งนี้เช่นกัน DTI-1G เป็นจรวดหลายลำกล้องนำวิถีพิสัยไกลที่มีระยะยิง 150 กิโลเมตร เป็นการจัดหาเทคโนโลยีการวิจัยและผลิตจากจีนโดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศของไทย โดยทำวิจัยและทำการผลิตในประเทศไทย แม้ว่าจะยังมีจำนวนแท่นยิงและลุกจรวดน้อย แต่ก็มีรายงานว่ากองทัพบกได้ใช้งาน DTI-1G ไปแล้ว โดยไม่ทราบว่าเป้าหมายของจรวดแบบนี้คืออะไร

 

สิ่งที่สำคัญของจรวดหลายลำกล้องแบบนี้คือความแม่นยำ เพราะ DTI-1G นั้นเป็นจรวดนำวิถีที่แม้จะยิงเต็มระยะ 150 กิโลเมตรก็มีความคลาดเคลื่อนน้อยไม่กี่เมตรเท่านั้น สามารถใช้ในการโจมตีเป้าหมายที่มีความสำคัญและมีคุณค่าสูงหรือ High-Value Target ของกัมพูชาได้

 

ซึ่งก็หวังว่าผลจากการรบในครั้งนี้จะทำให้กองทัพบกจัดหา DTI-1G เข้าประจำการเพิ่มขึ้นเพื่อให้เป็นระบบอาวุธทางยุทธการหลักแบบหนึ่งของกองทัพบกไทยต่อไป เพราะจะได้เป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยด้วย

 

ชมคลิป: กองทัพอากาศเลือก Gripen E/F มีอะไรเหนือหรือด้อยกว่า F-16 Block 70 ของสหรัฐฯ | NEWS DIGEST #22

 

ภาพ: U.S. Air Force Photo by Tech Sgt. Aaron Oelrich / Released

The post ครั้งแรกของโลก Gripen ไทยใช้อาวุธในสมรภูมิจริง ในภารกิจสนับสนุนกองทัพบก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แสนยานุภาพทัพไทย ปฏิบัติการปกป้องดินแดนและอธิปไตย https://thestandard.co/opinion-thai-military-sovereignty/ Sat, 26 Jul 2025 06:59:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1100302

อย่างที่เรารู้กันก็คือการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาเริ […]

The post แสนยานุภาพทัพไทย ปฏิบัติการปกป้องดินแดนและอธิปไตย appeared first on THE STANDARD.

]]>

อย่างที่เรารู้กันก็คือการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาเริ่มจากฝ่ายกัมพูชาส่งโดรนและกองกำลังกำลังเข้าประชิดฐานฝ่ายไทยจนเกิดการปะทะขึ้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม และขยายออกไปทั้งแนวเกือบจะทุกจังหวัดที่กองทัพภาคที่ 2 รับผิดชอบ อาวุธหนักถูกใช้งานตั้งแต่ช่วงแรก โดยกัมพูชาระดมยิงจรวดหลายลำกล้องขนาด 122 มม. ทั้งแบบ BM-21 แบบ Type-81 หรือ RM-70 ยิงเข้าใส่ฝ่ายไทย ส่วนฝ่ายไทยนอกจากการยิงปืนใหญ่ตอบโต้แล้วยังส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ไปทิ้งระเบิดกองบัญชาการกองพลของกัมพูชา

 

จุดที่น่าสนในของปฏิบัติการของ F-16 ก็คือเป็นการปฏิบัติการตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการปะทะเริ่มขึ้น นั่นหมายถึงว่ากองทัพอากาศเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติการมานานแล้วทั้งแผนการปฏิบัติภารกิจ เส้นทางการบิน อาวุธที่ใช้ และเป้าหมายซึ่งเชื่อว่าถูกจัดเอาไว้ในบัญชีเป้าหมายตั้งแต่ต้น เนื่องจากกองบัญชาการกองพลทั้งสองนั้นคือกองพลที่ออกคำสั่งให้ไปวางทุ่นระเบิดจนทหารไทยขาขาดไปสองนาย การโจมตี ณ จุดที่ออกคำสั่งคือการตอบโต้โดยตรงต่อการวางทุ่นระเบิดที่นอกจากจะละเมิดอนุสัญญาออตตาวาแล้ว ยังเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอีกด้วย

 

คาดว่า F-16 ที่ใช้งานมีทั้งที่มาจากฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช และฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี โดยมีรายงานว่าในภารกิจแรกจัด F-16 จำนวน 6 ลำใช้ระเบิด GBU-12 เข้าทำลายเป้าหมาย ซึ่งถ้าข้อมูลระเบิดถูกต้อง แปลว่ามีการใช้ F-16 สองลำทำภารกิจชี้เป้า ซึ่งการชี้เป้าคือการยิงแสงเลเซอร์ความเข้มข้นสูงแต่ตามองไม่เห็นไปยังเป้าหมายด้วยกระเปาะชี้เป้า Sniper ATP ส่วน F-16 ลำอื่นที่เข้าโจมตีก็จะทิ้งระเบิด GBU-12 ซึ่งนำวิถีด้วยเลเซอร์ โดยระเบิดจะมีเซนเซอร์ตรวจจับพลังงานของเลเซอร์ที่สะท้อนออกจากเป้าหมาย และมีครีบเพื่อปรับทิศทางในการวิ่งเข้าสู่เป้าหมาย

 

ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ระเบิดพลาดเป้าไม่เกิน 5 เมตร แม้จะทิ้งจากความสูง 3–4 กิโลเมตรเหนือพื้นดินก็ตาม ซึ่งจะแตกต่างจากจรวดหลายลำกล้องของกัมพูชาที่พบว่าส่วนใหญ่ตกในเขตบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล และสถานีบริการน้ำมันจนมีพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก

 

จรวดหลายลำกล้องนั้นจริงๆ แล้วถูกออกแบบมาให้ทำลายเป็นพื้นที่ หมายถึงเน้นการทำลายพื้นที่กว้างเช่นสนามบิน ที่รวมพล หรือฐานทัพขนาดใหญ่ และด้วยคุณสมบัติของจรวดที่มีความแม่นยำต่ำ ทำให้ปกติแล้วจะต้องตั้งยิงทีละ 5–6 คันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์การโจมตีที่ดีที่สุด ซึ่งจะแตกต่างจากปืนใหญ่ที่จะมีความแม่นยำสูงกว่ามาก แต่ก็จะทำลายได้เป็นจุดๆ ไป

 

แต่ภาพที่ปรากฏพบว่ากัมพูชายังใช้การยิงจรวดหลายลำกล้องจากรถยิงเพียงคันเดียว ซึ่งบรรทุกจรวดได้คันละ 40 นัด มีระยะยิงไกล 40 กิโลเมตร สิ่งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากัมพูชายังขาดความรู้ในการใช้งานจรวดหลายลำกล้องจริงๆ ก็อาจแสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีลูกจรวดจำกัด ต้องยิงทีละน้อยๆ เพื่อประหยัด จึงไม่สามารถตั้งยิงพร้อมกันด้วยรถยิงทีละหลายคันได้ แต่การตั้งยิงทีละคันก็ให้ผลลัพธ์ต่ำเช่นกัน เช่นในการปะทะเมื่อปี 2554 ซึ่งมีหลายครั้งที่ฐานของทหารไทยถูกจรวดหลายลำกล้องจำนวน 40 นัดยิงเข้าใส่แต่ได้รับความเสียหายต่ำมากและไม่มีกำลังพลบาดเจ็บ

 

ดังนั้นเมื่อประกอบกับความแม่นยำที่ต่ำ ทำให้เกิดภาพของการที่กัมพูชาโจมตีโรงพยาบาลและบ้านเรือนประชาชนของไทย ซึ่งถือว่าผิดหลักการและกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ ยังไม่นับว่าการยิงเข้าใส่พื้นที่ใกล้แหล่งชุมชนนั้นถ้าเป็นกองทัพที่มีมาตรฐานและคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดจากประชาชนผู้บริสุทธิ์แล้ว จะไม่พิจารณาใช้งานจรวดหลายลำกล้องเป็นอันขาด

 

นอกจากนั้นเมื่อเกิดการปะทะในจุดอื่นๆ เช่น ภูมะเขือ บริเวณด้านข้างของปราสาทพระวิหาร กองทัพบกไทยยังใช้โอกาสนี้ในการโจมตีชิงพื้นที่ที่ถูกยึดไปตั้งแต่ปี 2554 คืนด้วยการผลักดันกำลังของกัมพูชาให้ถอยออกจากเส้นปฏิบัติการบนภูมะเขือและพื้นที่ข้างเคียงเพื่อตัดการส่งกำลังบำรุงบนปราสาทพระวิหารที่กัมพูชานำกำลังทหารไปประจำการเอาไว้

 

ที่จุดนี้นอกจากการใช้ปืนใหญ่แล้ว เรายังได้เห็นการใช้รถถังเข้ายิงสนับสนุนการปฏิบัติการอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีรายงานว่ากองทัพบกใช้รถถังแบบ T-84 Oplot แต่เชื่อว่าเป็นรายงานที่ผิดพลาด เพราะ Oplot มีพื้นที่รับผิดชอบในเขตกองทัพภาคที่ 1 ที่ปราจีนบุรี โดยในความเป็นจริงแล้วน่าจะเป็นรถถังแบบ Scorpion หรือ M48A5 ซึ่งมีคุณลักษณะเหมาะสมมากกว่าในการเข้าตีภูมิประเทศที่เป็นภูเขา

 

ณ จุดนี้มีรายงานว่ารถถัง T-55 ของกองทัพบกกัมพูชาถูกทำลายอย่างน้อย 2 คันด้วยการใช้ปืนใหญ่ ซึ่งก็เป็นลักษณะที่คล้ายกับเมื่อปี 2554 ที่รถถังและยานเกราะของกัมพูชาจำนวนมากถูกทำลายด้วยปืนใหญ่ของฝ่ายไทยที่มีความแม่นยำกว่า และปรับการยิงด้วยการใช้อากาศยานไร้นักบิน

 

ข้อจำกัดของกัมพูชาอีกอย่างหนึ่งก็คือกองทัพอากาศกัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่หรือโจมตี ทำให้ไม่สามารถให้การสนับสนุนทางอากาศแก่กำลังพลภาคพื้นดินหรือขึ้นสกัดกั้นเครื่องบินรบของฝ่ายไทยได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็มีจรวดต่อสู้อากาศยานแบบ KS-1C ซึ่งได้รับมอบมาฟรีจากจีนจำนวน 4 ระบบ โดยแต่ละระบบประกอบไปด้วยรถเรดาร์ 1 คันและแท่นยิง 4 คัน สามารถยิงได้ไกล 50 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามที่สำคัญของเครื่องบินขับไล่ฝ่ายไทย

 

เพียงแต่ในทางกลับกันนั้น กองทัพอากาศไทยก็มี KS-1C ใช้งานจำนวน 1 ระบบ ทำให้กองทัพอากาศไทยรู้ขีดจำกัดและคุณสมบัติต่างๆ ของจรวดแบบนี้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับแต่งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินขับไล่ของไทยให้สามารถป้องกันตนเองจากจรวด KS-1C ของกัมพูชาได้

 

โดยกำลังทางอากาศนี้ได้รับข้อมูลจากเรดาร์ของ Saab 340 Erieye ของกองทัพอากาศไทย ซึ่งเป็นเครื่องบินแจ้งเตือนล่วงหน้าหรือเรดาร์ลอยฟ้าที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบควบคุมและสั่งการของกองทัพอากาศไทยได้

 

ทั้งนี้ ในการปฏิบัติการในครั้งนี้กองทัพบกตั้งชื่อว่าปฏิบัติการยุทธบดินทร์ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนจักรพงษ์ภูวนาถ ซึ่งเป็นแผนเผชิญเหตุสำหรับชายแดนด้านตะวันออกของไทย โดยกระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการทางทหารขึ้นที่กองบัญชาการกองทัพไทย มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการศูนย์ ซึ่งได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์มีอำนาจในการบัญชาการและการใช้กำลังทางบก และร้องขอการสนับสนุนกำลังทางอากาศ และทางเรือ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของกำลังทางบกตามแผนเผชิญเหตุ ด้วยการจัดโครงสร้างแบบนี้ ทำให้กำลังทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ สามารถปฏิบัติการร่วมกันได้เป็นหนึ่งเดียวกัน

 

เราต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งในสนามรบและในเวทีนานาชาติเกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อหาแนวทางในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศไทยต่อไป

 

ภาพ: REUTERS / Athit Perawongmetha

The post แสนยานุภาพทัพไทย ปฏิบัติการปกป้องดินแดนและอธิปไตย appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาครงเยือนอินโดนีเซีย กระชับความร่วมมือด้านกลาโหมและตะวันออกกลาง https://thestandard.co/macron-indo-defense-middle-east-coop/ Wed, 28 May 2025 09:27:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1079513

เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส มีกำหนดพบกับป […]

The post มาครงเยือนอินโดนีเซีย กระชับความร่วมมือด้านกลาโหมและตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส มีกำหนดพบกับปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีของ อินโดนีเซีย ในวันนี้ที่กรุงจาการ์ตา โดยหัวข้อหลักของการหารือคือการกระชับความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างฝรั่งเศสกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาคอาวุธยุทโธปกรณ์

 

การเยือนอินโดนีเซียถือเป็นจุดหมายลำดับที่สองของการทัวร์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมาครง ต่อเนื่องจากเวียดนาม ซึ่งทั้งสองประเทศเพิ่งลงนามในข้อตกลงความร่วมมือมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

หลังจากเยือนจาการ์ตาในวันนี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะเดินทางไปยังเมืองยอกยาการ์ตาบนเกาะชวาในวันพรุ่งนี้ (29 พฤษภาคม) เพื่อเยี่ยมชม ‘บุโรพุทโธ’ (Borobudur) มหาเจดีย์พุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนจะเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของทริป 6 วันในภูมิภาคนี้

 

ท่ามกลางความตึงเครียดด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรป มาครงพยายามใช้จังหวะนี้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ‘ทางเลือกที่สาม’ ของฝรั่งเศส ให้เป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือและไม่มีเงื่อนไขผูกมัด

 

โดยเฉพาะในภาคกลาโหม พลังงาน และแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) ซึ่งฝรั่งเศสต้องการแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจแบบจับต้องได้ และเร่งเซ็นสัญญาทางการค้ากับประเทศในภูมิภาค
มาครงยังมุ่งหมายให้อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมที่มีประชากรมากที่สุดในโลก สนับสนุนแนวทาง ‘สองรัฐ’ (Two-State Solution) ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยฝรั่งเศสจะเสนอแนวทางนี้ต่อที่ประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติในเดือนมิถุนายนนี้

 

 

ภาพ: Reuters

The post มาครงเยือนอินโดนีเซีย กระชับความร่วมมือด้านกลาโหมและตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาวุธจีนในสมรภูมิโลก อนาคตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ https://thestandard.co/china-military-weapons-global-strategy/ Thu, 15 May 2025 04:40:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1074496 china-military-weapons-global-strategy

แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปากีสถานและอินเดียเสียอาก […]

The post อาวุธจีนในสมรภูมิโลก อนาคตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-military-weapons-global-strategy

แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าปากีสถานและอินเดียเสียอากาศยานของตนในสงครามทางอากาศระหว่าง Operation Sindoor ของอินเดียมากน้อยเท่าใด เพราะส่วนใหญ่แล้วยังเป็นแค่คำกล่าวอ้าง ซึ่งแต่ละฝ่ายอ้างว่าสามารถทำลายอากาศยานของอีกฝ่ายได้ แต่ยังมีภาพและหลักฐานไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่าอากาศยานถูกทำลายตามที่อ้างไว้ทั้งหมด

 

แต่สิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนก็คือ เครื่องบินขับไล่ชั้นนำของโลกอย่าง Rafale ของอินเดียถูกยิงตกอย่างน้อย 1 ลำ เพราะเห็นซากเครื่องบินพร้อมเลขประจำตัวเครื่องชัดเจน และถ้าตามคำกล่าวอ้างของปากีสถานก็คือ ผู้ที่ยิงทำลาย Rafale ก็คือ J-10CE ของปากีสถานโดยใช้จรวด PL-15E นั่นเอง

 

สาเหตุที่การถูกทำลายของ Rafale ของอินเดีย ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกนั้นก็เพราะว่า Rafale ถือเป็นเครื่องบินยุค 4.5 ที่ดีที่สุดเท่าที่มีในตลาด อย่างน้อยก็ตามสเปกหน้ากระดาษ วัดจากการที่หลายประเทศที่ถ้าไม่สามารถจัดหา F-35 มาประจำการได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็จะเลือกมาจัดหา Rafale ทดแทน เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรืออินโดนีเซีย เพราะถือว่า Rafale มีประสิทธิภาพใกล้เคียงเครื่องบินยุคที่ 5 อย่าง F-35 มากที่สุด แต่กลายเป็นว่าวันนี้ Rafale ถูกทำลายโดยเครื่องบินขับไล่ J-10CE ของจีนที่ยังไม่เคยออกสงครามจริงมาก่อน จึงทำให้หลายฝ่ายให้ความสนใจค่อนข้างมาก

 

เพราะในครั้งนี้ คือปฏิบัติการจริงครั้งแรกของ J-10 ทุกรุ่นแม้แต่ของจีนเองก็ตาม และการทำลาย Rafale ก็คือการยิงเครื่องบินขับไล่ของฝ่ายตรงข้ามตกได้เป็นเครื่องแรก ในขณะที่ Rafale ก็ถือว่าสูญเสียในการปฏิบัติการจริงครั้งแรกเช่นกัน

 

แม้ว่าเมื่อพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว การรบที่มีอากาศยานกว่า 100 ลำเข้าร่วม ซึ่งก็น่าจะเป็น J-10 ไม่ต่ำกว่า 10 ลำ แล้ว Rafale ถูกยิงตกได้เพียงลำเดียว จากเครื่องบินและจรวดหลายสิบนัดที่เข้าร่วมปฏิบัติการ อาจถือได้ว่าอัตราส่วนการทำลายต่ำมาก เพราะหมายถึงการต้องยิงจรวดเป็นสิบๆ ลูกกว่าจะทำลายอากาศยานได้แค่ 1 ลำ ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของจรวดชั้นนำของโลกเป็นอย่างมาก และยังมีปัจจัยอีกอื่นพอสมควรเช่นการที่อินเดียเป็นฝ่ายรุก ปากีสถานเป็นฝ่ายรับ ซึ่งมีความได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน รวมถึงปัจจัยด้านการฝึก ความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธี และการวางแผนการปฏิบัติการของทั้งอินเดียและปากีสถานนั้นส่งผลต่อผลของปฏิบัติการมากกว่าประสิทธิภาพเครื่องบินเสียอีก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ J-10CE ของจีนที่ใช้งานโดยปากีสถานสามารถทำลาย Rafale ของฝรั่งเศสที่ใช้งานโดยอินเดียได้ถือว่าส่งผลทางจิตวิทยามากพอสมควร

 

ประการแรกคืออาวุธของจีนมักจะถูกมองว่ามีราคาถูก ใช้ปริมาณมากกว่าคุณภาพ และส่วนใหญ่แล้วอาวุธของจีนแทบไม่เคยออกสนามรบจริง ต่างจากอาวุธของตะวันตกหรือรัสเซียที่มีการใช้งานจริงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของการวิจัยและคาดการณ์ของผู้ผลิตอย่างจีนทั้งสิ้น แต่ในเมื่อมีเหตุการณ์ที่อาวุธของจีนได้พิสูจน์ตัวเองในสถานการณ์จริง ก็ทำให้สามารถลบภาพอาวุธที่มีดีแค่ในโบรชัวร์ออกไปได้

 

ประการต่อมาก็คืออาวุธของจีนหลายแบบที่เข้าร่วมปฏิบัติการนี้เกิดจากการวิจัยและพัฒนาของจีนเอง ไม่ได้เป็นการลอกเลียนแบบเอาให้เหมือนต้นฉบับที่สุดเหมือนในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนก้าวขึ้นมาจากการก๊อปปี้เพื่อผลิตใช้ มาเป็นการใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ตนเองเคยได้จากการก๊อปปี้มาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของจีนเองได้ ซึ่งหมายถึงสิ่งที่จีนขายให้ปากีสถานอย่าง J-10CE และ PL-15E นั้นเป็นเทคโนโลยีที่พูดได้ว่าเกิดขึ้นจากมันสมองของจีนล้วนๆ

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้โลกหันมามองอาวุธของจีนในมุมที่แม้ว่าอาวุธจีนจะเหนือกว่าของประเทศอื่นหรือไม่ยังต้องพิสูจน์ต่อไป แต่ที่แน่ๆ คืออย่างน้อยอาวุธของจีนขึ้นมาเทียบเท่าผู้ผลิตอาวุธชั้นนำของโลกแล้ว

 

สิ่งนี้จะสร้างผลกระทบต่อทั้งตลาดอาวุธของโลกและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกแน่นอน อย่างแรกก็คืออาวุธของจีนอาจจะกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น เพราะจีนสามารถบอกได้ว่าอาวุธหลายอย่างของตนเองนั้นได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วในสนามรบหรือ Combat Proven ไม่ต้องขายตามสเปกในโบรชัวร์อีกต่อไป เมื่อบวกกับราคาที่ถูกกว่า และการลงทุนอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ น่าจะทำให้จีนมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของโลกได้อีกมาก

 

ส่วนในแง่ภูมิรัฐศาสตร์นั้น ประเทศที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของจีนอาจจะต้องคิดมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าจะต้องทำสงครามกับจีน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกซึ่งอาจต้องจริงจังมากขึ้นในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารของตนเพื่อคงความเหนือกว่าหรือแม้แต่ป้องกันไม่ให้จีนไล่ตามทัน ซึ่งต้องพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า เพราะอาวุธจีนได้รับการพิสูจน์ในสนามรบแล้วว่าทำงานได้จริงตามที่โฆษณา

 

นอกจากมหาอำนาจแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านของจีนก็อาจจะต้องตื่นตัวมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน เช่นไต้หวันอาจจะต้องเป็นประเทศที่ต้องกลับมาพิจารณาการเสริมสร้างอาวุธของตนมากเป็นพิเศษ เพราะในกรณีของปากีสถานนั้น ปากีสถานใช้เพียงเครื่อง J-10CE พร้อมจรวด PL-15E ซึ่งล้วนเป็นรุ่นส่งออกที่ลดประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ไต้หวันต้องรับมือกับรุ่นที่มีขีดความสามารถตามปกติ และต้องรับมือกับอากาศยานรุ่นอื่นอย่าง J-20 ที่เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อีกด้วย ในขณะที่โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-16V จำนวน 66 ลำดำเนินการไปค่อนข้างช้า และเพิ่งได้รับมอบเครื่องบินลำแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เท่านั้น

 

โดยรวมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามปากีสถานและอินเดียทำให้ช่องว่างระหว่างกองทัพจีนและไต้หวันที่เคยกว้างอยู่แล้วนั้นกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้นไต้หวันอาจต้องพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น การพยายามจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่กว่า F-16V เช่น F-15EX หรือแม้แต่เครื่องบินขับไล่ F-35 ซึ่งสหรัฐอเมริกาเคยปฏิเสธไม่ขายมาแล้ว รวมถึงอาจต้องพิจารณาจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบอาวุธที่ใช้งานกับอากาศยานเพิ่มเติม เพื่อลดช่องว่างดังกล่าวให้มากที่สุด

 

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหลักของไต้หวันก็คือ ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ยินดีขายอาวุธให้ เพราะประเทศอื่นๆ ล้วนเกรงว่าการขายอาวุธให้ไต้หวันอาจทำให้จีนไม่พอใจจนนำมาสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไต้หวันต้องพยายามหาทางออกให้ได้

 

อีกประเทศคือฟิลิปปินส์ซึ่งมีความขัดแย้งกับจีนในทะเลจีนใต้ และช่องว่างของขีดความสามารถของฟิลิปปินส์และจีนนั้นกว้างกว่าไต้หวันและจีนมากกว่ามาก เช่นเครื่องบินขับไล่ที่ดีที่สุดของฟิลิปปินส์นั้นมีแค่ 11 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่เบาที่พัฒนาจากเครื่องบินฝึกอย่าง FA-50PH หรือเรือฟริเกตที่มีขีดความสามารถสูงที่มีเพียงสองลำเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่ากองกำลังรักษามณฑลๆ หนึ่งของจีนเสียอีก ทำให้ฟิลิปปินส์เสียเปรียบทั้งจำนวน เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญถ้าต้องเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้จริงๆ

 

ฟิลิปปินส์จึงอาจจะต้องลงทุนในการพัฒนากองทัพให้มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อความเหนือกว่า แต่เพื่อปิดช่องว่างให้แคบที่สุด และเน้นไปที่การป้องกันตนเองหรือป้องกันพื้นที่หนึ่งๆ ให้ได้ ซึ่งจะเป็นโจทย์ที่ง่ายกว่าการพยายามเอาชนะจีนให้ได้ในทะเลจีนใต้ทั้งหมด แต่แค่โจทย์นี้ก็ต้องมาพร้อมกับการลงทุนจัดหาเครื่องบินขับไล่เพิ่มเติม รวมถึงเรือฟริเกตที่มีขีดความสามารถสูงเพิ่มเติมเช่นกัน

 

ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่า จรวด PL-15E ที่ J-10CE ของปากีสถานยิงออกไปทำลาย Rafale ของอินเดียนั้นไม่ได้ส่งผลเฉพาะการรบในแคชเมียร์เท่านั้น แต่ส่งผลต่อเนื่องไปค่อนข้างมาก และเป็นเหมือนคลื่นที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้หลายฝ่ายที่แม้จะจริงจังในการรับมือกับการขยายตัวของจีนอยู่แล้ว อาจต้องจริงจังมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า เพราะจีนกลายมาเป็นผู้เล่นชั้นนำที่มีทั้งเทคโนโลยีทางทหาร อำนาจทางเศรษฐกิจ และอิทธิพลทางการเมืองของโลกอย่างแท้จริง

The post อาวุธจีนในสมรภูมิโลก อนาคตอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัสเซียฉลองครบรอบ 80 ปี วันแห่งชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนี ขบวนพาเหรดทหาร-ยุทโธปกรณ์ยิ่งใหญ่ https://thestandard.co/russia-80-years-victory-day/ Fri, 09 May 2025 10:45:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1072889

ขบวนพาเหรดทางทหารเนื่องในวันแห่งชัยชนะ (Victory Day Par […]

The post รัสเซียฉลองครบรอบ 80 ปี วันแห่งชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนี ขบวนพาเหรดทหาร-ยุทโธปกรณ์ยิ่งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ขบวนพาเหรดทางทหารเนื่องในวันแห่งชัยชนะ (Victory Day Parade) ประจำปี 2025 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 9 พฤษภาคม ที่จัตุรัสแดง กรุงมอสโก เพื่อรำลึกครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะของสหภาพโซเวียตเหนือนาซีเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง

 

ในปีนี้ ขบวนพาเหรดประกอบด้วยทหารนับพันนาย ยานเกราะ รถถัง และอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนมาก รวมถึงระบบยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์เคลื่อนที่ และการแสดงทางอากาศโดยฝูงบินรบ

 

ทหารจีนร่วมเดินสวนสนามในพิธีด้วย สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างรัสเซียกับจีนในปัจจุบัน และบทบาทร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศ

 

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เป็นประธานในพิธี โดยมีประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีน และผู้นำจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม ถือเป็นหนึ่งในเวทีการทูตที่มีผู้นำระดับสูงจากนานาชาติเข้าร่วมมากที่สุดในรอบหลายปี

 

พิธีเริ่มต้นเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมการกล่าวสุนทรพจน์ วางพวงมาลา และกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงทั้งความทรงจำทางประวัติศาสตร์ และพลังทางทหารของรัสเซียในยุคปัจจุบัน

 

 

ภาพ: Reuters

The post รัสเซียฉลองครบรอบ 80 ปี วันแห่งชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนี ขบวนพาเหรดทหาร-ยุทโธปกรณ์ยิ่งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>