ออทิซึม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 15 Mar 2018 10:47:55 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 งานวิจัยสหรัฐฯ พบน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า 90% มีอนุภาคพลาสติกเจือปน https://thestandard.co/microplastics-found-in-more-than-90-of-bottled-water/ https://thestandard.co/microplastics-found-in-more-than-90-of-bottled-water/#respond Thu, 15 Mar 2018 10:47:55 +0000 https://thestandard.co/?p=77512

ผลการวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์ […]

The post งานวิจัยสหรัฐฯ พบน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า 90% มีอนุภาคพลาสติกเจือปน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผลการวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์กในเมืองฟรีโดเนีย พบว่า น้ำดื่มบรรจุขวดมากถึง 93% มีการปนเปื้อนอนุภาคพลาสติกขนาดเล็ก

 

คณะนักวิจัยในโครงการของ Orb Media ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ได้รวบรวมตัวอย่างน้ำดื่มบรรจุขวด 11 ยี่ห้อ จำนวน 259 ขวด ใน 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย เม็กซิโก เลบานอน และเคนยา ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า โดยเฉลี่ยน้ำดื่มแต่ละขวดจะมีไมโครพลาสติกปนเปื้อนปริมาณ 325 อนุภาคต่อลิตร มีเพียง 17 ขวดจากทั้งหมด 259 ขวดเท่านั้นที่ปราศจากการเจือปนของพลาสติก

 

สำหรับยี่ห้อน้ำดื่มที่นำมาเป็นตัวอย่างวิเคราะห์ในงานวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย Aqua, Aquafina, Bisleri, Dasani, Epura, Evian, Gerolsteiner, Minalba, Nestlé Pure Life, San Pellegrino และ Wahaha

 

สำหรับวิธีการศึกษานั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคนิค Nile Red ในการย้อมสีอนุภาควัตถุขนาดเล็กเพื่อให้เรืองแสงในน้ำจนเห็นได้ชัด โดยสีย้อมดังกล่าวจะยึดจับผิวเศษพลาสติก แต่ไม่จับสสารทางธรรมชาติส่วนใหญ่

 

และเมื่อแยกวิเคราะห์ตัวอย่างด้วยเทคนิค Infrared Spectroscopy เพื่อหาเศษพลาสติกที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า 100 ไมครอนขึ้นไป หรือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางพอๆ กับเส้นผมมนุษย์ พบว่าน้ำดื่มบางขวดมีระดับความหนาแน่นของอนุภาคพลาสติกสูงถึง 10,000 อนุภาคต่อลิตร และเฉลี่ย 10 อนุภาคต่อลิตรจากจำนวนตัวอย่างทั้งหมด

 

ส่วนอนุภาคที่เล็กกว่า 100 ไมครอนลงไปจนถึง 6.5 ไมครอน พบว่ามีในน้ำดื่มเฉลี่ย 325 อนุภาคต่อลิตร โดย 4% เป็นอนุภาคที่พบในสารหล่อลื่นของภาคอุตสาหกรรม

 

สำหรับไมโครพลาสติกที่พบในน้ำดื่มบรรจุขวดส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเศษพลาสติกขนาดเล็ก (66%) รองลงมาคือเส้นใย ส่วนสัดส่วนชนิดของพลาสติกที่พบแบ่งเป็นโพลิโพรพิลีน (ซึ่งใช้ในฝาขวด) 54%, ไนลอน 16%, โพลิสไตรีน 11%, โพลิเอทิลีน 10%, โพลิเอสเตอร์/โพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต 6% และอื่นๆ 3%

 

นอกจากนี้รายงานยังระบุด้วยว่า ไมโครพลาสติกที่พบในน้ำดื่มบรรจุขวดจะมีปริมาณมากกว่าที่พบในน้ำประปาถึงประมาณ 2 เท่า ส่วนสาเหตุของการปนเปื้อนของอนุภาคพลาสติกส่วนหนึ่งอาจมาจากกระบวนการบรรจุขวด หรือมาจากตัวขวดและฝาขวด  

 

ศาสตราจารย์เชอร์รี เมสัน อาจารย์ประจำภาควิชาเคมีแห่งมหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่างานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเจาะจงยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ แต่จะแสดงให้เห็นว่าพลาสติกเป็นสิ่งที่กระจายอยู่รอบตัวเรา แม้แต่ในน้ำดื่มที่เราบริโภคอยู่ทุกๆ วัน

 

ศาสตราจารย์เมสันระบุว่าตัวเลขที่เห็นนี้ไม่ใช่ความหายนะก็จริง แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวล แม้ยังไม่มีหลักฐานบ่งชัดว่าการบริโภคไมโครพลาสติกขนาดเล็กมากเข้าไปในร่างกายจะมีอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์อย่างไร

 

“สำหรับความเสี่ยงนั้นจะมีตั้งแต่โอกาสเป็นมะเร็งบางชนิดไปจนถึงการเพิ่มภาวะโรคสมาธิสั้นและออทิซึม” ศาสตราจารย์เมสันกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่า สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่มีสารมลพิษปนเปื้อนในน้ำประปาในปริมาณสูง การดื่มน้ำบรรจุขวดที่ผ่านกรรมวิธีที่ได้มาตรฐานอาจมีความปลอดภัยกว่า

 

ถึงแม้งานวิจัยดังกล่าวยังไม่ได้รับการประเมินโดยนักวิจัยระดับเดียวกันและตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาหลายคนระบุว่าผลการศึกษาชิ้นนี้มีความน่าเชื่อถือสูง โดย ดร.แอนดรูว์ เมเยส แห่งมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียในสหราชอาณาจักร แสดงความเห็นว่า เขารู้สึกพอใจที่คณะวิจัยนำเทคนิค Nile Red มาใช้อย่างระมัดระวังด้วยกระบวนการที่เหมาะสม ดังนั้นจึงได้ผลวิเคราะห์ทางเคมีที่มีคุณภาพสูง

 

ขณะที่ ไมเคิล วอล์กเกอร์ ที่ปรึกษาสำนักงานนักเคมีของรัฐบาลและสมาชิกคณะกรรมการมาตรฐานอาหารแห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า คณะนักวิจัยมีขั้นตอนการศึกษาที่ดีมาก และมีความน่าเชื่อถือ

 

ส่วน แจ็กเกอลีน ซาวิตซ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่นโยบายประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือขององค์กรอนุรักษ์มหาสมุทรโอเชียนา ระบุว่า ผลการศึกษาดังกล่าวได้มอบหลักฐานที่หนักแน่นขึ้นว่าเราควรเลิกใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติกอย่างแพร่หลายได้แล้ว เพราะเราทราบดีว่าปัจจุบันสัตว์ทะเลมีไมโครพลาสติกสะสมอยู่ในปริมาณสูง ดังนั้นผู้คนจึงมีความเสี่ยงที่จะรับสารเหล่านี้เข้าไปในร่างกายทุกวัน

 

“ถึงเวลาแล้วที่ขวดพลาสติกจะกลายเป็นอดีต” ซาวิตซ์กล่าวทิ้งท้าย

 

อ้างอิง:

The post งานวิจัยสหรัฐฯ พบน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า 90% มีอนุภาคพลาสติกเจือปน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/microplastics-found-in-more-than-90-of-bottled-water/feed/ 0
เพื่อนร่วมโรค: เมื่อหลายโรคร้ายเป็นญาติกัน https://thestandard.co/psychiatric-disorder/ https://thestandard.co/psychiatric-disorder/#respond Sat, 17 Feb 2018 04:15:20 +0000 https://thestandard.co/?p=71199

ออทิซึม โรคจิตเภท และไบโพลาร์ มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเป […]

The post เพื่อนร่วมโรค: เมื่อหลายโรคร้ายเป็นญาติกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ออทิซึม โรคจิตเภท และไบโพลาร์ มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า – นี่เป็นคำถามที่นักประสาทวิทยาค้างคาใจมานานหลายสิบปี

 

โรคเหล่านี้ดูเหมือนมีบางอย่างร่วมกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวิธีเกิด การดำเนินโรค และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย แต่คำถามก็คือ สิ่งที่เราเห็นว่ามันมีอะไรร่วมๆ กันอยู่นี้ มันเหมือนกันไปถึงระดับไหนกันแน่

 

นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบว่า – โรคต่างๆ เหล่านี้มีบางสิ่งสำคัญร่วมกันลึกลงไปถึงระดับโมเลกุล!

 

แน่นอน การเข้าใจอะไรแบบนี้ ย่อมจะนำทางไปสู่การรักษาโรคที่ดีขึ้นในอนาคตได้ แต่คำถามก็คือ แล้วที่บอกว่ามันมีอะไรบางอย่าง ‘ร่วมโรค’ กันนั้น – มันคืออะไรกันแน่

 

ต้องบอกกันก่อนนะครับ ว่าโรคเหล่านี้ถือว่าเป็นโรคที่เรียกว่า Psychiatric Disorder หรือโรคที่มีอาการผิดปกติทางจิต ทำให้พฤติกรรมหรือรูปแบบในการคิดเปลี่ยนแปลงไป และผลลัพธ์ทำให้ผู้ป่วยมีบุคลิกหรือการทำงานของร่างกายที่เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งโรคหรืออาการที่ว่านี้มีหลากหลายมาก สามารถแบ่งออกได้อย่างซับซ้อน โดยจะมีเกณฑ์ในการแบ่ง (Classified) อาการต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็มีทั้งข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก หรือของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (American Psychiatric Association) ซึ่งในที่นี้คงไม่ได้ลงไปในรายละเอียดนะครับ

 

อย่างไรก็ตาม ต้องขอทำความเข้าใจกันก่อน ว่าโรคสามโรคที่ว่ามานี้ แตกต่างไปจากโรคอย่างอัลไซเมอร์หรือพาร์กินสันนะครับ เพราะสองโรคที่ว่านี้เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่ทำให้สมองเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (Physical Change) คือไม่เหมือนเดิม ถ้าเป็นสองโรคนี้ แพทย์สามารถดูสมอง (ผ่านการสแกน) แล้วบอกได้เลยว่าผู้ป่วยป่วยเพราะอะไร สมองตรงไหนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เพราะมันจะเห็นได้ชัดเจน

 

แต่โรคหรืออาการอย่างออทิซึม ไบโพลาร์ หรือจิตเภทนั้น เป็นโรคหรืออาการอีกแบบหนึ่ง มันเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ ‘ลึก’ กว่า ซึ่งก็เลยทำให้นักประสาทวิทยาพันธุกรรม (Neurogenetics) แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแอนเจลิส อย่างคุณ แดน เกชวินด์ (Dan Geschwind) ต้องลงมือศึกษาค้นคว้า

 

โชคดีที่ความก้าวหน้าทางพันธุศาสตร์ของเราพุ่งทะยานมาไกลมากแล้ว ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงสามารถชี้เฉพาะไปได้ถึงระดับยีนเลยว่า รูปแบบการแสดงออกของยีน (Gene Expression Patterns) แบบไหนในสมองเชื่อมโยงกลับมาถึงความผิดปกติเหล่านี้บ้าง

 

วิธีการของคุณเกชวินด์ก็คือการตรวจดู RNA จากตัวอย่างเนื้อเยื่อ 700 ตัวอย่าง

 

RNA เป็นสารพันธุกรรมที่คล้ายๆ กับ DNA นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่า DNA จะเป็นเกลียวคู่ ในขณะที่ RNA เป็นเกลียวเดี่ยว คือ ‘ถอดร่าง’ ออกมาจาก DNA นั่นแหละครับ ถ้าพูดภาษาวิชาการ (แต่แบบหยาบๆ นะครับ) ก็ต้องบอกว่า DNA มีน้ำตาลแบบ Deoxyribose ส่วน RNA มีน้ำตาลแบบ Ribose โดย DNA ทำหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลทางพันธุกรรม แต่ RNA นี่ เมื่อ ‘ถอดร่าง’ ออกมาแล้ว ก็จะนำมาแปลงรหัสข้อมูลพวกนั้นออกมาเพื่อสร้างเป็นโปรตีนต่างๆ ในร่างกายของเรา

 

ทีนี้เมื่อนำเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อ 700 ตัวอย่าง มาตรวจดู RNA แล้ว คุณเกชวินด์บอกว่า RNA จะสามารถบอกเราได้ว่าในเนื้อเยื่อเหล่านั้น ยีนไหนใน RNA ที่กำลัง ‘เปิด’ หรือ ‘ปิด’ อยู่บ้าง

 

ยีนที่เปิดก็คือยีนที่ทำให้เกิดการทำงานบางอย่าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่าบางทีการทำงานที่ว่า ก็คือการ ‘ยับยั้ง’ กลไกบางอย่างได้ด้วย เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ‘ทำงาน’ จึงอาจเป็นการทำงานเพื่อทำให้บางอย่างไม่ทำงานได้เหมือนกัน (โอย เขียนเองงงเอง!)

 

แต่โดยสรุปก็คือ คุณเกชวินด์เขาเอา RNA ของคนที่เป็นโรคหลายโรค เช่น ออทิซึม โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคไบโพลาร์ เอามาเปรียบเทียบกันโดยใช้วิธีทางพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุลที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ จึงทำให้เข้าใจได้ว่า RNA ในยีนไหนของคนที่ป่วยเป็นโรคอะไรvทำงานอย่างไร

 

สิ่งที่พบก็คือ ในผู้ป่วยออทิซึม โรคจิตเภท และไบโพลาร์นั้น มีการทำงานของยีนที่เหมือนกันมากทีเดียวครับ สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ยีนที่ทำงานเกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาทในผู้ป่วยทั้งสามนี้ จะทำงานน้อยลงเหมือนๆ กัน แต่จะมียีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของเนื้อเยื่อประสาท (Neuroinflammation) มากขึ้นเหมือนๆ กัน

 

แต่กระนั้นก็มีที่แตกต่างกันด้วยนะครับ คือไม่ใช่เหมือนกันไปหมดทุกสิ่งอัน คือในผู้ป่วยที่เป็นออทิซึมจะมีการทำงานของยีนบางส่วนแตกต่างไปจากผู้ป่วยโรคจิตเภทและไบโพลาร์ เพราะสมองของผู้ป่วยออทิสซึมจะมีการแสดงออกของยีนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเซลล์สมองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Microglia มากกว่าอีกสองโรค

 

หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว! แล้วโรคซึมเศร้าที่คนเริ่มเป็นกันเยอะขึ้นในปัจจุบันนี้ล่ะ มีการทดสอบแล้วเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วยไหม เพราะโรคซึมเศร้ากับไบโพลาร์นี่ บางคนคิดว่ามันเป็นโรคที่เชื่อมโยงกันอยู่ไม่น้อย

 

เกชวินด์บอกว่า เนื้อเยื่อของผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากับโรคพิษสุราเรื้อรังนั้น ไม่ได้มีอะไร ‘เกี่ยวเนื่อง’ (Overlap) กับโรคอื่นๆ สิ่งที่เขาเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือสามโรคที่ว่านี้เท่านั้น ซึ่งเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการหาวิธีรักษา โดยดูว่ายาชนิดไหนทำงานกับอาการแบบไหนในผู้ป่วยได้บ้าง

 

เขาบอกว่ามีการทดสอบโดยใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotic Medication) ในลิงทดลอง และยาบางชนิดก็สามารถเปลี่ยนแปลงลึกลงไปในระดับพันธุกรรม ทำให้อาการที่เชื่อมโยงกับออทิสซึมและโรคจิตเภทดีขึ้นได้

 

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าโรคเหล่านี้มีสาเหตุที่ซับซ้อนมาก มันเกี่ยวกับยีนก็จริง แต่ก็มีตัวกระตุ้นอื่นๆ ด้วย เช่น ประสบการณ์ในชีวิตของผู้ป่วย ดังนั้นการที่เกชวินด์พบว่ามันมีความเหมือนกันในระดับยีนมากขนาดนี้จึงน่าตื่นเต้น เพราะถึงจะมีสาเหตุได้หลากหลาย แต่กลับมีการ ‘แสดงออก’ (Display) ถึงรูปแบบในระดับโมเลกุลในสมองที่เหมือนกันมาก

 

การค้นพบนี้จึงเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อโรคทั้งสาม แต่ก็ต้องบอกด้วยนะครับ ว่าการค้นพบนี้ยังไม่ได้เกิดประโยชน์ขึ้นมาฉับพลันทันที เพราะว่าจะต้องมีการศึกษาต่อเนื่องต่อไปอีก โดยเฉพาะต้องใช้ตัวอย่างเนื้อเยื่อจากสมองของผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้วมาทดสอบอีกมาก เพราะการตรวจสอบซ้ำในปี 2016 นั้น ใช้ตัวอย่างเนื้อเยื่อของผู้ป่วยแต่ละโรคราว 30 ตัวอย่างเท่านั้น จึงอาจยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง

 

โลกยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกมาก โดยเฉพาะโรคร้ายต่างๆ ที่ฝังตัวอยู่ในร่างกายของเรา การค้นคว้าในเรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลายาวนาน ใช้ความรู้ เทคโนโลยี และมีต้นทุนที่สูง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และน่าจับตามองกันต่อไปในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะกับใครที่มีญาติหรือคนที่คุณรักป่วยด้วยโรคที่ว่ามานี้

 

ภาพประกอบ: Pichamon Wannasan

The post เพื่อนร่วมโรค: เมื่อหลายโรคร้ายเป็นญาติกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/psychiatric-disorder/feed/ 0