วันนี้ (1 มีนาคม) ที่ ร.12 พัน.3 รอ. (ค่ายสุรสิงหนาท) ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) รองรับชาวไทยที่ถูกส่งตัวมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา

หลังจากที่ 119 คนไทยผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านพรมแดนคลองลึก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว 7 คนตามหมายจับของทางการไทยไปที่สถานีตำรวจภูธรคลองลึก เพื่อดำเนินคดีตามความผิดซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องอาชญากรรมออนไลน์

โดย 112 คนไทยที่ถูกส่งตัวมาที่ศูนย์คัดแยกฯ ทางเจ้าหน้าที่จะใช้แบบทดสอบจิตเวชเพื่อคัดกรองเหยื่อ โดยจะเน้นคัดกรองคนซึมเศร้า ผู้ป่วยแพนิก หากมีคนที่มีความเสี่ยงจะฆ่าตัวตาย จะแยกไปทำการรักษาทันที และหลังจากนั้นจะมีการคัดกรองผู้ที่มีหมายเรียกต่อไปเพื่อให้เกิดความชัดเจนระหว่างเหยื่อ กับผู้กระทำความผิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากนั้นผู้ที่ผ่านการคัดกรองจะถูกบันทึกบาดแผลตามร่างกาย และตรวจโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก) และดำเนินตามกระบวนการ NRM โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 15 วัน หากพบว่าเป็นเหยื่อจะส่งกลับภูมิลำเนา โดยให้พัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พม.) ประจำจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบ้านควบคู่กันไป

ทั้งนี้ ทีมข่าวสังเกตว่ากลุ่มคนไทยที่ทางการรับตัวกลับมาจะต้องแขวนป้ายกระดาษซึ่งระบุข้อมูลตามบัตรประชาชนไว้ และในส่วนท้ายมีช่องสำหรับทำสัญลักษณ์ว่าได้รับการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย คัดกรองโรค, ประเมินทางกาย, ประเมินทางจิต, ฝากทรัพย์สิน, ซักถาม และตรวจยาเสพติด

ภาพ: ฐานิส สุดโต, กองกำลังบูรพา หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ

The post 112 คนไทยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปอยเปตเข้ากระบวนการคัดแยกเหยื่อ หลัง 7 คนถูกจับกุมทันทีเมื่อเข้าเขตประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (1 มีนาคม) ที่ ด่านพรมแดนคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ร่วมรับตัว 119 คนไทยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย กัมพูชา กลับมาประเทศไทย

พล.ต.อ. ธัชชัย ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับตัวครบทั้ง 119 คนว่า เจ้าหน้าที่ได้แบ่งสีเสื้อเป็น 3 สี คือ ผู้ที่สวมเสื้อสีเขียว หมายถึงผู้ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ผู้ที่สวมเสื้อสีฟ้าถูกจับกุมวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ส่วนกลุ่มที่สวมเสื้อสีชมพู 7 คน คือ บุคคลที่มีหมายจับในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการคัดแยกและการควบคุมตัว 

ภาพรวมการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ที่พบว่ากระทำความผิด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ ,กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กรณีที่พบรายใดกระทำความผิดก็จะมาพิจารณาตั้งข้อกล่าวหา โดยวางโครงความผิดมูลฐานของคดีไว้ คือ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ,อั้งยี่ซ่องโจร และร่วมกันฉ้อโกง

“ตำรวจเตรียมวางแผนคัดกรองครั้งนี้ไว้อย่างละเอียด โดยให้คนเก่งจากแต่ละส่วนมาทำงาน เพื่อไม่ให้คนที่ไปก่ออาชญากรรมมาอ้างว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อีกต่อไป แต่ถ้าคนไหนเป็นเหยื่อจริงๆ ตำรวจจะช่วยเหลือตามกระบวนการ” พล.ต.อ. ธัชชัย กล่าว

พล.ต.อ. ธัชชัย กล่าวต่อว่า จากการสอบถามคนไทย 3-4 คน ที่ถูกส่งกลับเข้ากระบวนการ ให้ข้อมูลว่าข้ามไปทำงานไม่นานนี้ แต่ทางเจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่า ไปทำงานตั้งแต่เมื่อไร อย่างไร และทางกัมพูชาก็มีข่าวออกมาแล้วเป็นภาษาอังกฤษเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบว่า กลุ่มคนเหล่านี้สมัครใจไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอยู่ได้อย่างอิสระปกติ เดินทางไปไหนมาไหนได้ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ และมีบอสเป็นคนจีนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด จากการสอบถามกับผู้แทนสถานทูตไทยในกัมพูชา ไม่พบการแจ้งขอความช่วยเหลือจากทั้ง 119คน

ส่วนทั้ง 119 คน ที่ถูกจับกุมมาจากอาคารใดในฝั่งปอยเปตบ้างจะต้องพิจารณารายละเอียด จากการสอบปากคำและการคัดกรองก่อนและหลังจากนี้ ทางการไทยจะทำงานร่วมกับตำรวจกัมพูชาในการตรวจสอบทุกพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

The post รับตัว 119 คนไทยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปอยเปต ทางการกัมพูชาให้ข้อมูลทั้งหมดสมัครใจไปทำงาน มีบอสเป็นชาวจีน ไม่เคยขอให้ช่วยเหลือ appeared first on THE STANDARD.

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กองกำลังบูรพา หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ พร้อมเจ้าหน้าที่ทหารพราน นำทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่สำรวจในจุดที่มีการข่าวว่าเป็นช่องทางธรรมชาติในการลักลอบข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทย และกัมพูชา

โดยในจุดแรกเป็นพื้นที่สาธารณะด้านหลังของบ้านประชาชนที่เปิดรับบริการจอดรถ ซึ่งจุดดังกล่าวเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่ามีประชาชนบางส่วนที่จะประกอบธุรกิจให้จอดรถแบบรายวันรายเดือน แต่ความจริงแล้วจะพ่วงเสริมบริการพาข้ามช่องทางธรรมชาติซึ่งอยู่ติดกับรั้วด้านหลังของลานจอดรถไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

มีการเรียกเก็บค่าบริการตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ผู้ที่มาใช้บริการสามารถจอดรถได้ เป็นเวลา 1 เดือน และ เดินลัดเลาะไปตามแนวชายแดนเพื่อข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จุดนี้จะมีคลองธรรมชาติขนาดความกว้าง อยู่ที่ 5-15 เมตร เมื่อข้ามไปถึงฝั่งตรงข้ามได้จะมีทางขึ้นที่ถูกทำไว้แบบถาวรรออยู่

ขณะที่จุดที่ 2 ที่ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปสำรวจเป็นในส่วนด้านหลังที่รับจอดรถของ ประชาชนในพื้นที่เช่นกัน แต่ในจุดนี้จะมี จุดสังเกตพิเศษคือ ที่จอดรถของแต่ละบ้านจะถูกล้อมด้วยรั้วสังกะสีปิดทึบ มีการแปะป้ายข้อความว่ารับจอดรถอัตราค่าบริการ 1,000 บาทขึ้นไป

ส่วนนี้เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่าผู้ที่มาใช้บริการ จะต้องจอดรถในบ้าน และต้องใช้พื้นที่สาธารณะในการนั่งเรือพาย ข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จะมีความยากลำบากกว่าในจุดแรกทำให้ค่าบริการถูกกว่า

ปัจจุบันกองกำลังบูรพา หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ ได้ทำการปิดล้อมป้องกันตามช่องทางในส่วนดังกล่าวทั้งหมดแล้ว โดย อาศัยชุดข้อมูลจากการช่วยเหลือและจับกุมคนไทยและต่างชาติที่พยายามหนีออกมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านให้ข้อมูลว่าพวกเขาใช้ช่องทางใดในการข้ามฝั่งไปและตามปิดล้อม ป้องกัน วางรั้วลวดหนามตลอดแนว

นอกจากวัตถุกีดขวางที่ถูกวางไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ยังมีในส่วนของกองกำลังทหารที่กระจายตามจุดสำคัญ และลาดตระเวนตลอดทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน 

ซึ่งระหว่างการสำรวจของทีมข่าวและเจ้าหน้าที่ทหารมีประชาชนในพื้นที่ของกัมพูชาที่บ้านเรือนอยู่ติดริมชายแดนได้บันทึกภาพของทีมข่าวและเจ้าหน้าที่ทหารไว้ตลอด

และในจุดสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ทหารพาสำรวจการทำงานคือฐานสำหรับบินโดรนอินฟราเรดที่ใช้ลาดตระเวนตรวจจับคลื่นความร้อนแนวชายแดน ป้องกันการ ลักลอบข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย ซึ่งในส่วนของอำเภออรัญประเทศ แนวพรมแดน ช่วงตอนบนของอำเภอจะเป็นพื้นดินต่อพื้นดิน ส่วนตอนล่างจะเป็นพื้นดินต่อด้วยคลองธรรมชาติเจ้าหน้าที่จึงจำเป็นที่จะต้องสำรวจตลอดแนว

The post ติดตามภารกิจพิทักษ์ชายแดนไทยกับกองกำลังบูรพา หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ appeared first on THE STANDARD.