วันนี้ (25 มีนาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล สมศักดิ์ เทพสุทิน​ รองนายก​รัฐมนตรี​ กล่าวกรณีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี​ จะเดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ในวันพรุ่งนี้ (26 มีนาคม) ซึ่งอาจถูกข้อครหาในการครอบงำพรรคซึ่งมีโทษถึงยุบพรรค​ว่า​ จะครอบงำได้อย่างไร หลังจากทักษิณออกมาจากโรงพยาบาลก็เหมือนกับเป็นบุคคลธรรมดาไม่ต้องถูกควบคุมตัวแล้ว และไม่ได้ผิดเงื่อนไขของกรมคุมประพฤติ สามารถทำได้ทุกอย่าง ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำหรือพูดคุยต่างๆ สามารถทำได้ทั้งหมด เมื่อทำได้ก็ไม่ได้ผิดเงื่อนไขอะไร เพราะไม่ได้มีการเขียนข้อห้ามของคนที่อยู่ระหว่างการคุมประพฤติ ระหว่างการพักโทษทักษิณก็ทำตามกติกา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางไปที่พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคการเมือง ซึ่งแยกออกจากกันลำบาก สมศักดิ์​กล่าวว่า ก็ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ถ้าเป็นบุคคลที่หนีคดีความหรือมีคำพิพากษาของศาลแล้วให้ต้องโทษอะไรต่างๆ ถ้าเราเป็นรัฐมนตรีไปพูดคุยกับบุคคลดังกล่าวนี้ก็อาจมีเรื่องของวินัยมาเกี่ยวข้อง แต่กรณีนี้ไม่ใช่ พ้นระยะเวลานั้นแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น และพรรคไม่ได้มีการเป็นห่วงอะไรในประเด็นนี้ ไม่ได้มีข้อห้าม ไม่ได้มีกฎหมาย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีคนไปร้องเรียนจะสามารถชี้แจงได้ใช่หรือไม่ สมศักดิ์​กล่าวว่า ไม่มีใครไปร้องหรอก เพราะไม่มีความผิด​ ถ้าเป็นผู้ต้องขังที่หนีแล้วมีรัฐมนตรีไปพูดคุยก็อาจถูกร้องเรื่องวินัย แต่กรณีนี้ไม่มีความผิด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ทักษิณออกมาเคลื่อนไหว ขณะนี้ถือว่าอาการป่วยหายแล้ว 100% ใช่หรือไม่ สมศักดิ์​กล่าวว่า คนอายุ 70 กว่าจะไปแข็งแรงได้อย่างไร มีผมคนเดียวที่แข็งแรง​เตะบอลได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. พรรคก้าวไกล​ ออกมาระบุว่า ทักษิณน่าจะเกรงใจหมอที่ให้การรับรองว่าป่วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการพักโทษ สมศักดิ์​กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เขาก็อาจอิจฉา ซึ่งคนที่เป็นรัฐมนตรีอาจไปขอคำปรึกษาได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แม้จะไม่มีกฎหมายห้าม แต่คนอาจมองถึงเรื่องของความเหมาะสม สมศักดิ์กล่าวว่า ไม่เป็นไร ถามมาก็ตอบไป แต่ส่วนตัวเห็นว่าเหมาะสม อย่างตนก็จะไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ​ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามเรื่องการเคลื่อนไหวของทักษิณนั้น เป็นการดึงกระแสความนิยมของรัฐบาลให้ลดลงไหม สมศักดิ์​กล่าวว่า ไม่หรอก ตรงกันข้ามกระแสความนิยมของรัฐบาลดีขึ้น เวลาตนไปไหนตนก็จะบอกเสมอว่า คนที่ก่อตั้งหน่วยงานต่างๆ ที่ตนกำกับดูแลอยู่มาแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการทำอะไรของตนจะไม่ผิดเงื่อนไข ทุกคนรู้ดีว่าทักษิณทำประโยชน์ให้บ้านเมือง และได้รับความนิยมมายาวนาน และมากกว่านักการเมืองคนอื่นๆ และปัจจุบันพรรคการเมืองต่างๆ เท่าที่เห็นก็เล็กลงๆ กันหมด เริ่มต้นก็ใหญ่ และจะเล็กลงตามระยะเวลา ดังนั้นการบริหารการเมืองหรือการทำอะไรที่ตรงกับความต้องการของประชาชน ตนมั่นใจว่าทักษิณทำได้ดี และมั่นใจว่าจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับรัฐมนตรีทุกคน และตนเห็นว่า เศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยินดีที่จะไปปรึกษาทักษิณเพราะเห็นว่าได้ประโยชน์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นิด้าโพลเผยผลสำรวจความนิยมล่าสุดว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนความนิยมตกลง สมศักดิ์​กล่าวว่า คอยดูต่อไปเถอะ เวลาเลือกตั้งจะวิ่งกันเข้ามาช่วยพรรคเพื่อไทยเต็มไปหมด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ที่บอกว่าให้รอดูจะมีคนวิ่งเข้าพรรคเพื่อไทยหมายความว่าอย่างไร​ สมศักดิ์กล่าวว่า ก็ตอนเลือกตั้งไง สส. จะวิ่งแย่งกันมาสมัครพรรคเพื่อไทย​อีก​

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าไม่ได้เกี่ยวโยงกับกรณีที่มีข่าวว่าจะมีการยุบพรรคก้าวไกล อาจทำให้มีสมาชิกก้าวไกลแพแตก วิ่งเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย สมศักดิ์​ระบุว่า ไม่เกี่ยว ผมยังไม่รู้เลยว่าจะยุบพระก้าวไกลหรือไม่

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าหากพรรคก้าวไกลถูกยุบก็พร้อมที่จะอ้าแขนรับใช่หรือไม่ สมศักดิ์กล่าวว่า ไม่ทราบ​ ตนพูดแทนพรรคไม่ได้ ต้องรอดูจะยุบหรือไม่ยุบตนไม่ทราบ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ทักษิณเข้ามา จะสามารถทำให้พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมนำพรรคก้าวไกลได้ใช่หรือไม่ สมศักดิ์​กล่าวว่า​ อย่าไปเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่นเลย เพราะพรรคการเมืองอื่นเขายังไม่เคยทำงาน​ เพราะฉะนั้นเขาก็พูดได้ทุกมุม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในอนาคตมีโอกาสที่ทักษิณจะเข้ามาดูแลพรรคเพื่อไทยเต็มตัวหรือไม่ สมศักดิ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไม่ใช่ผู้บริหาร​พรรค​ แต่ดีใจที่ทักษิณจะไปให้คำแนะนำและพูดคุยกับสมาชิกพรรค

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา​ 152  ในกรณีทักษิณ​ด้วย​ สมศักดิ์​กล่าวว่า​ การอภิปรายของฝ่ายค้านตามมาตรา 152 ไม่มีการลงมติ เมื่อไม่มีการลงมติจะไปอะไรมากมาย และการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภา​ หรือ​ สว. ก็ไม่ได้ลงมติ เพราะฉะนั้นไม่น่าห่วงอะไรถามมาก็ตอบไป เหมือนกับเป็นการแนะนำสอบถาม อะไรดีรัฐบาลก็รับไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าแม้ไม่มีการลงมติ แต่อาจทำให้ประชาชนได้รู้อีกด้านหนึ่งของรัฐบาล สมศักดิ์กล่าวว่า ดีมากเลย เพราะวันนี้เราต้องเปิดเผย เราจะไปปิดบังหรืองุบงิบทำโน่นทำนี่ไม่ได้ ต้องมีเหตุผลที่ดี การเปิดเผยดีที่สุด การไม่เปิดเผยแย่ที่สุด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าเมื่อทักษิณกลับมาจะทำให้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยเกิดแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า สมศักดิ์กล่าวว่า ตนว่าดีขึ้น แต่จะดีเท่าไรขอให้รอดู เพราะถ้าไปพูดก่อนก็จะเป็นการกดดัน ไม่ดี และเป็นการกดดันตัวผมด้วย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวเหมือนในสมัยทักษิณหรือไม่ สมศักดิ์กล่าวว่า เขาก็อยากได้กันแบบนั้น แต่จะทำได้หรือไม่ได้ก็ต้องดูผลงานในขณะนี้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในตอนนี้การเลือกตั้ง การเคลื่อนไหวของทักษิณจะมีส่วนต่อสนามการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดหรือ อบจ. หรือไม่ สมศักดิ์​กล่าวว่า​ อย่าเอาไปโยงกันเลย แต่ละพรรคก็ต้องมีคนของตัวเอง สำหรับพรรคเพื่อไทยก็มีคนที่จะลงสมัคร ก็ขอให้รอดู

มั่นใจทักษิณไม่ได้ครอบงำพรรค  

ขณะที่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่เกี่ยวคนละประเด็นกัน ทักษิณเป็นอดีตผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และในวันนี้ไม่ได้มีข้อห้ามที่จะไม่ให้ทักษิณไปไหนมาไหน โดยสมาชิกพรรคไม่ได้เป็นห่วงประเด็นนี้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีคนไปยื่นยุบพรรคเพื่อไทยว่า ทักษิณครอบงำพรรคจะดำเนินการอย่างไร ประเสริฐกล่าวว่า ถ้ามองว่าเป็นการครอบงำไม่ใช่เลย แต่น่าจะเป็นเรื่องของการให้ความเคารพนับถือมากกว่า ที่สมาชิกกับทักษิณสามารถไปมาหาสู่กันได้อยู่แล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร และไม่ได้เป็นการครอบงำ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ทักษิณเดินทางไปพรรคเพื่อไทย อาจทำให้มองไปในลักษณะแบบนั้นได้ ประเสริฐกล่าวยืนยันว่า ทักษิณเดินทางไปไหนก็ได้ อย่าลืมว่าทักษิณเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย จนมาพรรคพลังประชาชน และล่าสุดพรรคเพื่อไทย แม้ว่าช่วงเวลาหนึ่งทักษิณจะไปอยู่ที่ต่างประเทศ แต่เมื่อทักษิณกลับมาประเทศไทยก็ยังมีความผูกพันอยู่ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าในอนาคตมีโอกาสที่ทักษิณจะเข้ามาดูแลพรรคอย่างเต็มตัวหรือไม่ ประเสริฐกล่าวว่า ขณะนี้ทักษิณไม่ได้เป็นสมาชิกและกรรมการบริหารพรรค ส่วนอนาคตนั้นตนไม่ทราบ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการเคลื่อนไหวของทักษิณขณะนี้ ทำให้คนมองว่าดึงภาพรัฐบาลให้ต่ำลง ไม่สามารถต่อสู้กับพรรคก้าวไกลได้ ประเสริฐกล่าวว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษิณ จะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว แต่กระแสนิยมขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่าวันพรุ่งนี้จะเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ประเสริฐเปิดเผยว่า ตนมีประชุมคณะรัฐมนตรี และมีการประชุมต่อจากนั้นอีก จึงยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าพรรคหรือไม่ ขอดูเวลาที่เหมาะสมที่จะไปพบทักษิณก่อน

The post สมศักดิ์-ประเสริฐประสานเสียง ทักษิณเข้าพรรคเพื่อไทย ไม่ผิดเงื่อนไข​-ไม่ครอบงำพรรค appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (4 ตุลาคม) ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจแล้วหรือไม่ว่าจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด หลังถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล ว่าขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มพูดคุยว่าจะไปอยู่พรรคไหน ซึ่งอันดับแรกจะต้องเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก่อน ต้องเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของพรรค และต้องดูความคาดหวัง ตนอยากไปทำตัวให้มีประโยชน์กับพรรคใหม่ โดยพรรคที่ตนจะไปสังกัดต้องพูดเรื่องนี้กับตนให้ชัดเจน แต่ต้องย้ำว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ต้องติดต่อมาให้เสียเวลา 

ต่อคำถามที่ว่า ตัดสินใจแล้วหรือไม่ว่าจะไปสังกัดพรรคใด ปดิพัทธ์กล่าวว่า มีพรรคมาให้เลือกเยอะ พรรคฝ่ายค้านขณะนี้มีให้เลือก 2 พรรค หรือแม้กระทั่งพรรคนอกสภาที่กำลังพิจารณาอยู่ด้วย เนื่องจากมีข้อเสนอเข้ามาเช่นกัน

ส่วนจะสังกัดพรรคใหม่เมื่อใดนั้น ปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนมีเวลา 30 วัน โดยสุดท้ายในการตัดสินใจคือวันที่ 28 ตุลาคมนี้ หากสัปดาห์นี้การเดินหน้าพบปะพูดคุยกันเป็นไปได้ด้วยดี ก็สามารถตัดสินใจได้ภายในกลางเดือนนี้ 

หลังจากถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งรองประธานสภาที่ตั้งขึ้นมาจะเดินหน้าต่ออย่างไร ปดิพัทธ์กล่าวว่า คนที่มีตำแหน่งในพรรคก้าวไกล เช่น พล.ต.ต. สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ที่ปรึกษารองประธานสภา ได้ยื่นหนังสือลาออกเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาอีกคนก็ได้ขอลาออกด้วยวาจาแล้ว โดยขณะนี้ติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ เมื่อกลับมาจะยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งคณะทำงานคนไหนที่ยังมีบทบาทในพรรคก้าวไกลอย่างเป็นทางการจะต้องลาออกทั้งหมด หากมีความสัมพันธ์กับพรรค และไม่มีตำแหน่งใดๆ เราสามารถเป็นคณะทำงานร่วมงานกับตนได้ โดยตามกฎหมายไม่ได้ห้าม แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม โดยจะทำทุกอย่างให้โปร่งใสและเปิดเผยรายชื่ออีกครั้ง 

เมื่อถามว่าอาจมีการส่งเรื่องให้ กกต. หรือศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องการขับออกจากพรรคก้าวไกลโดยมิชอบนั้น ปดิพัทธ์กล่าวว่า หากย้อนกลับไปดูคำแถลงวิสัยทัศน์ก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 นั้น ตนเคยประกาศว่า จำเป็นต้องฟื้นฟูองค์กรที่เรียกว่านิติบัญญัติให้ไม่อยู่ใต้อาณัติของรัฐบาล และไม่อยู่ใต้อาณัติของตุลาการ สามอำนาจอธิปไตยจำเป็นที่จะต้องถ่วงดุลและเป็นอิสระจากกัน ซึ่งหวังว่าจะสามารถจัดการเรื่องนิติบัญญัติภายในองค์กรเองได้ หากนิติบัญญัติยังต้องพึ่งพาองค์กรที่เต็มไปด้วยคำถามเรื่องความเป็นกลางทางการเมือง โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่ยังมีองคาพยพมาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช.

The post อมรัตน์-สุพิศาล ลาออกที่ปรึกษารองประธานสภาแล้ว หลังปดิพัทธ์ทยอยพูดคุยหาสังกัดพรรคการเมืองใหม่ คาดตัดสินใจได้กลางเดือนนี้ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (25 กันยายน) ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศว่า ขณะนี้อธิบดีกรมการปกครองมอบหมายให้ปลัดจังหวัดทำบัญชีมาแล้ว ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก จากนั้นจะแยกประเภทสี-รูปแบบ ซึ่งตนเคยบอกไปแล้วว่าผู้มีอิทธิพลถ้าไม่เลิกเจอแน่ และเราจะไม่ทำแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ใช่ตัวอยู่ในเรือนจำหรือหนีไปแต่อาณาจักรยังอยู่ แบบนี้ไม่ได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้เห็นตัวเลขผู้มีอิทธิพลแล้วหรือไม่ว่ามีจำนวนเท่าใด ชาดากล่าวว่า 76 จังหวัดก็ต้องเยอะ ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่ปัญหา เรากำลังปรับข้อมูล เพราะบางคนเสียชีวิต ขอเรียนว่าถ้าคนไหนที่ยังไม่เลิกก็ต้องปรับตัวใหม่

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการทบทวนการครอบครองอาวุธปืนสวัสดิการหรือไม่ ชาดากล่าวว่าต้องทบทวน นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้นโยบายไว้แล้ว และถ้าใครมีชื่อผู้มีอิทธิพลเราจะตรวจสอบทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องปืน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าต่อไปหลักเกณฑ์การจัดซื้ออาวุธปืนสวัสดิการจะต้องมีการเข้มงวดขึ้นหรือไม่ ชาดากล่าวว่าก็ต้องเข้มงวดขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าพอหรือยัง เยอะเกินไปหรือไม่ สำหรับปืนในประเทศนี้ และปืนสวัสดิการมันจะเยอะเกินไปหรือไม่ ตนก็ไม่กล้าก้าวล่วงไป

“ปืนทุกกระบอกต้องเก็บนิติวิทยาศาสตร์ ปืนที่ออกจากร้านค้าปืนต้องมีรอยหัวกระสุน มีการเก็บข้อมูล เก็บลำกล้อง เก็บลายเส้น เก็บหัวกระสุน เก็บปลอกกระสุนไว้ เมื่อไปก่อเหตุอาชญากรรมที่ไหนต้องรู้ได้เลย งบประมาณไม่มีก็ต้องทำ โลกยุคใหม่ต้องไปอย่างนั้นแล้ว” ชาดากล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าถึงกรณี นิยม นพรัตน์ หรือ เค สามถุยส์ เตรียมยื่นให้ตรวจสอบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล อยู่ในบัญชีผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครปฐมหรือไม่ ชาดากล่าวติดตลกว่า น่าจะอยู่ในบัญชีคนสวยปากจัด ก่อนจะหัวเราะและเดินออกจากวงสัมภาษณ์

The post ชาดาเผย ขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลคืบหน้ามาก พูดติดตลก ‘อมรัตน์’ อยู่ในลิสต์ ‘คนสวยปากจัด’ หลังสื่อถามอยู่ในบัญชีผู้มีอิทธิพลนครปฐมหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

เจี๊ยบ อมรัตน์ เสียใจที่เกินเลย ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง

The post ชมคลิป: เจี๊ยบ อมรัตน์ เสียใจที่เกินเลย ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง | THE STANDARD appeared first on THE STANDARD.

เจี๊ยบ อมรัตน์ เปิดชีวิตสุดมันจนร้องไห้ จากนักสู้บนถนน-คู่ปรับประยุทธ์-เลิกการเมือง

The post ชมคลิป: เจี๊ยบ อมรัตน์ เปิดชีวิตสุดมันจนร้องไห้ จากนักสู้บนถนน-คู่ปรับประยุทธ์-เลิกการเมือง | THE STANDARD appeared first on THE STANDARD.

รู้จักตัวตน ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เมื่อการปกป้องตัวเอง ก้าวสู่การล่าแม่มด

พูดคุยกับ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 และอดีต สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

พบกันในรายการ THE STANDARD NOW กับ อ๊อฟ ชัยนนท์ วันที่ 21 กันยายน 2566 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD

The post ชมคลิป: รู้จักตัวตน ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เมื่อการปกป้องตัวเอง ก้าวสู่การล่าแม่มด | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (20 กันยายน) อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์แถลงการณ์ระบุว่า ดิฉันได้ตัดสินใจและแจ้งความประสงค์ต่อคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ในคืนวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ดังนี้ 

ดิฉันขอใช้พื้นที่นี้ในการสื่อสารและชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ระหว่างดิฉันกับคุณปีใหม่ ที่สังคมกำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย 

ดิฉันขอชี้แจงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดและได้รับความเสียหายจากการกระทำและการแสดงความเห็นของคุณปีใหม่ ที่มิใช่พฤติการณ์ของการวิพากษ์วิจารณ์ดิฉันโดยสุจริต แต่เป็นการกระทำซ้ำๆ ในการสร้างข่าวเท็จที่ไม่มีมูลความจริงโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับดิฉัน (เช่น การกล่าวหาว่าดิฉันเป็นชู้กับคนขับรถ การตัดต่อภาพและกล่าวหาในทำนองว่าดิฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับกำนันนกและเป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครปฐม) ยังไม่นับอีกหลายกรณีที่ไม่เกี่ยวกับดิฉัน แต่เป็นการสร้างข่าวเท็จหรือกล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อกล่าวหาที่รุนแรง (เช่น การแปะป้ายคนอื่นว่าล้มล้างการปกครอง หรือสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดิฉันจึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปพูดคุยกับคนในที่ทำงานของคุณปีใหม่เพื่อหารือแนวทางในการได้ข้อยุติโดยไม่ต้องนำไปสู่การฟ้องร้องโดยไม่จำเป็น ซึ่งดิฉันเดินทางไปคนเดียวและปรึกษาทนายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามกรอบกฎหมายและไม่เป็นการใช้อำนาจคุกคามผู้อื่น 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเช่นใด ดิฉันต้องขอยอมรับว่า ดิฉันได้มีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่ไม่เหมาะสมและไม่รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การดำเนินการและการสื่อสารในโซเชียลมีเดียที่อาจถูกตีความได้ว่าเป็นการใช้สถานะส่วนตัวในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในทางที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการไม่อดทนอดกลั้นเพียงพอในฐานะบุคคลสาธารณะ 

ดังนั้น ดิฉันจึงได้แจ้งกับคุณชัยธวัช ตุลาธน รักษาการเลขาธิการพรรคก้าวไกล ตั้งแต่เมื่อคืนว่า ดิฉันขอแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้นด้วยการให้ทางพรรคตัดสิทธิการถูกเสนอชื่อเข้าดำรงตำแหน่งบริหารใดๆ ในพรรคก้าวไกล ดิฉันขอโทษทุกคนที่รู้สึกผิดหวังกับการกระทำของดิฉัน และขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์ เพื่อเก็บเป็นบทเรียนในการปฏิบัติตนในอนาคต

อ้างอิง:

• https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0euWjis4BydaeoZjef7tSx6jkLq8D6r2hxxhm5KtpGzoqnqD3M139sYD4r9hSob3Sl&id=100054162881442

The post อมรัตน์ออกแถลงการณ์รับผิดชอบ ให้ก้าวไกลตัดสิทธิเสนอชื่อทุกตำแหน่ง ขอโทษทำให้ผิดหวัง น้อมรับเป็นบทเรียน appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (20 กันยายน) ที่รัฐสภา อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ปีใหม่ ปีใหม่ เขียนจดหมายร้องเรียนที่อมรัตน์บุกไปคุกคามถึงบ้านและที่ทำงาน ซึ่งมีเหตุมาจากการโพสต์ประกาศยุติสงครามเหลือง-แดงจนมีเสียงการวิจารณ์ไม่เหมาะสมว่า ตนขออภัยที่ทำให้สังคมมีความเป็นพิษ มีความ Toxic สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ว่าจะทางสังคมหรือกฎหมาย ตนก็ยินดี ยินยอมน้อมรับ หากเป็นการดำเนินการทางกฎหมาย ตนก็จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปด้วยเช่นกัน 

อมรัตน์กล่าวว่า ตนต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ตนเหลือทนจากการเป็นผู้ถูกกระทำตลอดต่อเนื่องยาวนาน จากคนที่ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในการเปิดบัญชีในโซเชียลมีเดีย ปั่นกระแสข่าวเท็จ ข่าวปลอมโจมตี ด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผลรองรับ ตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ซึ่งคนดังกล่าวมีผู้ติดตามเป็นนักการเมืองระดับหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ 

“ใครที่ใช้ชื่อจริง เป็นเรื่องที่รับได้ แต่กรณีที่ไม่มีตัวตน เป็นบุคคลปริศนา มีใครสืบเสาะหาก็ไม่มีใครทราบความจริง บ้างก็ว่าเป็นนักวิชาการอิสระ บ้างก็ว่าอยู่ต่างประเทศ บ้างก็ว่าเป็นคนสนิทสนมพรรคการเมืองใหญ่ หรือการแสดงตนเป็นบุคคลใกล้ชิดคนใหญ่คนโตหรือนักการเมืองใหญ่ ก็ทำให้คนทั่วไปมีความเกรงใจ จะเขียนด่าใคร จะใส่ร้ายป้ายสีใครก็ทำได้โดยสะดวกใจ ไม่มีใครสามารถติดตามเอาผิดได้” อมรัตน์กล่าว

อมรัตน์ยืนยันว่า ตนเป็นผู้ถูกกระทำ พร้อมโชว์ภาพให้ผู้สื่อข่าวดู และระบุว่าเป็นภาพที่ตนถูกนำไปตัดต่อ รู้สึกโกรธ เพราะเอาหน้าตนไปใส่รูปกำนันนก และพยายามบิดเบือนว่าตนสนิทกับมาเฟีย ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหว ประกอบกับมีคนให้เบาะแสมาว่า บุคคลดังกล่าวพยายามแสดงตนว่ามีผู้สนับสนุนใหญ่โต จึงตรวจสอบโดยการโทรศัพท์ไปเช็กกับผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งต้นสังกัดก็ยินดีตรวจสอบให้

อมรัตน์เปิดเผยว่า เมื่อตนจะกลับบ้านในจังหวัดนครปฐมพอดี ทราบว่าโรงงานที่บุคคลดังกล่าวทำงานเป็นทางผ่านพอดี จึงเข้าไปคนเดียวอย่างถูกต้อง ก็ได้รับการต้อนรับจากคนในโรงงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บอกกับตนว่า บุคคลดังกล่าวได้ยอมรับว่าเป็นเจ้าของบัญชีผู้ใช้งานในเฟซบุ๊ก และ X (หรือที่เรียกกันว่าทวิตเตอร์) จริง แม้ตอนแรกปฏิเสธว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวจะเขียนอะไรก็ได้ แต่กรรมการบริษัทได้ออกหนังสือตักเตือนตามระเบียบบริษัท เหมือนทำทัณฑ์บนไว้ 1 ปี ตนได้ยินแล้วก็สบายใจ ถือเป็นมาตรการทางสังคมอย่างหนึ่ง ยืนยันไม่ใช่การคุกคามหรือข่มขู่ เพราะเราเข้าไปอย่างถูกต้อง ตนไม่มีศักยภาพที่จะไปข่มขู่คุกคามใครอยู่แล้ว

ส่วนสาเหตุที่โพสต์ลงโซเชียล อมรัตน์เปิดเผยว่า “บางทีมาตรการทางกฎหมายก็ต้องใช้ แต่ก็ต้องใช้มาตรการทางสังคมด้วย เพราะบุคคลที่ไม่มีตัวตน อยู่ในที่ปริศนาดำมืด หรือเป็นอะไรที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ก็ถูกขยายผลและสร้างความเกลียดชังมากมาย บางคนก็ไม่มีปัญญาไปฟ้องหมิ่นประมาท”

อมรัตน์ย้ำว่า หากมีอะไรที่คิดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตนก็พร้อมต่อสู้ พร้อมอธิบายว่า การเปิดเผยข้อมูลเป็นการกระทำที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย ตนคิดว่าไม่เข้าข่าย PDPA ไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างชัดเจน เรื่องนี้ก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่ในกระบวนการทางสังคม เหยื่อก็ต้องปกป้องตัวเอง ช่วยเหลือตนเอง หากสังคมจะตัดสินอย่างไรก็ยินดีน้อมรับ หากมองว่าผิดพลาดก็รับผิดชอบได้ ยืนยันว่ากรณีนี้มีการพบกันด้วยความสุภาพ พร้อมถามว่าตนมีสิทธิหรือไม่ที่โดนด่ามา โดนใส่ร้ายป้ายสี เรามีสิทธิไปบอกกับเจ้านายเขาเพื่อพิจารณาถึงกฎระเบียบของบริษัทหรือไม่ 

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ถูกมองว่ากระทบกับตำแหน่งของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ด้วย เพราะอมรัตน์เป็นคณะทำงานนั้น อมรัตน์กล่าวว่า ยังไม่ได้เจอกัน แต่หากกระทบก็ยินดีน้อมรับทั้งหมด เพราะตนยังมีสติ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง เราจะไม่ทนเป็นเหยื่ออีกต่อไป หากเกินเลยไปบ้างก็ยินดีรับผิดชอบ หากจะให้ลาออกก็ขึ้นอยู่กับคนแต่งตั้ง แต่ตนก็รับได้ อยู่ตรงไหนก็ทำงานได้ ส่วนจะมีบทลงโทษหลังจากนี้ก็ให้ดำเนินการไป เพราะตนไม่ได้เป็น สส. แล้ว เป็นเพียงที่ปรึกษารองประธานสภา ขอให้ว่าไปตามกระบวนการ

อมรัตน์ระบุว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับพรรคก้าวไกล แต่ไม่มีปัญหา เพราะทำไปด้วยสติและคิดว่าคุ้มค่า พร้อมย้ำว่าการที่ตนนำเอาคนที่อยู่ในเงาดำมืด ไม่มีแสง ทำหน้าที่เหมือนไฟฉาย ส่องแสงให้คนได้เห็น มีตัวตน มีอาชีพอะไร จะได้ไม่ต้องไปทำร้ายใครด้วยการโพสต์ ถ้าอยู่ในมุมมืดก็ทำอะไรได้ตามสบายไปเรื่อยๆ 

อมรัตน์ระบุว่า ขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย และขอให้ใช้กรณีนี้เป็นประโยชน์ในการขยายผลให้ประชาชนได้รับการปกป้องจากกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวเคยต่อต้านเรื่องการล่าแม่มด แต่ต้องเป็นในระดับไหนถึงจะเรียกว่าเป็นการล่าแม่มด เช่น เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วถูก คสช. ตามล่า ใช้กฎอัยการศึก ใช้กฎหมายตามล่า เราอาจเป็นเหยื่อ แต่เรื่องนี้ก็ก้ำกึ่งว่าใครเป็นเหยื่อกันแน่ เพราะมีคนตกเป็นเหยื่อกันมากมาย และตนคือส่วนหนึ่งของเหยื่อ อาจมีใครเป็นเหยื่ออีกส่วนหนึ่งก็ว่าไปตามกระบวนการ ไม่ได้กังวลอะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเจ้าตัวมาขอโทษ อมรัตน์ยินดีให้อภัย และเรื่องนี้จะจบหรือไม่ อมรัตน์บอกว่า พอได้รู้แล้วว่าเป็นใครมาจากไหนก็หายโกรธแล้ว เพราะเป็นคนที่หายโกรธเร็ว ตนรู้สึกว่าได้เปิดโปงตัวตนอะไรออกมาสู่สังคมแล้ว หากวันหลังเขาไปทำร้ายใครด้วยช่องทางโซเชียลอีก ก็จะได้รู้ว่าเป็นใคร หากมาขอโทษก็ได้ พร้อมรับคำขอโทษ ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว 

“หากมีใครมาทุบกระจกบ้านเรา เราต้องช่วยตัวเองก่อนไหม ต้องอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร เมื่อเราไปสอบถามจนได้ชื่อมาแล้ว เราต้องไปสอบถามว่าเป็นชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งที่เราได้ทำไปคือการไปสอบถามที่บริษัท เราต้องปกป้องตัวเองก่อนไหม หรือจะไปรอกระบวนการทางศาล ไม่รู้จะ 2 ปี 3 ปี 5 ปี 6 ปีก็ไม่รู้ บางที 15 ปีจะหมดอายุความแล้วด้วย อันนี้ถือเป็นการปกป้องตัวเองเหมือนกัน” อมรัตน์กล่าวทิ้งท้าย

The post เจี๊ยบ อมรัตน์ โอดเป็นเหยื่อมานาน ถูกใส่ร้าย ไม่กังวลบทลงโทษ บอกต้องปกป้องตัวเองก่อน appeared first on THE STANDARD.

สด! อมรัตน์ แถลงขอโทษ เหตุคุกคาม FC เพื่อไทย

The post ชมคลิป: สด! อมรัตน์ แถลงขอโทษ เหตุคุกคาม FC เพื่อไทย appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (20 กันยายน) นิยม นพรัตน์ หรือ เค เสื้อแดง ยื่นหนังสือถึง สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร ในนามกลุ่ม The Red FC เพื่อไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมของ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 จากกรณีมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามประชาชน โพสต์ข้อมูลชื่อ-ที่อยู่ของผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง

โดย เค เสื้อแดง ระบุว่า อมรัตน์ถือเป็นข้าราชการการเมือง แต่มีพฤติกรรมคุกคามประชาชน ซึ่งไม่ควรเป็นเยี่ยงอย่างต่อสังคม ทั้งที่พรรคก้าวไกลบอกว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เล่นการเมืองแบบใหม่ ทุกคนไม่อยากเห็นนักการเมืองเป็นผู้มีอิทธิพล ไม่ควรคุกคามคนอื่น ซึ่งอมรัตน์ก็ออกมาเรียกร้องหลายครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมคุมขังนักต่อสู้ บอกว่าทุกคนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการพูด ในการตั้งคำถาม ไม่ควรคุกคามประชาชน 

เค เสื้อแดง ระบุด้วยว่า แต่อมรัตน์ซึ่งเป็นถึงกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลกลับมีพฤติกรรมแบบนี้ พรรคจะต้องตรวจสอบและต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นเหมือนการไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ซึ่ง ปีใหม่ เป็นเพียงประชาชนที่เสียภาษีให้กับรัฐ แตกต่างจากอมรัตน์ที่ทำงานกินเงินภาษีของประชาชน แต่ไปคุกคามประชาชนด้วยการโพสต์ชื่อ-ที่อยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย เกิดการล่าแม่มดทั้งที่ครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และยังบุกไปถึงที่ทำงานของปีใหม่ด้วย

“พี่เจี๊ยบโตแล้ว มีวิจารณญาณว่าจะทำอะไร แต่ตนอยากเรียกร้องไปถึงพรรคก้าวไกลที่บอกว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เรียกร้องความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ และเรียกร้องเรื่องการยกเลิกมาตรา 112 เพื่อเปิดให้มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ แต่ประชาชนกลับไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์พรรคได้ จึงขอส่งเสียงไปถึง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, พรรณิการ์ วานิช และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าจะรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร จะต้องออกจากตำแหน่งที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 หรือไม่” เค เสื้อแดง กล่าว

ทั้งนี้ เค เสื้อแดง ยังระบุว่า การเชียร์การเมืองเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เหมือนกับเชียร์ฟุตบอล ซึ่งอมรัตน์ก็เถียงกับคนใน X (Twitter) ทุกวัน โพสต์แซะ ด่าพรรคเพื่อไทย ตนในฐานะแฟนคลับก็ตอบโต้กลับ ซึ่งถือเป็นสีสันทางการเมือง แต่ไม่เห็นด้วยกับการคุกคามแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ด้าน ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่ได้มีการพูดคุยกับอมรัตน์ แต่จากการติดตามในหน้าข่าวและข้อเท็จจริงพบว่า เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมจริงๆ แต่เนื่องจากอมรัตน์ไม่ได้เป็น สส. กระบวนการร้องเรียนวินัยอมรัตน์จึงไม่มีในส่วนของสภา แต่ในส่วนของพรรคการเมืองกับการพิจารณาทีมทำงานของรองประธานสภาเราจะแยกกัน ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมีการพิจารณาในเรื่องของจริยธรรม 

“เรายืนยันว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม แต่เราจำเป็นต้องทราบข้อเท็จจริงอื่นๆ จากทางผู้ร้องเรียนและจากผู้ถูกกล่าวหาด้วย และเมื่อพบว่ามีการทำความผิดจริง ผมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอมรัตน์ออกจากที่ปรึกษารองประธานสภา” ปดิพัทธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากเฟซบุ๊ก ‘ปีใหม่ ปีใหม่’ โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึง ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1, วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรื่อง ขอความเป็นธรรม และขอความคุ้มครองจากการถูกอมรัตน์ ข้าราชการการเมือง เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว ชื่อเล่น, อายุ, วันเดือนปีเกิด, บ้านเลขที่, ที่อยู่, หมู่บ้าน และรูปพรรณสัณฐานที่พักอาศัย ทำให้ถูกข่มขู่คุกคาม ไล่ล่าแม่มด และใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับให้บริษัทที่ทำงานออกหนังสือเตือน หลังจากโพสต์วิจารณ์การเมือง นักการเมือง และพรรคก้าวไกล

The post เค เสื้อแดง เรียกร้องก้าวไกลสอบพฤติกรรม ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ ปมคุกคามสาวเสื้อแดง ด้านปดิพัทธ์เผย พบผิดจริงต้องออกจากที่ปรึกษารองประธานสภา appeared first on THE STANDARD.