เสมือนกับภารกิจวัดใจรัฐบาล สำหรับการขนย้ายกากแร่แคดเมีย […]
The post การเมืองเรื่องบังเอิญใน ‘กากแคดเมียม’ รัฐบาลตรวจสอบรัฐบาล เรื่องนี้ต้องมีผู้ร้าย? appeared first on THE STANDARD.
]]>เสมือนกับภารกิจวัดใจรัฐบาล สำหรับการขนย้ายกากแร่แคดเมียมออกจากพื้นที่กรุงเทพฯ ไปฝังกลบที่จังหวัดตาก กระบวนการนี้กำลังถูกจับตามองจากหลายฝ่าย ทว่าผู้ที่ตื่นตัวกับประเด็นนี้ที่สุดกลับไม่ใช่ฝ่ายค้าน แต่กลายเป็น สส. ฝ่ายรัฐบาลมาตรวจสอบรัฐบาลอย่างแข็งขันเสียเอง!
วานนี้ (17 เมษายน) อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส. ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ใช้ฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจเก็บกู้แคดเมียมให้มาชี้แจงด่วนที่รัฐสภา
ไม่ว่านี่จะเป็นการทำหน้าที่ถ่วงดุลของฝ่ายนิติบัญญัติตามปกติ หรือจะมีเงื่อนงำทางการเมืองก็ตาม THE STANDARD ชวนมาดูว่าเรารู้อะไรมากขึ้นบ้างหลังการประชุมคณะกรรมาธิการฯ
ในห้องประชุม อัครเดชเปิดฉากด้วยการซักถาม ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมาชี้แจงในนามของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าเหตุใดจึงยังไม่จัดเก็บกากแร่แคดเมียมกว่า 12,400 ตันที่อายัดไว้ บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างรอขนย้าย ซึ่งจะมิดชิดและสร้างความสบายใจให้กับประชาชนในพื้นที่มากกว่า
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมพยายามชี้แจงว่า ตามข้อเท็จจริงแล้วแคดเมียมไม่ได้มีการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี เพียงแต่ความอันตรายอยู่ที่ ‘การฟุ้งกระจาย’ ของกากแร่ ที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ส่วนเหตุที่ไม่ใส่ในตู้คอนเทนเนอร์ เพราะจะมีความยุ่งยากเรื่องการขนย้ายเข้า-ออก แต่จะนำกากแร่บรรจุในถุงสองชั้น (Double Bag) และปิดทับ (Seal) อีกชั้น เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจาย ซึ่งเป็นวิธีตามมาตรฐานของสหประชาชาติ
อัครเดชจี้ถามต่อไปว่า เหตุใดการเริ่มขนย้ายจึงต้องรอถึงวันที่ 7 พฤษภาคม และไม่ใช่วันที่ 17 เมษายน ตามที่ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เคยแถลงไว้ก่อนหน้านี้
โดย อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ชี้แจงว่า กระบวนการในการขนย้ายกากตะกอนกลับต้องมีการอนุญาตและเตรียมดำเนินการ ซึ่งต้องเผื่อระยะเวลาในการตรวจสอบและซ่อมแซมบ่อสำหรับฝังกลบในจังหวัดตากให้เรียบร้อยก่อน และต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมขออนุญาตหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯ ก็ยังคงไถ่ถามและตั้งข้อสังเกตกับแผนการขนย้ายของกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างไม่ลดละ ทั้ง สส. จากพรรคร่วมฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล แม้แต่ตัวอัครเดชเองก็ซักไซ้ประเด็นนี้อยู่พักใหญ่
ที่สำคัญ น่าสังเกตว่าการประชุมคณะกรรมาธิการฯ นัดนี้ อัครเดชในฐานะประธานได้อนุญาตให้สื่อมวลชนร่วมฟังการประชุมอยู่ในห้องโดยตลอด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ นัดทั่วๆ ไปที่มักจะเชิญสื่อมวลชนออกไปก่อน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการฯ อัครเดชได้ออกมาให้ข่าวว่าคณะกรรมาธิการฯ ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มั่นใจได้ว่ามี ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ รับผลประโยชน์ในเรื่องนี้แน่นอน จึงสามารถขนย้ายกากแร่อันตรายจากจังหวัดตากมาเก็บไว้ที่จังหวัดสมุทรสาคร แล้วกระจายไปยังจุดต่างๆ ทั้งจังหวัดชลบุรี และกรุงเทพฯ ได้
และเมื่อสื่อมวลชนสอบถามไปอีก อัครเดชก็เผยว่ามี ‘บุคคลผู้หวังดี’ จากหน่วยงานภายในร้องเรียนเรื่องนี้ต่อคณะกรรมาธิการฯ มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนั้นยังไม่รู้ชื่อกากแร่นี้ด้วยซ้ำ กระทั่งได้สอบสวนเบื้องต้นว่าอยู่ที่จังหวัดตาก จึงได้มีการแถลงข่าวให้รัฐบาลไปดำเนินการ ซึ่งอัครเดชก็ได้กล่าวขอบคุณบุคคลผู้หวังดีที่ไม่ประสงค์ออกนามนี้ด้วย
“ถือเป็นโชคดีของคนไทยที่เราเจอเร็ว ไม่ใช่ว่าต้องให้พี่น้องประชาชนล้มป่วยก่อนเหมือนในต่างประเทศ แล้วเราค่อยมาสืบหากันว่าพี่น้องประชาชนล้มป่วย เสียชีวิตเพราะอะไร” อัครเดชกล่าว
แต่เมื่อถามรายละเอียดของ ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ ผู้ถูกกล่าวหานั้น อัครเดชเปิดเผยเพียงว่า ในเอกสารที่ส่งมาร้องเรียนเบื้องต้นมีทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาจากกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนจะเป็นเจ้าหน้าที่ต้นทาง ปลายทาง หรือระดับไหน ขอรอให้เกิดความชัดเจนอีกครั้ง
สำหรับผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ทางปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งคณะทำงาน ซึ่งมีหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนย้ายกากแคดเมียมดังกล่าวแล้ว
“ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมย้ำว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดโดยไม่เกรงกลัวใคร” อัครเดชกล่าวในการแถลงข่าวหลังประชุม
นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ยังมีผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รับเข้ามาเป็นคดีพิเศษด้วย
ท้ายสุดแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นกระบวนการปกติที่คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล โดยไม่สำคัญว่าจะเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล แต่ก็สามารถตั้งข้อสังเกตถึงวาระทางการเมืองที่อาจตามมาเป็นผลสืบเนื่องได้ด้วยเช่นกัน
อาจเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่มี ‘ผู้หวังดี’ แจ้งเบาะแสเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐพัวพันกับการขนย้ายแคดเมียมในช่วงต้นปี ก่อนที่คณะกรรมาธิการฯ จะมาเร่งเครื่องจี้รัฐบาลเอาในช่วงเดือนเมษายน ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่หนาหูขึ้นทุกวัน
“ถึงแม้เราจะมาจากพรรคเดียวกัน แต่บทบาทหน้าที่ก็ต้องทำ เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเรื่องนี้ทั้งผมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้พูดคุยกันเป็นระยะอยู่แล้ว เพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีก็ไม่ได้นิ่งเฉย และลงพื้นที่ติดตามปัญหาจนได้คืนกากแคดเมียมเกือบครบแล้ว” อัครเดชระบุ
และเมื่อสื่อมวลชนจี้ถามอัครเดชในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงกระแสข่าวที่อาจปรับรัฐมนตรีบางคนของพรรคออก และแต่งตั้งคนใหม่นั้น อัครเดชกล่าวว่า “ข่าวก็คือข่าว” แต่ถ้าเป็นจริงก็ต้องฟังจากหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือโฆษกพรรคที่ได้รับมอบหมาย และ “เมื่อวันที่ 16 เมษายน ตอนคุยกันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ก่อนที่สื่อมวลชนจะถามเชิงกระเซ้าว่า ในอนาคตจะมีชื่อของอัครเดชเองติดโผรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ เจ้าตัวถึงกับหัวเราะและตอบว่า “ผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็โอเคแล้ว”
The post การเมืองเรื่องบังเอิญใน ‘กากแคดเมียม’ รัฐบาลตรวจสอบรัฐบาล เรื่องนี้ต้องมีผู้ร้าย? appeared first on THE STANDARD.
]]>THE STANDARD WEALTH มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ ‘อด […]
The post อีกนานไหม กว่าไทยจะมีเหมืองลิเธียม? เจาะเบื้องลึกอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ appeared first on THE STANDARD.
]]>THE STANDARD WEALTH มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ ‘อดิทัต วะสีนนท์’ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ถึงศักยภาพพื้นที่ที่พบแร่ลิเธียมในไทย ขั้นตอน และความเป็นไปได้ที่จะมีเหมืองลิเธียมในไทย ต้องใช้เวลานานแค่ไหน มีแล้วใครได้ประโยชน์บ้าง
เพราะกว่าจะผ่านกระบวนการทำเหมืองจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ กับการมาถึงของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อะไรจะมาก่อนกัน?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
“ผมอยากให้มองว่าวันนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไทยมีวัตถุดิบต้นน้ำ ด้วยนโยบาย EV 3.5 ของรัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้บริษัทยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ๆ เข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในประเทศ ดังนั้นวันนี้เรามีความพร้อม มีของดี” อดิทัตเกริ่นก่อนเข้าสู่การสนทนา
อดิทัต วะสีนนท์
อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ชวนวิเคราะห์ที่ไปที่มาของประเด็นร้อน
“เราพบแหล่งแร่ลิเธียมที่มีศักยภาพจริง” โดยพื้นที่ที่มีศักยภาพ 2 แหล่งคือ
หากออกแบบแผนผังการทำเหมืองอย่างเหมาะสมและสามารถนำแร่ขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ 25% คาดว่าจะสามารถนำลิเธียมมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขนาด 50 kWh ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน
กรณีของชนิดของแร่ที่พบในประเทศไทยในขณะนี้ แม้จะใช้คำว่า “แหล่งแร่ลิเธียม” ขออธิบายให้ชัดเจนว่าแหล่งแร่ดังกล่าวที่พบนั้นยังคงเป็นแร่ดิบ หรือ Mineral Resource
ภาพ: poo worawit / Getty Image
แร่ดิบส่วนนี้มีลักษณะเป็นเพียงก้อนหินเพกมาไทต์ (Pegmatite) ซึ่งจะมีแร่ประเภทอื่นปะปนอยู่ นั่นคือแร่เลพิโดไลต์ (Lepidolite) ที่มีความสมบูรณ์ของแร่ลิเธียมอยู่ในนั้น หรือเกรดลิเธียมออกไซด์เฉลี่ย 0.45%
แม้จะมีความสมบูรณ์ไม่สูงมาก แต่ก็ถือว่ามีความสมบูรณ์กว่าแหล่งลิเธียมหลายแห่งทั่วโลก และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการแต่งแร่ที่ความสมบูรณ์ได้คุ้มค่าในอนาคต
ปัจจุบันแหล่งแร่ดังกล่าวมีผู้ได้รับสิทธิ์ในการสำรวจคือ ‘บริษัท สยามโลหะ อุตสาหกรรม จำกัด’ ซึ่งต้องผ่านการยื่นเอกสารเยอะมาก เช่น คุณสมบัติทางธรณีวิทยา ไม่ใช่ว่าจะสำรวจที่ไหนได้เลย
โดยในขั้นตอนสำรวจตรงส่วนนี้บริษัทได้ยื่นอาชญาบัตรมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งจะมีระยะเวลาสำรวจด้วยการลงทุนเองตลอด 5 ปี ทั้งยังต้องจ่ายค่าภาคหลวงเองทั้งหมด
แต่การสำรวจจะสิ้นสุดในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 แล้ว และยังไม่มีการหารือถึงแนวทางสำรวจต่อหรือไม่อย่างไร เพราะเอกชนก็ต้องลงทุน โดยการสำรวจจะเจอหรือไม่เจอแร่ก็ล้วนมีค่าใช้จ่าย
เล่าถึงขั้นตอนการขอสำรวจต้องใช้เวลาและไม่ง่ายเพราะ
ภาพ: Sutthichai Supapornpasupad / Getty Image
เมื่อเหมืองได้รับการอนุญาตแล้วจะต้องมีการตั้ง 2 กองทุน ได้แก่
ขณะเดียวกันระหว่างการดำเนินงานเจ้าหน้าที่ก็จะศึกษาผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
“ทุกอย่างมีกระบวนการขั้นตอน ใช้เวลาพอสมควร แต่เราต้องยอมรับว่าการที่ไทยพบแหล่งแร่ลิเธียมจะทำให้ไทยมีวัตถุดิบที่เป็นต้นน้ำพร้อมในการผลิตแบตเตอรี่แร่ลิเธียม นี่คือสิ่งที่ผมอยากสื่อสารออกไป”
หลังจากนั้นเมื่อเอกชนสำรวจแร่ก็ยื่นขอประทานบัตรขุดเจาะ จากนั้นจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนของการถลุงหรือสกัดแร่
มีทรัพยากรแล้วก็ต้องมีโรงสกัดแร่อีก “ไทยยังไม่มี”
“กรณีนี้อีกก็เช่นกัน ในส่วนกลางน้ำไทยยังไม่มีโรงแต่งแร่เพื่อสกัดแร่ออกมา ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีแต่งแร่ลิเธียมที่ดีและใกล้ที่สุดคือจีน”
ส่วนแนวทางที่เปิดให้เอกชนลงทุนตั้งโรงแต่งแร่เองหรือไม่ หรือจะดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนนั้น “รัฐบาลเปิดกว้าง”
แต่ต้องไม่ลืมว่ากระบวนการเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยทั้งเวลาและเทคโนโลยี
ภาพ: Khun Thum Si / Getty Image
ถามว่าทำไม…
เนื่องจากหลายประเทศพบแร่ ไม่ว่าจะเป็นแร่ใดๆ ก็แล้วแต่ ล้วนพึ่งพาการพัฒนาจากเทคโนโลยีเพื่อศึกษาถึงความคุ้มค่าก่อน เพราะการจะสกัดแร่ลิเธียมออกมาใช้ได้เลยเพื่อให้ได้ลิเธียมคาร์บอเนต (ลักษณะเป็นผงสีขาว) จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีและสารเคมี ซึ่งสารเคมีต้องได้รับการรับรองและการยืนยันว่าไม่ใช่สารเคมีอันตราย จะเป็นลักษณะเช่นเดียวกับแร่ทองคำขาว (White gold)
คำถามคือ “วันนี้ไทยยังไม่มีโรงถลุงแร่ แล้ววิธีการใดจึงจะคุ้มค่า ซึ่งมีการเสนอแนวคิดว่าหากส่งออกไปสกัดที่จีน นำกลับมาจะคุ้มค่าหรือไม่ ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่จากการประเมิน ไม่คุ้ม เนื่องจากจะมีต้นทุนแฝงหลายมิติ ค่าขนส่ง และปริมาณแร่ที่ขุดได้แล้วอาจมีปริมาณน้อยเกินไปที่จะส่งออกไปสกัดที่ต่างประเทศหรือไม่”
“จริงๆ แล้วผมอยากให้มองว่าวันนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไทยมีวัตถุดิบต้นน้ำ เรามีของดี ขาดเพียงกลางน้ำนั่นคือโรงแต่งหรือถลุงแร่ ซึ่งการมีโรงผลิตเซลล์และประกอบแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วง ในส่วนนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พร้อมที่จะผลักดัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าขณะนี้มีหลายบริษัทประกาศและเริ่มยื่นคำขอรับการส่งเสริมเข้ามาต่อเนื่อง
“เราอาจต้องใช้เวลาขุดแร่ 1 ปี ตั้งโรงแต่งแร่ กว่าจะผ่านกระบวนการสกัดแร่ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปี ไปสู่กระบวนการผลิตและประกอบแบตเตอรี่อีก 2 ปี รวมแล้วเป็น 5 ปี เมื่อถึงเวลานั้นตลาดรถ EV ก็พร้อม เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่ไทยพร้อมผลิตแบตเตอรี่จากลิเธียม หากอุตสาหกรรมนี้ผ่านทั้งกระบวนการต้นน้ำถึงปลายน้ำจะได้ประโยชน์กับคนไทยในแง่ของการจ้างงานจำนวนมาก สามารถควบคุมต้นทุนห่วงโซ่อุตสาหกรรมได้ ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้า” อดิทัตกล่าวทิ้งท้าย
ภาพ: VISUAL CAPITALIST / SCIENCE PHOTO LIBRARY / Getty Image
สำหรับแร่ลิเธียมนอกจากจะสำคัญกับการผลิตแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ยังใช้ในสินค้าอุปโภครอบตัวเราทั้งสิ้น ทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ เครื่องบิน รถจักรยานยนต์ และรถไฟ ฉะนั้นความต้องการแร่ลิเธียมมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
โดยรายงานข่าวระบุว่ามีการคาดการณ์ว่าลิเธียมจะขาดแคลนในอนาคต โดยทั่วไปลิเธียมมีราคาราว 5,000-8,000 ดอลลาร์ต่อตันในการผลิต แต่สามารถนำไปขายได้ถึง 10 เท่าในบางตลาด โดยในปี 2022 ราคาเฉลี่ยของลิเธียมคาร์บอเนตเกรดแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 37,000 ดอลลาร์ต่อตัน ปัจจุบันราคาลิเธียมค่อนข้างสวิงและลดลงเนื่องจากหลายปัจจัย
นักวิเคราะห์มองว่าสาเหตุที่ราคาลิเธียมลดลงนั้นน่าจะเป็นปัญหาระยะสั้น เช่น การเติบโตของยอดขายที่ชะลอตัวในจีนและยุโรป ด้วยเหมืองและโรงงานแปรรูปแห่งใหม่ที่ผลิตอุปทานได้มากขึ้น จึงทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้นกับความต้องการด้านอุปสงค์และอุปทาน เมื่อราคาลดลง นักลงทุนต่างมองหาลิเธียมที่จะดีดตัวขึ้นเมื่อปัจจัยด้านต้นทุนมีการเปลี่ยนแปลง
80% ของแร่ลิเธียมที่ผลิตทั่วโลกใช้ในอุตสาหกรรม EV ขณะเดียวกันแน่นอนว่าแร่ลิเธียมเป็นที่ต้องการอย่างมากในอุตสาหกรรม EV ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยมากกว่า 80% ของแร่ลิเธียมที่ผลิตทั่วโลกวันนี้ถูกนำไปใช้ในการแบตเตอรี่ EV ข้อมูลลิเธียมจึงเป็นที่สนใจ ส่วนหนึ่งอาจเป็นโอกาสทองในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาตั้งโรงงาน EV ในประเทศไทย โดยมีการคาดการณ์ว่าความต้องการแร่ลิเธียมจะพุ่งขึ้นเป็น 2 ล้านตันภายในปี 2030
สำหรับนโยบายของไทย นอกจากจะมุ่งเปิดรับการลงทุนพลังงานสะอาดด้วยการผลักดันยานยนต์สมัยใหม่แล้ว หากย้อนดูมาตรการกระตุ้นการลงทุนจาก BOI จะเน้นส่งเสริมโรงงานแบตเตอรี่ระดับเซลล์
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการส่งเสริมการลงทุนการผลิตแบตเตอรี่หลายโครงการ แต่ปัจจุบันการเข้ามาลงทุนในไทยยังเป็นเทคโนโลยีที่เป็นการ ‘ประกอบแบตเตอรี่’ ที่ใช้ในรถยนต์ EV ในลักษณะที่เป็น Cell to Pack และ Cell to Modul มากกว่า ดังนั้นเป้าหมายระยะต่อไปคือการต่อยอด ส่งเสริมให้มีการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่เป็นเทคโนโลยีจากต้นน้ำ ด้วยการส่งเสริมให้มีการลงทุนในโรงงานที่ผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์แบตเตอรี่ควบคู่กันไป
ทั้งหมดนี้จะสอดคล้องกับเป้าหมายการเป็นฐานการผลิต EV ในประเทศ หรือเป้าหมาย ‘30@30’ หรือการผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ 30% ของยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ หรือต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ได้ประมาณ 7.25 แสนคัน
หมายความว่าอนาคตไทยจะต้องมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากขึ้นในประเทศ เพื่อรองรับการผลิตรถ EV ประมาณ 40 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ภายในปี 2030
รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันมีบริษัทผู้ลงทุนผลิตแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า EV ในไทย 7 ราย ได้แก่
หลังจากนี้คงต้องติดตามว่าก้าวแรกของการค้นพบลิเธียมในไทยที่ว่านี้จะเป็นต้นน้ำแห่งโอกาสของการผลิตแบตเตอรี่ สู่การเป็นฮับภูมิภาคยานยนต์ไฟฟ้า EV ในอนาคตอย่างไรต่อไป
อ้างอิง:
The post อีกนานไหม กว่าไทยจะมีเหมืองลิเธียม? เจาะเบื้องลึกอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ appeared first on THE STANDARD.
]]>