องค์กรอิสระ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 10 Aug 2024 08:59:31 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘สว. เทวฤทธิ์’ เสนอว่าให้ชะลอสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ จนกว่าจะมีผู้นำฝ่ายค้านเพื่อความสมดุล-เป็นธรรม https://thestandard.co/tewarit-independent-organization-leaders/ Sat, 10 Aug 2024 08:59:31 +0000 https://thestandard.co/?p=969834

วันนี้ (10 สิงหาคม) เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) […]

The post ‘สว. เทวฤทธิ์’ เสนอว่าให้ชะลอสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ จนกว่าจะมีผู้นำฝ่ายค้านเพื่อความสมดุล-เป็นธรรม appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (10 สิงหาคม) เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มสื่อสารมวลชน กล่าวถึงการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร เท่ากับตำแหน่งหนึ่งที่หายไปคือ ผู้นำฝ่ายค้าน

 

ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อความสมดุลและเป็นธรรม ในห้วงเวลาที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้าน ตนเห็นว่าควรให้พิจารณาชะลอกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระไปก่อน จนกว่าจะแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านแล้วเสร็จ

 

เทวฤทธิ์กล่าวต่อว่า การยุบพรรคฝ่ายค้านนอกจากกระทบสมดุลในสภา แม้เขาจะมีสังกัดใหม่เร็ว แต่กระบวนการอื่นก็ต้องใช้เวลา แถมเมื่อใช้เวลาก็ยังกระทบสมดุลและความเป็นธรรมในการพิจารณา เช่น การสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ ดังนั้นในห้วงเวลาที่ยังไม่มีผู้นำฝ่ายค้าน ควรชะลอก่อนจนกว่าสภาจะได้ผู้นำฝ่ายค้านคนใหม่

 

พร้อมย้ำด้วยว่า แม้คนจะมองว่า สว. มีบทบาทในการเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นเพียงแค่ปลายน้ำ เพราะต้นน้ำจริงๆ คือคณะกรรมการสรรหา จึงควรคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายค้าน

 

มีรายงานว่า สำหรับตำแหน่งสำคัญที่จะหมดวาระปลายปีนี้ เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 3 คน และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 6 คน จากทั้งหมด 7 คน

The post ‘สว. เทวฤทธิ์’ เสนอว่าให้ชะลอสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ จนกว่าจะมีผู้นำฝ่ายค้านเพื่อความสมดุล-เป็นธรรม appeared first on THE STANDARD.

]]>
“สังคมไทยไม่ปกติ” จากการยุบพรรคถึงมาตรา 112 ในมุมมอง อานันท์ ปันยารชุน https://thestandard.co/thai-society-is-abnormal/ Mon, 05 Aug 2024 01:44:47 +0000 https://thestandard.co/?p=967269

“สังคมไทยไม่ปกติมาหลายสิบปีแล้ว” อานันท์ ปันยารชุน อดีต […]

The post “สังคมไทยไม่ปกติ” จากการยุบพรรคถึงมาตรา 112 ในมุมมอง อานันท์ ปันยารชุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

“สังคมไทยไม่ปกติมาหลายสิบปีแล้ว” อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ในวัย 92 ปี ให้ทัศนะถึง ‘โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย’ ท่ามกลางบรรยากาศผกผันทางการเมืองของเดือนสิงหาคม 2567

 

ตั้งแต่ 2 คดีสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญที่อาจทำให้มีพรรคการเมืองถูกยุบ มีนายกฯ ที่อาจหลุดจากตำแหน่ง ตลอดจนการหวนกลับมามีบทบาทสำคัญของอดีตนายกฯ ที่กำลังจะพ้นโทษในไม่นานนี้

 

หลายช่วงในบทสนทนาระหว่างอานันท์ และ เคน-นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร THE STANDARD สะท้อนผ่านมุมมองของผู้มากประสบการณ์ที่ยังคงมีความหวังกับประเทศไทย แม้เวลานี้จะยอมรับโดยดุษณีว่า “โจทย์เยอะ แต่คำตอบน้อย”

 

 

ความเที่ยงธรรมที่ประชาชนมองไม่เห็น

 

การยุบพรรคการเมืองผ่านกลไกขององค์กรอิสระไม่ใช่เรื่องใหม่ของการเมืองไทย นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 บังคับใช้ พรรคการเมืองจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะพรรคที่ได้รับความนิยมสูงจากการเลือกตั้ง อาทิ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคอนาคตใหม่ ต้องเผชิญกับจุดจบไม่ต่างกัน

 

และในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ชะตาพรรคก้าวไกล ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำขอให้วินิจฉัยยุบพรรค สืบเนื่องจากกระทำการ ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

อานันท์ ผู้เคยมีส่วนร่วมเป็นประธานในการยกร่างและพิจารณารัฐธรรมนูญ ปี 2540 ออกปากว่า รัฐธรรมนูญไทยมีความ ‘แปลกประหลาด’ เพราะสร้างปัจจัยให้เกิดคดีทางการเมืองขึ้นมากมาย

 

เขามองว่าต่างประเทศจะมีเรื่องคดีการเมืองน้อย เพราะส่วนใหญ่จะให้สภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติดำเนินการเอง ถ้า สส. คนใดมีความผิด ก็จะมีการบริหารจัดการภายในพรรค เช่น การลงโทษหรือขับออก

 

แต่ของไทย เอะอะอะไรก็ถึงศาล ศาลอาญาบ้าง ศาลรัฐธรรมนูญบ้าง ซึ่งไม่เป็นตามหลักของรัฐธรรมนูญว่าสภานิติบัญญัติก็มีอิสระเช่นกัน

 

 

อานันท์ยังมองการตัดสินคดีการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญตลอดห้วง 20 ปีที่ผ่านมาว่า สร้างความเคลือบแคลงใจในหมู่ประชาชน ที่แม้ไม่ได้มีความรู้ทางกฎหมาย แต่ก็มีความรู้ เขาชี้ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องผิดถูกตามหลักกฎหมายเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ ‘คนนอกมองเข้ามาอย่างไร’ ด้วย

 

ในฐานะนักเรียนกฎหมายเก่าจากอังกฤษ อานันท์ยกหลัก ‘Justice must be seen to be done’ กล่าวคือ กระบวนการทางกฎหมายต้องคำนึงถึงสายตาของประชาชนด้วยว่ารู้สึกเช่นนั้นหรือไม่

 

“ความยุติธรรม (Justice) อย่างเดียวไม่เพียงพอ เรามักลืมความเที่ยงธรรม (Integrity) ซึ่งเกิดจากจิตสำนึกและจิตวิญญาณ ผู้มีจิตสำนึกและจิตวิญญาณต้องไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และมีหิริโอตตัปปะ ความละอายและความเกรงกลัวต่อการทำผิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของมวลมนุษยชาติ” อานันท์กล่าว

 

เขาสรุปความว่า นี่เป็นหนึ่งในปัญหาของสังคมไทย ว่าการตัดสินในคดีการเมืองต่างๆ นอกเหนือความถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังต้องคำนึงด้วยว่ามีความยุติธรรม และมี ‘ความเที่ยงธรรม’ เพียงใดในสายตาของประชาชน

 

ยุบพรรคไม่ได้ช่วยประเทศเดินหน้า ‘มีแต่สาละวันเตี้ยลง’

 

อดีตนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไม่เคยได้ยินว่าประเทศใดนอกจากไทยที่จะมีมาตรการในการยุบพรรคการเมือง พร้อมตั้งคำถามว่า การยุบพรรคแต่ละครั้งที่ผ่านมาเกิดประโยชน์อะไรขึ้นหรือไม่ เกิดความประนีประนอมสมานฉันท์ขึ้นจริงตามเหตุผลที่อ้างหรือไม่

 

ยุบพรรคไป 3-4 พรรคแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ประเทศไทยก้าวหน้าไปในทางการเมืองหรือไม่ เปล่าเลย มีแต่สาละวันเตี้ยลงๆ

 

อานันท์ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจเป็นผลเสียกับระบอบประชาธิปไตยด้วย เพราะยิ่งยุบพรรคก็ยิ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น และตอนนี้สังคมไทยก็มีความเกลียดชังกันมากเหลือเกินแล้ว

 

“เมืองไทยอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามีกระดูกปลาติดคอหอยอยู่มานานมากแล้ว ใช้มือล้วงเข้าไปก็ไม่ออก ก็ต้องใช้วิธีอื่นสิ” อานันท์ระบุ

 

 

เคน นครินทร์ ตั้งคำถามต่อไปถึงบทบาทขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มีอำนาจในการยุบพรรค ซึ่งแต่แรกเริ่มมาก็มีเจตนาให้เป็นกลไกแก้ไขปัญหาทางการเมือง

 

“องค์กรอิสระตั้งมาโดยมีความตั้งใจดี แต่ค่อนข้างจะไม่ค่อยฉลาดนัก” อานันท์ตอบ

 

เขาขยายความว่า กลไกขององค์กรอิสระที่ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2540 และได้รับคำชื่นชมจากทั้งในและต่างประเทศ โดยกำหนดให้บุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระในทุกองค์กรได้ ต้องไม่มีความผูกโยงกับพรรคการเมืองใด และต้องมีความยุติธรรม ความเที่ยงธรรม

 

“เมืองไทยจะหาคนจำนวนนี้มาจากไหน” อานันท์เล่าย้อนไปว่า ตนเองเคยเปรยไว้เช่นนี้เมื่อครั้งเป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540

 

ข้อสังเกตที่อานันท์ทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับอำนาจขององค์กรอิสระ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ทำหน้าที่อย่างยุติธรรมหรือเที่ยงธรรมเสมอไป เป็นเหตุให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้ใจต่อองค์กรอิสระ ศาล รวมถึงไม่ไว้ใจพรรคการเมือง หรือแม้กระทั่งระบอบการปกครองด้วย

 

เป็นการ ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ ไปได้อย่างไร?

 

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ในงานเสวนา ‘ฉากทัศน์อนาคตสังคมไทย’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน อานันท์เคยกล่าวไว้ว่า “สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมานและไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ”

 

เมื่อ เคน นครินทร์ พูดถึงประเด็นนี้ อานันท์ยิ้มบางก่อนจะตอบ “ผมพูดไปตามอารมณ์”

 

พร้อมอธิบายว่า ช่วงเวลานั้นเพิ่งผ่านมาไม่ถึง 10 วัน ภายหลัง บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมการเมืองของกลุ่มทะลุวัง ได้เสียชีวิตลงระหว่างถูกคุมขังในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

 

เท่าที่ผมได้ยินมา บุ้งไม่ควรจะตาย ถ้ากรมราชทัณฑ์จัดให้มีการเยียวยารักษาก่อน ในสายตาผมชีวิตมนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากัน แทนที่จะให้เขาตายโดยความผิดพลาดหรือไม่เอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ผมรู้สึกว่าน่าเศร้าใจ

 

บทสนทนาล่วงเลยเข้าสู่ประเด็นของมาตรา 112 ที่เป็นหัวใจสำคัญในคดียุบพรรคก้าวไกล เนื่องมาจาก สส. ของพรรคร่วมกันเสนอร่างแก้ไขมาตรานี้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แม้จะยังไม่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม แต่การที่พรรคก้าวไกลนำนโยบายดังกล่าวไปหาเสียงก็นำมาสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นพฤติกรรมที่ ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ สถาบันพระมหากษัตริย์

 

อย่างไรก็ตาม อานันท์ชี้ว่า การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ก็เป็นนโยบายที่ผ่าน กกต. แล้ว และเป็นการกระทำภายในรัฐสภา ใช้เสียงโหวตของ สส. ตัดสิน ไม่ได้มีการวางแผนหรือสะสมอาวุธที่จะเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

 

“คือคุณอานันท์มองว่าไม่ใช่การกระทำที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ” เคน นครินทร์ ตั้งคำถาม

 

“ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขามองอย่างนั้นได้อย่างไร” อานันท์ตอบแทบจะในทันที

 

“ถ้าเขาจะล้มล้างจริง เขาจะบอกคุณล่วงหน้าทำไม นี่ไม่ได้พูดแบบนักกฎหมาย พูดอย่างสามัญชนคิดนะ ซึ่งก็เป็นความเห็นส่วนตัว อาจมีคนไม่เห็นด้วย แต่อย่างคุณสมคบคิดจะแกล้งเพื่อนที่โรงเรียน คุณจะประกาศก่อนไหม” อานันท์เปรียบเทียบ

 

 

แล้วท้ายที่สุดเรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคม อดีตนายกฯ มองว่ากรณีดังกล่าวจะบ่มเพาะความเจ็บใจให้ผู้คนมากขึ้น ตามมาด้วยการคาดเดาสันนิษฐานเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

 

“และในประเทศไทย การเดาแล้วพูดต่อๆ ไป คนก็จะเชื่อ” อานันท์กล่าว

 

สำหรับความเห็นส่วนตัวของอานันท์ต่อกฎหมายดังกล่าว เขายืนยันตามที่เคยพูดไว้หลายปีแล้วว่า มาตรานี้ไม่ควรถูกยกเลิก แต่มีจุดที่ควรแก้ไข

 

ผมไม่มีปัญหากับมาตรานี้ (มาตรา 112) และเห็นว่าควรจะมีอยู่ต่อไป แต่ที่ผ่านมามีวิธีใช้ที่ไม่ถูกต้อง

 

อานันท์ย้ำว่าควรมีการปรับปรุงข้อกฎหมายในส่วนที่ยังเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นการยกเลิก พร้อมเสนอความเห็นให้ควรมีผู้รับผิดชอบเป็นผู้ฟ้อง คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แทนที่จะเป็นใครฟ้องใครก็ได้

 

ต่อไปนี้ ‘ทักษิณ’ ต้องระวังตัว

 

ท้ายที่สุด เคน นครินทร์ ชวนมองภาพการเมืองไทยที่วนลูป ตัวแสดงสำคัญอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังจะพ้นโทษเดิมในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ถูกหลายฝ่ายจับตาว่าจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ในมุมของอานันท์มองอย่างไร และจะเป็นชนวนไปสู่ความขัดแย้งที่จุดประกายขึ้นอีกครั้งหรือไม่

 

“ผมอายุ 92 ปีแล้ว ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ในรายละเอียด” อานันท์เปรย “แต่ผมมองว่าต่อไปนี้คุณทักษิณทำอะไรก็ต้องระวัง”

 

อานันท์อธิบายว่า เพราะปัจจุบันกรอบความคิดของประชาชนไม่เหมือนกับ 30 ปีที่แล้ว และคุณทักษิณไปอยู่ต่างประเทศมา 17 ปี การกลับมาแล้วยังแสดงบทบาททางการเมืองอาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวท่านเอง และแม้ทักษิณอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ในทางการเมืองนั้นมีเรื่องของ Perception and Reality (มุมมองและความเป็นจริง) ความรู้สึกของประชาชนสำคัญกว่าความจริง

 

หากทักษิณเข้ามามีบทบาทมากอาจก่อปัญหาทำให้สังคมสับสนว่านายกฯ ตัวจริงคือใครแน่ อานันท์มองว่าจะไม่เป็นธรรมกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

 

“หากปรากฏภาพว่ายังมีคนมองข้ามหลังมาดูกิจการ ก็จะทำให้การทำงานของนายกฯ ลำบากขึ้น รวมถึงความเชื่อถือศรัทธาต่อตัวนายกฯ คนปัจจุบันจะน้อย” อานันท์ทิ้งท้าย

 

The post “สังคมไทยไม่ปกติ” จากการยุบพรรคถึงมาตรา 112 ในมุมมอง อานันท์ ปันยารชุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา ‘สว. สีน้ำเงิน’ กุมองค์กรอิสระ พา ‘ภูมิใจไทย’ หลุดบ่วงคดี? https://thestandard.co/keep-an-eye-on-the-blue-senators/ Fri, 05 Jul 2024 01:00:05 +0000 https://thestandard.co/?p=953950

กระบวนการเลือก สว. ชุดใหม่ในครั้งนี้ ภารกิจหลักที่ถูกจั […]

The post จับตา ‘สว. สีน้ำเงิน’ กุมองค์กรอิสระ พา ‘ภูมิใจไทย’ หลุดบ่วงคดี? appeared first on THE STANDARD.

]]>

กระบวนการเลือก สว. ชุดใหม่ในครั้งนี้ ภารกิจหลักที่ถูกจับจ้องมากที่สุดหนีไม่พ้นการ ‘แก้ไขรัฐธรรมนูญ’ ซึ่งต้องอาศัยเสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่ต่ำกว่า 67 คน จำนวนดังกล่าวเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ทุกองคาพยพทางการเมืองแห่แหนกันมาลงสนามในกติกาที่พิสดารที่สุดในโลก

 

ถึงกระนั้นอีกหนึ่งอำนาจหน้าที่ของ สว. ซึ่งสังคมอาจยังไม่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง คือบทบาทในการสรรหา พิจารณาคุณสมบัติ และแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งใน ‘องค์กรอิสระ’ ด้วย

 

เมื่อย้อนมองผลงานขององค์กรอิสระที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอีกมากมาย จะเห็นได้ว่าองค์กรเหล่านี้กลายเป็นผู้กุมชะตาของบรรดาผู้เล่นทางการเมืองทุกฝ่าย ซึ่ง สว. มีส่วนสำคัญในการร่วมก่อร่างขึ้นมาอย่างปฏิเสธไม่ได้

 

ภายในสัปดาห์หน้า คาดกันว่า สว. ชุดใหม่ จะได้เข้ามาทำหน้าที่รับช่วงต่อจาก สว. ชุดเฉพาะกาลที่ คสช. แต่งตั้ง และวางรากฐานการสืบทอดอำนาจไว้อย่างแข็งแรง แต่ สว. ชุดใหม่ที่ถูกตั้งแง่ว่าเป็นเครือข่าย ‘บ้านใหญ่’ บ้างก็ว่า ‘ไม่ตรงปก’ ตลอดจนมอบฉายาล่วงหน้าว่า ‘สว. สีน้ำเงิน’ จะเข้ามาก่อร่างขององค์กรอิสระไปในทิศทางใด

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

สว. กับองค์กรอิสระ: แม่น้ำสู่มหาสมุทร

 

กลไกในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดให้วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและให้ความเห็นชอบบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งใน 6 องค์กรอิสระ และ 7 ตำแหน่งในองค์กรอื่นๆ ประกอบด้วย

 

  • ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน
  • คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 คน
  • คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 7 คน
  • คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 7 คน
  • คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 7 คน
  • ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน

 

และองค์กรอื่นๆ ได้แก่

 

  • อัยการสูงสุด
  • ประธานศาลปกครองสูงสุด
  • ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
  • คณะกรรมการกิจการการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.)
  • เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
  • เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

 

โดยในกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลต่างๆ นั้น ข้อบังคับการประชุมยังกำหนดให้เป็น ‘ประชุมลับ’ กล่าวคือการอภิปรายแสดงความเห็น ตลอดจนการลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบแก่บุคคลดังกล่าว จะไม่มีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนด้านนอกได้รับชมเหมือนการประชุมปกติ แม้แต่บันทึกการประชุมหรือชวเลข สว. ก็สามารถลงมติให้ไม่ต้องเผยแพร่ได้

 

เนื่องจากในการประชุมดังกล่าวมักมีความละเอียดอ่อน เพราะพิจารณาถึงประวัติส่วนตัว ความประพฤติ ตลอดจนความเหมาะสมทางจริยธรรมของบุคคลนั้นด้วย

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

ภารกิจ สว. ชุดใหม่ ตั้ง 4 องค์กรอิสระในปีเดียว

 

สำหรับ สว. ชุดใหม่ที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในปี 2567 และอยู่ในวาระเป็นเวลา 5 ปี จะมีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระชุดใดบ้างในปีนี้?

 

  • ประธานและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 จาก 9 คน (เนื่องจาก นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธาน และ ปัญญา อุดชาชน ตุลาการ จะครบวาระในเดือนพฤศจิกายน)
  • กรรมการ ป.ป.ช. 3 จาก 9 คน (เนื่องจาก พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน, สุวณา สุวรรณจูฑะ และ วิทยา อาคมพิทักษ์ ครบวาระในเดือนธันวาคม)
  • ผู้ตรวจการแผ่นดิน 1 จาก 3 คน (เนื่องจาก สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธาน จะครบวาระในเดือนพฤศจิกายน)
  • ประธานและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 6 จาก 7 คน (เนื่องจาก คตง. จะครบวาระเกือบยกคณะในเดือนกันยายน)

 

ทำไมจึงได้ฉายา ‘สว. สีน้ำเงิน’?

 

กลับมามองกติกาการเลือก สว. สูตรพิสดารที่เพิ่งสิ้นสุดไป และถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ต้นว่า เอื้อต่อการจับกลุ่มฮั้ว ตลอดจนต่อรองขอคะแนน หรือกระทั่งช้อนซื้อคะแนนเสียงให้คนบางกลุ่มได้เข้ารอบ มากกว่าจะเป็นการเลือกกันเองตามคุณสมบัติและความเหมาะสมจริงๆ

 

การเลือก สว. คราวนี้จึงกลับกลายเป็น ‘สงครามตัวแทน’ ของกลุ่มการเมืองหลากขั้วหลากสี ซึ่งในช่วงต้น ‘สีแดง’ ซึ่งเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย หรือเครือข่ายอำนาจของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ถูกเพ่งเล็งเนื่องจากมี ‘บิ๊กเนม’ ตบเท้าลงสมัคร เช่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ, นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดจนอดีต สส. และผู้สมัครตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยในหลายจังหวัด

 

อีกกลุ่มที่ดูมีเป้าหมายชัดเจนคือ ‘สีส้ม’ หรือตัวแทนจากพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า รวมทั้ง ‘สว. ประชาชน’ ที่ประกาศตัวว่าเป็นอิสระ แต่มีลักษณะร่วมคือความหัวก้าวหน้า และจับกลุ่มผนึกกันแน่น จนคาดการณ์กันว่าอาจมีเข้ารอบไปได้ไม่น้อย

 

ทว่าผลกลับพลิกผัน เมื่อบรรดา สว. ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจริงๆ นั้นกลับกลายเป็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับเครือข่าย ‘บ้านใหญ่’ หรือกระทั่งเคยร่วมงานใกล้ชิดกับ ‘สีน้ำเงิน’ หรือพรรคภูมิใจไทยมาก่อน เอาว่าเพียง ‘บุรีรัมย์’ จังหวัดเดียว กลับมีผู้ได้เป็น สว. ถึง 14 คน ขณะที่หลายจังหวัดไม่ได้ สว. แม้สักคน

 

นำมาสู่ข้อวิจารณ์นานัปการ ตั้งแต่การตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของว่าที่ สว. บางคนก็ประกอบอาชีพไม่ตรงกับกลุ่มที่สมัครและเอกสารแนะนำตัว เช่น ในกลุ่มชาวนาที่เต็มไปด้วยอดีตข้าราชการ หรือผู้สมัคร สส. จนถูกสวนกลับไปว่าเป็นการ ‘ด้อยค่า สว.’ ไปเสีย ถึงขั้นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ออกตัวแรงว่า “รู้สึกสมเพช” ผู้ที่มีความคิดด้อยค่าเช่นนี้

 

กระนั้นเอง ก็ไม่มีอะไรมาปฏิเสธความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยของบรรดาว่าที่ สว. นี้ ซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ตามที่ THE STANDARD เคยรวบรวมไว้ใน สว. 67 : ใครเป็นใคร ที่ถูกเรียกชื่อให้ว่า ‘สว. สีน้ำเงิน’

 

 

แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องรอพิสูจน์จากจุดยืนและการทำงานของ สว. ชุดนี้ว่าเป็นอย่างไรก่อน ดีกว่ารีบแปะป้ายใส่สีพวกเขาไปล่วงหน้า เริ่มจากจับตาทิศทางการแต่งตั้งองค์กรอิสระในปีนี้

 

‘สว. สีน้ำเงิน’ พา ‘ภูมิใจไทย’ หลุดบ่วง?

 

แม้ กกต. ยังไม่ทันจะได้รับรองผลให้ สว. ชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ การวิเคราะห์แนวทางการเมืองก็บานปลายไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะในแง่มุมว่า หาก สว. ชุดนี้เป็น ‘สีน้ำเงิน’ จริง ดังที่ถูกกล่าวหา การตั้งบุคคลในองค์กรอิสระก็อาจขาดความเป็นกลาง กระทั่งเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้กับบางฝ่าย

 

ขณะที่ปัจจุบัน พรรคภูมิใจไทยเองก็มีหลายคดีที่ยังอยู่ในอำนาจขององค์กรอิสระ เช่น

 

คดี ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ ถือหุ้น หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น อยู่ใน ป.ป.ช.

 

กรณีที่เคยอยู่ในความสนใจของสาธารณชน สืบเนื่องจาก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สืบเนื่องจากมีการเปิดเผยว่า ศักดิ์สยามยังถือครองหุ้นบางส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ต่อมาในวันที่ 17 มกราคม ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าศักดิ์สยามมีความผิดจริง และตัดสิทธิให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง

 

จากผลของคำวินิจฉัย เรื่องดังกล่าวยังถูกร้องไปยัง ป.ป.ช. ว่าศักดิ์สยามแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จหรือไม่ ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2567 ความคืบหน้าจาก ป.ป.ช. มีเพียงการตรวจสอบในเชิงลึก ซึ่งยังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้

 

คำร้อง ‘ยุบพรรคภูมิใจไทย’ อยู่ใน กกต.

 

ผลสืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของคดีข้างต้นเช่นกัน หลังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าพบนอมินีบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย เป็นเหตุให้มีการนำเรื่องยื่นต่อ กกต. ขอให้ทำคำร้องยุบพรรคภูมิใจไทยส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

 

อย่างไรก็ตาม หลังผ่านมาหลายเดือน กกต. ยังอยู่ระหว่างการจัดทำคำร้องที่ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องสอบสวนให้แน่ชัดว่าเงินบริจาคดังกล่าวผิดกฎหมายจริงหรือไม่

 

ใบแดง สส. ภูมิใจไทย อยู่ใน กกต.

 

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567 สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช มีมติให้ใบแดงแก่ มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล สส. นครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย ซึ่งถูกร้องคัดค้านเรื่องการแจกเงินไปลงคะแนนให้ตัวเอง ซึ่งขั้นตอนต่อไป กกต. จะต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกาดำเนินการต่อไป และหากศาลรับคำร้องก็จะมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ของ สส. และรอการตัดสิน

The post จับตา ‘สว. สีน้ำเงิน’ กุมองค์กรอิสระ พา ‘ภูมิใจไทย’ หลุดบ่วงคดี? appeared first on THE STANDARD.

]]>
กกต. เข้ารับรางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด หลังคว้า 89.19 คะแนน ในกลุ่มองค์กรอิสระ https://thestandard.co/ect-award-for-the-most-development/ Fri, 03 Nov 2023 06:47:00 +0000 https://thestandard.co/?p=862111 แสวง บุญมี รับรางวัล

วันนี้ (3 พฤศจิกายน) ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบ […]

The post กกต. เข้ารับรางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด หลังคว้า 89.19 คะแนน ในกลุ่มองค์กรอิสระ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แสวง บุญมี รับรางวัล

วันนี้ (3 พฤศจิกายน) ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับมอบรางวัลโล่เกียรติยศ สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ITA Awards 2023) พัฒนาการสูงสุด

 

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรางวัลโล่เกียรติยศสำหรับหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุดในประเภทกลุ่มหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานรัฐสภา จากผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment) หรือ ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ด้วยผลคะแนน 89.19 คะแนน

 

เป็นผลมาจากการพัฒนาการบริหารจัดการและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งยังคงยึดมั่นปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติให้เป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและในระดับสากล

 

สำหรับการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) กำหนดให้ทุกหน่วยงานเข้าร่วมการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ผ่านระบบ ITAS โดยกำหนดตัวชี้วัดในประเด็นต่างๆ จำนวน 10 ตัวชี้วัด เก็บข้อมูลจาก 3 แบบวัด คือ 1. แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (IIT) 2. แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (EIT) และ 3. แบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT)

The post กกต. เข้ารับรางวัลหน่วยงานที่มีพัฒนาการสูงสุด หลังคว้า 89.19 คะแนน ในกลุ่มองค์กรอิสระ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เลือกตั้ง 2566 : เลขาฯ ป.ป.ช. ไม่หวั่นรัฐบาลก้าวไกลขู่รื้อองค์กรอิสระ แนะดูที่ผลงาน อย่าให้สิ่งที่ทำมาสูญเปล่า เสียของ เสียงบ https://thestandard.co/niwat-nfp-dismantling-independent-organizations/ Fri, 09 Jun 2023 04:31:44 +0000 https://thestandard.co/?p=801070 นิวัติไชย เกษมมงคล

วันนี้ (9 มิถุนายน) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( […]

The post เลือกตั้ง 2566 : เลขาฯ ป.ป.ช. ไม่หวั่นรัฐบาลก้าวไกลขู่รื้อองค์กรอิสระ แนะดูที่ผลงาน อย่าให้สิ่งที่ทำมาสูญเปล่า เสียของ เสียงบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นิวัติไชย เกษมมงคล

วันนี้ (9 มิถุนายน) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าหากจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จจะมีการรื้อองค์กรอิสระที่ไม่อิสระออกว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐสภา ตนไม่สามารถให้ความเห็นได้ เขามีอำนาจว่าจะปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือปรับปรุงอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระอย่างไร

 

ส่วนที่พิธามองว่าองค์กรอิสระถูกครอบงำนั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่อยากให้ดูผลงานของแต่ละองค์กรว่าเป็นอย่างไร ซึ่งการกระทำดังกล่าวต้องมีการวิเคราะห์ถึงที่มาที่ไป ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาแล้วจะสูญเปล่า โดยเฉพาะงบประมาณที่ใช้ไป

The post เลือกตั้ง 2566 : เลขาฯ ป.ป.ช. ไม่หวั่นรัฐบาลก้าวไกลขู่รื้อองค์กรอิสระ แนะดูที่ผลงาน อย่าให้สิ่งที่ทำมาสูญเปล่า เสียของ เสียงบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
BBC ย้ำยังเป็นองค์กรอิสระ ไม่ถูกรัฐแทรกแซง หลัง Twitter ตราหน้า! เป็น ‘องค์กรสื่อในเครือรัฐ’ พร้อมหยุดทวีตข่าวจนกว่าจะแก้ไขให้เร็วที่สุด https://thestandard.co/twitter-brands-bbc-a-government-funded-media/ Mon, 10 Apr 2023 04:19:54 +0000 https://thestandard.co/?p=774817 BBC Twitter

BBC ชี้แจงหลังถูก Twitter ขึ้นป้ายกำกับบัญชีหลักว่าเป็น […]

The post BBC ย้ำยังเป็นองค์กรอิสระ ไม่ถูกรัฐแทรกแซง หลัง Twitter ตราหน้า! เป็น ‘องค์กรสื่อในเครือรัฐ’ พร้อมหยุดทวีตข่าวจนกว่าจะแก้ไขให้เร็วที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
BBC Twitter

BBC ชี้แจงหลังถูก Twitter ขึ้นป้ายกำกับบัญชีหลักว่าเป็น ‘องค์กรสื่อในเครือรัฐ’ พร้อมหยุดทวีตข่าวจนกว่าจะได้รับการแก้ไขป้ายกำกับบัญชีให้เร็วที่สุด 

 

สำหรับป้ายกำกับบัญชี ‘องค์กรสื่อในเครือรัฐ’ ถูก Twitter ให้คำนิยามว่าเป็นช่องทางที่รัฐบาลใช้ควบคุมเนื้อหาจากการทำงานของบรรณาธิการทั้งทางตรงและทางอ้อม 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

BBC ออกแถลงการณ์ระบุว่า BBC เป็นองค์กรสื่อสาธารณะที่ทำงานกันอย่างอิสระ โดยกระบวนการทำงานจะมีบรรณาธิการเป็นคนตัดสินใจ และผลิตผลงานออกมาผ่านช่องทางต่างๆ ไม่มีการแทรกแซงการทำงานจากรัฐ

 

ที่สำคัญองค์กร BBC ได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชนชาวอังกฤษผ่านค่าธรรมเนียมใบอนุญาต โดยมีค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีอยู่ที่ 159 ปอนด์ (197 ดอลลาร์) ตามกฎหมายกำหนดให้รับชมการถ่ายทอดสดทางทีวีหรือสตรีมมิงแบบสดในสหราชอาณาจักร ซึ่งกำหนดโดยรัฐบาล แต่ให้ประชาชนในสหราชอาณาจักรเป็นคนจ่าย โดยมีบริษัทเอกชนเป็นตัวแทนดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ซึ่งไม่ใช่รัฐบาล

 

ขณะเดียวกัน BBC ยังได้รับเงินมากกว่า 90 ล้านปอนด์ต่อปีจากรัฐบาล แต่ใช้สำหรับการสนับสนุน BBC World Service ซึ่งให้บริการผู้ชมนอกสหราชอาณาจักรเท่านั้น 

 

นับเป็นที่น่าสังเกตว่าบัญชี @BBC ปัจจุบันมีผู้ติดตาม 2.2 ล้านคน ซึ่งถือเป็นบัญชีหลักที่ได้รับป้ายกำกับว่าเป็นองค์กรสื่อในเครือรัฐแค่เพียงบัญชีเดียว แต่บัญชีอื่นๆ ของ BBC ที่ไม่ได้เสนอข่าวสารของ BBC เป็นหลักยังไม่ได้ถูกติดป้ายกำกับในลักษณะดังกล่าว

 

ทั้งนี้ภาพรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในปี 2022 เพิ่มขึ้น 3.8 พันล้านปอนด์ (4.7 พันล้านดอลลาร์) โดย BBC News ทำรายได้หลักอยู่ที่ประมาณ 71% ของรายได้รวม ซึ่งรายได้ที่เหลือมาจากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เช่น เงินช่วยเหลือ ค่าลิขสิทธิ์ และรายได้ค่าเช่า

 

แน่นอนว่าป้ายกำกับใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงกับบัญชี BBC แต่ Twitter เคยขึ้นป้ายกำกับให้กับ RT สื่อของรัสเซีย และ Xinhua News สื่อของจีน ว่าเป็นบัญชีองค์กรสื่อในเครือรัฐมาก่อนแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน BBC ถือเป็นสื่อสาธารณะที่ได้รับเงินจากประชาชนในสหราชอาณาจักร ไม่มีโฆษณา ไม่ผ่านระบบการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ แต่มีพัฒนาการเติบโตตลอด จนทำให้กลายเป็นสื่อที่ได้รับการยอมรับกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพทางความคิดเห็นของประชาชนในโลกเสรีนิยมประชาธิปไตย

 

อ้างอิง:

The post BBC ย้ำยังเป็นองค์กรอิสระ ไม่ถูกรัฐแทรกแซง หลัง Twitter ตราหน้า! เป็น ‘องค์กรสื่อในเครือรัฐ’ พร้อมหยุดทวีตข่าวจนกว่าจะแก้ไขให้เร็วที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสรีรวมไทยเปิดตัวนโยบายปฏิรูป กกต. และองค์กรอิสระ เน้นประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลได้ https://thestandard.co/tlp-unveiled-ect-reform-policy/ Thu, 02 Mar 2023 01:26:34 +0000 https://thestandard.co/?p=757434 พรรคเสรีรวมไทย

วานนี้ (1 มีนาคม) ที่พรรคเสรีรวมไทย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ […]

The post เสรีรวมไทยเปิดตัวนโยบายปฏิรูป กกต. และองค์กรอิสระ เน้นประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พรรคเสรีรวมไทย

วานนี้ (1 มีนาคม) ที่พรรคเสรีรวมไทย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย วิรัตน์ วรศสิริน เลขาธิการพรรค และ สมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์พรรค แถลงข่าวเปิดตัวนโยบายด้านการเมือง ชุดที่ 1 ปฏิรูปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และองค์กรอิสระทุกองค์กร ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ล่าสุดจากทางพรรค โดยสมชัยได้กล่าวถึงรายละเอียดนโยบายดังต่อไปนี้

 

  1. กกต. และองค์กรอิสระ ต้องมีที่มาเชื่อมโยงกับประชาชน
  2. กำหนดคุณสมบัติของบุคลากรใน กกต. และองค์กรอิสระ
  3. ประชาชนสามารถตรวจสอบ ถ่วงดุล ถอดถอน บุคคลในองค์กรอิสระได้ 
  4. แก้ไขกฎหมายเพื่อปฏิรูปองค์กรอิสระให้เสร็จภายใน 1 ปี หลังเลือกตั้ง 

 

ด้าน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ต้องให้มีการแก้ไขและปฏิรูป กกต. และขอให้ยกเลิก กกต.จังหวัด โดยให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาทำหน้าที่แทน กกต.จังหวัด เพื่อป้องกันการทุจริตเลือกตั้งเหมือนที่ผ่านๆ มา

The post เสรีรวมไทยเปิดตัวนโยบายปฏิรูป กกต. และองค์กรอิสระ เน้นประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กางสถิติ ‘ซ้อมทรมาน’ ผ่านเรื่องร้องเรียน ปฏิรูปตำรวจ-พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ช่วยได้แค่ไหน? https://thestandard.co/prevent-forced-disappearance-act/ Tue, 14 Sep 2021 06:11:39 +0000 https://thestandard.co/?p=536397 การซ้อมทรมาน

คลิปการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อ […]

The post กางสถิติ ‘ซ้อมทรมาน’ ผ่านเรื่องร้องเรียน ปฏิรูปตำรวจ-พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ช่วยได้แค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
การซ้อมทรมาน

คลิปการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.นครสวรรค์ กับพวก ที่ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ในทุกสื่อ นำมาซึ่งความสนใจในประเด็น ‘การซ้อมทรมาน’ ที่ต่อยอดไปสู่อีกหลายประเด็น ทั้งการปฏิรูปตำรวจ ตลอดจนการเร่งรัดผลักดันกฎหมายป้องกันการอุ้มหายและซ้อมทรมานในขณะนี้

 

แม้หลายคนเชื่อว่านี่ไม่ใช่กรณีแรกของการซ้อมทรมานในไทย แต่เรื่องนี้ก็ชวนให้เราก็สงสัยต่อไปว่า แล้วที่ผ่านมาสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง

 

THE STANDARD รวบรวมสถิติ ข้อมูลเบื้องหลัง และความคิดเห็นมาจำนวนหนึ่งจากหลายองค์กร ทั้งองค์กรอิสระที่มีหน้าที่โดยตรงอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตลอดจนภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง และนักวิชาการด้านอาชญาวิทยาที่เคยอยู่ในราชการตำรวจมาก่อน สถิติและความเห็นเหล่านี้อาจจะสะท้อนปัญหาที่ถูกเก็บสะสมผ่านกาลเวลา เชื่อมโยงถึงกระบวนการยุติธรรม และสะท้อนถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง

 

อย่างไรก็ดี สถิติเหล่านี้มาพร้อมกับคำเน้นย้ำเพื่อการทำความเข้าใจจากหลายหน่วยงานว่า ผู้ร้องเรียนอาจจะร้องเรียนกรณีเดียวกันต่อหลายหน่วยงานได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความซ้ำซ้อน และการร้องเรียนที่ปรากฏอาจเป็นเพียง ‘ส่วนหนึ่ง’ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ทั้งหมด

  

เปิดสถิติเรื่องร้องเรียน กสม. ‘ซ้อมทรมาน-ใช้อำนาจมิชอบ’ โดยตำรวจ

ฟังคำตอบ ‘ทำไมหลายเรื่องถูกยุติ?’

 

ข้อมูลชุดแรกเป็นสถิติที่เราได้รับจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้ว่าเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เข้ามายัง กสม. ในช่วง 4 ปีปฏิทินล่าสุด (2560-2563) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

แต่นั่นไม่ใช่กับเรื่องร้องเรียนที่ถูก กสม. จัดไว้ใน 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมทรมานและทำร้ายร่างกายระหว่างควบคุมตัว’ และกลุ่ม ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย’ (เช่น จับกุมมิชอบ ค้นโดยมิชอบ ใช้อำนาจข่มขู่ ฯลฯ) ที่ยังคงเห็นจำนวนเรื่องร้องเรียนที่ ‘ขึ้นๆ ลงๆ’ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าการเรื่องเรียนเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และหากรวมจำนวนเรื่องร้องเรียน 2 กลุ่มนี้เข้าด้วยกัน ก็พบว่ามีอัตราส่วนต่อเรื่องร้องเรียนในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดที่ ‘สูงขึ้น’ ตลอด 4 ปีดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลใน 8 เดือนแรกของปี 2564 ซึ่งเก็บมาจนถึงวันที่ 30 สิงหาคม พบว่าสัดส่วนเรื่องร้องเรียนใน 2 กลุ่มนี้ต่อเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยสัดส่วนนี้ลดลงมากกว่าครึ่งหากเทียบกับปี 2563

 

 

สำนักงาน กสม. ยังอธิบายต่อไปว่า การออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับปี 2560 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา จาก ‘เรื่องร้องเรียน’ ที่แสดงจำนวนไว้ก่อนหน้านี้ กสม. จะพิจารณาในที่ประชุมก่อนว่าจะพิจารณารับเป็น ‘คำร้อง’ หรือไม่ เนื่องจาก พ.ร.ป. ฉบับนี้มีบทบัญญัติในมาตรา 39 ที่ทำให้แม้กรรมการสิทธิฯ จะมีเป้าหมายที่จะรับเรื่องร้องเรียนเป็นคำร้อง แต่บางเรื่องร้องเรียนก็ไม่สามารถรับไว้ได้ เช่น เรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล หรือเรื่องที่ศาลมีคําพิพากษา คําสั่ง หรือคําวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว นอกจากนี้ ก่อนหน้าเดือนพฤศจิกายน 2563 จะไม่มีการรับเรื่องร้องเรียนในหมวด ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย’ ไว้เป็นคำร้อง หากต้องมีการประสานการคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนกับหน่วยงานอื่น แต่จากนั้นเป็นต้นมาก็มีกำหนดให้มีการรับไว้เพื่อการประสานการคุ้มครองต่อ

 

การปรับระบบเหล่านี้อาจทำให้การเปรียบเทียบแนวโน้มจำนวนเรื่องร้องเรียนที่สำนักงาน กสม. รับไว้เป็น ‘คำร้อง’ ตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมานั้นทำไม่ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าจำนวนเหล่านี้อาจพอสะท้อนทิศทางบางอย่างได้บ้าง จึงแสดงออกมาเป็นตารางดังที่ กสม. ส่งให้เราต่อไปนี้

 

 

 

แต่สิ่งที่อาจสำคัญกว่าต่อจากนั้นคือเรื่อง ‘ผลการตรวจสอบ’

 

ข้อมูลผลการตรวจสอบที่เราได้รับจากสำนักงาน กสม. (ซึ่งข้อมูลที่ระบุตัวตนบุคคลได้ถูกนำออกไปแล้วก่อนมาถึงมือเรา) พบว่าเรื่องร้องเรียนทั้ง 2 กลุ่มที่เกี่ยวกับตำรวจ แม้จะมีบ้างที่ตรวจพบการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริง เช่น เมื่อปี 2561 มีกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมที่จังหวัดแห่งหนึ่งทำร้ายร่างกายในขณะตรวจค้น กลั่นแกล้ง จับกุม และดำเนินคดีโดยที่ไม่ได้กระทำความผิด ซึ่ง กสม. พิจารณาเห็นว่ามีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิ และมีข้อเสนอแนะไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามผลว่า สตช. มีการดำเนินการอย่างไร

 

ทว่า ข้อมูลผลการพิจารณาคำร้องอื่นที่เราได้รับจำนวนมากกลับมีผลการตรวจสอบออกมาว่า ‘ยุติเรื่อง’ ด้วยสาเหตุที่ต่างกัน เช่น ผู้ร้องถอนเรื่อง, ส่งเรื่องให้หน่วยงานอื่น, ให้มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, ไม่พบการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิฯ, พยานหลักฐานยังไม่สามารพิสูจน์หรือปรากฏได้แน่ชัด หรือเป็นเรื่องที่อยู่ในชั้นศาลหรือศาลมีคำตัดสินแล้ว เป็นต้น

 

แม้คำอธิบายที่เราได้รับพร้อมข้อมูลจะระบุว่าการ ‘ยุติเรื่อง’ ไม่จำเป็นต้องหมายถึง ‘ไม่พบการละเมิดสิทธิมนุษยชน’ แต่อาจจะเกิดจากการถูกตัดอำนาจในการวินิจฉัย เช่น ตามมาตรา 39 ที่เราอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ การยกเรื่องขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลซึ่งก็อาจปรากฏขึ้นได้ภายหลังการรับไว้เป็นคำร้อง ทำให้กรรมการสิทธิฯ ก็ต้องยุติเรื่องตามกฎหมายมาตราดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ดี เราก็ยังคิดว่าในการยุติเรื่องบางกรณีอาจมีคำอธิบายมากกว่านั้น

 

จากพูดคุยกับ ปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดที่ 4 ซึ่งเริ่มปฏิบัติงานมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เธอบอกว่าการดำเนินการของ กสม. ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ก็ยอมรับเกี่ยวกับกรณีซ้อมทรมานว่า กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีข้อจำกัดที่ทางกรรมการสิทธิฯ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างไม่เต็มที่นัก เนื่องจากผู้ร้องมักอยู่ในสถานที่ควบคุม กว่าจะออกมาร้องเรียน หรือพบกับญาติแล้วออกมาร้องเรียนได้ก็ล่าช้าเกินไป อาจจะไม่พบพยานหลักฐาน และผู้ที่ถูกร้องเมื่อได้รับการขอข้อเท็จจริงไป ก็มักจะบอกว่าไม่ได้กระทำ และอาจจะเป็นการ ‘แก้เกี้ยว’ ของผู้ถูกร้อง เพื่อให้มีผลต่อคดี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือพื้นที่ที่มีการใช้กฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึก มักจะทำให้เกิดกรณีนี้ขึ้นมา

 

“มันเป็นความเจ็บปวดของ กสม. เหมือนกันนะ ทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งอะไรทั้งหลายทั้งปวง ว่าแล้วเราจะมีวิธีการอย่างไร ตอนนี้เราก็กำลังหามาตรการที่กำลังจะทำให้การดำเนินการเรื่องนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อาจจะต้องไปร่วมมือกับดีเอสไอ หรือทางนิติวิทยาศาสตร์ให้สามารถหาพยานหลักฐานให้ กสม. ลงเป็นเรื่องของการละเมิดได้” เธอระบุ

 

 ปิติกาญจน์ สิทธิเดช

 

เราถามต่อไปว่า กรณีที่คำร้องส่วนหนึ่งที่ถูกระบุว่า ‘ยุติเรื่อง’ เพราะผู้ถูกร้องขอถอนเรื่อง หรือไม่ประสงค์จะร้องเรียนต่อ สิ่งนี้สะท้อน ‘ความกังวล’ ในความปลอดภัยของผู้ร้องเรียนหรือไม่ เธอยอมรับว่าใช่ และระบุว่าผู้เสียหาย เหยื่อ หรือครอบครัวของคนกลุ่มนี้ เมื่อต้องขึ้นศาลก็จะต้องมาเป็นพยานในคดี ซึ่งมักจะมีความกลัว และมักจะถอนเรื่องไป ไม่ดำเนินการต่อ

 

“แต่เราก็บอกว่าเราไม่ได้ลงเรื่องละเมิดอย่างเดียว เราก็ประสานความช่วยเหลือ ก็จะแนะนำเขาไปว่าเรามีกฎหมายเรื่องคุ้มครองพยานนะ ถ้าเขาถูกข่มขู่ คุกคาม เพราะอันนี้มันเป็นคดีอาญาแล้ว ก็สามารถที่จะไปใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานได้ จากกระทรวงยุติธรรม ให้คุ้มครองพยานเขา” ปิติกาญจน์กล่าว เธออธิบายกลไกของการคุ้มครองพยานว่า พยานรวมถึงครอบครัวของพยานจะได้รับความคุ้มครอง แล้วแต่ความรุนแรงของเหตุ เช่น การพาเข้าเซฟเฮาส์ หรือพาไปอยู่ที่อื่น หรือการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เปลี่ยนอาชีพ เป็นต้น ซึ่งกรณีคำร้องที่ไม่เกี่ยวกับตำรวจ กระทรวงยุติธรรมอาจจะประสานตำรวจในท้องที่เป็นผู้คุ้มครอง แต่หากคู่กรณีเป็นผู้มีอิทธิพล ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ ทางสำนักงานคุ้มครองพยานของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเป็นผู้ดำเนินการ

 

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจอีกชุดหนึ่งคือ เธอระบุว่าตั้งแต่ปี 2547 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการซ้อมทรมานและการทำร้ายร่างกายในระหว่างการควบคุมตัว ซึ่งเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้งตำรวจและทหารในสถานที่ควบคุมจำนวนทั้งสิ้น 306 กรณี พิจารณาไปแล้วทั้งสิ้น 298 กรณี เหลือคงค้าง 8 กรณี 

 

เปิดข้อมูลภาคประชาสังคมและรายงานระดับสากลกับตัวเลขเรื่องร้องเรียน ‘ซ้อมทรมาน-อุ้มหาย’ ที่ไม่เจาะจงกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา

 

ตัวเลขชุดต่อมาเป็นตัวเลขที่ปรากฏในรายงานที่นำเสนอโดยประเทศไทย และมีการเผยแพร่โดยคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน ระบุว่า ระหว่างปี 2560-2563 คณะอนุกรรมการคัดกรองกรณีถูกกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ (ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ที่มีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน) ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีการกระทำทรมานทั้งสิ้น 258 กรณี และการบังคับให้หายสาบสูญอีก 5 กรณี

 

อย่างไรก็ตาม ในจำนวนนี้มีเรื่องร้องเรียนการกระทำทรมาน 188 กรณีที่ถูกยุติ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับเกณฑ์และคำจำกัดความของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี, มี 68 กรณีร้องเรียนการกระทำทรมาน และ 4 กรณีร้องเรียนกรณีบังคับให้หายสาบสูญยังอยู่ระหว่างการพิจารณา และกรณีเรื่องร้องเรียนที่ถูกระบุว่า ‘มีมูล’ สำหรับการซ้อมทรมานมีอยู่ 2 กรณี และสำหรับการบังคับให้หายสาบสูญมีอยู่ 1 กรณี อนึ่ง เรื่องร้องเรียนในกลุ่มนี้ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่าบุคคลกลุ่มใดบ้างที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา

 

 

 

อย่างไรก็ดี ความเห็นของ ภัทรานิษฐ์ เยาดำ เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า จำนวนทั้งในเชิงสถิติและขอบเขตหรือนิยามของการทรมานและการบังคับสูญหายตามที่ปรากฏในรายงานดังกล่าวไม่แสดงถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น เนื่องจากรัฐยังไม่มีระบบการบันทึกคำร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำทั้งสองอย่างเป็นระบบและอย่างเป็นทางการมาก่อน ตัวเลขที่ปรากฏ นอกจากในรายงานขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือองค์กรในพื้นที่แล้ว การรับรู้รับทราบ ความโปร่งใส แม้แต่รายงานหลักเกณฑ์ในการรับคำร้อง ระบบการอุทธรณ์ หากคณะกรรมการชี้แจงว่าไม่เข้านิยามหรือองค์ประกอบ ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะหรือประชาชนทั่วไป ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย

 

ภัทรานิษฐ์ เยาดำ

 

“ดังนั้น ในสถานการณ์จริงที่ยังมีกฎหมาย ทั้งตามคำสั่งหัวหน้า คสช. กฎหมายพิเศษในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกฎหมายยาเสพติด ที่อนุญาตให้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาเกิน 48 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีเคสที่คนไทยถูกบังคับสูญหายในต่างประเทศ อย่างเช่นผู้ลี้ภัยทางการเมืองในช่วงหลังรัฐประหารที่ผ่านมา จึงอาจมีผู้เสียหายจากการทรมานหรือบังคัญสูญหายอีกเป็นจำนวนมาก และอาจจะมากกว่าตัวเลขที่ปรากฏในรายงาน แต่รัฐไทยยังไม่ได้เริ่มเสาะหาข้อเท็จจริงหรือบันทึกข้อมูลไว้” ภัทรานิษฐ์กล่าว

 

สถิติอีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจมาจาก พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นภาคประชาสังคมที่ทำงานตรวจสอบข้อร้องเรียนด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พรเพ็ญให้ข้อมูลกับเรา 2 ชุด ซึ่งสะท้อนความสำคัญของปัญหาการซ้อมทรมานในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งพรเพ็ญบอกว่า ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่เป็นทหาร แต่ก็มีบางกรณีที่เป็นตำรวจและกลุ่มอื่นๆ โดยชุดแรกเป็นข้อมูลของศูนย์ทนายความมุสลิมที่ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2550 ถึงเดือนมิถุนายน 2557 มีสถิติข้อร้องเรียนเรื่องการทรมานและปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจำนวนอย่างน้อย 364 กรณี และอีกชุดหนึ่งเป็นช่วงระหว่างปี 2557 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสถิติที่เก็บมาโดยกลุ่มด้วยใจ เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ผ่านโครงการกองทุนสนับสนุนผู้ได้รับผลกระทบจากการทรมานขององค์กรสหประชาชาติ (UN Voluntary Fund for Torture Victims) ซึ่งระบุว่า มีเรื่องร้องเรียนในกลุ่มเดียวกันอย่างน้อย 250 เรื่อง

 

 

พรเพ็ญบอกว่า แม้มูลนิธิของเธอมีขอบข่ายงานอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสำคัญ แต่ก็มีบางกรณีที่อาศัยข้อมูลจากสื่อหรือหน่วยงานอื่นๆ ในความพยายามที่จะประสานเข้าไปให้ความช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการซ้อมทรมานในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ซึ่งสำหรับเธอแล้ว พัฒนาการของสถานการณ์การซ้อมทรมานนั้นดู ‘แย่ลง’ โดยเธอระบุถึงการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อปี 2551 ให้เพิ่มเติมมาตรา 226/1 ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึงการห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน และยังระบุถึงการพิจารณาพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ในการใช้ดุลยพินิจรับฟังหลักฐานดังกล่าว ซึ่งพรเพ็ญระบุว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ทำให้เห็นผลว่ามีการรับฟังพยานหลักฐานที่ได้จากการทรมาน

 

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ

 

“มันไม่ได้ใช้ในการทั่วไป แต่มันถูกสร้างวัฒนธรรมการอนุญาตให้พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบแบบนี้เข้าไปสู่ในสำนวนง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน โดยอาศัยบริบทที่เป็นบริบททางคดีนโยบาย” เธอระบุ และยกตัวอย่างคดีในกลุ่ม ‘คดีนโยบาย’ ที่เธอหมายถึง เช่น คดีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และคดียาเสพติด

 

 

วิเคราะห์เหตุปัจจัย ทำไมซ้อมทรมานถึงยังอยู่ และ ‘ปฏิรูปตำรวจ’ จะสำเร็จได้อย่างไร

 

อีกคำถามที่น่าสนใจคือ นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นใดที่ทำให้กระบวนการซ้อมทรมานยังคงมีอยู่

 

ในแง่ของตำรวจ เราคุยกับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการตำรวจ การจับกุมในคดียาเสพติด และการเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาก่อน เขาเล่าให้เราฟังว่า ในโรงเรียนตำรวจ เช่น โรงเรียนนายร้อยตำรวจหรือโรงเรียนนายสิบตำรวจ ไม่มีการสอนวิธีการทรมานผู้ต้องสงสัย แต่พฤติกรรมที่ต่างกันของตำรวจจะเกิดขึ้นจากเมื่อหลังจบการศึกษาแล้วแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ตามสถานที่หรือหน่วยงานต่างๆ ซึ่งจะได้เรียนรู้ ซึมซับประสบการณ์ พฤติกรรม จากทั้งเพื่อนร่วมงาน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่หน่วยงานที่แต่ละคนปฏิบัติงานอยู่ ซึ่งหากได้เจอพี่เลี้ยงที่ดี ก็จะได้แนวโน้มทิศทางการเป็นตำรวจที่ดี แต่หากไปพบกับวัฒนธรรมกลุ่มที่มีการใช้วิธีการซ้อมทรมาน ก็อาจจะเกิดการเรียนรู้ นำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบ

 

และนอกจากเพื่อนร่วมงานแล้ว เขายังบอกว่าการเรียนรู้ยังเกิดขึ้นได้จากสื่อ หรือแม้กระทั่งเรียนรู้จากพฤติกรรมอุ้มซ้อมทรมานกันเองของผู้ต้องหา

 

แต่ในมุมของนักสิทธิมนุษยชนอย่างพรเพ็ญ เธอพูดถึงหลายปัจจัยที่ทำให้การซ้อมทรมานยังคงอยู่ ปัจจัยแรกคือ วัฒนธรรมที่ปล่อยให้คน ‘พ้นผิดลอยนวล’

 

“ไม่ได้หมายความว่าการคลุมถุงดำบนศีรษะของผู้ต้องหาไม่เคยถูกพิจารณามาก่อน มันเคยถูกพิจารณา มันเคยมีเรื่องร้องเรียน ในกรณีมันที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญามันมีน้อยมาก” เธอระบุ “ดังนั้น มันจึงมองเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่ถุงดำ ในเรื่องของการซ้อมทรมานผู้ต้องหา ถ้าเกิดขึ้นแล้วมันสามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้เนี่ยมันก็จะไม่มีคนทำอีก เพราะว่าหวาดกลัวกับโทษที่จะได้รับหรือว่าอาชีพการงาน...นายด่าเอา ไอ้นี่ซ้อมชาวบ้านแล้วถูกสั่งย้าย มันก็ไม่เพียงพอสำหรับในมุมผู้เสียหาย แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าหน้าที่ก็จะได้รับการลงโทษในหลายๆ ระดับ”

 

ปัจจัยต่อมาที่เธอระบุคือ นโยบายบางอย่างที่เธอบอกว่าสร้างให้เกิดการทำลายหลักนิติธรรม ทำลายกระบวนการยุติธรรมที่เคยดำรงอยู่ เธอย้ำว่า หากความเป็นอิสระของตุลาการ ความเป็นอิสระของอัยการในการสั่งคดี หรือพนักงานสอบสวนที่มีความเป็นมืออาชีพนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ ก็จะไม่สามารถจะทำให้วัฒนธรรมนี้หมดสิ้นไปได้ เธอยังเสนอให้พัฒนาสวัสดิการและทักษะวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวน และให้มีระบบ ‘Public Defender’ ที่ทำหน้าที่เหมือนทนายของรัฐให้กับประชาชน

 

และปัจจัยสุดท้ายที่เธอพูดถึงคือ ‘การปฏิรูปตำรวจ’ โดยเฉพาะการแยกอำนาจสืบสวนออกจากอำนาจสอบสวน

 

“ก็คือคนจับ คนไปสืบค้นข้อมูลเบื้องต้น คุณก็มีสมมติฐานของคุณได้ระดับหนึ่ง คุณอาจจะคลุกคลีอยู่ในพื้นที่มีสายข่าว แต่พอถึงขั้นตอนการสอบสวน มันต้องมีหน่วยอื่นมาสอบ เพื่อที่จะตรวจทานการตัดสินใจของพนักงานสืบสวนที่ใช้อำนาจช่วงแรกในการจับ แล้วให้สอบสวนสืบ โดยให้แยกกันเป็นอิสระ ไม่ใช่ขึ้นตรงต่อกัน” เธอกล่าว และย้ำว่าจำเป็นต้อง ‘ลงทุน’ ให้กับพนักงานสอบสวนในการค้นหาความจริง พิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือการกระทำความผิดโดยหลักการตามกฎหมายและหลักนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีทั้งแนวคิดที่ยังให้คงพนักงานสอบสวนไว้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือให้แยกออกไปเลย หรือให้อัยการมาเป็นพนักงานสอบสวนแทน

 

“อันนี้มันก็เป็นอันที่เราคิดว่ามันสร้างปัญหาอยู่ ก็คืออำนาจการควบคุมคดี โดยเฉพาะคดียาเสพติด ถ้าฮั้วกันทั้งสอบทั้งสืบและนายขึ้นไปด้วย ก็เป็นโรงงานเลยค่ะ มันก็ส่งต่อๆ กันไป คนที่เสียหายเขาอาจจะหลุดจากกระบวนการยุติธรรมแบบนี้ แต่เดี๋ยวเขาก็เข้ามาใหม่ เพราะวงจรข้างนอกก็ยังเป็นแบบนี้ ก็คือมีส่วนร่วมในการค้าสิ่งผิดกฎหมายกันในระบบวงการราชการ” พรเพ็ญระบุ

 

ส่วนความเห็นของ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ต่อกรณีการแยกอำนาจสืบสวน-สอบสวนนั้น เขาตั้งคำถามประเด็นแรกว่า ปัจจุบันการสอบสวนของตำรวจมักจะถูกแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชาเองและหน่วยงานการเมืองที่มีอำนาจเหนือตำรวจ หากแยกอำนาจสอบสวนออกจากองค์กรตำรวจแล้ว การทำงานจะมีความเป็นอิสระมากขึ้นหรือไม่ และอีกประเด็นหนึ่งคือ พนักงานอัยการเองก็ไม่มีกำลังคนมากพอที่จะมาดูสำนวนคดีของตำรวจได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสนอแนวคิดให้ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนเป็นผู้ช่วยพนักงานอัยการ แล้วทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน แต่อยู่ในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ใช่สังกัดตำรวจอีกต่อไป และให้ทำงานอยู่ที่โรงพักเช่นเดิม เพื่อเป็นการคานอำนาจกันในการ ‘สืบ’ และ ‘สอบ’ นั่นเอง

 

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล

 

นอกเหนือจากประเด็นนี้แล้ว เขายังชี้ว่าการปฏิรูปตำรวจมีหลายมิติ แต่หนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือ ‘ความเป็นมืออาชีพ’ หรือพูดอย่างง่ายคือ การทำงานโดยยึดหลักสากล เขายังบอกด้วยว่า การปฏิรูปตำรวจจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจมีความจริงใจเพียงใด และตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารมักประกาศแนวทางในการปฏิรูปตำรวจเสมอ โดยระบุเหตุผลว่า ตำรวจถูกแทรกแซงทางการเมือง มีการบังคับใช้กฎหมายไม่เสมอภาค ซึ่งไม่ว่าจะมาจากสาเหตุเพราะการเปลี่ยนขั้วอำนาจ หรือความต้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง หรือสาเหตุอื่นใด เขาก็บอกว่าเป็นไปได้ทั้งหมด

 

ส่วนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่จะไม่พูดถึงการปฏิรูปตำรวจ เพราะ พ.ร.บ.ตำรวจปี 2547 ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และในฐานะนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นนักการเมือง ก็เท่ากับมีกลไกการบังคับใช้กฎหมายอยู่ในมือ

 

“นายกฯ ก็นักการเมืองใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นก็มีกลไกการบังคับใช้กฎหมายอยู่ในมือ ใครไม่ชอบบ้าง เช่น คนเห็นต่าง อาจจะใช้กลไกนี้ในการดำเนินคดีก็ได้ คือเราต้องยอมรับ ในโลกประชาธิปไตยเนี่ยเป็นไปไม่ได้เลยทั่วโลกนะครับ ที่จะให้คนทั้งชาติเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐทุกเรื่อง เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ก็ต้องมีบ้างที่เห็นต่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีความเห็นต่างจะต้องไปจับกุมคุมขังเขาหรือดำเนินคดีกับเขา ถูกไหมครับ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมาดูว่าบ้านเราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่า อ้าว แล้วทำไมเขาถึงทำ แล้วก็ดีไหมล่ะที่เขารู้สึกว่าเขามีตำรวจที่เป็นกลไกให้กับเขาในการบังคับใช้กฎหมายตามทิศทางที่เขาต้องการได้ นั่นก็วกกลับมาที่บอกว่า เพราะฉะนั้นตำรวจก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องปฏิรูป นี่คือคำตอบของผู้มีอำนาจถูกไหมครับ” เขาระบุ

 

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ยังระบุถึงมิติที่น่าจะต้องสนใจในการปฏิรูป มิติแรกคือ การกระจายอำนาจของตำรวจ ซึ่งต้องเปลี่ยนจากการรวมศูนย์อำนาจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปสู่การฟังเสียงประชาชนให้มากขึ้น

 

“หลักสากลเขาบอกว่า ถ้าจะให้ดี ตำรวจทำงานให้กับชุมชน ต้องฟังเสียงชุมชน การบริหารงานตำรวจต้องเปลี่ยนจากรวมศูนย์อำนาจแบบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติปัจจุบันเป็นอยู่ เป็นกระจายอำนาจ เพราะว่าตำรวจในพื้นที่จะได้ฟังเสียงประชาชน แต่ปัจจุบันเป็นระบบรวมศูนย์ หมายความว่าตำรวจทั่วประเทศก็ต้องฟังที่ส่วนกลาง หรือฟังผู้บังคับบัญชาในส่วนที่ให้คุณให้โทษได้โดยตรงเท่านั้น ชาวบ้านสะท้อนอะไรไม่ได้”

 

มิติต่อมาที่เขาพูดถึงคือ การเน้นบทบาทความรับผิดชอบของตำรวจ ที่ควรเน้นเฉพาะงานป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และงานส่วนอื่นควรถูกปรับโอนไปให้หน่วยงานอื่นบังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะ เช่น งานจราจร งานเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ และมิติของการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ประชาชนทุกภาคส่วนอาจยังไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงในการทำงานของตำรวจเท่าที่ควร อาทิ คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจระดับสถานีตำรวจ (กต.ตร.สถานีตำรวจ) ซึ่งเขาตั้งข้อสังเกตจากประสบการณ์ของเขาว่า กต.ตร. ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มนักธุรกิจ เขาย้ำว่าตำรวจเองต้องเป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีมิติของการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งเขาบอกว่าตำรวจน่าจะทราบดีว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่, มิติของการฝึกอบรม ที่ต้องสอดแทรกความเป็นมืออาชีพในโรงเรียนตำรวจ, เงินเดือน สวัสดิการ ที่ยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง, อุปกรณ์ในการทำงานที่ก็ยังขาดแคลน เช่น อาวุธปืน วิทยุ น้ำมันรถในการทำงาน และมิติของการแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของข้าราชการตำรวจ ซึ่งเขาบอกว่าสังคมน่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ว่ามีการแก้ไขหรือไม่

 

เขายังบอกว่าการปฏิรูปตำรวจในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ อาศัยหลัก 3P ได้แก่ Political View เจตจำนงทางการเมืองต้องแน่วแน่ว่าจะปฏิรูป, People หรือ Public ประชาชนต้องอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในองค์กรตำรวจ, และ The Police ตำรวจเองที่ก็ต้องอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ในการพัฒนาขึ้นเป็นมืออาชีพ และสร้างการยอมรับจากประชาชนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

 

เปิดมุมมอง เทียบเนื้อหา ‘พ.ร.บ.ป้องกันอุ้มหาย-ซ้อมทรมาน’ มีแล้วได้อะไร มีประเด็นไหนที่ต้องคิดต่อ?

 

มาถึงอีกประเด็นสำคัญ นั่นคือการผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่ล่าสุดร่างดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วันที่ 8 กันยายน 2564 ในวาระเรื่องด่วน ลำดับที่ 9 และมีความพยายามของเครือข่ายญาติผู้เสียหายจากการทรมานและอุ้มหาย เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน และตัวแทนภาคประชาชนเมื่อ 6 กันยายนที่ผ่านมา ที่เดินทางมายังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นหนังสือขอให้เร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นมาเป็นวาระเรื่องพิจารณาเร่งด่วน ลำดับที่ 1 และล่าสุดสภาเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาขึ้นมาเป็นวาระเรื่องพิจารณาเร่งด่วน ลำดับที่ 4 ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะทันสมัยประชุมนี้หรือไม่ พรเพ็ญระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. ชื่อดังกล่าวที่จะได้รับการพิจารณาพร้อมกันมีอยู่ 4 ฉบับ ได้แก่ ร่างฉบับที่คณะรัฐมนตรีเสนอ และร่าง พ.ร.บ. ชื่อเดียวกันอีก 3 ฉบับ จาก ส.ส. ที่เป็นกรรมาธิการกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปรับต่อมาจากร่างภาคประชาชน, ส.ส. พรรคประชาชาติ และ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์

 

ปิติกาญจน์เล่าที่มาว่า ไทยเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งเมื่อเข้าเป็นภาคีแล้วก็มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ โดยจะต้องมีการอนุวัติการ ก็คือการออกกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้ไปเป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าว สิ่งที่ปิติกาญจน์และพรเพ็ญบอกคล้ายกันก็คือ ระบบกฎหมายของไทยไม่สามารถจะนำกฎหมายระหว่างประเทศมาบังคับใช้ในประเทศได้โดยตรง และการมีร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มีการกำหนดให้การทรมานและการอุ้มหายเป็นความผิดและมีกำหนดโทษอยู่ในกฎหมายไทย

 

อย่างไรก็ดี ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวในฉบับของคณะรัฐมนตรีกับฉบับของ ส.ส. กลุ่มต่างๆ นั้นมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ดังรายละเอียดบางส่วนที่เรายกมาเปรียบเทียบต่อไปนี้

 

 

นอกจากต้องการให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว พรเพ็ญยังกล่าวถึงความผิดฐาน ‘ปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’ ซึ่งถูกเขียนไว้ในร่างของ ส.ส. พรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งเธอบอกว่ากรณีนี้ไม่ถึงขั้นการซ้อมทรมาน แต่ก็สามารถใช้สำหรับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและความเป็นอยู่ของคนในเรือนจำและสถานที่ควบคุมทั้งหมด หรือแม้แต่ค่ายทหาร เพื่อป้องปรามไม่ให้ถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือนำข้อจำกัดต่างๆ มาใช้จำกัดสิทธิของประชาชน เช่น การคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังในเรื่องยารักษาโรค การป้องกันโควิด หรือผ้าอนามัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้ เพราะเป็นเนื้อหาที่ละเอียด และมักถูกคัดค้าน เนื่องจากพูดถึงบรรทัดฐานในการนำตัวคนผิดมาลงโทษได้ยาก เธอบอกว่าเรื่องนี้อาจจะถูกตัดออกไปในการพิจารณาร่างกฎหมาย เนื่องจากในร่างของคณะรัฐมนตรีไม่บัญญัติไว้ และยอมรับว่ากติกาสากลเองก็ไม่ได้มีข้อบังคับให้ไทยในการทำกฎหมายภายในประเทศแบบนี้ แต่เวลามีการอภิปรายกันก็เห็นถึงความจำเป็นถึงการคุ้มครองสิทธิของคนอีกจำนวนมาก

 

เมื่อพูดถึงความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์เห็นว่า คำตอบปลายทางอาจไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่ความจริงใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา และการออกกฎหมายต้องนำไปสู่การบังคับใช้จริงจึงจะเกิดประโยชน์ เขาชี้ว่าตามหลักวิชาการแล้ว โทษจำคุกเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้คนไม่กระทำความผิด แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าคือ มาตรการเชิงป้องกัน หรือมาตรการในการกำกับติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ที่มิชอบของเจ้าหน้าที่

 

อย่างไรก็ตาม ปิติกาญจน์ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นเจตนาเฉพาะ เป็นสิ่งไม่เคยปรากฏในกฎหมายของไทยมาก่อน และจะทำให้มีกลไกในการยับยั้งและคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่จะถูกทรมานและอุ้มหาย เธอเชื่อว่าจะเป็นการปรามและทำให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้ลดลง รวมถึงมีมาตรการเยียวยาเหยื่อที่ถูกกระทำซึ่งมีอยู่ในกฎหมาย และก่อนหน้านี้ไม่มีการพูดถึง

 

“กสม. ไม่ใช่ศาล แต่เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสนอแนะมาตรการแนวทางแก้ไขการละเมิด ตลอดจนการเยียวยาไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อรัฐบาล และรัฐสภา ดังนั้น เราถึงต้องสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่า ต่อไปนี้ถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่านออกมา เจ้าหน้าที่รัฐรวมทั้งผู้บังคับบัญชาที่สั่งการให้มีการทรมานอุ้มหาย จะต้องเป็นการกระทำความผิดและมีโทษตามกฎหมายชัดเจน”

 

ส่วนพรเพ็ญก็บอกว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีหลังมีกฎหมายฉบับนี้ได้แก่ ความชื่นชมจากประชาคมระหว่างประเทศ เพราะเรื่องนี้ถูกติดตามมาโดยตลอดตั้งแต่การหายตัวไปของสมชาย นีละไพจิตร กระทั่งมีกรณีของผู้สูญหายรายอื่น อย่างบิลลี่ พอละจี หรือวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ประการต่อมาคือ การสร้างมาตรฐานทางกฎหมายที่เข้มแข็งว่าการทรมานเป็นอาชญากรรม จะมีการเยียวยาเหยื่อจากการอุ้มหาย และผู้กระทำผิดจะได้รับการลงโทษ

 

​​และภัทรานิษฐ์ระบุว่า สามารถกล่าวได้ว่าประเทศไทยยังไม่มีระบบกฎหมาย/แนวทางการบริหารงานที่คุ้มครองสิทธิของผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหายจากการทรมานหรือบังคับสูญหายอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดคือ การเร่งอนุวัติการตามอนุสัญญาทั้งสองฉบับที่กำหนดทั้งอำนาจและหน้าที่ของรัฐ ตลอดทั้งสิทธิของผู้เสียหายและครอบครัวผู้เสียหายในการเข้าถึงความเป็นธรรม-กระบวนการยุติธรรมได้

 

“กสม. ขณะนี้ก็ไม่มีอำนาจในการฟ้องคดีแทนผู้เสียหาย มีเพียงอำนาจในการตรวจสอบคำร้องเท่านั้น และเราทราบว่าคำร้องเกี่ยวกับการทรมานและอุ้มหายถูกปิดลงจำนวนมาก เนื่องจากไม่สามารถเสาะหาหรือขอความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ ส่วนตัวคณะกรรมการ (จัดการเรื่องจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ) เอง เป็นเพียงหน่วยเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาช่วงระยะเปลี่ยนผ่านหรือระหว่างรอการอนุวัติการตามอนุสัญญาทั้งสองฉบับเท่านั้น ดังนั้น จึงแทบไม่มีมาตรการป้องกัน เช่น ตรวจสอบการควบคุมตัว เรียกให้เจ้าหน้าที่รายงานข้อมูลผู้ที่ควบคุมตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกระบวนการเยียวยาก็ยังล่าช้า และที่สำคัญที่สุดคือ การทรมานและบังคับสูญหายยังไม่เป็นความผิดทางอาญา จึงไม่สามารถเริ่มต้นการสอบสวนและดำเนินคดีในชั้นศาลได้ด้วยเหตุดังกล่าว ซึ่งเรามองว่ามันควรแยกจากความผิดอาญาอื่นที่มีฐานความผิดใกล้เคียงกัน ผู้เสียหายจากการกระทำทั้งสองนี้จึงถูกบังคับให้อยู่นอกการคุ้มครองของกฎหมายอย่างสิ้นเชิง” เธอระบุ

 

ชัดเจนว่าการซ้อมทรมาน (และอุ้มหาย) ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย และการปฏิรูปตำรวจหรือความพยายามผลักดันร่างกฎหมายเพื่อลดปัญหาดังกล่าวเข้าสู่สภาที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราหยิบยกขึ้นมานำเสนอ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ถูกพูดถึงมานาน เช่น กองทัพ หรือกระบวนการยุติธรรม และยังคงเป็นคำถามต่อไปว่า พัฒนาการสิทธิมนุษยชนในไทยจะเดินหน้าอย่างไร

The post กางสถิติ ‘ซ้อมทรมาน’ ผ่านเรื่องร้องเรียน ปฏิรูปตำรวจ-พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ช่วยได้แค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
โละองค์กรอิสระ – ยกเลิก ส.ว. 250 คน – ร่าง รธน. ใหม่ ข้อเรียกร้องจากที่ชุมนุม #ปทุมธานีไม่ปรานีเผด็จการ https://thestandard.co/pathum-thani-political-rally/ Thu, 23 Jul 2020 14:23:09 +0000 https://thestandard.co/?p=382786

ช่วงเย็นวันนี้ (23 กรกฎาคม) เวลาประมาณ 17.00 น. บริเวณท […]

The post โละองค์กรอิสระ – ยกเลิก ส.ว. 250 คน – ร่าง รธน. ใหม่ ข้อเรียกร้องจากที่ชุมนุม #ปทุมธานีไม่ปรานีเผด็จการ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ช่วงเย็นวันนี้ (23 กรกฎาคม) เวลาประมาณ 17.00 น. บริเวณท่ารถต่างจังหวัด ตรงข้ามฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต มีการจัดกิจกรรมชุมนุมในชื่อ #ปทุมธานีไม่ปรานีเผด็จการ เป็นการร่วมกันของ 3 สถาบัน ได้แก่ ภาคีนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ, กลุ่มรังสิตพะเยาเก๋า ของนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต และเครือข่ายราชมงคล 

 

สำหรับบรรยากาศโดยรวมพบว่ามีนักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 100 คน ส่วนรูปแบบของกิจกรรมเป็นการจัดให้มีตัวแทนจากกลุ่มนักศึกษาขึ้นมาพูดปราศรัย โดยหลักๆ จะเน้นไปที่การวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสดงดนตรี ร้องเพลงแรป ควบคู่ไปกับบรรยากาศการชูป้ายพร้อมข้อความต่างๆ ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเช่นกัน

 

ทั้งนี้ผู้ชุมนุมยังได้ประกาศข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล 3 ประการ ประกอบด้วย 

  1. ยกเลิกองค์กรอิสระต่างๆ ที่นำไปสู่ปัญหาบ้านเมืองหรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ
  2. ยกเลิกการมีอยู่ของ ส.ว. 250 คน ที่มองว่าไม่ได้ยึดโยงกับการมีอยู่ของประชาชน และสร้างความไม่ชอบธรรมในระบบการเมือง
  3. ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากเสียงของประชาชน

 

 

The post โละองค์กรอิสระ – ยกเลิก ส.ว. 250 คน – ร่าง รธน. ใหม่ ข้อเรียกร้องจากที่ชุมนุม #ปทุมธานีไม่ปรานีเผด็จการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินเดือนข้าราชการยุค คสช. จ่ายเพิ่มเท่าไร ใครกระเป๋าตุง https://thestandard.co/government-officer-in-ncpo-salary/ https://thestandard.co/government-officer-in-ncpo-salary/#respond Fri, 28 Sep 2018 15:19:17 +0000 https://thestandard.co/?p=125787

เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป รวมทั้งค่าค […]

The post เงินเดือนข้าราชการยุค คสช. จ่ายเพิ่มเท่าไร ใครกระเป๋าตุง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่านการพิจารณากฎหมายให้ปรับเพิ่มเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระแล้วเมื่อวานนี้

 

ขณะเดียวกันตลอด 4 ปีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งสวมหมวก 2 ใบ เป็นรัฐบาลด้วย ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเป็นงบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐสูงขึ้นทุกปี สวนทางกับธนาคารโลกที่ประเมินประสิทธิภาพราชการไทยปี 2557 อยู่ที่ 65.38 ส่วนปี 2560 อยู่ที่ 66.83 เพิ่มเพียง 1.45 จากคะแนนเต็ม 100

 

ลองไปย้อนดูว่ารัฐราชการมั่งคั่งแค่ไหน เมื่อเทียบกับรายได้ภาคแรงงานของประชาชน

 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn R.

The post เงินเดือนข้าราชการยุค คสช. จ่ายเพิ่มเท่าไร ใครกระเป๋าตุง appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/government-officer-in-ncpo-salary/feed/ 0