หุ้น – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 27 Apr 2024 07:08:26 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.1 สรุปผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2024 ของหุ้นกลุ่ม EV ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือด https://thestandard.co/q1-2024-ev-stocks/ Sat, 27 Apr 2024 07:08:26 +0000 https://thestandard.co/?p=927403 รถยนต์ไฟฟ้า

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือด รวมถ […]

The post สรุปผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2024 ของหุ้นกลุ่ม EV ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือด appeared first on THE STANDARD.

]]>
รถยนต์ไฟฟ้า

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือด รวมถึงความท้าทายในระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของ EV ที่ชะลอตัวลง, การแข่งขันจากแบรนด์จีนที่ต้องการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง Tesla ของอีลอน มัสก์ ได้รายงานรายได้ที่ลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทุกบริษัทที่กำลังประสบปัญหา เพราะบางบริษัทมียอดขายจาก EV ที่ช่วยดันรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2024 ได้อย่างสวยงาม

 

Tesla ทำรายได้ลดลงมากที่สุดในรอบ 12 ปี

 

บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของมัสก์รายงานผลประกอบการรายไตรมาส 1 ปี 2024 มีรายได้ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และนี่ถือเป็นรายได้ที่ลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 รายได้ที่อ่อนแอของ Tesla มาจากความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในทะเลแดง, การโจมตีด้วยการวางเพลิงที่ Gigafactory ในกรุงเบอร์ลิน, ต้นทุนการผลิต และความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

 

ผลประกอบการของ Tesla ยังออกมาแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยรายงานรายได้ 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก หรือประมาณ 45 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 2.21 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 51 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขนี้ยังแย่กว่าการคาดการณ์ และลดลงมากกว่า 50% จากปีที่แล้ว

 

ทั้งนี้ Tesla รายงานยอดส่งมอบรถทั่วโลก 386,810 คันในไตรมาสแรก ต่ำกว่าประมาณการอย่างมากที่ 449,080 คัน และบริษัทยังผลิตรถยนต์ได้ 433,371 คัน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่ 452,976 คันเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างรถยนต์ประมาณ 46,500 คันที่ผลิตเทียบกับยอดขาย ทำให้เกิดความกังวลว่าความต้องการรถยนต์ Tesla ทั่วโลกลดลง นำไปสู่การลดราคาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 เมษายน) Tesla ประกาศลดราคารถยนต์ในสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงระหว่างวันหลังจากที่รับรู้ข่าว

 

หุ้น Tesla ร่วง 42% นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา

 

ราคาหุ้นของ Tesla (TSLA) ลดลงเกือบ 42% นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีผลงานย่ำแย่ที่สุดใน S&P 500 ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2024 อย่างไรก็ตาม มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tesla เปิดเผยข่าวในงานประกาศผลประกอบการว่า บริษัทจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ราคาถูกกว่าภายในต้นปีหน้า ข่าวดีนี้ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการของวันที่ประกาศ

 

ยอดขายรถ EV ของ Ford ช่วยดันรายได้ไตรมาสแรกของบริษัท

 

ด้านบริษัทยานยนต์เก่าแก่อย่าง Ford รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24 เมษายน) ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยยอดขาย EV เพิ่มขึ้น 86% เป็น 20,233 คัน ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2024

 

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นของ Ford มียอดขายเพิ่มขึ้น 2 หรือ 3 หลักเลยทีเดียว

 

F-150 Lightning ยังคงเป็นรถกระบะไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐฯ โดยมียอดขาย 7,743 คัน เพิ่มขึ้น 80% จากปีที่แล้ว ขณะที่ Mustang Mach-E ของ Ford เป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ โดยมียอดส่งมอบ 9,589 คัน เพิ่มขึ้น 77% จากไตรมาส 1 ปี 2023 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง รายได้ (Revenue) รถยนต์ EV ของ Ford ลดลงมากถึง 84% ในไตรมาส 1 ปี 2024

 

BMW ขายรถ EV ครบ 1 ล้านคัน

 

ขณะที่ BMW Group ยังคงมีรายได้ที่เติบโตอย่างสวยงาม และทำสถิติการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบครบ 1 ล้านคัน นับตั้งแต่เปิดตัว BMW i3 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกสู่ตลาดในปี 2013

 

บริษัทแม่ BMW ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า BMW, MINI และ Rolls-Royce จำนวน 82,700 คันในช่วง 3 เดือนแรกของปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 28% จากปีที่แล้ว และมากพอที่จะแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์หรูที่เป็นคู่แข่งกัน ขณะที่ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 584,671 คันในไตรมาส 1 (+1.1%) แต่รถยนต์ไฟฟ้าของ BMW เป็นปัจจัยหลักของการเติบโตครั้งนี้ โดยแบรนด์ BMW ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 78,691 คันในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้น 40.6% จากปีที่แล้ว โดยรถยนต์รุ่น iX3, iX1, iX และ i7 เป็นที่ต้องการเป็นพิเศษ

 

อ้างอิง:

The post สรุปผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2024 ของหุ้นกลุ่ม EV ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ทำไมวัย 20 คือช่วงที่ดีที่สุดในการลงทุน l NEW GEN INVESTOR EP.1 https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-1/ Sat, 27 Apr 2024 03:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=927257 ลงทุน วัย 20

ทำไมทุกคนควรเริ่มลงทุนตั้งแต่วัย 20?   ในความเป็นจ […]

The post ชมคลิป: ทำไมวัย 20 คือช่วงที่ดีที่สุดในการลงทุน l NEW GEN INVESTOR EP.1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลงทุน วัย 20

ทำไมทุกคนควรเริ่มลงทุนตั้งแต่วัย 20?

 

ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุน ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ แม้หลายคนอาจจะยังไม่ได้มีเงินทุนมากมาย แต่การลงทุนเป็นเรื่องของทักษะที่สามารถพัฒนาผ่านประสบการณ์และการฝึกฝน

 

และที่สำคัญคือ ‘พลังของดอกเบี้ยทบต้น’ ที่จะช่วยให้เงินของเรางอกเงยอย่างก้าวกระโดด หากเรามีวิธีการที่ถูกต้อง New Gen Investor Ep.นี้ อยากพาทุกคนเข้าสู่โลกของการลงทุน ทักษะสุดสำคัญที่หลายคนอาจจะลืมนึกถึง

 

หรือแม้แต่ใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาแล้ว แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก และกำลังมองหาแนวทางที่จะเติบโตอย่างมั่นคง

The post ชมคลิป: ทำไมวัย 20 คือช่วงที่ดีที่สุดในการลงทุน l NEW GEN INVESTOR EP.1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รื้อเกณฑ์ครั้งใหญ่ คุมเข้ม ‘ขายชอร์ต-ลากหุ้น’ https://thestandard.co/bot-revamp-criterion/ Fri, 26 Apr 2024 02:20:39 +0000 https://thestandard.co/?p=926853 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ท่ามกลางความผันผวนของภาวะตลาดหุ้นโลก ซึ่งส่งผลต่อมายังต […]

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ รื้อเกณฑ์ครั้งใหญ่ คุมเข้ม ‘ขายชอร์ต-ลากหุ้น’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ท่ามกลางความผันผวนของภาวะตลาดหุ้นโลก ซึ่งส่งผลต่อมายังตลาดหุ้นไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นที่ลดลงของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยในภาวะที่ตลาดซบเซา และปัญหาบางส่วนที่เกิดขึ้นในตลาดทุน นำมาสู่การยกระดับการกำกับดูแลครั้งใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมในหลายมิติ

 

จากการแถลงล่าสุดของ รองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและหัวหน้ากลุ่มงานเลขานุการองค์กรและกำกับองค์กร ในฐานะโฆษกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ระบุถึงเป้าหมายของการปรับเกณฑ์ในครั้งนี้ว่า ต้องการยกระดับความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนผ่านมาตรการ 3 กลุ่ม ได้แก่

 

  1. การลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหลักทรัพย์ 
  2. การกำกับดูแลพฤติกรรมซื้อ-ขายที่ไม่เหมาะสม
  3. การเพิ่มความคุ้มครองผู้ลงทุน 

 

สำหรับกลุ่มแรก หนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้ความผันผวนในตลาดลดลงคือ การปรับเกณฑ์การขาย Short หุ้น โดยจะเปลี่ยนจาก Zero Plus Tick Rule มาเป็น Uptick Rule หมายความว่า นักลงทุนที่จะทำการขาย Short หุ้นต้องใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อ-ขายครั้งสุดท้าย แทนที่เกณฑ์เดิมที่นักลงทุนสามารถขาย Short ได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า 

 

นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมที่จะปรับเงื่อนไขของหุ้นที่สามารถขาย Short ได้ ที่อยู่นอก SET100 จะต้องมีมาร์เก็ตแคปไม่ต่ำกว่า 7,500 ล้านบาท และมีปริมาณซื้อ-ขายหมุนเวียน (Turnover Ratio) เฉลี่ย 12 เดือนไม่ต่ำกว่า 2% โดยเกณฑ์เหล่านี้คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ช่วงปลายไตรมาสที่ 2

 

ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังอยู่ระหว่างการจัดให้มี Central Platform เพื่อให้สมาชิกใช้ตรวจสอบ Availability ของหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนก่อนขาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Naked Short, การเพิ่ม Circuit Breaker ในหุ้นรายตัว ซึ่งอยู่ระหว่างการกำหนดรายละเอียด รวมทั้งการยกระดับมาตรการกำกับการซื้อ-ขายในหุ้นที่มีความร้อนแรงสูง โดยกำหนดวิธีการซื้อ-ขายแบบ Auction สำหรับหุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อ-ขายระดับ 2 

 

ส่วนกลุ่มที่ 2 มาตรการที่จะปรับนั้นครอบคลุมหลายส่วน เช่น เพิ่มการสั่งพักการซื้อ-ขายอัตโนมัติ (Auto Halt) สำหรับหุ้นรายตัว, การกำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งก่อนที่จะสามารถยกเลิก / แก้ไข คำสั่งได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใส่และถอนคำสั่งเข้าออกที่ถี่จนเกินไป รวมทั้งการให้สมาชิกและลูกค้าที่เทรดแบบ High Frequency Trading (PT ที่สร้างและส่งคำสั่งซื้อ-ขายที่ SET Co-location) ต้องยื่นคำขอและ Filing ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมแก่สมาชิกทุกราย และมีระบบกลางในการคัดกรองคำสั่งซื้อ-ขายที่ไม่เหมาะสม 

 

ส่วนกลุ่มที่ 3 สิ่งที่ดำเนินการไปแล้วคือการเปิดเผยรายงานสถานะ Short ที่คงค้างอยู่ของหุ้นแต่ละตัวเป็นรายวัน นอกจากนี้จะปรับเพิ่มบทระวางโทษสมาชิกที่ทำผิดให้สูงขึ้น 3 เท่า และเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลการถือ NVDR สูงสุด 10 รายแรก และผู้ถือตั้งแต่ 0.5%

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า การปรับเกณฑ์ในครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับมาใช้ Uptick Rule สำหรับหุ้นทุกตัวเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย และจะช่วยให้ความผันผวนในตลาดหุ้นไทยลดลง โดยเฉพาะในทิศทางขาลง 

 

ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดคือ การขาย Short เพื่อเก็งกำไรระหว่างวันจะทำได้ยากขึ้น ทำให้นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์การขาย Short เป็นหลักน่าจะได้รับผลกระทบ 

 

“โดยภาพรวมเชื่อว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น และการเพิ่มเกณฑ์มูลค่าหุ้นขั้นต่ำที่ขาย Short ได้เป็นไม่ต่ำกว่า 7,500 ล้านบาทจะทำให้หุ้นขนาดเล็กมีความเสี่ยงลดลง”

 

ในมุมของตลาดหลักทรัพย์ฯ รองรักษ์กล่าวว่า มาตรการต่างๆ ที่จะออกมานี้เพื่อที่จะยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่น (Trust & Confidence) ให้แก่ผู้ลงทุน

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ รื้อเกณฑ์ครั้งใหญ่ คุมเข้ม ‘ขายชอร์ต-ลากหุ้น’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่งงบไตรมาสแรกของหุ้นเทคเบื้องต้น กลุ่มอิง AI สัญญาณดี หลังคู่ค้า NVIDIA พลิกมีกำไร ส่วน Meta เร่งเพิ่มการลงทุน https://thestandard.co/tech-stock-ai-nvidia-meta/ Thu, 25 Apr 2024 11:35:31 +0000 https://thestandard.co/?p=926756 AI

ในช่วงเดือนเมษายนนี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาการประกาศผลประกอ […]

The post ส่งงบไตรมาสแรกของหุ้นเทคเบื้องต้น กลุ่มอิง AI สัญญาณดี หลังคู่ค้า NVIDIA พลิกมีกำไร ส่วน Meta เร่งเพิ่มการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI

ในช่วงเดือนเมษายนนี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2024 ของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งทั่วโลก ทีมงาน THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมงบของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่ประกาศออกมาแล้วให้ได้ติดตามกันว่าจะรุ่งหรือร่วงกันแน่

 

ในฝั่งของ SK hynix บริษัทผลิตชิปแบบความจำ (Memory Chip) เบอร์ 2 ของโลก ซึ่งเป็นคู่ค้าของ NVIDIA รายงานรายได้อยู่ที่ 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 114% กำไรอยู่ที่ราว 1.39 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) ตามกระแส AI ที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีแผนขยายโรงงานได้ในปีนี้เพิ่มอีกเช่นกัน

 

ทั้งนี้ กำไรที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ถือเป็นการพลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งของ hynix หลังจากขาดทุนสุทธิมาต่อเนื่อง 5 ไตรมาสติดต่อกัน และเพื่อรองรับความต้องการในฝั่งเทคโนโลยี AI บริษัทมีแผนจะสร้างโรงงานใหม่ในเกาหลีใต้เพิ่มเติม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนพฤศจิกายน ปี 2025 ใช้เงินลงทุนราว 20 ล้านล้านวอน 

 

ส่วน Meta (เดิมคือ Facebook) ได้ประกาศรายได้ของไตรมาส 1 ว่าทำได้ราว 3.65 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.30 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อนหน้า (YoY) และทำกำไรได้ 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.50 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นราว 117% จากปีก่อนหน้า 

 

แต่ทั้งนี้ รายได้ของ Meta ก็ยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และมีการเพิ่มเงินลงทุนใน AI (Artificial Intelligence) มากกว่าที่ตลาดคาดว่ามีโอกาสแตะ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ – 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท – 1.4 ล้านล้านบาท) จึงทำให้ราคาหุ้นถูกเทขายลงไปกว่า 15%

 

ในวันเดียวกัน (24 เมษายน) Tesla ประกาศรายได้ออกมาที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.7 แสนล้านบาท) น้อยลงกว่าปีก่อน 9% (YoY) ในขณะที่กำไรอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท) คิดเป็นการปรับตัวลง 55% จากปีก่อนหน้า จากแนวโน้มการแข่งขันของตลาด EV ที่เข้มข้นขึ้น จึงต้องมีการลดราคา

 

ในขณะที่ Alphabet (Google) ที่แม้จะกำลังเผชิญกับความปั่นป่วนภายในบริษัทจากการประท้วงของพนักงานจนมีการไล่ออกไป 28 คน และการแข่งขันทางด้าน AI ที่ดุเดือดขึ้น จะประกาศงบภายในวันศุกร์นี้ (26 เมษายน) โดยนักวิเคราะห์ก็ประเมินว่า รายได้ของ Alphabet มีโอกาสปรับตัวขึ้นมาราว 13% ในไตรมาส 1 นี้

 

นักวิเคราะห์ประเมินว่า รายได้ของ Microsoft มีโอกาสปรับตัวขึ้น 15% ในไตรมาส 1 นี้ ก่อนที่จะชะลอตัวลงกว่านี้ในอีก 3 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่ง Microsoft เองก็มีการลงทุนในด้าน AI อย่างต่อเนื่องอีกหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งใน Anthropic, Mistral, Figure และ Humane ในขณะที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นราว 6.8% นับจากต้นปี ดันมูลค่าบริษัทแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้า Apple ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งจะประกาศงบในวันศุกร์ที่ 26 เมษายนนี้

 

อ้างอิง: 

The post ส่งงบไตรมาสแรกของหุ้นเทคเบื้องต้น กลุ่มอิง AI สัญญาณดี หลังคู่ค้า NVIDIA พลิกมีกำไร ส่วน Meta เร่งเพิ่มการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ต่างชาติเทขายหุ้นไทยวันเดียว 6.3 พันล้านบาท กดดัชนีปิดร่วงเฉียด 30 จุด https://thestandard.co/foreigners-sell-thai-stocks-17042024/ Wed, 17 Apr 2024 11:42:43 +0000 https://thestandard.co/?p=923747

วันนี้ (17 เมษายน) หุ้นไทย (SET) ปิดตลาดร่วง 29.44 จุด […]

The post ต่างชาติเทขายหุ้นไทยวันเดียว 6.3 พันล้านบาท กดดัชนีปิดร่วงเฉียด 30 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (17 เมษายน) หุ้นไทย (SET) ปิดตลาดร่วง 29.44 จุด -2.11% จากวันทำการก่อนหน้า โดยแรงขายที่เกิดขึ้นมาจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 6.39 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 6.80 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 623 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 217 ล้านบาท

 

การขายสุทธิของต่างชาติถือเป็นการขายต่อเนื่อง 2 วันทำการติดต่อกัน หลังจากที่ขายสุทธิ 1.81 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา สวนทางกับ 3 วันก่อนหน้านั้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องราว 1 หมื่นล้านบาท

 

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุว่า หุ้นไทยเปิดทำการหลังผ่านช่วงวันหยุดสงกรานต์ลดลงกว่า 2% สะท้อนปัจจัยหลัก 3 ประเด็น ได้แก่

 

  1. ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ อิสราเอล-อิหร่าน
  2. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง สนับสนุนสุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่าการลดดอกเบี้ยอาจจะเกิด 1-2 ครั้ง ทำให้ตลาดกังวลว่า Fed อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนานกว่าที่คาดการณ์
  3. การขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่วันนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)

 

อย่างไรก็ดี หุ้นอย่าง บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในวันนี้กว่า 4.1 พันล้านบาท ราคาปรับตัวขึ้นได้ราว 3.8% สวนทางกับหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่ม SET50 หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากความกังวลต่อความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล

The post ต่างชาติเทขายหุ้นไทยวันเดียว 6.3 พันล้านบาท กดดัชนีปิดร่วงเฉียด 30 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นไทยดิ่ง 30 จุด ต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากความเสี่ยงภายนอก ‘สงคราม-เงินเฟ้อ’ https://thestandard.co/thai-stocks-plunge-30-points-lowest-in-6-weeks/ Wed, 17 Apr 2024 07:25:16 +0000 https://thestandard.co/?p=923629

ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ร่วงลงกว่า 30 จุด ในช่วงครึ่งวัน […]

The post หุ้นไทยดิ่ง 30 จุด ต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากความเสี่ยงภายนอก ‘สงคราม-เงินเฟ้อ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ร่วงลงกว่า 30 จุด ในช่วงครึ่งวันทำการแรก แตะระดับ 1,363.44 จุด หรือลดลง 32.94 จุด จากวันทำการก่อนหน้า ทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ และถือเป็นวันที่ดัชนีหุ้นไทยติดลบมากที่สุดตั้งแต่เข้าสู่ปี 2567 และครั้งสุดท้ายที่หุ้นไทยติดลบถึง 30 จุดในหนึ่งวัน ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม 2566 

 

กลุ่มหุ้นที่กดดันดัชนีมากที่สุดในวันนี้ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์, อิเล็กทรอนิกส์, พาณิชย์ และพลังงาน โดยหุ้นที่กดดันดัชนีมากที่สุดคือ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA รองลงมาคือ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB 

 

สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า แรงกดดันสำคัญต่อหุ้นไทยมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งจากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นแตะ 4.35% ทำให้ผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยง (Equity Risk Premium) ติดลบ และต่ำสุดในรอบ 22 ปี หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาดี ทำให้นักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะชะลอออกไปเป็นเดือนกรกฎาคม และจำนวนครั้งของการลดจะลดลงเหลือ 2 ครั้งในปีนี้ 

 

อีกปัจจัยลบที่เข้ามาคือความเสี่ยงสงคราม จากความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจยืดเยื้อไปจนถึงช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 

 

“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมัน และส่งผลทางอ้อมต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ทองแดง โลหะ ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลไปยังเงินเฟ้อให้กลับมาสูงขึ้น” 

 

ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยเดือนเมษายนปีนี้ พุ่งขึ้นเหนือ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าปีก่อนราว 7.7%

 

สรพลกล่าวต่อว่า จากความเสี่ยงดังกล่าวทำให้หุ้นไทยมีโอกาสจะร่วงลงต่ำกว่าแนวรับเดิมที่บริเวณ 1,355 จุด ไปหาแนวรับถัดไปบริเวณ 1,310-1,330 จุด ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 ปีครึ่ง

 

อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศเริ่มเป็นบวกมากขึ้น ทั้งจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ การท่องเที่ยว และการส่งออก 

 

เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แนะนำนักลงทุนโฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาสแรกน่าจะออกมาดี เช่น ADVANC, MINT, AAI หรือหุ้นที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะสงคราม เช่น PTTEP และ BH รวมทั้งหุ้นที่อาจได้ประโยชน์จาก Entertainment Complex เช่น VGI และ OSP

 

The post หุ้นไทยดิ่ง 30 จุด ต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากความเสี่ยงภายนอก ‘สงคราม-เงินเฟ้อ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: จับตา ‘เลือกตั้งสหรัฐฯ’ จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ-การลงทุนโลก | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-11042024-2/ Thu, 11 Apr 2024 07:00:27 +0000 https://thestandard.co/?p=921886 จับตา เลือกตั้งสหรัฐฯ

จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ-การลงทุนโลก พูด […]

The post ชมคลิป: จับตา ‘เลือกตั้งสหรัฐฯ’ จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ-การลงทุนโลก | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา เลือกตั้งสหรัฐฯ

จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ-การลงทุนโลก พูดคุยกับ มทินา วัชรวราทร, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย

 

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดอ่านหนังสือชี้ชวนและศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: จับตา ‘เลือกตั้งสหรัฐฯ’ จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจ-การลงทุนโลก | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น ‘นีโอ คอร์ปอเรท’ เทรด SET สองวัน เดินหน้าบวกกว่า 21% จากราคา IPO ระบุส่งออกไปเมียนมา แต่เชื่อหากเหตุการณ์สงบยังทำธุรกิจได้ปกติ https://thestandard.co/neo-corporate-09042024/ Wed, 10 Apr 2024 04:48:18 +0000 https://thestandard.co/?p=921412 Neo Corporate

วานนี้ (9 เมษายน) หุ้น บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท หรือ NEO เข้า […]

The post หุ้น ‘นีโอ คอร์ปอเรท’ เทรด SET สองวัน เดินหน้าบวกกว่า 21% จากราคา IPO ระบุส่งออกไปเมียนมา แต่เชื่อหากเหตุการณ์สงบยังทำธุรกิจได้ปกติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Neo Corporate

วานนี้ (9 เมษายน) หุ้น บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท หรือ NEO เข้าเทรดเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดการซื้อขายที่ 48 บาท บวก 9 บาท หรือ 23.08% โดยระหว่างการซื้อขายขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 48.50 บาท บวก 9.50 บาท หรือ 24.36% ส่วนราคาต่ำสุดลงไปแตะระดับ 42.75 บาท บวก 3.75 บาท หรือ 9.62% ก่อนจะมาปิดการซื้อขายที่ 46.25 บาท บวก 7.25 บาท หรือ 18.59% จากราคา IPO ที่หุ้นละ 39 บาท

 

ล่าสุดวันนี้ (10 เมษายน) หุ้น NEO ซื้อขายเป็นวันที่สอง ราคาหุ้นยังสามารถบวกเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยเปิดการซื้อขายวันนี้ที่ 46.75 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.08% โดยระหว่างการซื้อขายบวกขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 47.25 บาท บวก 1 บาท หรือ 2.16% จากราคาปิดวันก่อนหน้า ส่งผลให้หลังเข้าซื้อขายสองวันทำการ หากเปรียบเทียบที่ระดับราคาสูงสุดของหุ้น NEO วันนี้บวกไปมากกว่า 21% จากราคา IPO ที่ 39 บาท

 

ด้าน ปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท กล่าวว่า ตลาดต่างประเทศถือเป็นตลาดสำคัญที่บริษัทเน้นขยายการเติบโต โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปตลาดต่างประเทศประมาณ 15% ของรายได้รวม โดยในช่วง 3-5 ปี ตั้งเป้าหมายรายได้จากการส่งออกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ของรายได้รวม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่เป็นตลาดหลักของบริษัท ได้แก่ ประเทศกัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม 

 

สำหรับกรณีสถานการณ์สู้รบที่เกิดในเมียนมาในขณะนี้ ปัจจุบันเมียนมามีสัดส่วนประมาณ 5% โดยในปี 2566 ตลาดในเมียนมาเริ่มลดความร้อนแรงลงบ้าง ซึ่งมาจากปัญหาการสู้รบภายในที่มีผลกระทบต่อการจัดจำหน่าย แต่หากการสู้รบสงบลง เชื่อว่าจะสามารถจำหน่ายสินค้าได้ปกติ ทั้งนี้ การเข้าไปดำเนินธุรกิจขายสินค้าในเมียนมา บริษัทไม่ได้เข้าไปด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายให้เป็นตัวแทนขายสินค้าในเมียนมาแทน


“จริงๆ ธุรกิจเราขยายต่อเนื่อง ตลาด Domestic ก็กำลังเติบโตเยอะมาก ส่วนตลาดเมียนมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้เยอะมากในพอร์ตส่งออกของบริษัท หรือมีสัดส่วนประมาณ 5% ของพอร์ต” ปัทมากล่าว

 

ทั้งนี้ NEO ประกอบธุรกิจทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภค ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งหมด 8 แบรนด์ ได้แก่ ไฟน์ไลน์ (Fineline), ดีนี่ (D-nee), บีไนซ์ (BeNice), เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense), ทรอส (TROS), วีไวต์ (Vivite), สมาร์ท (Smart) และโทมิ (TOMI) โดย NEO มุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลายในราคาที่เหมาะสม เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค

 

NEO มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวนรวม 87.5 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 78 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ จำนวน 9.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ผู้มีอุปการคุณของบริษัท นักลงทุนสถาบัน และบุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ในระหว่างวันที่ 28-29 มีนาคม และ 1-2 เมษายน 2567 ในราคาหุ้นละ 39 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,042 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,700 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น IPO 

 

ด้าน สุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท กล่าวว่า บริษัทวางแผนขยายการลงทุนในปี 2567-2570 คาดว่าใช้เงินลงทุน 6,530 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก เพิ่มกำลังการผลิต 163,200 ตันต่อปี, โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลสำหรับเด็ก เพิ่มกำลังการผลิต 18,100 ตันต่อปี และโครงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และระบบบริหารจัดการคลัง เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ 18,200 พาเลต โดยทั้งสามโครงการจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวมของบริษัทเป็นประมาณ 416,082 ตันต่อปี และจำนวนพาเลตสำหรับคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์เป็นประมาณ 29,620 พาเลตในปี 2570

The post หุ้น ‘นีโอ คอร์ปอเรท’ เทรด SET สองวัน เดินหน้าบวกกว่า 21% จากราคา IPO ระบุส่งออกไปเมียนมา แต่เชื่อหากเหตุการณ์สงบยังทำธุรกิจได้ปกติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ขายหุ้นเกือบ 2 แสนหุ้น รับเงินเข้ากระเป๋าหลังหักภาษีกว่า 570 ล้านบาท https://thestandard.co/tim-cook-sells-200k-shares/ Sat, 06 Apr 2024 08:05:08 +0000 https://thestandard.co/?p=920286 ทิม คุก ขายหุ้น Apple

ทิม คุก ซีอีโอของ Apple เพิ่งขายหุ้นของบริษัทไปเกือบ 20 […]

The post ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ขายหุ้นเกือบ 2 แสนหุ้น รับเงินเข้ากระเป๋าหลังหักภาษีกว่า 570 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทิม คุก ขายหุ้น Apple

ทิม คุก ซีอีโอของ Apple เพิ่งขายหุ้นของบริษัทไปเกือบ 200,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 32 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,100 ล้านบาท) โดยหลังหักภาษีแล้วคุกจะได้รับเงินสุทธิประมาณ 16.4 ล้านดอลลาร์ (ราว 570 ล้านบาท)

 

เอกสารที่เกี่ยวข้องได้ถูกส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) โดยมีการระบุว่าการขายหุ้นของคุกนั้นเป็นไปตามแผนซื้อขายหุ้น Rule 10b5-1 ที่เขาเคยร่างขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 ซึ่งแผนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันกรณีถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลวงในซื้อขายหลักทรัพย์

 

การขายหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงราคา 168.255-169.195 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยหุ้นที่ขายได้มาจากแผนการชดเชยตามผลงานของ Apple ซึ่งมีการมอบให้ในเดือนกันยายน ปี 2020 และปี 2021

 

หลังจากการขายหุ้นครั้งนี้ เอกสารที่ยื่นต่อ SEC ยังระบุว่าคุกยังคงถือหุ้นของ Apple อยู่เป็นจำนวน 3,280,180 หุ้น

 

ในอดีตคุกเคยประกาศว่าเขาจะมอบทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ อย่างเป็นระบบ ปัจจุบันเชื่อว่าคุกมีทรัพย์สินที่อยู่ในระดับพันล้านดอลลาร์แล้ว

 

ภาพ: Courtesy of Apple

อ้างอิง:

The post ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ขายหุ้นเกือบ 2 แสนหุ้น รับเงินเข้ากระเป๋าหลังหักภาษีกว่า 570 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นรับเหมาบวก 7% แกร่งกว่าตลาด โบรกคาดแรลลี่ต่อเนื่องก่อนชิงงบคมนาคม 1.8 แสนล้านบาท https://thestandard.co/construction-stocks/ Wed, 03 Apr 2024 12:25:44 +0000 https://thestandard.co/?p=918953 หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตั […]

The post หุ้นรับเหมาบวก 7% แกร่งกว่าตลาด โบรกคาดแรลลี่ต่อเนื่องก่อนชิงงบคมนาคม 1.8 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นเกือบ 7% สวนทางกับตลาดหุ้นไทย (SET) ที่ติดลบราว 2.5% การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างล่าสุดเป็นการฟื้นตัวหลังจากติดลบต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

 

ปี 2562 ดัชนี -22% 

ปี 2563 ดัชนี -15% 

ปี 2564 ดัชนี +35% 

ปี 2565 ดัชนี -9%

ปี 2566 ดัชนี -29% 

 

ปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมาจากความคาดหวังต่องบประมาณปี 2567 ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในไทย ร่างงบประมาณปี 2567 ผ่านมติของ สส. และ สว. ด้วยวงเงินรวม 3.48 ล้านล้านบาท บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุว่า งานด้านการก่อสร้างงบประมาณหลักจะอยู่ที่กระทรวงคมนาคม โดยได้งบประมาณในครั้งนี้อยู่ที่ 183,635.04 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์การใช้งานลงทุนในโครงการใหญ่ 14 โครงการ ทำให้บริษัทกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มจะรับรู้รายได้ผ่านการประมูลงานเพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือ (Backlog) สำหรับโครงการใหญ่ทั้ง 14 โครงการ วงเงินการลงทุน และบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมประมูล บล.คิงส์ฟอร์ดได้รวบรวมไว้ ดังนี้ 

 

 

ทั้งนี้ จากตัวเลขที่บริษัทในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้รายงานออกมาก่อนหน้านี้ บมจ.ช.การช่าง (CK) มี Backlog มากที่สุด 1.29 แสนล้านบาท, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) 9.56 หมื่นล้านบาท, บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) 5.23 หมื่นล้านบาท และ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) 3 หมื่นล้านบาท

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นรับเหมาก่อสร้างปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างโดดเด่น แม้จะมีแรงเทขายออกมาในสัปดาห์นี้

 

ช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ได้มีงานประมูลมากนัก มีเพียง 2 โครงการหลักคือ รถไฟรางคู่ขอนแก่น-หนองคาย และทางด่วนจตุโชติ-ลำลูกกา รวมมูลค่าทั้ง 2 โครงการอยู่ที่ประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท 

 

“ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณราว 1.2 แสนล้านบาท ทำให้หุ้นกลุ่มรับเหมาน่าจะถูกไล่ซื้อเพื่อเก็งกำไรขึ้นมาก่อนที่จะมีการเริ่มประมูลเกิดขึ้นจริง”

 

นอกจากนี้ การแข่งขันในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างไทยน่าจะลดความรุนแรงลง หลังจากที่ปริมาณงานออกมามากขึ้น ขณะที่การตัดราคาในอุตสาหกรรมเริ่มน้อยลง ทั้งนี้ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า CK เป็นหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจาก Valuation ยังต่ำที่สุดในกลุ่ม และมีความสามารถในการรับงานผ่านบริษัทลูกอย่าง BEM เพิ่มเติม และเป็นบริษัทที่มีงานในมือมากที่สุดในอุตสาหกรรม

The post หุ้นรับเหมาบวก 7% แกร่งกว่าตลาด โบรกคาดแรลลี่ต่อเนื่องก่อนชิงงบคมนาคม 1.8 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>