หุ้น – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 05 Sep 2025 07:28:47 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 หุ้นจีนกลับสู่เรดาร์นักลงทุนทั่วโลก บนตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ได้แย่อย่างที่คิด https://thestandard.co/chinese-stocks-back-on-radar/ Wed, 10 Sep 2025 02:00:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1112987 chinese-stocks

หุ้นจีนกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง ถือ […]

The post หุ้นจีนกลับสู่เรดาร์นักลงทุนทั่วโลก บนตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ได้แย่อย่างที่คิด appeared first on THE STANDARD.

]]>
chinese-stocks

หุ้นจีนกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง ถือเป็นตลาดหุ้นหลักของโลกที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี CSI 300 (ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2568) พุ่งขึ้นกว่า 8% และหากมองย้อนกลับไปตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หุ้นจีนฟื้นตัวกลับมาได้กว่า 40%  

 

แต่หนึ่งในคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การฟื้นตัวของหุ้นจีนในรอบนี้จะเป็นเพียงแค่การฟื้นตัวระยะสั้น หรือจะเป็นตลาดกระทิงครั้งใหม่  

 

ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างที่คิด

 

แน่นอนว่าเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับแรงกดดันในหลายๆ ด้าน ทั้งสงครามการค้าและการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจภายในก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ ทั้งปัญหาเงินฝืด อุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และภาคอสังหาฯ ที่ยังอ่อนแอ  และข้อมูลเศรษฐกิจจีนในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาก็กลับมาสร้างความกังวลให้กับตลาดต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

 

  • ยอดค้าปลีก ก.ค. 3.7% y/y  เป็นระดับต่ำสุดในปีนี้ และต่ำกว่าคาดที่ 4.6% และเดือน มิ.ย. ที่ 4.8%  สะท้อน Demand ในประเทศที่อ่อนแอ
  • ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว 5.7% y/y  ต่ำกว่าคาดที่ 6.0% และ เดือน มิ.ย. ที่ 6.8%  แต่ยังเป็นบวกได้ 16 เดือนติดต่อกัน ความยืดเยื้อของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รวมถึงข้อตกลงของสหรัฐฯกับประเทศอื่นๆ อาจส่งผลให้กิจกรรมภาคการผลิตชะลอตัวลงในครึ่งหลังของปี เนื่องจากมีการเร่งผลิตและส่งออกไปแล้วไปช่วงต้นปี 
  • การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคเอกชนลดลง -1.5% y/y YTD เป็นการหดตัวที่ต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 2563  จากความไม่แน่นอนของการค้าและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
  • ผลสำรวจอัตราการว่างงาน ปรับตัวขึ้นจาก 5.0% สู่ 5.2% แต่ส่วนนึงเป็นผลจากฤดูกาลจบการศึกษาทำให้มีคนหางานเพิ่มมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม UOB Privilege Banking มองว่าตัวเลขที่ชะลอตัวในเดือน ก.ค. นั้นเป็นผลกระทบจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ทั้งปัจจัยด้านฤดูกาล เช่น ความผันผวนที่รุนแรงของอากาศ (อากาศร้อนมากและน้ำท่วม) ส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้ากับสหรัฐฯ 

 

แม้ข้อมูลรายเดือนจะมีความผันผวน แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจจีนครึ่งปีแรก ยังคงแข็งแกร่งและมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่น่าสนใจ ไล่ตั้งแต่การเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่ขยายตัว 5.3% ซึ่งเป็นฐานที่แข็งแกร่งในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทั้งปีที่ตั้งเป้าไว้ 5%  โดยการเติบโตในช่วงครึ่งแรกของปีนั้นเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายใน อย่างภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มการผลิตอุปกรณ์ขยายตัว 10.2% และการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มขึ้น 9.5% สะท้อนถึงตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ และการฟื้นตัวของกิจกรรมในภาคธุรกิจ โครงการของเก่าแลกของใหม่ (Trade-in Program) ของภาครัฐยังเข้ามาช่วยหนุนการใช้จ่ายผู้บริโภค และปัจจัยภายนอกมาจากการเร่งส่งออกก่อนข้อยกเว้นภาษี 90 วันกับประเทศอื่น ๆ ยกเว้นจีนจะสิ้นสุดลง 

 

ด้านการบริโภคที่มีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยอดค้าปลีกก็ยังเติบโตได้ 5% y/y และการบริโภคขายตัวไปยังกลุ่ม e-commerce และภาคบริการซึ่งช่วยให้ภาพรวมการบริโภคยังเติบโตได้ แม้ว่าการบริโภคภาคครัวเรือนในสินค้ามูลค่าสูงและสินค้าฟุ่มเฟือยจะชะลอตัวท่ามกลางแรงกดดันเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ

 

การเติบโตที่สูงกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯที่มีทิศทางดีขึ้นกว่าช่วงแรก ทำให้ UOB Privilege Banking ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของจีนในปี 2568 ขึ้นเป็น 4.9% จากเดิมที่ 4.6%

 

หลายปัจจัยสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อจีน

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนหุ้นจีนล่าสุด คือความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ผ่อนคลายลง หลังจากเส้นตายการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ถูกเลื่อนออกไปอีก 90 วัน เป็นวันที่ 10 พ.ย. เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาข้อตกลงทางการค้า และหากทำได้สำเร็จ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 

 

ขณะที่การประชุมคณะกรรมาธิการกลางด้านการเงินและเศรษฐกิจ (CCFEA) ในเดือนกรกฎาคมได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) และสงครามราคา ซึ่งจะนำไปสู่กลไกตลาดที่มีเหตุผลมากขึ้น ช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจ

 

ด้านนโยบายการเงินยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายแบบค่อยเป็นค่อยไป คาดว่า PBoC จะลดดอกเบี้ย 7-day reverse repo , LPR 1 ปี และ LPR 5 ปี ที่ 10 bps ใน 4Q25  ส่งผลให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.30% , 2.90% และ 3.40% และอาจมีการลด RRR ลงได้อีก 50 bps เพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาดเพิ่มเติม 

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนส่วนมากมองไปในทิศทางเดียวกันคือ มูลค่าหุ้นจีนที่ยังไม่สูงนัก และนักลงทุนทั่วโลกยังมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นจีนไม่มากนัก หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา จะกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมาให้มูลค่าหุ้นจีนสูงขึ้น

 

กลยุทธ์การลงทุนหุ้นจีน 

 

UOB Privilege Banking เชื่อว่าท่ามกลางข่าวสารที่ยังไม่แน่นอนทั้งเชิงบวกและลบ นักลงทุนไม่ควรมองข้ามโอกาสในการกระจายการลงทุนในตลาดจีน โดยเฉพาะหากตลาดหุ้นจีนเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น​ จะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เพื่อการเติบโตระยะยาว

 

โดยแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นจีนผ่านกองทุนรวม ที่มีการกระจายการลงทุนแบบ All China (ทั้ง A-Shares, H-Shares และ ADRs) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่หลากหลาย ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

 

 กองทุนรวมหุ้นจีนที่น่าสนใจ

 

  • On-shore Fund สำหรับนักลงทุนทั่วไป ลงทุนเป็นสกุลเงินบาท แนะนำกองทุน UCHINA (กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ออล ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์) ลงทุนในกองทุนหลักชื่อ UBS (LUX) Equity SICAV- All China USD (Class I-A1-acc)
  • Off-shore fund สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนด้วยสกุลเงิน USD หรือต้องการลงทุนตรงที่กองทุนหลักในต่างประเทศ  แนะนำกองทุน Allianz All China Equity AT USD 

 

สำหรับท่านที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking    

 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

UOB Privilege Banking

The post หุ้นจีนกลับสู่เรดาร์นักลงทุนทั่วโลก บนตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ได้แย่อย่างที่คิด appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น STECON พุ่ง 51% ใน 11 วัน จ่อทำสถิติสูงสุดใหม่ เก็งข่าว ‘อนุทิน’ ถูกโหวตเป็นนายกฯ คนที่ 32 https://thestandard.co/stecon-stock-surges-51-11-days/ Fri, 05 Sep 2025 07:28:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1115878 หุ้น STECON

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.สเตคอน กรุ๊ป (STECON) ครึ่งว […]

The post หุ้น STECON พุ่ง 51% ใน 11 วัน จ่อทำสถิติสูงสุดใหม่ เก็งข่าว ‘อนุทิน’ ถูกโหวตเป็นนายกฯ คนที่ 32 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น STECON

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.สเตคอน กรุ๊ป (STECON) ครึ่งวันแรกของวันนี้ (5 กันยายน) พุ่งขึ้นแตะ 9.25 บาท เพิ่มขึ้น 16% จากวันทำการก่อนหน้า จ่อทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) หากราคาสามารถทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 9.70 บาท

 

STECON มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นตระกูล ‘ชาญวีรกูล’ ซึ่งเป็นตระกูลของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย

 

หุ้น STECON เกิดขึ้นมาจากการที่ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ได้จัดตั้งธุรกิจ Holding Company ภายใต้ชื่อ STECON เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกิจการ และขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรับหุ้นสามัญของ STECON เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแทน STEC ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567

 

STECON เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรกเมื่อ 29 ตุลาคม 2567 เปิดการซื้อขายที่ 9.60 บาท โดยระหว่างวันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 9.70 บาท

 

ช่วง 11 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้น STECON พุ่งขึ้นมาแล้ว 51% พร้อมกับทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 10 เดือน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น STECON ล่าสุดสูงกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์จาก 14 บริษัทที่ประเมินไว้ที่ราว 8.9 บาท ขณะที่ราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้อยู่ที่ 10 บาท 

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น STECON พุ่งขึ้นมาแรงจากเรื่องการโหวตนายกฯ ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้มีมติเลื่อนวาระดังกล่าวให้เร็วขึ้น

 

“ปัจจุบันโครงการภาครัฐในงบประมาณปี 2568 ตกเบิกอยู่ราว 5 แสนล้านบาท หากได้รัฐบาลใหม่เชื่อว่าจะมีการใช้งบประมาณผ่านโครงการภาครัฐ ทั้งจากงบประมาณปี 2568 และงบประมาณปี 2569 ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยตรง” ภาดลกล่าว 

 

แต่สำหรับหุ้น STECON ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาเร็ว แน่นอนว่ามาจากปัจจัยการเมืองเป็นหลัก ในเชิงกลยุทธ์ไม่แนะนำให้เก็งกำไรต่อเนื่อง เพราะอาจเกิดการ sell on fact เกิดขึ้นได้หลังจากทราบผลโหวตนายกฯ

 

“คิดว่านักลงทุนควรเลือกหุ้นที่จะได้ประโยชน์ในระยะกลางจากรัฐบาลชุดใหม่มากกว่า อย่างกลุ่มค้าปลีกที่จะได้แรงหนุนจากมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนชั้นกลางและฐานราก หรือกลุ่มไฟแนนซ์ที่อาจได้ประโยชน์จากมาตรการพักชำระหนี้ หรือกลุ่มโรงแรมหากมีการนำโครงการคนละครึ่งกลับมา”

 

สำหรับราคาหุ้น STECON ที่พุ่งขึ้นมาเกินราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้แล้ว หลังจากนี้ต้องติดตามพื้นฐานธุรกิจจะดีขึ้นตามมากน้อยเพียงใด ซึ่งการปรับราคาเหมาะสมขึ้นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นได้ทั้งจากมุมมองเชิงบวกที่มากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่า หรือมาจากกำไรที่ดีกว่าที่คาดไว้ เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามหลังจากนี้ 

 

ด้าน บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า บริษัทยังคงเป้าหมายปี 2568 โดยตั้งเป้ารายได้ก่อสร้างปีนี้ไว้ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 โดยมีทั้งงานภาครัฐและเอกชน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7% ขณะที่ครึ่งปีแรกทำได้ 7.5%จากการเพิ่มสัดส่วนงานภาคเอกชนที่ให้อัตรากำไรสูงกว่า

 

แนวโน้มครึ่งปีหลังนี้ รายได้จากการก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 โครงการ และโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งนี้โดยปกติรายได้ก่อสร้างในครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก

 

ทั้งนี้ งานในมือ (Backlog) ที่สูง 1.27 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ทำให้รายได้มีความมั่นคงใน 3 ปีข้างหน้า ในปีนี้ตั้งเป้าได้งานใหม่ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ได้มาแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะได้งานใหม่จากภาคเอกชนเป็นหลัก

 

The post หุ้น STECON พุ่ง 51% ใน 11 วัน จ่อทำสถิติสูงสุดใหม่ เก็งข่าว ‘อนุทิน’ ถูกโหวตเป็นนายกฯ คนที่ 32 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Zijin Gold จ่อขายหุ้นไอพีโอในตลาดฮ่องกง ระดมทุน 1.1 แสนล้านบาท ขึ้นแท่นดีลไอพีโอใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ https://thestandard.co/zijin-golds-hong-kong-ipo/ Thu, 04 Sep 2025 10:10:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1115532

Zijin Mining Group Co. บริษัทเหมืองแร่โลหะยักษ์ใหญ่ของจ […]

The post Zijin Gold จ่อขายหุ้นไอพีโอในตลาดฮ่องกง ระดมทุน 1.1 แสนล้านบาท ขึ้นแท่นดีลไอพีโอใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Zijin Mining Group Co. บริษัทเหมืองแร่โลหะยักษ์ใหญ่ของจีน กำลังวางแผนนำ Zijin Gold International Co. ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจเหมืองทองคำในต่างประเทศของบริษัท เข้าระดมทุนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

 

สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า แหล่งข่าวใกล้ชิดบริษัทคาดการณ์ว่าดีลดังกล่าวอาจมีมูลค่าสูงกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.1 แสนล้านบาท

 

หากทำได้สำเร็จ จะส่งผลให้หุ้น IPO ของ Zijin Gold กลายเป็น ดีล IPO ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ รองจากการระดมทุนมูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์ของ Contemporary Amperex Technology Co. Ltd. (CATL) ยักษ์ใหญ่ด้านแบตเตอรี่ของจีน ซึ่งเข้าจดทะเบียนในฮ่องกงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

 

ดีลยักษ์ท่ามกลางยุคทองคำเฟื่องฟู

 

แหล่งข่าวระบุว่า การพิจารณาเรื่องมูลค่าและช่วงเวลาของการทำ IPO ยังคงดำเนินอยู่และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่คาดว่าการเสนอขายหุ้นอาจเกิดขึ้นได้เร็วที่สุดภายในเดือนกันยายนนี้ โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลามเป็นพิเศษ ท่ามกลางภาวะที่ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งสูงทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง

 

ราคาทองคำได้ทะยานขึ้นราว 35% ในปีนี้ สู่ระดับ 3,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น และความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs Group Inc. คาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจไต่ระดับขึ้นไปถึง 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปีหน้า

 

กระแสความร้อนแรงของทองคำได้กระตุ้นความสนใจของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มเหมืองทองคำทั่วโลก และส่งผลให้บริษัทเหมืองทองในจีนหลายแห่งเร่งระดมทุน ซึ่งรวมถึงบริษัทแม่ Zijin Mining เอง ที่ราคาหุ้นเพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในสัปดาห์นี้ และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.9 ล้านล้านบาท

 

Zijin Gold คือใคร?

 

Zijin Mining Group เป็นบริษัทเหมืองแร่โลหะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อวัดตามมูลค่าตลาด และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตทองแดงและทองคำรายใหญ่ที่สุดของจีน บริษัทมีชื่อเสียงในด้านการขยายธุรกิจและการเข้าซื้อกิจการไปทั่วโลก

 

สำหรับ Zijin Gold International ที่กำลังจะเข้าตลาดฯ นั้น เป็นหน่วยงานที่ดูแลธุรกิจเหมืองทองคำระหว่างประเทศทั้งหมดของกลุ่ม ซึ่งมีที่ตั้งครอบคลุมตั้งแต่เอเชียกลาง, แอฟริกา ไปจนถึงละตินอเมริกา

 

เสี่ยวเฟิง หลี่ หุ้นส่วนอาวุโสของ Beijing Dentons ผู้มีประสบการณ์ให้คำปรึกษาแก่บริษัททรัพยากรธรรมชาติของจีนในดีลต่างประเทศ กล่าวว่า “Zijin ต้องการแหล่งเงินทุนนอกประเทศก้อนใหญ่ เพื่อนำไปลงทุนและขยายกำลังการผลิตในสินทรัพย์ที่พวกเขามีอยู่”

 

Zijin มีเป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มผลผลิตทองคำต่อปีให้ได้ระหว่าง 100-110 ตันภายในปี 2028 จากระดับ 73 ตันในปีที่แล้ว ซึ่ง 60% มาจากเหมืองนอกประเทศจีน โดยล่าสุดบริษัทเพิ่งเข้าซื้อเหมืองทองคำในคาซัคสถานมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อปีที่แล้วก็ได้ซื้อโครงการเหมืองทองคำ Akyem ในกานาจาก Newmont Corp. ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก

 

อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วก็ทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนรวม (Total Debt to Capital Ratio) อยู่ที่เกือบ 46% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ บริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสชาตินิยมด้านทรัพยากร (Resource Nationalism) ในประเทศต่างๆ

 

การที่ Zijin Gold เลือกเข้าจดทะเบียนในฮ่องกง ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ซึ่งกำลังมีปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการระดมทุน IPO โดยเฉพาะจากบริษัทจีน โดย Bloomberg Intelligence ประเมินว่ามูลค่าการระดมทุน IPO ทั้งหมดในฮ่องกงในปีนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า แตะระดับมากกว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ภาพ: onlyyouqj/Getty Images

อ้างอิง:

The post Zijin Gold จ่อขายหุ้นไอพีโอในตลาดฮ่องกง ระดมทุน 1.1 แสนล้านบาท ขึ้นแท่นดีลไอพีโอใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นธีม AI ใกล้ภาวะฟองสบู่ หรือยังมีโอกาสที่รออยู่? https://thestandard.co/opinion-ai-stock-bubble-opportunity/ Thu, 04 Sep 2025 05:28:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1115393

กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องหรือคาดว่าจะได้ประ […]

The post หุ้นธีม AI ใกล้ภาวะฟองสบู่ หรือยังมีโอกาสที่รออยู่? appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องหรือคาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแส AI ฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดวันที่ 8 เม.ย. 2025 ที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงจากความกังวลต่อประเด็นนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หรือ Tariffs จนมาถึงวันที่ 26 ส.ค. 2025 กลุ่ม S&P500 Information Technology ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแส AI ตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น NVIDIA, AMD, AVGO จนถึงกลางและปลายน้ำ เช่น Microsoft, Apple, Palantir ดัชนีนี้ปรับตัวขึ้นมากถึง +51% เมื่อเปรียบเทียบดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI ที่ปรับตัวขึ้นราว +28% ในช่วงเวลาเดียวกัน 

 

โดยระดับดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้กำลังอยู่ในระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ว่ามุมมองของนักวิเคราะห์ในตลาดหลายคนจะเริ่มกลับมาเป็นบวกต่อกลุ่มหุ้น AI มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี แต่นักลงทุนบางส่วนได้แสดงความกังวลต่อการปรับตัวขึ้นที่ร้อนแรงนี้ว่ากำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่หรือไม่ และฟองสบู่ลูกนี้กำลังใกล้แตกมากน้อยเพียงใด นักลงทุนชื่อดังอย่างคุณ Howard Marks ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานร่วมของ Oaktree Capital Management เตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังกับความคลั่งไคล้และการมองโลกในแง่ดีที่มากเกินไปในกลุ่มหุ้น AI ที่อาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในท้ายที่สุด

 

คำเตือนข้างต้นอาจทำให้นักลงทุนพิจารณาเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณอันตรายว่า ตลาดหุ้นจะฟองสบู่แตกและปรับตัวลงแรงในระยะเวลาอันใกล้เสมอไป 

 

ในอดีตที่ผ่านมา มีบางครั้งที่ตลาดหุ้นอาจปรับตัวขึ้นต่อได้อีกสักพักหลังจากนั้น ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนพลาดโอกาสสำคัญในการลงทุนได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เด่นชัดในอดีต คือ คำเตือนภาวะฟองสบู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีของคุณ Alan Greenspan ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน Fed ในขณะนั้น เกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 1996 แต่ตลาดหุ้นฟองสบู่แตกในเดือน มี.ค. 2000 หรือยาวนานมากกว่า 3 ปีหลัง มีคำเตือนดังกล่าว ซึ่งในช่วงเวลานั้นดัชนี S&P 500 และกลุ่ม S&P 500 Information Technology ให้ผลตอบแทนสูงถึง +87% และ 345% ตามลำดับ ดังนั้น เราควรให้น้ำหนักการประเมินโอกาสและความเสี่ยงต่อการลงทุนกลุ่มหุ้น AI จากปัจจัยพื้นฐานด้านการเติบโตและระดับมูลค่ามากกว่า

 

การประเมินผ่านการเติบโต เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการงวด Q2/25 ซึ่งรายงานไปแล้วประมาณ 90% ของจำนวนบริษัททั้งหมดในดัชนี S&P 500 ณ วันที่ 29 ส.ค. 2025 พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรม Information Technology มีสัดส่วนบริษัทที่รายงานกำไรดีกว่าคาด มากที่สุดราว 90% ของจำนวนบริษัททั้งหมด เมื่อเทียบกับภาพรวมของดัชนี S&P 500 ที่มีสัดส่วนราว 81% นอกจากนี้ อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 26 ส.ค. 2025 คาดการณ์แนวโน้มกำไรต่อหุ้นของกลุ่ม Information Technology จะเติบโตสูงกว่าดัชนี S&P 500  ทั้งในงวด Q3/25  (+35% YoY vs +12% YoY) และ Q4/25 (+50% YoY vs +10% YoY)  

 

หากพิจารณาลงลึกไปในกลุ่ม Big Tech จะพบว่าอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นและดีกว่าตลาดคาดนั้น มาจากรายได้ธุรกิจ Cloud Computing  ที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง เช่น Microsoft Azure เติบโต +39% YoY, Google Cloud เติบโต +32% YoY และ AWS เติบโต +18% YoY ส่วนธุรกิจหลักอื่นๆ ของกลุ่ม Big Tech สามารถขยายตัวได้ดีเช่นกันจากการนำ AI มาประยุกต์เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายหรืออัตรากำไรของบริษัททางอ้อม สะท้อนถึงเทคโนโลยี AI ที่เริ่มส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผลประกอบการทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ การที่ Microsoft, Meta, Alphabet และ Amazon ต่างปรับเพิ่มแผนการลงทุนใน AI Infrastructure เพื่อรองรับความต้องการการประมวล AI ดังกล่าว ช่วยตอกย้ำประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจของ AI นั้นมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราวเท่านั้น 

 

การประเมินระดับมูลค่าผ่าน 12M Forward P/E Ratio ในกลุ่ม S&P 500 Information Technology พบว่ามีระดับ P/E ที่ 29.3 เท่า ณ วันที่ 26 ส.ค. 2025 ซึ่งถือว่าอยู่ในโซนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบช่วง 5 ปีหลังสุด อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วง Dot Com Bubble เมื่อเดือน มี.ค. 2000 ดัชนี S&P 500 Information Technology มีค่า P/E สูงราว 55 เท่า ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ระดับมูลค่าในปัจจุบันของกลุ่ม IT เริ่มอยู่ในโซนที่ตึงตัวมากขึ้น แต่ยังห่างไกลจากช่วงพีคของฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 อยู่มากพอสมควร

 

ในเชิงกลยุทธ์ เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนกลุ่มหุ้น AI ในระยะกลาง 3-6 เดือนข้างหน้า ราคาที่ปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรง ส่งผลให้ระดับมูลค่าเริ่มตึงตัวมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่ราคาหุ้นมีโอกาสผันผวนหากมีปัจจัยลบเข้ามาในอนาคต แต่ในทางกลับกัน ระดับ Valuation ณ ตอนนี้ ถือว่าค่อนข้างห่างไกลจากภาวะฟองสบู่ช่วงปี 2000 นอกจากนี้ ความต้องการ AI ที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้เราเริ่มเห็นประโยชน์ในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อเพิ่มรายได้หรืออัตรากำไรเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะภายในกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันเอง โดยคาดว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จะทยอยนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างมากขึ้นระยะถัดไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรของกลุ่มหุ้น AI มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวมต่อไปเช่นกัน 

 

ภาพ: Robert Way/Getty Images

The post หุ้นธีม AI ใกล้ภาวะฟองสบู่ หรือยังมีโอกาสที่รออยู่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. สั่ง CIG ชี้แจงการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนเหมืองทองคำที่แคนาดา https://thestandard.co/sec-orders-cig-capital-increase/ Mon, 01 Sep 2025 11:29:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1114223 CIG

ก.ล.ต. สั่งให้ CIG ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับรายการได้มาซึ่ง […]

The post ก.ล.ต. สั่ง CIG ชี้แจงการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนเหมืองทองคำที่แคนาดา appeared first on THE STANDARD.

]]>
CIG

ก.ล.ต. สั่งให้ CIG ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ และการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและบุคคลในวงจำกัด

 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งการให้บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CIG ชี้แจงข้อมูลภายในวันที่ 4 กันยายน 2568 กรณีคณะกรรมการมีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ Ocean Wolf PTE. LTD. (OW) เกี่ยวกับรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ และการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและบุคคลในวงจำกัด

 

คณะกรรมการ CIG มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ OW ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 เพื่อประกอบธุรกิจเหมืองทอง โดยได้รับสิทธิในการจัดการและพัฒนาเหมืองแร่ที่ประเทศแคนาดา จาก Mr. Alex Loo Liat Wah (Mr. Alex) ในราคาซื้อขายหุ้นละ 180 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 435 ล้านบาท 

คิดเป็น 24.17% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ OW โดยรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าว มีขนาดสูงสุดเท่ากับ 49.99% ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน 

 

เดิมที CIG ประกอบธุรกิจผลิตคอยล์เย็น (Evaporator Coil) คอยล์ร้อน (Condenser Coil) และคอยล์น้ำเย็น (Chilled Water Coil) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลักของอุปกรณ์ถ่ายเทความร้อน/ความเย็นทุกประเภท โดยเป็นการผลิตสินค้าตามคำสั่งของลูกค้า (Made to Order) เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

 

สำหรับการลงทุนในธุรกิจเหมืองทองคำล่าสุดนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบกำหนดวัตถุประสงค์ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.10 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 311.38 ล้านบาท 

 

และเสนอขายให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) ได้แก่ Mr. Alex (ผู้ขาย OW) คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 125 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่รับจากการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวเพื่อเป็นค่าตอบแทนการซื้อหุ้น OW 

 

โดยมีเงื่อนไขว่า (1) CIG จะต้องได้รับเงินจาก RO ไม่ต่ำกว่า 310 ล้านบาท (2) การตรวจสอบสถานะทางกฎหมาย (Legal Due Diligence) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมลงทุนใน OW ต้องเสร็จสิ้นก่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 กันยายน 2568 โดยมิได้ส่งผลกระทบต่อการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ และ (3) ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้น PP จะต้องไม่เป็นเหตุให้ Mr. Alex รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 258 ของ Mr. Alex ถือหุ้นของ CIG รวมกันสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 มิเช่นนั้น การออกและเสนอขายหุ้น PP จะเป็นอันถูกยกเลิกไป

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ CIG เปิดเผยก่อนหน้านี้ ก.ล.ต. พิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีความไม่ชัดเจน รวมถึงยังขาดข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลและรายละเอียดที่ CIG ใช้ประกอบการพิจารณาลงทุนใน OW ที่มา ความเหมาะสม และความสมเหตุสมผลของสมมติฐานที่ใช้ในการจัดทำประมาณการเพื่อใช้กำหนดราคาหุ้น OW และอัตราการแลกเปลี่ยนหุ้น (swap ratio) สาเหตุที่ไม่นำรายการลงทุนใน OW ซึ่งเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีขนาดรายการสูงสุด 49.99% ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้นไปพร้อมกับรายการเพิ่มทุน RO และ PP  

 

รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ลงทุน PP คือ Mr. Alex รวมทั้งประโยชน์ที่ CIG จะได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้น PP ให้แก่บุคคลดังกล่าว ตลอดจนรายชื่อและความเห็นของกรรมการ CIG เป็นรายบุคคลที่อนุมัติหรือไม่อนุมัติรายการดังกล่าว โดยที่ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่มีสาระสำคัญ จึงเป็นกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหลักทรัพย์หรือต่อการตัดสินใจในการลงทุน 

 

ก.ล.ต. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 58(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้ CIG ชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิจารณาลงทุนใน OW รวมถึงการเพิ่มทุน RO และ PP ข้างต้นต่อ ก.ล.ต. ภายในวันที่ 4 กันยายน 2568 พร้อมให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชนผ่านระบบ SETLink ด้วย

The post ก.ล.ต. สั่ง CIG ชี้แจงการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนเหมืองทองคำที่แคนาดา appeared first on THE STANDARD.

]]>
บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ https://thestandard.co/retirement-health-investment-tips/ Sun, 31 Aug 2025 04:30:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1113761 retirement-health-investment-tips

กว่า 20 ปีหลังเกษียณจากงานประจำในวัยประมาณ 51-52 ปี ชีว […]

The post บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
retirement-health-investment-tips

กว่า 20 ปีหลังเกษียณจากงานประจำในวัยประมาณ 51-52 ปี ชีวิตในแต่ละวันถูกแบ่งออกเป็น 2 เรื่องสำคัญคือ การบริหารการลงทุน และ การดูแลสุขภาพ ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดคุณภาพชีวิตและความสุขในบั้นปลายชีวิต

 

ถึงวันนี้ทำได้ค่อนข้างดีทั้งสองเรื่องดูจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง คือเงินในพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่า ขาดทุนเพียง 3 ปี โดยปีที่หนักที่สุดคือช่วงวิกฤติซับไพร์มที่ติดลบราว 15% เท่านั้น จุดแข็งอยู่ที่การลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีระยะยาว เลือกบริษัทชั้นนำของประเทศที่มีความแข็งแกร่ง ไม่เน้นเก็งกำไร ไม่ใช้มาร์จิน และถือครองยาวนานเพื่อรับปันผล โดยตั้งเป้าผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย 7-10% ต่อปี

 

ในด้านของสุขภาพ ถือเป็นอีกเสาหลักที่ได้รับความสำคัญไม่แพ้กัน แม้อายุล่วงเลยกว่า 70 ปี แต่ไม่เคยเจ็บป่วยรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และยังไม่พบโรคเรื้อรังยอดนิยมอย่างเบาหวาน ความดัน หัวใจ หรือมะเร็ง การดูแลสุขภาพอาศัยทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพประจำ ซึ่งทำมาตลอดและเพิ่มมากขึ้นหลังเกษียณจากงานประจำ

 

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะคุยหรือฉลองความสำเร็จ เพราะประสบการณ์จากคนอื่นที่พอจะรู้จักหรือได้ยินได้เห็นก็คือ อย่าโม้ เกี่ยวกับการลงทุนและสุขภาพ เพราะ สงครามยังไม่จบ อย่านับศพทหาร หรือความหมายก็คือ ทั้งการลงทุนและสุขภาพนั้นมักจะวัดกันที่ตอนจบ คือหยุดลงทุนและเสียชีวิตเท่านั้น

 

ในเรื่องของสุขภาพนั้น ยังจำได้ถึงยุคหนึ่งที่คนไทยเริ่มสนใจการรักษาสุขภาพกันมาก ซึ่งเกิดจากหนังสือแนวการดูแลสุขภาพสมัยใหม่ เช่น อยู่ 100 ปีมีสุข จนมีผู้นำทางสังคมและเศรษฐกิจบางคนประกาศตั้ง ชมรมคนอยู่ 100 ปี ที่เผยแพร่เคล็ดลับการมีชีวิตและสุขภาพที่ดีเลิศและประกาศว่าตนเอง ที่มีอายุระดับ 60 ปีแล้วจะอยู่จนถึง 100 ปี แน่นอน ซึ่งคนจำนวนมากรวมถึงผมเองก็เชื่อ เพราะเขายังแข็งแรงและดูหนุ่มมาก

 

แต่ถ้าจำไม่ผิด ประธานชมรมได้เสียชีวิตหลังจากจัดตั้งชมรมไม่เกิน 10 ปี ซึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าเสียชีวิตเพราะอะไร แต่ไม่ใช่ด้วยอุบัติเหตุอย่างแน่นอน ตั้งแต่นั้นมาผมก็มักจะคอยจดจำว่ามีใครที่บอกว่าตนจะอยู่จนอายุ 100 ปีหรือคุยว่าตนเองแข็งแรงขนาดไหน และก็พบบ่อยๆ ว่า ที่เสียชีวิตในอายุขัยปกติหรือบางคนก็ต่ำกว่านั้น ไม่ได้ต่างจาก ‘คนธรรมดา’ ที่ไม่ได้บริหารจัดการอะไรกับสุขภาพเลย

 

คนที่อายุยืนและสุขภาพดีจริงๆ ที่ยังคุยได้ทั้งที่อายุเกิน 90 ปีแล้ว ที่เช็กดูนั้น นอกจากจะบริหารจัดการสุขภาพ บางคนก็ทำอย่างดีตามที่คุยแล้ว ส่วนใหญ่มักจะมีพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่อายุยืนมากทั้งที่ไม่เคยต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารหรือทำสิ่งต่างๆ แบบที่เชื่อกันในปัจจุบัน

 

ดังนั้นจึงคิดว่าเรื่องของสุขภาพที่ดีและอายุขัยที่ยืนยาวนั้น คงต้องมี ‘โชค’ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้ขึ้นกับ ‘ฝีมือ’ ในการบริหารหรือดูแลสุขภาพทั้งหมด บางครั้งปัจจัยสำคัญที่สุดอาจจะเป็นเรื่องของยีนแต่ละคนที่อาจจะมีอิทธิพลมากกว่า ส่วนเรื่องของการดูแล จัดการสุขภาพอาจจะเป็นแค่ปัจจัยสนับสนุนให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามธรรมชาติ

 

และนั่นก็คือความเชื่อของผมในตอนนี้ว่า เรื่องของสุขภาพนั้น 80-90% อาจจะขึ้นอยู่กับการจัดการไม่กี่เรื่อง และส่วนใหญ่แล้วผมก็จะทำถ้ามันไม่ได้ลดความสุข หรือทำให้ผมรู้สึกว่ามันทรมานมากเกินไป

 

ข้อแรกคือ เรื่องของการกิน เน้น ‘พออิ่มแล้วหยุด’ หลีกเลี่ยงแป้งและน้ำตาลเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่จะไม่ อดอาหาร ที่เรียกว่า Fasting ทุกรูปแบบ เช่นเดียวกับการไม่เลี่ยงอาหารมันหรือมีคอเลสเตอรอลสูง ผมจะกิน ตามใจปาก ถ้าอร่อย ผมกิน รวมถึงเบียร์วันละกระป๋อง โดยเชื่อว่าหากไม่มากเกินไปย่อมไม่เป็นอันตรายแม้ว่าจะมีการศึกษาใหม่ ที่บอกว่าเบียร์แค่วันละกระป๋องก็อันตรายต่อสุขภาพ ไม่ควรกิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าไวน์วันละแก้วเป็นผลดีต่อสุขภาพ

 

นอกจากอาหารแล้ว ยังได้กินวิตามินหลักๆ หลายชนิด เช่น วิตามิน C B และ D แร่ธาตุบางอย่างที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย เช่น สังกะสี สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นที่ช่วยให้เครื่องยนต์ ซึ่งก็คือร่างกาย ทำงานได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

 

ที่ผ่านมาผมตรวจสุขภาพและตรวจเลือดทุก 6 เดือน เพื่อดูและควบคุมสารเคมีต่างๆ เช่น ระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาล และอื่นๆ ซึ่งอายุมากขึ้นก็จำเป็นต้องคอยควบคุมไม่ให้ตัวเลขเกินเลยหรือต่ำกว่าค่าปกติ เพราะตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนว่าร่างกายจะเกิดปัญหาถ้าไม่จัดการ 

 

ดังนั้นจึงต้องกินยาบางอย่างที่จำเป็น แต่ก็เลิกที่จะกินยาหรืออาหารเสริมประเภท ที่กินแล้วอายุยืน กินแล้วสมองดี หรือกินแล้วหลับสบาย และอื่นๆ ที่มีการโฆษณาแนะนำกันมากมายในสมัยนี้ รวมถึงไม่ฉีดฮอร์โมนหรือสเต็มเซลล์ที่อาจจะกำลังฮิตกัน

 

ข้อสองที่ผมทำมาตลอดในการดูแลเรื่องสุขภาพก็คือ การออกกำลังกาย ใช้วิธีวิ่งช้าๆ หรือจ็อกกิงวันละประมาณ 3 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 5-6 วัน ซึ่งทำมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งคิดว่าถ้าผมยังทำเท่าเดิมได้ สุขภาพก็น่าจะยังดีหรือไม่ถดถอยลง 

 

เวลาวิ่งก็มักจะคิดไปเรื่อยๆ ในทุกเรื่องที่ต้องการสมาธิและการตรึกตรองแบบลึกซึ้ง ผมคิดว่าไอเดียสำคัญในชีวิตเกิดขึ้นใน ขณะที่กำลังวิ่งไม่น้อยกว่า 30% และบ่อยครั้งเวลาวิ่ง จะนึกถึงชื่อของซีรีส์ทีวีดังในสมัยที่เป็นหนุ่มคือเรื่อง Run For Your Life หรือ วิ่งเพื่อชีวิต

 

ส่วนเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่ามีความคล้ายคลึงกับเรื่องของสุขภาพในหลายๆ ประเด็น เริ่มตั้งแต่การที่ผมเชื่อว่า ‘โชค’ มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างมาก 

 

ส่วนการจัดการหรือการบริหารการลงทุนนั้น แน่นอนก็เป็นส่วนสำคัญ แต่เป็นประเด็นว่าเราจะทำผิดไม่ได้ ถ้าทำผิดจากที่ควรเป็นผลตอบแทนอาจจะเลวร้ายหรือถึงหายนะได้ คล้ายๆ กับเรื่องของสุขภาพที่ว่า ถ้าคุณสูบบุหรี่ ต่อให้คุณออกกำลังและดูแลสุขภาพแค่ไหนมันก็ไปไม่รอด

 

นับว่าความโชคดีของการลงทุนของผมคงอยู่ที่ว่าได้เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังโตสุดยอดและบริษัทจดทะเบียนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวขึ้นและเอาชนะบริษัทรุ่นเก่าที่กำลังถูกทำลาย โดยที่บริษัทผู้ชนะสามารถสร้างป้อมปราการปกป้องตนเองในระหว่างที่ธุรกิจขยายตัวขึ้นและกลายเป็น ‘ซูเปอร์สต็อก’ หรือหุ้นที่มีค่ามาก วัดจากค่า PE ที่สูงลิ่ว และนั่นก็คือ สถานการณ์ที่เรียกว่าเป็นตลาดหุ้นยุค VI ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผม ที่โชคดี แต่เป็นกลุ่มนักลงทุน VI แทบทั้งหมด ที่ทำผลงานการลงทุนติดระดับโลกในยุคนั้น

 

การบริหารการลงทุนนั้น ก็คล้ายๆ กับเรื่องของสุขภาพ ไม่ได้ทำอะไรซับซ้อน พูดง่ายๆ ไม่มีสูตรลับหรือความสามารถพิเศษ ผมแทบไม่เคยไปพลิกหินทุกก้อน เพื่อค้นหาหุ้นมหัศจรรย์ ผมไปเยี่ยมบริษัทน้อยมากและไม่เคยไปงาน Company Visit หรือพบผู้บริหารจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เลย 

 

ที่ทำตลอดก็คือการเดินช็อปปิงตามห้างและร้านค้าต่างๆ เหมือนกับคนทั่วไป เพียงแต่ผมจะคิดไปด้วยว่าสินค้านั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนไหน และมันดีแค่ไหน ราคาของหุ้นเป็นอย่างไร ผมอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือไม่

 

ผมจะเลือกบริษัทหรือหุ้นที่ดีระดับต้นๆ ของประเทศ ที่ไม่มีใครสามารถแข่งขันได้และซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก คือค่า PE ไม่สูงเกินไปเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาดและในอุตสาหกรรมเดียวกัน จำนวนบริษัทที่ถือก็ประมาณ 5-6 ตัวหลักๆ เก็บไว้โดยแทบไม่ต้องทำอะไร แต่ทุกไตรมาสก็ต้องคอยดูผลประกอบการและธุรกิจว่ายังดีขึ้นหรือดีเหมือนเดิมไหม ถ้าใช่ก็ถือต่อไป ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องเปลี่ยน แต่กรณีหลังนั้นมักจะเกิดไม่บ่อย เพราะหุ้นหรือบริษัทที่ดีจริงนั้นจะไม่แย่ลงง่ายๆ

 

ผมลงทุนระยะยาวมาก แทบจะตลอดชีวิต ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ผมไม่ค่อยสนใจ สนใจว่าหุ้นหรือพอร์ตควรจะขึ้นมากกว่าลงนับเป็นรายปี ผมสนใจว่ามูลค่าปันผลแต่ละปีควรจะขึ้นไปทุกปีแบบช้าๆ

 

“ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปเล่นหุ้นเก็งกำไร ที่มักจะขึ้นลงแรงมาก บางทีเป็นเท่าๆ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ผมไม่สนใจที่จะใช้มาร์จินหรือการกู้เงินมาลงทุนซื้อหุ้น ผมไม่ต้องการผลตอบแทนที่สูงมากในบางช่วงแต่ต้องเสี่ยงมากถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้าย”

 

เป้าหมายการลงทุนของผมก็คือ ได้ผลตอบแทนปีละ 10% แบบทบต้นในช่วงที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ๆ แต่ในระยะหลังนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงเหลือ 7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยถดถอยลงมาก และบริษัทจดทะเบียนก็โตช้าลงมากหรือแทบไม่โตเลย

 

ที่จริงผมกำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือ จะไปลงทุนทั่วโลก เนื่องจากตลาดโลกของการลงทุนเปิดกว้างมาก นักลงทุนแทบทุกคนก็สามารถไปลงทุนได้ บางทีอีกสัก 10 ปี ผมคงมาเล่าได้ว่าผมจัดการอย่างไรและผลลัพธ์คืออะไร

 

ภาพ: sorbetto / Getty Images 

 

อ้างอิง:

The post บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pop Mart เผยกำไร 6 เดือนแรกโต 400% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง https://thestandard.co/popmart-profit-stock-surge/ Wed, 20 Aug 2025 04:42:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1109203 Pop Mart รายงานกำไรพุ่ง 400% หุ้นขึ้น 15 เท่าใน 18 เดือน

Pop Mart International Group ผู้ผลิตอาร์ตทอย (Art Toy) […]

The post Pop Mart เผยกำไร 6 เดือนแรกโต 400% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pop Mart รายงานกำไรพุ่ง 400% หุ้นขึ้น 15 เท่าใน 18 เดือน

Pop Mart International Group ผู้ผลิตอาร์ตทอย (Art Toy) เจ้าของคาแร็กเตอร์ ‘Labubu’ ที่สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ไปทั่วโลก ได้รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2025 เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 396.5% แตะระดับ 4.57 พันล้านหยวน หรือราว 2.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2025 Pop Mart มีรายได้รวม 1.388 หมื่นล้านหยวน หรือราว 7 หมื่นล้านบาท เติบโต 204.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทะยานขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว ส่วนสำคัญมาจากความสำเร็จของคาแรกเตอร์ Labubu ตุ๊กตาฟันแหลม หูใหญ่ ซึ่งกลายเป็นของสะสมยอดฮิตของคนดังระดับโลกอย่าง Rihanna และลิซ่า BLACKPINK จนจุดกระแสความต้องการไปทั่วโลก

 

ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนชัดในตัวเลขการเติบโตในต่างประเทศ โดยภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีน) กลายเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด มีรายได้เติบโต 257.8% ขณะที่ทวีปอเมริกาเติบโตอย่างร้อนแรงกว่า 1,000%

 

ราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลา 1 ปีครึ่ง

 

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ราคาหุ้น Pop Mart ยังอยู่ที่ราว 20 หยวน ก่อนจะพุ่งขึ้นต่อเนื่องราว 15 เท่าตัว มาทำสถิติสูงสุดใหม่ที่กว่า 300 หยวนเป็นครั้งแรก ในวันนี้ (20 สิงหาคม) 

 

อย่างไรก็ตาม เจฟฟ์ จาง นักวิเคราะห์หุ้นจาก Morningstar ได้ให้ความเห็นว่า “ในมุมมองของเรา หุ้นน่าจะยังคงมีราคาสูงเกินไป เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองข้ามความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงในระยะยาว” 

 

จางกล่าวต่อว่า “เราคิดว่าความยั่งยืนของความนิยมสำหรับ IP (ทรัพย์สินทางปัญญา) หลักของ Pop Mart ยังคงไม่แน่นอน ไม่มีอะไรรับประกันว่าผู้บริโภคจะยังคงชื่นชอบพวกเขาต่อไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพราะความชอบของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก”

 

นอกจากความเสี่ยงเรื่องความนิยมที่อาจเป็นเพียงกระแสชั่วคราวแล้ว Pop Mart ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk) ภายในประเทศจีน หลังจากที่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สื่อของรัฐบาลจีนได้ออกมาเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลธุรกิจกล่องสุ่ม (Blind Box) ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจหลักของบริษัท ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการจำหน่ายให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี

 

Pop Mart ยืนยันในแถลงการณ์ว่า ทรัพย์สินทางปัญญาคือหัวใจหลักของธุรกิจ และจะยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปทั่วโลกต่อไป 

 

อ้างอิง:

The post Pop Mart เผยกำไร 6 เดือนแรกโต 400% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น HANN หมดโปรหุ้นน้องใหม่? ล่าสุดราคาร่วง 28.23% ขณะที่รายงานจากสำนักงานก.ล.ต.พบว่า 6 ผู้บริหารเทขายหุ้นตั้งแต่วันแรก https://thestandard.co/hann-stock-plunges-as-executives-sell/ Mon, 18 Aug 2025 13:12:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1108598 HANN

หุ้น HANN น้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทร […]

The post หุ้น HANN หมดโปรหุ้นน้องใหม่? ล่าสุดราคาร่วง 28.23% ขณะที่รายงานจากสำนักงานก.ล.ต.พบว่า 6 ผู้บริหารเทขายหุ้นตั้งแต่วันแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
HANN

หุ้น HANN น้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อ 2 วันก่อน กลับดิ่งเกือบติดฟลอร์ในวันนี้ ขณะที่รายงานจากสำนักงานระบุว่า 6 ผู้บริหารขายหุ้นในวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก 

 

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ HANN วันนี้ (18 ส.ค.) ปิดการซื้อขายที่ 1.78 บาท ลดลง 0.70 บาท หรือลดลง 28.23% 

 

และเมื่อย้อนดูราคาซื้อขายตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก (14 ส.ค.) พบว่า วันแรกที่เข้าซื้อขายนั้น หุ้น HANN ปรับตัวเพิ่มขึ้น 202.86% จากราคาไอพีโอ ซึ่งอยู่ที่ 0.70 บาท โดยราคาซื้อขายวันแรก ปิดที่ 2.12 บาท 

 

วันถัดมา (15 ส.ค.) ราคาหุ้นปิดการซื้อขายที่ 2.48 บาท เพิ่มขึ้น 16.98% จากวันก่อนหน้า 

 

ทั้งนี้ เมื่อคำนวณราคาจากวันแรก ถึงปัจจุบัน พบว่าราคาหุ้น HANN ยังสูงกว่าราคาไอพีโออยู่ 154.28% 

 

สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ส.ค. 2568) มีดังนี้ 

  1. บริษัท หาญ โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 200 ล้านหุ้น หรือ 35.71%
  2. ประภาศรี สุฉันทบุตร ถือหุ้น 153.13 ล้านหุ้น หรือ 27.35%
  3. แพรธิดา จีระพรประภา ถือหุ้น 26.30 ล้านหุ้น หรือ 4.70%
  4. พรพัฏ วิริยพันธ์ ถือหุ้น 25.47 ล้านหุ้น หรือ 4.55%
  5. ถาวร ทองพิทักษ์ถาวร ถือหุ้น 19.11 ล้านหุ้น หรือ 3.41% 

 

ขณะที่ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบ 59) ซึ่งปรากฏบนเว็บไซต์สำนักงานก.ล.ต. พบว่า ผู้บริหารของ HANN จำนวน 6 ราย ได้รายงานการขายหุ้น โดยทำรายการขายเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่หุ้น HANN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก รายละเอียดดังนี้ 

 

  • สมนึก ชัยเดชสุริยะ ขายหุ้น 300,000 หุ้น ราคาขาย 1.89 บาท/หุ้น มูลค่าขาย 567,000 บาท
  • ศิริศักดิ์ มานิตคุณาการ ขายหุ้น 150,000 หุ้น ราคาขาย 1.13 บาท/หุ้น มูลค่าขาย 169,500 บาท
  • รักเกียรติ แสงทอง ขายหุ้น 100,000 หุ้น ราคาขาย 1.05 บาท/หุ้น มูลค่าขาย 105,000 บาท
  • บุญธรรม เลิศสุขีเกษม ขายหุ้น 100,000 หุ้น ราคาขาย 2 บาท/หุ้น มูลค่าขาย 200,000 บาท
  • บุญธรรม เลิศสุขีเกษม ขายหุ้น 300,000 หุ้น ราคาขาย 1.15 บาท/หุ้น มูลค่าขาย 345,000 บาท
  • นิรุตติ์ ชัยศร ขายหุ้น 300,000 หุ้น ราคาขาย 1.12 บาท/หุ้น มูลค่าขาย 336,000 บาท

 

HANN คือใคร

 

HANN คือชื่อหลักทรัพย์ ของบริษัท โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ปัจจุบันบริหารโรงพยาบาลจำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 

  1. โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล 
  2. โรงพยาบาลนายแพทย์หาญ 
  3. โรงพยาบาลรวมแพทย์ยโสธร

 

ผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 496.37 ล้านบาท งวด 6 เดือนแรกปี 2568 รายได้รวมอยู่ที่ 236.71 ล้านบาท 

 

ส่วนกำไร(ขาดทุน)สุทธิ ปี 2567 อยู่ที่ 21.18 ล้านบาท งวด 6 เดือนแรกปี 2568 รายได้รวมอยู่ที่ 20.67 ล้านบาท 

 

The post หุ้น HANN หมดโปรหุ้นน้องใหม่? ล่าสุดราคาร่วง 28.23% ขณะที่รายงานจากสำนักงานก.ล.ต.พบว่า 6 ผู้บริหารเทขายหุ้นตั้งแต่วันแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดัชนี MSCI ACWI ตัวแทนหุ้นโลก พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังฟื้นตัว 30% ภายใน 4 เดือน https://thestandard.co/msci-acwi-global-stock-index-new-high/ Wed, 13 Aug 2025 05:53:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1106485 MSCI ACWI

ภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป ล่ […]

The post ดัชนี MSCI ACWI ตัวแทนหุ้นโลก พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังฟื้นตัว 30% ภายใน 4 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
MSCI ACWI

ภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป ล่าสุด ดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นราว 30% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา หนุนจากหุ้นสหรัฐฯ ที่มีน้ำหนักประมาณ 65%

 

ตลาดหุ้นทั่วโลกทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในวันนี้ (13 สิงหาคม) หนุนจากดัชนีหลักของหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง S&P 500, Dow Jones และ Nasdaq ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 1% เมื่อคืนนี้ 

 

เช่นเดียวกับดัชนี Nikkei 225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งที่กว่า 43,000 จุด ทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อ 13 เดือนก่อน ขณะที่ตลาดหุ้นไต้หวันก็ขยับเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิม ส่วนดัชนีในตลาดเซี่ยงไฮ้พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2021

 

หนึ่งในปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ มาจากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ ช่วยคลายความกังวลเรื่องแรงกดดันด้านราคา และตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้

 

รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม ซึ่งเปิดเผยเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา (12 สิงหาคม) พบว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Underlying Inflation) เร่งตัวขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญคือ การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้า (Goods Prices) ที่อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งช่วยคลายความกังวลว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ว่าอาจจะลุกลามบานปลายจนสร้างแรงกดดันด้านราคาในวงกว้าง

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นคือความผ่อนคลายระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่ง บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวกยกแผงราว 1.1% – 3.0% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหนุนดัชนี Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดของมาตรการกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนดูผ่อนคลายลง เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเส้นตายการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา

 

ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ขยายเวลาการพักการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อีก 90 วัน จนถึง 10 พฤศจิกายนนี้ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงลดการเก็บภาษีตอบโต้และผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออก แม่เหล็กแร่หายาก (Rare Earth Magnets) และเทคโนโลยีบางประเภท ซึ่งการเลื่อนกรอบเวลานี้ช่วยบรรเทาความกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ อีกทั้งจะมีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อหารือประเด็นค้างคา อาทิ ภาษีเกี่ยวกับการลักลอบขนเฟนทานิล, ความกังวลเรื่องจีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่าน รวมทั้งข้อจำกัดการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ในจีน เป็นต้น

 

หุ้นไทยเกาะกลุ่มหุ้นร้อนแรงสุดของโลกช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

 

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในดัชนีที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงที่สุด โดยเพิ่มขึ้นราว 11% ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียที่กว่า 11% รองลงมาคือหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 10% หุ้นรัสเซียเพิ่มขึ้น 9.7% และหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น 8.8% 

 

บล.เอเซียพลัส ระบุอีกว่า กระแสเงินทุน (Fund Flow) มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อ ทั้งจากต่างชาติ และโยกจากตลาดตราสารหนี้ โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4.5 พันล้านบาท 

 

และหากย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยราว 2 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ขายสุทธิไปกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ 

 

ขณะเดียวกันยังมีโอกาสเห็นเม็ดเงินย้ายจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอายุ 2 – 4 ปี ที่ต่ำกว่า 1.25% หรือต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายเกิน 0.5% ขณะที่ระดับ Market Earning Yield Gap ที่กว้างถึง 4.5% รวมทั้งภาวะ Bull Steepening Yield Curve หรือการที่ Bond Yield ระยะสั้นปรับตัวลงแรงกว่าระยะยาวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเห็นจากการเก็งว่าจะมีการลดดอกเบี้ย หรือเกิดขึ้นหลังเม็ดเงินมีการไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ปริมาณมากในช่วงก่อนหน้านี้

 

ภาพ: ImageSymphony / Shutterstock 

 

The post ดัชนี MSCI ACWI ตัวแทนหุ้นโลก พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังฟื้นตัว 30% ภายใน 4 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ปลดล็อกโอกาสการลงทุนจาก ‘ดีลภาษีไทย-สหรัฐฯ’ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-07082025/ Thu, 07 Aug 2025 08:03:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1104748

เจาะลึกผลกระทบ ทิศทางการลงทุนของคนไทย และบทบาทของสินทรั […]

The post ชมคลิป: ปลดล็อกโอกาสการลงทุนจาก ‘ดีลภาษีไทย-สหรัฐฯ’ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

เจาะลึกผลกระทบ ทิศทางการลงทุนของคนไทย และบทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัล หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รื้อระเบียบการค้า การลงทุน ไปทั่วทั้งโลก พูดคุยกับ นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

 

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดอ่านหนังสือชี้ชวน และศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ปลดล็อกโอกาสการลงทุนจาก ‘ดีลภาษีไทย-สหรัฐฯ’ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>