หุ้น – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 05 Dec 2025 08:14:01 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Nvidia เผชิญปัญหาเงินสดล้นมือ ล่าสุดพุ่งแตะ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ https://thestandard.co/nvidia-cash-too-much/ Fri, 05 Dec 2025 08:14:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1151703 Nvidia เผชิญปัญหาเงินสดล้นมือ ล่าสุดพุ่งแตะ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

Nvidia Corp. กำลังเผชิญกับปัญหามีเงินสดมากเกินไป โดยล่า […]

The post Nvidia เผชิญปัญหาเงินสดล้นมือ ล่าสุดพุ่งแตะ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Nvidia เผชิญปัญหาเงินสดล้นมือ ล่าสุดพุ่งแตะ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

Nvidia Corp. กำลังเผชิญกับปัญหามีเงินสดมากเกินไป โดยล่าสุดบริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในมือสูงถึง 6.06 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจาก 1.33 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่ ChatGPT เพิ่งเปิดตัวและจุดชนวนกระแส AI

 

ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ Nvidia กลายเป็นป้อมปราการทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งใน Wall Street และนำมาสู่คำถามสำคัญจากนักลงทุนว่า “Nvidia จะเอาเงินไปทำอะไร?”

 

เดินหน้าประกาศดีลเสริมระบบนิเวศ

 

ในปีนี้ Nvidia ได้ประกาศดีลการลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่ามหาศาลอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือการประกาศเข้าถือหุ้น 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys บริษัทออกแบบชิปชั้นนำ และก่อนหน้านี้ได้ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nokia, 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ใน Anthropic รวมมูลค่ากว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์

 

และที่น่าจับตามองที่สุดคือแผนการลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้น OpenAI ซึ่งแม้จะยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน แต่ก็สะท้อนถึงความทะเยอทะยานในการผูกมัดพันธมิตร AI รายใหญ่ที่สุดของโลกไว้กับตัวเอง

 

เจนเซน หวง CEO ของ Nvidia ย้ำว่าการลงทุนเหล่านี้คือ “งานที่สำคัญจริงๆ” เพราะหากพันธมิตรอย่าง OpenAI เติบโต ก็จะยิ่งกระตุ้นการใช้ชิปของ Nvidia มากขึ้น “การลงทุนทั้งหมดที่เราทำมา เกี่ยวข้องกับการขยายการเข้าถึงของ CUDA และขยายระบบนิเวศ (Ecosystem) ทั้งสิ้น”

 

ซื้อหุ้นคืน อีกหนึ่งแนวทางบริหารเงิน

 

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Nvidia จะสร้างกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ได้ถึง 9.685 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 5.76 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้บริษัทนำเงินไปซื้อหุ้นคืนมากขึ้น

 

หวงยืนยันว่าจะยังคงซื้อหุ้นคืนต่อไป โดยคณะกรรมการบริษัทเพิ่งอนุมัติวงเงินซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม แต่เขาก็ย้ำว่าความแข็งแกร่งทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและซัพพลายเออร์ว่า Nvidia จะสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามสัญญา และมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอที่จะรองรับการขยายกำลังการผลิต

 

แม้จะมีเงินสดล้นมือ แต่การเข้าซื้อกิจการ (M&A) ขนาดใหญ่กลับเป็นเรื่องยากสำหรับ Nvidia เนื่องจากอุปสรรคด้านกฎระเบียบ หลังจากที่เคยล้มเหลวในดีลซื้อ Arm มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2563

 

โคเล็ตต์ เครส CFO ของ Nvidia ยอมรับในงานประชุมนักลงทุนเมื่อสัปดาห์นี้ว่า “มันยากที่จะนึกถึง M&A ประเภทที่มีนัยสำคัญและขนาดใหญ่” พร้อมหวังว่าจะมีสักดีลที่ทำได้ แต่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ดังนั้น กลยุทธ์การใช้เงินของ Nvidia ในขณะนี้ จึงมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทเอกชนเพื่อทดแทนการซื้อกิจการ โดยในเดือนตุลาคม บริษัทเปิดเผยว่าได้ลงทุนไปแล้วกว่า 8.2 พันล้านดอลลาร์ ในบริษัทเหล่านั้น เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรและรักษาความเป็นผู้นำในยุค AI

 

อ้างอิง:

The post Nvidia เผชิญปัญหาเงินสดล้นมือ ล่าสุดพุ่งแตะ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Human Made เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว https://thestandard.co/human-made-lists-tokyo-stock/ Sat, 29 Nov 2025 02:40:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1149372 Human Made เข้าสู่ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ครั้งหนึ่ง Tomoaki Nagao หรือที่รู้จักกันในนาม Nigo ผู้ […]

The post Human Made เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Human Made เข้าสู่ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ครั้งหนึ่ง Tomoaki Nagao หรือที่รู้จักกันในนาม Nigo ผู้ก่อตั้งแบรนด์สตรีทแฟชั่น Human Made ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมทำธุรกิจไม่ได้” แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม เพราะเขาสามารถปลุกปั้นแบรนด์ด้วยผลงานดีไซน์ คุณภาพ และกลยุทธ์การตลาดต่างๆ ภายใต้การบริหารของทีมผู้มากด้วยประสบการณ์ และนำแบรนด์เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

Human Made เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นครั้งแรกโดยมีผู้เข้าซื้อหุ้น IPO จำนวนมากจนทำให้ขณะนี้บริษัทมีมูลค่าถึง 460 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1.4 หมื่นล้านบาท ในขณะที่หุ้นของ Nigo มีมูลค่าอยู่ที่ 285 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ดีไซเนอร์คนนี้กระโดดสู่การมีสถานะเป็นนักธุรกิจระดับยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น โดยมีการรายงานด้วยว่าเขาสามารถสร้างรายได้อีก 56 ล้านดอลลาร์จากการนำแบรนด์เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวในครั้งนี้

 

มีการรายงานว่านักลงทุนสถาบันลงชื่อเข้าซื้อหุ้นในจำนวนมากกว่าที่แบรนด์จัดสรรไว้ให้ถึง 35 เท่า ส่วนความต้องการของผู้ซื้อจากร้านรีเทลต่างๆ ก็สูงกว่าที่คาดไว้ 80 เท่า และด้วยราคาของ IPO ในขณะนี้ หุ้นของ Human Made จึงมีราคาการแลกเปลี่ยนในมูลค่าที่สูงกว่าแบรนด์แฟชั่นญี่ปุ่นผู้เป็นคู่แข่งเป็นอย่างมาก ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จอันต่อเนื่องของแบรนด์ และคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้น 20% ในปีงบประมาณนี้

 

อ้างอิง:

The post Human Made เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนัก หุ้นจีน ต่อ หุ้นโลก ทะลุ 10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าหุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี https://thestandard.co/foreign-investors-china-stocks-4yr/ Tue, 25 Nov 2025 10:35:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1147461 อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี

หุ้นจีน กลับมาสู่เรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอย่างชัดเจนอีก […]

The post อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนัก หุ้นจีน ต่อ หุ้นโลก ทะลุ 10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าหุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี

หุ้นจีน กลับมาสู่เรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอย่างชัดเจนอีกครั้งในปีนี้ ผลตอบแทนของหนึ่งในดัชนีหลักของหุ้นจีนอย่าง SZSE Component อยู่ที่ราว 22% ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงให้ผลตอบแทนเกือบ 30% ส่วนดัชนี CSI 300 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ราว 17%

 

มากไปกว่านั้นหากพิจารณาจากยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นจีน อิงจากข้อมูลของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปีนี้ มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนรวม 5.06 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 3.7 แสนล้านบาท ในปี 2024

 

รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แต่หลังจากที่ราคาหุ้นเหล่านี้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงไปยังทางเลือกอื่น

 

“ปีนี้ตลาดหุ้นโลกยังคงทำนิวไฮ แต่ผู้นำไม่ใช่หุ้นสหรัฐฯ อีกแล้ว ถ้ามองไปข้างหน้าธีม Rest of the world ค่อนข้างน่าสนใจ รวมถึงจีนที่รัฐบาลกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศที่ดีขึ้นมาก” รัฐศรัณย์กล่าว

 

รัฐศรัณย์กล่าวต่อว่า หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น นับแต่ปี 2001 ที่ได้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ทำให้สัดส่วน GDP จีนต่อ GDP โลก พุ่งขึ้นจากเพียง 4% สู่ระดับ 17% และในช่วงเวลาเดียวกัน GDP สหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงจากกว่า 30% มาสู่ระดับ 26%

 

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี 1

ที่มา: บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

 

ในมุมกลับกัน น้ำหนักของหุ้นจีนต่อหุ้นโลกยังคงต่ำ อิงจากดัชนี MSCI ACWI ซึ่งหุ้นจีนมีน้ำหนักเพียง 3.19% ส่วนหุ้นสหรัฐฯ มีน้ำหนักถึง 65% สะท้อนว่านักลงทุนสถาบันยังถือครองหุ้นจีนต่ำมาก

 

“ในอนาคตหุ้นน้ำหนักหุ้นจีนมีโอกาสจะไปได้ถึง double digit (10% ขึ้นไป)”​ รัฐศรัณย์กล่าว

 

ChiNext 50 ทางเลือกลงทุนในยุคเศรษฐกิจใหม่

 

อย่างไรก็ดี การเติบโตของหุ้นจีนอาจแตกต่างไปจากในอดีต ตามการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 5 ปี ของจีน โดยหุ้นที่ได้รับการสนับสนุนจากแผนในฉบับที่ 14 สามารถสร้างผลตอบแทนได้ราว 41% ในขณะที่ดัชนี CSI 300 สร้างผลตอบแทนได้ราว -3% ในช่วงเวลาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุนมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

 

ทั้งนี้ จีนมีประวัติการบรรลุเป้าหมายตามแผน 5 ปีสูงถึง 90% ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐมีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์จริง โดยจากการประเมินของ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ พบว่า บริษัทในดัชนี ChiNext50 ส่วนใหญ่ราว 90% อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ

 

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี 2

ที่มา: บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

 

ล่าสุด บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ออกตราสาร DR ชื่อ CHNXT5023 คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt: DR) ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Invesco Great Wall Chinext 50 ETF (159682.SZ) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น บริหารโดย Invesco ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลก โดย Invesco มีกองทุน ETF ภายใต้การจัดการมูลค่ากว่า 9.5 แสนล้านดอลลาร์

 

โดยหุ้น 5 ตัวแรกที่มีน้ำหนักมากสุดของ ETF ดังกล่าว ได้แก่ CATL (24.34%), EASTMONEY (10.87%), INOVANCE (4.80%), ZHONGJI INNOLIGHT (4.73%) และ MINDRAY (4.63%)

 

มูลค่าหุ้นจีนยังต่ำ?

 

โจนาธาน ไพน์ส หัวหน้าฝ่ายหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นของ Federated Hermes กล่าวว่า “จีนยังคงซื้อขายในราคาที่มีส่วนลด (Discount) สูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก ทั้งๆ ที่พวกเขามีบริษัทที่ดีที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยี”

 

แม้ข้อมูลการไหลเข้าของเงินทุนจะยังต่ำกว่าสถิติสูงสุดในปี 2564 ที่ 7.36 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ทิศทางที่เป็นบวกนี้ก็สวนทางกับกระแสการถอนการลงทุน (Divestment) ของกองทุนบำเหน็จบำนาญรัฐในสหรัฐฯ หลายแห่ง เช่น เท็กซัส และอินดีแอนา ที่ลดพอร์ตจีนลงจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

 

อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นจีนในปีนี้ยังคงมาจาก นักลงทุนรายย่อยในประเทศ โดยมีเม็ดเงินจากจีนแผ่นดินใหญ่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงถึง 1.68 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ และคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของมูลค่าการซื้อขาย

 

ภาพ: Zhang Peng/LightRocket via Getty Images

The post อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนัก หุ้นจีน ต่อ หุ้นโลก ทะลุ 10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าหุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลออกหมายจับ ‘แอน จักรพงษ์’ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน https://thestandard.co/anne-jakkaphong-arrest-warrant/ Tue, 25 Nov 2025 09:02:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1147372 ศาลออกหมายจับ แอน จักรพงษ์ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ที่ ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง […]

The post ศาลออกหมายจับ ‘แอน จักรพงษ์’ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลออกหมายจับ แอน จักรพงษ์ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ที่ ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1440/2566 ซึ่งเป็นคดีข้อพิพาทระหว่าง นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล (บุตรชาย นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือ แอน จักรพงษ์ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง

 

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องโดยระบุพฤติการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2566 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงและปกปิดข้อเท็จจริง โดยชักชวนให้โจทก์ร่วมลงทุนซื้อหุ้นกู้ของบริษัทจำเลยที่ 1

 

โจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่าสถานะทางการเงินของบริษัทไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนด แต่ยังคงดำเนินการหลอกลวงจนได้ทรัพย์สินจากโจทก์ไปเป็นจำนวนเงิน 30,000,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้พิจารณา ก่อนจะมีการสืบพยานจนเสร็จสิ้น

 

ในวันนัดฟังคำพิพากษาวันนี้ เมื่อถึงเวลาตามกำหนด ปรากฏว่า จักรพงษ์ (จำเลยที่ 2) ไม่ได้เดินทางมาศาลและไม่ได้มีการแจ้งเหตุขัดข้องใดๆ

 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 แสดงให้เห็นถึงเจตนาจงใจหลบหนี จึงมีคำสั่งดังนี้:

 

1. ออกหมายจับ: ให้ จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ มาฟังคำพิพากษา

 

2. สั่งปรับนายประกัน: เนื่องจากไม่สามารถส่งตัวจำเลยได้ตามนัด ถือว่าผิดสัญญาประกัน ศาลสั่งปรับนายประกันเต็มตามวงเงินสัญญา และให้ออกคำบังคับชำระค่าปรับภายใน 15 วัน

 

ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ใหม่อีกครั้ง ใน วันที่ 26 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น.

The post ศาลออกหมายจับ ‘แอน จักรพงษ์’ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องที่มารายได้ Nvidia โตต่อเนื่อง 11 ไตรมาส ดันมูลค่าบริษัทสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ https://thestandard.co/nvidia-5-trillion-info/ Thu, 20 Nov 2025 10:58:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1145585 ส่องที่มารายได้ Nvidia โตต่อเนื่อง 11 ไตรมาส ดันมูลค่าบริษัทสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์

นักลงทุนทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่การรายงานผลประกอบการไตรม […]

The post ส่องที่มารายได้ Nvidia โตต่อเนื่อง 11 ไตรมาส ดันมูลค่าบริษัทสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องที่มารายได้ Nvidia โตต่อเนื่อง 11 ไตรมาส ดันมูลค่าบริษัทสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์

นักลงทุนทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่การรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2026 ตามปีงบประมาณ (สิงหาคม-ตุลาคม 2026) ของ Nvidia Corp. ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าเม็ดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่ถูกทุ่มไปกับการลงทุนด้าน AI นั้นคุ้มค่ากับการเติบโตหรือไม่ แต่ยังจะเป็นตัวชี้ชะตาทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักในขณะนี้

 

ล่าสุด Nvidia รายงานผลประกอบไตรมาส 3 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันนี้ (19 พฤศจิกายน) มีรายได้รวม 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.85 ล้านล้านบาท เติบโต 62% จากปีก่อน มาจากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ธุรกิจเกม 4.2 พันล้านดอลลาร์ และธุรกิจอื่นๆ 1.5 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันมีกำไรสุทธิ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 65% จากปีก่อน หรือราว 1 ล้านล้านบาท

 

Nvidia คาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาสที่ 4 (สิ้นสุดเดือนมกราคม 2026) จะอยู่ที่ประมาณ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการชิป AI Accelerator อันทรงพลังและมีราคาสูงลิ่ว ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

 

ส่องที่มารายได้ Nvidia โตต่อเนื่อง 11 ไตรมาส ดันมูลค่าบริษัทสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ 1

 

ภาพประกอบ : สุภาวิดา สุขวัฒน์

The post ส่องที่มารายได้ Nvidia โตต่อเนื่อง 11 ไตรมาส ดันมูลค่าบริษัทสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
(END) NVIDIA?! … No, we are not done yet. https://thestandard.co/opinion-nvidia-not-done-yet/ Thu, 20 Nov 2025 07:05:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1145430 (END) NVIDIA? … No, we are not done yet.

ทุกสายตาจ้องมองไปที่จุดเดียว เป้าหมายเดียว หุ้นตัวเดียว […]

The post (END) NVIDIA?! … No, we are not done yet. appeared first on THE STANDARD.

]]>
(END) NVIDIA? … No, we are not done yet.

ทุกสายตาจ้องมองไปที่จุดเดียว เป้าหมายเดียว หุ้นตัวเดียว …

 

ไม่ว่าคุณจะลงทุน S&P500 ค้าทองคำ หรือ เทรดบิตคอยน์ …

 

นั่นคือ งบกำไร FY3Q26 ของ NVIDIA (NVDA) ซึ่งใช่ครับ … งบ NVIDIA ดีกว่านักวิเคราะห์หรือตลาดคาดการณ์อีกแล้ว รายละเอียดเป็นอย่างไร ไปตามในบทความนี้กันครับ

 

ประการแรก: รายได้และกำไรมาหมด

 

รายได้รวมของ NVIDIA แตะ 57,006 ล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโต 62% yoy และ 22% qoq แม้ฐานเดิมจะสูงอยู่แล้ว

 

นี่คือจุดที่ตลาดมองว่า ‘ดีกว่าคาด’ เพราะ ตลาดประเมินรายได้ไว้เพียง 55,000 ล้านดอลลาร์

 

โดย กลุ่มที่ตลาดสนใจ คือ กลุ่มธุรกิจ Data Center ซึ่งคิดเป็น 90% ของรายได้รวมทั้งหมดของ NVIDIA เติบโตโดดเด่นที่สุดด้วยยอดขาย 51,215 ล้านดอลลาร์ +66% yoy ถือเป็นตัวเลขที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาด

 

กำไรสุทธิก็แรงไม่แพ้กัน ทำได้ 31,910 ล้านดอลลาร์

 

ประการที่สอง: ยาหวานจาก CEO

 

Jensen Huang CEO กล่าวย้ำอีกว่า

 

GPU ตระกูล Blackwell ขายดีจนของหมด และ ดีมานด์ฝั่งคลาวด์ยังคงเร่งขึ้นต่อเนื่อง”

 

จุดนี้ตอกย้ำและสะท้อนวัฏจักรการเติบโตของ AI ว่ายังอยู่ในเฟสขยายตัวอย่างรวดเร็ว และ NVIDIA ยังคงเป็นผู้เล่นที่ครอง Supply ที่สำคัญที่สุดของโลก

 

ประการที่สาม: ยุคทองของ AI … หาใช่ฟองสบู่

 

ต้องยอมรับจริงๆว่า ปัจจุบัน Hyperscale cloud (AWS, Azure, Google Cloud) ยังคงแห่ลงทุนใน AI และ ความต้องการฝึกโมเดล (Training) และรันโมเดล (Inference) ยังคงเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส

 

ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝึกให้ ChatGPT ฉลาดขึ้นนั้นแหละ รวมถึง การไปสู่จุดที่สูงขึ้น หรือ กลายเป็น AGI หรือ Artificial ‘Generative’ Intelligence

 

ในมุมมองของผมและตลาด … Ecosystem ของ NVIDIA แน่นที่สุด ทำให้ลูกค้ายังย้ายไปค่ายอื่นยาก

 

จาก GPU ตระกูล Hopper → Blackwell … NVIDIA จึงกลายเป็น ‘มาตรฐานกลาง’ หรือ ‘The Standard’ ของอุตสาหกรรมทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

 

พูดง่ายๆ ใครจะลงทุน AI จะขาด NVIDIA ไม่ได้เลย

 

ดังนั้น กองแช่งหุ้นสหรัฐฯ หรือ 7 นางฟ้าหุ้นเทคโนโลยีที่บอกกันว่าแพงแล้ว แพงอยู่ แพงต่อ และ รอให้ฟองสบู่แตก … ต้องคิดให้ดี

 

เพราะ ฟองสบู่ ในมุมมองของผม ประกอบจากสองส่วน

 

หนึ่ง คือ ราคาที่ลอยขึ้นมา

 

สอง คือ การลอยขึ้นมานั้นไม่ได้มีอะไรมารองรับ

 

แต่พออ่านงบ NVIDIA ที่แข็งแกร่งมากๆ ขนาดนี้ … ประการที่สอง ผมขอตัดทิ้ง เพราะ ‘ราคาที่แพง’ ‘มีกำไรรองรับ’

 

องค์ประกอบของฟองสบู่ตอนนี้จึงยังไม่ครบ

 

*การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้า เท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ใดๆ ทั้งสิ้น

 

ภาพ: Mijansk786/Shutterstock

The post (END) NVIDIA?! … No, we are not done yet. appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี https://thestandard.co/opinion-shin-corp-tax-19-issues/ Wed, 19 Nov 2025 04:39:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1144886

เมื่อเช้าได้ไปเล่าเรื่องคดีคุณทักษิณแพ้คดีภาษีจากการขาย […]

The post สรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อเช้าได้ไปเล่าเรื่องคดีคุณทักษิณแพ้คดีภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปแบบสั้นๆ ในรายการ Morning Wealth ของ THE STANDARD WEALTH แต่ยังมีหลายเรื่องที่อยากเล่าเพิ่ม พอดีเห็นหน้าเฮียวิทย์เลยขอเขียนไล่เรียงเป็นประวัติศาสตร์ 8 นาที เพื่อสรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทำไมวันนี้ศาลฎีกาจึงให้ อดีตนายกทักษิณ ต้องชำระภาษีรวม 17,629 ล้านบาท

 

1. ชิน คอร์ปอเรชั่น คือบริษัทที่คุณทักษิณและคุณหญิงพจมานร่วมกันสร้างตั้งแต่ปี 2526 เคยเป็นบริษัทแม่ของ AIS และถือเป็นกลุ่มกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ณ เวลานั้น ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรหลายครั้งและเพิ่งถูกควบรวมกับ GULF ไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

 

2. ช่วงก่อนคุณทักษิณลงเลือกตั้งปี 2544 ทุกคนรู้หลักการพื้นฐานอยู่แล้วว่านักการเมืองต้องไม่ถือกิจการที่อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐ โดยเฉพาะกิจการที่เป็นสัมปทานจากรัฐอย่างโทรคมนาคม

 

ปี 2542 คุณทักษิณตั้งบริษัทชื่อ Ample Rich Investments Ltd. ที่เกาะ British Virgin Islands (BVI) ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษี และมีความลับสูงเรื่องโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยคุณทักษิณมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นเพียงผู้เดียว แล้วขายหุ้นชินของตัวเอง จำนวนเกือบๆ 33 ล้านหุ้นให้ Ample Rich ในราคา PAR หุ้นละ 10 บาท คุณทักษิณไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเสียภาษีอะไร ฝั่งบริษัท Ample Rich ก็บันทึกต้นทุนไปว่าได้มาเกือบ 33 ล้านหุ้น ต้นทุนหุ้นละ 10 บาท

 

3. ปี 2543 โครงสร้างภายใน Ample Rich ก็ปรับให้คนถือหุ้นเป็นคุณโอ๊ค ลูกชายซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ทำให้กระดาษทั้งหมดแสดงภาพว่าตัวทักษิณไม่ได้มีหุ้นชินคอร์ปโดยตรงอีกต่อไป ตอนยื่นบัญชีทรัพย์สินจึงไม่เห็นหุ้นบริษัท Ample Rich ในบัญชีทรัพย์สินของคุณทักษิณด้วย

 

ต่อมาในปี 2544 ชินคอร์ปแตกพาร์หุ้นจาก 10 บาทเป็น 1 บาท ทำให้หุ้นในมือ Ample Rich เพิ่มจาก 33 ล้านเป็นประมาณ 330 ล้านหุ้น และมีต้นทุนบัญชีหุ้นละ 1 บาทแทน

 

หลังจากนั้นช่วงกลางปี 48 มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น Ample Rich นิดหน่อย คือให้คุณเอม ลูกสาวคนโตมาถือหุ้นด้วย สัดส่วนผู้ถือหุ้นตอนนี้ คุณโอ๊คถือหุ้น 80% คุณเอมถือหุ้น 20% โดยทั้งคู่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท Ample Rich ด้วย

 

4. ช่วงต้นปี 2549 ซึ่งคุณทักษิณยังเป็นรัฐบาลอยู่ มีการประกาศ พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 เพื่อปลดล็อคให้กิจการโทรคมนาคมสามารถให้คนต่างชาติถือหุ้นได้ 49% จากเดิม 25% โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับวันที่ 21 มกราคม 2549

 

อีก 2 วันหลังจากจากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ 23 มกราคม 2549 ครอบครัวคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณ 49% ให้กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท โดยราคาขายวันนั้นคือหุ้นละ 49.25 บาท น่าจะเป็นดีลแรกที่ได้ใช้ประโยชน์จากกฎหมายใหม่ในเวลานั้นทันที

 

5. การขายภาษีครั้งนั้น ทุกคนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากกำไร เพราะมีกฎหมายยกเว้นภาษีให้สำหรับบุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น ทุกคนที่ขายเป็นบุคคลธรรมดา + ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ เลยทำให้ค่าหุ้น 73,000 ล้านบาท ได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวน

 

6. แต่ดันมีหุ้นตัวปัญหาอยู่จำนวนนึง คือ ส่วนที่คุณโอ๊คและคุณเอมขายไปจำนวนเกือบ 330 ล้านหุ้น เพราะที่มาของหุ้นจำนวนนี้มาจากที่บริษัท Ample Rich ถือไว้ตั้งแต่ปี 42 เนี่ยแหละ เพราะถ้าบริษัท Ample Rich ขายหุ้นชินเอง ต่อให้ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็เสียภาษีอยู่ดี เพราะไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถ้าขายไปจริงๆ Ample Rich ก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากกำไรแทบจะเต็มๆ เพราะหุ้นมูลค่า 49.25 บาท แต่ต้นทุนแค่บาทเดียว

 

7. เพื่อให้การขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี มันเลยมีขั้นตอนแทรกมานิดนึง นั่นคือ วันที่ 23 มกราคม 2549 (วันเดียวกับที่ขายหุ้น 73,000 ล้านบาท) กรรมการบริษัท Ample Rich (คุณโอ๊คและคุณเอม) สั่งให้บริษัทขายหุ้นให้คุณโอ็คและคุณเอมในสัดส่วนคนละครึ่ง 50/50 ในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท โดยซื้อขายกันตรงๆ นอกตลาดหลักทรัพย์

 

จากนั้นทั้งคู่ในฐานะบุคคลธรรมดา ก็เอาหุ้นที่ได้มานี้ไปขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิปลอดภาษีในวันที่ 23 มกราคม 2549 นั่นเอง

 

เรียกว่าบริษัทขายหุ้นให้ 1 บาทแล้วคนซื้อเอามาขายต่อในวันเดียวกันแต่ได้ราคา 49.25 บาทเลย

 

จุดนี้แหละที่ตอนหลังศาลฎีกาจะหยิบมาชี้ว่าธุรกรรมพวกนี้ “มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ” ไหม? หรือตั้งใจทำขึ้นมาเพราะอยากจะเลี่ยงภาษีอย่างเดียว

 

8. ถ้ากลับไปจุดตั้งต้น Ample Rich ตั้งขึ้นมาโดยระบุวัตถุประสงค์บนหน้ากระดาษว่าเพื่อลงทุนหากำไร มันเลยมีคำถามว่า การขายหุ้นราคา 49.25 บาทในราคาบาทเดียว แถมขายในวันเดียวกันด้วยนะ มันเป็นไปได้ไง ทำไมบริษัทถึงยอมเอาเงินทิ้งน้ำเฉยๆ ซะงั้น?

 

พอมันหาเหตุผลทางการลงทุนหรืออย่างอื่นมาสนับสนุนไม่ได้เลย ทางสรรพากรเลยตีว่าการที่คุณได้หุ้นในราคาบาทเดียวซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดขนาดนี้ ส่วนต่างมันคือประโยชน์ที่คิดคำนวณมูลค่าเป็นเงินได้เลยนะ

 

สรรพากรเลยใช้ช่องนี้แหละประเมินว่า เออ ถึงคุณจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่การที่คุณซื้อหุ้นชินคอร์ปได้ในราคาสุดพิเศษขนาดนี้เนี่ยแหละ ส่วนต่าง 48.25 บาทต่อหุ้น รวมแล้วราวๆ 15,883.9 ล้านบาท คือเงินได้ที่ทั้งคู่ต้องนำมาเสียภาษี สรรพากรก็เลยส่งหมายเรียกไปหาทั้งคู่ให้เคลียร์ประเด็นนี้และประเมินภาษีเงินได้ของปีภาษี 2549 (ปีที่ขายหุ้นชินคอร์ป) ในที่สุด

 

9. ทั้งคุณโอ๊คและคุณเอมยื่นต่อสู้คดีไปตั้งแต่ชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งเป็นด่านแรกก่อนจะขึ้นศาลภาษี (คดีภาษีไปฟ้องศาลภาษีทันทีไม่ได้) แต่ทั้งคู่แพ้ เลยไปสู้คดีกันที่ศาลภาษีอากรกลางต่อ

 

ระหว่างพิจารณาอยู่ในศาลภาษีอากรกลาง เมื่อปี 2553 ก็มีอีกคดีของคุณทักษิณมีคำพิพากษาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตัดสินว่า หุ้นชินคอร์ปที่บริษัท Ample Rich เคยถือไว้จนกระทั่งมาถึงมือของคุณโอ๊คคุณเอม จนขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่จริงแล้วทั้งหมดนั้นเป็นของคุณทักษิณทั้งหมดเลยนะ ทั้งบริษัท Ample Rich ทั้งคุณโอ๊คคุณเอมเป็นแค่ nominee ของคุณทักษิณเฉยๆ เพราะคุณทักษิณคือตัวการผู้มีอำนาจควบคุมตัวจริง

 

10. ในปีเดียวกัน คุณโอ๊คคุณเอมเลยนำผลของคำพิพากษาของคดีนั้นมาเพิ่มเป็นข้อต่อสู้ในศาลภาษีว่า ศาลฎีกายืนยันแล้วนะว่าหุ้นเป็นของคุณทักษิณ ไม่ใช่ของพวกผม พวกผมเป็นแค่ nominee

 

ศาลภาษีก็เห็นด้วยว่าเงินได้ก็ต้องเป็นของคุณทักษิณสิ ไม่ใช่เงินได้ของคุณโอ๊คคุณเอมซะหน่อยก็เลยจบคดีโดยพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ส่วนคุณโอ๊คคุณเอมไม่ต้องรับผิดชอบค่าภาษีในส่วนนี้แล้ว

 

ทางฝั่งสรรพากรก็จบไป ไม่ได้อุทธรณ์คดีต่อ และไม่ได้ออกหมายเรียกคุณทักษิณแล้วด้วย

 

11. หลังศาลวินิจฉัยเมื่อปี 2553 ว่าเจ้าของตัวจริงคือคุณทักษิณ ที่จริงสรรพากร “สามารถ” ออกหมายเรียกคุณทักษิณได้ทันทีเพราะรู้ข้อเท็จจริงแล้ว แต่ไม่ทำ (ให้ข้อสังเกตเพิ่มว่าช่วงปี 2553 เป็นรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ และปี 2554 เป็นรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์)

 

ปล่อยเวลาผ่านไปจนปี 2560 รัฐบาลพลเอกประยุทธก็แจ้งสรรพากรว่าเฮ้ย ข้อเท็จจริงคือคุณทักษิณคือเจ้าของหุ้นตัวจริงใช่มั้ย รู้มาตั้งแต่ปี 2553 แล้วด้วย งั้นแจ้งประเมินภาษีให้คุณทักษิณมาชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาย้อนหลังของปี 2549 จากเรื่องหุ้นชินคอร์ปจาก Ample Rich ด้วยสิ

 

12. ข้อต่อสู้ของคุณทักษิณ คือ เฮ้ย ถ้ายื่นภาษีแล้วจะประเมินภาษีย้อนหลัง ก็ทำได้นะ แต่อายุความคดีภาษีมันยืดได้สูงสุด 5 ปี ในเมื่อเป็นเรื่องภาษีเงินได้ของปีภาษี 2549 ซึ่งเราจะยื่นภาษีช่วงต้นปี 2550 ดังนั้น อายุความมันต้องไปจบแถวๆ 30 มีนาคม 2555 สิ

 

ทีนี้ สรรพากรก็รู้เรื่องคุณทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงตั้งแต่ปี 2553 แล้วนี่ เพราะลูกชายลูกสาวสู้คดีในศาลภาษีอยู่ แต่คุณไม่ได้ส่งหมายเรียกอะไรให้ผมเลย ผมกับลูกๆ เป็นคนละคนกัน มาถึงก็ตู้มเรียกประเมินภาษีผมเลยโดยไม่ส่งหมายเรียกระบุชื่อผมภายในอายุความก่อนได้ไง แบบนี้มันก็ไม่ถูกสิ มันผิดขั้นตอน

 

ทั้งศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีภาษีก็เห็นด้วยว่าสรรพากรติดกระดุมเม็ดแรกผิด ถ้ากระบวนการมันไม่ถูกต้องแต่แรกก็ไม่ต้องไปพิจารณาไส้ในต่อแล้ว คุณทักษิณเลยชนะคดีตลอดด้วยเหตุผลนี้

 

13. แต่สรรพากรสู้ยิบตายันศาลฎีกา คราวนี้ปี 2568 คดีพลิก ศาลฎีกาตัดสินให้คุณทักษิณแพ้ทั้งที่เคยชนะมา 2 ศาลแรก ทำให้คุณทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629 ล้านบาท

 

อ้าวแล้วเหตุผลเรื่องผิดขั้นตอนไม่ส่งหมายเรียกที่คุณทักษิณเคยชนะ 2 ศาลแรกล่ะ ศาลฎีกาคิดยังไง?

 

14. ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า nominee = หุ่นเชิดของคุณทักษิณ โดยคุณทักษิณเป็นตัวการ ส่วนลูกชายลูกสาวก็เป็นตัวแทนโดนเชิดอยู่ด้านหลัง

 

ดังนั้น ตอนหมายเรียกส่งถึงลูกชายลูกสาวตั้งแต่ตอนแรกสุดมันก็เลย “ผูกพัน” ถึงคุณทักษิณที่เป็น “ตัวการ” ด้วยไปแล้ว

 

ศาลเห็นว่าในเมื่อหมายเรียกมันถูกต้องตั้งแต่ตอนส่งให้ตัวแทนของคุณทักษิณ ไม่ต้องถามหาหมายเรียกระบุชื่อคุณทักษิณอีกแล้ว

 

15. ศาลฎีกาอธิบายเพิ่มเติม (ในเชิงสั่งสอน) อีกว่า การไปตั้งบริษัทที่ BVI ฝากหุ้นไว้ ควบคุมผ่านลูกชายลูกสาว แล้วซื้อหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทมาได้ในราคาบาทเดียว จนสุดท้ายเอาไปขายต่อในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิ์ยกเว้นภาษี ธุรกรรมเหล่านี้มันไม่มี “เหตุผลทางเศรษฐกิจ“ อะไรเลยนอกเหนือจากการหาประโยชน์และช่องทางหลบเลี่ยงภาษีเป็นเรื่องร้ายแรง ขาดคุณธรรมทางภาษี ถ้าปล่อยให้ทำได้เดี๋ยวอีกหน่อยจะกลายเป็นแบบอย่างของสังคมใช้นํามาอ้างเพื่อ ประโยชน์ทางภาษีส่วนตนเช่นนี้ได้อีก ไม่งั้นก็จะไม่แฟร์กับคนอื่นที่ทำทุกอย่างตรงไปตรงมาแล้วเสียภาษีถูกต้อง

 

สรุป ศาลเลยให้ประเมินภาษีตามสรรพากรนี้แหละ คุณทักษิณแพ้คดีในชั้นศาลฎีกา ต้องจ่ายภาษีรวมค่าปรับทั้งหมด 17,629 ล้านบาท ตอนนี้คดีถึงที่สุดแล้วด้วย ไปต่อไม่ได้แล้ว

 

16. เงิน 17,629 ล้านบาท คำนวณจากไหน? เงินก้อนนี้มาจากโครงสร้าง 3 ส่วน ได้แก่

 

(1) ค่าภาษี โดยคิดจากฐานส่วนต่างกำไร 15,883.9 ล้านบาท

 

อัตราภาษีสูงสุดปี 2549 อยู่ที่ 37% (ไม่ใช่ 35% แบบทุกวันนี้) เลยคำนวณภาษีได้ประมาณ 5,877 ล้านบาท

 

(2) เบี้ยปรับ เกิดจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ค่าปรับเพราะยื่นภาษีแต่จ่ายภาษีไม่ครบอีก 1 เท่าของค่าภาษีที่ค้าง เลยคำนวณเบี้ยปรับได้ 5,877 ล้านบาท

 

(3) เงินเพิ่ม เป็นเหมือนดอกเบี้ยเพราะจ่ายภาษีช้ากว่ากำหนด โดยปกติจะคิดในอัตรา 1.5% ต่อเดือน แต่พอดีมันหลายปี เลยทบกันมาเรื่อยๆ ซึ่งกฎหมายกำหนดเพดานให้เงินเพิ่มคิดได้สูงสุดเท่ากับค่าภาษี คือ อีก 5,877 ล้านบาท

 

รวม 3 ก้อนนี้เลยได้ค่าภาษี + เบี้ยปรับ + เงินเพิ่ม = 17,629 ล้านบาท

 

ทำไปทำมาได้กำไร 15,883.9 ล้านบาท แต่โดนภาษีไป 17,629 ล้านบาท ภาษีแพงกว่ากำไรอีก

 

17. คุณทักษิณจะเอาเงิน 17,629 ล้านบาท จากที่ไหนมาจ่าย?

 

แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆ ถ้าเอาไปสร้างตึก สตง. ใหม่ เราจะสร้างได้พร้อมกัน 8 ตึกเลย แถมยังมีเงินเหลือทอนด้วย ซึ่งกระบวนการบังคับจัดเก็บภาษีจะกลับไปเป็นหน้าที่ของทางสรรพากรอีกครั้ง

 

โดยปกติ คุณทักษิณก็จะต้องชำระภาษีตามจำนวนดังกล่าว โดยอาจเจรจาทำเรื่องขอลดเบี้ยปรับกับทางกรมสรรพากรได้ และค่าภาษีจำนวนนี้ก็อาจจะขอผ่อนได้ด้วย ส่วนจะต้องผ่อนกี่งวด งวดละกี่บาทก็ค่อยไปว่ากัน เพราะมีลำดับในการพิจารณาภายในกรมสรรพากรเองอยู่แล้ว

 

แต่ถ้าคุณทักษิณไม่ชำระก็จะไปสู่กระบวนการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระค่าภาษีที่ค้างชำระต่อไป ถ้าทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศ ทางการไทยอาจขอความร่วมมือตามไปยึดอายัดทรัพย์สินที่ต่างประเทศด้วย

 

18. คำพิพากษาศาลฎีกานี้ เป็นการวางรากฐานใหม่ว่าการวางแผนภาษีทำได้ตราบเท่าที่มีเหตุผลที่รับฟังได้มาสนับสนุนก็ยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าไม่เห็นเจตนาอื่นเลยนอกจากแค่จะหลบเลี่ยงภาษี ศาลมองว่าขาด “เหตุผลทางเศรษฐกิจ“ ก็จะไม่สนใจธุรกรรมนั้นแต่จะมองไส้ในเลยว่าสาระสำคัญเป็นอย่างไรกันแน่ ซึ่งแนวคิดนี้ในทางทฤษฎีเรียกว่า หลักทั่วไปของการป้องกันการเลี่ยงภาษี (General Anti-Avoidance Rule: GAAR)

 

หลักคิดเรื่อง GAAR มีหลายประเทศอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย จีน เยอรมัน หรือ อินเดีย ก็ใช้หลักนี้ ในเชิงวิชาการเลยน่าสนใจว่าคำพิพากษาศาลฎีกานี้เป็นหมุดหมายว่าประเทศไทยยอมรับ GAAR มาอยู่ในการพิจารณาคดีภาษีอากรในอนาคตแล้วใช่มั้ย (ตอนผมเรียก ป.เอก กฎหมายภาษี ทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง GAAR พอดี) ถ้าใช่ จะทำให้การวางแผนภาษีของคนรวยแบบ agressive tax planning อาจจะเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ และต้องปรับแผนการวางแผนภาษีกันใหม่รึเปล่า

 

19. คนไทยได้อะไรจากเรื่องนี้?

 

จากคดีนี้ อย่างน้อยมีเรื่องนึงที่เรายังสบายใจได้ คือ ศาลยังเห็นว่าเรายังมีสิทธิวางแผนภาษีได้เต็มที่ เพราะไม่มีกฎหมายฉบับไหนบอกให้เราต้องเสียภาษีให้แพงที่สุด เพียงแต่ว่าขอบเขตคือการวางแผนต้องอยู่บนพื้นที่ขาวสะอาด ไม่ทำอะไรเทาๆ เพราะจากนี้ไปมีความเป็นไปได้ว่าถ้าทำอะไรเทาแล้วไม่เห็นเจตนาอื่นนอกจากจะหลบภาษีนี้ จากนี้ไปอาจจะรอดยากมาก

 

เราคงได้ถกเถียงกันต่อว่าการวางแผนภาษีแบบ “ไม่ขาดคุณธรรมทางภาษี” หน้าตาควรเป็นแบบใด

 

ใจนึงรู้สึกคิดถึง ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร (คุณพ่อของคุณดิว วีรวัฒน์ วลัยเสถียร) ซึ่งเป็นมือวางแผนภาษีของดีลชินคอร์ปให้คุณทักษิณ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่น่าจะได้ฟังความเห็นอีกด้านของท่านด้วยว่าการวางแผนภาษีครั้งนั้นมีคุณธรรมทางภาษีอย่างไร ศาลตัดสินได้เหมาะสมหรือไม่

 

คดีนี้คือหนึ่งในคำพิพากษาภาษีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และคงเป็นบรรทัดฐานใหม่ของคดีหลีกเลี่ยงภาษีอีกนานหลายสิบปี

The post สรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ https://thestandard.co/thaksin-tax-payment-order-progress/ Tue, 18 Nov 2025 06:09:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1144489 ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ

ปลัดคลังเผย ‘สรรพากร’ เตรียมรายงานแนวทางเรียกเก็บภาษีคด […]

The post ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ

ปลัดคลังเผย ‘สรรพากร’ เตรียมรายงานแนวทางเรียกเก็บภาษีคดีขายหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้าน หลังศาลฎีกาพิพากษากลับ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ ส่วนกรณีที่ทรัพย์สินอาจอยู่ในชื่อลูกหรือหลาน ให้รอแถลงการณ์จากกรมสรรพากร

 

วันนี้ (18 พฤศจิกายน) ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าหลังศาลฎีกามีคำพิพากษากลับในคดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า จะมีการแถลงแนวทางการเรียกเก็บภาษีหลังจากนี้ แต่จำเป็นต้องรอการรายงานจากกรมสรรพากรเสียก่อน เพื่อความถูกต้องและชัดเจนของข้อมูล เนื่องจากเป็นประเด็นที่สาธารณชนให้ความสนใจ

 

“เข้าใจว่าเมื่อวานนี้ (17 พฤศจิกายน) สรรพากรเขาดำเนินการประชุมกันกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่ากระบวนการหลังจากนี้ต้องทำอย่างไร ก็เดี๋ยวรอให้สรรพากรมารายงาน เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง หรือรอกรมสรรพากรแถลงข่าวเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ก็ต้องมีความชัดเจน” ลวรณกล่าว

 

สำหรับระยะเวลาในการดำเนินคดีซึ่งถูกตั้งคำถามว่านานไปหรือไม่ ด้านลวรณระบุว่า ขั้นตอนดังกล่าวเป็นไปตามแนวปฏิบัติปกติของกรมสรรพากร พร้อมชี้ว่า อย่าไปมองที่ตัวบุคคล หรือวงเงิน เพราะขั้นตอนการดำเนินงานเป็นเหมือนกันหมดทุกคดี

 

รวมถึงระยะเวลาพิจารณาคดี ซึ่งลวรณระบุว่า เป็นการดำเนินไปตามขั้นตอนของศาล โดยกล่าวว่า “ไม่เร็วทันใจหรอก หลายคดีกว่าจะฟ้องกันจบ ทั้งสามศาล ก็ 6-7 ปีเหมือนกัน”

 

สำหรับขั้นตอนการสืบทรัพย์ กระบวนการบังคับคดี ลวรณกล่าวว่า ให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอัยการสูงสุดสามารถสืบทรัพย์และอายัดได้แม้อยู่ต่างประเทศ

 

ส่วนกรณีที่ทรัพย์สินอาจอยู่ในชื่อลูกหรือหลาน ลวรณระบุว่า ต้องรอให้กรมสรรพากรแถลงเพื่อความถูกต้อง และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

The post ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว https://thestandard.co/opinion-global-market-10-stocks/ Sun, 16 Nov 2025 05:51:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1143853 ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ Nasdaq มีการ […]

The post ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ Nasdaq มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว่าก็คือ หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 7-10 ตัวที่นักลงทุนเรียกว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าดัชนีและหุ้นอื่นๆ มาก

 

การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ Nvidia นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 700-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย

 

และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐฯ และจีนในแง่ของ GDP พูดง่ายๆ Market Cap. ของ Nvidia ใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์เช่นเดียวกัน

 

“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้น Nvidia, Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, Broadcom, Meta, Tesla, Berkshire Hathaway และ JPMorgan มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านดอลลาร์ นับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P 500 ที่ 61 ล้านล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว

 

พูดอย่างหยาบๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้

 

นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือการเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่างๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่าจริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้

 

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว

 

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่นๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน

 

ตลาดหุ้นไทย ณ ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้น Nvidia ที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ

 

ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย

 

มาดูตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้น Samsung หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ทั้งหมด

 

ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้ายๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริงๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านดอลลาร์

 

หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อนๆ

 

หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านดอลลาร์ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้น Toyota ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง 2.68 แสนล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด

 

สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วยการเปรียบเทียบต่างๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว

 

หุ้น Top10 ที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านดอลลาร์ ตามด้วย Alibaba และหุ้นอื่นๆ เช่น ธนาคารขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้น PetroChina และตบท้ายด้วยหุ้น Xiaomi ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม

 

โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ไทย เกาหลีใต้ เวียดนาม และสหรัฐฯ ที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด

 

ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด

 

มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น

The post ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Berkshire ทุ่ม 1.4 แสนล้านบาท ซื้อหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google แต่ยังทยอยขายหุ้น Apple ต่อเนื่อง https://thestandard.co/berkshire-buys-alphabet-sells-apple/ Sat, 15 Nov 2025 02:51:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1143590 Berkshire ทุ่ม 1.4 แสนล้านบาท ซื้อหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google แต่ยังทยอยขายหุ้น Apple ต่อเนื่อง

Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เปิดเผยการเข […]

The post Berkshire ทุ่ม 1.4 แสนล้านบาท ซื้อหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google แต่ยังทยอยขายหุ้น Apple ต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Berkshire ทุ่ม 1.4 แสนล้านบาท ซื้อหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google แต่ยังทยอยขายหุ้น Apple ต่อเนื่อง

Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เปิดเผยการเข้าถือหุ้นใหม่ใน Alphabet (GOOGL) ซึ่งทำให้บริษัทแม่ของ Google กลายเป็นหุ้นที่มีการถือครองใหญ่เป็นอันดับ 10 ของกลุ่มบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน ตามเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล

 

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า Berkshire เปิดเผยการถือครองหุ้นมูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท ในหุ้น Alphabet ณ สิ้นไตรมาสที่สาม ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจ เมื่อพิจารณาถึงปรัชญาการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) แบบดั้งเดิมของบัฟเฟตต์ และความลังเลของเขาต่อหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง

 

แม้ว่า Berkshire จะถือหุ้น Apple (AAPL) มานานหลายปี แต่บัฟเฟตต์ก็เรียกมันว่าเป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่าที่จะเป็นหุ้นเทคโนโลยีแท้ๆ

 

การซื้อครั้งนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าดำเนินการโดยผู้จัดการการลงทุนของ Berkshire อย่าง ท็อดด์ โคมส์ หรือ เท็ด เวชเลอร์ ซึ่งมีบทบาทในการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีมากกว่า โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้ริเริ่มการลงทุนใน Amazon (AMZN) เมื่อปี 2019 และ Berkshire ยังคงถือครองหุ้นอีคอมเมิร์ซดังกล่าวอยู่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 7 หมื่นล้านบาท

 

Alphabet เป็นผู้ชนะที่โดดเด่นของตลาดในปีนี้ โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 46% ความต้องการที่แข็งแกร่งสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ขับเคลื่อนโมเมนตัมที่มั่นคงในธุรกิจคลาวด์ของ Alphabet

 

ก่อนหน้านี้บัฟเฟตต์เคยยอมรับว่าเขา “พลาดไปแล้ว” ที่ไม่ได้ลงทุนใน Google ตั้งแต่เนิ่นๆ แม้ว่าเขาจะมองเห็นศักยภาพด้านการโฆษณาของมันก็ตาม Geico หน่วยธุรกิจประกันภัยรถยนต์ของ Berkshire เป็นลูกค้ารายแรกๆ ของ Google โดยจ่ายเงินให้เครื่องมือค้นหา 10 เหรียญทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาในเวลานั้น

 

“ผมเห็นว่าผลิตภัณฑ์มันเวิร์ก และผมรู้ว่าพวกเขามีมาร์จิ้นแบบไหน” บัฟเฟตต์กล่าวในปี 2018 “แต่ผมไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีดีพอที่จะรู้ว่านี่คือผู้ที่จะหยุดการแข่งขันได้”

 

การลดสัดส่วนหุ้น Apple

 

Berkshire ยังคงเดินหน้าลดสัดส่วนการถือหุ้น Apple ขนาดใหญ่ลงอย่างต่อเนื่อง โดย ลดตำแหน่งการถือครองลงอีก 15% ในไตรมาสนี้ เหลือ 6.07 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2 ล้านล้านบาท

 

บัฟเฟตต์ได้เริ่มการเทขาย Apple อย่างมีนัยสำคัญในปี 2024 โดยลดจำนวนหุ้นที่ Berkshire ถือครองลงถึงสองในสาม Berkshire ยังได้ลดการถือครองในไตรมาสที่สองของปีนี้ด้วย แม้จะมีการขายอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ผลิต iPhone ก็ยังคงเป็นหุ้นที่ Berkshire ถือครองใหญ่ที่สุด

 

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังได้ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Bank of America (BAC) ลง 6% เหลือมูลค่าการถือครองต่ำกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์เล็กน้อย หรือราว 9.9 แสนล้านบาท นอกจากนี้ Berkshire ยังลดการถือครองใน Verisign และ DaVita ในไตรมาสที่สามด้วย

 

Berkshire อยู่ในฐานะ ‘ผู้ขายสุทธิ’ มานานถึง 12 ไตรมาสติดต่อกัน ในขณะที่มูลค่าหุ้นยังคงไต่ระดับสูงขึ้นในตลาดกระทิงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

 

บัฟเฟตต์ วัย 95 ปี กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ในสิ้นปีนี้ โดยมี เกร็ก เอเบล ผู้ช่วยที่ร่วมงานกันมานาน เตรียมเข้ารับตำแหน่งต่อ นักลงทุนต่างกำลังจับตาดูการปรับตำแหน่งของ Berkshire อย่างใกล้ชิดเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับยุคต่อไปของการเป็นผู้นำ และแนวทางการลงทุนของบริษัทอาจจะพัฒนาไปอย่างไร

 

อ้างอิง:

The post Berkshire ทุ่ม 1.4 แสนล้านบาท ซื้อหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google แต่ยังทยอยขายหุ้น Apple ต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>