หุ้นสหรัฐฯ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 19 Nov 2024 04:41:21 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชมคลิป: หุ้น Tesla พุ่ง หลัง ‘ทรัมป์’ เล็งผ่อนปรนกฎเกณฑ์ยานยนต์ไร้คนขับของสหรัฐฯ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-19112024-2/ Tue, 19 Nov 2024 06:05:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1010268

หุ้นของ Tesla พุ่งสูง (18 พฤศจิกายน) หลังมีรายงานว่าทีม […]

The post ชมคลิป: หุ้น Tesla พุ่ง หลัง ‘ทรัมป์’ เล็งผ่อนปรนกฎเกณฑ์ยานยนต์ไร้คนขับของสหรัฐฯ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

หุ้นของ Tesla พุ่งสูง (18 พฤศจิกายน) หลังมีรายงานว่าทีมงานของ ‘ทรัมป์’ มีแผนกำกับดูแลรถยนต์ไร้คนขับให้มีความสำคัญสูงสุดสำหรับกระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: หุ้น Tesla พุ่ง หลัง ‘ทรัมป์’ เล็งผ่อนปรนกฎเกณฑ์ยานยนต์ไร้คนขับของสหรัฐฯ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
MicroStrategy ถือ Bitcoin มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดนับแต่ปี 2020 https://thestandard.co/microstrategy-bitcoin-26000-million-return-2020/ Sun, 17 Nov 2024 09:50:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1009817 microstrategy

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 Michael Saylor ผู้ร่วมก่อตั้ง แล […]

The post MicroStrategy ถือ Bitcoin มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดนับแต่ปี 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
microstrategy

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 Michael Saylor ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการของ MicroStrategy ตัดสินใจเริ่มลงทุนใน Bitcoin ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนขึ้นต่อเนื่อง จนปัจจุบันมูลค่าการถือครอง Bitcoin ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9 แสนล้านบาท

 

มูลค่าของ Bitcoin ในระดับนี้ทำให้ MicroStrategy กลายเป็นบริษัทที่มีเงินสดและสินทรัพย์ทางการเงินคิดเป็นมูลค่ามากกว่าบริษัทชั้นนำอย่าง IBM, Nike และ Johnson & Johnson จากข้อมูลของ Bloomberg โดยมีบริษัทชั้นนำเพียง 10 กว่าแห่ง เช่น Apple และ Alphabet ที่มีสินทรัพย์ในคลังมากกว่า

 

ราคาหุ้นของ MicroStrategy เพิ่มขึ้นกว่า 2,500% หรือกว่า 250 เท่า ตั้งแต่กลางปี 2020 ซึ่งมากกว่าการปรับตัวขึ้นของ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 700% ในช่วงเวลาเดียวกัน และทำให้บริษัทกลายเป็นหุ้นสหรัฐอเมริกาที่มีผลตอบแทนสูงสุดท่ามกลางราคา Bitcoin ที่กำลังพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 93,500 ดอลลาร์

 

อย่างไรก็ตาม Dave Zion ผู้ก่อตั้ง Zion Research Group กล่าวว่า “งบดุลของบริษัทขึ้นอยู่กับราคาของ Bitcoin เป็นหลัก” โดย MicroStrategy ไม่มีอำนาจควบคุมราคา Bitcoin และกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาดที่อาจสูงขึ้นหรือลดลง

 

ในขณะที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจหรือคืนผลตอบแทน เช่น การจ่ายเงินปันผลหรือซื้อหุ้นคืน แต่ Saylor โต้แย้งว่ากลยุทธ์ ‘ซื้อและถือ’ ของเขาจะสร้างผลประโยชน์ให้ผู้ถือหุ้นโดยตรง

 

Saylor ยังคงเพิ่มการลงทุน โดยตั้งเป้าระดมทุน 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 3 ปีข้างหน้า รวมถึงการสะสม Bitcoin ที่ใช้ต้นทุนรวมประมาณ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันเกินครึ่ง

 

อ้างอิง:

The post MicroStrategy ถือ Bitcoin มูลค่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดนับแต่ปี 2020 appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิเคราะห์หั่นคาดการณ์กำไรหุ้นสหรัฐฯ ปี 2025 ต่อเนื่อง สวนทางราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาจนแพงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง https://thestandard.co/us-stocks-2025-profit-outlook/ Sun, 17 Nov 2024 07:34:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1009663 หุ้นสหรัฐ

นักวิเคราะห์จาก Wall Street เริ่มปรับลดคาดการณ์การเติบโ […]

The post นักวิเคราะห์หั่นคาดการณ์กำไรหุ้นสหรัฐฯ ปี 2025 ต่อเนื่อง สวนทางราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาจนแพงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นสหรัฐ

นักวิเคราะห์จาก Wall Street เริ่มปรับลดคาดการณ์การเติบโตของกำไรปีหน้าของบริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้การปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 ชะลอตัว

 

ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ตัวชี้วัด Earnings-Revision Momentum ซึ่งเป็นดัชนีที่วัดการปรับขึ้นและลงของคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลงมาอยู่ที่ 274 ดอลลาร์ จากที่เคยถูกคาดการณ์ขึ้นไปถึง 279.7 ดอลลาร์เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

 

โดยคาดการณ์กำไรที่ 274 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่ามุมมองเมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตามแม้ว่ากำไรต่อหุ้นจะถูกปรับลดประมาณการลง แต่ยังเป็นการเติบโตได้ 15% จากปีนี้ แต่ปัญหาคือการเติบโตของกำไรในปีถัดๆ ไปอาจชะลอลงต่อเนื่อง และไม่เพียงพอต่อความคาดหวังของนักลงทุนบนตลาดกระทิง

 

ปัจจุบันดัชนี S&P 500 มี P/E 22 เท่าของคาดการณ์กำไรใน 12 เดือนข้างหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 18.4 เท่า

 

อดัม ฟิลลิปส์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์พอร์ตโฟลิโอของ EP Wealth Advisors ระบุว่า “การลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าที่คาดอาจสร้างแรงกดดันต่อความคาดหวังด้านกำไรที่สูงในไตรมาสถัดๆ ไป”

 

กำไรของบริษัทต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มุมมองเชิงลบต่อการเติบโตของกำไรอาจกระทบต่อการปรับตัวขึ้นของ S&P 500 โดยเฉพาะหลังจากปีนี้ที่ดัชนีเพิ่มขึ้นกว่า 20% จนทำให้หุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่าแพงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2021

 

จีนา มาร์ติน อดัมส์ หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านหุ้นจาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า “ตลาดกำลังเผชิญความเสี่ยงต่อการปรับตัวลง โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองในปี 2025 คือ การผ่อนคลายนโยบายของ Fed และการเติบโตของกำไรที่อาจไม่กระจายไปถึงกลุ่มที่ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่”

 

แม้จะมีการปรับลดคาดการณ์ในระยะยาว แต่นักวิเคราะห์ยังคาดว่า กำไรไตรมาส 3 ของบริษัทใน S&P 500 จะเติบโต 8.5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงปรับลดคาดการณ์ EPS ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากผู้บริหารหลายบริษัทให้มุมมองที่ไม่ชัดเจนหรือหลีกเลี่ยงการคาดการณ์อนาคต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ และนโยบายการคลังในสหรัฐฯ

 

อ้างอิง:

The post นักวิเคราะห์หั่นคาดการณ์กำไรหุ้นสหรัฐฯ ปี 2025 ต่อเนื่อง สวนทางราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาจนแพงสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ‘ทักษิณ’ ลั่น เงินหมื่น เฟส 2 มาแน่ ‘พิชัย’ รับลูกชงเข้าบอร์ดเศรษฐกิจ | Morning Wealth 15 พ.ย. 2567 https://thestandard.co/morning-wealth-15112024/ Fri, 15 Nov 2024 01:45:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1008883

อดีตนายกฯ ‘ทักษิณ’ ประกาศลั่นแจกเงินหมื่น เฟส 2 มาแน่ ด […]

The post ชมคลิป: ‘ทักษิณ’ ลั่น เงินหมื่น เฟส 2 มาแน่ ‘พิชัย’ รับลูกชงเข้าบอร์ดเศรษฐกิจ | Morning Wealth 15 พ.ย. 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>

อดีตนายกฯ ‘ทักษิณ’ ประกาศลั่นแจกเงินหมื่น เฟส 2 มาแน่ ด้าน ‘พิชัย’ รมว.คลัง รับลูก เตรียมหารือที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ รายละเอียดเป็นอย่างไร

 

นโยบายทรัมป์จุดไฟ ‘หุ้นเล็กสหรัฐฯ’ โอกาสลงทุนที่ต้องจับตา พูดคุยกับ ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล, FRM Director ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM)

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

 

The post ชมคลิป: ‘ทักษิณ’ ลั่น เงินหมื่น เฟส 2 มาแน่ ‘พิชัย’ รับลูกชงเข้าบอร์ดเศรษฐกิจ | Morning Wealth 15 พ.ย. 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นสหรัฐฯ วิ่งนำตลาดรับทรัมป์ชนะเลือกตั้ง สวนทางตลาดหุ้นจีนที่ถูกเทขาย https://thestandard.co/us-markets-soar-trump-victory/ Wed, 06 Nov 2024 09:45:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1005361

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นโลกในวันนี้ (6 พฤศจิกายน) ดัชนีหุ […]

The post หุ้นสหรัฐฯ วิ่งนำตลาดรับทรัมป์ชนะเลือกตั้ง สวนทางตลาดหุ้นจีนที่ถูกเทขาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นโลกในวันนี้ (6 พฤศจิกายน) ดัชนีหุ้นของสหรัฐฯ ทั้ง Dow Jones +2.1%, S&P 500 +1.8%, Nasdaq 100 +1.6% และ Russell 2000 +4.5% โดดเด่นกว่าตลาดอื่นๆ ทั่วโลก

 

โดยปัจจัยหนุนสำคัญต่อหุ้นสหรัฐฯ ในเวลานี้คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

 

ขณะที่หุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงถูกเทขายในวันนี้ กดดันให้ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลดลง -2.4%

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า จากสถิติที่ผ่านมาหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างโดดเด่นในช่วงของการเลือกตั้งไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ส่วนดัชนีจะปรับขึ้นได้รุนแรงแค่ไหนอาจขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งด้วย

 

สำหรับครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะ ยิ่งทำให้หุ้นสหรัฐฯ ได้ปัจจัยหนุนโดยตรง เนื่องจากนโยบายที่ค่อนข้างเป็นบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดภาษีธุรกิจหรือการลดภาษีคนรวย

 

และด้วยการชนะโดยมีเสียงข้างมากทั้งในสภาสูงและสภาล่าง หรือที่เรียกว่า Red Sweep ทำให้นโยบายต่างๆ ของทรัมป์จะทำได้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน

 

จากสถิติในช่วงที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 พบว่าดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 1 ปี 3 เดือน เพิ่มขึ้นราว 38% อย่างไรก็ตาม การ Outperform ของหุ้นสหรัฐฯ ต่อหุ้นในตลาดเกิดใหม่ หากอิงจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 น่าจะเด่นชัดในช่วง 1-3 เดือนแรก

 

นอกจากหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ตลาดหุ้นอื่นๆ ที่น่าจะได้ประโยชน์คือหุ้นญี่ปุ่น จากการอ่อนค่าของเงินเยนเทียบกับดอลลาร์ รวมทั้งหุ้นเวียดนามที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งวันนี้ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้น 2.16% ส่วนดัชนี VN 30 ของเวียดนาม ปรับตัวขึ้น 1.23%

 

ในมุมกลับกัน ตลาดหุ้นจีนน่าจะเป็นฝั่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการชนะของทรัมป์ นอกจากแรงเทขายในตลาดหุ้นฮ่องกงแล้ว ดัชนี CSI 300 ของหุ้นจีนก็ปรับตัวลดลง 0.5%

 

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อื่นๆ หลังการประกาศชัยชนะของทรัมป์ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยราคาทองคำลดลงมาอยู่ที่ 2,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลง 0.3% ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 70.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 1.64% ส่วนราคา Bitcoin พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ที่ราว 75,000 ดอลลาร์​ ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ราว 73,000 ดอลลาร์

 

ภาพ: Malchev / shutterstock

The post หุ้นสหรัฐฯ วิ่งนำตลาดรับทรัมป์ชนะเลือกตั้ง สวนทางตลาดหุ้นจีนที่ถูกเทขาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
มองข้ามช็อตเลือกตั้งสหรัฐฯ ปั้นพอร์ตเติบโตยั่งยืน https://thestandard.co/opinion-port-after-us-election/ Wed, 30 Oct 2024 07:46:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1001782

ใกล้เข้ามาแล้ว! ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 กับการชิงตำแหน่ […]

The post มองข้ามช็อตเลือกตั้งสหรัฐฯ ปั้นพอร์ตเติบโตยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ใกล้เข้ามาแล้ว! ศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 กับการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ที่จะรู้ผลการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้

 

ศึกเลือกตั้งที่ห้ำหั่นกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ชวนให้นักลงทุนหลายคนต้องลุ้นตามกันว่าใครจะชนะในเกม ‘การเลือกตั้ง’ ครั้งนี้!

 

คำถามยอดฮิตที่ตามมาในช่วงนี้คือ หากพรรคหนึ่งพรรคใดได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร? อุตสาหกรรมไหนจะได้ประโยชน์? และจะจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรดี 

 

มาฟังคำตอบกันครับ ผมจะพาคุณไปเจาะลึกสถิติตลาดหุ้นก่อนและหลังการเลือกตั้งในอดีต และวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดหุ้นในอนาคต พร้อมเผยเคล็ดลับการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกระดับ

 

เปิดสถิติ 100 ปีหุ้นสหรัฐฯ หลังเลือกตั้ง…ไปต่อไหวแค่ไหน! 

 

โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว

 

ศึกการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในรอบนี้นับเป็นการแข่งขันที่มีความคู่คี่สูสีมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริการะหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน กับ คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ภายหลังการถอนตัวของ โจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่มีปัญหาด้านอายุและสุขภาพ

 

ในช่วงหลังๆ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักจะมีประเด็นปัญหาใหญ่ที่ชาวอเมริกันให้ความสำคัญและความสนใจ เป็นปัญหาภายในประเทศที่สำคัญๆ ประกอบด้วยภาษี, การว่างงาน, อาวุธปืน, การทำแท้ง, ผู้อพยพ และการประกันสุขภาพ 

 

ส่วนหนึ่งของประเด็นเหล่านี้ก็จะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่มีความขัดแย้งกันอย่างเด่นชัดนับตั้งแต่ปี 2010 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนกลายเป็นประเด็นที่นำมาสู่วาระนโยบายใหญ่ของทั้งสองพรรค เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี 

 

ทั้งสองพรรคจะชูนโยบายแตกต่างกัน เพราะเน้นตอบโจทย์ไปคนละกลุ่มเป้าหมาย โดยพรรครีพับลิกันจะเน้นไปทางฝั่งนายทุน แนวนโยบายจะออกมารูปแบบกระตุ้นการลดภาษีนิติบุคคลและสนับสนุนการลงทุนภาคธุรกิจใหญ่ๆ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมน้ำมัน และอุตสาหกรรมพลังงาน

 

ถ้าเป็นพรรคเดโมแครตจะออกนโยบายที่ตอบโจทย์กลุ่มประชาชนทั่วไปหรือกลุ่มรากหญ้า คนทำงานมนุษย์เงินเดือน จะเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ชูการใช้จ่าย, การขึ้นค่าแรง และประกันสุขภาพต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

 

เพราะฉะนั้นนโยบายของสองพรรคนี้จึงมีความแตกต่างกัน 

 

ทำไมนักลงทุนทั่วโลกถึงให้น้ำหนักปัจจัยการเลือกตั้งสหรัฐฯ ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นน่ะหรือครับ ผมขอตอบให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นแบบนี้ครับ 

 

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจสูงสุดของโลก การได้ผู้นำคนใหม่ก็อาจมีผลต่อแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ใช่กระทบแค่คนอเมริกัน แต่อาจกระทบไปถึงคนทั้งโลก เพราะฉะนั้นไม่ว่าสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ย่อมจะต้องไปกระทบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงสินทรัพย์ของประเทศที่เราเข้าไปลงทุนด้วย 

 

คุณเชื่อไหมครับว่าจริงๆ แล้วปัจจัยการเลือกตั้งส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักลงทุนระยะสั้นมากกว่าครับ นั่นก็เพราะว่านโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลานั้นๆ ดังนั้นการเก็งกำไรระยะสั้นอาจมีผลกระทบครับ 

 

แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว มุมมองของนักลงทุนสาย VI ระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ลงทุนมาตลอดชีวิตเคยกล่าวไว้ว่า “I don’t try and guess when to get in and out of the market.” ความหมายของปู่บัฟเฟตต์คือ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะออกมาเป็นอย่างไรหรือพรรคไหนจะได้ปู่บัฟเฟตต์ไม่ได้สนใจมากนัก แต่จะยังซื้อหุ้นที่อยากซื้อ แม้จะเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งก็ยังคงซื้อ หรือจบการเลือกตั้งไปแล้วก็ยังซื้อหุ้นอยู่ดี เพราะมองว่าสุดท้ายแล้วถึงอย่างไรเศรษฐกิจอเมริกาก็ต้องเติบโตต่อไปในระยะยาว แม้ว่าอาจจะมีบางปีที่เศรษฐกิจถดถอยลงบ้างก็ตาม

 

ถ้าเราไปดูสถิติในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกาในปีที่มีการเลือกตั้งเป็นอย่างไรกันแน่

 

ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีผู้นำประเทศจำนวนมาก เพราะทุก 4 ปีจะมีการเลือกตั้ง จนถึงปี 2016 เป็นปีสุดท้ายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกันในสมัยนั้น (ไม่นับรวม โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่ยังไม่หมดวาระ) สหรัฐฯ มีการเลือกตั้งแล้วกว่า 20 ครั้ง พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1928-​2016 ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนโดยรวมเฉลี่ยปีละ 11.28% จากการเลือกตั้งทั้งหมด 23 ครั้งนับตั้งแต่ S&P 500 เริ่มก่อตั้ง โดยผลตอบแทนเป็นบวก 19 ครั้ง คิดเป็น 83% ของทั้งหมด ซึ่งก็ค่อนข้างจะล้อไปกับที่เคยบอกว่า ในช่วงเวลาทุกๆ 10 ปีจะมี 7-8 ปีที่ตลาดปรับขึ้น และปรับลงประมาณ 2-3 ปี เพราะฉะนั้นไม่ว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้งก็ไม่ค่อยส่งผลมากนัก โดยเฉพาะในปีที่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ส่วนมากตลาดหุ้นจะเป็นบวกมากกว่าครับ

 

ขณะที่ข้อมูลสถิติในปีที่มีการเลือกตั้ง หากเป็นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 15.30% ส่วนประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.60% ต่อปี 

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สาเหตุที่ทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออกมาแตกต่างกันมาก เนื่องมาจากปี 2008 เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ในอเมริกา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ทำให้ติดลบมากที่สุดประมาณ 33% ซึ่งวิกฤตดังกล่าวเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช บริหารประเทศ เพราะฉะนั้นเมื่อ บารัก โอบามา เข้ามานั่งประธานาธิบดีรับช่วงต่อในสมัยนั้น จึงเรียกว่าเข้ามารับเผือกร้อนนี้ ทำให้ภาพรวมผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วงที่พรรคเดโมแครตถูกฉุดลงต่ำ แต่หากดูภาพรวมในปีที่ตลาดหุ้นติดลบ ผลตอบแทนจะติดลบเฉลี่ยเพียงไม่กี่สิบเปอร์เซ็นต์ และหากตัดช่วงปี 2008 ที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ออกไปแล้วก็พบว่าผลตอบแทนของทั้งสองพรรคจะไม่ต่างกันมากขนาดนั้นครับ 

 

แต่สุดท้ายแล้วแม้ในปี 2008 หลังการเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะติดลบหนัก แต่ก็สามารถพลิกฟื้นคืนกลับมาเป็นบวกแรงได้ในปี 2009 เนื่องจากสหรัฐฯ​ มีการรีเซ็ตเศรษฐกิจด้วยมาตรการต่างๆ จนสามารถทำให้ GDP เติบโตต่อไปในระยะยาว 

 

หรือแม้แต่ในช่วงปี 2001 ที่เกิดวิกฤตดอทคอมขึ้นในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ติดลบ 9.1% ซึ่งเป็นช่วงสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และมีการใช้นโยบายผ่อนคลายปริมาณทางการเงิน หรือที่เรียกกันว่ามาตรการ QE ซึ่งช่วงนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระเบิด ก็จะมี 2 วิกฤตนี้ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พัง นี่คือสถานการณ์ในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างมากกว่า ไม่ใช่เชิงนโยบายทางการเมือง 

 

ผมย้อนไปดูผลตอบแทนหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา หลังการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนจะชนะ ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ส่วนใหญ่จะเป็นบวกเสมอ ยกเว้นปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ปี 2001 และ 2008 

 

เพราะฉะนั้นโดยภาพรวมของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผมมองว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขึ้น-ลงของตลาดหุ้นในระยะยาว แต่จะมีผลต่อตลาดในระยะสั้น เพราะอาจขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละพรรคด้วย 

 

สำหรับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในครั้งนี้เราเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นบวกค่อนข้างมากตั้งแต่ปี 2023 และปีนี้หลายคนก็คิดว่าหุ้นสหรัฐฯ อาจลดลง แต่ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังให้ผลตอบแทน +10-20% ผมคาดว่าหลังการเลือกตั้งในช่วงอีก 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ก็น่าจะปิดบวกได้ตามสถิติจริงๆ ถ้าเราลงทุนตลาดหุ้นอิงตามสถิติ ในช่วง 5 ปีน่าจะเห็นผลตอบแทนที่เป็นบวกครับ 

 

นักวิเคราะห์มองว่า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชนะเลือกตั้งในรอบนี้ ประเด็นที่จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นมากก็คือนโยบายหลักๆ จะเน้นไปที่ภาคธุรกิจ จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนหรือการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มที่สูงขึ้น และสุดท้ายเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างของอเมริกาในระยะยาวเป็นบวกด้วย

 

ผมอยากย้ำว่า ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ไม่ต้องไปกังวลว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงในช่วงระยะสั้น แต่สิ่งที่ควรจะดูมากกว่าคือ จากสถิติที่ผ่านมาข้างต้น หุ้นสหรัฐฯ ขึ้นมากกว่าลงในปีหลังการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นถ้าเราลงทุนต่อ หรือ Stay Invest โดยเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อยู่ เรื่องการซื้อหุ้นก่อนหรือหลังเลือกตั้งก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่าการให้น้ำหนักปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว 

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ในเวลานี้คือแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นำร่องลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ลงมาอยู่ที่ 4.75-5.25% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และคาดการณ์จะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องในปี 2025 ลดลงมาอยู่ระดับกว่า 3% เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแบบ Soft Landing รวมทั้งยังเป็นบวกต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจที่ลดลงจากเดิม ซึ่งน่าจะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน 

 

แต่ก็มีประเด็นที่นักวิเคราะห์กังวลว่า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งและดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่อาจกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้ออาจขยับกลับมาสูงได้ ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในระยะข้างหน้า เพราะฉะนั้นแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยลดลงของ Fed จึงยังต้องจับตาใกล้ชิด ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ เติบโต 2.7% ในปีนี้ และ 1.5% ในปี 2025

 

หุ้นจีนเสี่ยงแค่ไหนหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ

 

ทุกวันนี้ผมจำคำของปู่บัฟเฟตต์กล่าวไว้ได้เสมอ ‘Never bet against America.’

 

เวลาที่เห็นข่าวการเคลื่อนไหวของพอร์ตลงทุนจากบริษัท Berkshire Hathaway ของปู่บัฟเฟตต์ว่า ช่วงหลายปีมานี้ได้เข้าลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นเพิ่ม ออกพันธบัตรสกุลเงินเยน หรือแม้กระทั่งล่าสุดที่มีการขายหุ้นอเมริกาหลายตัวออกไป เป็นเรื่องปกติของผู้จัดการกองทุนที่จะต้องบริหารจัดการพอร์ต หรือ Reallocation หากเห็นว่ามีกำไรหรือราคาสูงเกินไปแล้ว หรืออาจมีความเสี่ยงสูงได้หากถือต่อไป จึงควรย้ายเงินไปกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่ยังให้ผลตอบแทนดีเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงในช่วงเวลานั้นๆ 

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณไปดูพอร์ตลงทุนโดยรวมของบริษัทดังกล่าว เงินลงทุนหลักๆ ยังอยู่ในสินทรัพย์อเมริกาที่เป็นประเทศบ้านเกิดของปู่บัฟเฟตต์และเป็นประเทศที่ลงทุนมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว ด้วยความเชื่อมั่นต่อการเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ปู่บัฟเฟตต์ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของโลก 

 

สิ่งที่สำคัญคือ ปู่บัฟเฟตต์ไม่ได้จับจังหวะการลงทุนเหมือนนักลงทุนที่เน้นเข้าๆ ออกๆ หวังเก็งกำไร รวมทั้งพยายามที่จะไม่คาดเดาตลาดจากปัจจัยระยะสั้นว่าใครจะชนะการเลือกตั้งหรือใครจะไปใครจะมาด้วย เพราะเป็นเรื่องระยะสั้น แต่ยึดหลักการที่เน้นลงทุนหุ้นในระยะยาว นับตั้งแต่ปี 1942 ปู่บัฟเฟตต์มีหุ้นอยู่ในพอร์ตตลอดและไม่เคยขายล้างพอร์ตหุ้นเลยครับ ยิ่งถ้าได้ลงทุนในธุรกิจที่ดี อยู่ในเศรษฐกิจที่ดีอยู่แล้ว จะมองว่าเราลงทุนได้เสมอ และเมื่อลงทุนไปแล้วก็ควรลงทุนต่อ หรือ Stay Invest ดีที่สุด และนี่คือสิ่งที่ทำให้ปู่บัฟเฟตต์สามารถสร้างความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องทุกวันนี้

 

ยังคงมีคำถามอีกว่า ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ รอบนี้จะกระทบประเทศจีนอย่างไร จะเกิดเป็นวิกฤตรุนแรงขึ้นมาได้อีกใช่ไหม

 

ส่วนตัวผมมองว่าปัจจุบันสหรัฐฯ มองจีนเป็นภัยคุกคามอยู่แล้ว เพราะจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้สหรัฐฯ กังวลว่าจีนจะขึ้นมาเบียดแซงสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้เกิดขึ้นมาในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว และไม่ว่าประธานาธิบดีจากพรรคไหนจะขึ้นมา ก็มีนโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษีหรือสิทธิบัตรต่างๆ ซึ่งประธานาธิบดีทุกคนก็สานต่อนโยบายนี้เสมอ เพื่อป้องกันประเทศถูกคุกคามจากจีน เพราะฉะนั้นเรื่องของการตั้งกำแพงภาษีหรือการกีดกันทางการค้าน่าจะเห็นไปต่ออย่างแน่นอน

 

แต่ก็มีข้อสังเกตจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ออกมาบอกว่า จากสถิติหลายๆ เหตุการณ์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ มักจะทำสิ่งที่ตลาดไม่คาดคิดเสมอ ซึ่งถ้าเขาชนะเลือกตั้งขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่ทุกคนกลัวกันมากและคาดกันว่าสหรัฐฯ จะไปกีดกันทางการค้ากับจีนมากยิ่งขึ้นกว่านี้ ก็อาจเห็นเซอร์ไพรส์ขึ้นมาก็ได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจไปจับมือกับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่มีใครคาดเดาได้ล่วงหน้าครับ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยๆ ผมเห็นตลาดหุ้นจีนได้รับรู้ หรือ Price In ไปล่วงหน้าแล้วหลังจากตลาดหุ้นจีนร่วงลงไปมากในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งวิตกกันมากว่าจีนจะถูกปล่อยโดดเด่น หรือ Isolate จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก 

 

ขณะที่ฝั่งรัฐบาลจีนไม่ได้นิ่งเฉย พร้อมตั้งรับเช่นกัน เช่น ประเด็นร้อนเรื่องชิป รัฐบาลจีนส่งสัญญาณให้นักธุรกิจจีนเลิกใช้ชิปจาก NVIDIA ของสหรัฐฯ และต่างประเทศเช่นกัน พร้อมกับหันมาใช้การผลิตชิปของจีนแทน รวมถึงปลุกกระแสชาตินิยม ส่งผลให้ยอดขาย iPhone ของสหรัฐฯ ตกลงมาแรงเช่นกัน ขณะที่ยอดขาย HUAWEI กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าชาวจีนหันมารักบ้านเกิด ใช้สินค้าแบรนด์ในประเทศมากกว่า โดยรัฐบาลปักธงการสร้างเศรษฐกิจจากภายในประเทศให้เติบโตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาฝั่งชาติตะวันตกมากเกินไป แม้อาจเกิดวิกฤตกีดกันทางการค้าขึ้นมาในระยะข้างหน้าได้ แต่อาจกระทบไม่หนักมาก 

 

ประกอบกับเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินมหาศาลกว่า 1.8 ล้านล้านหยวน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน อัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ พร้อมใส่ยาแรงแก้วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ จนสามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับมาได้ พร้อมกับพลิกตลาดหุ้นจีนเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิงในเดือนตุลาคม ดัชนี CSI 300 ดีดเด้งขึ้นมากกว่า 20% ในด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนยังคงเป้าหมาย GDP เติบโต 5% แม้ว่านักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าอาจจะต่ำกว่า 5% หลังจากที่ GDP ไตรมาส 3 อยู่ที่ 4.6%

 

ผมฉายภาพรวมของ 2 ตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็เป็นประเทศมหาอำนาจของโลก ทั้งสองตลาดนี้มีโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ‘ตลาดหุ้น’ ก็ขึ้น-ลงเหมือนเป็นรถไฟเหาะ แน่นอนว่าตลาดหุ้นคู่กับความผันผวนมาโดยตลอด เดี๋ยวข่าวโน้นมาทีข่าวนี้มาที เล่นกับอารมณ์ ชวนให้ ‘นักลงทุน’ แอบหวั่นไหวอยู่บ่อยๆ

 

ในการลงทุนผมย้ำกับลูกค้าเสมอว่า คุณจะต้องมีความรู้และความเข้าใจปัจจัยรอบด้านที่มีผลกระทบต่อพอร์ตลงทุน และอีกสิ่งสำคัญของ ‘การลงทุน’ คือการกระจายความเสี่ยงในประเภทของสินทรัพย์ที่หลากหลาย จะช่วยให้พอร์ตของคุณ ‘มั่นคง’ มากขึ้น ผันผวนน้อยลง รวมถึงการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (Dollar-Cost Averaging: DCA) ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องคอย ‘คาดเดา’ หรือพยายามที่จะจับจังหวะอย่างที่ปู่บัฟเฟตต์สอนไว้ครับ

 

การ DCA อาจจะดูน่าเบื่อนะครับ แต่ช่วยลดปัญหาการจับจังหวะการลงทุนที่จะทำให้คุณเสียเวลาชีวิตและการทำงานไปอย่างน่าเสียดาย และช่วยกระจายความเสี่ยงด้านราคา เพราะการลงทุนอย่างสม่ำเสมอหรือทยอยลงทุนเป็นงวดๆ เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน ยังช่วยตัดอารมณ์ ลดอคติ และไม่ต้องจับจังหวะในการลงทุน ที่สำคัญการ DCA ทำให้คุณสะสมเงินต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และเสริมพลังให้ผลตอบแทนทบต้นเรื่อยๆ แสดงประสิทธิภาพของการ ‘ปั้นพอร์ตโต’ ได้อย่างเต็มที่ 

 

แต่การ DCA นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะหลับหูหลับตา DCA แบบไหนก็ได้นะครับ ไม่ว่าคุณจะกำลังนึกถึงการลงทุนประเภทไหน จะต้องไม่ลืมคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหว ถ้าเมื่อไรที่คุณรู้สึกว่าลงทุนแล้วเครียด นอนไม่หลับ แสดงว่าคุณกำลังลงทุนในสินทรัพย์ที่คุณไม่มีความรู้หรือสินทรัพย์ที่เสี่ยงเกินตัว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีแน่นอน

 

เพราะฉะนั้นตัวคุณจะต้องรู้จักลงทุนถัวเฉลี่ยในสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม อนาคตมีแนวโน้มเติบโตตามหลักการลงทุนแบบ VI และกระจายความเสี่ยงด้านราคาด้วย DCA อย่างมีวินัย ปล่อยให้เงินทำงานไปจะถึงเส้นชัยได้เร็วกว่า 

 

สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ก็ตาม ผมแค่หวังว่าคุณจะสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม และพอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืนครับ

The post มองข้ามช็อตเลือกตั้งสหรัฐฯ ปั้นพอร์ตเติบโตยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องเทียบนโยบาย ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังรู้ผลเลือกตั้งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร https://thestandard.co/harris-trump-stock-market-impact/ Tue, 29 Oct 2024 14:44:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1001538

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่าง […]

The post ส่องเทียบนโยบาย ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังรู้ผลเลือกตั้งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า หลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ มีความคาดหวังว่าจะเกิด Election Rally

 

ทั้งนี้ จากสถิติช่วง 3-6 เดือนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นช่วงที่มีการแข่งขันสูง และมีความสูสีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของสหรัฐฯ ให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะแนวโน้มผลการเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน

 

ประเมินผลกระทบหลังเลือกตั้งต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

 

สำหรับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะแบ่งได้ออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

 

  1. กรณี Sweep คือ กรณีที่สภาบนและสภาร่างครองเสียงข้างมากจากพรรคเดียวหรือเป็นรัฐบาลพรรคเดียว โดยในกรณีที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ว่าจะเป็นจากพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกัน ซึ่งจะเป็นกรณีที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนประมาณ 14-14.5% 

 

  1. Divided คือ กรณีที่สภาสูงและสภาล่างที่มาจากต่างพรรคจะให้ผลตอบแทน 7.3-12%

 

ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ยังต้องระมัดระวังหากในกรณีผลการเลือกตั้งออกเป็นแบบ Divided ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ แต่ยังให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าในกรณีอื่นๆ

 

นอกจากนี้หากมีการเปรียบเทียบนโยบายของผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยกรณีของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นมากกว่ากรณีที่ คามาลา แฮร์ริส พรรคเดโมแครต ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

 

เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเน้นให้ความสำคัญในด้านของเศรษฐกิจจุลภาคหรือภาคธุรกิจมากกว่าเศรษฐกิจมหภาค ขณะที่นโยบายของ คามาลา แฮร์ริส จะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมหภาคหรือภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาพของภาคธุรกิจมากนัก เพราะมีมุมมองว่าหากเศรษฐกิจมหาภาคดีก็จะส่งผลให้ภาคธุรกิจดีขึ้นตามไปด้วย

 

นอกจากนี้ คามาลา แฮร์ริส ที่มีพื้นฐานทำงานมาจากอัยการ จึงมีแนวคิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) มาโดยตลอด ส่วนกรณีของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีประเด็นดังกล่าวที่น้อยกว่า

 

อย่างไรก็ดี กรณีของจีนไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งแต่ยังมีนโยบายที่กระทบกับตลาดหุ้นของจีน โดยเฉพาะหากเป็นกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง จะมีนโยบายที่เป็นผลลบกับตลาดหุ้นจีนที่มากกว่าฝั่งของ คามาลา แฮร์ริส

 

อีกทั้งจากการศึกษานโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อัตรา 60% หากไม่มีการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้ คาดว่าจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นจีนประมาณ 10-15% และส่งผลต่อมูลค่าของหุ้นจีนประมาณ 5-10% ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้ประมาณ 15-25% ขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นว่าผู้ประกอบการจีนที่ส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ ไปยังผู้บริโภคว่าจะสามารถทำได้มากหรือน้อยอย่างไร

 

ส่องความเสี่ยงจากนโยบาย 2 ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

ดังนั้นมีมุมมองว่า หากกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักลงทุนต้องมีความระมัดระวังการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในการลงทุนในตลาดหุ้นจีน

 

ส่วนกรณีที่ คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจมีผลกระทบกับตลาดหุ้นจีนบ้าง แต่จะน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

สิทธิชัยกล่าวต่อว่า กรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประเมินว่ามีกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ดังนี้

 

  1. กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์สันดาป
  2. กลุ่มพลังงาน
  3. กลุ่มธนาคารพาณิชย์
  4. ภาคอสังหาริมทรัพย์ 

 

สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายของของ โดนัลด์ ทรัมป์ คือ ตลาดหุ้นจีน, หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนต่อไป 

 

ส่วนในกรณีที่ คามาลา แฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดว่ากลุ่มหุ้นหลักที่จะได้ประโยชน์มีดังนี้ 

 

  1. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ EV
  2. อสังหาริมทรัพย์

 

ส่องปม ‘หุ้นไทย’ ทำไมเริ่มปรับลง

 

นอกจากนี้ประเมินว่าหาก คามาลา แฮร์ริส พรรคเดโมแครต ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดว่าจะมีนโยบายที่จำกัดการเติบโตในภาคเทคโนโลยีของจีน ขณะที่มีมุมมองว่าการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ในลักษณะนี้จะมีผลกระทบต่อสหรัฐฯ ในระยะยาว เนื่องจากผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ของสหรัฐฯ มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 25% มาจากตลาดของจีน

 

สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่เริ่มปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีทิศทางแข็งค่า เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงเร็วอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้

 

ขณะที่ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า ส่งผลให้กระแสการลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้ามาลงทุนใน Emerging Market หายไป อีกทั้งนักลงทุนผิดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ออกมาผิดไปจากที่คาดหวังไว้ ส่งผลให้เริ่มมีการถอนการลงทุนออกจาก Emerging Market รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

 

อีกทั้งปัจจัยการเมืองภายในประเทศของไทยที่กลับมามีปัญหาความไม่แน่นอนอีกครั้งหลังจากเริ่มเห็นการยื่นคำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้ภาพปัจจัยทางการเมืองของไทยเริ่มมีความไม่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับภาพของการส่งออกของไทยที่มีสัญญาณชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคยานยนต์ 

 

นอกจากนี้ภาพเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้จีนเร่งส่งออกสินค้าราคาถูกออกมาในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งยังไม่มีมาตรการป้องกันควบคุมดูแลสินค้าเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ไทยยังมีความคาดหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่เศรษฐกิจของไทยมีการชะลอตัวลงจากปัจจัยผลกระทบจากเศรษฐกิจต่างประเทศ 

 

“ภาพเศรษฐกิจของไทยอาจผ่านช่วงที่ได้รัฐบาลใหม่และช่วยสร้างความเชื่อมั่นมาพอสมควรแล้ว ตอนนี้กลับมาสู่โลกความเป็นจริงด้วยภาพ Sentiment รวมที่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังพอทำได้ แต่ในช่วงเวลานี้ปัจจัยแวดล้อมจากภายนอกไม่ได้เอื้อต่อตลาดหุ้นไทยสักเท่าไร ส่วนปัจจัยภายในของไทยก็ดูเหมือนมีเรื่องดราม่าเยอะ ทำให้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยคงไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นได้เร็วหรือแรงตามตลาดหุ้นในภูมิภาค” สิทธิชัยกล่าว

The post ส่องเทียบนโยบาย ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังรู้ผลเลือกตั้งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นบริษัทชิป ASML ร่วง 16% เนื่องจากคำสั่งซื้อต่ำกว่าประมาณการในไตรมาส 3 ดึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบ https://thestandard.co/asml-fell-16-percent/ Wed, 16 Oct 2024 02:26:13 +0000 https://thestandard.co/?p=996355

หุ้นของบริษัทผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ASML ร่วงลง 16% […]

The post หุ้นบริษัทชิป ASML ร่วง 16% เนื่องจากคำสั่งซื้อต่ำกว่าประมาณการในไตรมาส 3 ดึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หุ้นของบริษัทผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ASML ร่วงลง 16% ในวันอังคารที่ผ่านมา (15 ตุลาคม) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักที่สุดในรอบ 26 ปี หลังจากบริษัทประกาศผลประกอบการที่น่าผิดหวัง โดยมียอดสั่งซื้อเพียงครึ่งเดียวจากที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ถือเป็นการชะลอตัวที่น่าตกใจสำหรับหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

 

การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้หุ้นชิปอื่นๆ เช่น NVIDIA, AMDm และ AVGO ร่วงลงไปตามกัน บริษัท ASML ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเฟลด์โฮเฟน ประเทศเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ายอดขายสุทธิ (Net Sales) ในปี 2025 จะอยู่ระหว่าง 3-3.5 หมื่นล้านยูโร (คิดเป็นประมาณ 3.27-3.81 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นกรอบล่างของช่วงที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้

 

บริษัทเผยว่า การเผยแพร่ผลประกอบการก่อนกำหนด 1 วันของ ASML เกิดจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่ทำให้บริษัทรายงานบางอย่างผิดพลาดบนเว็บไซต์ในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศผลประกอบการ นักวิเคราะห์จึงเริ่มมีความระมัดระวังมากขึ้นต่อบริษัทแห่งนี้ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยรวม

 

บริษัท ASML กำลังเผชิญกับแนวโน้มทางธุรกิจที่ยากลำบากมากขึ้นในจีน เนื่องมาจากข้อจำกัดในการส่งออกของสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือนที่แล้วรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการใหม่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปยังจีน ซึ่งรวมถึงเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูง นอกจากนี้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยังประกาศแผนที่จะเข้ามาควบคุมการส่งออกเครื่องจักรของ ASML ไปยังจีน

 

อุตสาหกรรมชิปกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนในด้านต่างๆ ยกตัวอย่าง NVIDIA ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ขณะที่ในภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงยานยนต์และอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมกำลังอยู่ในภาวะตกต่ำเป็นเวลานาน โดยลูกค้าลดการสั่งซื้อ เนื่องจากมีสินค้าคงคลังมากเกินไป ส่วน Intel กำลังลดค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง ในขณะที่ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำอย่าง Samsung Electronics และ SK hynix ก็ระมัดระวังการใช้จ่ายเช่นกัน

 

ในรายงานที่เผยแพร่ภายหลังผลประกอบการของ ASML เมื่อวันอังคาร นักวิเคราะห์จาก Bernstein กล่าวว่า ปริมาณการสั่งซื้อที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้และการคาดการณ์แนวโน้มปี 2025 ที่น่าผิดหวังนั้นมีแนวโน้มที่จะบดบังผลประกอบการที่สดใสในไตรมาส 3

 

นักวิเคราะห์กล่าวเสริมว่า การฟื้นตัวตามวัฏจักรที่ล่าช้าและความท้าทายเฉพาะของลูกค้ากำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความคาดหวังในปี 2025 ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์จาก Cantor กล่าวว่า แนวโน้มที่ย่ำแย่ของ ASML นั้นอาจส่งผลกระทบต่อหุ้นเซมิคอนดักเตอร์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขากล่าวเสริมว่า แนวโน้มล่าสุดของบริษัทไม่ได้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการเติบโตของ AI แต่อย่างใด

 

หุ้นเทคร่วงยกแผง กดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบ

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดแดนลบในวันอังคาร โดยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากบริษัทเทคที่มีมูลค่ามากที่สุดของยุโรปอย่าง ASML คาดการณ์ยอดขายที่อ่อนแอ ส่งผลให้หุ้นเทคได้รับผลกระทบ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่ลดลงและอุปสงค์ที่อ่อนแอ

 

ดัชนีหุ้นหลัก 3 ตัวของสหรัฐฯ ร่วงลงจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้เมื่อวันจันทร์ ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเกือบ 1%, Nasdaq 100 ลดลง 1.4%, หุ้นของ ASML Holding N.V. ที่ซื้อขายในสหรัฐฯ ร่วงลง 16% หลังจากที่ยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ปรับลดการคาดการณ์สำหรับปี 2025 ขณะที่ NVIDIA ร่วงลง 4.5% เนื่องจากมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้หารือเกี่ยวกับการจำกัดการขายชิป AI ขั้นสูงจากบริษัทและบริษัทสหรัฐฯ อื่นๆ ไปยังบางประเทศ

 

หุ้น UNH ร่วงลง 8.1% จากแนวโน้มที่น่าผิดหวัง, หุ้น BAC ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลประกอบการดีกว่าที่คาดไว้, หุ้น GS ซื้อขายแทบไม่เปลี่ยนแปลง และหุ้น C ร่วงลง แม้จะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ลดลง 7 Basis Points มาอยู่ที่ 4.03% ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางแรงกดดันด้านอุปทานที่ลดลง เนื่องจากมีรายงานว่าอิสราเอลอาจหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันดิบของอิหร่าน ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานคลี่คลายลง นอกจากนี้ OPEC และ IEA ต่างก็ปรับลดการคาดการณ์อุปสงค์ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความอ่อนแอในจีน

 

Jonathan Golub และ Patrick Palfrey จาก UBS Group AG มองว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินและการคลัง และผลการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ผลตอบแทนในปี 2025 ยังไม่แน่นอน แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางเขาจากมุมมองที่ว่าตลาดหุ้นจะเดินหน้าขาขึ้นต่อไปได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนอย่างอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง, การปรับลดอัตราดอกเบี้ย, การปรับปรุงกิจกรรมของผู้บริโภคและธุรกิจระดับล่าง และความแข็งแกร่งของกำไรในวงกว้าง

 

ภาพ: xPACIFICA / Getty Images

อ้างอิง:

The post หุ้นบริษัทชิป ASML ร่วง 16% เนื่องจากคำสั่งซื้อต่ำกว่าประมาณการในไตรมาส 3 ดึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาด ‘ความขัดแย้งตะวันออกกลาง’ ทรงตัว แต่ยังต้องจับตาการตอบโต้ด้วยขีปนาวุธที่อาจกระทบโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ https://thestandard.co/middle-east-conflict-stable/ Mon, 07 Oct 2024 08:05:45 +0000 https://thestandard.co/?p=992726

The post คาด ‘ความขัดแย้งตะวันออกกลาง’ ทรงตัว แต่ยังต้องจับตาการตอบโต้ด้วยขีปนาวุธที่อาจกระทบโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

The post คาด ‘ความขัดแย้งตะวันออกกลาง’ ทรงตัว แต่ยังต้องจับตาการตอบโต้ด้วยขีปนาวุธที่อาจกระทบโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาดรัฐบาลแจกเงินสดมูลค่า 2-3% ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ควักกระเป๋าแจกแล้ว 1.55 แสนล้านหยวน https://thestandard.co/government-plans-cash-stimulus/ Mon, 30 Sep 2024 07:04:36 +0000 https://thestandard.co/?p=989660

The post คาดรัฐบาลแจกเงินสดมูลค่า 2-3% ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ควักกระเป๋าแจกแล้ว 1.55 แสนล้านหยวน appeared first on THE STANDARD.

]]>

The post คาดรัฐบาลแจกเงินสดมูลค่า 2-3% ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ควักกระเป๋าแจกแล้ว 1.55 แสนล้านหยวน appeared first on THE STANDARD.

]]>