หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 08 Jan 2025 11:27:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – คาด SSS กลับมาเติบโตตั้งแต่ 4Q67 https://thestandard.co/market-focus-commerce-sector-sssgrowth-4q67/ Wed, 08 Jan 2025 11:27:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1028318 MARKET FOCUS commerce-sector-sssgrowth-4q67"

เกิดอะไรขึ้น:   InnovestX Research คาดการณ์ยอดขายส […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – คาด SSS กลับมาเติบโตตั้งแต่ 4Q67 appeared first on THE STANDARD.

]]>
MARKET FOCUS commerce-sector-sssgrowth-4q67"

เกิดอะไรขึ้น:

 

InnovestX Research คาดการณ์ยอดขายสาขา (SSS) ฟื้นตัวใน 4Q67 0.8%YoY ฟื้นตัวจากลดลง 1.9%YoY ใน 4Q66 และลดลง 1.3%YoY ใน 3Q67 จาก

 

  1. Sentiment ที่ดีขึ้น ดังที่เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ที่เพิ่มขึ้นเป็นเวลา 2 เดือนในเดือนพฤศจิกายน 2567 สิ้นสุดการหดตัวลงดังที่เห็นในเดือนมีนาคม-สิงหาคม ซึ่งส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

 

  1. นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยเพิ่มขึ้น 5%YoY และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 22%YoY ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2567

 

  1. การกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาล (เพิ่มขึ้น 145%YoY ใน 4Q67) จากฐานต่ำใน 4Q66 ที่เป็นผลมาจากการผ่านงบประมาณล่าช้า

 

ใน 4Q67 SSS ของผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น (เพิ่มขึ้น 1.9%YoY) ดีกว่าผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย (ลดลง 1.4%YoY) ในขณะเดียวกัน SSS ของผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือยมีการหดตัวน้อยที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากฐานต่ำและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่นเป็นส่วนใหญ่ โดยคาดว่ากำไรปกติ 4Q67 ของกลุ่มพาณิชย์จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2567 โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY จากการขยายสาขาและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น รวมถึง SSS ที่พลิกกลับมาเติบโต

 

แนวโน้ม SSS ใน 1Q68 คาดว่า SSS ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำของปีก่อน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล มาตรการ ‘Easy E-Receipt 2.0’ ซึ่งอนุญาตให้ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าเงื่อนไขระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุด 50,000 บาท จะส่งผลบวกเล็กน้อยต่อกลุ่มพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย (CRC และ HMPRO)

 

ในขณะที่มาตรการแจกเงินเฟสที่สอง วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท ให้กับผู้สูงอายุจำนวน 4 ล้านคน ซึ่งจะได้รับเงินก่อนตรุษจีนวันที่ 29 มกราคม จะส่งผลบวกเล็กน้อยต่อกลุ่มพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับร้านค้าขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เช่น CPAXT, BJC และ GLOBAL) ดังที่เห็นผลบวกจากมาตรการแจกเงินเฟสแรกในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 รัฐบาลตั้งเป้าแจกเงินให้กับประชาชนที่เหลือภายใต้มาตรการดิจิทัลวอลเล็ตภายใน 2Q68 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลง 10.62% ราคาหุ้น HMPRO ไม่เปลี่ยนแปลง ราคาหุ้น CRC ปรับขึ้น 0.74% ขณะที่ SET Index ปรับลง 4.21% สู่ 1,390.88 จุด

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2568:

 

InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต 15%YoY ในปี 2568 โดยยังไม่ได้รวม Upside ของกำไรจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ รวมถึงแนวโน้มที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าไฟฟ้า เข้ามาไว้ในประมาณการ การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า SSS ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นได้ 1% การปรับอัตราดอกเบี้ยลดลง 100 bps จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นได้ 3.3% และการลดค่าไฟฟ้าลง 11% จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นได้ 4.9%

 

HMPRO และ CRC เป็นหุ้นเด่นกลุ่มพาณิชย์ จากแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67 ที่ดี (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากการขยายสาขาและ EBIT Margin ที่กว้างขึ้น) รวมถึง SSS มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (มาตรการ Easy E-Receipt 2.0)

 

และปัจจัยเฉพาะบริษัท (ผลกระทบเริ่มเป็นฐานเดียวกัน จากการก่อสร้างถนนหน้าโฮมโปร ราชพฤกษ์ ตั้งแต่ปลายปี 2566 โดยคาดว่าการก่อสร้างที่จะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2568 จะช่วยให้ยอดขายฟื้นตัวในระยะถัดไป และการเปิดเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าหลักของ CRC ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567)

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาล ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือการบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S)

 

Cafe Invest แหล่งรวมข้อมูลการลงทุน และบทวิเคราะห์คุณภาพ โดย InnovestX 🚀 คลิกเลย 👉 หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – คาด SSS กลับมาเติบโตตั้งแต่ 4Q67 

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – คาด SSS กลับมาเติบโตตั้งแต่ 4Q67 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ปัจจัยบวกทยอยเข้ามา https://thestandard.co/set-comm-past-their-lowest-point/ Sun, 15 Sep 2024 06:37:58 +0000 https://thestandard.co/?p=983809

เกิดอะไรขึ้น:   ใน 3Q67TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่ […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ปัจจัยบวกทยอยเข้ามา appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

 

ใน 3Q67TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์น่าจะปรับตัวลดลงเฉลี่ย 1% YoY อ่อนแอที่สุดในรอบ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ซบเซา และปัญหาลูกค้าเข้าร้านลดลงเพราะฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม InnovestX Research คาดว่า SSS จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของ 3Q67 และ 4Q67 จาก:

 

1. บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยและกำลังซื้อที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยงบประมาณรัฐบาลปี 2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติตามกำหนดเวลา (การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากฐานต่ำของปีก่อนในเดือนตุลาคม 2566 – เมษายน 2567) ประกอบกับมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ รออยู่ การกลับมาของลูกค้าหลังจากสิ้นสุดฤดูฝนที่มีฝนตกหนักและสถานการณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่คลี่คลายลง สุดท้ายคือการที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ในด้านกำไร คาดว่ากำไรของกลุ่มพาณิชย์จะทำจุดต่ำสุดใน 3Q67 จากนั้นจะปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ใน 4Q67 โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล สู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ และเพิ่มขึ้น YoY จากการขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ SSS ที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยยังคงคาดการณ์ว่ากำไรปี 2567 ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต 14%YoY โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก SSS ที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 0.3%YoY) การขยายสาขา (เพิ่มขึ้น 5%YoY) และ EBIT Margin ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 10bps YoY)

 

ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่กำลังพิจารณาออกมาตรการใหม่เร่งด่วน คือ การแจกเงินสด 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 1.45 แสนล้านบาทก่อน โดยจะเริ่มแจกเงินภายในเดือนนี้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในขณะที่การแจกเงินให้กับประชาชนส่วนที่เหลือภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงิน 10,000 บาท ให้กับคนไทย 50 ล้านคน วงเงินรวม 4.5 แสนล้านบาท) จะเริ่มแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 5,000 บาทใน 4Q67 และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จะแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ตในปี 2568

 

สำหรับเงื่อนไขการใช้จ่ายคาดว่าจะไม่มีการจำกัดประเภทสินค้าและร้านค้า หรือสถานที่ตั้งร้านค้า มาตรการดังกล่าวจะถูกส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในวันที่ 17 กันยายน เงื่อนไขที่ปรับปรุงใหม่นี้จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการค้าปลีก โดยผู้ประกอบการทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้ แต่ยังไม่ได้นำมารวมไว้ในประมาณการผลการดำเนินงาน การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า SSS ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นได้ 1%

 

Upside จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 25bps จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นได้ 0.8% ถ้า ธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 75bps ในช่วงเวลา 1 ปีตามที่นักเศรษฐศาสตร์ของ INVX คาดการณ์ กำไรของกลุ่มพาณิชย์จะปรับเพิ่มขึ้นได้ 2.5%

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SET COMM) ปรับขึ้น 14.2% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 9.6% สู่ระดับ 1,421.58 จุด

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:

 

InnovestX Research ปรับราคาเป้าหมายที่คำนวณด้วยวิธี DCF ของหุ้นในกลุ่มพาณิชย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% หลังจากเปลี่ยนมาใช้ราคาเป้าหมายกลางปี 2568 แทนสิ้นปี 2567 โดยปรับคำแนะนำสำหรับ CRC ขึ้นสู่ Outperform แต่คงคำแนะนำสำหรับหุ้นตัวอื่นๆ ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

 

เลือก CPALL เป็นหุ้นเด่น เนื่องจาก Valuation น่าสนใจ (ซื้อขายที่ PE ปี 2567 ระดับ 25 เท่า, -2SD จาก PE เฉลี่ย 10 ปี) ในขณะที่คาดว่ากำไร 2H67 จะเติบโต YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ นอกจากนี้ยังชอบ HMPRO เนื่องจาก Valuation ไม่แพง (ซื้อขายที่ PE ปี 2567 ระดับ 21 เท่า, -2SD จาก PE เฉลี่ย 10 ปี) ในขณะที่คาดว่ากำไร 2H67 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นเป้าหมายการลงทุนสำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. (ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่อัตราเฉลี่ย 3.7% ต่อปี, มี SET ESG Ratings ระดับ ‘AA’ และสถานะทางการเงินและการเติบโตที่น่าพอใจ)

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาล ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S)

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ปัจจัยบวกทยอยเข้ามา appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPALL – คาดกำไร 2H67 แข็งแกร่ง https://thestandard.co/cpall-expect-strong-2h67-profits/ Tue, 10 Sep 2024 07:32:37 +0000 https://thestandard.co/?p=981764

เกิดอะไรขึ้น:   ใน 3Q67TD ยอดขายสาขา (SSS) ธุรกิจ […]

The post CPALL – คาดกำไร 2H67 แข็งแกร่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

 

ใน 3Q67TD ยอดขายสาขา (SSS) ธุรกิจ CVS ของ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) (เพิ่มขึ้น 2.5-3%YoY) และ CPAXT (เพิ่มขึ้น 2-3%YoY ในธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C) ดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มพาณิชย์ InnovestX Research คาดว่ากำไร 3Q67 ของ CPALL จะเติบโต YoY โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล สำหรับธุรกิจ CVS คาดการณ์ถึงยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น YoY โดยได้แรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 

 

การซื้อแบบไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น กระแสตอบรับที่น่าพอใจต่อแคมเปญแสตมป์ในปีนี้ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม – 23 พฤศจิกายน (ลูกค้าสามารถสะสมแสตมป์ในการซื้อครั้งแรกเพื่อใช้เป็นส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งต่อไป หรือสามารถสะสมแสตมป์เพื่อแลกรับสินค้าตัวการ์ตูน ‘โดราเอมอน’ ได้ในภายหลัง) และยอดขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง เช่น สินค้า RTE และ RTD ที่เพิ่มขึ้น สำหรับ CPAXT คาดว่ายอดขายและมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้น YoY โดยได้แรงหนุนทั้งจากธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C กำไร 4Q67 จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ สู่ระดับสูงสุดของปีนี้

 

ด้านรายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลใหม่กำลังพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อวันที่ 9 กันยายน ว่า ภายใต้มาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับคนไทย 50 ล้านคน วงเงินรวม 4.5 แสนล้านบาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคาดว่าจะเดินหน้าต่อ (ตั้งเป้าแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 5,000 บาทใน 4Q67 และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาทจะแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ตในปี 2568) 

 

รัฐบาลใหม่กำลังพิจารณาออกมาตรการใหม่เร่งด่วนคือ การแจกเงินสด 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบางภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.5 ล้านคน วงเงินรวม 1.45 แสนล้านบาทก่อน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2567 หรือภายในเดือนกันยายน 2567 

 

ทั้งนี้ เงื่อนไขการใช้จ่ายมีแนวโน้มที่จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่มีการจำกัดประเภทสินค้าและร้านค้า รวมถึงสถานที่ตั้งร้านค้า รายละเอียดของมาตรการจะต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในวันที่ 17 กันยายน 2567 โดยหากพิจารณาจากเงื่อนไขการใช้จ่ายตามข่าวล่าสุด มาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการค้าปลีก รวมถึง CPALL ด้วย 

 

ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวม Upside จากมาตรการเหล่านี้เข้ามาไว้ในประมาณการกำไร การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า SSS ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะหนุนให้กำไรของ CPALL ปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 1% 

 

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา CPALL ออกหุ้นกู้ชุดใหม่มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท (ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.44% ต่อปี) เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิม (ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 5% ต่อปี) การประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้จะหนุนให้กำไรของ CPALL ปรับขึ้นได้อีก 160 ล้านบาท (กำไรเฉลี่ยต่อปีปรับขึ้นได้อีก 1%) ซึ่งยังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการผลประกอบการ สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่มีโอกาสจะปรับลดลงในช่วงเวลา 1 ปีข้างหน้า การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงทุกๆ 25 bps จะหนุนให้กำไรเฉลี่ยต่อปีของ CPALL ปรับขึ้นได้อีก 1%

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SET COMM) ปรับขึ้น 15.6% ราคาหุ้น CPALL ปรับขึ้น 14.3% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 10.3%

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:

 

กำไร 2H67 ของ CPALL มีแนวโน้มที่จะเติบโต YoY ดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มพาณิชย์ โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากธุรกิจ CVS และ CPAXT โดย SSS ใน 3Q67TD ที่ธุรกิจ CVS และ CPAXT ดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน 

 

ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่กำลังจะประกาศใช้ (โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและดิจิทัลวอลเล็ต, ปรับเงื่อนไขเป็นไม่มีการจำกัดประเภทสินค้าและร้านค้า รวมถึงสถานที่ตั้งร้านค้า, รอ ครม. พิจารณาอนุมัติในวันที่ 17 กันยายน 2567, กำหนดกรอบเวลาแจกเงินตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 – ปี 2568) และแนวโน้มที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงจะสร้าง Upside ให้กับกำไรของ CPALL 

 

ปัจจุบันหุ้น CPALL ซื้อ-ขายในระดับที่น่าสนใจที่ P/E ปี 2567 ระดับ 25 เท่า (-2 S.D. จาก P/E เฉลี่ย 10 ปี) InnovestX Research ยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ CPALL โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7%, การเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 77 บาทต่อหุ้น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายของรัฐบาล ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S)

The post CPALL – คาดกำไร 2H67 แข็งแกร่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPALL – กำไร 4Q66 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ https://thestandard.co/cpall-4q23-profits-will-grow-best-in-the-commercial-group/ Fri, 12 Jan 2024 08:43:18 +0000 https://thestandard.co/?p=886999

เกิดอะไรขึ้น:   บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) หุ้น High C […]

The post CPALL – กำไร 4Q66 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

 

บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) หุ้น High Conviction โดย InnovestX Research ด้วยปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น ดังนี้

 

ปัจจัยกระตุ้น 1: กำไร 4Q66 จะเติบโต YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ โดยคาดว่า CPALL จะรายงานกำไรสุทธิที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%YoY และ 9%QoQ หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษ 3 ล้านบาทจากการขายสินทรัพย์ของ CPAXT กำไรปกติจะอยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 59%YoY และ 13%QoQ กำไรที่เติบโตก้าวกระโดด YoY จะได้แรงหนุนจากปัจจัยดังต่อไปนี้ 

 

ประการแรก คาดว่ายอดขายของธุรกิจ CVS จะเติบโตตามการเติบโตของยอดขายสาขา (SSS) (เพิ่มขึ้น 3.5%YoY) และการขยายสาขา (เพิ่มขึ้น 147 สาขา สู่ 14,538 สาขา, เพิ่มขึ้น 5%YoY และ 1%QoQ) พร้อมกับอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้นที่ CPRAM จากต้นทุนวัตถุดิบ (ราคาสุกรและไก่เนื้อ) ที่ลดลง และมียอดขายสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนตัวและสินค้ากลุ่ม Ready-to-Eat ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลันที่เพิ่มขึ้น 

 

ประการที่ 2 คาดว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขาย จะลดลงจากฐานค่าใช้จ่ายโบนัสที่สูงใน 4Q65 (ค่าใช้จ่ายโบนัสค้างจ่ายต่ำใน 9M65 เทียบกับการจัดสรรค่าใช้จ่ายโบนัสค้างจ่ายได้ดีขึ้นใน 9M66) และค่าไฟฟ้าที่ลดลง 

 

ประการที่ 3 คาดว่าส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก CPAXT โดยประเมินกำไรปกติ 4Q66 จะอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%YoY และ 81%YoY จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จ และยอดขายธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ที่ดีขึ้น

 

ปัจจัยกระตุ้น 2: กำไรปี 2567 จะเติบโตแข็งแกร่งและมี Upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประเมินกำไรปกติปี 2567 ของ CPALL ได้ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%YoY โดยการเติบโต 4% จะเกิดจากการเติบโตของ CPAXT ตามการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงใน 1H67 (หลังจากรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จ) และ 13% จะเกิดจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ขยายตัวของธุรกิจ CVS จากนักท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น 

 

ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวม Upside ของยอดขายในปี 2567 จากโครงการ Digital Wallet (การแจกเงิน 10,000 บาทให้กับคนไทยราว 50 ล้านคน) ที่คาดหวังว่าจะเริ่มโครงการได้ในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยที่ได้มีการส่งร่าง พ.ร.บ.ฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว จากนั้นจะส่งต่อไปยังรัฐสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติ CPALL มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักในกลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากบริษัทมีเครือข่ายร้านค้าครอบคลุมทุกอำเภอในประเทศไทย และเงินจากโครงการนี้จะถูกใช้ในร้านค้าที่ลงทะเบียนในอำเภอที่ผู้ได้รับสิทธิอาศัยอยู่

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น CPALL ปรับขึ้น 2.84% สู่ระดับ 54.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 1.97% สู่ระดับ 1,408.24 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

 

ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวลดลง 9% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา Underperform SET อยู่ 6% โดยส่วนหนึ่งสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับกำไรของ CPAXT ที่ฟื้นตัวช้า ด้วยกำไร 4Q66 ของ CPAXT ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากยอดขายที่ดีขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ยอดขายและมาร์จิ้นของธุรกิจ CVS ที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายโบนัสที่ลดลงจากฐานสูงของปีก่อน จึงคาดว่ากำไรปกติ 4Q66 ของ CPALL จะอยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 59%YoY และ 13%QoQ โดยจะเติบโต YoY ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ 

 

ปัจจัยบวกนี้รวมกับกำไรที่คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 (เพิ่มขึ้น 17%YoY) จะช่วยสนับสนุนราคาหุ้น CPALL ในระยะสั้น โดยให้เรตติ้ง Outperform สำหรับ CPALL ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 74 บาทต่อหุ้น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ 

 

ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S)

The post CPALL – กำไร 4Q66 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายจะกลับมาเติบโตในปี 2567 หลังจากชะลอตัวลงใน 4Q66 https://thestandard.co/market-focus-comm/ Thu, 04 Jan 2024 13:00:53 +0000 https://thestandard.co/?p=884373

เกิดอะไรขึ้น:   ใน 4Q66 คาดยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายจะกลับมาเติบโตในปี 2567 หลังจากชะลอตัวลงใน 4Q66 appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

 

ใน 4Q66 คาดยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์น่าจะลดลง 2%YoY (เทียบกับ เพิ่มขึ้น 5.9%YoY ใน 4Q65 และลดลง 0.8%YoY ใน 3Q66) เพราะได้รับผลกระทบจาก

 

  1. กำลังซื้อที่เปราะบางจากผู้มีรายได้น้อย และบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ซบเซาจากผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง

 

  1. รายได้ภาคเกษตรที่อ่อนตัวลง เนื่องจากรายได้เกษตรกรลดลง 4%YoY ในเดือนพฤศจิกายน 2566 จากการหดตัวของผลผลิต (ลดลง 3%YoY) และราคา (ลดลง 1%YoY)

 

  1. ภาวะที่ราคาอาหารปรับตัวลดลง ดังเห็นได้จากราคาสุกรและไก่เนื้อที่ลดลง 35%YoY และ 15%YoY ตามลำดับ ใน 4Q66) ยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ชะลอตัวลง ตามทิศทางกิจกรรมการก่อสร้างที่ชะลอตัวลง จากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐที่ลดลง (ลดลง 58%YoY ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2566) สืบเนื่องมาจากความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณปี 2567 (เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) และราคาเหล็กที่ลดลง

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ใน 4Q66 ราคาผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศ (ใช้ราคาเหล็กเส้นในประเทศเป็นตัวชี้วัด) ลดลง 11%YoY และ 3%QoQ และราคาเหล็กโครงสร้าง (ใช้ราคาเหล็กตัวซีในประเทศเป็นตัวชี้วัด) ลดลง 8%YoY และ 1%QoQ ปัจจัยลบเหล่านี้ไปหักล้างจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นสู่ 8 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 48%YoY) ใน 4Q66

 

ด้านยอดขายสาขา (SSS) ของผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็นมีแนวโน้มที่จะเติบโต 1%YoY ใน 4Q66 โดยได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ในขณะที่ SSS ของผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือยมีแนวโน้มที่จะหดตัว 6%YoY เพราะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ และการที่ประชาชนส่วนหนึ่งเลื่อนการใช้จ่ายในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เพื่อรอโครงการ Easy e-Receipt ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2567

 

ในบรรดาผู้ประกอบการทั้งหมดในกลุ่มพาณิชย์ InnovestX Research คาดว่าจะเห็นการเติบโตของยอดขายสาขา (SSS) ได้จาก CPALL (เพิ่มขึ้น 3.5%YoY) และ CPAXT (เพิ่มขึ้น 2%YoY จากธุรกิจ B2B และเพิ่มขึ้น 5%YoY จากธุรกิจ B2C) ในขณะที่คาดว่า SSS ของผู้ประกอบการรายอื่นๆ จะหดตัวลง ลดลง 2%YoY จาก BJC, ลดลง 2.7%YoY (ค่าเฉลี่ยอย่างง่ายแยกตามธุรกิจ) จาก CRC, ลดลง 8% YoY จาก HMPRO และลดลง 12%YoY จาก GLOBAL

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับขึ้น 3.76%, ราคาหุ้น CPALL ปรับขึ้น 4.69% และราคาหุ้น CPAXT ปรับขึ้น 4.72% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 3.57%

 

แนวโน้มผลประกอบการ 2566:

 

4Q66 คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มพาณิชย์จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2566 โดยกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และ YoY จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น (การขยายสาขาช่วยชดเชย SSS ที่หดตัวลง) และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวและต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง (ลดลง 15%YoY และ 10%QoQ) ท่ามกลางยอดขายที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ในบรรดาผู้ประกอบการทั้งหมด คาดว่า CPALL และ CPAXT จะรายงานโมเมนตัมกำไรเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) หลักๆ เกิดจากยอดขายที่ดีขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการรีไฟแนนซ์หนี้ของ CPAXT เสร็จสิ้นในเดือนเมษายน 2566 HMPRO และ GLOBAL มีแนวโน้มที่จะรายงานโมเมนตัมกำไรอ่อนแอที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ (ลดลง YoY แต่ค่อนข้างทรงตัว QoQ) เพราะได้รับผลกระทบจาก SSS ที่หดตัวลงลึกกว่ากลุ่ม

 

หุ้นเด่นกลุ่มพาณิชย์เลือก CPALL (เรตติ้ง Outperform, ราคาเป้าหมาย 74 บาท) และ CPAXT (เรตติ้ง Outperform, ราคาเป้าหมาย 35 บาท) เนื่องจากเป็น

 

  1. หุ้น Laggard ของกลุ่มพาณิชย์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

 

  1. กำไร 4Q66 มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่งและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง

 

  1. กำไรปี 2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนหลักจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงใน 1H67 นอกจากนี้ยังชอบ CRC เพราะยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt มากที่สุดในกลุ่มพาณิชย์

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือการบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายจะกลับมาเติบโตในปี 2567 หลังจากชะลอตัวลงใน 4Q66 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาในปี 2567 https://thestandard.co/commercial-stocks-economic-stimulus-measures/ Tue, 14 Nov 2023 01:20:59 +0000 https://thestandard.co/?p=865366 หุ้นกลุ่มพาณิชย์

เกิดอะไรขึ้น: เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เศรษฐา […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาในปี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์

เกิดอะไรขึ้น:

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงแนวทางสำหรับมาตรการที่รัฐบาลใหม่กำลังจะออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

 

โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (วงเงิน 5 แสนล้านบาท) คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท จะได้รับเงิน 10,000 บาท ในกระเป๋าเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยจะมีผู้ได้รับสิทธิรวม 50 ล้านคน

 

โดยสามารถนำไปใช้ซื้ออาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ สินค้าออนไลน์ ทองคำและอัญมณี ชำระหนี้ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ น้ำมันและก๊าซ และแลกเป็นเงินสดไม่ได้ เงินดังกล่าวสามารถใช้ได้ที่ร้านค้าลงทะเบียนที่ตั้งอยู่ในอำเภอตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านของผู้ได้รับสิทธิ โดยคาดว่าจะแจกเงินในโครงการนี้ได้ในเดือนพฤษภาคม 2567 ต้องเริ่มใช้ภายใน 6 เดือนนับจากวันเริ่มโครงการ และจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2570 

 

ส่วนโครงการ e-Refund สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โครงการนี้จะเริ่มในเดือนมกราคม 2567

 

กระทบอย่างไร:

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลง 0.64%DoD ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.44%DoD

 

กลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุน: 

InnovestX Research มองว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายของกลุ่มพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2567 เนื่องจากผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ตรงข้ามกับโครงการคนละครึ่ง (ปี 2563-2565) ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ 

 

โครงการ e-Refund มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับอนุมัติจาก ครม. เนื่องจากมีการอนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งมาแล้ว 7 ครั้งด้วยกัน นับตั้งแต่ปี 2558 โดยใช้งบประมาณรัฐบาลค่อนข้างจำกัดสำหรับโครงการนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งครั้งใหม่ ซึ่งจะสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 (เพิ่มขึ้นจาก 40,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566) จะทำให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย (ยอดใช้จ่ายต่อบิลสูง) ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสินค้าจำเป็น 

 

ซึ่งประเมินได้ว่าการลดหย่อนภาษีช้อปปิ้งในครั้งล่าสุด (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 เพิ่มขึ้นจาก 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2565) ช่วยกระตุ้น SSS Growth ในประเทศไทยของ CRC ได้มากที่สุดที่ 2-3%YoY ตามด้วย HMPRO ที่ 2%YoY ขณะที่ชอบ CRC, HMPRO และ GLOBAL โดยเลือกเป็นหุ้นเด่นสำหรับโครงการนี้

 

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณรัฐบาลจำนวนมาก ดังนั้นความคืบหน้าในการจัดหาเงินทุนของโครงการนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม รัฐบาลวางแผนออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยจะส่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายในสิ้นปี 2566 จากนั้นจะส่งต่อไปยังรัฐสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติในต้นปี 2567 หากได้รับอนุมัติ InnovestX Research คาดว่าผู้ประกอบการร้านค้าปลีกอาหารและวัสดุก่อสร้าง (มีสาขาครอบคลุมต่างจังหวัดจำนวนมาก) จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ขณะที่ชอบ CPALL (มีสาขาครอบคลุมทุกอำเภอของประเทศไทย) และ GLOBAL โดยเลือกเป็นหุ้นเด่นสำหรับโครงการนี้

 

ด้านราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับตัวลดลง 9% เช่นเดียวกับ SET สะท้อนถึงยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์ที่หดตัวลง 1%YoY ใน 3Q66 เพราะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่เปราะบางของผู้มีรายได้น้อยและ Sentiment ที่อ่อนแอของผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง สืบเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ 

 

เมื่อมองต่อไปข้างหน้า ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการที่รัฐบาลกำลังจะออกมากระตุ้นการบริโภคของไทย โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (คาดเริ่มเดือนพฤษภาคม 2567) และโครงการ e-Refund (คาดเริ่มเดือนมกราคม 2567) ซึ่งบ่งชี้ถึง Upside ต่อกำไรปี 2567 ของกลุ่มพาณิชย์ หุ้นเด่นคือ CRC, HMPRO, GLOBAL และ CPALL

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาในปี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรมค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย https://thestandard.co/commercial-stocks-consumer-products-newcomer/ Thu, 21 Sep 2023 06:37:22 +0000 https://thestandard.co/?p=844170 หุ้นกลุ่มพาณิชย์

เกิดอะไรขึ้น: บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิ […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรมค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์

เกิดอะไรขึ้น:

บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดตัวธุรกิจใหม่ซึ่งมุ่งเน้นการค้าส่งอาหารภายใต้แบรนด์ ‘GO Wholesale’ ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่ม HoReCa, กลุ่มผู้ค้าปลีกอาหาร, กลุ่มผู้ให้บริการอาหาร และกลุ่มผู้ชื่นชอบการทำอาหาร 

 

โดยในปี 2566 CRC วางแผนเปิดร้าน GO Wholesale จำนวน 4 สาขา โดยจะเปิดสาขาแรกวันที่ 27 ตุลาคม ในย่านศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ สาขาที่ 2 ในเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายน และอีก 2 สาขาถัดไปในพัทยาและนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรีในเดือนธันวาคม CRC ตั้งเป้าเปิดร้าน GO Wholesale 40-45 สาขา (แต่ละสาขามีพื้นที่ขายสุทธิ (NSA) ที่ 5,000-7,000 ตร.ม.) ทั่วประเทศภายในปี 2571 ด้วยเงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้าสร้างรายได้ 6-7 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า 

 

กลยุทธ์หลักของ GO Wholesale คือสินค้าครบครันหลากหลาย (ตั้งเป้ายอดขายอาหารสดที่ 40% ของยอดขาย) อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยจุดเด่นที่สามารถสั่งซื้อสินค้าในรูปแบบที่กำหนดเองได้ และสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ GO Wholesale จะได้รับการสนับสนุนจากพลังเครือข่ายของ Central Group ที่ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า 110 แห่งในประเทศไทยและเวียดนาม ร้านอาหารกว่า 6,750 ร้าน และโรงแรม 93 แห่ง นอกจากนี้ยังมี Loyalty Platform ที่สามารถเข้าถึงลูกค้า 25 ล้านราย (20 ล้านรายจาก The1 Loyalty Program ในประเทศไทย และ 4 ล้านรายในเวียดนาม)

 

อุตสาหกรรมค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคแบบ B2B ยังคงน่าสนใจ โดยมองว่า CRC เข้าสู่อุตสาหกรรมค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคแบบ B2B เนื่องจากเป็นตลาดมีขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเติบโต และมี Penetration Rate จากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมเข้าสู่โมเดิร์นเทรดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคแบบ B2B ของประเทศไทยมีมูลค่า 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2565 (โดยมี Penetration Rate ของร้านค้าส่งที่เป็นระบบ 65%) 

 

CPAXT (เข้าสู่ธุรกิจตั้งแต่ปี 2532) เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด โดยมียอดขายในธุรกิจ B2B มากกว่า 2 แสนล้านบาท (9%) และมีร้านค้า B2B 152 สาขาในประเทศไทย ณ สิ้นปี 2565, BJC (เข้าสู่ธุรกิจในปี 2562) มียอดขายจากธุรกิจโมเดิร์นเทรดแบบ B2B ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท (0.1%) และมีร้านค้า B2B 14 สาขาในประเทศไทย (ร้าน Big C Food Services และ Big C Depot) ณ สิ้นปี 2565 

 

เมื่อมองย้อนกลับไป SSS Growth ในธุรกิจ B2B ของ CPAXT แข็งแกร่งกว่าผู้ประกอบการค้าปลีกรายอื่นภายใต้การวิเคราะห์ โดยเติบโตเฉลี่ย 2.9% ต่อปีในปี 2559-2562 (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 0.5% ต่อปี) โดยได้รับการสนับสนุนยอดขายกลุ่ม HoReCa ที่เติบโตเพิ่มขึ้น และ 2.2% ต่อปีในปี 2563-2564 (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ลดลง 5.2% ต่อปี) โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากร้านค้าปลีกอาหาร อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและลูกค้าปลายทางในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด

 

ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและ CRC ในระยะสั้นจะมีจำกัดเมื่ออิงกับแผนการเปิดร้าน GO Wholesale 4 สาขา (2% ของร้าน B2B ทั้งหมดสำหรับผู้เล่นรายอื่นที่จดทะเบียนในตลาดฯ) ในปี 2566 โดย CRC ตั้งเป้ายอดขาย GO Wholesale ที่ 500 ล้านบาทในปีนี้ และ CRC ยังคงเป้ายอดขาย มาร์จิ้น และงบลงทุนรวมในปี 2566 ไว้คงเดิม และคาดว่าผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ในระยะกลาง โดยใช้สมมติฐานว่ามีการขยายสาขาร้าน GO Wholesale ในระดับปานกลางท่ามกลางอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม มองว่าการที่ CRC ตั้งเป้ามีร้าน GO Wholesale 40-45 สาขาในปี 2571 เป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการค้าปลีกรายอื่นต้องใช้เวลาในการปรับธุรกิจก่อนที่จะหันมาขยายสาขาร้านค้ารูปแบบใหม่เชิงรุกมากขึ้น ผลการดำเนินงานของร้าน GO Wholesale เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม โดย CRC ตั้งเป้าแต่ละสาขาถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปี และแต่ละรูปแบบถึงจุดคุ้มทุนภายใน 4-5 ปี หลังจากเปิดดำเนินการ

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลง 0.31%MoM ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.25%MoM 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

ด้วยศักยภาพของตลาดค้าส่งอาหารในประเทศไทยที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในระยะยาว CRC จึงประกาศเปิดตัวธุรกิจค้าส่ง (B2B) ภายใต้แบรนด์ GO Wholesale ด้วยเงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้าสร้างรายได้ 6-7 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า 

 

InnovestX Research คาดว่าผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจะมีจำกัดในระยะสั้น เนื่องจาก CRC วางแผนเปิดร้าน GO Wholesale เพียง 4 สาขาในปี 2566 นอกจากนี้ยังคาดว่าผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ในระยะกลาง เนื่องจาก CRC จะขยายสาขาร้าน GO Wholesale ในระดับปานกลางท่ามกลางยอดขายในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มฯ ยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ CRC (ราคาเป้าหมาย 48 บาทต่อหุ้น), CPAXT (ราคาเป้าหมาย 42 บาทต่อหุ้น) และ BJC (ราคาเป้าหมาย 42 บาทต่อหุ้น)

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรมค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ชะลอตัวลง https://thestandard.co/market-focus-commercial-stocks-2/ Thu, 29 Jun 2023 00:29:35 +0000 https://thestandard.co/?p=808976 หุ้นกลุ่มพาณิชย์

เกิดอะไรขึ้น:   ใน 2Q66TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่ […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ชะลอตัวลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์

เกิดอะไรขึ้น:

 

ใน 2Q66TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์ (BJC, CPALL, CPAXT, CRC, GLOBAL และ HMPRO) มีแนวโน้มเติบโต 4%YoY ใน 2Q66TD (เทียบกับ 8.8%YoY ใน 2Q65 และ 5.2%YoY ใน 1Q66) แม้ว่าจะเทียบกับฐานปกติของปีที่ผ่านมาและไม่มีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ‘ช้อปดีมีคืน’ เหมือนในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 40,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ) 

 

โดยได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้เกษตรกรและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และฝนที่ตกน้อย รวมทั้งอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ซึ่งช่วยหนุนให้ยอดขายเครื่องดื่มและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 

 

เมื่อแยกตามบริษัทใน 2Q66TD CPALL มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS เติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ในอัตราเลขหลักเดียวระดับสูง YoY ตามด้วย CPAXT (ตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY สำหรับธุรกิจ B2B และตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY สำหรับธุรกิจ B2C), HMPRO (ตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY)

 

CRC (ตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY โดยการเติบโตของยอดขายในประเทศไทยและอิตาลีถูกลดทอนลงบางส่วน โดยยอดขายที่หดตัวลงในเวียดนามซึ่งคิดเป็น 24% ของยอดขายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว) และ BJC (ตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำถึงกลาง YoY) ในขณะที่ GLOBAL มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS หดตัวลงในอัตราเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY จากราคาเหล็กที่ลดลง

 

อย่างไรก็ดี คาดว่า SSS ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบเชิงบวกต่อยอดขายจากฝนที่ตกน้อยกว่าปกติและอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม แต่คาดว่า SSS จะเติบโตในอัตราชะลอตัวลง เพราะความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบจากภาวะสุญญากาศทางการเมืองเป็นเวลานาน เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลาและกำลังซื้อมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลง สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราชะลอตัวลง เนื่องจากสภาวะเอลนีโญจะเริ่มเกิดขึ้นใน 2H23 

 

โดยข้อมูลของ NOAA หลังจากสังเกตเห็นสภาวะเอลนีโญกำลังอ่อนในเดือนพฤษภาคม คาดว่าเอลนีโญจะค่อยๆ มีกำลังแรงขึ้นในช่วงปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 โดยความน่าจะเป็นที่จะเกิดเอลนีโญมีมากกว่า 90% ตลอดระยะเวลาดังกล่าว 

 

เมื่อนำข้อมูลนี้มาประกอบการพิจารณาในปี 2566 SCB EIC คาดว่ารายได้เกษตรกรในประเทศไทยจะเติบโต 0.6%YoY (เทียบกับ 6.2%YoY ใน 4M66) โดยผลผลิตสินค้าเกษตรจะเพิ่มขึ้น 1.6% (เทียบกับ 8.9%YoY ใน 4M66) และราคาจะลดลง 1.5% (เทียบกับลดลง 2.9%YoY ใน 4M66) ซึ่งบ่งชี้ว่า รายได้เกษตรกรมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปี 2566 เริ่มตั้งแต่ฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปี มันสำปะหลัง และอ้อย ที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีนี้

 

ด้านผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เมื่อพิจารณาจากนโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าตามที่พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสัญญาไว้ประเมินได้ว่า ผลกระทบโดยรวมต่อกำไรของกลุ่มพาณิชย์จะเป็นกลาง เนื่องจากกำไรที่จะลดลง 6% จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (เพิ่มขึ้น 30%) จะถูกชดเชยโดยกำไรที่จะเพิ่มขึ้น 6% จากการลดค่าไฟฟ้า (ลดลง 15%) 

 

สำหรับนโยบายหวยใบเสร็จตามที่พรรคก้าวไกลเสนอไว้นั้นประเมินได้ว่า ผลกระทบต่อกลุ่มพาณิชย์จะคล้ายกับที่เห็นได้จากมาตรการคนละครึ่งในปี 2563-2565 ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการนี้ ในตอนนั้น ซึ่งสังเกตเห็นผลกระทบเชิงบวกเล็กน้อยต่อยอดขายกลุ่มธุรกิจ B2B (CPAXT) ผลกระทบเชิงลบเล็กน้อยต่อยอดขายกลุ่มสินค้าจำเป็น และผลกระทบที่เป็นกลางต่อยอดขายกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ในขณะที่จะต้องติดตามประเด็นการยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมต่อไป

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลดลง 7.22%MoM ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 3.45%MoM 

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:

 

ในปี 2566 คาดว่ากำไรปกติของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต 20%YoY โดยใช้สมมติฐานว่ายอดขายสาขา (SSS) เติบโต 2.7%YoY การขยายสาขา (จำนวนสาขาใหม่จะเพิ่มขึ้น 5.7%) และ EBIT Margin เพิ่มขึ้น 10bpsYoY จากการมีสัดส่วนการขายที่ดีขึ้น อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น และการควบคุมอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขายได้ดีขึ้น เพราะยอดขายดีขึ้นและต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลงในเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม (ลดลง 12% จากเดือนมกราคม-เมษายน 2566 แต่ยังเพิ่มขึ้น 16%YoY)

 

สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มพาณิชย์ InnovestX Research ชอบ HMPRO เนื่องจากมีความเสี่ยง Downside ต่อนโยบายรัฐบาลใหม่ค่อนข้างจำกัด โดยกำไรจะเติบโต 14% ในปี 2566 จากยอดขายที่ดีขึ้นและมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ ตั้งแต่ 1Q66-4Q66 จากปัจจัยฤดูกาล 

 

นอกจากนี้ยังชอบ CPALL และ CPAXT เนื่องจากกำไรปี 2566 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ฟื้นตัว โดยกำไร 2H66 จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงหลังจากรีไฟแนนซ์หนี้ที่มีต้นทุนสูงเสร็จในเดือนเมษายน 

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ชะลอตัวลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายเติบโตแข็งแกร่งและต้นทุนมีแนวโน้มลดลง https://thestandard.co/commercial-stocks-sales-growth/ Mon, 20 Mar 2023 11:26:12 +0000 https://thestandard.co/?p=765824

เกิดอะไรขึ้น: ใน 1Q66TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย […]

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายเติบโตแข็งแกร่งและต้นทุนมีแนวโน้มลดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

ใน 1Q66TD ยอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์ (BJC, CPALL, CRC, GLOBAL, HMPRO และ MAKRO) มีแนวโน้มเติบโตในอัตราเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น ดังเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือน เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ‘ช้อปดีมีคืน’, รายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 

 

โดยในเดือนมกราคม รายได้เกษตรกรเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 ที่ 4%YoY และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยเพิ่มขึ้นสู่ 2.1 ล้านคน (เทียบกับ 1 แสนคนในเดือนมกราคม 2565) และ 22 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 42%YoY) ตามลำดับ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


เมื่อแยกตามบริษัท ใน 1Q66TD CRC มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS เติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่ระดับ Low Teen YoY ตามด้วย MAKRO (Low Teen YoY สำหรับธุรกิจ B2B และตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY สำหรับธุรกิจ B2C), CPALL และ HMPRO (ตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY) และ BJC (ตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY) ในขณะที่ GLOBAL มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSS หดตัวลงในอัตราเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง YoY จากราคาเหล็กที่ลดลง

 

กระทบอย่างไร:

ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ (SETCOMM) ปรับลดลง 7.12% ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 6.29%

 

มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน:

InnovestX Research คาดว่ายอดขายสาขา (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยดังนี้

 

  1. บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการเลือกตั้งทั่วไปใน 2Q66

 

  1. นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 25 ล้านคน เพิ่มขึ้น 124%YoY แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอยู่ 37% และ SCB EIC คาดว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจะอยู่ที่ 227 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 12%YoY) ใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโควิด มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 (เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม – 30 เมษายน) จะช่วยกระตุ้นความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยในระยะสั้น 

 

  1. การเติบโตของรายได้เกษตรกร โดยในปี 2566 SCB EIC คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเติบโต 1.3%YoY โดยการเพิ่มขึ้น 3% ของผลผลิตสินค้าเกษตรจากปริมาณน้ำฝนและน้ำในเขื่อนที่อยู่ในเกณฑ์ดี จะช่วยชดเชยการลดลง 1.5% ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก เช่น ยาง และปาล์มน้ำมัน

 

  1. การขาดหายไปของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ผู้ประกอบการค้าปลีกโมเดิร์นเทรดไม่สามารถเข้าร่วมได้ เช่น คนละครึ่ง เฟส 4 และเฟส 5 ในปี 2565 มูลค่ารวม 5.6 หมื่นล้านบาท

 

ด้านต้นทุนด้านโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำลังรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อเสนออัตราค่าไฟฟ้าใหม่จาก 5.33 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) สำหรับภาคธุรกิจในเดือนมกราคม-เมษายน เป็น 3 ทางเลือกใหม่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย (ลดลง 11% จากงวดเดือนมกราคม-เมษายน), 4.84 บาทต่อหน่วย (ลดลง 9%) และ 6.72 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 26%) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ด้วยต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 

 

ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่อัตราค่าไฟฟ้าจะปรับลดลง ซึ่งจากการวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่าการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าลง 10% จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ปรับขึ้นได้ 3% (6% สำหรับ CPALL, 4% สำหรับ MAKRO และ BJC, 3% สำหรับ CRC และ 1% สำหรับ HMPRO และ GLOBAL)

 

ด้านราคาหุ้น ราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ปรับตัว Outperform SET อยู่ 4% ในช่วง 3 เดือน และ 1% ในช่วง 1 เดือนก่อนเลือกตั้ง และ 2% ในช่วง 1 เดือน และ 8% ในช่วง 3 เดือนหลังเลือกตั้งในปี 2544-2562 โดยเลือกหุ้นเด่นของกลุ่มเป็น CPALL, MAKRO และ BJC เนื่องจากคาดว่ากำไรปี 2566 จะเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มพาณิชย์ โดยได้แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ฟื้นตัวดีขึ้น และจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักจากต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลง 

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นตามเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

The post หุ้นกลุ่มพาณิชย์ – ยอดขายเติบโตแข็งแกร่งและต้นทุนมีแนวโน้มลดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นไทย ทำจุดต่ำใหม่ในรอบเกือบ 2 เดือน นักลงทุนถล่มขายหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ‘CPALL’ นำตลาดลง https://thestandard.co/investors-collapse-cpall-stocks/ Fri, 24 Feb 2023 04:54:10 +0000 https://thestandard.co/?p=754829 หุ้น CPALL

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 กุมภาพันธ์) ดัชนี S […]

The post หุ้นไทย ทำจุดต่ำใหม่ในรอบเกือบ 2 เดือน นักลงทุนถล่มขายหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ‘CPALL’ นำตลาดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น CPALL

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 กุมภาพันธ์) ดัชนี SET ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สามติดต่อกัน ลดลงไปกว่า 30 จุด จากราคาปิดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายที่ขายออกมารวมกันกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ต่างชาติขายหุ้นไทยไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท 

 

ส่วนการดิ่งลงในวันนี้ถึง 17.7 จุด ถูกกดดันมาจากกลุ่มพาณิชย์ (COMM) กดดันดัชนีราว 5 จุด รองลงมาคือกลุ่มพลังงาน (ENERG) 2.5 จุด และกลุ่มสื่อสาร (ICT) 2 จุด หุ้นที่กดดันดัชนีมากที่สุดในช่วงเช้านี้คือหุ้นของ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ลดลง 5% ไปแตะระดับ 61.75 บาท ส่งผลให้ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน 

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า CPALL รายงานกำไรไตรมาส 4 ต่ำกว่าคาด 20% จากเรื่องเงินโบนัสพนักงานก้อนใหญ่ ทำให้นักลงทุนเทขายออกมา และดึงให้หุ้นกลุ่มค้าปลีกอื่นๆ ลงมาด้วย แม้ว่าบางตัวอาจจะประกาศงบออกมาดี

 

นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้าเองก็มีปัจจัยกดดันจากการที่บริษัทบางส่วนยื่นต่อศาลปกครองให้คุ้มครองการประมูลใบอนุญาตขายไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้การประกาศผลผู้ชนะการประมูลรอบสุดท้าย วันที่ 22 มีนาคมนี้ อาจล่าช้าออกไปได้ 

 

“เชื่อว่าดัชนี SET ที่ลงไปต่ำกว่า 1,650 จุด น่าจะเป็นโอกาสสะสม โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในวันนี้ โดยแต่ละบริษัทจะทยอยประกาศเงินปันผลครึ่งปีหลังออกมา ส่วนกลุ่มค้าปลีกหากมีการประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้” 

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า หุ้นไทยที่ลดลงในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ต้องให้น้ำหนักกับปัจจัยภายใน สะท้อนผ่านค่าเงินบาทที่ Underperform โดยเงินบาทถือเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ากลับมาได้น้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 เทียบกับภูมิภาค

 

ปัจจัยกดดันที่สำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาต่ำกว่าคาดอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และจะนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์

 

“ช่วงนี้จะเห็นการออกมา Downgrade กำไร บจ. ของนักวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ถามว่าจะจบเมื่อใด มองว่าน่าจะจบเมื่องบไตรมาส 4 ออกมาครบแล้ว หลังจากนั้นจะเริ่มปรับมุมมองกันอีกครั้ง” 

 

ส่วนอีกปัจจัยที่อาจจะมีน้ำหนักอยู่บ้างคือเรื่องของการเลือกตั้ง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนในเรื่องของกรอบเวลา เพราะการปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น เรื่องเกณฑ์การแบ่งเขต เป็นต้น ทั้งนี้ หากการเลือกตั้งเลื่อนออกไปจะกระทบต่อตลาดหุ้นไม่มากก็น้อย 

 

“ในระยะสั้นหุ้นไทยน่าจะเริ่มแกว่งตัวออกข้างหลังจากแรงกดดันเรื่องกำไรสะท้อนไปพอสมควร ส่วนเรื่องของการเลือกตั้งที่ทำให้นักลงทุนคาดหวังเชิงบวกสะท้อนไปในราคาพอสมควร หากมีการเลื่อนอาจกระทบต่อดัชนีในทางลบ” 

 

ด้านปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตาคือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เดือนก่อนเพิ่มขึ้นถึง 5 แสนตำแหน่ง ทำให้นักลงทุนทั่วโลกยังไม่กล้ากลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงหุ้น หากตัวเลขเริ่มชะลอลง น่าจะเริ่มเห็นนักลงทุนกล้ากลับเข้ามาลงทุนในหุ้นอีกครั้ง 

 

ณัฐชาตกล่าวต่อว่า กรณีเลวร้ายสุดของหุ้นไทยในรอบนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,590-1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่ากรณีฐานของเราที่ 1,640 จุด อิงจากกำไรตลาดปีนี้ 117 บาท คูณกับ Forward P/E 14 เท่า 

 

“กลุ่มที่แข็งกว่าตลาดในตอนนี้คือโรงแรม ล่าสุดดัชนีกลุ่มทำจุดสูงสุดรอบ 4 ปี สอดคล้องกับภาพใหญ่ที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องยนต์หลักตัวเดียวที่หนุนเศรษฐกิจไทย” 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

The post หุ้นไทย ทำจุดต่ำใหม่ในรอบเกือบ 2 เดือน นักลงทุนถล่มขายหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ‘CPALL’ นำตลาดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>