สุรพล โอภาสเสถียร – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 21 Oct 2024 04:20:20 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘เครดิตบูโร’ จับตาหนี้เสียไตรมาส 3 ไต่ระดับสู่ 1.2 ล้านล้านบาท หลังหนี้ SM เดือน ส.ค. อยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท ขณะที่ลูกหนี้เรื้อรังเข้าโครงการแก้หนี้เพียง 5,300 ราย จากลูกหนี้เข้าข่าย 5 แสนราย https://thestandard.co/credit-bureau-bad-debt-q3-2024/ Mon, 21 Oct 2024 04:20:20 +0000 https://thestandard.co/?p=998313

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัด […]

The post ‘เครดิตบูโร’ จับตาหนี้เสียไตรมาส 3 ไต่ระดับสู่ 1.2 ล้านล้านบาท หลังหนี้ SM เดือน ส.ค. อยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท ขณะที่ลูกหนี้เรื้อรังเข้าโครงการแก้หนี้เพียง 5,300 ราย จากลูกหนี้เข้าข่าย 5 แสนราย appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โพสต์ข้อมูลเรื่องสินเชื่อรายย่อยและหนี้เสียในระบบ (ที่เครดิตบูโรจัดเก็บ) ของไทย ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า 

 

สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน​ 8 (สิงหาคม​ 2567)​ ซึ่งขอเน้นว่ายังไม่เห็นหรือรวมผลกระทบจากการที่เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่​ โดยตัวเลขที่น่าสนใจจะเป็นตัวเลขสิ้นสุดไตรมาส​ 3 (กันยายน​ 2567)​ ซึ่งจะออกมาในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิ​กายน​ 2567

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

จากภาพที่แสดง​มีความหมายดังนี้

 

  1. จากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร ​ครอบคลุมหนี้สินรายย่อยของประชาชนที่ไม่รวมลูกหนี้นิติบุคคลนั้น ซึ่งรวบรวมจากสถาบันการเงิน​สมาชิกเครดิตบูโร​กว่า​ 158 แห่ง พบว่า ​มียอดสินเชื่อ​ 13.63 ล้านล้านบาท​ มีการเติบโต​ ​0.8%YoY, 0.0%MoM คือแทบไม่มีการเติบโต​

 

  1. หนี้เสีย หรือ​ NPL มาหยุดอยู่ที่​ 1.18 ล้านล้านบาท เคลื่อนที่ช้าๆ ไปสู่จุด​ 1.2 ล้านล้านบาท ตามที่คาดการณ์​ไว้เมื่อต้นปี​ 2567​ คิดเป็นอัตราส่วน​ 8.7% ของยอดสินเชื่อรวม

 

แน่นอนว่าหนี้เสียก้อนนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน​ กำลังรอมาตรการแก้ไขแบบแรงๆ​ มีแรงจูงใจสูงทั้งเจ้าหนี้​ ลูกหนี้​ ให้เข้ามาตกลงกัน​ ภายใต้กติกาที่ผู้กำกับดูแลน่าจะได้ขยับเข้ามากระชับพื้นที่​ 

 

 

  1. หนี้กำลังจะเสีย หรือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ หรือ​ SM ในเดือนสิงหาคม​ 2567 ในระบบของเครดิตบูโร ​มาหยุดอยู่ที่​ 6.4 แสนล้านบาท คิดเป็น​ 4.7% นิ่งๆ ซึ่งมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน หรือ​ Preemptive​ Debt​ Restructure (DR) ที่เริ่มให้บันทึกข้อมูล​ในระบบเครดิตบูโรตั้งแต่เดือนเมษายน​ 2567 ตอนนี้มียอดสะสมจนถึงเดือนสิงหาคม​ 2567​ คิดเป็น​จำนวน​ 1 ล้านบัญชีเศษ​ 

 

“ผมก็ไม่รู้ว่าทำกันมากน้อย เพราะไม่มีตัวเลขเปรียบเทียบก่อนหน้าเดือนเมษายน​ 2567​ เพราะไม่ได้รับอนุญาต​ให้เก็บข้อมูล​นี้ จำนวนเงินที่ทำ​ DR​ สะสมจนถึงตอนนี้​ 5.4 แสนล้านบาท”

 

มาตรการนี้เป็นเหมือนฝายทดน้ำไม่ให้​ SM ไหลไปเป็น​ NPLs เพราะตามเกณฑ์​การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ​ เจ้าหนี้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้ ถ้าเห็นว่าลูกหนี้จะผ่อนตามเงื่อนไขเดิมไม่ไหว​ กล่าวคือปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างเกิน​ 90 วัน​ ที่กำลังมีจำนวนทวีเพิ่มคือ​ลูกหนี้เริ่มร้องมาที่เครดิตบูโร​ว่า​ พอไปทำ​ DR มันกลายเป็นเหตุที่ทำให้ขอสินเชื่อไม่ได้​ ถูกปฏิเสธ​ หรือลูกหนี้บางรายบอกว่าเขายอมเข้าโครงการ​ DR เพราะนึกว่าไม่ใช่การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะใส่รหัสไว้ในรายงานเครดิตบูโร​ บางรายก็บอกว่าข้อเสนอเจ้าหนี้ที่ให้ทำ​ DR ไม่ได้พูดชัดเจนว่าถ้าทำแล้วอาจได้รับผลกระทบอะไรบ้าง​ กล่าวสรุปคือบอกว่า​ ถ้ารู้ว่าจะโดนปฏิเส​ธสินเชื่อก็อาจไม่เข้าโครงการ​ DR 

 

“ท่านที่ออกกติกาครับ​ โปรดลงไปพูดจาให้เกิดการปฏิบัติอย่างที่ท่านมุ่งหมายด้วยนะครับ​ เป้าตัวเลขที่อยากได้​จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ กับปริมาณ​คำร้องที่มันเริ่มทวีมากขึ้น​ ท่านต้องรับด้วยนะครับ ถ้าเอาใจลูกหนี้มากก็เละ​ ถ้าไม่ชัดกับเจ้าหนี้มันก็ละล้าละลัง​กันไปทั้งขบวน สถานการณ์​แบบ ‘กลับก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ถึง’ ถ้ายังเป็นแบบนี้​ ขยันทำอยู่ผิดที่ 10 ปีก็ไม่ถึงเป้าหมายครับ”

 

 

 

  1. ภาพต่อมาคือข้อมูล​บางส่วนที่ท่านเลขาฯ​ กนง. นำออกมาแถลงชี้แจงผลการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายของ​ กนง. กล่าวคือท่านผู้อ่านจะเห็นว่าการเติบโตของสินเชื่อทุกประเภทที่แสดงนั้นเติบโตในอัตราลดลง​ โดยเฉพาะเส้นสีฟ้าคือสินเชื่อ​ SME ติดลบ​ 3.3% ขณะที่​ NPLs​ ของสถาบันการเงิน (โปรดดูคำนิยามนะครับว่าครอบคลุมใครบ้าง​ เดี๋ยวจะงงว่าครบไม่ครบ)​ โดยเฉพาะ​ SMEs มันไปถึง​ 9.1% (ดูคำนิยามด้วยครับว่าใครคือ​ SME​s) ต่อด้วยสรุปประเด็นสำคัญจากการตัดสินใจของ กนง. ว่าเหตุปัจจัยที่ออกมา​ 5:2 ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นคืออะไร

 

มีข้อมูล​เพิ่มเติมเล็กๆ คือบัญชีสินเชื่อที่ถือว่าเป็นหนี้เรื้อรังที่ควรต้องได้รับการแก้ไข​ (Severe PD) ได้รับข้อเสนอจากเจ้าหนี้ให้เข้าโครงการแก้ไข​ และลูกหนี้ตอบรับการเข้ากระบวนการแก้ไขมีจำนวน​เพียง 5,300 บัญชี จากจำนวน​ 5 แสนบัญชีที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง (ข้อมูล​ตามการแถลง)​ คิดเป็นเงินที่เก็บข้อมูล​ได้​ว่า เข้าโครงการปิดจบใน​ 5 ปีที่ดอกไม่เกิน​ 15% มีจำนวน 247 ล้านบาท จากยอดที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรัง​ทั้งหมดประมาณ​ 9.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล​ตามการแถลงเช่นกัน)

 

สุดท้าย​ผมใคร่ขอเสนอเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ​ว่า เมื่อเรามีตำแหน่งหน้าที่ตามที่เรามุ่งหวัง​ ทะเยอทะยาน​ มุ่งมั่นเติบโต​จนมาถึงตำแหน่งแห่งที่นี้ หรือตัวเราในอดีตสมัครเข้ามาทำหน้าที่นั้นแล้ว​ อย่าลืม​วันนั้น อย่ากลัววันนี้ที่จะเสียตำแหน่ง​ แต่ควรกลัวที่จะไม่ได้ใช้ตำแหน่งแห่งที่​ อำนาจวาสนานั้น​ในเวลานี้ที่อยู่ในมืออย่างเต็มศักยภาพ​ คุ้มกับค่าจ้าง คุ้มกับความสนับสนุน​เพื่ออำนวยผลประโยชน์​ในทางบวกแก่ผู้คน (เปราะบาง แม้ไม่มีคำนิยามชัดจนถูกกล่าวว่ามันคือเพียง ‘วาทกรรม’ เพื่อให้ดูดี)

 

ตำแหน่งอยู่ไม่นาน​ ตำนาน (การทำเรื่องดีๆ) ​นั้นอยู่ตลอดไป​

 

อ้างอิง:

The post ‘เครดิตบูโร’ จับตาหนี้เสียไตรมาส 3 ไต่ระดับสู่ 1.2 ล้านล้านบาท หลังหนี้ SM เดือน ส.ค. อยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท ขณะที่ลูกหนี้เรื้อรังเข้าโครงการแก้หนี้เพียง 5,300 ราย จากลูกหนี้เข้าข่าย 5 แสนราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จ่ายหนี้ไม่ไหวแล้ว? หนี้เสียคนไทยพุ่ง 12.2% ใน Q2 เครดิตบูโรเตือน NPL มีโอกาสนิวไฮ หากรายได้-เศรษฐกิจไม่ฟื้น https://thestandard.co/thai-peoples-bad-debts-are-rising/ Wed, 14 Aug 2024 07:24:54 +0000 https://thestandard.co/?p=970840

เครดิตบูโรเผย หนี้เสียคนไทย (NPL) พุ่งต่อเนื่องถึง 12.2 […]

The post จ่ายหนี้ไม่ไหวแล้ว? หนี้เสียคนไทยพุ่ง 12.2% ใน Q2 เครดิตบูโรเตือน NPL มีโอกาสนิวไฮ หากรายได้-เศรษฐกิจไม่ฟื้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

เครดิตบูโรเผย หนี้เสียคนไทย (NPL) พุ่งต่อเนื่องถึง 12.2% ทะลุ 1.15 ล้านล้านบาทแล้ว ขณะที่ยอดปล่อยสินเชื่อโดยรวมบวกเพียง 1.3% เท่านั้นในไตรมาส 2 จับตาไตรมาส 3 ยอด NPL อาจแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หากรายได้ประชาชนไม่ฟื้น

 

วันนี้ (14 สิงหาคม) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยกับ THE STANDARD เกี่ยวกับภาพรวมสินเชื่อผู้บริโภคไทยในไตรมาสที่ 2 โดยระบุว่า หนี้เสียที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPL) ในไตรมาสที่ 2 พุ่งต่อเนื่องถึง 12.2% ขณะที่จำนวนสินเชื่อโดยรวมทั้งระบบขยายตัวเพียง 1.3% เท่านั้น

 

โดยจำนวนสินเชื่อผู้บริโภคโดยรวมทั้งระบบ (Total Consumer Loan) อยู่ที่ 13.63 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพียง 1.3%YoY นับว่าชะลอตัวอย่างมากจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวราว 3% สะท้อนว่าสถาบันการเงินคุมเข้มมาตรฐานการให้สินเชื่อมากขึ้น

 

ตามรายงานผลการสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อ (Credit Conditions Report) ประจำไตรมาส 2 ปี 2567 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่า มาตรฐานการให้สินเชื่อภาคครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี 2567 เข้มงวดขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ โดยสถาบันการเงินส่วนใหญ่มีความกังวลต่อความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และจากความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของผู้กู้

 

คนดิ้นหาสภาพคล่อง ดันสินเชื่อ Nano Finance ดอกสูง พุ่ง 26.8%

 

สุรพลกล่าวอีกว่า การขยายตัวสินเชื่อเพียงแค่ 1.3% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสินเชื่อ Nano Finance ที่มีดอกเบี้ยสูง ขยายตัวถึง 26.8% สะท้อนว่าผู้คนที่ขาดสภาพคล่องกำลังไม่มีทางเลือก สวนทางกับสินเชื่อรถยนต์ที่หดตัว 3.2% และสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตที่โตไม่ถึง 3%

 

 

หนี้เสียคนไทยจ่อทำนิวไฮสูงกว่าช่วงโควิด

 

หนี้เสีย (NPL) ค้างชำระเกิน 90 วัน ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เพิ่มขึ้น 12.2% โดยจำนวนนี้นำโดยหนี้สหกรณ์ที่เพิ่มขึ้น 54.7% ตามมาด้วยหนี้รถยนต์ หนี้บ้าน หนี้ Nano Finance ที่เพิ่มขึ้น 29.7%, 23.2% และ 22.0% ตามลำดับ

 

สุรพลคาดว่า หนี้เสียที่ตอนนี้ทะลุ 1.15 ล้านล้านบาทแล้ว คาดว่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปสู่ระดับ 1.2 ล้านล้านบาทในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้มีแนวโน้มทำได้ยากขึ้น เนื่องมาจากรายได้ของผู้คนเพิ่มไม่เพียงพอ

 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกขยายตัว 1.5% เท่านั้น ขณะที่ GDP ไตรมาส 2 ซึ่งจะประกาศวันที่ 19 สิงหาคมนี้ หลายฝ่ายรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า จะขยายตัวได้ราว 2% ส่วน GDP ทั้งปี 2567 นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักประเมินว่าไม่น่าเกิน 3%

 

 

จับตาหนี้เสียบัตรเครดิต

 

สำหรับหนี้เสียบัตรเครดิต (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.5% ขณะที่ยอดค้างชำระ 31-90 วัน (SM) ​พุ่ง 31.3% ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นับว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นอัตราจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต (Minimum Payment) เป็น 8% เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 จากระดับ 5% ในช่วงโควิด

 

ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ธปท. ประกาศตรึงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตที่ 8% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 จากเดิมที่กำหนดให้อัตราดังกล่าวกลับสู่เกณฑ์ปกติที่ 10% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

 

“เราไม่รู้ว่ามาตรการของแบงก์ชาติที่ให้ตรึงอัตราจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตไว้ที่ 8% จะทำให้หนี้กำลังจะเสีย (SM) ที่ค้างชำระ 31-90 วันของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นต่อไปในไตรมาส 3 หรือไม่” สุรพลกล่าว

 

The post จ่ายหนี้ไม่ไหวแล้ว? หนี้เสียคนไทยพุ่ง 12.2% ใน Q2 เครดิตบูโรเตือน NPL มีโอกาสนิวไฮ หากรายได้-เศรษฐกิจไม่ฟื้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องปรากฏการณ์ ‘รับจ่ายบิลแลกเงิน’ ถึง ‘จำนำ iCloud’ ภาพสะท้อนเศรษฐกิจ สภาพคล่อง และภาระหนี้อันหนักอึ้งของคนไทย https://thestandard.co/receiving-bills-in-exchange-for-money/ Tue, 28 May 2024 09:21:44 +0000 https://thestandard.co/?p=938442

ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง (Uneven Reco […]

The post ส่องปรากฏการณ์ ‘รับจ่ายบิลแลกเงิน’ ถึง ‘จำนำ iCloud’ ภาพสะท้อนเศรษฐกิจ สภาพคล่อง และภาระหนี้อันหนักอึ้งของคนไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง (Uneven Recovery) ธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรัง ทำให้สังคมไทยเกิดธุรกรรม ‘การหมุนเงิน’ ใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ตัวอย่างเช่น ‘การรับจ่ายบิลแลกเงิน’ ไปจนถึง ‘จำนำ iCloud’

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าปรากฏการณ์หมุนเงินเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนถึง ‘การขาดเงินสดและสภาพคล่องที่เหือดแห้ง’ ของคนไทย และอาจเป็นต้นตอทำให้ปัญหา ‘หนี้เน่า’ ทั้งในและนอกระบบใหญ่ขึ้น

 

รู้จักปรากฏการณ์หมุนเงินใหม่: จำนำ iCloud คืออะไร?

 

นอกจากนี้ ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันนี้ สังคมไทยยังเกิดการจำนำรูปแบบใหม่ ที่เรียกกันว่า ‘การจำนำ iCloud’ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการจำนำโทรศัพท์เวอร์ชันใหม่ ที่เจ้าของ iPhone ไม่จำเป็นต้องฝากโทรศัพท์ไว้กับ ‘ผู้รับจำนำ’ ทำให้เจ้าของ iPhone ยังสามารถใช้โทรศัพท์ต่อไปได้ แม้จำนำไปแล้ว

 

โดยการจำนำมาในรูปแบบที่เจ้าของ iPhone ต้องลงชื่อออก (Log Out) จากบัญชี iCloud ของตัวเอง และหันไปใช้บัญชี iCloud ของผู้รับจำนำ เพื่อที่ผู้รับจำนำจะได้กด ‘ล็อก’ โทรศัพท์ของผู้ขอจำนำได้ หากเกิดการผิดนัดชำระ

 

ซึ่งความน่ากังวลอีกประการหนึ่งจากการจำนำลักษณะนี้คือ ‘ความเป็นส่วนตัว’ ของเจ้าของโทรศัพท์จะอาจสูญเสียไป

 

ทั้งนี้ iCloud คือบริการช่วยจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญของ Apple Inc. สำหรับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น iPhone, iPad และ MacBook 

 

โดยข้อมูลดังกล่าวรวมไปถึง รูปภาพ ไฟล์ โน้ต อีเมล ปฏิทิน รายชื่อสมุดโทรศัพท์ และพวงกุญแจ iCloud ที่ใช้จัดเก็บรหัสผ่าน บัตรเครดิต และอื่นๆ

 

สะท้อนว่าการจำนำ iCloud นี้อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนตัวหลายๆ ด้าน รวมถึงข้อมูลทางการเงิน ‘รั่วไหล’ ไปสู่ผู้ใช้ iCloud เดียวกันร่วมกับคนอื่นๆ ได้ หากมีการเปิดให้ Sync ข้อมูลด้วยกัน

 

นอกจากนี้การใช้ iCloud ของผู้รับจำนำยังเป็นการเปิดทางให้ผู้รับจำนำติดตามได้ว่า ผู้ขอจำนำอยู่ที่ใด ผ่านแอปพลิเคชัน Find My อีกด้วย

 

จากการสำรวจข้อมูลของ THE STANDARD WEALTH พบว่า ดอกเบี้ยของการจำนำ iCloud ‘สูงกว่า’ อัตราดอกเบี้ยที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 วางหลักไว้ว่า ‘ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี’

 

ตัวอย่างเช่น ตั้งยอดรับ iPhone รุ่น 15 Pro Max ไว้ที่ 5,000 บาท โดยเก็บดอกลอย 1,400 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 28% ต่อเดือน

 

หรือตั้งยอดรับ iPhone 11 ไว้ที่ 2,000 บาท โดยเก็บดอกลอย 500 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 25% ต่อเดือน

 

‘การรับจ่ายบิลแลกเงิน’ คืออะไร? วิธีการแลกเงินทำอย่างไร?

 

สำหรับลูกค้า Shopee อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวเสนอสินเชื่อให้ลูกค้าที่มีชื่อว่า ‘SPayLater’ โดยผู้ใช้สามารถนำวงเงินสินเชื่อดังกล่าวชำระเงินต่างๆ บนแพลตฟอร์มได้ รวมถึงการจ่ายบิลต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ดี สินเชื่อดังกล่าว ‘ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้’ และด้วยเหตุผลนี้ ธุรกรรม ‘รับจ่ายบิลแลกเงิน’ จึงถือกำเนิดขึ้น

 

จะเห็นได้ว่า ธุรกรรม ‘การรับจ่ายบิลแลกเงิน’ ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกกลุ่มบนเฟซบุ๊กที่มีเพื่อทำธุรกรรมดังกล่าวกลุ่มหนึ่งได้ทะลุ 2 แสนคนไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่คล้ายคลึงกันอีกมาก

 

นอกจากนี้ไม่ใช่แค่ Shopee เท่านั้นที่เสนอบริการดังกล่าว แต่ยังมี Pay Next ผ่าน TrueMoney ของบริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด และ K PAY LATER ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย

 

เพื่อเข้าใจวิธีการแลกเงินมากขึ้น ตามคำอธิบายในกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่มหนึ่งระบุว่า ‘ผู้หาจ่าย’ คือ ผู้ที่มีบิลค้างชำระ ซึ่งต้องการจ่ายบิลในราคาที่ถูกลงจากยอดในบิล ‘ตามราคาที่ตกลงกัน 2 ฝ่าย’ และ ‘ผู้รับจ่าย’ หมายถึง ผู้ที่มีวงเงินสินเชื่อ

 

โดยจากการสำรวจคร่าวๆ THE STANDARD WEALTH พบว่า ผู้ที่มีบิลค้างชำระมักจะเสนอราคาที่ต่ำกว่าราว 10-30% ตัวอย่างเช่น

  • ยอดค่าไฟ 1,991.42 บาท โอนให้หลังยอดตัด 1,600 บาท (ได้ส่วนลด 19.65%)
  • ยอดค่าน้ำ 276.65 บาท โอนให้หลังยอดตัด 200 บาท (ได้ส่วนลด 27.70%)
  • ยอดค่าอินเทอร์เน็ต 631.30 บาท โอนให้หลังยอดตัด 500 บาท (ได้ส่วนลด 20.79%)
  • ยอดค่าโทรศัพท์ 705.56 บาท โอนให้หลังยอดตัด 600 บาท (ได้ส่วนลด 14.96%)

 

หน่วยงานกำกับการชำระเงินอย่าง ‘แบงก์ชาติ’ มองเรื่องนี้อย่างไร?

 

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ในงาน BOT Monthly Briefing ภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมีนาคม 2567 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า การทำธุรกรรม ‘รับจ่ายบิลแลกเงินสด’ ไม่ได้ผิดหลักเกณฑ์การให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Loan) เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคและบริโภค ไม่ได้ผิดวัตถุประสงค์ ตามการตกลงและความยินยอมของทั้งเจ้าของบิลและผู้ใช้สินเชื่อ

 

อย่างไรก็ตาม ทาง ธปท. ได้มีกำชับกับผู้ให้บริการสินเชื่อ ‘เป็นการทั่วไป’ ว่า ต้องดูแลความเสี่ยงของตัวเอง โดยในกรณี หากลูกหนี้มีการทำธุรกรรมลักษณะดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวผู้ประกอบการเองก็จะมีความเสี่ยง

 

นอกจากนี้ ธปท. ยังเตือนทั้งเจ้าของบิลและผู้ใช้สินเชื่อว่า ‘ให้ระวัง’ โดยมองว่า ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเสี่ยงที่จะเจอมิจฉาชีพ และอาจเป็นภัยการเงินอย่างหนึ่ง

 

‘เร่งหมุนเงิน’ สะท้อน ‘สภาพคล่องคนไทย’ ทรุดหนัก? หวั่นดัน NPL พุ่งต่อ

 

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH เกี่ยวกับกรณีการรับจ่ายบิลแลกเงินสดว่า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า คนต้องการเงินสด และขาดสภาพคล่อง โดยการไปรับจ่ายหนี้แทน ทำเพื่อประวิงเวลาจ่ายเงินสดออกไป ไม่ต่างจากการนำสินเชื่อบัตรเครดิตมาใช้จ่าย

 

“ปรากฏการณ์แบบนี้สะท้อนชัดเจนว่า คนกำลังวิ่งหาเงินสดกันหูดับตับไหม้ จึงไปประกาศขอเป็นหนี้แทนคนอื่น อยู่ดีๆ มีคนเอาเงินมาจ่ายแทนในอัตราที่มีส่วนลด เหตุการณ์นี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผล”

 

นอกจากนี้ สุรพลยังเตือนว่า ปรากฏการณ์นี้อาจทำให้สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ในระบบเพิ่มขึ้นอีกได้ หลังจากยอดหนี้เสีย (NPL) หรือหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน จากฐานข้อมูลของเครดิตบูโรในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 อยู่ที่ 1.09 ล้านล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นถึง 14.9%YoY หรือ 4.4%QoQ 

 

หนี้เสียไทยเพิ่มขึ้น 4 ไตรมาสติดแล้ว จ่อเพิ่มขึ้นต่อ?

 

ตามข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แสดงให้เห็นว่า หนี้สินครัวเรือน ณ ไตรมาส 4 ปี 2566 (ตัวเลขล่าสุด) เพิ่มขึ้น 3% มีมูลค่า 16.4 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 91.3%

 

จำนวนนี้เป็นหนี้เสีย 1.58 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว และคิดเป็นสัดส่วน 2.88% ต่อสินเชื่อรวม

 

โดยเมื่อแยกเป็นสินเชื่อรายวัตถุประสงค์พบว่า สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นในสินเชื่อทุกประเภท ทั้งที่อยู่อาศัย ยานยนต์ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล สะท้อนว่า ‘ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท’

 

 

สภาพัฒน์แนะ แก้ปัญหาทั้ง Ecosystem รวมเจ้าหนี้-ลูกหนี้-ร้านค้า

 

ขณะที่ ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล นอกเหนือจากการดูแลการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และผู้ออกบัตรเครดิตแล้ว (Issuer) ทางการควรดูแลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้วย เช่น ฝั่งผู้ขาย เอกชน ห้างสรรพสินค้า

 

รวมไปถึงทัศนคติของผู้ใช้สินเชื่อ เช่น ทัศนคติที่ว่า ‘ของมันต้องมี’ พร้อมแนะว่า ผู้ใช้สินเชื่อควรพิจารณาเรื่องรายได้สุทธิของตนเองมากขึ้นว่า เพียงพอต่อรายจ่ายต่อเดือนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดเป็น ‘วงจรอุบาทว์’

 

“ต้องช่วยกันแก้ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตลาด เนื่องจากทุกวันนี้สินค้าสามารถผ่อนบัตรเครดิตได้แทบทุกอย่าง ผ่อนแล้วยังได้ส่วนลดอีก นับเป็นส่วนที่ทำให้หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น”

The post ส่องปรากฏการณ์ ‘รับจ่ายบิลแลกเงิน’ ถึง ‘จำนำ iCloud’ ภาพสะท้อนเศรษฐกิจ สภาพคล่อง และภาระหนี้อันหนักอึ้งของคนไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโรเผย สินเชื่อบ้านไตรมาสแรกปีนี้แผ่ว 50% ของผู้ขอสินเชื่อถูกปฏิเสธ เหตุแบงก์สกรีนเข้ม https://thestandard.co/q1-50-percent-home-loan-rejections-banks-strict/ Wed, 15 May 2024 14:32:58 +0000 https://thestandard.co/?p=933998 credit bureau

วันนี้ (15 พฤษภาคม) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริ […]

The post เครดิตบูโรเผย สินเชื่อบ้านไตรมาสแรกปีนี้แผ่ว 50% ของผู้ขอสินเชื่อถูกปฏิเสธ เหตุแบงก์สกรีนเข้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
credit bureau

วันนี้ (15 พฤษภาคม) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ( เครดิตบูโร ) โพสต์ Facebook โดยเปิดเผยรายงานสินเชื่อบ้านไตรมาสที่​ 1/67 จากข้อมู​ลสถิติของเครดิตบูโร 

 

สุรพลระบุว่า ในไตรมาสที่​ 1/67 เครดิตบูโร​เห็นอะไรจากข้อมู​ลที่สมาชิก​สถาบันการเงิน​ส่งเข้ามาในระบบ​ รายละเอียดดังนี้ 

 

บรรยากาศ​ที่พบเจอในการยื่นขอสินเชื่อบ้าน จะพบว่ามีเสียงอื้ออึงว่าถูกปฏิเสธสูงมาก​ เรียกได้ว่า​ 100 ใบสมัครผ่านการพิจารณา​เบื้องต้น​เพียง 50 ใบ​ เหตุเพราะมีการตรวจประเมินรายได้เข้มข้น​ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขอกู้มีศักยภาพ​ คำว่าศักยภาพมันก็ต้องมีรายได้แน่นอน​ มั่นคง​ เพียงพอ​ สม่ำเสมอ​ เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์​ว่าลูกหนี้จะต้องมีความสามารถ​ในการชำระหนี้ตามตารางการชำระหนี้ได้ตลอด​รอดฝั่ง​ ตรวจรายได้เสร็จก็ไปตรวจเครดิตบูโร​ต่อว่า​มีหนี้มากแค่ไหน​ มีประวัติการค้างชำระหรือไม่​ เพื่อประเมินความตั้งใจในการชำระหนี้​ เพราะมันก็เป็นไปตามกฎว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา

 

บัญชีที่เปิดใหม่ของสินเชื่อบ้านในแต่ละปีมีกี่มากน้อย​ และคนวัยไหนเป็นผู้ได้สินเชื่อ​ พบว่าส่วนใหญ่คือ​ Gen Y​ ครับ​ สัดส่วนสูงขึ้นทุกๆ ปี​ ที่สำคัญคือ​วงเงินสินเชื่อบ้านระดับที่ไม่เกิน​ 3 ล้านบาท น่าจะเป็นกลุ่มหลัก

 

เมื่อดูการเปิดบัญชี​ใหม่ของสินเชื่อบ้านในแต่ละปีก็จะพบว่า ​ปี​ 2018​ หรือ​ 2561 มีจำนวนเกินกว่า​ 4.3 แสนบัญชี​ ปีก่อนโควิดก็อยู่ที่ระดับ​ 3.7​ แสนบัญชี​ ปีที่แล้วอยู่ที่​ 3.3 แสนบัญชี​ ไตรมาสแรกของปีนี้​ได้เพียง 5.9 หมื่นบัญชี​ ดูแล้วมันมีแต่แผ่วลง​ ซึ่งฝั่งผู้ประกอบการต่างก็บ่นกันมากเรื่องขายได้ยาก​ กู้ไม่ผ่าน​ ของเหลือมาก​ อยากให้ลดเงื่อนไขเช่น​ LTV​ หลังที่สองหลังที่สาม​ แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับที่ปลายสาย​ เป็นต้น

 

ประเด็นถัดมาคือสถานการณ์​ในภาพรวมของสินเชื่อบ้าน​ โดยหนี้บ้านที่เคยเป็น​ NPL แล้วมีการนำมาปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา (หนี้ทำ​ TDR)​ ภาพมันบอกว่าปรับกันมาก

 

ขณะที่หนี้เสียในไตรมาสนี้มีการยกตัวขึ้นมาอยู่ที่​ 2.00 แสนล้านบาทเติบโต​ 18%YoY​ สัดส่วนในหนี้เสียรวม (1.09 ล้านล้านบาท) ก็ประมาณ​ 20% ถือว่าไม่น้อยนะครับ​

 

ส่วนหนี้บ้านที่เริ่มค้างชำระแต่ยังไม่เลย​ 90 วัน​ เรียกหนี้ตรงนี้ว่าหนี้กำลังจะเสีย หรือ​ SM มันมาหยุดที่​ 1.8 แสนล้านบาท เติบโต​ 15%YoY ดีขึ้นกว่า​ 4Q66 ที่เติบโต​ 31%YoY​ ที่สำคัญคือ​ 1.2 แสนล้านบาทอยู่ในความดูแลของแบงก์​รัฐ การปรับโครงสร้างหนี้จะมีความยืดหยุ่น​ ผ่อนปรน​ ไม่ขึงตึงเท่าทางฝั่งเอกชน​ ท่านจะดูเป็นยอดเงิน จำนวนบัญชี หรือเป็น​ % ก็ตามสะดวกนะครับ

 

credit bureau

 

เพื่อขยายความเพิ่ม กราฟแท่งสีแดงคือหนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน หรือหนี้เสียของสินเชื่อบ้าน​ แท่งสีเหลืองคือหนี้กำลังจะเสียหรือ​ SM สินเชื่อบ้าน​ กราฟแท่งด้านซ้ายคือจำนวนบัญชีแยกตามช่วงวัยของ​ Generation ในแต่ละไตรมาส​ เช่น ไตรมาส​ 1 ปี​ 2567​ Gen Y ถือสัญญาสินเชื่อบ้านที่เป็น​ NPL เท่ากับ​ 83,281 สัญญา​ คิดเป็นเงิน​ 1.24 แสนล้านบาท​ 

 

50% ของหนี้รอเน่าเป็นของ Gen Y

 

ในกรณีของ​ SM​ บ้านที่อยู่ในมือคน​ Gen Y​ ช่วงเวลาเดียวกันนี้​มีจำนวน​ 76,276 สัญญา​ คิดเป็นเงิน​ 1.18 แสนล้านบาท​ คิดแบบเร็วๆ ครับ​ คน​ Gen Y​ เป็นหนี้เสียบ้านกว่า​ 50% ของหนี้เสียบ้านทั้งหมด ​(1.24/2.00 แสนล้านบาท) และก็กว่า​ 50% อีกเหมือนกันที่คน​ Gen Y​ เป็นหนี้กำลังจะเสียส่วนใหญ่ (1.18/1.80 แสนล้านบาท) 

 

คนวัยกำลังทำงานจะไปต่ออย่างไรในบรรยากาศ​เศรษฐกิจ​โตต่ำ​ มีปัญหาให้แก้แทบทุกด้าน​ จะเป็นหลานอาม่าในวันนี้มันไม่ง่ายเหมือนในหนังที่มีคนรุ่นก่อนเก็บเงินไว้ให้นะครับ​ ชีวิตจริงกับในหนังมันแตกต่างกันพอสมควร

 

ผมขอเสนอภาพความรู้สึก​ การประเมิน​ และข่าวร้ายๆ เกี่ยวกับคนที่เป็นลูกหนี้​ ว่าในสภาพที่รุมเร้าแบบนี้​ ทางออกของใครบางคนมันก็ไม่พึงประสงค์​ แต่คนเรานะครับ​ เมื่อมันสุดของสุด​ การตัดสินใจแบบนี้เราอาจจะเห็นมากขึ้น​ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเป็นเช่นนั้นเลย อันนี้มาจากภาพข่าวของสื่อ

 

ทั้งนี้ สุรพลระบุในข้อความว่า ขอเชิญชวนทุกๆ ท่านไปฟังการบรรยาย​ เรื่องหนี้ครัวเรือนไทยและการแก้ไขปัญหา จากมุมมองของคนที่รับผิดชอบโดยตรงซึ่งก็คือวิทยากรจากแบงก์​ชาติ​ ในงาน​ MONEY EXPO ที่เมืองทองธานี ในวันที่​ 18 พฤษภาคม​ 2567 นี้นะครับ​ ไปฟัง​ ไปถามครับ​ ว่าเราจะทำอย่างไร ถ้าเราคือคนที่มีปัญหาการค้างชำระหนี้บ้านในเวลานี้​

The post เครดิตบูโรเผย สินเชื่อบ้านไตรมาสแรกปีนี้แผ่ว 50% ของผู้ขอสินเชื่อถูกปฏิเสธ เหตุแบงก์สกรีนเข้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยอดผิดนัดชำระหนี้บัตรพุ่ง! เครดิตบูโรเผยหนี้เสียบัตรเครดิตโต 14.6% จับตา SM เร่งตัวขึ้นถึง 32.4% ในไตรมาสแรก https://thestandard.co/total-defaults-on-credit-card-payments-soar/ Tue, 07 May 2024 13:05:37 +0000 https://thestandard.co/?p=930892

วันนี้ (7 พฤษภาคม) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษ […]

The post ยอดผิดนัดชำระหนี้บัตรพุ่ง! เครดิตบูโรเผยหนี้เสียบัตรเครดิตโต 14.6% จับตา SM เร่งตัวขึ้นถึง 32.4% ในไตรมาสแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (7 พฤษภาคม) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยผ่าน Facebook ว่า “เริ่มไม่สบายใจ” หลังเห็นข้อมูล​สินเชื่อบัตรเครดิตของเครดิตบูโรในไตรมาส​ 1/67​ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเลขบัญชีสินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น​หนี้เสีย (NPL)​ หรือค้างชำระเกิน​ 90 วัน มีจำนวน​ประมาณ​ 1 ล้านบัตรเศษ คิดเป็นยอดเงิน​ 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 14.6%YoY

 

ขณะที่ยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SM) ซึ่งหมายถึงหนี้ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือหนี้ที่กำลังจะเสีย พบว่ามีจำนวน 1.9 แสนบัตร​ คิดเป็นยอดเงิน​ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง​ 32.4%YoY หรือโตถึง 20.6%QoQ นับว่าโตอย่างก้าวกระโดด

 

ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวปรากฏหลังจากตั้งแต่ต้นปีนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มการจ่ายชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิตกลับไป​ 8% จากเดิมที่ผ่อนผันในช่วงการระบาดของโควิดที่กำหนดไว้​ 5%

 

เครดิตบูโรห่วง SM ไหลไป NPL แรง

 

สุรพลระบุอีกว่า จากตัวเลขดังกล่าว “เริ่มตาโตแล้วครับว่า​แค่ 3 เดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำ ทำไมเกิดการกระโดดใน​ SM​ ตามต่อไปดูว่าแล้วโตจากปลายปี​ 2566​ เท่าไร ก็พบว่า​เติบโตถึง​ 20.6%QoQ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่าจะไหลเพิ่ม​ ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่​ นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว​ รายได้ไม่ฟื้นตัว​ เปราะบางจนนุ่มนิ่ม​ สะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น”

 

พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า “คำถามตัวโตๆ คือ​ SM จะไหลต่อเป็น​ NPL อีกเท่าไร​ การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก​ 5% เป็น​ 8% และ​ 10% ตามลำดับ​ ช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงๆ ใช่หรือไม่ตามเป้าประสงค์​มาตรการ​ ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ​ การเพิ่มอีก​ 3% ของยอดหนี้ในแต่ละใบ​ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้​ และประการสุดท้ายค่าใช้จ่ายทั้งหลายเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจน เช่น​ ไข่ไก่​ ผักบางชนิด​ น้ำมันก็เริ่มขยับ​ เป็นต้น​

 

การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธ​จักรแบบเดินเผชิญสืบ​ใช้ใจที่ต่างกัน​ ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง​ แต่ถ้ามองเป็นหนังอนิเมะก็อาจผิดเพี้ยน​ ต้องกลับมาดูกัน เพราะแค่​ 3 เดือนกลิ่นมันแรง แบบโตขึ้น​ 32.4%YoY​ 20.6%QoQ มันไม่ธรรมดานะครับ​”

The post ยอดผิดนัดชำระหนี้บัตรพุ่ง! เครดิตบูโรเผยหนี้เสียบัตรเครดิตโต 14.6% จับตา SM เร่งตัวขึ้นถึง 32.4% ในไตรมาสแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เตือนระวังหนี้ครัวเรือนไทยปี 67 ใกล้วิกฤต หลังปีที่แล้วสูงกว่า 90% ของ GDP | WEALTH EXCLUSIVE https://thestandard.co/thai-household-debt-in-2024/ Sun, 03 Mar 2024 03:08:09 +0000 https://thestandard.co/?p=906568 หนี้ครัวเรือน

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.7% ซึ่งเป็ […]

The post ชมคลิป: เตือนระวังหนี้ครัวเรือนไทยปี 67 ใกล้วิกฤต หลังปีที่แล้วสูงกว่า 90% ของ GDP | WEALTH EXCLUSIVE appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้ครัวเรือน

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงกว่าการขยายตัวของ GDP ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 2% โดย ณ ไตรมาส 3 ปี 2566 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยอยู่สูงถึง 90% ของ GDP เครดิตบูโรประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2567 จะยังคงสูงกว่า 90% อยู่ และแม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับลดลงก็ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตหนี้ครัวเรือนไทยจะคลี่คลายลงได้โดยง่าย

 

พบกับสัมภาษณ์พิเศษ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร ในประเด็น ‘เตือนระวังหนี้ครัวเรือนไทยปี 67 ใกล้วิกฤต หลังปีที่แล้วสูงกว่า 90% ของ GDP’

The post ชมคลิป: เตือนระวังหนี้ครัวเรือนไทยปี 67 ใกล้วิกฤต หลังปีที่แล้วสูงกว่า 90% ของ GDP | WEALTH EXCLUSIVE appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้ครัวเรือนไทยจ่อโตแซง GDP https://thestandard.co/thai-household-debt-on-track-to-exceed-gdp/ Wed, 14 Feb 2024 11:35:00 +0000 https://thestandard.co/?p=899888

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่ง […]

The post หนี้ครัวเรือนไทยจ่อโตแซง GDP appeared first on THE STANDARD.

]]>

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ยอดสินเชื่อครัวเรือนคงค้างทั้งหมด (Loan Outstanding) จากฐานข้อมูลของเครดิตบูโรในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 อยู่ที่ 13.68 ล้านล้านบาท (จาก 84.3 บัญชี) เพิ่มขึ้นถึง 3.7% YoY โดยการขยายตัวระดับดังกล่าวคาดว่าจะสูงกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีเดียวกัน

 

โดยตามประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2566 จะขยายตัวเพียง 1.8% เท่านั้น

 

สำหรับหนี้เสีย (NPL) บุคคลธรรมดา จากฐานข้อมูลเครดิตบูโร ณ เดือนธันวาคม ปี 2566 อยู่ที่ 1.04 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% YoY โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล คิดเป็น 2.6 แสนล้านบาท รองลงมาคือสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท

 

ขณะที่หนี้รอเน่า หรือ Special Mention (SM) ซึ่งหมายถึงหนี้ที่มีการค้างชำระเกิน 30 วัน แต่ยังไม่เกิน 90 วัน ในปี 2566 อยู่ที่ 6.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17.8%YoY โดยจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้รถยนต์ 2.08 แสนล้านบาท รองลงมาคือหนี้ที่อยู่อาศัยที่ 1.78 แสนล้านบาท

 

 

หนี้ครัวเรือนไทย ‘อันตราย-ฉุดรั้งเศรษฐกิจ’

 

สุรพลยังมองด้วยว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ 90% ต่อ GDP ถือเป็นระดับอันตราย เนื่องจากระดับมาตรฐานสากลหนี้ครัวเรือนควรอยู่ที่ไม่เกิน 80% ของ GDP นอกจากนี้ไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ (Lower Middle Income Countries)

 

นอกจากนี้ระดับหนี้ครัวเรือนที่ 90% ต่อ GDP ยังถือเป็นระดับที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากหนี้สินระดับนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปค่อนข้างยาก

 

“ถ้าเศรษฐกิจยังโตช้า ไทยอาจจะต้องอยู่กับปัญหานี้นานกว่าที่เราหวังไว้” สุรพลกล่าว

 

สัดส่วน NPL พุ่ง 3 ไตรมาสติด สินเชื่อรถยนต์ฝีแตก ต้องการการเยียวยา

 

เมื่อเจาะเป็นรายกลุ่มหนี้พบว่า สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน จากระดับ 6.0% ในไตรมาส 1/66 เป็น 7.3% ในไตรมาสที่ 2-3 ก่อนจะเพิ่มเป็น 7.6% ในไตรมาสที่ 4/66

 

โดยกลุ่มสินเชื่อที่น่ากังวลที่สุดในกลุ่ม NPL คือสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 23% ของ NPL ทั้งหมด และเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) พบว่า มูลหนี้เสียในสินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 28%

 

สุรพลระบุว่า ความน่ากังวลของกลุ่มหนี้ NPL อยู่ที่รถยนต์ เนื่องจากหนี้เสียในสินเชื่อรถยนต์เร่งตัวขึ้นเร็วมากโดยเพิ่มถึง 28%YoY และนำไปสู่การยึดรถ การนำรถไปคืน และการนำรถเข้าลานประมูลเพิ่มขึ้น

 

โดยภาวะเช่นนี้ยังทำให้ราคารถมือสองตกลง ทำให้แบงก์ที่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ขาดทุนยามนำรถไปขาย (Loss on Sale) ท่ามกลางการดิสรัปต์ของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ทำให้ราคารถยนต์สันดาปร่วงลงไปอยู่แล้ว ทำให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้สินเชื่อรถยนต์ต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

สินเชื่อบ้านอาการเริ่มออก คล้ายกับสินเชื่อรถยนต์

 

สำหรับสถานการณ์หนี้ในกลุ่ม SM ก็ไม่ได้ดีไปกว่า NPL เนื่องจากสัดส่วนหนี้ SM กลับมาเร่งตัวขึ้นในไตรมาสท้ายๆ ของปี จากระดับ 3.5% ในไตรมาสที่ 2/66 เป็น 3.6% ในไตรมาสที่ 3/66 และแตะ 4.5% ในไตรมาสที่ 4/66

 

สุรพลกล่าวว่า หนี้กลุ่ม SM จำนวน 6.1 แสนล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2566 เป็นสินเชื่อบ้าน 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 31%YoY โดยจำนวนนี้ยังเป็นสัญญาสินเชื่อบ้านมูลค่าต่ำกว่า 3 ล้าน – 1.2 แสนล้านบาท

 

“อัตราการเติบโตของหนี้บ้านกลุ่ม SM ที่สูงถึง 31% หมายความว่า คนเริ่มผ่อนบ้านไม่ค่อยไหว เห็นได้จากคนที่กู้ซื้อบ้านมูลค่าต่ำกว่า 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำและเป็นลูกหนี้ธนาคารของรัฐเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนว่า สินเชื่อบ้านอาการเริ่มออก คล้ายกับปัญหาสินเชื่อรถยนต์เมื่อหลายปีที่แล้ว”

 

 

คาดหนี้ครัวเรือนปี 2567 ยังไม่น่าต่ำกว่า 90% ต่อ GDP

 

สุรพลประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยปี 2567 ยังไม่น่าต่ำกว่า 90% ต่อ GDP แต่สถานการณ์อาจดีขึ้นได้หากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เอื้ออำนวย

 

“หากเกิดการลดดอกเบี้ยในปลายปี นักท่องเที่ยวกลับมา ไม่มีสงครามเพิ่มขึ้น ราคาพลังงานพอไปได้ จีนไม่ทุ่มสต็อกออกมาขาย ไทยพอส่งออกไปได้ คนมีโบนัสในปี 2567 เอามาโปะหนี้ได้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยอาจจะดีขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังมีอยู่มาก ทั้งจากภาคการผลิตที่เป็นแหล่งจ้างงานรายใหญ่ของไทย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานที่จะส่งผลต่อค่าครองชีพ” สุรพลกล่าว

 

สุรพลยังเชื่อว่า หากการเติบโตของ GDP สูงกว่าการเติบโตของหนี้ต่อเนื่อง เช่น GDP โต 4% หนี้ครัวเรือนโตแค่ 2% โอกาสเห็นสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ก็จะมีโอกาสไปถึง 80% ‘ง่ายขึ้น’

 

เชื่อลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระลูกหนี้ได้ โดยไม่ทำให้ปัญหาหนี้หนักขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันมาตลอดว่า การคงดอกเบี้ยที่ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบราว 10 ปี ส่วนหนึ่งทำเพื่อดูแลเสถียรภาพทางการเงินและกระบวนการสะสางหนี้ (Deleveraging) กล่าวคือ เป็นการลดความต้องการสินเชื่อใหม่ของลูกหนี้ในอีกทางหนึ่ง

 

โดยสุรพลกลับมองว่า การลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการช่วยลดภาระของลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศไทยดีขึ้น เนื่องจากการลดดอกเบี้ยทำให้ยอดผ่อนลดลง และภาระหนี้ของลูกหนี้ก็เบาขึ้น

 

พร้อมทั้งมองว่า การลดดอกเบี้ยไม่น่าจะทำให้การปล่อยกู้ของสถาบันการเงินง่ายขึ้น เนื่องจากในปี 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามเร่งปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการกำหนดหลักเกณฑ์ ‘2 ต้อง และ 1 ห้าม’

 

ซึ่งสุรพลมองว่า เป็นมาตรการที่จะกดดันเจ้าหนี้หรือสถาบันการเงินให้ปล่อยกู้อย่างระมัดระวัง ปล่อยกู้แล้วต้องตามไปดูแลลูกหนี้ ไม่ใช่ปล่อยกู้แล้วรอแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว

 

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ 2 ต้อง และ 1 ห้าม มีรายละเอียดดังนี้ 

 

โดยต้องที่ 1 คือ ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย 1 ครั้ง และต้องที่ 2 คือ ต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เมื่อเป็นหนี้เสียอีก 1 ครั้ง เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสในการแก้หนี้ต่อเนื่อง ขณะที่ 1 ห้าม คือ ห้ามขายหนี้เสียของลูกหนี้ออกไปบริหารที่อื่น (AMC) โดยยังไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้เป็นการภายในก่อน

 

นอกจากนี้ในรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยหลายฉบับยังชี้ให้เห็นว่า ความเข้มงวดในการปล่อยกู้ปัจจุบันไม่ได้ง่าย มีอัตราปฏิเสธ (Reject Rate) สูงขึ้น

 

หนี้ไทยปัจจุบัน ‘ต่างจาก’ ยุคต้มยำกุ้ง ต้องการความเมตตามากขึ้น

 

สุรพลยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ปรากฏการณ์หนี้ปัจจุบันไม่เหมือนกับปี 2540 ที่เปรียบได้กับดาวหางพุ่งชนโลกที่ไดโนเสาร์หรือบริษัทใหญ่เป็นกลุ่มที่ตายก่อน แต่ปัญหาปัจจุบันเป็นเหมือนไฟลามป่า เป็นโรคระบาดที่ทำให้หญ้าแพรกตายหมด จึงจำเป็นต้องมีฝน เพื่อให้หญ้าค่อยๆ งอกขึ้นมาใหม่ 

 

“สิ่งที่ไทยกำลังเจอคือฝนทิ้งช่วง มีทั้งรบกัน ของแพง ฝนไม่มาตามนัด เพราะฉะนั้นวิธีแก้ปัญหาคือ ต้องการความเมตตามากกว่านี้ นโยบายที่ทำต้องคำนึงว่าทำกับชีวิตคน ไม่ใช่สิ่งไม่มีชีวิตเหมือนในอดีต” สุรพลกล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

The post หนี้ครัวเรือนไทยจ่อโตแซง GDP appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เจาะลึก ‘หนี้เน่าไทย’ หลัง Q2 ยอดพุ่งทะลุ 1 ล้านล้าน | WEALTH IN DEPTH #88 https://thestandard.co/wealth-in-depth-24082023/ Thu, 24 Aug 2023 02:07:34 +0000 https://thestandard.co/?p=833132

พบกับไลฟ์ WEALTH IN DEPTH รายการเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการล […]

The post ชมคลิป: เจาะลึก ‘หนี้เน่าไทย’ หลัง Q2 ยอดพุ่งทะลุ 1 ล้านล้าน | WEALTH IN DEPTH #88 appeared first on THE STANDARD.

]]>

พบกับไลฟ์ WEALTH IN DEPTH รายการเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุนเชิงลึก ในหัวข้อ เจาะลึก ‘หนี้เน่าไทย’ หลัง Q2 ยอดพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาท

 

ร่วมพูดคุยกับ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)

 

ดำเนินรายการโดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน

 

ชมไลฟ์ WEALTH IN DEPTH วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2566 เวลา 19.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

The post ชมคลิป: เจาะลึก ‘หนี้เน่าไทย’ หลัง Q2 ยอดพุ่งทะลุ 1 ล้านล้าน | WEALTH IN DEPTH #88 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนไทยกับ ‘เครดิตบูโร’ หลังหนี้รอวันเน่า (SM) พุ่งทะลุ 6 แสนล้านบาท ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย? https://thestandard.co/thai-household-debt-problem-solving/ Thu, 15 Jun 2023 12:02:53 +0000 https://thestandard.co/?p=804149 หนี้ครัวเรือนไทย

เปิดแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนไทยกับ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จ […]

The post เปิดแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนไทยกับ ‘เครดิตบูโร’ หลังหนี้รอวันเน่า (SM) พุ่งทะลุ 6 แสนล้านบาท ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย? appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้ครัวเรือนไทย

เปิดแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนไทยกับ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยหลังไตรมาสที่ผ่านมา หนี้บูด (SM) พุ่งทะลุ 6 แสนล้านบาท จ่อเป็นระเบิดเวลาหนี้ครัวเรือนไทย?

 

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวในรายการ WEALTH IN DEPTH ของ THE STANDARD WEALTH โดยชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยอย่างเป็นทางการล่าสุดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 15,092,025 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 87% ต่อ GDP ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเป็น ‘หนี้เสีย’ หรือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPL) อยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท และเป็นหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SM) หมายถึงหนี้ซึ่งค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน อยู่ที่ราว 6 แสนล้านบาท

 

โดยการเพิ่มขึ้นของ SM หรือหนี้บูด นับเป็นวาระที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญ เนื่องจากหนี้ประเภทนี้มีโอกาสกลายเป็นหนี้เสียหรือ NPL ได้

 

หนี้บูดมีโอกาสกลายเป็นหนี้เสีย ‘สูง’

สุรพลกล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 หนี้ประเภท SM เคยอยู่ระดับต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ที่ราวๆ 3.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงที่ NPL อยู่ระดับสูงสุดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ภายใน 3 ไตรมาส SM ขยับพุ่งขึ้นมาประมาณ 6 แสนล้านบาท

 

โดยเมื่อดูไส้ในพบว่า หนี้ SM ประมาณ 6 แสนล้านบาท เป็นสินเชื่อรถและบ้าน ซึ่งมีหลักค้ำประกัน และผู้คนส่วนมากจะไม่ปล่อยให้กลายเป็นหนี้เสีย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 58% โดยแบ่งเป็นสินเชื่อรถยนต์ถึง 1.9 แสนล้านบาท และสินเชื่อบ้าน 1.6 แสนล้านบาท 

 

นอกจากนี้ เมื่อดูไส้ในสินเชื่อบ้านให้ลึกขึ้นจะเห็นว่า เป็นบ้านสินเชื่อวงเงินประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท แสดงว่าลูกหนี้ไม่ใช่ผู้มีรายได้สูง หรือชนชั้นกลาง

 

“การผ่อนไม่ไหว ผ่อนตะกุกตะกัก ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าคนกัดฟันผ่อนบ้านไม่ไหว ในภาษาสินเชื่อเรียกว่า เริ่มไม่ค่อยดีแล้ว นอกจากนี้ SM รถยนต์ ซึ่งกลางปีที่แล้วอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท เพิ่มมาเป็น 1.9 แสนล้านบาท แสดงให้เห็นว่าคนเริ่มหมดแรงหมดลมผ่อนแล้ว” สุรพลกล่าว

 

หนี้ครัวเรือนไทย

 

ลูกหนี้ SM ส่วนใหญ่คือ Gen Y

อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเครดิตบูโรแสดงให้เห็นว่า (ภาพที่ 2) ลูกหนี้ SM ซึ่งมีอยู่ 32 ล้านคน พบว่ากลุ่มอายุที่มีหนี้ SM มากที่สุดคือ ชาว Gen Y ซึ่งมีอายุระหว่าง 26-43 ปี โดยมีมูลหนี้อยู่ที่ 2.9 แสนล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มคน Gen X ที่มีอายุระหว่าง 44-58 ปี โดยมีมูลหนี้อยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่ม Baby Bloomer ซึ่งมีอายุ 59 ปีขึ้นไป โดยมีมูลหนี้อยู่ที่ 8.4 หมื่นล้านบาท

 

หนี้ครัวเรือนไทย

 

ยอดปรับโครงสร้างหนี้เริ่มชะงัก

สุรพลยังชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน ยอดสะสมการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ที่ 8 แสนล้านบาท ค่อนข้าง ‘นิ่งอยู่กับที่และอืด’ เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้จะต้องใช้รายได้เป็นพื้นฐาน 

 

เครดิตบูโรจึงอยากเห็นการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น เพราะถ้ายิ่งปรับโครงสร้างหนี้ได้เยอะเท่าไร NPL ก็จะลงมาเท่านั้น

 

เปิดแนวทางแก้หนี้จากเครดิตบูโร

 

1. ลดหย่อนเกณฑ์พิสูจน์ทราบรายได้ของลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่ประจำหรือฟรีแลนซ์

สุรพลแนะว่า เกณฑ์สำหรับลูกหนี้รายได้ประจำและรายได้ไม่ประจำ ‘ต้องไม่เหมือนกัน’ และปล่อยให้การพิสูจน์รายได้เป็นเรื่องของเจ้าหนี้ ตราบใดที่หนี้เหล่านี้มีสำรองพึงกันรายบัญชีครบถ้วนแล้วควรเป็นอันยุติ ไม่ควรต้องเพิ่มมาตรการอะไรอีก

 

2. ควรเร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้สถานะ 21 หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

สุรพลชี้ให้เห็นภาพรวมบัญชีลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด พิจารณาจากสถานะบัญชี 21 ซึ่งหมายถึงหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน เนื่องจากลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ณ เดือนมีนาคม 2566 หรือคนกลุ่มนี้ที่เป็นหนี้เสียวันนี้ แต่เมื่อช่วงก่อนโควิดหรือปี 2562 จ่ายได้ดีทุกบัญชีสินเชื่อ ตัวอย่างเช่น ทัวร์ไกด์ที่ภูเก็ต ซึ่งรายได้ดีมากช่วงปีก่อนโควิด มีหนี้บ้านและรถ แต่เป็นหนี้เสียช่วงโควิด

 

“เราควรจะช่วยคนก็ต้องช่วยกลุ่มนี้ (ลูกหนี้สถานะ 21) ก่อน เพราะเขาไม่ได้คิดอยากจะเป็นหนี้เสีย ถ้าเราช่วยกลุ่มนี้ผ่านการออกแบบมาตรการเฉพาะเจาะจง เช่น ให้สถาบันการเงินยุติเงินสำรองพึงกันแล้ว ไม่ต้องไปกันเกณฑ์คุณภาพ และถ้าลูกหนี้มีหลักประกันเหลือ ก็เติมหลักประกันเติมได้เลย ปล่อยให้สถาบันการเงินตัดสินใจเต็มที่ แต่ถ้าหน่วยงานกำกับดูแลยังกำหนดว่าลูกหนี้กลุ่มนี้ยังมีลักษณะเปราะบางต้องสำรองเพิ่มปัญหาก็จะไม่จบ” สุรพลกล่าว

 

โดยถ้าเร่งปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้กลุ่มนี้แบบเอื้ออาทร เท่ากับช่วยลูกหนี้ 3 ล้านคน ซึ่งมีมูลหนี้ราว 3 แสนล้านบาท ดังนั้น ถ้าพุ่งเป้าไปที่คนกลุ่มนี้ หนี้เสียในไตรมาสแรกที่ 9.5 แสนล้านบาทก็จะเหลือเพียง 6.5 แสนล้านบาท

 

3. ตั้งสถานีแก้หนี้ครอบคลุมหลายพื้นที่ในประเทศ

สุรพลชี้ว่า การตั้งสถานีแก้หนี้ครอบคลุมหลายพื้นที่ในประเทศ เพื่อให้บรรดาเจ้าหนี้กับลูกหนี้ไปเจอกันได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่คล้ายคลึงกับมาตรการแก้หนี้ครูที่ใช้เขตภาคการศึกษา

 

4. วิธีการแก้โดยธรรมชาติ คือการดันเศรษฐกิจโตและเพิ่มการกระจายรายได้

 

5. สนับสนุนข้อมูลทางเลือก (Alternative Data)

โดยแนวทางดังกล่าวจะช่วยทำให้ทุกฝ่ายมองเห็นลูกหนี้ในมิติอื่น ยกตัวอย่างเช่นความสามารถในการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกหนี้มีรายได้ แม้อาจจะมีแผลเป็นจากการค้างชำระมีหนี้บูด (SM) อยู่ แต่ว่าลูกหนี้ยังจ่ายหนี้ค่าสาธารณูปโภคได้

 

“เราสนับสนุนเต็มที่ว่าต้องไปในทิศทางนี้ ในหลายประเทศใช้ Alternative Data มาช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ โดยเฉพาะหลังจากเหตุโควิดทำให้คนมีแผลเป็นที่เกิดจากการค้างชำระ ดังนั้น ถ้าเราไปดูมิติเดียวอาจจะไม่เห็นรอบคอบชัดเจน” สุรพลกล่าว

The post เปิดแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนไทยกับ ‘เครดิตบูโร’ หลังหนี้รอวันเน่า (SM) พุ่งทะลุ 6 แสนล้านบาท ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: หนี้รอเน่า 6.6 แสนล้าน ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย? | WEALTH IN DEPTH #72 https://thestandard.co/wealth-in-depth-14062023/ Wed, 14 Jun 2023 13:16:35 +0000 https://thestandard.co/?p=803488 Wealth in Depth

พบกับไลฟ์ WEALTH IN DEPTH รายการเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการล […]

The post ชมคลิป: หนี้รอเน่า 6.6 แสนล้าน ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย? | WEALTH IN DEPTH #72 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Wealth in Depth

พบกับไลฟ์ WEALTH IN DEPTH รายการเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุนเชิงลึก ในหัวข้อ ‘หนี้รอเน่า 6.6 แสนล้าน ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย?’

 

ร่วมพูดคุยกับ สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ดำเนินรายการโดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน

 

ติดตาม WEALTH IN DEPTH วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 เวลา 19.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

The post ชมคลิป: หนี้รอเน่า 6.6 แสนล้าน ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย? | WEALTH IN DEPTH #72 appeared first on THE STANDARD.

]]>