สินเชื่อ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 24 Nov 2025 11:55:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ https://thestandard.co/ktb-ttb-scb-help-southern-flood/ Mon, 24 Nov 2025 11:55:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1146931 KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้

จากสถานการณ์ฝนตกหนักและอุทกภัยในภาคใต้ (รวม 10 จังหวัด […]

The post KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้

จากสถานการณ์ฝนตกหนักและอุทกภัยในภาคใต้ (รวม 10 จังหวัด เช่น สงขลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินและการดำรงชีพของประชาชนและ SME เป็นวงกว้าง ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ กรุงไทย, ทีทีบี , และไทยพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการทางการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่

 

เอกชัย เตชะวิริยะกุล ประธานผู้บริหาร Risk ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันทั้งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และอีกหลายจังหวัดในภาคใต้ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพของลูกค้า ประชาชนเป็นวงกว้าง

 

ธนาคารกรุงไทยได้ออกมาตรการทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ครอบคลุมการลดภาระทางการเงิน ทั้งปรับลดค่างวดการผ่อนชำระ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการให้วงเงินฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ รวมถึงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย

 

มาตรการแบ่งเบาภาระลูกค้าสินเชื่อปัจจุบัน

 

1. สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SSME (Term Loan) ลดค่างวดลง 75% ของค่างวดปัจจุบันนาน 1 ปี และลดดอกเบี้ยเป็น 0% ต่อปี นาน 3 เดือน หลังจากนั้น ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ต่อปี นาน 33 เดือน (รวมระยะเวลาดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี)

 

2. สินเชื่อบุคคล (Term Loan) ลดค่างวดลง 75% ของค่างวดปัจจุบัน นาน 1 ปี และ ลดดอกเบี้ยเป็น ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี นาน 3 ปี

 

3. สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME ให้ความช่วยเหลือครอบคลุม ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย ลดค่างวดการชำระหนี้ พักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะดอกเบี้ย หรือพักชำระเงินต้น และ/หรือ พักชำระดอกเบี้ยบางส่วน ขยายระยะเวลาสัญญา/ปรับตารางผ่อนชำระหนี้ เป็นต้น โดยเงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาลูกค้าแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งธนาคารจะพิจารณาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพื่อลดภาระทางการเงิน และสะท้อนภาวะเศรษฐกิจและรายได้ของลูกค้าที่น่าจะฟื้นตัวในอนาคต

 

KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ 1

 

มาตรการสินเชื่อเพื่อกู้ซ่อมบ้าน / กู้ฟื้นฟูกิจการ สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ขอวงเงินเพิ่มเติม หรือลูกค้าใหม่

 

1. สินเชื่อบ้าน Top up สินเชื่อบ้านแลกเงิน และ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SSME (Term Loan) ดอกเบี้ยคงที่ 0% ต่อปี นาน 3 เดือน หลังจากนั้น ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ต่อปี นาน 33 เดือน (รวมระยะเวลา ดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี กรณีสินเชื่อบ้าน ฟรีค่าประเมินและค่าจดจำนอง)

 

2. สินเชื่อบุคคล (Term Loan) ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี นาน 3 ปี

 

3. สินเชื่อธุรกิจ SME (Term Loan) ระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี หลังจากนั้น MLR-1% ต่อปี

 

ธนาคารกรุงไทย ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมเคียงข้างให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เพื่อให้พี่น้องผู้ประสบภัยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว สำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์เข้าร่วมมาตรการความช่วยเหลือของธนาคาร สามารถติดต่อได้ที่ ธนาคารทุกสาขา หรือ สาขาที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 – วันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

 

ทีทีบี ออกมาตรการ ‘ตั้งหลัก’

 

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ธนาคารมีความห่วงใยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทรัพย์สิน และสถานประกอบธุรกิจ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จึงได้ออกมาตรการ ‘ตั้งหลัก’ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน หวังให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัว กลับมาตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปสู่การมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2568 – 31 ม.ค. 2569 โดยมีรายละเอียดของมาตรการดังนี้

 

มาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อ เพื่อแบ่งเบาภาระ

 

1. ลูกค้าสินเชื่อบ้าน สามารถขอพักชำระเงินต้นได้ นาน 3 เดือน (ชำระคืนแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว) หรือ ขอวงเงินกู้เพิ่ม เพื่อซ่อมแซมบ้าน ด้วยบัตรกดเงินสด ทีทีบี บ้านแลกเงิน ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือนแรก (กรณีลูกค้าที่มีบัตรกดเงินสด ทีทีบี บ้านแลกเงินอยู่แล้ว สามารถทำรายการเบิกใช้เงินสดได้ ผ่านตู้ ATM หรือแอป ttb touch ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือนแรก โดยต้องลงทะเบียนก่อน)

 

2. ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถขอพักชำระค่างวดได้ นาน 3 เดือน ลูกค้าสินเชื่อบุคคล / บัตรเครดิต สามารถขอพักชำระหนี้ได้ นาน 2 รอบบัญชี โดยยังคิดดอกเบี้ยตามปกติ

 

3. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อ SME ประเภทสินเชื่อระยะยาว จะได้รับการพิจารณาชำระแบบปลอดเงินต้น เป็นระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน หรือ ประเภทสินเชื่อหมุนเวียน จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้นสูงสุด 6 เดือน หรือ ประเภทสินเชื่อเช่าซื้อธุรกิจ จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาชำระคืน หรือปรับลดยอดผ่อนชำระลงสูงสุด 70% ของยอดผ่อนชำระเดิม นาน 6 เดือน

 

KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ 2

 

ช่องทางการติดต่อธนาคาร

 

  • ลูกค้าบุคคล: สอบถามความช่วยเหลือ ติดต่อคุณ Yindee ผ่าน ttb touch หรือ ทีทีบี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร 1428 และสาขาของทีทีบี
  • ลูกค้าธุรกิจ: ติดต่อเจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจของท่าน หรือศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีทีบี เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม โทร. 0 2643 7000 (วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8:00 – 20:00 น.) ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดธนาคาร

 

มาตรการความคุ้มครอง สำหรับลูกค้าที่มีประกัน

 

ลูกค้าสินเชื่อบ้าน ที่มีความคุ้มครองประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย และได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม กรณีเป็นลูกค้าสินเชื่อบ้านทีทีบี และทีเอ็มบี (เดิม) สามารถรับความคุ้มครองได้โดยอัตโนมัติ ภายใต้เงื่อนไขการมอบ “ประกันฟรี” แจ้งเคลมผ่าน ชับบ์สามัคคีประกันภัย โทร. 0 2611 4425

 

ลูกค้าประกันภัย ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ติดต่อ บริษัทผู้รับประกันภัย ได้ที่

 

  • ธนชาตประกันภัย โทร. 1519
  • ชับบ์สามัคคีประกันภัย โทร. 1758
  • เมืองไทยประกันภัย โทร. 1484
  • อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย โทร. 1292
  • แอลเอ็มจีประกันภัย โทร. 1790
  • แอกซ่าประกันภัย โทร. 0 2118 8111
  • วิริยะประกันภัย โทร. 1557

 

ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัย และลูกค้าบัญชี ttb all free ที่ได้รับความคุ้มครองอุบัติเหตุจากการคงเงินฝากตามเงื่อนไข ติดต่อ ธนชาตประกันภัย โทร. 1519

 

ลูกค้าธุรกิจที่มีประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ติดต่อ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย โทร. 1292 สามารถตรวจสอบความคุ้มครองได้ที่ “เมนูประกัน” ในแอป ttb touch

 

ไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ รวมทั้งพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดอื่นที่ได้รับผลกระทบ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยให้ความช่วยเหลือทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME ทั้งมาตรการพักชำระและสินเชื่อพิเศษเพื่อซ่อมแซมบ้านและกิจการอย่างเต็มที่

 

โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

กลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ ประกอบด้วย

 

1. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

สำหรับลูกค้าปัจจุบัน – สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย
สำหรับลูกค้าใหม่ – สินเชื่อบ้านได้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมบ้าน (สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน (Home Loan Top Up) หรือ สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash Top Up)) ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และ อาคารพาณิชย์

 

2. สินเชื่อรถยนต์

สำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถพักชำระหนี้สูงสุดนาน 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี)

 

3. สินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME)

สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการปัจจุบัน พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย

 

KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ 3

 

ลูกค้าสามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร SCB Call Center โทร 02-777-7777 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568

 

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME ธนาคารมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่าน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย 1) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 6 เดือน 2) พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 3 เดือน 3) เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว วงเงินสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม และไม่เกิน 10 ล้านบาท 4) วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายของกิจการ สูงสุด 20% ของวงเงินเดิม ไม่เกิน 10 ล้านบาท

 

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME สามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ และ SCB Business Call Center โทร 02-722-2222 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568

The post KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโร หวังแบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ https://thestandard.co/credit-bureau-bot-utility-credit/ Mon, 24 Nov 2025 10:36:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1146905 เครดิตบูโร หวัง แบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ

วันนี้ (24 พ.ย.2568) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ […]

The post เครดิตบูโร หวังแบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโร หวัง แบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ

วันนี้ (24 พ.ย.2568) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้เล่าถึงความท้าทายที่พบเจอตลอดช่วงการทำงานที่เครดิตบูโร ในงานสัมมนาข้อมูลเครดิต หัวข้อ ข้อมูลเครดิตพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ โดยเปิดเผยว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมา มีการถกเถียงถึงความเหมาะสมของการนำประวัติชำระค่าน้ำ ค่าไฟ เข้าระบบเครดิตบูโร โดยปัญหาอยู่ที่การตีความกฎหมายว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็น ‘สินเชื่อ’ หรือไม่ แม้จะมีการผลักดันประเด็นนี้มาอย่างยาวนาน แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านเลยไป การไม่มีข้อมูลสาธารณูปโภคในระบบเครดิตบูโร ก็วกกลับมาเป็นปัญหาในการให้สินเชื่อ

 

เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ มีการตีความกฎหมายอย่างกว้างเกี่ยวกับคำว่า ‘เครดิต’ โดยมองว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นข้อมูลเครดิต เนื่องจากเป็นการให้คนใช้ไฟฟ้าก่อนแล้วจ่ายทีหลัง ซึ่งเป็นการให้สินเชื่อรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นข้อมูลที่ช่วยในการวิเคราะห์สินเชื่อ

 

“สปิริตของกฎหมายเครดิตบูโร คือ เก็บข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อ รู้จักตัวตนของลูกหนี้ ดังนั้นจึงต้องยึดหลักสปิริตของกฎหมาย ไม่ตีความอย่างแคบ แต่ต้องตีความให้ทำงานได้” สุรพล กล่าว

 

ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้คนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ได้ตีความกฎหมาย เพื่อให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้ สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข

 

นอกจากนี้ ยังติดขัดอุปสรรคด้านระบบการเปิดเผยข้อมูล โดยปกติเมื่อประชาชนไปยื่นขอสินเชื่อในแอปพลิเคชันธนาคาร โดยให้ความยินยอมใช้ข้อมูลประวัติสาธารณูปโภคเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อ สาธารณูปโภคจะเข้ารหัสข้อมูล (encryption) ส่งต่อมาที่เครดิตบูโร ซึ่งเป็นตัวกลาง นำส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสให้กับสถาบันการเงิน เครดิตบูโรจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ซึ่งมีผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเลขา ต้องผลักดันและเห็นชอบในเรื่องนี้ เพื่อให้ข้อมูลเครดิตประเทศไทยทัดเทียมสากล

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกฎหมายยังไม่ได้กำหนดให้องค์กรหรือนิติบุคคลใดต้องนำส่งข้อมูลประวัติการชำระค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำ-ค่าไฟ รวมทั้งค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้บริษัทข้อมูลเครดิต ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ประชาชนสามารถใช้ ประวัติการใช้และชำระค่าน้ำ-ค่าไฟ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสมัครสินเชื่อได้ ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ

 

เครดิตบูโรหวัง ค้ำประกันสินเชื่อ ต่อชีวิต SME

 

สำหรับความคืบหน้าโครงการสนับสนุนสินเชื่อ SME สุรพล กล่าวว่าทางเครดิตบูโร ได้นำส่งข้อมูลเครดิตของ SME ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งมีอยู่จำนวนอยู่ 280,000 บริษัท มูลหนี้รวม 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในออกแบบกลไกการค้ำประกันสินเชื่อรูปแบบใหม่ โดยคาดว่าโครงสร้างจะมีความ simplify กว่ากลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า

 

ทั้งนี้รายละเอียดโครงการต้องติดตามแถลงการณ์จากทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติอีกที

 

สุรพล แสดงกังวล ต่อสถานการณ์หนี้ SME ซึ่งเดิมทีเป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว ประกอบกับความเข้มงวดการพิจารณาให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในปัจจุบัน จึงต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะกลุ่ม Super Micro ที่หนี้เสีย (NPL) มีสัดส่วนสูงมากถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม สะท้อนว่ายิ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ยิ่งมีขนาดหนี้เสียสูง หากไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลืออย่างจริงจัง จะยิ่งฉุดรั้งให้สถานการณ์หนี้ SME แย่ลง

The post เครดิตบูโร หวังแบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอชเอสบีซี เปิดตัว ‘TradePay’ โซลูชันสินเชื่อเพื่อการค้าผ่านระบบดิจิทัลครั้งแรกในเมืองไทย ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้า ‘เร็วและง่าย’ ขึ้น https://thestandard.co/hsbc-tradepay-digital-finance-thailand/ Thu, 20 Nov 2025 08:55:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1145527 เอชเอสบีซี เปิดตัว **‘TradePay’** โซลูชันสินเชื่อเพื่อการค้าผ่านระบบดิจิทัลครั้งแรกในเมืองไทย ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้า **‘เร็วและง่าย’** ขึ้น

ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว ‘เอชเอสบีซี เท […]

The post เอชเอสบีซี เปิดตัว ‘TradePay’ โซลูชันสินเชื่อเพื่อการค้าผ่านระบบดิจิทัลครั้งแรกในเมืองไทย ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้า ‘เร็วและง่าย’ ขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอชเอสบีซี เปิดตัว **‘TradePay’** โซลูชันสินเชื่อเพื่อการค้าผ่านระบบดิจิทัลครั้งแรกในเมืองไทย ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้า **‘เร็วและง่าย’** ขึ้น

ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว ‘เอชเอสบีซี เทรดเพย์ (HSBC TradePay)’ โซลูชันสินเชื่อเพื่อการค้าผ่านระบบดิจิทัลครั้งแรกในเมืองไทยที่ช่วยให้ลูกค้าองค์กรและภาคธุรกิจสามารถชำระเงินให้กับคู่ค้าได้รวดเร็วทันความต้องการ เพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ เพื่อรับมือสภาพแวดล้อมทางการค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

โดยปกติแล้วธุรกิจที่พึ่งพาสินเชื่อระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องจะต้องดำเนินการผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและใช้เวลาถึง 24 – 48 ชั่วโมงในการดำเนินการ นับตั้งแต่การจัดเตรียมเอกสารธุรกรรม ตั๋วสัญญาใช้เงินแบบกระดาษ ไปจนถึงการส่งคำสั่งชำระเงินให้กับคู่ค้า

 

ทั้งนี้ เอชเอสบีซี เทรดเพย์ จะช่วยลดขั้นตอนดังกล่าวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลูกค้าสามารถอัปโหลดไฟล์การชำระเงินที่เชื่อมต่อกับระบบเอชเอสบีซี เน็ต (HSBCnet) ได้อย่างง่ายดายในรูปแบบคำสั่งเดียว สำหรับทั้งการขอสินเชื่อและการชำระเงิน

 

นอกจากนั้น ลูกค้ายังสามารถได้รับการสนับสนุนทางการเงินได้ทันที จากความรวดเร็วในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อของเอชเอสบีซี เทรดเพย์

 

ทุย โง้ ผู้อำนวยการบริหารอาวุโส ฝ่ายบริการการค้าระหว่างประเทศ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า เราเห็นความต้องการสินเชื่อเพื่อการค้าที่รวดเร็วและง่ายขึ้นจากกระบวนการจัดการผ่านระบบดิจิทัล ในอันที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับห่วงโซ่อุปทานของลูกค้า ทั้งนี้ ในฐานะธนาคารเพื่อการค้าระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของโลกและธนาคารเพื่อการค้าระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของประเทศไทย เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอเอชเอสบีซี เทรดเพย์ ให้กับลูกค้าของเราในประเทศไทย เพื่อช่วยให้การชำระเงินของลูกค้าแก่คู่ค้าทางธุรกิจมีประสิทธิภาพและเป็นอัตโนมัติมากขึ้น

 

ในด้านการควบคุมต้นทุนการกู้ยืม ตลอดจนการปรับปรุงสถานะเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจ โดยเมื่อทำรายการเสร็จสิ้น ระบบจะแจ้งเตือนอัตโนมัติไปยังลูกค้าและคู่ค้า เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถรับทราบข้อมูลได้ทันทีแบบเรียลไทม์

 

“เราเชื่อมั่นว่าลูกค้าองค์กรและภาคธุรกิจ จะได้รับประโยชน์จากเอชเอสบีซี เทรดเพย์ เพราะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้เข้าถึงวงเงินสินเชื่อได้ทันที พร้อมการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อนในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน ประหยัดเวลา และแรงงาน อันจะช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นการเติบโตได้อย่างเต็มที่ เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง” ทุย กล่าวสรุป

 

ปัจจุบันเอชเอสบีซี เทรดเพย์ ให้บริการในเครือข่ายของธนาคารเอชเอสบีซีทั่วโลกในกว่า 20 ตลาด อันรวมถึงสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

ภาพ: sinology/Getty Images

The post เอชเอสบีซี เปิดตัว ‘TradePay’ โซลูชันสินเชื่อเพื่อการค้าผ่านระบบดิจิทัลครั้งแรกในเมืองไทย ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการค้า ‘เร็วและง่าย’ ขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ https://thestandard.co/slump-beats-hamburger-crisis/ Tue, 18 Nov 2025 12:26:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1144732 สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’

สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร […]

The post สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’

สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ จับตาสินเชื่อ SME หดตัวหนักสุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ธปท.มอง แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในอนาคตขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

 

วันนี้ (18 พฤศจิกายน) สมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวอยู่ที่ -1.0% จากระยะเดียวกันปีก่อน และนับเป็นการติดลบ 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว

 

โดยการหดตัวดังกล่าวมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่หดตัวหนักขึ้นจาก ติดลบ 3.3% ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มาอยู่ที่ติดลบ 4% ในไตรมาสล่าสุด ท่ามกลางสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง

 

ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.7% ในไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากขยายตัว 0.5% ในไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางภาวะความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง ขณะที่การชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น

 

 

ส่องสถานการณ์ ‘สินเชื่อไทย’ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ

 

สมชายกล่าวต่อว่า อัตราการหดตัวในปัจจุบันไม่ได้รุนแรงเท่ากับช่วงวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) หรือช่วง ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ในช่วงปี 2552 ซึ่งคราวนั้น สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส (-3.2% ใน Q3/52 และ -1.7% ใน Q4/52)

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการหดตัวครั้งนี้จะไม่ลึกเท่า แต่ดูเหมือนจะ ‘ลากยาวกว่า’ เนื่องจาก ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มีการฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ภายในประมาณ 2 ไตรมาส

 

ส่วนเมื่อครั้ง ‘วิกฤตการเงินเอเชีย’ หรือ ‘ต้มยำกุ้ง’ ในปี 2540 มีบริบทที่แตกต่างกันกับปัจจุบันโดยสิ้นเชิง โดยครั้งนั้นเป็นวิกฤตของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และกระทบภาคธนาคารไทยอย่างหนัก จากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน หรือเงินบาทที่อ่อนค่า

 

โดยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) หดตัวถึง 12.1% ในปี 2541 และหดตัวต่อเนื่องถึงปี 2544

 

ขณะที่ในช่วงโควิด-19 สินเชื่อกลับมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งปี 2563 2564 และ 2565 เนื่องจากมีมาตรการของภาครัฐช่วยเสริมสภาพคล่อง

 

สำหรับ แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในอนาคต สมชายมองว่า ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นประโยชน์ในเชิง ‘ต้นทุนทางการเงิน’ มากกว่า และช่วยเรื่องการฟื้นตัวของคุณภาพสินเชื่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สัดส่วน NPL เพิ่มขึ้น เหตุฐานสินเชื่อรวมแคบลง

 

สัดส่วนคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3) ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3 ปี 2568 จากระดับ 2.89% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งมาจาก ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่มูลหนี้ NPL ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจาก New NPL ที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท

 

เมื่อแยกเป็นรายประเภทสินเชื่อพบว่า NPL สินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ‘ชัดเจน’ จากมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending:RL) และคุณสู้เราช่วย โดย NPL สินเชื่อบ้านลดลงจาก 3.86% เป็น 3.83% ในไตรมาส 3 ปี 2568 ส่วน NPL สินเชื่อเช่าซื้อ ลดลงจาก 2.22% เป็น 2.17%

 

ขณะที่ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คุณภาพสินเชื่อยังค่อนข้างทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย

 

 

SM ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

สำหรับสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) หรือ SM ที่ผิดนัดชำระ 31-90 วัน ‘ปรับเพิ่มขึ้น’ ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.24%

 

“ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า” แถลงการณ์ระบุ

 

 

คาดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไตรมาส 3 ลดลงต่อเนื่อง

 

สมชายกล่าวต่อว่า หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาเหลือ 86.8% ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 (จาก 87.1% ในไตรมาสก่อน) โดยสาเหตุหลักมาจากสินเชื่อครัวเรือนที่ชะลอลง ซึ่งเกิดจากทั้งฝั่งผู้ให้สินเชื่อที่มีการเลือกปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกหนี้ที่มีศักยภาพมากขึ้น และฝั่งครัวเรือนที่ระมัดระวังการก่อหนี้เนื่องจากเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน

 

ขณะที่หนี้สินธุรกิจต่อ GDP ก็ลดลงในทิศทางเดียวกับหนี้ครัวเรือน เหลือ 81.3% (จาก 81.6%) ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 เนื่องมาจากความสามารถในการทำกำไรภาคธุรกิจลดลงเกือบทุกประเภทธุรกิจจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย

 

สำหรับระยะต่อไป คาดการณ์เบื้องต้นว่า หนี้ครัวเรือนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 1.2% หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 86.6%

 

 

The post สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโร ‘ไขรหัสสถานะบัญชี’ กลไกชุบชีวิตลูกหนี้ หนุนโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ช่วยรายย่อยฟื้นกลับมามีชีวิตทางการเงินใหม่ https://thestandard.co/credit-bureau-cleardebt/ Wed, 12 Nov 2025 10:40:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1142564 เครดิตบูโร ‘ไขรหัสสถานะบัญชี’ กลไกชุบชีวิตลูกหนี้ หนุนโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ช่วยรายย่อยฟื้นกลับมามีชีวิตทางการเงินใหม่

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เผยรายละเอียดระบบ ‘รห […]

The post เครดิตบูโร ‘ไขรหัสสถานะบัญชี’ กลไกชุบชีวิตลูกหนี้ หนุนโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ช่วยรายย่อยฟื้นกลับมามีชีวิตทางการเงินใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโร ‘ไขรหัสสถานะบัญชี’ กลไกชุบชีวิตลูกหนี้ หนุนโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ช่วยรายย่อยฟื้นกลับมามีชีวิตทางการเงินใหม่

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เผยรายละเอียดระบบ ‘รหัสสถานะบัญชี’ ที่จะใช้สนับสนุนโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ โดยลูกหนี้ที่ชำระหนี้ครบจะได้รับ ‘รหัส 11’ หมายถึง การปิดบัญชีสถานะปกติ ขณะที่ลูกหนี้ที่ผ่อนชำระตามเงื่อนไขดีจะได้รับ ‘รหัส 16’ เพื่อสะท้อนวินัยทางการเงิน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็น ‘รหัสไขประตู ให้ลูกหนี้กลับมามีเครดิตดีและเข้าถึงสินเชื่อได้อีกครั้ง

 

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เปิดเผยว่า “NCB มีความยินดีที่ได้มีส่วนหนุนเสริม โครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ สามารถใช้เครื่องมือข้อมูลเครดิตเพื่อช่วยประชาชนในการที่จะเข้าถึงสินเชื่อต่อไปในอนาคต

 

โดย NCB จะมีส่วนช่วยในแง่ของรหัสสถานะบัญชีที่จะเป็นประโยชน์กับลูกหนี้ที่เข้าโครงการฯ ดังนี้

 

  • ลูกหนี้ที่สามารถปิดจบหนี้ได้จะได้รับ ‘รหัส 11’ ซึ่งหมายถึงการปิดบัญชีสถานะปกติ และข้อมูลดังกล่าวจะคงอยู่ในระบบอีก 3 ปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามและวินัยในการชำระหนี้จากหนี้เสียสู่การปิดบัญชีแล้ว
  • สำหรับลูกหนี้ที่เข้าโครงการ ฯ และผ่อนชำระดีจะได้รับ ‘รหัส 16’ จนเมื่อปิดบัญชี ก็จะได้รับ ‘รหัส 11’

 

รหัสเหล่านี้มีประโยชน์เพื่อแสดงว่า บัญชีเป็นปกติ ไม่มีหนี้ค้างชำระ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจความพยายามและการชำระหนี้ที่ดี ซึ่งจะเป็น ‘ประตูสู่โอกาส’ ของการขอสินเชื่อต่อไปในอนาคต”

 

โดย ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ มีทางเลือกในการชำระหนี้ 2 รูปแบบ คือ

 

(1) จ่ายปิดจบ ให้ลูกหนี้จ่ายชำระหนี้บางส่วนเพื่อปิดจบหนี้ในทันที
(2) ผ่อนชำระหนี้เป็นงวดให้ลูกหนี้ผ่อนชำระเป็นระยะเวลาสูงสุดถึง 3 ปี และจะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้ในระหว่างที่เข้าร่วมมาตรการ หากปฏิบัติได้ตามเงื่อนไข

 

ทั้งนี้ โครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ เป็นมาตรการแก้ปัญหาหนี้เสียเฉพาะกิจ ที่จะดำเนินการเพียงครั้งเดียว ภายใต้นโยบาย ‘Quick Big Win’ ของรัฐบาล ผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคสถาบันการเงิน

 

โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) จะเป็นผู้รับโอนหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ NPLs ของธนาคารพาณิชย์ และ Non-bank ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ ที่มียอดค้างชำระไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ให้สามารถปิดหนี้เสียและกลับมามีชีวิตทางการเงินใหม่

 

ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนมากกว่าปกติ เพื่อลดภาระหนี้ เช่น ยกเว้นดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมดและค่าธรรมเนียม ลดยอดเงินต้นบางส่วน เป็นต้น ทำให้ลูกหนี้สามารถกลับมาจ่ายชำระได้และปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น รวมทั้งกลับมามีประวัติการชำระหนี้ใน NCB ที่ดีขึ้นและมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อีกครั้ง

 

พร้อมกันนี้ NCB แนะนำให้ประชาชนทุกคน ตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รู้เท่าทันสถานะทางการเงิน และใช้ข้อมูลเครดิตเป็นเครื่องมือวางแผนทางการเงิน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเครดิตได้ที่เว็บไซต์ www.ncb.co.th

The post เครดิตบูโร ‘ไขรหัสสถานะบัญชี’ กลไกชุบชีวิตลูกหนี้ หนุนโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ ช่วยรายย่อยฟื้นกลับมามีชีวิตทางการเงินใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้ครัวเรือนต่อ GDP หดตัว 7 ไตรมาสแล้ว! KResearch เผยสินเชื่อแบงก์ติดลบ 15 เดือน เหตุแบงก์พาณิชย์ยังระมัดระวัง https://thestandard.co/thaihouseholddebt-lowest5yrs-creditslowdown/ Mon, 06 Oct 2025 05:30:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1126978

หนี้ครัวเรือนไทยลดลง 7 ไตรมาสติดเหลือ 86.8% ต่อ GDP ในไ […]

The post หนี้ครัวเรือนต่อ GDP หดตัว 7 ไตรมาสแล้ว! KResearch เผยสินเชื่อแบงก์ติดลบ 15 เดือน เหตุแบงก์พาณิชย์ยังระมัดระวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>

หนี้ครัวเรือนไทยลดลง 7 ไตรมาสติดเหลือ 86.8% ต่อ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ใกล้กลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยสินเชื่อแบงก์พาณิชย์หดตัว 15 เดือนติดต่อกันในสิงหาคม สอดรับกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ ท่ามกลางปัจจัยท้าทาย ส่งผลให้แบงก์พิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง

 

ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงให้เห็นว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 86.8% ต่อ GDP นับเป็นการปรับตัวลดลง 7 ไตรมาสติดต่อกัน และแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2563 (ซึ่งอยู่ที่ 84.6% ต่อ GDP) หรือใกล้สู่ระดับก่อนโควิด

 

สำหรับมูลหนี้รวม (เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนรวม) อยู่ที่ 16.3 ล้านบาท โดยจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์สูงสุด รองลงมาคือ อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล

 

คนไทยเป็นหนี้ ‘บ้าน-อุปโภคบริโภค’ มากสุด (ส่องหนี้ครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์ 2Q68)

  • เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ 5,664,332 ล้านบาท
  • อุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น 4,684,502 ล้านบาท
  • ซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 1,557,477 ล้านบาท
  • บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธปท. 1,314,672 ล้านบาท
  • อื่นๆ 845,196 ล้านบาท
  • เพื่อการศึกษา 666,480 ล้านบาท

 

กราฟสถิติหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย

 

สินเชื่อแบงก์พาณิชย์หดตัว 15 เดือนติดต่อกัน

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลจาก บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ซึ่งติดตามสินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง พบว่า เงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิอยู่ที่ 13.49 ล้านล้านบาท ณ สิ้น สิงหาคม 2568 ลดลง 1.35% YoY โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 (นับตั้งแต่มิถุนายน 2567) 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุว่า ภาพสินเชื่อที่หดตัว สอดรับกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอและมีแนวโน้มขยายตัวในกรอบต่ำ ท่ามกลางปัจจัยท้าทายหลายประการ ส่งผลให้ธนาคารให้ความสำคัญกับการดูแลปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ และพิจารณาการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง

 

ด้านเงินรับฝาก ธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง อยู่ที่ระดับ 16.18 ล้านล้านบาท ณ สิ้นสิงหาคม 2568 ขยายตัว 2.66% YoY เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเดือน ส.ค. 2567 เป็นเดือนที่มีการเปิดจำหน่ายทั้งสลากออมทรัพย์ของ SFI และพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล

 

กราฟสถิติหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย

 

ภาพ: C.J. Burton/GettyImages

The post หนี้ครัวเรือนต่อ GDP หดตัว 7 ไตรมาสแล้ว! KResearch เผยสินเชื่อแบงก์ติดลบ 15 เดือน เหตุแบงก์พาณิชย์ยังระมัดระวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘สภาพัฒน์’ จับตาหนี้เสียลาม ‘ธุรกิจขนาดกลาง’ สินเชื่อกระจุกตัวแต่รายใหญ่ https://thestandard.co/nesdc-npl-risk-mid-sized-firms/ Thu, 11 Sep 2025 11:32:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1118324 หนี้เสีย ธุรกิจขนาดกลาง

งานศึกษาของสภาพัฒน์ชี้ว่า หนี้เสียธุรกิจเริ่มขยายวงกว้า […]

The post ‘สภาพัฒน์’ จับตาหนี้เสียลาม ‘ธุรกิจขนาดกลาง’ สินเชื่อกระจุกตัวแต่รายใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้เสีย ธุรกิจขนาดกลาง

งานศึกษาของสภาพัฒน์ชี้ว่า หนี้เสียธุรกิจเริ่มขยายวงกว้างจากระดับเล็กสู่ ‘ระดับกลาง’ ห่วงสินเชื่อยังคงกระจุกตัวอยู่แต่กับรายใหญ่ จับตาก่อสร้างเป็นภาคธุรกิจที่มีหนี้เสียสูงสุด

 

วันนี้ (11 กันยายน) สาลินี บุญตน นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สศช. เผยว่า จากงานศึกษาของสภาพัฒน์ โดยอาศัยฐานข้อมูลของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) พบว่า สินเชื่อภาคธุรกิจมีการฟื้นตัวหลังโควิด-19 แตกต่างกันไป 

 

โดยสาขาก่อสร้างมีการผิดนัดชำระหนี้ หรือมีหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจน ขณะที่สาขาการผลิตอื่น ได้แก่ การผลิต การขายส่งและการขายปลีกฯ ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ มีคุณภาพสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นหลังโควิด-19 

 

อย่างไรก็ตาม สาลินีชี้ว่า คุณภาพสินเชื่อในสาขาการผลิตต่างๆ ที่มีการปรับตัวดีขึ้นหลังโควิด-19 กลับเริ่มส่งสัญญาณแย่ลงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสัมพันธ์กับขนาดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

หนี้เสียเริ่มลามสู่ธุรกิจขนาดกลาง

 

นอกจากการปรับตัวของสินเชื่อที่ด้อยลงในทุกสาขาธุรกิจแล้ว สภาพัฒน์ยังพิจารณาการปรับตัวของสินเชื่อโดยพิจารณาตามขนาดของธุรกิจอีกด้วย ซึ่งสภาพัฒน์ได้แบ่งขนาดบัญชีสินเชื่อธุรกิจตามนิยาม ดังนี้

 

Super Micro: วงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท

Micro: วงเงินสินเชื่อ 5-20 ล้านบาท

Small: วงเงินสินเชื่อ 20-100 ล้านบาท

Medium: วงเงินสินเชื่อ 100-500 ล้านบาท

Large: วงเงินสินเชื่อ 500 ล้านบาทขึ้นไป

 

เมื่อพิจารณาสินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดเล็ก ในกลุ่ม Micro และ Super Micro  ซึ่งมีวงเงินต่ำกว่า 20 ล้านบาท พบว่า มีการผิดนัดชำระหนี้อย่างต่อเนื่องในทุกสาขาการผลิต 

 

ส่วนสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งมีวงเงินตั้งแต่ 20-100 ล้านบาท และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตั้งแต่หลังโควิด-19 เป็นต้นมา กลับเริ่มมีแนวโน้มด้อยลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นมา

 

สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของธุรกิจขนาดเล็ก ที่เริ่มขยายวงกว้างมาสู่ธุรกิจขนาดกลาง

 

 

รายเล็กเปราะบาง สินเชื่อกระจุกตัวแต่รายใหญ่

 

ไม่เพียงเท่านั้น ภาคธุรกิจรายเล็กยังมีความเสียเปรียบภาคธุรกิจขนาดใหญ่ในการเข้าถึงสินเชื่ออีกด้วย ซึ่งหากพิจารณาการกระจายตัวของสินเชื่อนับตั้งแต่ช่วงปี 2554-2567 ที่ผ่านมา พบว่า ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 

โดยกลุ่มนิติบุคคลระดับที่มีมูลค่าสินเชื่อสูงสุดระดับ Top 1% มีการถือครองสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากระดับ 60.4% ของสินเชื่อทั้งหมดในปี 2554 เป็น 70.8% ในปี 2567

 

เมื่อพิจารณากว้างขึ้นในระดับ Top10% พบว่า มีการถือครองสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากระดับ 89.0% ของมูลค่าสินเชื่อทั้งหมดในปี 2554 เพิ่มเป็น 91.3% ในปี 2567

 

ขณะที่นิติบุคคลรายย่อย ในระดับ Super Micro ที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากถึง 59.5% ของนิติบุคคลทั้งหมด แต่กลับมีวงเงินสินเชื่อเพียง 0.3% ของยอดรวมมูลค่าวงเงินสินเชื่อ

 

ทำให้ในภาพรวมแล้ว วงเงินสินเชื่อภาคธุรกิจยังคงกระจุกตัวอยู่เฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของบัญชีขนาดเล็กมีแนวโน้มด้อยลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

The post ‘สภาพัฒน์’ จับตาหนี้เสียลาม ‘ธุรกิจขนาดกลาง’ สินเชื่อกระจุกตัวแต่รายใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 ข้อต้องรู้ ฉบับ Gen Z มือใหม่หัดกู้ เตรียมความพร้อมก่อนเป็นหนี้ https://thestandard.co/gen-z-5-tips-for-first-loans/ Sat, 23 Aug 2025 03:33:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1110302

สำหรับ Gen Z ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานและกำลังมองหา […]

The post 5 ข้อต้องรู้ ฉบับ Gen Z มือใหม่หัดกู้ เตรียมความพร้อมก่อนเป็นหนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

สำหรับ Gen Z ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานและกำลังมองหาโอกาสในการสร้างอนาคต การมีบ้าน มีรถ หรือการลงทุนเพื่ออนาคตอาจเป็นความฝันที่อยากทำให้เป็นจริง และแน่นอนว่าหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้ฝันเหล่านั้นเป็นจริงได้เร็วขึ้นก็คือ “สินเชื่อ” นั่นเอง

 

แต่การกู้เงินก็เหมือนกับการเดินทางครั้งใหญ่ ที่ต้องมีการเตรียมตัวและทำความเข้าใจเส้นทางให้ดีก่อนออกเดินทาง วันนี้เลยชวนชาว Gen Z ปูพื้นฐาน 5 ข้อต้องรู้สำหรับมือใหม่หัดกู้ ก่อนจะเป็นหนี้ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

 

1. ทำความเข้าใจ “สถานะการเงิน” ของตัวเองก่อน

 

ก่อนตัดสินใจกู้เงิน ต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบก่อนเสมอ ควรยึดหลักการ “กู้เท่าที่จำเป็น และมีความสามารถในการชำระ” ไม่ควรกู้เกินตัวจนทำให้เป็นภาระในอนาคต

 

  • คำนวณรายได้และค่าใช้จ่าย: ลองคำนวณดูว่าแต่ละเดือนเรามีรายได้เท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายประจำอะไรบ้าง และมีเงินเหลือพอที่จะผ่อนชำระหนี้ได้เท่าไหร่ โดยปกติแล้วไม่ควรมีภาระหนี้สินเกิน 30-40% ของรายได้ต่อเดือน
  • Need vs. Want: หนี้ที่เรากำลังจะก่อ เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีจริง ๆ หรือไม่ หรือถ้าเป็นเพียงความต้องการที่รอได้ การรอให้เราเก็บเงินได้ครบจำนวนแล้วค่อยซื้อก็ยังไม่สาย

 

2. ความสำคัญของ “เครดิตบูโร”

 

เครดิตบูโร หรือชื่อเต็ม ๆ คือ “ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ” เปรียบเสมือนสมุดพกพาทางการเงินของเราทุกคน ที่จะบันทึกประวัติการชำระหนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระตรงเวลา จ่ายช้า หรือมีหนี้เสีย ซึ่งสถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลนี้เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ

 

สิ่งที่ควรรู้

  • ประวัติการชำระหนี้: ถ้าเรามีประวัติการชำระหนี้ที่ดี จ่ายตรงเวลา ไม่เคยผิดนัด จะทำให้สถาบันการเงินเชื่อมั่นและมีโอกาสสูงที่จะได้รับอนุมัติ
  • ตรวจสอบเครดิตบูโร: เราสามารถเข้าไปตรวจสอบประวัติเครดิตของตัวเองได้ที่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) หรือช่องทางต่าง ๆ ที่ธนาคารและสถาบันการเงินมีบริการ เพื่อให้รู้สถานะของตัวเองก่อนยื่นกู้จริง

 

3. สินเชื่อมีกี่แบบ

 

โดยทั่วไปแล้ว สินเชื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะการค้ำประกัน

 

1. สินเชื่อแบบมีหลักประกัน (Secured Loan)

ต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้านหรือรถยนต์ เพื่อให้ได้วงเงินสูง ดอกเบี้ยต่ำ และผ่อนได้นานกว่า แต่หากไม่ชำระหนี้ สถาบันการเงินสามารถยึดหลักประกันได้

 

2. สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan)

ไม่ต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน อาศัยความน่าเชื่อถือของผู้กู้เป็นหลัก ทำให้ขออนุมัติได้ง่ายและรวดเร็ว แต่จะได้วงเงินน้อยกว่าและดอกเบี้ยสูงกว่า เหมาะสำหรับค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล

 

หนี้ดี (Good Debt) vs หนี้ไม่ดี (Bad Debt)

 

หนี้ดี คือ การกู้ยืมเพื่อสร้างรายได้หรือเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินในอนาคต เช่น การขอสินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจ การซื้อบ้านหรือคอนโดเพื่อปล่อยเช่า หรือการกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้ ซึ่งหนี้ประเภทนี้จะช่วยให้ฐานะทางการเงินของเราดีขึ้นในระยะยาว ในทางตรงกันข้าม

 

หนี้ไม่ดี คือ การกู้ยืมเพื่อการบริโภคที่ไม่ได้สร้างรายได้หรือมูลค่าเพิ่ม เช่น การใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น หรือการกู้เงินเพื่อท่องเที่ยว ซึ่งหนี้ประเภทนี้จะนำไปสู่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีผลตอบแทนกลับมา

 

4. ศึกษาเงื่อนไขและ “อัตราดอกเบี้ย” ให้ละเอียด

 

อัตราดอกเบี้ยคือค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินต้น เป็นส่วนสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี

 

  • อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate): อัตราดอกเบี้ยจะเท่ากันตลอดระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด
  • อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate): อัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงไปตามประกาศของธนาคาร ซึ่งอาจขึ้นหรือลงก็ได้

 

ในช่วงการพิจารณาสินเชื่อ ควรลองเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขของแต่ละธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพื่อเลือกข้อเสนอที่คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด

 

MRR, MLR, MOR ต่างกันอย่างไร

 

MRR, MLR, และ MOR คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารใช้เป็นอัตราอ้างอิงสำหรับสินเชื่อที่ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีความแตกต่างกันที่กลุ่มลูกค้าและลักษณะของสินเชื่อ

 

  • MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับ ลูกค้ารายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน
  • MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับ ลูกค้ารายใหญ่ (บริษัท) และสินเชื่อที่มีกำหนดระยะเวลา
  • MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับ ลูกค้ารายใหญ่ (บริษัท) และสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี

 

สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานและกำลังจะเริ่มกู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ต้องดูหลัก ๆ คือ MRR (Minimum Retail Rate) ซึ่งจะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่า MLR และ MOR เพราะถือเป็นลูกค้ารายย่อยที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสียสูงกว่า

 

อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงคือ MRR + (ส่วนเพิ่ม) หรือ MRR – (ส่วนลด)

 

เวลาที่เราเห็นโฆษณาสินเชื่อจากธนาคาร จะไม่ได้เขียนแค่ว่า “อัตราดอกเบี้ย MRR” เฉย ๆ แต่จะระบุเป็นสูตรแบบนี้

 

  • MRR + 5% (MRR บวกเพิ่ม 5% ต่อปี)
  • MRR – 2% (MRR ลบส่วนลด 2% ต่อปี)
  • MRR คงที่ 3 ปีแรก หลังจากนั้นคิดตามอัตราปกติ (เป็นโปรโมชันที่นิยม)

 

ตัวอย่าง ถ้าวันนี้ MRR ของธนาคาร A เท่ากับ 7% ต่อปี และเรากู้สินเชื่อบ้านแบบได้รับโปรโมชั่นดอกเบี้ย 3 ปีแรก คือ “MRR – 2%” นั่นหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงในช่วง 3 ปีแรกคือ 7% – 2% = 5% ต่อปี

 

อัตราดอกเบี้ย MRR มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ธนาคารอาจปรับขึ้นหรือลงได้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าดอกเบี้ยขึ้น ก้อนหนี้ของเราก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 

เงื่อนไขสินเชื่อที่ต้องศึกษาก่อน

 

  • ค่าใช้จ่าย: ดูค่าธรรมเนียมแฝงต่างๆ เช่น ค่าจัดการ ค่าปรับหากปิดหนี้ก่อนกำหนด ค่าอากรแสตมป์ หรือค่าประเมินหลักทรัพย์
  • ระยะเวลาผ่อนชำระ: หากผ่อนนาน ยอดต่อเดือนจะน้อยแต่ดอกเบี้ยรวมจะสูงขึ้น หากผ่อนสั้น ยอดต่อเดือนจะสูงแต่จ่ายดอกเบี้ยรวมน้อยลง
  • ข้อตกลงในสัญญา: อ่านเงื่อนไขการผิดนัดชำระหนี้, การปรับอัตราดอกเบี้ย, และเงื่อนไขการอนุมัติให้ดีก่อนตัดสินใจ

 

5. สร้างประวัติทางการเงินที่ดี

 

สำหรับ Gen Z ที่ยังไม่มีประวัติการกู้เงินมาก่อน เมื่อเริ่มกู้ยืมแล้ว การสร้างประวัติทางการเงินที่ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต (โดยเฉพาะเมื่อจะขอสินเชื่อครั้งต่อไป)

 

  • ผ่อนชำระตรงเวลา: หากมีบัตรเครดิตหรือสินเชื่ออื่น ๆ อยู่แล้ว ควรชำระเงินตรงเวลาเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการก่อหนี้เกินตัว: ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนต้องกู้ยืมเงินมาโปะ เพราะจะทำให้มีประวัติหนี้ที่ไม่ดี
  • จัดการหนี้อย่างมีวินัย: หากมีหนี้หลายก้อน ควรจัดลำดับความสำคัญในการชำระ และมีวินัยในการจัดการหนี้เพื่อไม่ให้เป็นภาระในระยะยาว

 

การกู้เงินไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเรามีการเตรียมตัวและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง การทำความเข้าใจ 5 ข้อข้างต้นนี้จะช่วยให้ Gen Z มือใหม่สามารถกู้เงินได้อย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จในการสร้างอนาคตที่ต้องการ

 

ภาพ: Tara Moore

 

อ้างอิง:

The post 5 ข้อต้องรู้ ฉบับ Gen Z มือใหม่หัดกู้ เตรียมความพร้อมก่อนเป็นหนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี https://thestandard.co/thai-loan-contraction-hits-20-year-record/ Tue, 19 Aug 2025 13:32:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1109087 สินเชื่อ KResearch

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง ในไ […]

The post แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินเชื่อ KResearch

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 จากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ธปท.คาด สินเชื่อจ่อติดลบ 5 ไตรมาสติด แต่ลุ้นไตรมาส 4 ปี 2568 พลิกบวก KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยรวมยังติดลบต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน แต่การหดตัวชะลอลงมาอยู่ที่ -0.9% YoY ในไตรมาสนี้ เทียบกับ -1.3% YoY ในไตรมาสก่อนหน้า 

 

โดยสินเชื่อโดยรวมที่หดตัวมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs (-6.2% YoY ใน 2Q68) และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัว (-0.1% YoY ใน 2Q68) ต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.7% YoY ในไตรมาส

 

 

สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing loan: NPL หรือ Stage 3) ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ในไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับ ‘เพิ่มขึ้นเล็กน้อย’ มาอยู่ที่ 554.9 พันล้านบาท โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจเป็นสำคัญ ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวอยู่ที่ 2.91% จากระดับ 2.90% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (SM หรือ stage 2) ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ลดลงอยู่ที่ 6.88% จาก 6.97% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

 

 

สินเชื่อจ่อติดลบ 5 ไตรมาสติด ลุ้นไตรมาส 4 ปี 2568 พลิกบวก

 

สุวรรณี ประเมินว่า การเติบโตของสินเชื่อน่าจะไม่ได้กลับมาขยายตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 หรือจ่อติดลบ 5 ไตรมาสต่อเนื่อง เหตุก่อนหน้านี้มีการก่อหนี้สะสมไปมากแล้ว (Build Up), ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงกระบวนการลดหนี้ภาคครัวเรือน (Deleveraging Process), ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่, และความต้องการ (Demand) ในการลงทุนใหม่ๆ ก็ปรับลดลง

 

สำหรับแนวโน้ม การเติบโตของสินเชื่อในไตรมาส 4 ปี 2568 อาจพลิกบวกได้ เหตุเริ่มเห็นอัตราการเติบโตของสินเชื่อเริ่มผงกหัวขึ้นมาแล้ว แม้จะติดลบอยู่ โดยถ้ามีแรงส่งมากพอ และถ้าภาคธุรกิจมีการปรับตัว (Transform) น่าจะเป็นปัจจัยบวกที่จะกลับมาผลักดันการเติบโตของสินเชื่อได้ รวมถึงถ้าภาคการผลิตสามารถผลิตสินค้าออกมาตามความต้องการและขายได้

 

สุวรรณี กล่าวอีกว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลง 0.25% ไปสู่ระดับ 1.50% เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม อาจจะช่วยเพิ่มการเติบโตของสินเชื่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักน่าจะมาจากปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่า

 

โดยกล่าวว่า “หนึ่งสาเหตุหลักที่กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย มาจากภาวะการเงินตึงตัว ดังนั้น ธปท.จึงคิดว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยกลุ่มลูกหนี้ดอกเบี้ยลอยตัว โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ซึ่งราว 70% เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัว” สุวรรณี กล่าว 

 

KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ตามการรวบรวมข้อมูลสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทย (ไม่รวมเครือ) จำนวน 17 แห่ง หดตัว 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นับเป็นหดตัวยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 หรือติดลบนานสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

ทั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลของ KResearch เป็นคนละฐานกับ ธปท. แต่มีแนวโน้มจะเป็นทิศทางเดียวกัน

 

ดร.กาญจนา อธิบายอีกว่า การหดตัวของสินเชื่อในช่วงนี้มาจากการทยอยชำระคืนหนี้ หลังจากในช่วงโควิด สินเชื่อเติบโตอย่างมาก 

 

“ช่วงนี้ การชำระหนี้คืนค่อนข้างสูง แม้ยังมีการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด ทำให้ยอดการเติบโตของสินเชื่อติดลบ” ดร.กาญจนา ระบุ

 

นอกจากนี้ ยังพบว่า ในไตรมาสล่าสุด สินเชื่อยังติดลบแทบทุกผลิตภัณฑ์ โดยกลุ่มสินเชื่อที่ติดลบหนักที่สุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 คือ เช่าซื้อที่ลดลง 10.9% ซึ่งมีสัดส่วนที่ไม่ได้น้อยอยู่ที่ 6.9% ของสินเชื่อรวม โดยพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อมียอดคงค้างเกือบ 1 ล้านล้านบาท ทำให้ดึงการเติบโตของสินเชื่อทั้งระบบลง รองลงมาคือ กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ติดลบ 4.6% ซึ่งขนาดพอร์ตของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท

 

KResearch ยังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อทั้งปีนี้ที่ 0.6% จ่อติดลบต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกัน จากติดลบ 0.4% ในปี 2567 

 

สำหรับแนวโน้มต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้ ดร.กาญจนากล่าวว่า น่าจะเป็นภาพคล้ายๆ กับช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก เศรษฐกิจในภาพรวมมีความเสี่ยงเยอะ ทำให้ความต้องการสินเชื่ออาจไม่กลับมา เนื่องจาก ผู้กู้เองก็ต้องระมัดระวังไม่กู้เพิ่ม หากแนวโน้มการทำธุรกิจของตนเองยังไม่กลับมา นอกจากนี้ ในฝั่งสถาบันการเงินเองก็อาจจะพิจารณาดูความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้อยู่เหมือนเดิม โดยภาคธุรกิจบางส่วนอาจขอใช้สินเชื่อในลักษณะเงินทุนหมุนเวียน อาจจะไม่ใช่เพื่อลงทุนระยะยาว

The post แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติร่วมมือ 5 หน่วยงาน เปิดตัวบริการขอประวัติชำระ ‘ค่าน้ำ-ค่าไฟ’ ประกอบขอสินเชื่อ หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงเงินทุน https://thestandard.co/bot-utility-bill-history-loans/ Mon, 30 Jun 2025 06:19:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1091004

วันนี้ (30 มิถุนายน) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับ […]

The post แบงก์ชาติร่วมมือ 5 หน่วยงาน เปิดตัวบริการขอประวัติชำระ ‘ค่าน้ำ-ค่าไฟ’ ประกอบขอสินเชื่อ หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงเงินทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (30 มิถุนายน) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และ การประปาส่วนภูมิภาค เปิดตัว ‘บริการขอประวัติการใช้และชำระค่าน้ำ-ค่าไฟ’ ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อใช้ประกอบการสมัครขอสินเชื่อ ภายใต้โครงการ Your Data ที่สนับสนุนให้ประชาชนใช้สิทธิส่งข้อมูลของตนผ่านช่องทางดิจิทัลเพื่อได้รับบริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น

 

บริการดังกล่าวมุ่งพัฒนาบริการให้กับประชาชนที่มีชื่อในทะเบียนผู้ใช้น้ำ-ไฟ (คู่สัญญา) สามารถขอประวัติการใช้และชำระค่าน้ำ-ค่าไฟของตนเองบนแอปพลิเคชันทางรัฐ ได้สะดวก ปลอดภัย และไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับนำไปยื่นประกอบการสมัครขอสินเชื่อกับผู้ให้บริการทางการเงิน ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ

 

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการสินเชื่อที่ได้รับข้อมูลประวัติดังกล่าวจากประชาชนสามารถนำข้อมูลไปประมวลผลได้โดยอัตโนมัติ (Machine-Readable) มีการรับรองด้วยลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) และตรวจสอบได้ว่าข้อมูลไม่ถูกปลอมแปลงแก้ไข ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนโดยรวม

 

ธปท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลประวัติการใช้และชำระค่าน้ำ-ค่าไฟ และในอนาคตจะสามารถต่อยอดไปใช้กับบริการทางการเงินอื่นๆ ได้ต่อไป ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเรียกดู และดาวน์โหลดเอกสารดังกล่าว และนำไปยื่นเพื่อประกอบการสมัครขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

 

อ้างอิง:

The post แบงก์ชาติร่วมมือ 5 หน่วยงาน เปิดตัวบริการขอประวัติชำระ ‘ค่าน้ำ-ค่าไฟ’ ประกอบขอสินเชื่อ หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงเงินทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>