สินค้าลักชัวรี – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 21 Jun 2025 02:23:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Bain & Co. เผยว่า ธุรกิจลักชัวรีกำลังเผชิญภาวะซบเซามากที่สุดในรอบ 15 ปี https://thestandard.co/bain-and-co-report-luxury-market-faces-biggest-slump/ Sat, 21 Jun 2025 02:23:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1087432 Bain & Co.

ตลาดธุรกิจลักชัวรีทั้งหมดกำลังพบกับความท้าทายครั้งใหญ่ […]

The post Bain & Co. เผยว่า ธุรกิจลักชัวรีกำลังเผชิญภาวะซบเซามากที่สุดในรอบ 15 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bain & Co.

ตลาดธุรกิจลักชัวรีทั้งหมดกำลังพบกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อตลาดธุรกิจโดยรวมพบความซบเซามากที่สุดในรอบ 15 ปี (โดยไม่นับช่วงยุคโควิด) นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในช่วงปี 2008-2009 ซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานี้ก็มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สงครามภาษี ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และความผันผวนของตลาด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยกับสินค้าหรือบริการระดับลักชัวรีกันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จากการรายงานของบริษัทที่ปรึกษา Bain & Co.

 

Bain & Co. นำเสนอประเด็นเรื่องตลาดธุรกิจลักชัวรีมีมูลค่าต่ำสุดในรอบ 15 ปี ร่วมกับ Altagamma บริษัทไฮเอนด์สัญชาติอิตาลีที่กรุงมิลาน โดยเผยว่าในทุกๆ ปี ตลาดธุรกิจลักชัวรีโดยรวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือบริการที่พักระดับหรู ไปจนถึงรถยนต์และสินค้าแฟชั่น นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านยูโร และในช่วงระหว่างปี 2019-2024 ธุรกิจลักชัวรีก็มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 28% ซึ่งเป็นรายได้ในระดับที่ดีกว่าช่วงก่อนโรคระบาด 

 

อย่างไรก็ตาม หากดูแค่เพียงเฉพาะตลาดธุรกิจสินค้าลักชัวรีที่มีโปรดักต์แฟชั่น เครื่องหนัง จิวเวลรี นาฬิกา และบิวตี้โปรดักต์ ก็จะพบว่าตลาดมีมูลค่า 369 ล้านยูโรในปี 2023 หรือปีหลังยุคโควิด แต่กลับมีมูลค่าตลาดลดลงไปอยู่ที่ 364 ล้านยูโรในปี 2024 ส่งผลให้อัตราการเติบโตของตลาดต่อปีของปี 1996-2019 ลดลงจากอัตราการเติบโตต่อปีในช่วงระหว่าง 2019-2024 ทั้งหมด 1% 

 

แม้ว่ากลุ่มธุรกิจลักชัวรีจะเริ่มมีหวังในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ด้วยยอดขายสินค้าระดับไฮเอนด์ที่เพิ่มขึ้นในบางหมวดหมู่ แต่หลังจากนั้นตลาดธุรกิจระดับไฮเอนด์ก็ซบเซาลงเรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีกหลังประธานาธิบดีคนล่าสุดแห่งสหรัฐฯ อย่าง Donald Trump ออกนโยบายขึ้นภาษี ซึ่งเหล่าบริษัทลักชัวรีก็ไม่ได้พบเพียงปัญหาเรื่องการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับการที่สินค้าของพวกเขาไม่เป็นไปตามความคาดหวังของกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่โดยเฉพาะคนรุ่น Gen Z และเทรนด์นี้ก็กำลังทำให้แบรนด์ไฮเอนด์ต่างๆ พบกับความท้าทายในเรื่องของการตั้งราคา และมูลค่าแบรนด์ที่พวกเขาสร้างเอาไว้มานานหลายปี อีกทั้งกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ยังคิดทบทวนถึงเรื่องการซื้อสินค้าบริการหรูหราราคาแพงใหม่อีกครั้งด้วย

 

Bain & Co. คาดการณ์ถึงอนาคตตลาดธุรกิจลักชัวรีไว้ใน 3 สถานการณ์ แต่สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการที่ตลาดลักชัวรีจะยังคงชะลอตัวต่อไปในปี 2025 และจะมีรายได้ลดลงในระหว่าง 5% และ 2% โดยระหว่างนั้นอาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากสุด 2% ซึ่งที่ผ่านมาตลาดธุรกิจลักชัวรีก็ได้รับผลกระทบหนักเป็นโดมิโน เริ่มจากกลุ่มลูกค้าหลักอย่างจีนและอเมริกาที่รายได้สินค้าลักชัวรีไม่เพิ่มขึ้นเลย ด้วยการใช้จ่ายภายใต้ความกดดันของลูกค้าในจีนแผ่นดินใหญ่ และสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาที่ยังเป็นไปในเชิงลบ ในขณะที่รายได้สินค้าลักชัวรีในยุโรปและญี่ปุ่นก็ชะลอตัวด้วยเช่นกัน 

 

ภาพ: Dennis Hallinan / Getty Images

อ้างอิง: 

The post Bain & Co. เผยว่า ธุรกิจลักชัวรีกำลังเผชิญภาวะซบเซามากที่สุดในรอบ 15 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
CHANEL มุ่งหน้าลงทุนด้านธุรกิจในปีนี้ 1.8 พันล้านดอลลาร์ แม้ยอดขายลดลง 4.3% จากปีก่อน https://thestandard.co/chanel-invests-1-8b-despite-sales-drop/ Wed, 21 May 2025 09:51:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1076752

CHANEL มุ่งหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ต่อไปตลอดทั้ง […]

The post CHANEL มุ่งหน้าลงทุนด้านธุรกิจในปีนี้ 1.8 พันล้านดอลลาร์ แม้ยอดขายลดลง 4.3% จากปีก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>

CHANEL มุ่งหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ต่อไปตลอดทั้งปีนี้ สวนทางกับบริษัทลักชัวรีอื่นๆ ที่ชะลอการขยายธุรกิจ เนื่องจากตลาดสินค้าลักชัวรียังคงอยู่ในช่วงซบเซา โดย CHANEL มีแพลนสำหรับการลงทุนมากมาย รวมไปถึงการเปิดร้านใหม่ในจีนและสหรัฐอเมริกา

 

ช่วงปีที่ผ่านมายอดขายสินค้าแบรนด์เนมในจีนของบริษัทลักชัวรีชั้นนำเกือบทั้งหมดนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปจับจ่ายใช้สอยกับการกินหรือเที่ยวมากกว่าลงทุนกับสินค้าไฮเอนด์ ซึ่ง Philippe Blondiaux ผู้ดำรงตำแหน่ง CFO แห่ง CHANEL ได้เผยผ่านสื่อ Reuters ว่า พวกเขาเห็นสัญญาณที่ดีของความเสถียรในจีนและฮ่องกง แต่ก็ยังคงเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าพวกเขาผ่านจุดที่แย่ที่สุดมาแล้วหรือยัง โดยเฉพาะในช่วงการเจรจาเรื่องขึ้นภาษีที่ส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ ไม่แน่นอน

 

แม้ว่าปีก่อน CHANEL จะมียอดขายอยู่ที่ 18.7 หมื่นล้านดอลลาร์ นับว่าลดลง 4.3% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 30% ด้วยผลกระทบหลักจากลูกค้าในประเทศจีน แต่ในปีนี้ CHANEL ก็ยังคงมีแพลนในการเปิดร้านเพิ่ม 48 แห่ง โดยที่เกือบครึ่งนั้นจะเปิดในจีนและอเมริกา โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าปีก่อน 43% และยังลงทุนอีก 600 ล้านดอลลาร์สำหรับห่วงโซ่อุปทานในด้านโปรดักชัน อย่างการซื้อหุ้นซัพพลายเออร์ผ้าไหมในฝรั่งเศส และบริษัทผลิตจิวเวลรีในอิตาลี เป็นต้น

 

ในปี 2024 CHANEL ปรับราคาสินค้าเพิ่ม 3% ตามภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น และพวกเขาก็อาจจะเพิ่มราคาขึ้นอีกในปีนี้ด้วยเหตุผลเดียวกัน ซึ่ง Blondiaux ยกตัวอย่างว่า ราคาทองที่สูงขึ้นอาจก็ส่งผลให้แบรนด์ต้องเพิ่มราคาสินค้าโปรดักต์จิวเวลรีด้วย

 

ภาพ: Mike Kemp / In Pictures via Getty Images

อ้างอิง:

The post CHANEL มุ่งหน้าลงทุนด้านธุรกิจในปีนี้ 1.8 พันล้านดอลลาร์ แม้ยอดขายลดลง 4.3% จากปีก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักช้อป Gen Z และ Millennial ให้ความสำคัญกับคุณภาพ และความยั่งยืนในสินค้าลักชัวรีมากขึ้น https://thestandard.co/gen-z-millennial-luxury-shopping-trends/ Sun, 16 Feb 2025 03:03:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1042462 สินค้าลักชัวรี

ผลการวิจัยใหม่ล่าสุดชี้ว่า เหล่านักช้อป Gen Z และ Mille […]

The post นักช้อป Gen Z และ Millennial ให้ความสำคัญกับคุณภาพ และความยั่งยืนในสินค้าลักชัวรีมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินค้าลักชัวรี

ผลการวิจัยใหม่ล่าสุดชี้ว่า เหล่านักช้อป Gen Z และ Millennial มีความรอบคอบและฉลาดในการเลือกซื้อสินค้าลักชัวรีมากขึ้น โดยพวกเขาคำนึงถึงคุณภาพและความยั่งยืนของโปรดักต์เป็นหลัก

 

ผลวิจัยชิ้นนี้มาจาก Tink แพลตฟอร์มธนาคารของยุโรป โดยพวกเขาสำรวจพฤติกรรมการซื้อสินค้าลักชัวรีของผู้บริโภคจากอังกฤษจำนวนกว่า 2,000 คน และผู้จำหน่ายสินค้าไฮเอนด์ของอังกฤษ 500 คน ซึ่งทีมวิจัยรายงานว่า ขณะนี้คนรุ่น Millennial หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 1981-1996 ที่ส่วนใหญ่มีรายได้ที่มั่นคงมาหลายปี และ Gen Z หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 และกำลังเริ่มมีอิสระในการจับจ่ายของตัวเอง ต่างก็หันไปสนใจเครื่องประดับลักชัวรีมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความยั่งยืน และความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงการช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience)

 

มีการรายงานด้วยว่าคนรุ่น Millennial และ Gen Z ซื้อสินค้าลักชัวรีถึงปีละ 16 และ 14 ชิ้นตามลำดับ ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในตลาดของผู้ขายสินค้าลักชัวรี แต่ส่วนใหญ่แล้วนักช้อปทั้งสองรุ่นมีความลังเลในการซื้อของราคาแพงผ่านทางออนไลน์ เนื่องจากพวกเขากลัวว่าขั้นตอนการจ่ายเงินจะล้มเหลว และกลัวว่าจะโดนหลอกมากที่สุด โดยจากการเซอร์เวย์พบว่า 68% ของผู้ขายสินค้าลักชัวรีกำลังมีแพลนที่จะอัปเกรดวิธีการจ่ายเงินของลูกค้า และ 85% ของผู้ขายสินค้าลักชัวรีก็โฟกัสกับการทำให้ลูกค้าจ่ายเงินอย่างราบรื่นและปลอดภัยตามคำเรียกร้องของพวกเขา

 

นอกจากนั้นคนรุ่น Millennial และ Gen Z ยังมีความฉลาดรอบคอบในการเลือกซื้อสินค้าราคาแพง โดยพวกเขาต้องการโปรดักต์ที่มีทั้งคุณภาพและมีกระบวนการการผลิตที่มีจริยธรรม มากกว่า 60% ของนักช้อปทั้งสองรุ่นยังอยากลงทุนกับโปรดักต์คุณภาพที่คงทนและใช้งานได้ยาวนานกว่า และความยั่งยืนก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างในการตัดสินใจซื้อสินค้าลักชัวรี ผลวิจัยเผยอีกว่ามากกว่า 70% ของนักช้อปสองรุ่นนี้เต็มใจที่จะจ่ายให้สินค้าที่มีชื่อเสียงแบรนด์ในราคาแพงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของความน่าเชื่อถือของสินค้าที่ส่งผลถึงการตัดสินใจของเหล่านักช้อป

 

ภาพ: Kirstin Sinclair / Getty Images

อ้างอิง: 

 

The post นักช้อป Gen Z และ Millennial ให้ความสำคัญกับคุณภาพ และความยั่งยืนในสินค้าลักชัวรีมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Prada เป็นแบรนด์ลักชัวรีที่มี Brand Reputation สูงสุดในอิตาลีประจำปี 2024 https://thestandard.co/prada-tops-ranking-of-luxury-labels-brand-reputation-in-italy/ Fri, 14 Feb 2025 02:23:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1041670 Prada

ผลการรายงานเรื่องชื่อเสียงแบรนด์ หรือ Brand Reputation […]

The post Prada เป็นแบรนด์ลักชัวรีที่มี Brand Reputation สูงสุดในอิตาลีประจำปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Prada

ผลการรายงานเรื่องชื่อเสียงแบรนด์ หรือ Brand Reputation ประจำปีจากบริษัทเอเจนซีด้านการสื่อสารและพีอาร์ Comin & Partners ร่วมกับนิตยสารสัญชาติอิตาลี Il Foglio della Moda พบว่า Prada เป็นแบรนด์ลักชัวรีที่ถูกเมนชันถึงในโลกออนไลน์มากที่สุดในอิตาลี ตามมาด้วย Versace และ Gucci ที่เพิ่งประกาศการออกจากตำแหน่งของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ Sabato de Sarno

 

จากการศึกษาและตรวจสอบด้านการใช้โซเชียลมีเดียของปี 2024 โดยวิเคราะห์ผลของการเมนชันแบรนด์ลักชัวรีมากกว่า 268,000 ครั้ง จากผู้ใช้ 98,000 บัญชีนั้น แบรนด์ที่ไต่อันดับขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดก็มีทั้ง Prada ที่ทะยานสู่อันดับ 1 จากที่อยู่ในอันดับ 6 เมื่อปีก่อนหน้า, Versace พุ่งจากอันดับ 9 มาสู่อันดับ 3 ในปีนี้ และ Balenciaga ที่มาอยู่ในอันดับ 7 จากที่เคยอยู่อันดับ 13 ในปี 2023 ส่วน Gucci ตกลงจากอันดับ 2 สู่อันดับ 3 ในปี 2024 

 

มีการรายงานด้วยว่าในปีผู้คนให้ความสนใจกับการปรากฏตัวของเหล่าเซเลบริตี้ที่ฟรอนต์โรว์ของงานแฟชั่นโชว์เป็นอย่างมากในปี 2024 โดยเฉพาะต่อเหล่าศิลปินและคนดังสัญชาติเกาหลีใต้ ส่วนบทสนทนาในโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียในเรื่องของสินค้าลักชัวรีแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้จำนวนมากมีความอ่อนไหวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยผู้ก่อตั้งและประธานแห่ง Comin & Partners เผยว่า

 

“เราได้เห็นโลกแห่งสินค้าลักชัวรีพัฒนาและเปลี่ยนแปลงผ่านการอ่านบทสนทนาในโลกออนไลน์ในดาต้าของเรา บางอย่างก็ยังคงเดิมแม้เวลาจะผ่านไป เช่น การให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ, การโฟกัสกับเรื่องสิ่งแวดล้อม, ความยั่งยืนในสังคม และเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของมรดกตกทอดและแบรนด์ไอคอนิกต่างๆ ส่วนอย่างอื่นก็เป็นผลจากการวิวัฒนาการประเด็นความสนใจในสินค้าลักชัวรี อย่างเช่นความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อมูลค่าและอัตลักษณ์ของแบรนด์ลักชัวรีมากขึ้นในตอนนี้”

 

ภาพ: Jacopo M. Raule / Getty Images for Prada

อ้างอิง: 

 

The post Prada เป็นแบรนด์ลักชัวรีที่มี Brand Reputation สูงสุดในอิตาลีประจำปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ห้างดังในปารีสหันไปพึ่งตลาดแฟชั่นผู้ชายมากขึ้น หลังยอดขายสินค้าลักชัวรีซบเซาอย่างต่อเนื่อง https://thestandard.co/luxury-sales-drop-paris-malls-adapt/ Sun, 09 Feb 2025 02:26:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1039894

ปีที่ผ่านมาบริษัทลักชัวรีส่วนใหญ่อย่าง LVMH และ Kering […]

The post ห้างดังในปารีสหันไปพึ่งตลาดแฟชั่นผู้ชายมากขึ้น หลังยอดขายสินค้าลักชัวรีซบเซาอย่างต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปีที่ผ่านมาบริษัทลักชัวรีส่วนใหญ่อย่าง LVMH และ Kering ต่างต้องเจอกับความท้าทาย เมื่อยอดขายสินค้าลักชัวรีชะลอตัวและตกลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เนื่องจากผู้คนมีความต้องการเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนมน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มอดีตลูกค้าหลักอย่างประเทศจีน ซึ่งห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในกรุงปารีสก็เล็งเห็นถึงปัญหานี้และเริ่มหันไปพึ่งตลาดเสื้อผ้าผู้ชายกันมากขึ้นแล้ว

 

Printemps หนึ่งในห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ในกรุงปารีส เปิดคอนเซปต์สโตร์ในพื้นที่ 2,690 ตารางฟุตที่ชั้นล่างของห้าง สำหรับขายเครื่องประดับ, บิวตี้โปรดักต์, นาฬิกา, จิวเวลรี และของตกแต่งบ้าน สำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ ส่วน Galeries Lafayette ก็เตรียมรีโนเวตชั้น 4 ของห้างแบบยกเครื่องทั้งหมด เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการขายเสื้อผ้าผู้ชายเป็นหลักภายในปี 2026

 

Alice Feillard หัวหน้าฝั่งเสื้อผ้าผู้ชายแห่ง Galeries Lafayette กล่าวถึงกลยุทธ์ใหม่นี้ว่า ตลาดสินค้าของผู้ชายนั้นเติบโตอย่างช้าๆ แต่มีความมั่นคงมากกว่าหมวดหมู่สินค้าอื่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วหลังช่วงโรคโควิด เธอเผยว่า “เราจะเห็นได้ว่าผู้ชายเริ่มมีค่านิยมในการช้อปปิ้งตามอารมณ์แบบผู้หญิงกันมากขึ้นในช่วงโรคระบาด และตอนนี้ก็ขยับจากการซื้อของอย่างสมเหตุสมผลเพื่อการใช้งาน มาเป็นการซื้อของตามอารมณ์และซื้อตามกระแสแฟชั่นไปแล้ว”

 

Feillard อธิบายอีกว่า พฤติกรรมการซื้อของของผู้ชายเปลี่ยนจากการตามหาสินค้าพื้นฐานอย่างเสื้อยืดและสเวตเตอร์ไปเป็นสินค้าดีไซเนอร์ที่มีความครีเอทีฟ รวมไปถึงเสื้อผ้าสำหรับทำงานอย่างเป็นทางการและเสื้อผ้าที่มีความโดดเด่นกันมากขึ้น อีกทั้งผู้ชายยังใส่ใจในซิลูเอตของเสื้อผ้าที่เลือกซื้อมากกว่าเดิมอีกด้วย โดยความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดสินค้าหมวดหมู่ลักชัวรี เครื่องประดับ และสินค้าทั่วไป ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย อย่าง Les Deux แบรนด์แฟชั่นผู้ชายสัญชาติโคเปนเฮเกน ที่เมื่อก่อนไม่ได้เป็นที่รู้จักในฝรั่งเศสตอนที่พวกเขามาเปิดป๊อปอัพในห้าง Galeries Lafayette เป็นครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันแบรนด์มีร้านที่กรุงปารีสและพื้นที่ใกล้เคียงถึง 7 สาขาแล้ว

 

ภาพ: Marc Piasecki / Getty Images

อ้างอิง:

The post ห้างดังในปารีสหันไปพึ่งตลาดแฟชั่นผู้ชายมากขึ้น หลังยอดขายสินค้าลักชัวรีซบเซาอย่างต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
LVMH เห็นสัญญาณที่ดีต่อธุรกิจลักชัวรี หลังรายได้ปี 2024 เติบโตขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 https://thestandard.co/lvmh-lvmhpa-earnings-q4-full-year-2024/ Wed, 29 Jan 2025 07:39:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1035698 LVMH

LVMH บริษัทลักชัวรีอันดับ 1 ของโลก รายงานผลประกอบการของ […]

The post LVMH เห็นสัญญาณที่ดีต่อธุรกิจลักชัวรี หลังรายได้ปี 2024 เติบโตขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 appeared first on THE STANDARD.

]]>
LVMH

LVMH บริษัทลักชัวรีอันดับ 1 ของโลก รายงานผลประกอบการของปี 2024 ที่ออกมาดีเกินความคาดหมาย นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อธุรกิจลักชัวรีทั้งหมด หลังจากยอดขายสินค้าแบรนด์เนมซบเซามานานหลายเดือน

 

LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Dior, GIVENCHY, CELINE, BULGARI, LOEWE, Sephora และอีกมากมาย เผยผลประกอบการของปี 2024 โดยบริษัทมีรายได้ทั้งหมด 8.46 แสนล้านยูโร นับเป็นจำนวนที่มากกว่ายอดขายที่ LSEG วิเคราะห์และคาดการณ์เอาไว้ว่า LVMH จะมีรายได้ 8.43 แสนล้านยูโร ซึ่ง LVMH ยังเผยด้วยว่า ยอดขายของบริษัทในปี 2024 เติบโตขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2023

 

นอกจากนั้นในปี 2024 รายได้ของ LVMH ในไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหล่าลักชัวรีแบรนด์จะทำยอดขายได้ดีที่สุดก็สูงเกินคาดด้วยเช่นกัน หลังจากที่ 3 เดือนก่อนหน้านั้นยอดขายหล่นฮวบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงยุคโควิด โดยผู้ที่ทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นมากที่สุดก็คือกลุ่มลูกค้าจากยุโรป ตามมาด้วยอเมริกา และญี่ปุ่น และแบรนด์หมวดหมู่ที่ทำยอดขายได้ดีอย่างเห็นได้ชัดก็คือร้านค้าดีเทลเฉพาะกลุ่ม (Selective Retailing) อย่าง Sephora รวมไปถึงสินค้าหมวดหมู่น้ำหอมและเครื่องสำอาง ส่วนยอดขายสินค้าที่เคยเป็นตัวทำรายได้หลักของ LVMH อย่างเครื่องหนัง ไวน์ และเครื่องดื่มต่างๆ ก็ยังคงชะลอตัวอยู่เช่นเดิม

 

แน่นอนว่าการที่ LVMH บริษัทเจ้าของสินค้าลักชัวรีชั้นนำของโลกกลับมามีรายได้ที่เติบโตขึ้นนั้น เป็นสัญญาณที่ดีต่อบริษัทลักชัวรีอื่นๆ ด้วย เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาผู้บริโภคเลือกจับจ่ายสินค้าแบรนด์เนมกันน้อยลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอดีตกลุ่มลูกค้าหลักอย่างประเทศจีน โดยก่อนหน้านี้ Richemont บริษัทเจ้าของแบรนด์ Cartier, Van Cleef & Arpels, Piaget, Chloé และอีกมากมาย ก็ออกมารายงานผลประกอบการของไตรมาสสุดท้ายปี 2024 ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 10% ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าอย่างเครื่องประดับชั้นสูงในช่วงท้ายปี

 

ภาพ: BULGARI

อ้างอิง: 

 

 

The post LVMH เห็นสัญญาณที่ดีต่อธุรกิจลักชัวรี หลังรายได้ปี 2024 เติบโตขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Richemont บริษัทแม่ของ Cartier เห็นยอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 https://thestandard.co/richemont-sales-increase-2024/ Fri, 17 Jan 2025 09:00:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1031416 Richemont บริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Cartier, Van Cleef & Arpels, Chloé, Montblanc, Piaget, Dunhill และอีกมากมาย รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 10% สวนทางกับบริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ อย่าง LVMH และ Kering ช่วง 3 เดือนก่อนสิ้นปีนับเป็นเวลาสำคัญที่เหล่าบริษัทแบรนด์ลักชัวรีจะทำยอดขายได้ดีที่สุด ซึ่งการที่ Richemont มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นดั่งสัญญาณที่ดีต่อบริษัทแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ ด้วย เพราะมันอาจชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันกลับมาซื้อของแบรนด์เนมกันมากขึ้นแล้ว หลังจากที่ยอดขายสินค้าลักชัวรีของเกือบทุกบริษัทตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดตลอดปี 2024 Business of Fashion รายงานว่า ตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมียอดขายสินค้าเครื่องประดับชั้นสูงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการถ่วงดุลกับยอดขายของนาฬิกาที่ลดลงมากกว่าปกติถึงแม้ว่ายอดขายสินค้าลักชัวรีในเอเชียจะยังคงตกลง โดยเฉพาะประเทศจีนที่อดีตเคยเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งตามผลการรายงานนี้ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบของ Richemont ผู้เป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์นาฬิกาและจิวเวลรีสุดหรูทั้ง Cartier และ Piaget เพราะทั้งสองแบรนด์คือปัจจัยหลักที่ทำบริษัท Richemont ยังคงประสบผลสำเร็จในช่วงเวลาที่การจับจ่ายสินค้าลักชัวรีของลูกค้าชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ LVMH และ Kering ขายสินค้าอย่างเครื่องหนัง กระเป๋า และเสื้อผ้า เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามการรายงานผลประกอบการของ LVMH ที่จะเปิดเผยในวันที่ 28 มกราคมนี้ด้วยว่าจะลดลง หรือเพิ่มขึ้นเหมือนกับ Richemont ภาพ: Cartier อ้างอิง: https://hypebeast.com/2025/1/richemont-sales-increase-10-percent-luxury-outlook-stocks-rise-cartier-chloe

Richemont บริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Cartier, Van […]

The post Richemont บริษัทแม่ของ Cartier เห็นยอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Richemont บริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Cartier, Van Cleef & Arpels, Chloé, Montblanc, Piaget, Dunhill และอีกมากมาย รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 10% สวนทางกับบริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ อย่าง LVMH และ Kering ช่วง 3 เดือนก่อนสิ้นปีนับเป็นเวลาสำคัญที่เหล่าบริษัทแบรนด์ลักชัวรีจะทำยอดขายได้ดีที่สุด ซึ่งการที่ Richemont มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นดั่งสัญญาณที่ดีต่อบริษัทแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ ด้วย เพราะมันอาจชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันกลับมาซื้อของแบรนด์เนมกันมากขึ้นแล้ว หลังจากที่ยอดขายสินค้าลักชัวรีของเกือบทุกบริษัทตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดตลอดปี 2024 Business of Fashion รายงานว่า ตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมียอดขายสินค้าเครื่องประดับชั้นสูงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการถ่วงดุลกับยอดขายของนาฬิกาที่ลดลงมากกว่าปกติถึงแม้ว่ายอดขายสินค้าลักชัวรีในเอเชียจะยังคงตกลง โดยเฉพาะประเทศจีนที่อดีตเคยเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งตามผลการรายงานนี้ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบของ Richemont ผู้เป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์นาฬิกาและจิวเวลรีสุดหรูทั้ง Cartier และ Piaget เพราะทั้งสองแบรนด์คือปัจจัยหลักที่ทำบริษัท Richemont ยังคงประสบผลสำเร็จในช่วงเวลาที่การจับจ่ายสินค้าลักชัวรีของลูกค้าชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ LVMH และ Kering ขายสินค้าอย่างเครื่องหนัง กระเป๋า และเสื้อผ้า เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามการรายงานผลประกอบการของ LVMH ที่จะเปิดเผยในวันที่ 28 มกราคมนี้ด้วยว่าจะลดลง หรือเพิ่มขึ้นเหมือนกับ Richemont ภาพ: Cartier อ้างอิง: https://hypebeast.com/2025/1/richemont-sales-increase-10-percent-luxury-outlook-stocks-rise-cartier-chloe

Richemont บริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Cartier, Van Cleef & Arpels, Chloé, Montblanc, Piaget, Dunhill และอีกมากมาย รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 10% สวนทางกับบริษัทเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ อย่าง LVMH และ Kering

 

ช่วง 3 เดือนก่อนสิ้นปีนับเป็นเวลาสำคัญที่เหล่าบริษัทแบรนด์ลักชัวรีจะทำยอดขายได้ดีที่สุด ซึ่งการที่ Richemont มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นดั่งสัญญาณที่ดีต่อบริษัทแบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ ด้วย เพราะมันอาจชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันกลับมาซื้อของแบรนด์เนมกันมากขึ้นแล้ว หลังจากที่ยอดขายสินค้าลักชัวรีของเกือบทุกบริษัทตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดตลอดปี 2024

 

Business of Fashion รายงานว่า ตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมียอดขายสินค้าเครื่องประดับชั้นสูงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการถ่วงดุลกับยอดขายของนาฬิกาที่ลดลงมากกว่าปกติถึงแม้ว่ายอดขายสินค้าลักชัวรีในเอเชียจะยังคงตกลง โดยเฉพาะประเทศจีนที่อดีตเคยเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งตามผลการรายงานนี้ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบของ Richemont ผู้เป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์นาฬิกาและจิวเวลรีสุดหรูทั้ง Cartier และ Piaget เพราะทั้งสองแบรนด์คือปัจจัยหลักที่ทำบริษัท Richemont ยังคงประสบผลสำเร็จในช่วงเวลาที่การจับจ่ายสินค้าลักชัวรีของลูกค้าชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ LVMH และ Kering ขายสินค้าอย่างเครื่องหนัง กระเป๋า และเสื้อผ้า เป็นหลัก

 

อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามการรายงานผลประกอบการของ LVMH ที่จะเปิดเผยในวันที่ 28 มกราคมนี้ด้วยว่าจะลดลง หรือเพิ่มขึ้นเหมือนกับ Richemont

 

ภาพ: Cartier

 

อ้างอิง:

The post Richemont บริษัทแม่ของ Cartier เห็นยอดขายเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Prada เปิดตัวคอลเล็กชัน Re-Nylon 2025 พร้อมได้ Benedict Cumberbatch มาขึ้นแคมเปญ https://thestandard.co/prada-re-nylon-2025/ Wed, 15 Jan 2025 09:24:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1030812 prada-re-nylon-2025

Prada ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ลักชัวรีที่ให้ความสำคัญกับควา […]

The post Prada เปิดตัวคอลเล็กชัน Re-Nylon 2025 พร้อมได้ Benedict Cumberbatch มาขึ้นแคมเปญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
prada-re-nylon-2025

Prada ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ลักชัวรีที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยเปิดตัวคอลเล็กชัน Re-Nylon 2025 ที่ใช้นวัตกรรมใหม่ในการเปลี่ยนแปลงขยะพลาสติกจากมหาสมุทรและหลุมฝังกลบขยะให้กลายเป็นผ้าไนลอน หนึ่งในโปรดักต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

 

คอลเล็กชันนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการริเริ่มนวัตกรรมใหม่ของ Prada ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแบรนด์ยังได้ร่วมงานกับ National Geographic CreativeWorks และเปิดตัวคลิปวิดีโอซีรีส์สารคดีชุดที่ 3 ที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นและแรงขับเคลื่อนในการริเริ่มทำโปรเจกต์ Re-Nylon โดยมีนักแสดงอย่าง Benedict Cumberbatch รวมไปถึงแอมบาสเดอร์แห่ง SEA BEYOND อย่าง Valentina Gottlieb และ Giovanna Chimienti นักทำสารคดีสำรวจเรื่องปัญหามลพิษทางทะเล และทีมผู้บุกเบิกของ Prada มาร่วมงาน

 

ไลน์ Re-Nylon มีต้นกำเนิดมาจากการใช้ Econyl หรือวัสดุไนลอนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากการนำขยะพลาสติกมารีไซเคิล และนวัตกรรมลดการพึ่งพาการใช้ทรัพยากรใหม่ ซึ่งแบรนด์ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการรักษาความยั่งยืนในวงการแฟชั่นไปแล้ว

 

สำหรับคอลเล็กชันนี้มาพร้อมกับไอเท็มที่ผ่านการดีไซน์อย่างตั้งใจมาแล้วทั้งหมด 191 ชิ้น โดยผสมผสานความมินิมัลสไตล์ Prada เข้ากับความโก้เก๋อย่างร่วมสมัย โดยไอเท็มที่โดดเด่นมีทั้งหมวกบักเก็ต Re-Nylon, กระเป๋าหนังแบ็กแพ็กและกระเป๋าเป้ Saffiano ที่มาในสีดำขลับประดับด้วยโลโก้สุดไอคอนิกของ Prada และยังมีไอเท็มที่ทำให้คอลเล็กชันนี้มีความสดใสมากขึ้นด้วยในโทนสี Bottle Green และ Aviator Blue ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูคอลเล็กชัน Re-Nylon 2025 ผ่านทางเว็บไซต์ของ Prada ได้แล้ววันนี้

 

ภาพ: Prada

 

The post Prada เปิดตัวคอลเล็กชัน Re-Nylon 2025 พร้อมได้ Benedict Cumberbatch มาขึ้นแคมเปญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไม Van Cleef & Arpels ไม่เคยคิดที่จะใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ และรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ AI https://thestandard.co/van-cleef-arpels-brand-strategy-ai-perspective/ Wed, 11 Dec 2024 01:51:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1018153 Van Cleef & Arpels

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าหนึ่งในหมวดหมู่สิน […]

The post ทำไม Van Cleef & Arpels ไม่เคยคิดที่จะใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ และรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
Van Cleef & Arpels

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าหนึ่งในหมวดหมู่สินค้าในวงการลักชัวรีที่มีการแข่งขันอย่างมหาศาลก็คือ High Jewelry หรือที่แปลเป็นไทยคือเครื่องประดับชั้นสูง โดยมีทั้งแบรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้น แบรนด์แฟชั่นที่ขยายสู่ตลาดนี้เพื่อจับกลุ่มอีลีต หรือแบรนด์ที่อยู่มานับร้อยปี ก็ต้องต่างเร่งเครื่องและมอบประสบการณ์เหนือจินตนาการกับดีไซน์และอัญมณีที่ไปแสวงหา 

 

ซึ่งหากต้องยกหนึ่งชื่อมาพูดถึงและศึกษา Van Cleef & Arpels ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะถึงแม้จะอยู่ภายใต้เครือยักษ์ใหญ่อย่าง Richemont Group และมีคู่แข่งภายในมากมาย แต่แบรนด์เครื่องประดับนี้ที่มีอายุ 118 ปี หลังก่อตั้งเมื่อปี 1906 ก็ยังคงเดินหน้าเป็นอันดับต้นๆ ของวงการในแบบของตัวเองที่ไม่ใช้แอมบาสเดอร์ ไม่ใช้ดารา ไม่จ้างคนมีชื่อเสียงมาถ่ายสินค้าเพื่อหวังดันยอดขาย หรือการได้ Brand Awareness

 

โดยล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา THE STANDARD POP มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองไมอามี สหรัฐอเมริกา เพื่อชมคอลเล็กชัน High Jewelry ประจำปี 2024 ในชื่อ Treasure Island พร้อมมีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับ Jean Bienaymé ผู้รับตำแหน่ง Marketing & Communication Director ของ Van Cleef & Arpels เพื่อได้มุมมองเกี่ยวกับการขับเคลื่อนธุรกิจของแบรนด์ที่ยังคงแข็งแกร่ง และไม่จำเป็นต้องทำตามใคร

 

การจัดแสดงคอลเล็กชัน High Jewelry ในชื่อ Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ไมอามี

 

ทำไม Van Cleef & Arpels ถึงเลือกไมอามีเป็นที่จัดงานเปิดตัวคอลเล็กชันเครื่องประดับชั้นสูงครั้งนี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน

 

เพราะปีนี้เราเลือกที่จะไม่เปิดตัวคอลเล็กชันเครื่องประดับใหม่ในเดือนมิถุนายนเหตุผลคือทุกแบรนด์มักจะเปิดตัวในเดือนนั้นเหมือนกันหมด และครั้งก่อนในเดือนมิถุนายน 2023 เราเปิดตัวกันไปที่โรม และอีกหลายแบรนด์ก็จัดงานในอิตาลีในช่วงเดือนเดียวกันอีก

 

ดังนั้นพวกเราจึงคิดว่าคงจะดีถ้าเราเปลี่ยนสถานที่และเวลากัน จึงตัดสินใจไม่เปิดตัวในช่วงนั้น เราเลือกจัดงานในเดือนพฤศจิกายนแทนกับธีม ‘เกาะสมบัติ’ (Treasure Island) เราอยากหาสถานที่ที่มีชายหาด เกาะ หรือบรรยากาศคล้ายๆ แบบนั้น ซึ่งในยุโรปช่วงเดือนพฤศจิกายนอากาศไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเราจึงเลือกไมอามี เพราะอากาศดีและใกล้กับทะเลแคริบเบียนด้วย ซึ่งเป็นทะเลที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับโจรสลัดด้วยเช่นกัน

 

ที่นี่จึงเหมาะสมกับธีมของคอลเล็กชันใหม่ของเรามาก อย่างที่คุณเห็นที่ Vizcaya เมื่อวาน มีเรือกัลเลียนอยู่ในทะเลด้วย บรรยากาศของที่นี่เหมาะสมกับชิ้นงานของเรามากๆ พวกเราเลยเลือกมาจัดงานของเราที่นี่ 

 

สำหรับทีมของคุณ การจัดงานที่ไมอามีถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ต่างจากการจัดงานในยุโรปไหม

 

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่นะ แต่คุณรู้ไหมว่าพวกเราต่างก็เดินทางกันมาเยอะมากๆ เราจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ไปทั่วโลก แต่ครั้งนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการเปิดตัวคอลเล็กชันเครื่องประดับชั้นสูงครั้งใหญ่ของพวกเรา 

 

Van Cleef & Arpels

นางแบบสวมใส่คอลเล็กชัน High Jewelry ในชื่อ Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels 

 

ทำไม Van Cleef & Arpels ถึงเลือกไม่ร่วมงานกับเหล่าคนดังหรือแต่งตั้งใครเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

เพราะสำหรับเราแล้ว เหล่าคนดังหรือแอมบาสเดอร์ก็คือ ‘ผลงาน’ อย่างที่คุณพูดมาว่าเมื่อคืนนี้คุณได้โฟกัสไปที่ผลงานเครื่องประดับจริงๆ Van Cleef & Arpels มีผลงานเครื่องประดับชั้นสูงที่เน้นเรื่องความสร้างสรรค์และชิ้นงาน ไม่ใช่เหล่าคนดังที่มีชื่อเสียง แต่ถ้ามีคนดังต้องการสวมสร้อยคอหรือเครื่องประดับในงานเทศกาลหรืออีเวนต์ต่างๆ เราก็ยินดีให้ยืมนะครับ แต่เราจะไม่ได้จ่ายเงินใครเพื่อมาโปรโมตสินค้า เพราะพวกเราเคยลองทำแบบนั้นแล้ว 1-2 ครั้ง เมื่อ 10 กว่าปีก่อน แล้วเครื่องประดับเสียหาย จึงตัดสินใจว่าเราจะโฟกัสที่ตัวผลงานอย่างเดียว 

 

แล้วแบรนด์ Van Cleef & Arpels จะเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น Gen Z ได้อย่างไร เมื่อการใช้คนดังเป็นสิ่งที่ดึงดูด

พวกเรามักจะลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเราเอง เราไม่ใช้สูตรสำเร็จทั่วไป เราพยายามคงความเป็นตัวตนของเราไว้ เราอาจไม่ประสบความสำเร็จทุกครั้งนะครับ แต่เราพยายามจะเป็นตัวเองเสมอ ตัวอย่างเช่น ธีม ‘เกาะสมบัติ’ (Treasure Island) เป็นธีมที่เข้าได้กับทุกคน เพราะมันอยู่กับวัยเด็กของเราอยู่แล้ว ความฝันหรือการผจญภัย พวกเราพยายามทำให้เข้าถึงทุกวัย ทุกรุ่น และทำด้วยความจริงใจเสมอ

 

Van Cleef & Arpels มีโปรเจกต์วัฒนธรรมสนับสนุนด้านการเต้นกับ Dance Reflections ในอนาคตแบรนด์มีแผนขยายไปสู่ด้านอื่นไหม เช่น การทำภาพยนตร์

 

ผมไม่รู้เลยนะ แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะกับการเต้น Van Cleef & Arpels มีความผูกพันมายาวนาน และเราเน้นทำแบบจริงใจเสมอ โดย Van Cleef & Arpels มีความสอดคล้องกับบัลเลต์มานานแล้ว แต่ในรุ่นก่อนๆ ของแบรนด์ก็มีความหลงใหลในโอเปราด้วยเช่นกัน 

 

ในปี 1941 มีการสร้าง ‘เข็มกลัดนักบัลเลต์’ ชิ้นแรกขึ้นมา และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็สร้างเข็มกลัดนักบัลเลต์มาโดยตลอด และมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของ Van Cleef & Arpels ตลอดมา ซึ่งในช่วงยุค 60 Van Cleef & Arpels มีการพบปะครั้งสำคัญกับนักออกแบบท่าเต้น George Balanchine ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเข็มกลัดอัญมณีของ Van Cleef & Arpels อีกด้วย

 

นี่คือเหตุผลที่เรายังคงลงทุนและมีส่วนร่วมในวงการบัลเลต์ ไม่ใช่แค่การใส่โลโก้ของเราลงไปเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนกลุ่มนักเต้น นักออกแบบท่าเต้น รวมถึงการจัดเทศกาลต่างๆ ให้อีกด้วย แต่สำหรับการสร้างภาพยนตร์หรือสารคดีในแง่มุมอื่นๆ ตอนนี้เรายังไม่มีโครงการที่จะทำครับ

 

 

ผมเชื่อว่าแบรนด์เน้นเรื่องงานฝีมือเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้กระแส AI กำลังมาแรง แบรนด์ Van Cleef & Arpels มอง AI อย่างไรบ้าง และมันมีผลกระทบต่อธุรกิจในด้านใดบ้าง

 

เรารับรู้ถึงความก้าวหน้าของ AI นะ แต่สำหรับเราแล้ว งานของเราเป็นงานฝีมือและการทำด้วยมือล้วนๆ จึงไม่มีการนำนวัตกรรมแบบนั้นมาใช้ในกระบวนการผลิตแน่นอน ส่วนในงานด้านอื่นๆ เช่น การจัดการข้อมูล หากเหมาะสมเราอาจจะใช้ แต่เราจะไม่ให้ AI มาทำงานแทนเราแน่นอน

 

คำถามสุดท้ายของผมคือ ถ้าคุณได้พูดคุยกับผู้ก่อตั้ง Van Cleef & Arpels และถามคำถามพวกเขาได้หนึ่งคำถาม คุณจะถามอะไร

คำถามนี้น่าสนใจมาก ซึ่งผมคงจะถามว่า “ทุกวันนี้คุณยังเห็นรากฐานแบรนด์ของคุณไหม?”

 

แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะตอบว่าอะไร

 

ผมค่อนข้างสนิทกับครอบครัวของผู้ก่อตั้ง ซึ่งผมมักจะเชิญพวกเขามาร่วมกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง และพวกเขามักจะพูดว่า พวกเขาภูมิใจกับ Van Cleef & Arpels เป็นอย่างมาก ยังรู้สึกว่า Van Cleef & Arpels ไม่ได้หลงทางไปไหน นี่ถือเป็นของขวัญที่มีความหมายสำหรับพวกเขา สิ่งสำคัญคือการเคารพความเป็นตัวตนของ Van Cleef & Arpels ผมหวังว่า Estelle และ Alfred (ผู้ก่อตั้ง) จะตอบว่า “ว้าว นี่มันยิ่งใหญ่มากนะ เราดีใจที่แบรนด์ยังรักษาความเป็นตัวเองได้อย่างดี” 

 

เบื้องหลังการทำสร้อย Nœuds Marins ในคอลเล็กชัน Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ไมอามี

 

ภาพ: Van Cleef & Arpels

The post ทำไม Van Cleef & Arpels ไม่เคยคิดที่จะใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ และรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดแผนที่อีคอมเมิร์ซ 2025 เมื่อ ‘ความไวเป็นปีศาจ’ คือกุญแจล็อกใจลูกค้า ที่เปลี่ยนจาก ‘เสพติดแบรนด์’ สู่ ‘เสพติดคุณค่า’ https://thestandard.co/unlocking-e-commerce-insight-trends-and-strategies-for-business-success/ Tue, 19 Nov 2024 02:36:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1010191 อีคอมเมิร์ซ

ในยุคที่การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซร้อนระอุราวกับหม้อต้ […]

The post เปิดแผนที่อีคอมเมิร์ซ 2025 เมื่อ ‘ความไวเป็นปีศาจ’ คือกุญแจล็อกใจลูกค้า ที่เปลี่ยนจาก ‘เสพติดแบรนด์’ สู่ ‘เสพติดคุณค่า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีคอมเมิร์ซ

ในยุคที่การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซร้อนระอุราวกับหม้อต้มน้ำเดือด แบรนด์ต่างๆ กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่ นั่นคือทำอย่างไรให้อยู่รอดในสมรภูมิการค้าออนไลน์ที่มีผู้เล่นหน้าใหม่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด?

 

จากเวที Wisesight Research Discovery EP.7 ภายใต้หัวข้อ ‘Unlocking E-Commerce: Insight Trends and Strategies for Business Success’ ได้เผยให้เห็นภาพความหวือหวาของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยที่ทะยานขึ้นเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 9.8 แสนล้านบาทในปี 2023 รองจากอินโดนีเซียเท่านั้น

 

ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา Co-founder ของ Etailligence เผยว่า ตลาดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 14% ไปจนถึงปี 2027 แต่สิ่งที่น่าจับตามองคือปี 2025 ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ เมื่อพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์จะซับซ้อนขึ้นราวกับเขาวงกตที่มีทางเลือกมากมาย

 

ที่น่าสนใจคือจากการสำรวจพบว่านักช้อปออนไลน์แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มชัดเจน โดย 35% เป็น ‘สาวกอินฟลูเอ็นเซอร์’ ที่พร้อมจะเชื่อและซื้อตามรีวิว ขณะที่ 31% เป็น ‘นักล่าดีล’ ที่จะเปรียบเทียบราคาจนกว่าจะพอใจ ส่วน 21% เป็น ‘นักวิเคราะห์’ ที่ต้องหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนควักกระเป๋า และที่เหลือ 13% ส่วนใหญ่เป็นคุณแม่มือใหม่ที่เน้นความคุ้มค่าเป็นหลัก

 

ด้าน พุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท Deputy Director of Data Research Product จาก Wisesight เผยว่า Gen Z กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งค้นหาสินค้าถึง 55% โดยเฉพาะ TikTok ที่มาแรงแซงโค้งด้วยความสดใหม่ของคอนเทนต์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึก ‘อิน’ กับสินค้ามากกว่าการค้นหาแบบดั้งเดิม

 

“จากข้อมูลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 พบว่ามีเอ็นเกจเมนต์ในตลาดอีคอมเมิร์ซสูงถึง 300 ล้านบาท โดย 46% มาจากอินฟลูเอ็นเซอร์ รองลงมา 34% มาจากผู้ขาย และ 10% จาก Owned Media” พุทธศักดิ์กล่าว พร้อมเสริมว่าหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Health & Beauty, Fashion และ Food & Beverage

 

นอกจากนี้พฤติกรรมการช้อปบน TikTok Shop ยังแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มมองหาส่วนลด, กลุ่มซื้อตาม Inspirational, กลุ่มที่ต้องการความง่ายในการจบการซื้อขายบนแพลตฟอร์มเดียว และกลุ่มที่ซื้อตามจุดประสงค์โดยเน้นที่แบรนดิ้ง

 

ขณะที่ ปานเทพย์ นิลสินธพ Chief Customer Officer จากสยามพิวรรธน์ เผยมุมมองที่น่าสนใจว่า แม้อีคอมเมิร์ซจะบูม แต่ศูนย์การค้ายังคงมีความสำคัญในฐานะ ‘Social Hub’ โดยความถี่ในการเข้าศูนย์การค้ายังคงอยู่ที่ 5 ครั้งต่อเดือน สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนยังต้องการพื้นที่จริงสำหรับพบปะสังสรรค์

 

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจับจ่ายในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่ม FIT (Free Independent Travelers) ที่มีอายุเฉลี่ย 24-35 ปี ซึ่งมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวมากกว่าการช้อปปิ้งแบบดั้งเดิม

 

ปานเทพย์ยังชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในพฤติกรรมผู้บริโภคปี 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าลักชัวรีที่ผู้บริโภคจะลดการซื้อตามกระแสลง แต่หันมาให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของเงินและมองหาสินค้า ‘Timeless’ และ ‘Quiet Luxury’ มากขึ้น

 

“แบรนด์จำเป็นต้องสร้างความแตกต่างและเรื่องราวที่ทำให้ลูกค้าภูมิใจที่ได้ครอบครองสินค้าชิ้นนั้น เพื่อโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด” ปานเทพย์กล่าว

 

สำหรับปี 2025 มีการคาดการณ์ว่าจะเป็น ‘ปีแห่งความเร็ว’ โดยตลาด Quick Commerce ในไทยจะเติบโตปีละ 20-30% เพราะ ‘ยิ่งส่งของได้ไว ยิ่งได้ใจผู้บริโภค’ ขณะเดียวกัน Value for Money จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ โดยผู้บริโภคจะมองหาสินค้าที่คุ้มค่า คุ้มราคา และให้ประสบการณ์ที่แตกต่าง

 

อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญคือการเติบโตของ Conscious Shopper ที่ให้ความสำคัญกับสินค้า Timeless และสินค้าที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะสินค้าที่มีเรื่องราวผูกติดกับความรับผิดชอบต่อสังคม สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากการรับรู้สู่การสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง

 

ท้ายที่สุดเส้นทางสู่ความสำเร็จในโลกอีคอมเมิร์ซปี 2025 จึงไม่ต่างจากการแข่งรถฟอร์มูลาวันที่ต้องทั้งเร็ว แม่นยำ และต้องรู้จักปรับกลยุทธ์ให้ทันกับทุกโค้งของการเปลี่ยนแปลง เพราะในโลกที่หมุนเร็วเช่นนี้ การหยุดนิ่งเท่ากับถอยหลัง และการช้าเท่ากับความพ่ายแพ้

 

The post เปิดแผนที่อีคอมเมิร์ซ 2025 เมื่อ ‘ความไวเป็นปีศาจ’ คือกุญแจล็อกใจลูกค้า ที่เปลี่ยนจาก ‘เสพติดแบรนด์’ สู่ ‘เสพติดคุณค่า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>