สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 07 Oct 2025 13:16:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ครม. มีมติโยกย้ายข้าราชการผู้บริหารกระทรวงการคลัง ‘กุลยา ตันติเตมิท’ นั่งอธิบดีกรมสรรพากร https://thestandard.co/kulaya-tantitemit-revenue-department/ Tue, 07 Oct 2025 13:16:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1127819 ครม. มีมติโยกย้ายข้าราชการผู้บริหารกระทรวงการคลัง ‘กุลยา ตันติเตมิท’ นั่งอธิบดีกรมสรรพากร

วันนี้ (7 ตุลาคม) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็น […]

The post ครม. มีมติโยกย้ายข้าราชการผู้บริหารกระทรวงการคลัง ‘กุลยา ตันติเตมิท’ นั่งอธิบดีกรมสรรพากร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. มีมติโยกย้ายข้าราชการผู้บริหารกระทรวงการคลัง ‘กุลยา ตันติเตมิท’ นั่งอธิบดีกรมสรรพากร

วันนี้ (7 ตุลาคม) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)

 

โดยคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้ง (ย้าย/โอน) ข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งว่าง และเพื่อการสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน 7 ราย ดังนี้

 

1. โอน นายอัครุตม์ สนธยานนท์ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง (แทนตำแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองอยู่เดิมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่น)

 

2. โอน นายปิ่นสาย สุรัสวดี ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง (แทน นายอัครุตม์ สนธยานนท์)

 

3. โอน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง (แทน นายปิ่นสาย สุรัสวดี)

 

4. โอน นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง (แทน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท)

 

5. โอน นายคณาวุฒิ สิติธีรพันธุ์ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง (แทน นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์)

 

6. โอน นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง)สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง (แทน ตำแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองอยู่เดิมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่น)

 

7. ย้าย นายพนิต ธีรภาพวงศ์ ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

The post ครม. มีมติโยกย้ายข้าราชการผู้บริหารกระทรวงการคลัง ‘กุลยา ตันติเตมิท’ นั่งอธิบดีกรมสรรพากร appeared first on THE STANDARD.

]]>
สบน. ประกาศ TokenX – Xspring – Kubix คว้าสิทธิออกและเสนอขาย G-Token https://thestandard.co/g-token-financial-inclusion/ Wed, 20 Aug 2025 06:06:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1109283 g-token-financial-inclusion

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ประกาศผลคัดเลือก 3 บริ […]

The post สบน. ประกาศ TokenX – Xspring – Kubix คว้าสิทธิออกและเสนอขาย G-Token appeared first on THE STANDARD.

]]>
g-token-financial-inclusion

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ประกาศผลคัดเลือก 3 บริษัทผู้ให้บริการ ICO Portal สำหรับการออกและเสนอขาย G-Token ประกอบด้วย TokenX, Xspring และ Kubix

 

พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลัง (ICO Portal) สำหรับการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลัง (G-Token) ในปีงบประมาณ 2568-2569

 

ผลการคัดเลือกมีจำนวน 3 บริษัทได้แก่  

  • บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (TokenX) 
  • บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (Xspring) 
  • บริษัท คิวบิกซ์ ดิจิทัล แอสเสท จำกัด (Kubix)

 

“ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่แสดงความสนใจเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้ที่ได้รับคัดเลือกในการออกและเสนอขาย G-Token ครั้งนี้และครั้งต่อไป เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต” พชรกล่าว

 

สำหรับ ICO (Initial Coin Offering) คือ การระดมทุนโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เปิดโอกาสให้บริษัทที่ต้องการเงินทุนเสนอขายโทเคนให้แก่ผู้ลงทุนทั่วโลก โดยนักลงทุนสามารถใช้คริปโทเคอร์เรนซีแลกกับโทเคนที่บริษัทออกมาเพื่อระดมทุน

 

ในส่วนของ G-Token ถือเป็นเครื่องมือระดมทุนรูปแบบใหม่ของรัฐบาลไทย ที่มุ่งหวังเป็นทางเลือกการลงทุนที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ส่งเสริมการออมของประชาชน และขยายโอกาสทางการเงินอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (Financial Inclusion)  

 

รายละเอียดของผู้ให้บริการที่ได้รับคัดเลือกมีดังนี้

 

  • TokenX บริษัทในเครือ SCBX ให้บริการ ICO Portal และโซลูชันด้าน Tokenization แบบครบวงจร
  • Xspring ผู้ให้บริการ ICO Portal พร้อมบริการที่ปรึกษาด้านการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคนดิจิทัล และยังดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล
  • Kubix บริษัทในเครือกสิกรไทย ภายใต้ KBTG ให้บริการ ICO Portal ครอบคลุมการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัล

The post สบน. ประกาศ TokenX – Xspring – Kubix คว้าสิทธิออกและเสนอขาย G-Token appeared first on THE STANDARD.

]]>
สบน. คาด G-Token ออกเร็วสุดปลายสิงหาคมนี้ ดอกเบี้ยอาจสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย ยันไม่เป็น ‘Mean of Payment’ https://thestandard.co/g-token-thailand-launch-august/ Wed, 23 Jul 2025 01:24:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1098662 พชร อนันตศิลป์ แถลงข่าวแผนการออก G-Token รัฐบาล คาดเปิดตัวปลายสิงหาคม พร้อมระบุไม่ใช้ชำระสินค้าและบริการ

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง คาด G-T […]

The post สบน. คาด G-Token ออกเร็วสุดปลายสิงหาคมนี้ ดอกเบี้ยอาจสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย ยันไม่เป็น ‘Mean of Payment’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พชร อนันตศิลป์ แถลงข่าวแผนการออก G-Token รัฐบาล คาดเปิดตัวปลายสิงหาคม พร้อมระบุไม่ใช้ชำระสินค้าและบริการ

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง คาด G-Token ออกเร็วสุดปลายสิงหาคม วงเงิน 5,000 ล้านบาท มีอายุไม่เกิน 3 ปี คาดว่าจะกำหนดให้สูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย ยันไม่เป็น ‘Means of Payment’ ชี้กำลังเตรียมระบบ ICO Portal คาดใช้เวลา 30-45 วัน

 

พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สบน. เผยความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token) หรือ G-Token คาดว่าเร็วสุดจะสามารถเปิดจำหน่ายปลายเดือนสิงหาคมนี้ ภายใต้วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุไม่เกิน 3 ปี

 

ปัจจุบัน G-Token กำลังอยู่ในขั้นตอนจัดทำรายละเอียดร่วมกับ​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) โดยคาดใช้เวลา 30 – 45 วัน ในการเตรียมระบบให้เรียบร้อย

 

หลังจากนั้น จะจำหน่ายผ่านหลายช่องทาง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ 16 แห่ง และ ICO Portal อีก 5-6 แห่ง

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของ G-Token แต่คาดว่าจะอาศัยราคาตลาดเป็น Benchmark ซึ่งพชรคาดว่าจะกำหนดให้สูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย

 

ทั้งนี้ พชรยืนยันว่า G-Token ไม่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการชำระสินค้าและบริการ (Mean of Payment) ได้ รวมถึงไม่ใช่เงินใหม่ แต่จะเป็น ‘สัญลักษณ์‘ ว่ารัฐบาลได้กู้เงินจากผู้ถือ G-Token และเครื่องมือทางเลือกในการลงทุนความเสี่ยงต่ำสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ ซึ่งจะมีผลพลอยได้เป็นการเสริมพื้นฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับภาคประชาชนอีกด้วย

The post สบน. คาด G-Token ออกเร็วสุดปลายสิงหาคมนี้ ดอกเบี้ยอาจสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย ยันไม่เป็น ‘Mean of Payment’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สบน. เผย นักลงทุนสนใจ ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ ล้นหลาม ดึงดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.7% ต่อปี https://thestandard.co/high-demand-slb-2-7-percent/ Wed, 27 Nov 2024 07:40:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1013429

สบน. ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน […]

The post สบน. เผย นักลงทุนสนใจ ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ ล้นหลาม ดึงดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.7% ต่อปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

สบน. ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond: SLB) เผยยอดการเสนอซื้อเกินเป้าหมายกว่า 2.76 เท่า ทำให้รัฐบาลสามารถออกบอนด์ดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่ 2.7% ต่อปี นับว่ามีต้นทุนต่ำกว่าบอนด์อายุใกล้เคียงกันในตลาด

 

พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า การสำรวจความต้องการลงทุน (Book Build) ในพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมาได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุน

 

โดยนักลงทุนเสนอวงเงินซื้อพันธบัตรรวมทั้งสิ้น 55,285 ล้านบาท คิดเป็น 2.76 เท่าของวงเงินการออก 20,000 ล้านบาทที่ประกาศไว้ และทำให้ สบน. สามารถออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนได้ในวงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย 2.7% ต่อปี นับว่ามีต้นทุนต่ำกว่าบอนด์อายุใกล้เคียงกันในตลาดที่มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว 2.74%

 

โดยมีนักลงทุนหลากหลายกลุ่มเข้าร่วมแสดงความสนใจ เช่น กลุ่มบริษัทประกันชีวิต, กลุ่มกองทุน, กลุ่มสถาบันการเงิน, กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์, กลุ่มบริษัทจัดการสินทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ

 

การออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลไทยเป็นรัฐบาลประเทศแรกในเอเชีย และรัฐบาลที่ 3 ของโลก ที่ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนต่อจากรัฐบาลประเทศชิลีและอุรุกวัย

 

ในลำดับถัดไป สบน. จะดำเนินการรายงานผลการดำเนินงานและตรวจสอบความคืบหน้าของเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงานและเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน รวมถึงจะดำเนินการออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนให้เป็น Benchmark Bond รุ่นอายุ 15 ปี เพื่อเป็นพื้นฐานในการกำหนดราคาและเพิ่มสภาพคล่องของพันธบัตรในตลาดรอง อันจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

 

สบน. ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้นานาประเทศถึงความมุ่งมั่นของไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว

 

ทั้งนี้ สบน. จะดำเนินการทางด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนของรัฐบาลไทย โดยในช่วงปลายปีนี้ สบน. มีแผนที่จะดำเนินการออก Sustainability Loan เพื่อระดมทุนในการสนับสนุนโครงการขนส่งพลังงานสะอาด และจะดำเนินหน้าที่ในการสนับสนุนการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนของไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นไป

 

ภาพ: JittiNarksompong / Shutterstock

The post สบน. เผย นักลงทุนสนใจ ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ ล้นหลาม ดึงดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.7% ต่อปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
สบน. มอง การลดเงินนำส่งกองทุน FIDF ลงครึ่งหนึ่งไม่กระทบหนี้สาธารณะ https://thestandard.co/fidf-fee-reduction-public-debt-impact/ Wed, 27 Nov 2024 07:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1013394

ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการค […]

The post สบน. มอง การลดเงินนำส่งกองทุน FIDF ลงครึ่งหนึ่งไม่กระทบหนี้สาธารณะ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ชี้ แม้การลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ลงครึ่งหนึ่งจะสร้างภาระดอกเบี้ยเพิ่ม 100-500 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ถือว่าเพิ่มภาระงบประมาณให้รัฐบาล เหตุธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้รับภาระจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยเอง

 

วันนี้ (27 พฤศจิกายน) พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สบน. กล่าวถึงกรณีการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ทั้งระบบเหลือ 0.23% เพื่อเป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนสำหรับ ‘มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน’ ที่สมาคมธนาคารไทย กระทรวงการคลัง และ ธปท. เตรียมออกมาเร็วๆ นี้ โดยระบุว่า การลดเงินนำส่งกองทุน FIDF ลงครึ่งหนึ่งทุก 1 ปี จะสร้างภาระดอกเบี้ยปีละ 100-500 ล้านบาท และจะทำให้ระยะเวลาปิดจบหนี้กองทุน FIDF ยืดออกไปครึ่งปี

 

โดยปัจจุบัน สบน. คาดว่า หนี้กองทุน FIDF จะชำระครบหมดภายในปี 2575 ดังนั้นหากมีการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ทั้งระบบเหลือ 0.23% เป็นเวลา 3 ปี ก็จะทำให้การปิดหนี้กองทุนดังกล่าวยืดออกไปราว 1 ปีครึ่ง

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ สบน. ระบุว่า ปัจจุบันหนี้กองทุน FIDF เหลืออยู่ที่ 552,627 ล้านบาท

 

พชรยืนยันอีกว่า แม้ปัจจุบันสถานะและยอดคงค้างของหนี้กองทุน FIDF แสดงอยู่ในบัญชีหนี้สาธารณะ แต่ ธปท. เป็นผู้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย ไม่ใช่ภาระงบประมาณของรัฐบาล และกระทบหนี้สาธารณะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

พร้อมทั้งมองว่า ธปท. คงมีการประเมินแล้วว่าแนวทางดังกล่าวคุ้มค่าถึงตัดสินใจทำ ถ้าทำแล้วไม่คุ้มคงไม่ทำ โดยลูกหนี้และสถาบันการเงินเองก็จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้

The post สบน. มอง การลดเงินนำส่งกองทุน FIDF ลงครึ่งหนึ่งไม่กระทบหนี้สาธารณะ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลไทยออก ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ เป็นประเทศที่ 3 ของโลก วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท https://thestandard.co/sustainability-linked-bond-3rd-country-in-the-world/ Mon, 04 Nov 2024 11:45:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1004219 บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน

รัฐบาลไทยประกาศออก ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ หรือ Sust […]

The post รัฐบาลไทยออก ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ เป็นประเทศที่ 3 ของโลก วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน

รัฐบาลไทยประกาศออก ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ หรือ Sustainability-Linked Bond เป็นประเทศที่ 3 ของโลก วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ต่อจากชิลีและอุรุกวัย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

 

วันนี้ (4 พฤศจิกายน) พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน. ออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) ครั้งแรกของรัฐบาลไทย อายุ 15 ปี วงเงิน 1.3 แสนล้านบาททั้งปีงบประมาณ แบ่งเป็นรอบละ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยจะออกรอบแรกในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 

 

ขณะที่ จินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ของโลกที่ออก Sustainability-Linked Bond ต่อจากชิลีและอุรุกวัย

 

สำหรับอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) พชรคาดว่าจะไม่ต่างจากพันธบัตรระยะยาวที่มีอายุใกล้เคียงกัน โดย สบน. จะดำเนินการสำรวจความต้องการซื้อตราสารหนี้ (Book Building) หรือจัดเสนออัตราดอกเบี้ยโดยนักลงทุนในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567

 

พชรกล่าวต่ออีกว่า จาก Roadshow วันนี้พบว่ามีสถาบันการเงินที่เป็นบริษัทประกันชีวิตและสหกรณ์ให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มขาลง ทำให้พันธบัตรลักษณะนี้มีความน่าสนใจในระยะยาวอย่างมาก นอกจากนี้ สบน. ยังเตรียมไป Roadshow ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ด้วยในสัปดาห์หน้า

 

สำหรับความน่าสนใจของ SLB ของรัฐบาลไทยคือ การกำหนดตัวชี้วัด (KPIs) และเป้าหมายการดำเนินงาน (SPTs) ไว้ โดยหากรัฐบาลไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ก็จะมีการจ่ายดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติม

 

สำหรับตัวชี้วัด (KPIs) และเป้าหมายการดำเนินงาน (SPTs) มี 2 ประการ ดังนี้

 

  1. ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ไม่รวมการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้) ลง 30% จากค่า Business As Usual (BAU) หรือไม่เกิน 388,500 ktCO2e ในปี 2573 

 

  1. เพิ่มปริมาณการจดทะเบียนใหม่ของรถที่ปลดปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicles: ZEVs) ประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ (Passenger Car and Pickup Trucks) ไม่ต่ำกว่า 440,000 คันในปี 2573

 

โดยในกรณีที่แต่ละตัวชี้วัดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ พันธบัตรจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.025% หรือในกรณีที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ พันธบัตรจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.025% กล่าวคือมีอัตราปรับขึ้นและปรับลดสูงสุด (Maximum) อยู่ที่ 0.5% อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) จากทั้งสองตัวชี้วัด

 

พชรยืนยันว่า “เพื่อให้คุณสมบัติของพันธบัตรดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสากล สบน. ได้จัดทำกรอบการระดมทุนส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond Financing Framework) ที่สอดคล้องตามมาตรฐานที่กำหนดโดย International Capital Market Association (ICMA) และ ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) โดยได้รับการตรวจสอบและรับรองจาก DNV ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ให้ความเห็นอิสระระดับสากล (Second Party Opinion) ซึ่งจะเป็นการยืนยันถึงความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของกรอบการดำเนินงานของ สบน.”

The post รัฐบาลไทยออก ‘บอนด์ส่งเสริมความยั่งยืน’ เป็นประเทศที่ 3 ของโลก วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลไทยมีหนี้สาธารณะสูงเป็นอันดับ 11 จาก 35 ประเทศเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2024 ตามการประเมินของ IMF https://thestandard.co/thailand-debt-among-asia-highest/ Fri, 25 Oct 2024 05:44:45 +0000 https://thestandard.co/?p=999951

IMF คาด หนี้รัฐบาลไทยแตะ 65.0% ต่อ GDP ในปี 2024 นับว่า […]

The post รัฐบาลไทยมีหนี้สาธารณะสูงเป็นอันดับ 11 จาก 35 ประเทศเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2024 ตามการประเมินของ IMF appeared first on THE STANDARD.

]]>

IMF คาด หนี้รัฐบาลไทยแตะ 65.0% ต่อ GDP ในปี 2024 นับว่าสูงเป็นอันดับที่ 11 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ขณะที่หนี้สาธารณะทั่วโลกก็มีแนวโน้มจะแตะทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยจะเข้าใกล้ 100% ของ GDP ภายในปี 2030 IMF ยังกระทุ้งรัฐบาลทั่วโลกให้รัดเข็มขัดทางการคลัง (Fiscal Consolidation) มากขึ้น พร้อมรับความไม่แน่นอนในอนาคต

 

ในรายงาน Fiscal Monitor ฉบับเดือนตุลาคม 2024 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์หนี้รัฐบาลไทย (General Government Gross Debt) โดยประเมินว่า ในปี 2024 หนี้รัฐบาลไทยจะไปแตะ 65.0% ต่อ GDP นับว่าสูงขึ้นจากรายงานฉบับปีก่อนที่ 62.5%

 

โดยเมื่อเทียบกับกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกพบว่า หนี้รัฐบาลไทยต่อ GDP ของไทยสูงเป็นอันดับที่ 11 ของภูมิภาคจาก 35 ประเทศในฐานข้อมูลรายงาน

 

ตามข้อมูลจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง แสดงให้เห็นว่า ณ เดือนสิงหาคม 2024 หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 64.02% โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะไทย ณ สิ้นปี 2024 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 65% ต่อ GDP ภายใต้สมมติฐานว่า Real GDP (ที่ปรับกับเงินเฟ้อแล้ว) จะขยายตัวที่ราว 3%

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

ในประมาณการล่าสุดของ IMF คาดว่าหนี้รัฐบาลไทยจะแตะระดับสูงสุด (Peak) ที่ 66.4% ในปี 2026 ก่อนจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ ใกล้เคียงกับแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2568-2571 ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 (ฉบับล่าสุด) ของไทย ที่คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะของไทยจะไปแตะระดับสูงสุดราว 69% ต่อ GDP ในปี 2027 ก่อนจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ

 

ทั้งนี้ คำนิยามหนี้สาธารณะไทยตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ และหนี้รัฐบาลของ IMF มีความแตกต่างกัน โดยคำนิยามของไทยมีความอนุรักษนิยม ‘มากกว่า’ เนื่องจาก IMF ไม่ได้รวมหนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลไม่รับภาระเข้าไป ทำให้มีสัดส่วนน้อยกว่า

 

 

ส่องเทรนด์ ‘หนี้สาธารณะโลก’ จ่อทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์ปีนี้

 

โดยในรายงาน Fiscal Monitor ฉบับล่าสุดยังคาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะโลกจะทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ หรือคิดเป็นประมาณ 93% ของ GDP และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลาง โดยเข้าใกล้ 100% ของ GDP ภายในปี 2030 นับว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ที่มีการระบาดของโควิดราว 10%

 

โดยในสถานการณ์เลวร้ายรุนแรง (Severely Adverse Scenario) หนี้รัฐบาลทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์พื้นฐาน (Baseline Projection) เกือบ 20% ต่อ GDP ภายในช่วง 3 ปีข้างหน้า

 

โดยคาดการณ์พื้นฐาน IMF คาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า หนี้รัฐบาลทั่วโลกจะอยู่ที่ราว 97% ต่อ GDP แต่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายรุนแรง หนี้รัฐบาลเฉลี่ยทั่วโลกอาจแตะ 115% ต่อ GDP

 

“ระดับหนี้ในอนาคตอาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแผนการเงินในแต่ละประเทศให้มากกว่าปัจจุบัน เพื่อที่จะสามารถรักษาเสถียรภาพหรือทำให้ความเป็นไปได้ในการลดหนี้มีมากขึ้น” IMF ระบุ

 

ในรายงานยังระบุอีกว่า หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน กระนั้นสถานการณ์แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน โดยสถานการณ์หนี้สาธารณะ 2 ใน 3 ของประเทศสมาชิกคาดว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นหรือมีปริมาณลดลง 

 

นอกจากนี้รายงานยังแนะให้ประเทศต่างๆ ควรดำเนินนโยบายการคลังที่มีความรอบคอบมากขึ้น เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคครัวเรือนที่มีความเปราะบาง ขณะเดียวกันก็ควรใช้ประโยชน์จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่กำลังเกิดขึ้นด้วย

 

 

เปิดปัจจัยกดดัน ‘หนี้สาธารณะโลก’ แย่กว่าคาด

 

IMF ยังกล่าวอีกว่า แนวโน้มทางการคลังของหลายประเทศอาจแย่กว่าการคาดการณ์ด้วยเหตุผล 3 ข้อ ได้แก่

 

1. แรงกดดันค่าใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น (Large Spending Pressures) 

 

โดยปัจจัยด้านการเมืองอาจทำให้รัฐมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางปัญหาสังคมผู้สูงอายุและระบบสาธารณสุข การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสีเขียวและการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงความมั่นคงด้านกลาโหมและพลังงาน เนื่องจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น 

 

2. การคาดการณ์ที่มองโลกในแง่ดีเกินไป (Optimism Bias of Debt Projections)

 

เหตุการณ์ในอดีตชี้ให้เห็นว่า การคาดการณ์หนี้สาธารณะมักจะประเมินผลลัพธ์ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก ซึ่งในความเป็นจริงอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP อีก 5 ปีข้างหน้าสามารถสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 10% ของ GDP โดยเฉลี่ย

 

IMF นำเสนอกรอบการวิเคราะห์ใหม่ที่เรียกว่า ‘Debt-at-Risk’ ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างเงื่อนไขด้านการเงินมหภาค (Macro-Financial) และการเมืองในปัจจุบัน เข้ากับการประมาณผลลัพธ์หนี้ที่เป็นไปได้ในอนาคต 

 

โดยกรอบการวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่า ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หนี้สาธารณะทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นมากถึง 115% ของ GDP ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบ 20% ทั้งนี้ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง, เงื่อนไขทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น, ความล้มเหลวทางการคลัง รวมทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายที่มากขึ้น ที่สำคัญคือประเทศต่างๆ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทั่วโลกที่ส่งผลไปถึงต้นทุนการกู้ยืม รวมไปถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางนโยบายที่เพิ่มขึ้นจากประเทศมหาอำนาจ อาทิ สหรัฐอเมริกา 

 

3. โลกยังมีหนี้จำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นหนี้สาธารณะ (Sizable Unidentified Debt)

 

IMF ระบุว่า ยังมีหนี้อีกจำนวนมากที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นหนี้สาธารณะ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนี้สาธารณะอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

 

จากการวิเคราะห์ประเทศต่างๆ มากกว่า 30 ประเทศพบว่า มีหนี้ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นหนี้สาธารณะ โดย 40% เกิดจากภาระผูกพันและความเสี่ยงทางการเงินที่รัฐบาลต้องเผชิญ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการขาดทุนในวิสาหกิจของรัฐในอดีต

 

โดยหนี้ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นหนี้สาธารณะมีจำนวนมาก โดยอยู่ที่ 1-1.5% ของ GDP โดยเฉลี่ย และจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีภาวะตึงเครียดทางการเงิน

 

โลกต้องรัดเข็มขัดทางการคลัง (Fiscal Consolidation) มากขึ้น 

 

IMF ระบุว่า หากหนี้สาธารณะสูงกว่าการประมาณการ นั่นหมายความว่าความเข้มงวดทางการคลังยังไม่เพียงพอ

 

“ในประเทศที่หนี้สาธารณะคาดว่าจะมีเสถียรภาพลดลง เช่น จีนและสหรัฐอเมริกา จำเป็นต้องใช้นโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ทั้งสองประเทศมหาอำนาจนี้ก็มีทางเลือกในการดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ” IMF ระบุ 

 

IIF ห่วงรัฐบาลขาดเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ

 

สถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือ IIF เผยแพร่รายงาน Global Debt Monitor ฉบับล่าสุดเดือนกันยายน โดยประเมินว่า รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเริ่มต้นวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะมีส่วนทำให้อัตราการก่อหนี้ทั่วโลกเร่งตัวขึ้น และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ขาดเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่
ขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ประชากรสูงอายุ และความต้องการเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่มากขึ้น ทำให้ความต้องการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้น และเกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับขีดความสามารถในการผลิตของประเทศ

 

“ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมีความเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถในการผลิตที่ลดลง รวมถึง GDP ที่ลดลงในเขตเศรษฐกิจหลักๆ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า การพึ่งพาการแทรกแซงของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความผันผวนทางเศรษฐกิจ อาจกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงทางศีลธรรมและนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ผิดพลาด” IIF ระบุ

 

ขณะเดียวกันปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การก่อหนี้สูงขึ้น โดยประเมินว่าหนี้ของรัฐบาลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า 50% ปัจจัยเหล่านี้นับเป็นความท้าทายที่สำคัญ เพราะรัฐบาลประเทศต่างๆ มีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมมหาศาล ซึ่งภาระดอกเบี้ยเหล่านี้มักสูงกว่างบประมาณด้านการศึกษาและสวัสดิการสังคม อีกทั้งยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในระยะสั้น 

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

อ้างอิง: 

The post รัฐบาลไทยมีหนี้สาธารณะสูงเป็นอันดับ 11 จาก 35 ประเทศเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2024 ตามการประเมินของ IMF appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังออกพันธบัตรออมทรัพย์ชุดใหม่! วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท เริ่มหน่วยละ 100 บาท อายุ 5-10 ปี ดอกเบี้ยสูงสุด 3.4% เริ่มขาย 13 สิงหาคมนี้ https://thestandard.co/ministry-of-finance-new-savings-bonds/ Tue, 30 Jul 2024 10:13:51 +0000 https://thestandard.co/?p=964991

วันนี้ (30 กรกฎาคม) พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบ […]

The post คลังออกพันธบัตรออมทรัพย์ชุดใหม่! วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท เริ่มหน่วยละ 100 บาท อายุ 5-10 ปี ดอกเบี้ยสูงสุด 3.4% เริ่มขาย 13 สิงหาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (30 กรกฎาคม) พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แจ้งว่า สบน. จะเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 2 วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น

 

  • การจำหน่ายให้กับประชาชน วงเงิน 35,000 ล้านบาท ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ วอลเล็ต สบม. (สะสมบอนด์มั่งคั่ง) บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง วงเงิน 10,000 ล้านบาท และช่องทางต่างๆ ของธนาคารตัวแทนจำหน่าย วงเงิน 25,000 ล้านบาท และ
  • การจำหน่ายให้กับนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวงการคลังกำหนด วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดช่องทางการจำหน่ายดังนี้

 

เปิดจำหน่ายผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ ‘เป๋าตัง-ธนาคาร’

 

1. การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง

พันธบัตรออมทรัพย์บนวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 2 วงเงิน 10,000 ล้านบาท

  • รุ่นอายุ 5 ปี ให้ผลตอบแทนคงที่ 3% ต่อปี
  • รุ่นอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนคงที่ 3.40% ต่อปี

 

โดยจะเริ่มจำหน่ายวันที่ 13-30 สิงหาคม 2567 (เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป)

 

สำหรับผู้มีสิทธิ์ซื้อต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป

 

สำหรับวงเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 100 บาท สูงสุด 50 ล้านบาท (หน่วยละ 100 บาท) โดยวิธีการจัดสรรจะอยู่ในรูปแบบ First-Come, First-Served หรือมาก่อนได้รับสิทธิ์ก่อน

 

2. การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 6 ราย แบ่งเป็น 2 ช่วง

  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

 

ช่วงที่ 1 จองซื้อได้วันที่ 19-21 สิงหาคม 2567

วงเงิน 25,000 ล้านบาท สำหรับบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

  • รุ่นอายุ 5 ปี ให้ผลตอบแทนคงที่ 3% ต่อปี
  • รุ่นอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนคงที่ 3.40% ต่อปี

 

สำหรับวงเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 1,000 บาท และไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง (หน่วยละ 1,000 บาท) โดยมีช่องทางการจำหน่ายผ่าน Internet Banking, Mobile Banking และเคาน์เตอร์ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 6 แห่ง

 

ส่วนวิธีการจัดสรรอยู่ในรูปแบบ Small Lot First (การทยอยจัดสรรพันธบัตรเป็นรอบๆ เวียนจนครบผู้ซื้อทุกราย)

 

ช่วงที่ 2  จำหน่ายวันที่ 26-27 สิงหาคม 2567

วงเงิน 5,000 ล้านบาท สำหรับสภากาชาดไทย มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์ วัด สถานศึกษาของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ นิติบุคคลอาคารชุด นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และนิติบุคคลอื่นที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย และไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร

 

โดยจะเปิดขายเพียงรุ่นอายุ 10 ปี ผลตอบแทน 3.00% ต่อปี (จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน)

 

ส่วนวงเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 1,000 บาท และไม่จำกัดวงเงินขั้นสูง (หน่วยละ 1,000 บาท) สำหรับช่องทางการจำหน่าย ได้แก่ เคาน์เตอร์ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 6 แห่ง

 

ขณะที่วิธีการจัดสรรเป็นแบบ First-Come, First-Served

 

 

ทั้งนี้ การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้กับประชาชนในช่วงที่ 1 (วันที่ 19-21 สิงหาคม 2567) จะใช้วิธีการจัดสรรพันธบัตรแบบ Small Lot First (การทยอยจัดสรรพันธบัตรเป็นรอบๆ เวียนจนครบผู้ซื้อทุกราย) โดยทวีคูณรอบละ 1,000 บาท ซึ่งลำดับในการจองซื้อก่อน-หลัง ไม่มีผลต่อการจัดสรร และในกรณีที่วงเงินพันธบัตรที่จะจัดสรรในรอบสุดท้ายไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้ผู้ซื้อทุกราย ระบบคอมพิวเตอร์จะจัดสรรพันธบัตรในรอบสุดท้ายด้วยวิธีการสุ่ม (Random) จนครบวงเงินจำหน่าย

 

โดยผู้จองซื้อจะทราบผลการจัดสรรพันธบัตรและได้รับเงินคืนกรณีที่ไม่ได้รับจัดสรรพันธบัตร หรือได้รับจัดสรรไม่ครบตามวงเงินจองซื้อ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567

 

ทั้งนี้ วงเงินที่จำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. และผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายจะแยกจากกัน โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้ง 2 ช่องทาง โดยประชาชนที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนและเอกสารสรุปเงื่อนไขการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ หรือสอบถามได้กับธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 6 แห่ง

The post คลังออกพันธบัตรออมทรัพย์ชุดใหม่! วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท เริ่มหน่วยละ 100 บาท อายุ 5-10 ปี ดอกเบี้ยสูงสุด 3.4% เริ่มขาย 13 สิงหาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. อนุมัติปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2567 รอบใหม่ ก่อหนี้ใหม่อีก 2.75 แสนล้าน ดันหนี้สาธารณะเป็น 65.05% ต่อ GDP https://thestandard.co/approval-of-adjustment-of-public-debt-management-plan/ Tue, 02 Jul 2024 13:27:57 +0000 https://thestandard.co/?p=952895

วันนี้ (2 กรกฎาคม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรม […]

The post ครม. อนุมัติปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2567 รอบใหม่ ก่อหนี้ใหม่อีก 2.75 แสนล้าน ดันหนี้สาธารณะเป็น 65.05% ต่อ GDP appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (2 กรกฎาคม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้

 

1.1 การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 2 ประกอบด้วย

(1) แผนก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่มสุทธิ 275,870.08 ล้านบาท (จากเดิม 755,710.63 ล้านบาท เป็น 1,030,580.71 ล้านบาท)

(2) แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับเพิ่มสุทธิ 33,420.32 ล้านบาท (จากเดิม 2,008,893.74 ล้านบาท เป็น 2,042,314.06 ล้านบาท)

(3) แผนการชำระหนี้ ปรับเพิ่มสุทธิ 54,555.17 ล้านบาท (จากเดิม 399,613.70 ล้านบาท เป็น 454,168.87 ล้านบาท)

 

โดยมีรายละเอียด เช่น (1) การปรับเพิ่มวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน) จำนวน 269,000 ล้านบาท (2) การปรับเพิ่มวงเงินปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 จำนวน 50,000 ล้านบาท (3) การปรับเพิ่มวงเงินแผนการชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 29,200 ล้านบาท และ (4) การปรับเพิ่มวงเงินแผนการชำระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 25,339.17 ล้านบาท เป็นต้น

 

1.2 การบรรจุโครงการพัฒนา โครงการ และรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 2 จำนวน 32 โครงการ/รายการ เช่น (1) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพังงา-(ทับปุด) อำเภอเมืองพังงา-ทับปุด จังหวัดพังงา จำนวน 8.19 ล้านบาท (2) โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 จำนวน 795 ล้านบาท และ (3) ตั๋วเงินคงคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 40,000 ล้านบาท เป็นต้น

 

1.3 ให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 2 แห่ง คือ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) ต่ำกว่า 1 เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ปรับปรุงครั้งที่ 2 โดยให้ ธพส. และ รฟท. รับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ปรับปรุงครั้งที่ 2 เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวด้วย

 

1.4 มอบหมายสำนักงบประมาณ (สงป.) ให้รับข้อสังเกตในประเด็นเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณในส่วนของต้นเงิน และดอกเบี้ยของหนี้รัฐบาลและหนี้รัฐวิสาหกิจให้เพียงพอ และสอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น โดยควรจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระต้นเงินกู้เฉพาะในส่วนหนี้รัฐบาลให้อยู่ระหว่างร้อยละ 2.5 ถึงร้อยละ 4 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

 

2. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปกู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 2 และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ

The post ครม. อนุมัติปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2567 รอบใหม่ ก่อหนี้ใหม่อีก 2.75 แสนล้าน ดันหนี้สาธารณะเป็น 65.05% ต่อ GDP appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลไทยจ่ายดอกเบี้ยปีละกว่า 2 แสนล้านบาท สูงกว่างบประมาณที่จ่ายให้กระทรวงส่วนใหญ่ และอาจเพิ่มต่อเนื่อง น่ากังวลแค่ไหน? https://thestandard.co/interest-paid-by-the-thai-government/ Thu, 23 May 2024 00:00:16 +0000 https://thestandard.co/?p=936484

รายจ่าย ดอกเบี้ย ของ รัฐบาลไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื […]

The post รัฐบาลไทยจ่ายดอกเบี้ยปีละกว่า 2 แสนล้านบาท สูงกว่างบประมาณที่จ่ายให้กระทรวงส่วนใหญ่ และอาจเพิ่มต่อเนื่อง น่ากังวลแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>

รายจ่าย ดอกเบี้ย ของ รัฐบาลไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากหนี้สาธารณะ (Public Debt) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) ทั้งในประเทศและนอกประเทศที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี

 

ตามข้อมูลจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แสดงให้เห็นว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดการชำระดอกเบี้ย (Interest Payment) ของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับสูงมาตลอด เกินระดับ 2 แสนล้านบาท โดยอยู่ที่ 219,272.46 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2565, 226,153.91 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 และ 211,438.93 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2563

 

ทั้งนี้ THE STANDARD WEALTH รวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 เนื่องจากปีงบประมาณดังกล่าวเป็นปีแรกที่ สบน. รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีการแยกการรายงานผลการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยออกมาอย่างชัดเจน

 

นอกจากนี้ ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทย ชำระเงินต้นน้อยกว่า ดอกเบี้ย มาหลายปีติดต่อกัน โดยรัฐบาลชำระหนี้เงินต้นอยู่ที่ 72,724.63 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2565, 90,431.84 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 และ 101,304.83 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2563

 

 

แม้การจ่ายดอกเบี้ยของทางการไทยมากกว่าเงินต้นมาหลายปี อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายดังกล่าวยังเป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ

 

ซึ่งระบุว่า สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรัฐบาลรับภาระ ต้องไม่น้อยกว่า 2.5% แต่ไม่เกิน 4% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

 

ขณะที่สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรัฐบาลรับภาระ ต้องตั้งตามภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณนั้น

 

 

รายจ่ายดอกเบี้ยรัฐบาลไทยสูงแค่ไหน?

 

เมื่อให้เข้าใจภาพได้ง่ายขึ้น พบว่า รายจ่ายดอกเบี้ยรัฐบาลไทย (ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ) ประจำปีงบประมาณ 2567 ที่สูงกว่า 2.61 แสนล้านบาท ยังสูงกว่างบประมาณที่ถูกจัดให้กระทรวงส่วนใหญ่ของประเทศในปีงบประมาณ 2567 ตัวอย่างเช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

 

 

รายจ่ายดอกเบี้ยรัฐบาลไทยจ่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566-2567 และแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) ฉบับทบทวน แสดงให้เห็นว่า รายจ่ายดอกเบี้ยของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

โดยในปีงบประมาณ 2566 การชำระดอกเบี้ยของรัฐบาลไทยคาดว่าจะอยู่ที่ 233,492.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.4% และเพิ่มขึ้นแตะ 261,828.90 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มขึ้น 12.13% จากปีก่อนหน้า

 

นอกจากนี้ ยังมีหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ล้วนออกมาเตือนว่า หากรัฐบาลเดินหน้าทำดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งต้องใช้ทุนราว 5 แสนล้านบาท ก็จะผลักดันให้ภาระหนี้หรือภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกได้

 

รายจ่ายดอกเบี้ยสูงจ่อกระทบเครดิตเรตติ้ง?

 

ตามข้อมูลจาก สบน. และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แสดงให้เห็นว่า ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ของรัฐบาลไทยในสิ้นปีงบประมาณ 2562-2566 อยู่ที่ 6.54%, 7.18%, 7.92%, 8.29% และ 8.34% ตามลำดับ

 

ตามการคำนวณของ THE STANDARD WEALTH ผ่านแผนการชำระดอกเบี้ย (จาก สบน.) และประมาณรายได้รัฐบาลสุทธิ (จากแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2567-2570 ฉบับทบทวน) พบว่า สัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ (Interest Payments to Revenue Ratio) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้ความสำคัญ จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.39% ในสิ้นปีงบประมาณ 2567

 

ขณะที่ตามการประมาณการของ รศ.ดร.อธิภัทร ระบุว่า มีโอกาสที่ต้นทุนทางการคลังจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจผลักดันให้สัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้เพิ่มขึ้นใกล้เพดาน Upper Medium Investment Grade ที่ 10%

 

เมื่อเดือนเมษายน รศ.ดร.อธิภัทร ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า ปัจจุบันภาระดอกเบี้ยต่อรายได้อยู่ที่ประมาณ 9% ดังนั้น ถ้ารัฐบาลทำดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งต้องใช้ทุนถึง 5 แสนล้านบาท ก็จะผลักดันให้ภาระหนี้หรือภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ขึ้นไปเฉียด 10% และสิ่งที่น่ากังวลคือ 10% เป็นเพดานของ Investment Grade ดังนั้น เราก็มีความเสี่ยงมากขึ้นว่าอาจถูกลดอันดับมุมมอง (Outlook) หรืออาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ได้

 

 

โดย รศ.ดร.อธิภัทร อธิบายว่า ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สถาบันจัดอันดับเครดิตเรตติ้งต่างๆ (Credit Rating Agencies) ใช้ประเมิน โดยยกตัวอย่างว่า “ปกติเวลาคนกู้เงิน ธนาคารก็ต้องดูว่าภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเทียบกับรายได้ของผู้กู้สมเหตุสมผลหรือไม่ ในกรณีของการดูความน่าเชื่อถือของประเทศไทย สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือก็ต้องดูเหมือนกันว่า ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลเทียบกับประมาณการรายได้จากภาษีจากแหล่งต่างๆ สมเหตุสมผลหรือเปล่า”

 

คนไทยควรกังวลหรือไม่?

 

จินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สบน. กล่าวว่า ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือใช้พิจารณาเท่านั้น เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่พิจารณาประกอบด้วย เช่น หนี้สาธารณะต่อ GDP และความเสี่ยงทางการเมือง (Political Risk)

 

นอกจากนี้ จินดารัตน์ยังชี้ว่า ระดับภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ปัจจุบันของไทย ซึ่งอยู่ระดับ 8% กว่าๆ ยังอยู่ในระดับ A- ดังนั้น หากขึ้นไปถึงระดับ 10% ก็ยังถือว่า ‘เท่าตัว’ คือระดับ BBB+ 

 

“ถ้าอยู่ระดับ 8-11% ยังโอเค แต่ถ้าเลย 12% ไปเมื่อไร จะหมายความว่าตกอันดับการลงทุน (Investment Grade)”

 

จินดารัตน์อธิบายอีกว่า แนวโน้มของภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยและรายได้ของรัฐบาล

 

ตามรายงานของ Moody’s Investors Service ระบุว่า การพิจารณาถึงความแข็งแกร่งทางการคลัง (Fiscal Strength) มี 4 ปัจจัยหลักที่พิจารณา โดยให้น้ำหนักอย่างละ 25% ได้แก่

  • หนี้รัฐบาลต่อ GDP
  • หนี้รัฐบาลต่อรายได้
  • ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้
  • ภาระดอกเบี้ยต่อ GDP

 

 

องค์กรระหว่างประเทศประสานเสียงให้รัฐบาลไทยรัดเข็มขัด-ลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว

 

ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันยังคงยืนยันที่จะใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) หรือใช้งบประมาณแบบขาดดุล เนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤต และต้องการการอัดฉีดเงินลงไปในระบบ โดยเฉพาะผ่านนโยบายเรือธงอย่าง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’

 

หน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่เคยกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า เตือนไทยขาดวินัยการคลัง อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพประเทศ การรักษาจุดยืนทางการคลัง (Fiscal Stance) ที่รอบคอบในระยะสั้น ด้วยการสนับสนุนแบบเฉพาะเจาะจง (Well-Targeted) ไปยังกลุ่มเปราะบางถือเป็น ‘สิ่งสำคัญ’ จากการพิจารณาจากโมเมนตัมการบริโภคที่แข็งแกร่ง ช่องว่างของผลผลิต และพื้นที่ทางการคลังที่แคบลง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมระดับโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง

 

“วินัยทางการคลังที่ไม่เพียงพอภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัดเข็มขัดทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ที่ล่าช้าออกไป อาจทำให้หนี้สาธารณะแย่ลง ซึ่งอาจทำให้ภาครัฐต้องรีบหันมาใช้นโยบายที่เข้มงวดอย่างกะทันหัน และอาจกลับมาเป็นความท้าทายต่อการเติบโตอีกที” IMF ระบุ

 

ส่วนในระยะกลาง การยกระดับการระดมรายได้และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายที่ดีขึ้นจะช่วยลดหนี้สาธารณะและทำให้พื้นที่ทางการคลังเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งเสริมการลงทุนในด้านการศึกษา สุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ

 

“การปรับนโยบายการคลังและการเงินให้กลับสู่ระดับปกติ (Normalization) อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างกันชนขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจได้” IMF ระบุ

 

เช่นเดียว Dr.Hoe Ee Khor หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (AMRO) ที่ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ THE STANDARD WEALTH เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับนโยบายการคลังและโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยมองว่า การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนไทยยังอยู่ในระดับดี ดังนั้น รัฐบาลควรใช้จ่ายทางการคลังเพื่อวัตถุประสงค์ระยะยาวอื่นๆ มากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงครั้งเดียว เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับทักษะของกำลังแรงงาน และการลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยถูกยกระดับขึ้นอีกครั้ง

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อ้างอิง:

The post รัฐบาลไทยจ่ายดอกเบี้ยปีละกว่า 2 แสนล้านบาท สูงกว่างบประมาณที่จ่ายให้กระทรวงส่วนใหญ่ และอาจเพิ่มต่อเนื่อง น่ากังวลแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>