สารให้ความหวานแทนน้ำตาล – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 14 Jul 2023 10:07:28 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 WHO ประกาศแอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2B สรุปแล้วยังกินได้ไหม? https://thestandard.co/who-aspartame-info/ Fri, 14 Jul 2023 10:07:28 +0000 https://thestandard.co/?p=817297

ในวันนี้ (14 กรกฎาคม) สองหน่วยงานภายใต้สังกัดองค์การอนา […]

The post WHO ประกาศแอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2B สรุปแล้วยังกินได้ไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในวันนี้ (14 กรกฎาคม) สองหน่วยงานภายใต้สังกัดองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการว่า แอสปาร์แตม ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้น เป็นสารที่ ‘มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็ง’ (ต้นทางภาษาอังกฤษคือ Possibly Carcinogenic to Humans) แต่ ‘ยังสามารถกินได้อยู่’ ซึ่งคำตอบของ WHO ทำให้หลายคนออกอาการงงงวยว่าแล้วตกลงฉันจะต้องทำยังไงกับมันกันแน่

 

เพื่อตอบคำถามดังกล่าว THE STANDARD นำประกาศของ WHO มาสรุปกันให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

 

ต้องเท้าความกันก่อนว่า แอสปาร์แตมเป็นสิ่งที่เราพบเจอมันอยู่แทบจะทุกวันในปริมาณไม่มากก็น้อย เพราะมันคือสารทดแทนความหวานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในอาหารและเครื่องดื่มประเภทแคลอรีต่ำหรือน้ำตาล 0% รวมไปถึงลูกอม หมากฝรั่ง ยาสีฟัน ไอศกรีม โยเกิร์ต ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด หรือแม้กระทั่งยารักษาโรค

 

ต้องแยกแบบนี้ก่อนว่า ในวันนี้มีคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์กร 2 แห่งภายใต้สังกัด WHO ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับแอสปาร์แตม ไล่เรียงจากองค์กรแรกคือองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC)  ซึ่งระบุว่าแอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2B หรือ ‘ที่มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็ง’ ซึ่งคำว่า ‘มีความเป็นไปได้’ นั้นแปลว่าปัจจุบันโลกของเรามีหลักฐานบ่งชี้ว่ามันก่อมะเร็งในมนุษย์ก็จริง แต่หลักฐานพวกนั้นก็มีจำกัดเอามากๆ จนทำให้ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่ามันก่อให้เกิดมะเร็งแน่นอนนั่นเอง อย่างพวกสารหนู เบนซิน หรือควันบุหรี่

 

ถามว่า 2B น่ากลัวระดับไหน? ก็ต้องบอกแบบนี้ว่าจริงๆ แล้วมีสารระดับ 2B เป็นส่วนผสมในสิ่งของที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน เช่น กรดคาเฟอิก (Caffeic Acid) ซึ่งพบในกาแฟ ว่านหางจระเข้ นิกเกิล สารสกัดจากแปะก๊วย (อยู่ในอาหารเสริมทั่วไป) และผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนตกใจหรือให้ความสนใจเท่ากับสารทดแทนความหวาน

 

ส่วนการประกาศของอีกองค์กรหนึ่งในวันนี้คือคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมของ WHO และองค์การอาหารและเกษตรว่าด้วยวัตถุเจือปนอาหาร (JECFA) ที่ออกมาเปิดเผยว่า แม้ IARC จะประกาศว่าแอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งประเภท 2B ก็จริง แต่ปัจจุบันยังไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอที่โลกจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคแอสปาร์แตมจากที่เคยกำหนดไว้ในปี 1981 ฉะนั้นทุกคนยังคงสามารถบริโภคภายในปริมาณที่กำหนดไว้ต่อวันเช่นเดิม คือไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

 

ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆ คือ ผู้ใหญ่น้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม จะต้องดื่มน้ำอัดลมที่มีแอสปาร์แตมผสมอยู่มากกว่า 9-14 กระป๋องต่อวันถึงจะเป็นอันตราย หรือเรียกว่าแทบจะต้องดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย (หมายเหตุเอาไว้ว่าสมมติฐานนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า น้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีแอสปาร์แตมอยู่ 200-300 มิลลิกรัม และผู้ใหญ่คนดังกล่าวไม่ได้รับแอสปาร์แตมจากแหล่งอื่นๆ เลย)

 

ฉะนั้นแล้วจึงสามารถสรุปได้ว่าการบริโภคแอสปาร์แตมแต่น้อยก็ยังสามารถทำได้อยู่และมีความปลอดภัย ยืนยันด้วยข้อมูลจาก JECFA แต่เจ้าหน้าที่ของ WHO กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “หากคุณลังเลว่าจะเลือกดื่มโคล่าที่มีแอสปาร์แตมหรือแบบที่มีน้ำตาลปกติดี ผมขอเสนอทางเลือกที่สาม คือการดื่มน้ำเปล่าแทน” และเราก็เห็นด้วยตามนั้น

 

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

อ้างอิง:

The post WHO ประกาศแอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2B สรุปแล้วยังกินได้ไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
แกะกล่องคำเตือนใหม่ของ WHO เกี่ยวกับสารให้ความหวานใน ‘น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล’ สรุปว่ากระทบหรือไม่กระทบต่อสุขภาพ? และความปั่นป่วนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทั่วโลก https://thestandard.co/aspartame-affects-or-does-not-affect-health/ Fri, 14 Jul 2023 03:44:46 +0000 https://thestandard.co/?p=817080 Coke zero sugar

เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ปรับเปลี่ยนจุด […]

The post แกะกล่องคำเตือนใหม่ของ WHO เกี่ยวกับสารให้ความหวานใน ‘น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล’ สรุปว่ากระทบหรือไม่กระทบต่อสุขภาพ? และความปั่นป่วนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Coke zero sugar

เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับแอสปาร์แตม ซึ่งเป็นสารให้ความหวาน ถูกจัดประเภทเป็น ‘สารก่อมะเร็งที่เป็นไปได้’ แถลงการณ์นี้ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง PepsiCo และ Coca-Cola ซึ่งขณะนี้เผชิญกับความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลสะท้อนกลับจากความกังวลด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้บริโภค

 

กระนั้นการจัดประเภทยังขึ้นอยู่กับหลักฐานที่จำกัด ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าการศึกษาบางชิ้นอาจแนะนำความเชื่อมโยงระหว่างแอสปาร์แตมกับมะเร็ง แต่ผลลัพธ์ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

 

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงนี้ WHO ก็ไม่ได้ปรับคำแนะนำการบริโภคแอสปาร์แตมในแต่ละวัน ยังคงแนะนำให้ผู้คนจำกัดปริมาณการบริโภคในแต่ละวันให้ไม่เกิน 40 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในมุมมองนี้ นั่นคือปริมาณของสารให้ความหวานที่พบในน้ำอัดลมขนาดปกติระหว่าง 9-14 กระป๋อง แปลว่าหากไม่ดื่มเกินกว่านี้ก็ (น่าจะ) ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ด้วยขีดจำกัดนี้ ความเสี่ยงของการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานเทียมยังคงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนสำหรับบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่อยู่ภายใต้แรงกดดันให้ลดระดับน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของตน และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อสุขภาพ

 

การใช้สารให้ความหวานเป็นเรื่องของความขัดแย้งในหมู่นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมานานหลายทศวรรษ บางคนโต้แย้งว่าพวกเขาเสนอทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพแทนน้ำตาล ในขณะที่บางคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น การถกเถียงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้บริโภค ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าโค้กแบบดั้งเดิมหรือไดเอตโค้กเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน

 

ในการตอบสนองต่อการจัดประเภทใหม่ของ WHO ตัวแทนจากอุตสาหกรรมน้ำอัดลมแย้งว่า นี่เป็นการรับรองมากกว่าคำเตือน เนื่องจากยืนยันว่าแอสปาร์แตมปลอดภัยสำหรับการบริโภคภายในขอบเขตที่แนะนำ 

 

เคท โลทแมน กรรมการบริหารของ International Council of Beverages Associations ซึ่งเป็นองค์กรการค้าเครื่องดื่มระดับโลกกล่าวว่า การตัดสินใจของ WHO จะมีบทบาทสำคัญในการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบในขณะที่พวกเขาพิจารณาทางเลือกต่างๆ เพื่อลดน้ำตาลและแคลอรีในอาหารของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้ง PepsiCo และ Coca-Cola ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประกาศของ WHO

 

ขณะที่องค์การอนามัยโลกยังคงรักษาคำแนะนำเกี่ยวกับการจำกัดการบริโภคแอสปาร์แตมในแต่ละวัน ได้เสนอให้บริษัทต่างๆ พิจารณาประเมินสูตรส่วนผสมของตนใหม่เพื่อลดการใช้สารให้ความหวาน

 

โดยผู้อำนวยการแผนกโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารของ WHO ชี้แจงว่าองค์กรไม่ได้แนะนำให้บริษัทต่างๆ ถอนผลิตภัณฑ์หรือแนะนำผู้บริโภคให้หยุดบริโภคผลิตภัณฑ์เหล่านี้โดยสิ้นเชิง แต่ให้บริโภคในปริมาณที่พอเหมาะแทน เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสูตรผลิตภัณฑ์และการเลือกส่วนผสมที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่อร่อยโดยไม่ต้องใช้สารให้ความหวาน

 

จากข่าวขององค์การอนามัยโลก หน่วยงานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยของอาหารไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงแนวทางปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้แอสปาร์แตม ศาสตราจารย์โรบิน เมย์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของสำนักงานมาตรฐานอาหาร ระบุว่ารายงานสนับสนุนมุมมองของหน่วยงานที่ว่าแอสปาร์แตมปลอดภัยสำหรับการบริโภค อย่างไรก็ตาม เขายังยินดีที่องค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเข้าใจในประเด็นที่อาจเกิดขึ้น

 

แม้จะมีคำแนะนำอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานกำกับดูแล แต่ผู้บริโภคบางส่วนก็ยังลังเลใจเกี่ยวกับการบริโภคเครื่องดื่มลดน้ำหนักที่มีแอสปาร์แตม ความกังวลเกี่ยวกับผลที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งของสารให้ความหวาน ทำให้ความต้องการน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลลดลงตั้งแต่ต้นปี 2000 

 

ความกังวลเหล่านี้กระตุ้นให้ PepsiCo เลิกใช้แอสปาร์แตมจากไดเอตเป๊ปซี่ในปี 2015 แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หยุดยอดขายที่ลดลง ทำให้บริษัทต้องกลับมาใช้แอสปาร์แตมอีกครั้งในปีต่อมา

 

ภัยคุกคามจากการขยายภาษีน้ำตาล และข้อกำหนดการติดฉลากที่เข้มงวดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และยุโรป ตอกย้ำความเร่งด่วนสำหรับบริษัทอาหารและเครื่องดื่มในการลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของตน อย่างไรก็ตาม การค้นพบล่าสุดของ WHO ก่อให้เกิดคำถามใหม่ว่า สารให้ความหวานเทียมคือคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่?

 

ย้อนกลับไปในปี 2014 การศึกษาจากสถาบัน Weizmann ของอิสราเอลชี้ให้เห็นว่า การใช้สารให้ความหวานเทียมอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ เมื่อต้นปีนี้ WHO ยังแนะนำให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงสารให้ความหวานโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ว่าสารเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการลดไขมันในร่างกาย และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะต่างๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และแม้แต่การเสียชีวิต

 

เอ็มมา คลิฟฟอร์ด รองผู้อำนวยการของบริษัทวิจัยตลาด Mintel กล่าวว่า ความกังวลที่แพร่หลายเกี่ยวกับสารให้ความหวานเทียมก่อให้เกิดความท้าทายอย่างมากต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลน้อย ไม่มีเลย และลดน้ำตาล เธอแนะนำว่าบริษัทที่สามารถโอ้อวดว่า ‘ปราศจากสารให้ความหวาน’ ควรเน้นข้อเท็จจริงนี้ให้เด่นชัดในบรรจุภัณฑ์และการตลาดของตนเพื่อเข้าถึงความรู้สึกของผู้บริโภค

 

ในฐานะผู้บริโภค เราต้องตระหนักถึงการพัฒนาเหล่านี้ และตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับอาหารของเรา ดังที่ ดร.วิลเลียม ดาฮัท หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ American Cancer Society แนะนำว่า ผู้บริโภคจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงของตนเองให้สมดุลกับความรู้ที่ว่าแอสปาร์แตมไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและเป็นสารก่อมะเร็ง เขาแนะนำว่าผู้บริโภคอาจต้องการประเมินการใช้แอสปาร์แตมร่วมกับสารก่อมะเร็งที่รู้จัก เช่น เนื้อแปรรูปและแอลกอฮอล์อีกครั้ง

 

ดังนั้น แม้ว่าแอสปาร์แตมจะไม่เป็นอันตรายอย่างชัดเจนตามการค้นพบในปัจจุบัน แต่การกลั่นกรองเป็นกุญแจสำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามการวิจัยและคำแนะนำเพิ่มเติมจากองค์กรด้านสุขภาพ ในขณะที่เรายังคงเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารให้ความหวานเทียมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนี้

 

ภาพ: Gerald Matzka / Picture Alliance via Getty Images

อ้างอิง:

The post แกะกล่องคำเตือนใหม่ของ WHO เกี่ยวกับสารให้ความหวานใน ‘น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล’ สรุปว่ากระทบหรือไม่กระทบต่อสุขภาพ? และความปั่นป่วนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
WHO ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารอาจก่อมะเร็ง แต่ยังกินได้ปลอดภัยหากอยู่ในปริมาณที่กำหนด https://thestandard.co/who-announced-aspartame-may-cause-cancer/ Fri, 14 Jul 2023 01:48:30 +0000 https://thestandard.co/?p=817020 แอสปาร์แตม มะเร็ง

ในวันนี้ (14 กรกฎาคม) สองหน่วยงานภายใต้สังกัดขององค์การ […]

The post WHO ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารอาจก่อมะเร็ง แต่ยังกินได้ปลอดภัยหากอยู่ในปริมาณที่กำหนด appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอสปาร์แตม มะเร็ง

ในวันนี้ (14 กรกฎาคม) สองหน่วยงานภายใต้สังกัดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการว่า แอสปาร์แตม ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้น เป็นสารที่ ‘มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็ง’ แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังบริโภคได้อย่างปลอดภัยหากอยู่ในปริมาณที่กำหนดไว้

 

การประกาศดังกล่าวมาจากคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์กรสองแห่งภายใต้สังกัด WHO คือ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมของ WHO และองค์การอาหารและเกษตรว่าด้วยวัตถุเจือปนอาหาร (JECFA) ซึ่ง IARC ทำหน้าที่ประเมินว่ามีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความอันตรายของแอสปาร์แตมหรือไม่ ขณะที่ JECFA ทำหน้าที่ประเมินว่าแอสปาร์แตมมีความเสี่ยงต่อการบริโภคในชีวิตจริงมากน้อยเพียงใด

 

แอสปาร์แตมเป็นสารทดแทนความหวานที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติถึง 200 เท่า และใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในอาหารและเครื่องดื่มประเภทแคลอรีต่ำหรือน้ำตาล 0% รวมถึง Coke Zero และ Diet Coke ที่เป็นเครื่องดื่มเติมความสดชื่นของใครหลายๆ คน นอกจากนี้ยังถูกใช้ในลูกอม, หมากฝรั่ง, ยาสีฟัน, ไอศกรีม, โยเกิร์ต, ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด

 

ในการประกาศเมื่อช่วงเช้าวันนี้ IARC ระบุว่า แอสปาร์แตมเป็น ‘สารที่มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็ง’ (Possible Carcinogen) ซึ่งตีความได้ว่า ปัจจุบันมีหลักฐานบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ในระดับจำกัด แต่ไม่ได้ประเมินว่ากว่าที่จะเกิดความเสี่ยงนั้นต้องมีการบริโภคมากน้อยเพียงไร 

 

แต่การประกาศของ JECFA ที่ออกมาในวันเดียวกันก็ได้ตอบคำถามดังกล่าว โดยระบุว่า ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดจากแอสปาร์แตม และยังคงแนะนำให้ผู้คนรักษาระดับการบริโภคแอสปาร์แตมต่อวันให้อยู่ไม่เกิน 40 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นระดับที่ปลอดภัยสำหรับการบริโภคที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 1981 หรือหากจะบรรยายให้เห็นภาพคือ คนน้ำหนักตัว 60-70 กิโลกรัมจะต้องดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของแอสปาร์แตม 9-14 กระป๋องต่อวันจึงจะเสี่ยงเป็นอันตรายต่อสุขภาพนั่นเอง

 

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ WHO ระบุว่า หลักฐานที่บ่งชี้ว่าแอสปาร์แตมมีส่วนเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งนั้นมีค่อนข้างต่ำ ขณะที่สมาพันธ์อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระบุว่า การประกาศดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าแอสปาร์แตมยังคงมีความปลอดภัยที่จะบริโภค และยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำตาลในมื้ออาหารของตน

 

ขณะเดียวกัน ฟรานเชสโก บรังกา หัวหน้าฝ่ายโภชนาการของ WHO กล่าวว่า WHO ไม่ได้เรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตต่างๆ ต้องเอาแอสปาร์แตมออกจากผลิตภัณฑ์ของตนทั้งหมด แต่เรียกร้องให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเดินทางสายกลาง คือไม่ใช้งานมันมากจนเกินควร

 

แฟ้มภาพ: MIA Studio Via Shutterstock

อ้างอิง:

The post WHO ประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารอาจก่อมะเร็ง แต่ยังกินได้ปลอดภัยหากอยู่ในปริมาณที่กำหนด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: แอสปาร์แตม สารให้ความหวานที่อาจก่อมะเร็ง? | THE STANDARD https://thestandard.co/aspartame/ Sat, 08 Jul 2023 05:36:49 +0000 https://thestandard.co/?p=814062

รู้จัก ‘แอสปาร์แตม’ สารให้ความหวานที่ WHO จ่อประกาศว่าอ […]

The post ชมคลิป: แอสปาร์แตม สารให้ความหวานที่อาจก่อมะเร็ง? | THE STANDARD appeared first on THE STANDARD.

]]>

รู้จัก ‘แอสปาร์แตม’ สารให้ความหวานที่ WHO จ่อประกาศว่าอาจเป็นสารก่อมะเร็ง อันตรายแค่ไหน?

 

 

เรื่อง: ปัทมาสน์ ชนะรัชชรักษ์

บรรยาย: วริษฐา แซ่เจีย

ตัดต่อ: ศุภอาฒย์ มั่นสิงห์

The post ชมคลิป: แอสปาร์แตม สารให้ความหวานที่อาจก่อมะเร็ง? | THE STANDARD appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักแอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ WHO จ่อประกาศเป็นสารอาจก่อมะเร็ง https://thestandard.co/whos-research-aspartame-possible-carcinogen-sources/ Thu, 06 Jul 2023 09:29:33 +0000 https://thestandard.co/?p=813235 Aspartame

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ใครที่เป็นสายรักสุขภาพหรือสาย […]

The post รู้จักแอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ WHO จ่อประกาศเป็นสารอาจก่อมะเร็ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Aspartame

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ใครที่เป็นสายรักสุขภาพหรือสายหวาน 0% ต่างต้องกุมขมับไปตามๆ กัน หลังสำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าววงในว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมประกาศให้ ‘แอสปาร์แตม’ (Aspartame) เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งชนิดใหม่

 

ชื่อของแอสปาร์แตมอาจไม่ได้ฟังคุ้นหูมากนักสำหรับคนทั่วไป แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วชีวิตของเราพัวพันกับแอสปาร์แตมอยู่ในทุกๆ วัน โดยแอสปาร์แตมเป็นสารทดแทนความหวานที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติถึง 200 เท่า และใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในอาหารและเครื่องดื่มประเภทแคลอรีต่ำหรือน้ำตาล 0% รวมถึง Coke Zero และ Diet Coke ที่เป็นเครื่องดื่มเติมความสดชื่นของใครหลายๆ คน นอกจากนี้ยังถูกใช้ในลูกอม หมากฝรั่ง ยาสีฟัน ไอศกรีม โยเกิร์ต ซอส และขนมอีกหลากหลายชนิด

 

Reuters รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด 2 แหล่งด้วยกัน โดยระบุว่า ในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ภายใต้การกำกับดูแลของ WHO เตรียมประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารที่ ‘มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์’ (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘Possibly carcinogenic to humans’) หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญได้ร่วมประชุมสรุปการตัดสินใจดังกล่าวเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

 

รายงานระบุว่าการวิจัยของ IARC มีเป้าหมายเพื่อประเมินว่าสารต่างๆ นั้นมีแนวโน้มที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ โดยอ้างอิงจากหลักฐานต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมา แต่ทั้งนี้รายงานดังกล่าวไม่ได้ประเมินรวมไปถึงประเด็นที่ว่า ‘ต้องบริโภคมาก-น้อยเท่าไรถึงจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์’ 

 

นอกจาก IARC แล้ว คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยวัตถุเจือปนอาหารขององค์การอาหารและเกษตร และองค์การอนามัยโลก หรือ JECFA ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาทบทวนการใช้งานแอสปาร์แตมด้วยเช่นกันในปีนี้ โดยการประชุมของ JECFA ได้เปิดฉากขึ้นเมื่อช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และมีกำหนดที่จะเปิดเผยผลการศึกษาในวันเดียวกับที่ IARC เตรียมประกาศการตัดสินใจดังกล่าว หรือในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้

 

  • ย้อนดูผลการศึกษาเกี่ยวกับแอสปาร์แตมในอดีต

 

นับตั้งแต่ปี 1981 หรือย้อนกลับไปเมื่อ 42 ปีที่แล้ว JECFA กล่าวว่าแอสปาร์แตม ‘มีความปลอดภัย’ หากบริโภคในปริมาณที่กำหนดต่อวัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม จะต้องดื่ม Diet Coke มากถึง 12-36 กระป๋องต่อวันจึงจะมีความเสี่ยง ซึ่งการประกาศดังกล่าวก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก รวมถึงในหมู่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วย ซึ่งระบุว่าการบริโภคแอสปาร์แตมนั้นปลอดภัยหากอยู่ในปริมาณที่จำกัดไว้คือ 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

 

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยบางส่วนที่ชี้ว่าแอสปาร์แตมเป็นสารที่มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็ง เพราะตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีหลายองค์กรที่พยายามศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของแอสปาร์แตมอย่างต่อเนื่อง โดยหากย้อนไปดูในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 มีการศึกษาจากสถาบัน Ramazzini ในอิตาลีที่รายงานว่า แอสปาร์แตมมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งในหนูที่นำมาใช้ในการทดลองดังกล่าว

 

หรือสดๆ ร้อนๆ เมื่อปี 2022 มีการศึกษาในฝรั่งเศสซึ่งได้เก็บข้อมูลผู้ใหญ่ 10,000 คน ผลปรากฏว่าผู้ที่บริโภคสารทดแทนความหวานในปริมาณมากๆ รวมถึงแอสปาร์แตม มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าคนทั่วไป แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

  • น่ากังวลแค่ไหน?

 

ข่าวดังกล่าวได้สร้างกระแสความวิตกกังวลให้กับคนทั่วโลก เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แอสปาร์แตมแฝงตัวอยู่ในหลายผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันโดยที่เราเองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน สำนักข่าว The Guardian จึงได้สอบถามไปยังผู้เชี่ยวชาญด้วยคำถามที่เราทุกคนต่างสงสัยกันว่า “แล้วเราต้องหยุดการบริโภคทุกอย่างที่มีส่วนผสมของแอสปาร์แตมเลยหรือไม่?”

 

กิเดียน เมเยโรวิตซ์-แคตซ์ (Gideon Meyerowitz-Katz) นักระบาดวิทยาที่ทำงานเกี่ยวกับโรคเรื้อรังทางตะวันตกของซิดนีย์ กล่าวว่า เรื่องของสารทดแทนความหวานเป็นสิ่งที่มนุษย์กังวลและมีการศึกษาเกี่ยวกับมันมาหลายสิบปี ฉะนั้น ข่าวที่ออกมานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เราต้องตื่นตูมมากเกินไป

 

เมเยโรวิตซ์-แคตซ์กล่าวว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นคนที่ชอบดื่ม Coke Zero เป็นชีวิตจิตใจ การที่มีข่าวลักษณะนี้ออกมาก็ควรจะทำให้เขารู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ในฐานะที่เขาเองเป็นนักระบาดวิทยาที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับผลกระทบที่แอสปาร์แตมก่อกับสุขภาพของมนุษย์ เขาคิดว่าตอนนี้เรายังไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป

 

หากลองมาเจาะดูที่เนื้อข่าวจะพบว่า IARC ได้ระบุให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2B ซึ่งต้องไล่เลียงเช่นนี้ก่อนว่า การนิยามสารก่อมะเร็งของ IARC จะแบ่งออกเป็น 4 ระดับใหญ่ๆ ด้วยกันคือ 

 

  • ระดับ 1 – ก่อให้เกิดมะเร็ง (มีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งในมนุษย์)
  • ระดับ 2A – มีแนวโน้มก่อให้เกิดมะเร็ง (มีหลักฐานบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ในระดับจำกัด แต่มีหลักฐานบ่งชี้เพียงพอว่าก่อมะเร็งในสัตว์)
  • ระดับ 2B – มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็ง (มีหลักฐานบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในมนุษย์ในระดับจำกัด และมีหลักฐานบ่งชี้ว่าก่อมะเร็งในสัตว์ไม่เพียงพอ)
  • ระดับ 3 – ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง

 

เมื่อดูจากข้อมูลตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่าแอสปาร์แตมอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับสารก่อมะเร็งตามเกณฑ์ของ IARC โดยระดับต่ำสุดหรือ 3 นั้น ในทางเทคนิคหมายความว่าไม่สามารถประเมินความเสี่ยงด้านมะเร็งได้ เนื่องจากขาดหลักฐานยืนยัน ส่วนระดับ 2B หมายความว่า มีความเสี่ยง ‘ที่คลุมเครือและยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่ชัด’ ว่าอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ หรือพูดง่ายๆ คือมันไม่ได้แปลว่าแอสปาร์แตมทำให้เกิดมะเร็งแน่นอน หรือมีแนวโน้มสูงที่จะก่อมะเร็ง

 

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วมีสารระดับ 2B เป็นส่วนผสมในสิ่งของที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน เช่น กรดคาเฟอิก (Caffeic Acid) ซึ่งพบในกาแฟ ว่านหางจระเข้ นิกเกิล สารสกัดจากแปะก๊วย (อยู่ในอาหารเสริมทั่วไป) และผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนตกใจหรือให้ความสนใจเท่ากับสารทดแทนความหวาน 

 

ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุใด IARC จึงเตรียมประกาศให้แอสปาร์แตมเป็นสารก่อมะเร็งชนิด 2B เพราะยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลการตัดสินใจออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เมเยโรวิตซ์-แคตซ์มองว่า การประกาศดังกล่าวทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เพราะแอสปาร์แตมเป็นสารทดแทนความหวานที่มีประวัติด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเอาเรื่องอยู่ โดยผลการศึกษามากมายนับตั้งแต่ปี 1980 ไม่เคยพบความเชื่อมโยงระหว่างแอสปาร์แตมและมะเร็ง ซึ่งรวมถึงเอกสารทางระบาดวิทยาจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับผู้คนหลายแสนคน 

 

และแม้ว่าบางครั้งจะมีข้อบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างที่เราได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น แต่งานวิจัยเหล่านั้นก็แทบไม่ได้รับเสียงสนับสนุนสักเท่าไร หากดูจากภาพรวมของผลการศึกษาทั้งหมดร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาในฝรั่งเศสพบความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิดที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ที่บริโภคแอสปาร์แตมจำนวนมาก แต่หากดูในเอกสารงานวิจัยอื่นๆ กลับไม่พบความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันนี้

 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การประกาศของ IARC ไม่ได้คำนึงถึงขนาดของความเสี่ยงว่าต้องบริโภคมาก-น้อยเพียงใดจึงจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่การประกาศดังกล่าวเหมือนเป็นการตอบคำถามแค่ว่า Yes หรือ No ในแง่ที่ว่าแอสปาร์แตมเป็นสาเหตุหรือมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดมะเร็งหรือไม่ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนคือแม้แต่เนื้อแดงยังจัดให้อยู่ในสารก่อมะเร็งระดับ 2A หรืออันตรายกว่าแอสปาร์แตมที่อยู่ในระดับ 2B เสียอีก แต่นั่นก็หมายความว่าวันหนึ่งคุณต้องกินเนื้อแดงเยอะมากกว่าที่มันจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับสุขภาพของคุณ 

 

ฉะนั้นแล้ว สำหรับเมเยโรวิตซ์-แคตซ์ เขายังคงยืนยันว่าตัวเองจะดื่ม Coke Zero ต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติมออกมา

 

แฟ้มภาพ: Alex Ionas Via Shutterstock

อ้างอิง:

The post รู้จักแอสปาร์แตม สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ WHO จ่อประกาศเป็นสารอาจก่อมะเร็ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
WHO แนะ เลี่ยงใช้สารให้ความหวานเพื่อควบคุมน้ำหนัก ชี้ไม่มีประโยชน์ระยะยาวในการลดไขมัน และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค https://thestandard.co/who-on-sweeteners-weight-loss/ Tue, 16 May 2023 10:59:33 +0000 https://thestandard.co/?p=791220

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เลี่ยงการใช้สารให้ความหว […]

The post WHO แนะ เลี่ยงใช้สารให้ความหวานเพื่อควบคุมน้ำหนัก ชี้ไม่มีประโยชน์ระยะยาวในการลดไขมัน และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค appeared first on THE STANDARD.

]]>

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เลี่ยงการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อควบคุมน้ำหนัก พร้อมทั้งชี้ว่าสารเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ระยะยาวในการช่วยลดไขมันในร่างกาย และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรวัยผู้ใหญ่

 

โดย WHO ได้ออกมาให้คำแนะนำเมื่อวานนี้ (15 พฤษภาคม) ว่า ไม่ควรใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อควบคุมน้ำหนักตัว โดยคำแนะนำนี้ยังรวมถึงสารให้ความหวานทั้งสังเคราะห์ ดัดแปลง หรือเกิดเองตามธรรมชาติชนิดอื่นๆ ทั้งหมดที่ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทของน้ำตาล เช่น แซ็กคารินหรือขัณฑสกร (Saccharin), หญ้าหวาน (Stevia), แอสพาร์เทม (Aspartame), แอดแวนเทม (Advantame), ไซคลาเมต (Cyclamate), เอซีซัลเฟมเค (Acesulfame K) ที่ให้ความหวานประมาณ 200 เท่าของน้ำตาล, ซูคราโลส (Sucralose) ที่ให้ความหวานประมาณ 600 เท่าของน้ำตาล หวานเกือบคล้ายกับน้ำตาล และนีโอเทม (Neotame) ที่ให้ความหวานประมาณ 7,000-13,000 เท่าของน้ำตาลและไม่มีพลังงานแคลอรี

 

ในปัจจุบันสารให้ความหวานกลายเป็นทางเลือกแทนการบริโภคน้ำตาล ซึ่งมักจะมีแคลอรีที่ต่ำหรือไม่มีเลย และได้รับการวางขายอย่างแพร่หลายในท้องตลาดในฐานะผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมรูปร่างหรือน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดย WHO ระบุว่า คำแนะนำของ WHO ในครั้งนี้ใช้ไม่ได้กับกลุ่มประชากรที่ป่วยเป็นเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังไม่แนะนำให้ใช้สารให้ความหวานเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อ อย่างโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจอีกด้วย 

 

ทางด้าน ฟรานเชสโก บรังกา ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการและความปลอดภัยของอาหารประจำ WHO ระบุว่า การแทนที่ Free Sugar หรือ Sugar Free ด้วยสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ไม่ได้ช่วยควบคุมน้ำหนักในระยะยาว ซึ่งสารเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยทางโภชนาการที่จำเป็นและไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ผู้คนจำเป็นต้องพิจารณาวิธีการอื่นๆ ในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย เช่น ปรับลดความหวานในอาหารหรือเครื่องดื่มให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 

โดย WHO ยังระบุอีกว่า คำแนะนำดังกล่าวนี้เกิดจากความเชื่อมโยงที่สังเกตได้ระหว่างสารให้ความหวานและผลลัพธ์ของโรคในช่วงที่มีการศึกษาวิจัย ซึ่งอาจมีตัวแปรที่ถูกรบกวนจากลักษณะพื้นฐานของผู้เข้าร่วมการศึกษา และรูปแบบที่ซับซ้อนของการใช้สารให้ความหวาน จึงอาจจำเป็นต้องมีการอภิปรายสาระสำคัญในบริบทเฉพาะของแต่ละประเทศเพิ่มเติม

 

แฟ้มภาพ: Star Stock / Shutterstock

อ้างอิง: 

The post WHO แนะ เลี่ยงใช้สารให้ความหวานเพื่อควบคุมน้ำหนัก ชี้ไม่มีประโยชน์ระยะยาวในการลดไขมัน และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิจัยเผย ‘Erythritol’ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีส่วนเชื่อมโยงอาการหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง https://thestandard.co/erythritol-linked-to-heart-attack/ Tue, 28 Feb 2023 12:04:06 +0000 https://thestandard.co/?p=756791

ผลการศึกษาฉบับใหม่ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ลงในวารสาร Natur […]

The post วิจัยเผย ‘Erythritol’ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีส่วนเชื่อมโยงอาการหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผลการศึกษาฉบับใหม่ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ลงในวารสาร Nature Medicine วานนี้ (27 กุมภาพันธ์) เปิดเผยว่า Erythritol (อิริทริทอล) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีค่าแคลอรีเป็นศูนย์ มีส่วนเชื่อมโยงกับการแข็งตัวของเลือด โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจวาย และการเสียชีวิตของมนุษย์

 

ดร.สแตนลีย์ ฮาเซน ผู้อำนวยการศูนย์วินิจฉัยและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดแห่งสถาบันวิจัย Cleveland Clinic Lerner ซึ่งเป็นผู้นำในการวิจัยฉบับนี้ กล่าวว่า ระดับของความเสี่ยงนั้น ‘สูงเกินระดับปานกลาง’ โดยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ เช่น มีโรคเบาหวานอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะหัวใจวายหรือเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หากพวกเขามีระดับอิริทริทอลในเลือดสูง

 

“หากระดับอิริทริทอลในเลือดของคุณอยู่เหนือระดับ 75% ก็จะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับระดับอิริทริทอลในเลือดไม่เกิน 25% มันเทียบได้กับปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจที่อันตรายที่สุด เช่น โรคเบาหวาน” ฮาเซนกล่าว

 

จากการวิจัยในห้องปฏิบัติการและการวิจัยในสัตว์เพิ่มเติมพบว่า อิริทริทอลดูเหมือนจะทำให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อนได้ง่ายขึ้น โดยลิ่มเลือดสามารถแตกตัวและไหลเวียนไปยังหัวใจจนทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย หรืออาจไหลเวียนไปยังสมองและทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้

 

ดร.แอนดรูว์ ฟรีแมน ผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดของ National Jewish Health แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิจัยว่า “รายงานนี้น่าตกใจ และดูเหมือนมีความเสี่ยงที่เลือดจะจับตัวเป็นก้อนจากการรับประทานอิริทริทอล อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจะต้องเดินหน้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ถึงเช่นนั้นทุกคนก็ควรจำกัดปริมาณการรับประทานอิริทริทอลในมื้ออาหารตั้งแต่ตอนนี้”

 

อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต แรนคิน กรรมการบริหารของสภาควบคุมแคลอรี (Calorie Control Council) ซึ่งเป็นสมาคมอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยกับสำนักข่าว CNN ว่า “ผลการศึกษานี้ตรงกันข้ามกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีมาหลายทศวรรษ ซึ่งระบุว่า สารให้ความหวานที่มีแคลอรีต่ำ เช่น อิริทริทอล นั้นปลอดภัย ตามหลักฐานที่ได้รับอนุญาตตามกฎระเบียบทั่วโลกสำหรับการใช้งานในอาหารและเครื่องดื่ม” พร้อมระบุว่า ผลการศึกษานี้ไม่ควรนำมาใช้กับประชาชนทั่วไป เนื่องจากผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยดังกล่าวเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ก่อนแล้ว

 

ส่วนสมาคมผู้ผลิตโพลิออลแห่งยุโรป (European Association of Polyol) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกชนิดหนึ่ง ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น โดยระบุว่า ยังไม่ได้ทบทวนการศึกษานี้

 

แฟ้มภาพ: Kabachki.photo Via Shutterstock 

 

อ้างอิง:

The post วิจัยเผย ‘Erythritol’ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีส่วนเชื่อมโยงอาการหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง appeared first on THE STANDARD.

]]>