สัปเหร่อ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 19 Jan 2025 05:53:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ไทยโตแซงฮอลลีวูด ‘M Studio’ ทุ่ม 100 ล้าน สร้างอีก 20 เรื่อง หวังรอลุ้นรายได้ธี่หยด 3 และนาคี 3 https://thestandard.co/thai-films-revenue-2024-m-studio-investment/ Sun, 19 Jan 2025 05:53:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1031844 สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ CEO M Studio แถลงแผนการลงทุนภาพยนตร์ไทยปี 2568

ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ไทยโตแซงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ‘M Studio’ […]

The post ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ไทยโตแซงฮอลลีวูด ‘M Studio’ ทุ่ม 100 ล้าน สร้างอีก 20 เรื่อง หวังรอลุ้นรายได้ธี่หยด 3 และนาคี 3 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ CEO M Studio แถลงแผนการลงทุนภาพยนตร์ไทยปี 2568

ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ไทยโตแซงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ‘M Studio’ ชี้ว่าเป็นปีทองของวงการเลยก็ว่าได้ หลังจาก สัปเหร่อ, ธี่หยด, 4KINGS โกยรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าทุ่ม 100 ล้านบาท เร่งเครื่องผลิตภาพยนตร์ไทย 20 เรื่องฉายในปี 2568

 

“ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปี 2568 กระแสภาพยนตร์ไทยประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นปีทองที่จะพีคที่สุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย” สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M Studio สตูดิโอผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ กล่าว

 

สะท้อนจากภาพรวมตลาดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยที่มีมูลค่าอยู่ที่ 4,485 ล้านบาท ปัจจุบัน M Studio ถือส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 54% รองลงมาคือ GDH อยู่ที่ 22% มีภาพยนตร์ที่เข้าฉายรวมๆ 326 เรื่อง โดยภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนรายได้มากถึง 54% ส่วนภาพยนตร์ฮอลลีวูดอยู่ที่ 38% และภาพยนตร์อื่นๆ 8% ซึ่งภาพยนตร์ไทยนั้นได้รับการยอมรับเป็น Tollywood แล้ว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

สิ่งที่น่าสนใจของวงการภาพยนตร์ไทยในปี 2567 ที่ผ่านมาทำรายได้อยู่ที่ 2,438 ล้านบาท แรงหนุนส่วนใหญ่มาจากความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท 8 เรื่อง ได้แก่ ธี่หยด 2 ทำรายได้ 815 ล้านบาท, หลานม่า ทำรายได้ 339 ล้านบาท, พี่นาค 4 ทำรายได้ 178 ล้านบาท, อนงค์ ทำรายได้ 150 ล้านบาท

 

รวมถึง วิมานหนาม ทำรายได้ 150 ล้านบาท, หอแต๋วแตกแหกสัปะหยด ทำรายได้ 130 ล้านบาท, เทอม 3 ทำรายได้ 122 ล้านบาท และ วัยหนุ่ม 2544 ทำรายได้ 122 ล้านบาท โดยภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จเป็นของค่าย M Studio จำนวน 3 เรื่อง

 

โดยประเมินว่าในปี 2568 จะมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายกว่า 70 เรื่อง และมีหลายเรื่องที่เป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่สร้างรายได้เกิน 100 ล้านบาท ขณะที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดนั้นมีหลายเรื่องที่จะเข้าฉายเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้บรรยากาศคึกคักอย่างมาก

 

สุรเชษฐ์กล่าวถึงทิศทางของ M Studio ในปีนี้จะใช้งบกว่า 100 ล้านบาท เตรียมร่วมกับพันธมิตรทั้งช่อง 3, Workpoint, Mono Group, Kantana, Karman Line Studio และ Plan B ร่วมกันสร้างภาพยนตร์ไทยอีก 20 เรื่อง เช่น ธี่หยด 3, นาคี 3, อนงค์ 2, มือปืน, A Million Ways To Love, The Stone พระแท้ คนเก๊ และ สุสานคนเป็น

 

ถึงกระนั้นการสร้างภาพยนตร์ให้เป็นกระแสก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีความท้าทายอย่างมาก เพราะวันนี้ฐานคนดูคาดหวังมากขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตต้องคำนึงถึงคุณภาพและมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของคนดูให้ได้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วต้นทุนสร้างแต่ละเรื่องอยู่ที่ 50-60 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับสตอรีของแต่ละเรื่อง สิ่งที่ตามมาคือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ถ้าเราทำสเกลใหญ่ต้นทุนการผลิตก็ลดลง

 

ทั้งนี้ รายได้ของ M Studio มีทั้งจาก Box Office ตามด้วยขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ให้ต่างประเทศ และช่องทางสตรีมมิง โดยมั่นใจว่าปีนี้จะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำไว้ 1,322 ล้านบาท

The post ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ไทยโตแซงฮอลลีวูด ‘M Studio’ ทุ่ม 100 ล้าน สร้างอีก 20 เรื่อง หวังรอลุ้นรายได้ธี่หยด 3 และนาคี 3 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปรางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 สัปเหร่อ กวาด 7 รางวัล ใบปอ ธิติยา และ ตาต้า ชาติชาย คว้านำชาย-นำหญิงยอดเยี่ยม https://thestandard.co/summary-of-the-32nd-suphannahong-awards/ Mon, 30 Sep 2024 01:55:45 +0000 https://thestandard.co/?p=989492 รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32

เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับงานประกาศรางวัลภาพ […]

The post สรุปรางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 สัปเหร่อ กวาด 7 รางวัล ใบปอ ธิติยา และ ตาต้า ชาติชาย คว้านำชาย-นำหญิงยอดเยี่ยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32

เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 ที่จัดขึ้นในธีม ‘แสงแห่งกันและกัน’ ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์เธียเตอร์ ชั้น 6 พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน 

 

โดยในปีนี้เป็นไปตามคาด สัปเหร่อ คว้ารางวัลมากที่สุดถึง 7 สาขา ประกอบไปด้วย ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์ไทยรายได้สูงสุดประจำปี, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ตาต้า-ชาติชาย ชินศรี), ภาพยนตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ยื้อ – ปรีชา ปัดภัย)

 

ขณะที่ เธอกับฉันกับฉัน คว้ารางวัลมาได้เพียงแค่ 2 สาขา จากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 11 สาขา ได้แก่ รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์) และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (ฟิว-ชัพวิชญ์ เต็มนิธิกุล)

รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32

 

ทางด้านรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมตกเป็นของ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ จากเรื่อง 4KINGS 2, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมตกเป็นของ จั๊มพ์-พิสิฐพล เอกพงศ์พิสิฐ จากเรื่อง เพื่อน(ไม่)สนิท

 

ส่วนรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดนิยมประจำปี 2566 (Most Popular Thai Film) ซึ่งเป็นรางวัลที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้ร่วมโหวตภาพยนตร์ที่ชื่นชอบในแต่ละปี ตกเป็นของ Long Live Love ของผู้กำกับ ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ ที่ในปีนี้ได้รับการโหวตจากผู้ชมมากที่สุดจนคว้ารางวัลขวัญใจมหาชนมาครองได้สำเร็จ

 

THE STANDARD POP ขอร่วมแสดงความยินดีและเป็นกำลังใจให้กับทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพออกมา และหวังว่าความสำเร็จในวันนี้จะต่อยอดให้ทุกคนในอนาคตเช่นเดียวกัน

 

สำหรับรายชื่อผู้ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 ทุกสาขา ประกอบด้วย

 

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 

  • สัปเหร่อ 

 

ภาพยนตร์ไทยรายได้สูงสุดประจำปี

  • สัปเหร่อ 

 

ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • ต้องเต-ธิติ ศรีนวล

 

นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

  • ตาต้า-ชาติชาย ชินศรี

 

นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

  • ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์

 

นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

  • จั๊มพ์-พิสิฐพล เอกพงศ์พิสิฐ 

 

นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

  • ทราย-อินทิรา เจริญปุระ 

 

สุพรรณหงส์เกียรติยศ

  • รศ.บรรจง โกศัลวัฒน์

 

ภาพยนตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยยอดเยี่ยม 

  • สัปเหร่อ

 

ภาพยนตร์ไทยยอดนิยม

  • Long Live Love

 

บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • สัปเหร่อ

 

บันทึกเสียงและผสมเสียงยอดเยี่ยม

  • ธี่หยด

 

ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม

  • The Last Breath of Sam Yan

 

กำกับภาพยอดเยี่ยม

  • เรดไลฟ์

 

ลำดับภาพยอดเยี่ยม

  • เพื่อน(ไม่)สนิท

 

เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • ยื้อ จาก สัปเหร่อ โดย ปรีชา ปัดภัย

 

ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม

  • เธอกับฉันกับฉัน

 

กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม

  • แมนสรวง

 

ออกแบบการแต่งกายยอดเยี่ยม

  • แมนสรวง

 

เทคนิคพิเศษการแต่งหน้ายอดเยี่ยม

  • ธี่หยด

 

เทคนิคการสร้างภาพพิเศษยอดเยี่ยม

  • ขุนพันธ์ 3

 

The post สรุปรางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 สัปเหร่อ กวาด 7 รางวัล ใบปอ ธิติยา และ ตาต้า ชาติชาย คว้านำชาย-นำหญิงยอดเยี่ยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปผล รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 32 ดอยบอย คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม https://thestandard.co/32nd-bangkok-critics-assembly-awards/ Thu, 18 Jul 2024 05:05:37 +0000 https://thestandard.co/?p=959565

เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย สำหรับงานประกาศรางวัล ชมรมว […]

The post สรุปผล รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 32 ดอยบอย คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม appeared first on THE STANDARD.

]]>

เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย สำหรับงานประกาศรางวัล ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 32 ที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (17 กรกฎาคม) ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งทางชมรมวิจารณ์บันเทิงได้แบ่งการมอบรางวัลออกเป็นทั้งหมด 19 รางวัล โดยรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้ได้แก่ ดอยบอย

 

สำหรับ ดอยบอย เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนการดิ้นรนของชายขายบริการและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่มีผู้ถูกบังคับให้สูญหาย โดยเป็นการร่วมมือกันของ เนรมิตรหนัง ฟิล์ม, Mobile Lab Project และ Anti­-Archive กำกับโดย เบิ้ล-นนทวัฒน์ นำเบญจพล นำแสดงโดย อัด-อวัช รัตนปิณฑะ, เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ, เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ, แคร์-ปาณิสรา ริกุลสุรกาน และ แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล ซึ่งในปีที่ผ่านมา ดอยบอย ได้เข้าชิงรางวัล Kim Jiseok Award พร้อมกับฉายรอบ World Premiere ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ครั้งที่ 28 (Busan International Film Festival) และส่งให้ อัด อวัช คว้ารางวัล Rising Star Award ในงาน Marie Claire with BIFF Asia Star Awards 2023 มาครองเป็นรางวัลแรกในชีวิตด้วยเช่นกัน

 

ในขณะที่ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดในปีนี้ตกเป็นของ สัปเหร่อ โดยภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักนักพากย์ สามารถกวาดรางวัลไปได้มากสุดถึง 4 รางวัล ทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดย นนทรีย์ นิมิบุตร, ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม โดย เอก เอี่ยมชื่น, ปิยะวิทย์ พลายเมือง, กำกับภาพยอดเยี่ยม โดย ธีระวัฒน์ รุจินธรรม และรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม โดย ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์

 

 

สำหรับรายชื่อผู้ได้รับรางวัลทุกสาขาของชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 32 มีดังนี้

 

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • ดอยบอย

 

ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดแห่งปี

  • สัปเหร่อ

 

ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • นนทรีย์ นิมิบุตร จากภาพยนตร์ มนต์รักนักพากย์

 

นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

  • ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์ จากภาพยนตร์ เธอกับฉันกับฉัน

 

นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

  • อัด-อวัช รัตนปิณฑะ จากภาพยนตร์ ดอยบอย

 

นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

  • ทราย-อินทิรา เจริญปุระ จากภาพยนตร์ 4KINGS 2

 

นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

  • จั๊มพ์-พิสิฐพล เอกพงศ์พิสิฐ จากภาพยนตร์ เพื่อน(ไม่)สนิท

 

บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • ทะเลของฉัน มีคลื่นเล็กน้อย ถึงปานกลาง โดย ปฏิภาณ บุณฑริก และ คาลิล พิศสุวรรณ

 

กำกับภาพยอดเยี่ยม

  • มนต์รักนักพากย์ โดย ธีระวัฒน์ รุจินธรรม

 

ลำดับภาพยอดเยี่ยม

  • เพื่อน(ไม่)สนิท โดย ชลสิทธิ์ อุปนิกขิต

 

ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม

  • มนต์รักนักพากย์  โดย เอก เอี่ยมชื่น และ ปิยะวิทย์ พลายเมือง

 

ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม

  • มนต์รักนักพากย์ โดย ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์

 

เพลงจากภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

  • เพลง รักแรก จากภาพยนตร์ รักแรกโคตรลืมยาก ประพันธ์โดย อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์ และ ชลทัศน์ ชาญศิริเจริญกุล

 

ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม

  • The Last Breath of Sam Yan โดย เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์, เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ เสฏฐนันท์ ธนกิจโกเศรษฐ์

 

นักทำหนังหน้าใหม่ยอดเยี่ยม

  • ต้องเต-ธิติ ศรีนวล จากภาพยนตร์ สัปเหร่อ

 

ภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม ระดับบุคคลทั่วไป

  • ภูมิกายา (The Physical Realm) โดย สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ และ กฤษฎา ขำยัง

 

ภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม ระดับนักเรียน-นักศึกษา

  • The End of Paralyzed โดย รชต สระทองเทียน และ พสธร วัชรพาณิชย์

 

ภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์สารคดีสั้นยอดเยี่ยม

  • รับเหมาพเนจร (The Man and the Machine) โดย เกียรติพงษ์ ลงเย และ ยิ่งยง วงศ์ตาขี่

 

รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ

  • ศุภวัฒน์ จงศิริ (ศุภักษร)

 

อ้างอิง:

The post สรุปผล รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 32 ดอยบอย คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปผลรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สัปเหร่อ คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม https://thestandard.co/thai-film-director-award/ Fri, 05 Apr 2024 05:27:25 +0000 https://thestandard.co/?p=919698 สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย

เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย สำหรับงานประกาศรางวัลสมาคมผ […]

The post สรุปผลรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สัปเหร่อ คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย

เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย สำหรับงานประกาศรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ 13 ที่จัดเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ณ ห้องกมลทิพย์ บอลรูม โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ โดยสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยจะแบ่งการมอบรางวัลในแต่ละสาขาออกเป็นรางวัลชนะเลิศและรางวัลรองชนะเลิศ 

 

สำหรับผู้ที่คว้ารางวัลชนะเลิศในสาขาใหญ่ของงานอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้ไปครองได้สำเร็จได้แก่ สัปเหร่อ ผลงานที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์ไทยทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนรางวัลรองชนะเลิศในสาขานี้ได้แก่ มนต์รักนักพากย์ 

 

ด้านรางวัลชนะเลิศในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมในปีนี้ได้แก่ ต้องเต-ธิติ ศรีนวล จาก สัปเหร่อ และรางวัลรองชนะเลิศตกเป็นของ อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร จาก มนต์รักนักพากย์ ขณะที่รางวัลชนะเลิศในสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม ได้แก่ สัปเหร่อ และรางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ 4KINGS 2 

 

สลับมาที่รางวัลชนะเลิศในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ อัด-อวัช รัตนปิณฑะ จาก ดอยบอย, รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ แหลม-สมพล รุ่งพาณิชย์ จาก 4KINGS 2 ส่วนรางวัลชนะเลิศในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมตกเป็นของ ไบรอัน เจอร์ราร์ด อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล หรือ บิ๊ก D Gerrard จาก 4KINGS 2 และรางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ จี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร จาก 4KINGS 2

 

ในขณะที่รางวัลชนะเลิศ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปีนี้ ได้แก่ ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์ จาก เธอกับฉันกับฉัน และรางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ จาก มนต์รักนักพากย์ ส่วนรางวัลชนะเลิศ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ จาก 4KINGS 2 และรางวัลรองชนะเลิศได้แก่ ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล จาก บ้านเช่า..บูชายัญ 

 

สำหรับรายชื่อผู้ได้รับรางวัลทุกสาขา มีดังนี้ 

 

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ สัปเหร่อ 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ มนต์รักนักพากย์ 

 

ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ต้องเต-ธิติ ศรีนวล จาก สัปเหร่อ 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร จาก มนต์รักนักพากย์ 

 

บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เพื่อน(ไม่)สนิท 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ มนต์รักนักพากย์ 

 

นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ อัด-อวัช รัตนปิณฑะ จาก ดอยบอย 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ แหลม-สมพล รุ่งพาณิชย์ จาก 4KINGS 2 

 

นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์ จาก เธอกับฉันกับฉัน 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ จาก มนต์รักนักพากย์ 

 

นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ไบรอัน เจอร์ราร์ด อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล (บิ๊ก D Gerrard) จาก 4KINGS 2 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ จี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร จาก 4KINGS 2

 

นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ จาก 4KINGS 2 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล จาก บ้านเช่า..บูชายัญ 

 

ทีมนักแสดงยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ สัปเหร่อ 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ 4KINGS 2 

 

ถ่ายภาพยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ มนต์รักนักพากย์ 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ RedLife 

 

ลำดับภาพยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ HUNGER คนหิว เกมกระหาย
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ เพื่อน(ไม่)สนิท 

 

ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม 

  • รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ มนต์รักนักพากย์ 
  • รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ HUNGER คนหิว เกมกระหาย 

 

รางวัลเชิดชูเกียรติบุคคลหรือหน่วยงานที่มีคุณูปการต่อวงการภาพยนตร์ไทย 

  • กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน ผู้บุกเบิกวงการวิจารณ์ภาพยนตร์ในประเทศไทย 

 

รางวัลเชิดชูเกียรติผู้กำกับผู้มีคุณูปการต่อวงการภาพยนตร์ไทย 

  • ประยูร วงษ์ชื่น 

 

อ้างอิง:

The post สรุปผลรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สัปเหร่อ คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม appeared first on THE STANDARD.

]]>
สัปเหร่อ ธี่หยด และหนังไทยรวม 8 เรื่อง ร่วมฉายและชิงรางวัลในงาน Osaka Asian Film Festival https://thestandard.co/8-thai-films-osaka-asian-film-festival-2024/ Sun, 10 Mar 2024 06:08:45 +0000 https://thestandard.co/?p=909364

บรรยากาศกิจกรรม Thai Night ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ […]

The post สัปเหร่อ ธี่หยด และหนังไทยรวม 8 เรื่อง ร่วมฉายและชิงรางวัลในงาน Osaka Asian Film Festival appeared first on THE STANDARD.

]]>

บรรยากาศกิจกรรม Thai Night ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Osaka Asian Film Festival 2024 เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา โดย ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล (คุณชายอดัม) ประธานอนุกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ ได้ร่วมกิจกรรมกับทีมผู้ผลิตและสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย

 

การเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Osaka Asian Film Festival 2024 และการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับงบสนับสนุนจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (Thailand Creative Culture Agency: THACCA) และกระทรวงวัฒนธรรม เรียกได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่เรามุ่งมั่นจะสนับสนุน ผลักดันศักยภาพคนไทย และเสน่ห์ที่เป็นวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ให้ออกไปสู่สายตาคนทั้งโลกอย่างจริงจัง

 

สำหรับภาพยนตร์ที่ได้รับการคัดเลือกให้ร่วมฉาย 8 เรื่อง ล้วนเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม หลายเรื่องได้รับกระแสนิยมอย่างสูง และหลายเรื่องเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและเป็นที่ยอมรับ เช่น

 

  1. สัปเหร่อ (The Undertaker) กำกับโดย ธิติ ศรีนวล
  2. เพื่อน(ไม่)สนิท (Not Friends) กำกับโดย อัตตา เหมวดี
  3. ทะเลของฉันมีคลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง (Solids by the Seashore) กำกับโดย ปฏิภาณ บุณฑริก
  4. ธี่หยด (Death Whisperer) กำกับโดย ทวีวัฒน์ วันทา
  5. หุ่นพยนต์ (Hoon Payon) กำกับโดย ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ
  6. สมมติ (Supposed) กำกับโดย ธนกร พงษ์สุวรรณ
  7. แว่วเสียงไฟ (Blazed Away) กำกับโดย ศุภามาศ บุญนิล
  8. How We Say Goodbye กำกับโดย ธันยชนก อภิสัมโพธิ์กุล, รวี ศักดิ์ดำรงกุล

The post สัปเหร่อ ธี่หยด และหนังไทยรวม 8 เรื่อง ร่วมฉายและชิงรางวัลในงาน Osaka Asian Film Festival appeared first on THE STANDARD.

]]>
ระบบนิเวศ (ที่ดี) ของหนังไทยควรเป็นอย่างไร https://thestandard.co/the-ideal-thai-film-ecosystem/ Mon, 22 Jan 2024 10:05:49 +0000 https://thestandard.co/?p=890662

หากจะพูดถึงคำยอดฮิตคำหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงกันในช่วงระยะ […]

The post ระบบนิเวศ (ที่ดี) ของหนังไทยควรเป็นอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากจะพูดถึงคำยอดฮิตคำหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงกันในช่วงระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา เวลากล่าวถึงความคาดหวังต่อระบบ หรือโครงสร้างของอะไรสักอย่าง คือคำว่า ระบบนิเวศที่ดี (Good Ecosystem) ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในโครงสร้างของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่คำคำนี้ถูกนำมาพูดถึงมากที่สุดคือ ‘อุตสาหกรรมหนังไทย’ 

 

แต่ก่อนที่จะขยายความว่า ระบบนิเวศของหนังไทยเป็นอย่างไร เราควรมาทำความเข้าใจต่อนิยามของคำคำนี้กันเป็นลำดับแรก ตามคำจำกัดความของ Ernst Haeckel ระบบนิเวศ หมายถึง โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ กับบริเวณแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ ยิ่งบริเวณแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาศัยอยู่มีความอุดมสมบูรณ์ ก็ย่อมส่งผลให้โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ มีความแข็งแรงไปด้วย  

 

เมื่อพิจารณาจากนิยามข้างต้น องค์ประกอบของระบบนิเวศจึงประกอบด้วย 2 องค์ประกอบใหญ่ๆ ได้แก่ สิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม ดังนั้นระบบนิเวศที่ดีจึงย่อมหมายถึงสภาพแวดล้อมที่ดีที่เอื้อต่อการมีชีวิตที่สมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต แต่การที่สภาพแวดล้อมจะมีความสมบูรณ์ได้ สิ่งมีชีวิตในภาวะแวดล้อมนั้นก็ต้องร่วมกันสร้างความแข็งแรงโครงสร้างของการดำรงอยู่ด้วย

 

ทีนี้วกกลับมาที่อุตสาหกรรมหนังไทย หากเราถือว่าอุตสาหกรรมหนังไทยคือโครงสร้างของสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่ของวงการหนังไทย สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในภาวะแวดล้อมดังกล่าวควรประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งหากถามทัศนะของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ อาจได้รับคำตอบที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับมุมมองของผู้เขียน องค์ประกอบที่เปรียบได้กับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศหนังไทย ประกอบด้วย 1. ภาครัฐ ที่ถือว่าเป็นผู้ควบคุมกลไกโครงสร้างระดับมหภาคของทุกอย่างในประเทศ ซึ่งรวมถึงหนังไทย 2. ผู้ผลิต ซึ่งได้แก่ผู้ผลิตหนังไทยทุกระดับตั้งแต่สตูดิโอไปจนถึงคนทำหนังอิสระทั่วไป 3. ช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ ตั้งแต่โรงหนังไปจนถึงสตรีมมิงแพลตฟอร์ม และ 4. ผู้ชม ซึ่งถือเป็นปลายทางของโครงสร้างระบบนิเวศหนังไทย 

 

คำถามสำคัญตามมาคือ ถ้าต้องการให้ระบบนิเวศของหนังไทยมีความแข็งแรง และเป็นระบบนิเวศที่ดี องค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 ข้างต้นควรมีบทบาทอย่างไรบ้าง ผู้เขียนขอเสนอความเห็นดังนี้ 

 

สัปเหร่อ

สัปเหร่อ (2566)

 

ภาครัฐ 

 

แม้ว่าในปัจจุบันภาครัฐจะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากขึ้น ด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมหนังไทยในทุกระดับตั้งแต่ภาคธุรกิจไปจนถึงปัจเจกบุคคลที่ทำหนัง แต่ผลลัพธ์ที่บรรลุอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังมากนัก โดยเฉพาะกับเป้าหมายที่จะยกระดับอุตสาหกรรมหนังไทยให้เทียบชั้นกับอุตสาหกรรมหนังของประเทศที่มีความมั่นคงอื่นๆ สาเหตุสำคัญมาจากการละเลยที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่าง เสรีภาพทางการแสดงออก (Freedom of Speech)  

 

จริงอยู่แม้ว่าปัจจุบัน ความเข้มงวดในการควบคุมการนำเสนอเนื้อหาจะถูกผ่อนคลายด้วยการใช้ข้อกำหนดระดับอายุการชมของผู้ชม (Rating) แทนการใช้หน่วยงานปราบปรามอย่างตำรวจตรวจสอบภาพยนตร์ แต่การคงข้อกำหนดเรต ‘ห้ามฉาย’ (Ban) อย่างคลุมเครือ ส่งผลไม่น้อยต่อความลังเลในการผลิตผลงานสร้างสรรค์ที่อาจสร้างข้อถกเถียงในสังคมของคนทำหนัง จนในที่สุดก็นำไปสู่การเซ็นเซอร์ตัวเองด้วยการล้มเลิกความคิดที่อยากนำเสนอเนื้อหาที่อยากนำเสนอไปเอง ด้วยเหตุนี้การให้เสรีภาพในการแสดงต่อผู้สร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ผ่านการแก้กฎหมายควบคุมเนื้อหาที่คลุมเครือและคร่ำครึ จะช่วยทำให้ผู้สร้างสรรค์เกิดความกล้าที่จะนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างมากขึ้น ก่อเกิดความหลากหลายที่จะสร้างความตื่นเต้นและความหวังให้กับคนดู  

 

นอกจากการให้เสรีภาพในการแสดงออกแก่คนทำหนังแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่รัฐต้องทำควบคู่กันไปคือ การกำหนดนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมหนังไทยอย่างที่มั่นคง ต่อเนื่อง และชัดเจน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเข้ามาบริหารประเทศ พอหมดรัฐบาลหนึ่งไปก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่ารัฐบาลชุดต่อไปยังคงนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมเหมือนเดิมหรือไม่ การสร้างข้อกำหนดเรื่องการสนับสนุนและส่งเสริมต่ออุตสาหกรรมที่ชัดเจนและเป็นระบบ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบนิเวศหนังไทยในระดับมหภาคต่อไป 

 

ดอยบอย (2566)

ดอยบอย (2566)

 

ผู้ผลิต

 

ในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาสำคัญที่ทำระบบนิเวศหนังไทยเกิดภาวะหยุดนิ่งหรือไม่ก็เสื่อมถอย คือการที่ผู้ผลิตเกิดความกลัวที่จะเป็นผู้นำในการสร้างความแตกต่าง เนื่องจากไม่แน่ใจว่า ถ้าทำหนังที่แตกต่างจากกระแสมากเกินไป อาจทำให้ล้มเหลวขาดทุนได้ ดังนั้นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ การย้ำรอยความสำเร็จของผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน ด้วยการผลิตผลงานที่มีเนื้อหาเดิมๆ ที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้  ผลที่ตามมาคือ ศรัทธาที่ลดลงของคนดูหนังไทยที่นำไปสู่การปฏิเสธหนังไทยในที่สุด 

 

ดังนั้นวิธีการรักษาศรัทธาของผู้ชมให้คงอยู่กับหนังไทยอย่างต่อเนื่องและยาวนาน คือการผลิตผลงานที่มีความหลากหลายและเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ โดยตัวอย่างล่าสุดได้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ที่ตลอดทั้งปี ผู้ชมชาวไทยได้มีโอกาสชมหนังไทยที่ความหลากหลายทั้งเนื้อหาและประเภทของหนัง (Genre) ไม่ว่าจะเป็นหนังสยองขวัญหลากแนวทางอย่าง บ้านเช่า บูชายัญ (สยองขวัญ / ดราม่า), สัปเหร่อ (สยองขวัญ / ตลก) หรือ ธี่หยด (สยองขวัญ / ตื่นเต้น) หรือหนังระทึกขวัญอย่าง Hunger และ DELETE ไปจนถึงหนังสะท้อนสังคมที่พูดถึงคนชายขอบของสังคมอย่าง ดอยบอย และ 4KINGS 2 และหนังดราม่าถวิลหาความทรงจำในอดีตเรื่อง มนต์รักนักพากย์ ความหลากหลายในลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้คนไทยเกิดความหวังในหนังไทย 

 

อย่างไรก็ตามความคึกคักของหนังไทยเมื่อปีที่แล้วก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าหนังไทยในปีนี้จะยังคงสร้างศรัทธาและความหวังให้แก่ผู้ชมเหมือนเดิม เนื่องจากปัจจัยแปรผันที่อาจไม่เหมือนกัน โดยในปีที่แล้วเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังไทยได้รับการตอบรับจากผู้ชมชาวไทย นอกเหนือจากคุณภาพของตัวหนังก็มาจากความอ่อนแรงของหนังต่างประเทศที่เข้ามาฉายในเมืองไทย ทั้งหนังที่มาจากฮอลลีวูด และหนังจากชาติอื่นๆ อีกทั้งการเกิดสไตรก์ครั้งใหญ่ของสมาคมนักเขียนบทและนักแสดงในฮอลลีวูด ส่งผลให้โปรเจกต์บางโปรเจกต์ถูกระงับ  

 

ขณะที่หนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่มีกำหนดฉายในปีที่แล้วก็ถูกเลื่อนมาฉายในปีนี้ เนื่องจากนักแสดงไม่ให้ความร่วมมือในการโปรโมตหนัง ซึ่งปัจจัยแปรผันข้อหลังนี้เองจะทำให้ตลาดหนังในเมืองไทยปีนี้มีหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่หลั่งทะลักเข้ามาฉายเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตหนังไทยจำต้องวางแผนการผลิตและการจัดจำหน่ายอย่างรอบคอบ ทั้งเรื่องของการเลือกเรื่องที่จะมาผลิต, การวางกรอบงบประมาณการสร้าง ไปจนถึงการแผนการตลาดที่เหมาะสม โดยไม่ลืมว่า ‘ศรัทธา’ คือตัวแปรคงที่ที่จะทำให้ผู้ชมยังคงให้การสนับสนุนหนังไทยต่อไป

 

มนต์รักนักพากย์ (2566)

มนต์รักนักพากย์ (2566)

 

ช่องทางการจัดจำหน่าย 

 

ปรากฏการณ์หนังไทยที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว พิสูจน์ให้เห็นว่าช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งในที่นี้หมายถึงโรงภาพยนตร์และสตรีมมิงแพลตฟอร์ม มีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนให้หนังไทยเข้าถึงผู้ชมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในแง่ของโรงภาพยนตร์ การให้การสนับสนุนหนังไทยที่เข้าฉาย (ที่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ) ทำผ่านการให้รอบฉายจำนวนมากและครอบคลุมความสะดวกของผู้ชม รวมไปถึงการทุ่มโปรโมตอย่างเต็มที่ทั้งบริเวณภายหน้าโรงหนังและสื่อออนไลน์ ขณะที่ช่องทางสตรีมมิง ซึ่งผลิตทั้งหนังของตัวเอง และรับซื้อจากผู้ผลิตมาอีกทอด ก็ใช้วิธีการโปรโมตหนังไทยเหล่านี้ผ่านช่องทางของตัวเอง จนทำให้ผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกเกิดการตื่นตัว นำมาสู่จำนวนยอดผู้ชมที่สูงอย่างน่าประทับใจ

 

อย่างไรก็ตาม ในการสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศหนังไทย ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักทั้งสองช่องทางข้างต้นอาจต้องแสดงบทบาทมากกว่านี้ โดยเฉพาะช่องทางโรงภาพยนตร์ที่ถือว่าเป็นต้นทางแรกของการนำเสนอหนังไทยสู้ผู้ชม และอย่างที่รู้กันตลอดมาว่าโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยมีอำนาจต่อรองสูงกว่าผู้ผลิตภาพยนตร์ ทั้งการกำหนดรอบฉายและการกำหนดรายได้ ยิ่งหนังที่ผลิตโดยผู้สร้างขนาดเล็กหรือผู้สร้างอิสระ อำนาจการต่อรองก็จะน้อยตามลงไป 

 

ดังนั้นเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ดี โรงภาพยนตร์จำต้องให้โอกาสกับภาพยนตร์ทุกเรื่องอย่างเท่าเทียม ผ่านพื้นที่การฉายที่เป็นธรรม รวมถึงการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ที่สร้างความพอใจกับทุกฝ่าย ทั้งนี้แน่นอนว่า หนังที่ทำรายได้ดีย่อมได้รับพื้นที่การฉายมากเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกันโรงภาพยนตร์ก็ต้องไม่ทอดทิ้งหนังที่อาจต้องการเวลาในการสร้างความสนใจแก่ผู้ชมด้วย 

 

ในส่วนของช่องทางสตรีมมิง แม้ว่าตลอดมาช่องทางนี้มีบทบาทสำคัญต่อการสนับสนุนหนังไทย รวมถึงผลักดันเพดานหนังไทยให้สูงกว่าแค่ภายในประเทศไปสู่ระดับโลก ผ่านการซื้อช่วงสิทธิ์ของหนังไทยที่มีความหลากหลายมาจัดฉาย หรือผลิตหนังไทยของตัวเองออกมา แต่สิ่งที่บริษัทสตรีมมิงอาจทำได้มากกว่านี้ คือการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายหนังที่บริษัทผลิต ซึ่งโดยเงื่อนไขจะต้องฉายในช่องทางของตัวเองเท่านั้น ไปสู่การจัดฉายในช่องทางโรงภาพยนตร์ การเผยแพร่แบบข้ามรูปแบบ (Hybrid) เช่นนี้ นอกจากจะทำให้หนังได้เข้าถึงผู้ชมวงกว้างที่นอกเหนือจากผู้ชมที่เป็นสมาชิกสตรีมมิงแล้ว ยังเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาดหนังไทย รวมถึงการมอบประสบการณ์การชมภาพยนตร์ (Cinematic Experience) ให้แก่ผู้ชมที่จะได้สัมผัสอรรถรสการชมภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย (ลองนึกว่าหากหนังเรื่อง Hunger หรือ มนต์รักนักพากย์ ได้มีโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์)

 

4KINGS 2 (2566)

4KINGS 2 (2566)

 

ผู้ชม 

 

เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างของระบบนิเวศหนังไทย ดูเหมือน ‘ผู้ชม’ จะเป็นองค์ประกอบที่ถูกใส่ใจมากที่สุด เนื่องจากเวลาพูดถึงองค์ประกอบอื่นๆ ข้างต้น มักจะมีคีย์เวิร์ดหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตลอด คือคำว่า ‘ศรัทธาของผู้ชม’ ดังนั้นผู้ชมจึงแทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทตัวเอง นอกจากคอยรับสารที่นำเสนอโดยผู้ผลิต และตัดสินผ่านความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนั้น พูดง่ายๆ คนดูแทบไม่ต้องทำอะไร มีแต่ภาครัฐ ผู้ผลิต และช่องทางการจัดจำหน่ายที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อสร้างและรักษาศรัทธาคนดูให้ยาวนานที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการระบบนิเวศที่ดีของหนังไทย บทบาทของผู้ชมจะจำกัดเพียงแค่เป็นผู้คอยดูแล้วตัดสินไม่ได้อีกต่อไป หากแต่ต้องเปิดใจให้กับหนังไทยมากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณภาพโดยภาพรวมอาจสร้างความรู้สึกผิดหวังจนทำให้หนังไทยไม่ได้เป็นทางเลือกแรกในการรับชม การเปิดใจรับไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะดีหรือไม่ดี อย่างน้อยก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของหนังไทย และถ้าผลงานที่ออกมาดีก็จะช่วยทำให้เกิดความหวังและศรัทธาในหนังไทยมากขึ้น นอกจากการเปิดใจต่อหนังไทยแล้ว การไม่ตัดสินหนังก่อนที่จะดู (Pre-Judge) ก็เป็นสิ่งที่ผู้ชมควรพึงตระหนัก เพราะการตัดสินไปก่อนว่าหนังเรื่องนั้นต้องออกมาแย่แน่นอน หรือการเชื่อโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์อาจทำให้ผู้ชมพลาดโอกาสที่ได้จะได้ดูหนังไทยดีๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการปิดโอกาสการเปิดใจรับหนังไทยในที่สุด 

 

จากการวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ของระบบนิเวศหนังไทยข้างต้น จะเห็นได้ว่าแต่ละองค์ประกอบของระบบนิเวศหนังไทยล้วนแต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงโดยมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับวงการหนังไทย แต่การเปลี่ยนแปลงภายในแต่ละองค์ประกอบอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ระบบนิเวศหนังไทยดีได้ หากปราศจากการเกื้อกูลกัน โดยองค์ประกอบอย่างภาครัฐก็ต้องส่งเสริมให้ผู้ผลิตมีความเชื่อมั่นในการผลิตหนังที่ดีและมีคุณภาพออกมา ซึ่งเมื่อผู้ผลิตผลงานที่ดีออกมาก็จะได้รับการเผยแพร่อย่างเต็มกำลังจากช่องทางการจัดจำหน่าย โดยมีผู้ชมเป็นตัวชี้วัดการยอมรับว่าควรให้ความหวังและศรัทธากับหนังไทยหรือไม่ ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกล่าวไว้ ระบบนิเวศที่ดีที่เราฝันถึงก็ไม่ไกลเกินจริง

 

อ้างอิง:

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

The post ระบบนิเวศ (ที่ดี) ของหนังไทยควรเป็นอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
2566 ปีมหัศจรรย์ของหนังไทย https://thestandard.co/a-magical-year-for-thai-movies/ Wed, 27 Dec 2023 10:16:44 +0000 https://thestandard.co/?p=881618

หากพูดถึงสภาวะของหนังไทยเมื่อตอนต้นปี 2566 หนึ่งในคำถาม […]

The post 2566 ปีมหัศจรรย์ของหนังไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากพูดถึงสภาวะของหนังไทยเมื่อตอนต้นปี 2566 หนึ่งในคำถามที่คนในวงการตั้งกันเห็นจะหนีไม่พ้น วงการหนังไทยจะผ่านพ้นปีนี้อย่างไร ในเมื่อหนังไทยที่เปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกล้วนแต่ทำรายได้อย่างน่าผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น แสงกระสือ 2 ที่ทำรายได้ไม่ถึง 10 ล้านบาททั่วประเทศ หรือแม้แต่ บ้านเช่า..บูชายัญ หนังสยองขวัญที่ได้รับความคาดหวังว่าจะทำรายได้มโหฬาร ก็ยังทำรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาท มีเพียงแค่ ขุนพันธ์ 3 หนังแฟรนไชส์ที่โด่งดังจากสหมงคลฟิล์มเท่านั้นที่ทำรายได้สูงกว่า 100 ล้านบาททั่วประเทศ 

 

ขุนพันธ์ 3

 

สถานการณ์ดังกล่าวช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเวียดนาม ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 รายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของหนังทุกเรื่องที่ฉายในประเทศเวียดนามรวมกันได้ 46 ล้านดอลลาร์ (หรือ 1,610 ล้านบาท) ในจำนวนนี้กว่าครึ่ง หรือ 800 ล้านบาท เป็นรายได้ที่เกิดจากการฉายหนังเวียดนามจำนวน 8 เรื่อง หรือถ้าจะอธิบายให้ชัดขึ้น ก็หมายความว่าหนังเวียดนามแต่ละเรื่องทำรายได้เฉลี่ยเรื่องละ 100 ล้านบาท 

 

เมื่อย้อนกลับมามองที่เมืองไทย ภาวะการเซื่องซึมทางด้านรายได้ของหนังไทยในช่วงครึ่งปีสร้างความกังวลใจให้แก่บุคลากรในวงการหนังไทยอยู่ไม่น้อย สตูดิโอหลายแห่งเริ่มวางแผนการผลิตที่รัดกุมขึ้น ขณะที่บุคลากรในสายผลิตตั้งแต่ผู้กำกับหนัง ไปจนถึงทีมงาน ก็เริ่มตั้งคำถามถึงความมั่นคงในวิชาชีพ คำถามว่าหนังไทยจะตายหรือไม่ ซึ่งคำถามที่เคยได้ยินครั้งสุดท้ายเมื่อหลายสิบปีก่อนเริ่มได้ยินบ่อยขึ้นและดังขึ้น พอๆ กับคำถามที่ว่า หรือสตรีมมิงจะกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคนทำหนังไทยแทนหรือไม่

 

ของแขก 

 

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญได้เกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ของปี เมื่อหนังสยองขวัญฟอร์มเล็กว่าด้วยมนตร์ดำมุสลิมเรื่อง ของแขก สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการทำรายได้ทั่วประเทศกว่า 50 ล้านบาทในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยแหล่งรายได้สำคัญมาจากจังหวัดทางใต้ตอนล่าง ซึ่งเป็นฐานที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน

 

ถัดจาก ของแขก สึนามิลูกถัดไปที่ได้สร้างความตื่นตะลึง ไม่เพียงแค่คนในวงการหนังไทย แต่ยังรวมถึงสังคมไทยในระดับมหภาค ก็คือหนังเรื่อง สัปเหร่อ ของกลุ่มไทบ้าน สตูดิโอ กลุ่มคนทำหนังจากภาคอีสาน ที่ผลงานก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในพื้นที่ของตัวเอง ก่อนสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ชมนอกภูมิภาคโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ สัปเหร่อ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดสถิติอย่างว่าที่หนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดในปีนี้ ด้วยตัวเลขกว่า 720 ล้านบาท หรือเป็นหนังไทยที่ได้กำไรมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (จากทุนสร้างเพียง 10 ล้านบาท)  

 

4KINGS 2

 

เท่านั้นยังไม่พอ คล้อยหลังมาไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่หนังเรื่อง สัปเหร่อ เข้าฉาย หนังสยองขวัญอีกเรื่องหนึ่งอย่าง ธี่หยด ก็ตอกย้ำความสำเร็จของอุตสาหกรรมหนังไทยด้วยการทำรายได้รวมไปอีกกว่า 480 ล้านบาท ก่อนที่ล่าสุดหนังเรื่อง 4KINGS 2 ซึ่งเป็นภาคต่อของหนังในชื่อเดียวกันที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2564 จะทำรายได้ปิดปีที่ดูเหมือนจะน่ารันทดของหนังไทยไปอีกกว่า 200 ล้านบาท 

 

นั่นเท่ากับว่า เฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 หนังไทยทั้ง 4 เรื่องทำรายได้รวมกันเกือบ 1,500 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากนับรวมกับรายได้หนังไทยในช่วงสามไตรมาสแรกเข้าไปด้วย ก็เป็นไปได้ว่าเฉพาะปีนี้หนังไทยอาจทำรายได้รวมกันถึง 1,800 ล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบหลายๆ ปี 

 

คำถามสำคัญคือ เกิดอะไรขึ้นกับหนังไทยในช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่สามารถพลิกสถานการณ์จากการเผชิญหน้ากับภาวะหดหู่ไปสู่การโอบกอดความหวังที่เรืองรองได้ สำหรับผู้เขียน ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงแบบทันด่วนเช่นนี้อาจเกิดจากปัจจัยดังต่อไปนี้ 

 

สัปเหร่อ

 

1. ความหลากหลายของเนื้อหา

 

หากไม่รวม 4KINGS 2 หนังทำเงินทั้ง 3 เรื่องล้วนแต่เป็นหนังสยองขวัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ของแขก, สัปเหร่อ และ ธี่หยด แต่สิ่งที่น่าสนใจ ภายใต้แนวทางแบบเดียวกัน แต่รูปแบบการนำเสนอของแต่ละเรื่องนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย ของแขก นำเสนอเรื่องราวมนตร์ดำมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องไกลตัวและแปลกใหม่สำหรับคนไทย ขณะที่ สัปเหร่อ แม้ว่ายังคงความสยองขวัญในแบบที่คนไทยคุ้นเคย โดยเฉพาะส่วนผสมของความขบขันและน่ากลัว แต่สิ่งที่หนังไปไกลกว่านั้นคือการนำเสนอแนวคิดปรัชญาเกี่ยวกับความตายที่เข้าใจง่ายแต่แหลมคม ส่วน ธี่หยด ก็เป็นหนังผีที่ผสมผสานความหลอนจากเรื่องราวที่อ้างจากความจริงในอดีต กับความสนุกแบบหนังแอ็กชันที่ไม่ค่อยปรากฏในหนังผีไทยเท่าใดนัก ความหลากหลายของแนวทางและวิธีการนำเสนอนี้เองที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น ใคร่รู้ และเกิดความหวังเมื่อได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของหนังเหล่านี้ ผ่านช่องทางการโปรโมตต่างๆ รวมถึงการถูกพูดถึงในลักษณะปากต่อปาก

 

ธี่หยด

 

2. คุณภาพการผลิต

 

ในอดีตหนังไทยมักถูกตัดสินตั้งแต่แรก (Prejudge) ว่าคุณภาพการผลิตแย่ เนื่องจากทุนการผลิตที่ต่ำกว่าหนังต่างประเทศ โดยเฉพาะจากฮอลลีวูด หรือเกาหลีใต้ แต่ในระยะหลัง โดยเฉพาะ 4-5 ปีที่ผ่านมา คุณภาพการผลิตของหนังไทยยกระดับขึ้นมาก อันเนื่องมาจากบุคลากรที่มีความชำนาญในการผลิตหนังมีจำนวนมากขึ้น ทั้งผู้กำกับหนัง ผู้กำกับภาพ นักลำดับภาพ ไปจนถึงผู้ออกแบบเสียง การสั่งสมความเชื่อมั่นในคุณภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องนี้เองที่ทำให้ผู้ชมเกิดความเชื่อมั่นในหนังไทยอย่างไม่รู้ตัว สังเกตได้ว่าหนังไทย 4 เรื่องล่าสุดที่เข้าฉายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แทบไม่มีเรื่องไหนถูกตำหนิว่าคุณภาพการผลิตแย่ ยกเว้นบทของบางเรื่องที่อาจถูกติในแง่ความอ่อนด้อยในการเล่าเรื่อง นอกจากนี้ หนังอย่าง ธี่หยด ก็ได้สร้างมิติใหม่ทางด้านประสบการณ์การดูหนัง (Cinematic Experience) ด้วยการฉายในโรง IMAX ซึ่งก่อนหน้านี้ให้พื้นที่เฉพาะหนังจากฮอลลีวูดเท่านั้น 

 

ของแขก

 

3. การเผยโฉมของฐานผู้ชมซ่อนเร้น

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานผู้ชมหลักของหนังไทยตลอดมาเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี แต่ตัวชี้วัดว่าหนังไทยเรื่องไหนจะประสบความสำเร็จมักจะมีตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือฐานผู้ชมซ่อนเร้น (Hidden Audiences) ผู้ชมกลุ่มนี้คือกลุ่มผู้ชมที่ไม่ค่อยได้ออกมาดูหนังไทยเท่าใดนัก อาจจะด้วยความผิดหวังที่มีต่อหนังไทย หรือไม่ก็เป็นเพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อใดก็ตามที่ฐานผู้ชมกลุ่มนี้ถูกปลุก ผลที่ตามมาคือความสำเร็จอย่างถล่มทลายของหนังเรื่องนั้น 

 

หากเจาะลึกไปที่หนังไทยทั้ง 4 เรื่องที่ฉายในไตรมาสสุดท้าย จะพบว่าฐานผู้ชมซ่อนเร้นมีส่วนสำคัญอย่างมากในการเพิ่มยอดรายได้ของหนังแต่ละเรื่องอย่างมีนัยสำคัญ ในกรณีของ ของแขก ฐานผู้ชมใหม่ที่น่าสนใจได้แก่กลุ่มผู้ชมในจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก หรือพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกอย่างบางกะปิ มีนบุรี และหนองจอก ซึ่งมีชุมชนมุสลิมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วน สัปเหร่อ นอกจากจะได้กลุ่มผู้ชมแถบพื้นที่อีสานแล้ว หนังยังดึงกลุ่มผู้ชมซ่อนเร้นในภาคอื่นๆ ออกมาดูในโรงอย่างคลาคล่ำ ที่น่าสนใจคือ กรุงเทพฯ ที่หนังเปิดตัวค่อนข้างอ่อน (4 ล้านบาท) แต่เมื่อกระแสปากต่อปากแรงขึ้น กระแสความสนใจในตัวหนังก็เพิ่มขึ้นตาม เมื่อบวกกับแรงส่งเสริมจากสื่อกระแสหลักอย่างรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ จึงทำให้ผู้ชมซ่อนเร้นออกมาดูหนังในโรงเป็นจำนวนมาก  

 

4KINGS 2

 

สำหรับ ธี่หยด แม้ว่ากระแสของหนังจะแรงตั้งแต่แรก แต่ความสนุกของหนัง รวมถึงที่มาของเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้หนังสร้างความสนใจแก่ผู้ชมที่ไม่ค่อยออกมาดูหนังในโรงได้ไม่ยาก ส่วนหนังเรื่อง 4KINGS 2 แม้ว่าหนังจะอาศัยต้นทุนความสำเร็จจากภาคแรก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังยังคงได้รับการตอบรับจากฐานผู้ชมซ่อนเร้น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนช่างทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คุณภาพการเล่าเรื่องที่ทรงพลังยังสร้างกระแสปากต่อปากจนทำให้กลุ่มคนดูที่มีความรู้สึกเคลือบแคลงต่อหนังยอมออกมาดู แล้วร่วมสร้างกระแสบอกต่อ จนทำให้หนังยังคงได้รับความนิยมอยู่ถึงตอนนี้ 

 

สัปเหร่อ

 

แม้ว่าข้อสังเกตทั้งสามข้อข้างต้นอาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนังไทยในตอนนี้ได้ทั้งหมด แต่ที่อาจจะชัดเจนและแน่นอนคือ หนังไทยกำลังอยู่ในช่วงภาวะสะท้อนกลับอย่างรุนแรง (Rebound) จากจุดที่อาจเรียกได้ว่าต่ำสุด อันเป็นผลมาจากโรคระบาดโควิดเมื่อ 3 ปีก่อน สู่จุดที่อาจสูงกว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่คำถามที่ชวนสงสัยก็คือ ภาวะนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน เพราะจะว่าไปภาวะการสะท้อนกลับเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประวัติศาสตร์หนังไทย ใครที่ทันร่วมฉลองยุคทองของหนังไทยในทศวรรษที่ 2540 คงทราบดีว่าช่วงเวลานั้นหนังไทยในแต่ละปีนั้นมีความหลากหลาย และแต่ละเรื่องได้รับการตอบรับที่ดีทั้งในเชิงรายได้และเสียงชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นหนังแอ็กชันครีเอทีฟอย่าง องค์บาก (2546) หนังผีที่สร้างความสยองไปทั่วโลกอย่าง นางนาก (2542) และ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547) หรือหนังอาร์ตไทยเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลเมืองคานส์อย่าง สุดเสน่หา (2545) และ สัตว์ประหลาด (2547) จนคำว่า ‘ศรัทธาต่อหนังไทย’ ได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่หายไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 2530 

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่สวยงามของหนังไทยในทศวรรษที่ 2540 ก็ดำเนินไปในช่วงเวลาอันสั้นเท่านั้น เมื่อผู้สร้างหลายรายเลือกที่จะย้ำรอยความสำเร็จของหนังที่ประสบความสำเร็จก่อนหน้า จนในที่สุดตลาดก็ขาดความหลากหลาย ผลักไสคนดูออกห่างไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับคำครหาที่ว่าหนังไทยมีแต่เรื่องเดิมๆ ไม่ตลกก็ผี  

 

ธี่หยด

 

ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะรักษาความต่อเนื่องของภาวะสะท้อนกลับของหนังไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ให้ยืนยาวต่อไป ผู้สร้างหนังและคนทำหนังก็ต้องร่วมกันรักษาศรัทธาที่กำลังก่อตัวในหมู่ผู้ชมด้วยการผลิตผลงานที่มีคุณภาพและหลากหลาย ขณะเดียวกันผู้ชมเองก็ควรเตรียมรับความหลากหลายของหนังไทยอย่างเปิดกว้าง โดยพึงตระหนักว่าในความหลากหลายที่หลั่งไหลเข้ามาในตลาดหนังไทย คงไม่ใช่ทุกเรื่องที่ถูกใจเราทั้งหมด ซึ่งหากสถานการณ์ในปีหน้าเป็นไปอย่างที่กล่าวไว้ คำว่า ‘ยุคทอง’ ครั้งใหม่ของหนังไทยคงไม่น่าไกลเกินจริง

 

อ้างอิง:

The post 2566 ปีมหัศจรรย์ของหนังไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรากฏการณ์วงการบันเทิงแห่งปี 2566 ดราม่ายิ่งกว่าละครไทย https://thestandard.co/thai-entertainment-industry-2023/ Fri, 15 Dec 2023 13:23:05 +0000 https://thestandard.co/?p=877251 วงการบันเทิง

ปี 2566 วงการบันเทิงไทยยังเต็มไปด้วยสีสัน ยิ่งไปกว่านั้ […]

The post ปรากฏการณ์วงการบันเทิงแห่งปี 2566 ดราม่ายิ่งกว่าละครไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
วงการบันเทิง

ปี 2566 วงการบันเทิงไทยยังเต็มไปด้วยสีสัน ยิ่งไปกว่านั้นแวดวงการเมืองก็มีเรื่องบันเทิงด้วยประเด็นดราม่าจากการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ในปีนี้เราได้เห็นนักการเมืองหันมาเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม และเริ่มต้นผลักดันอย่างจริงจังผ่านคำว่า Soft Power ขณะเดียวกันปีนี้วงการนางงามไทยก็มีเรื่องให้ชื่นใจอยู่ไม่น้อย และนี่คือปรากฏการณ์ของวงการบันเทิงไทยในปีที่ผ่านมา 

 

 

 

การเมืองเรื่องการละคร 

 

สนุกสนานยิ่งกว่าละครช่องไหนก็การเมืองไทยนี่แหละ เรียกได้ว่าเป็นปีที่คนไทยตื่นตัวเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ เพราะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม อีกทั้งฟากฝั่งทางการเมืองก็ถูกแบ่งขั้วแบ่งค่ายให้ได้เชียร์กันอย่างเมามัน จนทำให้เวทีดีเบตเรตติ้งดีกว่าละครทีวีไปซะอย่างนั้น รวมทั้งการแจ้งเกิดซูเปอร์สตาร์การเมืองอย่าง ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล จนเกิดเป็นกระแสพิธาฟีเวอร์ เฉือนชนะแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทย เซอร์ไพรส์ท่านผู้ชมแบบสุดๆ

 

แต่บทละครการเมืองไทยไม่ได้จบลงแค่นั้น เมื่อพรรคการเมืองที่เหมือนจะจูบปากกันกลับย้ายขั้วเปลี่ยนค่ายจนกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายหันมาตีกันเอง งานนี้พิธาที่เคยคาดว่าจะได้เป็นนายกฯ และตระเวนออกงานวัฒนธรรมป๊อปประหนึ่งดาราก็ได้รับฉายานายกฯ รถแห่ไปโดยปริยาย ในขณะที่พรรคเพื่อไทย นอกจากจะเป็นพรรคการเมือง ยังกลายเป็นผู้จัดละครเจ้าของฉายา ‘เพื่อไทยการละคร’ อีกหนึ่งตำแหน่ง 

 

 

กระแสลิซ่ามาตลอดปี 

 

ปกติก็มีข่าว ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล วง BLACKPINK แทบจะรายสัปดาห์อยู่แล้ว แต่ปีนี้เหมือนจะมีข่าวใหญ่ระดับช็อกออกมามากเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่การเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] BANGKOK ที่เมืองไทยถึง 2 ครั้ง แถมขยันหาเงินเข้าประเทศด้วยการหยิบจับสินค้าไทย ทำให้ขายดีจนขาดตลาดไปหลายชิ้น 

 

พอล่วงเข้ากลางปีก็มีข่าวเดตกับทายาทมหาเศรษฐีเจ้าของเครือบริษัท LVMH ตามมาด้วยกระแสข่าวไม่ต่อสัญญากับต้นสังกัด YG Entertainment เท่านั้นไม่พอ เธอยังเป็นศิลปินเอเชียคนแรกที่ได้ร่วมแสดงใน Crazy Horse Paris ตำนานแห่งบาร์ Burlesque แห่งฝรั่งเศสอีกต่างหาก อย่างไรก็ดี หลังจากแฟนเพลงลุ้นตัวโก่งเรื่องต่อสัญญา เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีข่าวออกมาว่า YG Entertainment ได้ต่อสัญญากับ BLACKPINK เรื่องการทำงานในรูปแบบของวงไปแล้ว ส่วนจะเป็นศิลปินเดี่ยวหรือไม่ และจะไปอยู่ค่ายไหนคงต้องลุ้นกันต่อไป 

 

 

 

มง 3 เกือบมาแล้ว 

 

การประกวด Miss Universe ในปีนี้เป็นปีที่มีสีสันเป็นพิเศษ เพราะก่อนการประกวดแค่ไม่กี่วัน เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) บริษัทเจ้าของเวทีสัญชาติไทยก็ยื่นขอฟื้นฟูกิจการจากศาลล้มละลายกลาง ตามมาด้วยการประกาศลาออกของ พอลล่า ชูการ์ต ประธานองค์กรมิสยูนิเวิร์ส (MUO) หรือแม่ค้าข้าวแกงหม้อใหญ่ของแฟนนางงามชาวไทย 

 

อย่างไรก็ตาม การประกวดก็ยังคงดำเนินไปพร้อมกับความหวังของชาวไทยที่จะคว้ามง 3 มาให้ได้ เพราะตัวแทนสาวไทยอย่าง แอนโทเนีย โพซิ้ว มีคุณสมบัติครบที่จะเป็นนางงามจักรวาลได้สบายๆ แต่แล้วก็ชวดมงไปให้กับ เชย์นิส ปาลาซิโอส ตัวแทนจากนิการากัว และคว้าตำแหน่งรองอันดับ 1 มาแทน 

 

เรื่องไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะหลังการประกวดประเทศนิการากัวกลับไม่ยอมให้เชย์นิสกลับเข้าประเทศ เพราะเคยเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วน แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ที่เคยเพลี่ยงพล้ำทางธุรกิจก็ออกมาเตรียมเช็กบิลใครต่อใครที่เคยจิกกัด และปล่อยข่าวเสียหายเกี่ยวกับเธอ จนต้องยืมประโยคเด็ดจากละครเรื่อง แรงเงา มาใช้ “แอน จักรฯ จะไม่ยอมเป็นเหยื่อของแกอีกต่อไป จำไว้!”

 

 

อะไรๆ ก็ Soft Power 

 

ขอมอบตำแหน่งคำยอดนิยมแห่งปีให้กับคำว่า Soft Power เพราะถูกใช้บ่อยมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วจากกระแสข้าวเหนียวมะม่วงของมิลลิ เรื่อยมาถึงต้นปีที่ผ่านมาจากกระแสนักท่องเที่ยวจีนคัฟเวอร์ตัวเองเป็นนักเรียนหญิงไทย สร้างรายได้ให้ร้านชุดนักเรียนต่างๆ นอกฤดูกาลเปิดเทอม ส่วนหนึ่งก็ได้แรงบันดาลใจจากหนังและซีรีส์ไทยในตลาดจีน แถมนักแสดงสาว จวีจิ้งอี ยังช่วยปั่นกระแสเมื่อเธอเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย แล้วก็มาใส่ชุดนักเรียนโพสท่าถ่ายรูปลง Weibo ส่วนตัว 

 

จนมาถึงการเลือกตั้ง นโยบายเกี่ยวกับ Soft Power กลายเป็นนโยบายเด่นของทุกพรรคการเมือง และเมื่อพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ก็ขยันนิยามสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็น Soft Power อยู่เสมอ ผนวกกับกระแสหนังเรื่อง แมนสรวง และปรากฏการณ์กวาดรายได้ของหนังเรื่อง สัปเหร่อ ก็ยิ่งทำให้คำว่า Soft Power ถูกใช้จนเกร่อ ทั้งๆ ที่นโยบายยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม ก็ดูกันต่อไปว่าในปีหน้าจะมีอะไรใหม่ๆ ให้คนในสายศิลปวัฒนธรรมได้ร้องว้าวกันหรือเปล่า 

 

 

น้องฟ้าเลือดกรุ๊ปบี และอีกี้ธาตุทองซาวด์

 

ฮิตติดลมบนตั้งแต่ปล่อยออกมาแค่เวอร์ชัน Audio จนมียอดวิวถึง 50 กว่าล้านวิว แต่ YOUNGOHM ก็ยังอุตส่าห์ทำมิวสิกวิดีโอเพลง ธาตุทองซาวด์ ออกมาต้อนรับช่วงสงกรานต์ แถมยังขนอินฟลูเอ็นเซอร์ดังๆ ทั้ง แพรรี่ ไพรวัลย์ และเหล่าบรรดาแก๊งหิ้วหวีไปร่วมแสดงด้วย แต่ที่แซ่บสุดต้องยกให้กับ อีกี้ สก๊อยเกรดเอในเพลงนี้ที่ได้ หลิน-มชณต สุวรรณมาศ มาร่วมแสดง พร้อมกับแปลงโฉมด้วยผมทรงมัลเล็ตของสก๊อยยุค 2000 สร้างกระแสปังๆ ได้อีกระลอก

 

และในปีนี้เรียกได้ว่าเป็นปีทองของ มิกซ์ เฉลิมศรี ผู้ก้าวจากการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์สู่การทำงานเพลง ด้วยการอยู่เบื้องหลังเพลงฮิต เลือดกรุ๊ปบี ดันให้ เอิ้ก ชาลิสา แจ้งเกิดชั่วข้ามคืนช่วงต้นปี พอเข้าสู่ปลายปีก็ปล่อยอัลบั้ม Bad Story ในชื่อ Badmixy เปิดตัวด้วยซิงเกิล ฟ้ารักพ่อ (DILF) Feat. ยุ้ย ญาติเยอะ หลังเปิดตัวได้เพียง 6 วัน ก็กวาดยอดวิวบนยูทูบไปได้มากกว่า 3 ล้านวิว และติดชาร์ตอันดับ 1 บน Apple Music Thailand และ iTunes Album Chart Thailand ติดอันดับ 2 บน iTunes Song Chart Thailand และอันดับ 9 บน Spotify Top 50 Thailand ยังไม่นับรวมกระแสไวรัล ‘ถ้าฟ้าเสียตัว ฟ้าต้องได้เป็นแอร์’ บน TikTok อีกต่างหาก 

 

 

คอนเทนต์ไทยบน OTT 

 

คอนเทนต์ไทยบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกปีนี้กระแสคึกคักเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix กับโปรเจกต์ทีไทย ทีมันส์ เปิดตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเรื่อยมาถึงปีนี้ตลอดทั้งปี โดยมีเรื่องเด่นๆ อย่าง DELETE ที่ขึ้นอันดับสูงสุดที่อันดับ 6 บนชาร์ต Netflix Top 10 ในหมวดรายการทีวีภาษาต่างประเทศ และติด Netflix Top 10 ในอีก 29 ประเทศทั่วโลก, HUNGER คนหิว เกมกระหาย ติดอันดับ 1 จาก 53 ประเทศทั่วโลก ในหมวดหมู่ภาพยนตร์ Netflix บนเว็บไซต์ FlixPatrol รวมถึง Analog Squad ซีรีส์อบอุ่นหัวใจปิดโปรเจกต์ของปีนี้ได้อย่างสวยงาม 

 

ส่วนฝั่ง WeTV ก็มีออริจินัลซีรีส์เรื่อง เมียหลวง, ค่อยๆ รัก Step By Step และ เด็กฝึกหน้าใส เติมหัวใจนายหญิง (Intern In My Heart) ออกอากาศพร้อมกันกับประเทศจีน Viu มีซีรีส์ออริจินัลไทยอย่าง Love Me Again อีกครั้ง ฉันรักเธอ, Return Man ยอดรัก นักทวงคืน, Get Rich เปิด | โรงเรียน | ปล้น และ SHADOW เงา / ล่า / ตาย ทางด้าน Prime Video เปิดโปรเจกต์ ‘แกะกล่องไทยบันเทิง’ สตรีมคอนเทนต์ไทย 13 รายการ ตลอด 13 สัปดาห์ ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ ละคร และคอนเสิร์ต โดยเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Kitty the killer และเรียกเสียงฮือฮาจาก Congrats My Ex! ลุ้นรักป่วน ก๊วนแฟนเก่า การร่วมงานกันระหว่าง ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี และ เบลล่า-ราณี แคมเปน 

 

The post ปรากฏการณ์วงการบันเทิงแห่งปี 2566 ดราม่ายิ่งกว่าละครไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออกเดินทางสู่ต่างแดน! สัปเหร่อ เตรียมเข้าฉายที่มาเลเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ในเดือนธันวาคมนี้ https://thestandard.co/sup-pa-rer-malaysia-vietnam-taiwan/ Thu, 23 Nov 2023 08:02:19 +0000 https://thestandard.co/?p=868897 เตรียมเข้าฉายที่ มาเลเซีย เวียดนาม และ ไต้หวัน

ออกเดินทางสู่ต่างแดน! สัปเหร่อ ภาพยนตร์จากจักรวาลไทบ้าน […]

The post ออกเดินทางสู่ต่างแดน! สัปเหร่อ เตรียมเข้าฉายที่มาเลเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ในเดือนธันวาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เตรียมเข้าฉายที่ มาเลเซีย เวียดนาม และ ไต้หวัน

ออกเดินทางสู่ต่างแดน! สัปเหร่อ ภาพยนตร์จากจักรวาลไทบ้านเดอะซีรีส์ และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรอบหลายปี ด้วยการทำเงินสูงถึง 700 ล้านบาท กำลังจะเดินทางไปเข้าฉายใน 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ในวันที่ 14 ธันวาคม, เวียดนาม ในวันที่ 15 ธันวาคม และไต้หวัน ในวันที่ 22 ธันวาคม

 

โดยก่อนหน้านี้เพจเฟซบุ๊ก Thibaan Channel ประกาศว่า สัปเหร่อ จะได้เดินทางไปเข้าฉายใน 9 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย, เมียนมา, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เตรียมเข้าฉายที่ มาเลเซีย เวียดนาม และ ไต้หวัน

 

ด้านผู้กำกับ ต้องเต-ธิติ ศรีนวล ได้กล่าวขอบคุณทีมงานเบื้องหลัง ทีมนักแสดง และผู้ชมทุกคนที่สนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หลังจากภาพยนตร์กวาดรายได้รวมทั่วประเทศผ่าน 720 ล้านบาท ระบุว่า

 

“46 วัน 720 ล้าน 

ความสำเร็จมันมักจะอยู่กับเราเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ 

และวันนี้ก็คงมาถึงวันที่ภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ค่อยๆ ทยอยออกจากโรงภาพยนตร์

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็คงจะออกจากโรงทั้งหมด ตัวหนังเองมันคงเดินทางต่อไปในแพลตฟอร์มต่างๆ ตามระบบของมัน

ขอบคุณที่เข้ามาอยู่ในความทรงจำ

ขอบคุณที่ร่วมเดินไปด้วยกันจนสุดทาง

ขอบคุณช่วงเวลาดีๆ ที่ทำให้มีรอยยิ้มเมื่อคิดถึงกัน

ขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับที่คอยให้คำแนะนำ

คอยให้กำลังใจ และคอยซัพพอร์ตตลอดการทำงานของผมนะครับ

ขอบคุณทีมงานเบื้องหลังและนักแสดงผู้ที่มีส่วนร่วมทุกคนมากๆ นะครับ ที่เชื่อมั่นในเด็กคนนี้ 

และที่ขาดไม่ได้เลยขอบคุณผู้ชมทุกท่านมากๆ นะครับ 

เรียนรู้ แก้ไข เข้าใจ เติบโต  

เจอกันใหม่กับหนังเรื่องต่อไปนะครับ

ฝากติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะครับ”

 

จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับ สัปเหร่อ ก็หวังว่าจะไม่ได้มีแค่ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่รัฐบาลมองเห็น และอยากจะผลักดันเป็น Soft Power เพราะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยังคงมีคนทำภาพยนตร์อีกมากมายที่รอคอยการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง 

 

อ้างอิง:

The post ออกเดินทางสู่ต่างแดน! สัปเหร่อ เตรียมเข้าฉายที่มาเลเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ในเดือนธันวาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ผอ.โต้งผ่าโมเดลสัปเหร่อ ดราม่าถ่ายรูปแล้วไป ที่ผ่านมาบอกจะช่วยแล้วไม่ช่วย! | THE STANDARD NOW https://thestandard.co/thestandardnow071166-2/ Wed, 08 Nov 2023 00:34:42 +0000 https://thestandard.co/?p=863485

ผอ.โต้งผ่าโมเดลสัปเหร่อ ดราม่าถ่ายรูปแล้วไป ที่ผ่านมาบอ […]

The post ชมคลิป: ผอ.โต้งผ่าโมเดลสัปเหร่อ ดราม่าถ่ายรูปแล้วไป ที่ผ่านมาบอกจะช่วยแล้วไม่ช่วย! | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผอ.โต้งผ่าโมเดลสัปเหร่อ ดราม่าถ่ายรูปแล้วไป ที่ผ่านมาบอกจะช่วยแล้วไม่ช่วย!

The post ชมคลิป: ผอ.โต้งผ่าโมเดลสัปเหร่อ ดราม่าถ่ายรูปแล้วไป ที่ผ่านมาบอกจะช่วยแล้วไม่ช่วย! | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>