การปฏิวัติวัฒนธรรมการทำงานครั้งใหญ่ที่ต้องอาศัยความกล้าจากทั้งองค์กรและพนักงานในการก้าวข้ามกรอบความคิดแบบเดิมที่ว่า ‘ยิ่งทำงานมาก ยิ่งได้ผลงานมาก’ ไปสู่แนวคิดใหม่ที่ว่า ‘ทำงานน้อยลง แต่ทำให้ดีขึ้น’ อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่

กระแส Work-Life Balance กำลังเปลี่ยนโฉมวงการแรงงานครั้งใหญ่ เมื่อผลสำรวจล่าสุดจากบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ชี้ชัดว่า คนทำงานในไทยถึง 95% พร้อมก้าวสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวัฒนธรรมการทำงานในยุคที่ ‘ความสุข’ และ ‘ประสิทธิภาพ’ ต้องไปด้วยกัน

ผลการศึกษาจากรายงาน ‘ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ : พร้อมเปลี่ยนหรือไม่ในเอเชีย’ ที่สำรวจบุคลากรและองค์กรกว่า 5,000 แห่งใน 11 ประเทศทั่วเอเชีย แสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจ แม้องค์กรในไทยถึง 77% จะมองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ แต่กลับมีเพียง 26% เท่านั้นที่วางแผนจะนำไปใช้จริงในอีก 1-2 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างความต้องการของพนักงานและความพร้อมขององค์กร

ที่น่าสนใจคือ คนไทยถึง 59% พร้อมที่จะอัดแน่นชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 2 ชั่วโมง เพื่อแลกกับการได้หยุด 3 วัน โดยที่ยังได้รับค่าจ้างเท่าเดิม และ 45% ยินดีที่จะสละการทำงานแบบไฮบริดหรือกิจกรรมทางสังคมต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัวมากกว่าความยืดหยุ่นในการทำงาน

ในขณะที่ 58% ของพนักงานเชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็มีเสียงสะท้อนจากอีกด้านที่น่าสนใจ โดย 36% กังวลเรื่องความเครียดที่อาจเพิ่มขึ้นจากการบีบอัดงานให้เสร็จในเวลาที่น้อยลง และ 27% กลัวว่าจะโดนลดค่าจ้าง ที่น่าแปลกใจคือมี 18% ที่กังวลว่าการมีเวลาว่างมากเกินไปจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ฝั่งองค์กรเองก็มีความกังวลที่หลากหลาย โดย 67% กลัวว่าจะกระทบต่อการให้บริการลูกค้าเพราะพนักงานไม่เพียงพอ, 50% กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นจากโครงการที่ล่าช้า และ 42% เป็นห่วงว่าการปรับใช้ทั่วทั้งองค์กรอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในหมู่พนักงาน สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต้องการการวางแผนและการจัดการที่รอบคอบ

ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทยของโรเบิร์ต วอลเทอร์ส มองว่า “ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญคือการพิจารณาทางเลือกที่หลากหลายที่จะได้รับประโยชน์ทั้งในมุมองค์กรและในมุมพนักงาน” สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต้องคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน

เมื่อมองไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าแต่ละประเทศมีมุมมองที่แตกต่างกัน ในมาเลเซีย 74% ของผู้สนับสนุนเชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ขณะที่ฮ่องกง 94% ขององค์กรมั่นใจว่าจะช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานได้ดีขึ้น

 ส่วนอินโดนีเซียและเกาหลีกลับเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่โครงการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตและการพัฒนาทักษะมากกว่า แสดงให้เห็นว่าแต่ละประเทศมีวิธีการจัดการกับความท้าทายด้านแรงงานที่แตกต่างกันตามบริบทของตน

ในมุมของการวิเคราะห์ การที่องค์กรไทยถึง 90% เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับภูมิภาคที่ 66% แสดงให้เห็นว่าองค์กรไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสมดุลชีวิตมากขึ้น แต่การที่มีเพียง 26% ที่พร้อมจะนำไปใช้จริง อาจสะท้อนให้เห็นถึงความกล้าๆ กลัวๆ ในการเป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

The post ‘ทำงาน 4 วัน’ สมดุลชีวิตที่คนไทย 95% พร้อมลุย ผลสำรวจชี้ องค์กรเห็นด้วย 77% แต่พร้อมทำจริงแค่ 26% appeared first on THE STANDARD.

การพยายามปรับหาสมดุลและการเพิ่มความโปรดักทีฟในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความยุ่งเหยิง มักถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ควรลงมือทำหากต้องการพัฒนาตนเองและอาชีพ แต่ทั้งนี้การรักษาสมดุลในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ทั้งด้านการงาน ความสัมพันธ์ เวลาส่วนตัว และสุขภาพก็ต้องดีด้วย ทำให้ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ยาก และหลายคนอาจคิดว่ามันจะทำได้จริงเหรอ? แต่เชื่อไหมว่าหากเรามีการวางแผนเล็กน้อย และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่าง ชีวิตที่มีความโปรดักทีฟก็เกิดขึ้นได้ และสามารถปรับสมดุลกับไลฟ์สไตล์ได้อย่างแนบเนียน ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ THE STANDARD LIFE อยากชวนทุกคนมาลองทำ

• เข้าใจว่าความสมดุลมีความหมายต่อตัวเองอย่างไร ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการแบ่งเวลาเท่าๆ กันให้กับทุกด้านในชีวิต แต่มันควรจะเกี่ยวข้องกับค่านิยมและเป้าหมายระยะยาวในชีวิต แล้วค่อยๆ ปรับการวางแผนให้มุ่งไปสู่เป้าหมายนั้นทีละก้าว
• กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างงานและเวลาส่วนตัว ควรมีเวลาทำงานที่เฉพาะเจาะจง ไม่เช็กอีเมลในช่วงเวลาที่อยู่กับครอบครัว หรือไม่นำงานกลับมาทำต่อที่บ้าน คุณควรได้ใช้วันหยุดเพื่อรักตัวเองและดูแลตัวเอง ไม่ใช่เพื่อการทำงานที่ยืดเยื้อและทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ 
• ปลูกฝังนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่สมดุล และนอนหลับที่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลอย่างมากต่อความสามารถในการรักษาสมดุลของชีวิต นิสัยที่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้จะมอบพลังงานที่ดีที่สุดทั้งต่อร่างกายและจิตใจ
• ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับการทำงานของคุณรวดเร็วแม่นยำยิ่งขึ้น แต่ควรแน่ใจว่าจะใช้อย่างเป็นประโยชน์ ไม่ทำให้มันกลายเป็นสิ่งรบกวนหรือสร้างความเครียดตามมา
• เรียนรู้จากความผิดพลาด เพราะไม่มีใครเพอร์เฟกต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในชีวิต ยอมรับ เรียนรู้ และหาทางแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำอีก เป็นหนึ่งบทเรียนในการพัฒนาและยกระดับตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
• ไม่ตัดขาดสังคม ควรสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน จะช่วยให้ชีวิตมีความสมดุลและห่างไกลจากความโดดเดี่ยว

ภาพ: Shutterstock

The post LIFE TIP: A Balanced and Productive Life ไม่ได้แปลว่าชีวิตจะต้องเพอร์เฟกต์หรือทำทุกอย่าง appeared first on THE STANDARD.

ด้วยความเคยชินในแต่ละวันของคนเรา หากไม่ลองตั้งใจสังเกตสิ่งที่ตัวเองทำอย่างละเอียด คุณอาจไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมบางอย่างนั้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับค่อยๆ ผูกปมให้ชีวิตไม่สมดุล ขาดบ้าง เกินบ้างโดยไม่รู้ตัว แต่หากเราปรับสมดุลให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม เริ่มต้นด้วยสิ่งละอันพันละน้อย กลับให้ชีวิตเข้าที่เข้าทาง ไม่ช้าก็เร็ว คุณอาจพบว่าความวุ่นวายนั้นน้อยลง และพบความสุขกับตัวเองมากขึ้น

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post 10 วิธีท้าทายตัวเอง เพื่อปรับสมดุลให้ชีวิตดี๊ดี appeared first on THE STANDARD.

‘ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน’ คำกล่าวนี้จริงแท้แค่ไหน? ผลสำรวจพบว่า ปัญหายอดฮิตติดชาร์ตของคนทำงานยุคมิลเลนเนียล (อายุระหว่าง 18-35 ปี) ของไทยคือ ขาดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว มาสำรวจกันสักนิดว่าคุณเป็น #คนรักงาน2018 หรือไม่

ภาพประกอบ: Karin Foxx

The post เผยคนทำงานยุคมิลเลนเนียลเครียด ชีวิตงาน ส่วนตัวขาดสมดุล appeared first on THE STANDARD.