ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 11 Jun 2025 10:45:54 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 การเมืองบนแผนที่: ไพ่ในมือของแต่ละฝ่าย ช่วงชิงความได้เปรียบข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา https://thestandard.co/thai-cambodia-border-dispute-map-politics/ Wed, 11 Jun 2025 10:45:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1084138 ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพู […]

The post การเมืองบนแผนที่: ไพ่ในมือของแต่ละฝ่าย ช่วงชิงความได้เปรียบข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชามิได้เป็นเพียงเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ที่ยุติลงแล้ว หากแต่ยังคงเป็นปัญหาร่วมสมัยที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

แม้กรณีปราสาทพระวิหารจะเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง แต่ความซับซ้อนของปัญหาเขตแดนยังคงปรากฏอยู่ในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และกลุ่มปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกลายเป็นจุดสนใจและก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นเป็นระยะ

 

ต้นตอข้อพิพาท ที่มาของความขัดแย้ง

 

ต้นตอของปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาส่วนใหญ่หยั่งรากลึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะสนธิสัญญาที่สยามทำไว้กับฝรั่งเศสในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงที่กัมพูชาอยู่ภายใต้อารักขาของฝรั่งเศส รวมถึงแผนที่ที่จัดทำขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ประกอบด้วย

 

1. อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2446 ตามปฏิทินเก่า หรือ พ.ศ. 2447 ตามปฏิทินปัจจุบัน):

 

อนุสัญญาฉบับนี้มีความสำคัญเนื่องจากข้อ 1 ได้กำหนดให้เขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสในบางช่วง โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ให้ใช้แนว ‘สันปันน้ำ’ (watershed) เป็นเกณฑ์ นอกจากนี้ ข้อ 3 ของอนุสัญญายังระบุให้มีการตั้งข้าหลวงผสม (สยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส) หรือคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสม (Mixed Boundary Commission) ขึ้น เพื่อทำการกำหนดรายละเอียดของเส้นเขตแดนและจัดทำแผนที่ 

 

2. สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450)

 

สนธิสัญญาฉบับนี้ถือเป็นฉบับสำคัญที่สุดที่ใช้กำหนดเส้นเขตแดนส่วนใหญ่ระหว่างไทยกับกัมพูชามาจนถึงปัจจุบัน มีการแลกเปลี่ยนดินแดนครั้งสำคัญ โดยสยามยกเมืองพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณ ให้กับอินโดจีนฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการที่ฝรั่งเศสคืนเมืองด่านซ้าย (จังหวัดเลยในปัจจุบัน) และตราด รวมถึงเกาะต่างๆ จนถึงแหลมสิงห์ให้กับสยาม 

 

สนธิสัญญาฉบับนี้ยังมีหนังสือสัญญาต่อท้าย (Protocole concernant la délimitation des frontières et l’application du Traité du 23 Mars 1907) ซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมชุดเดิมหรือชุดใหม่ 

 

เส้นสันปันน้ำ (Watershed Line) ที่ระบุในอนุสัญญาปี 1904 นั้น เป็นหลักการทางภูมิศาสตร์ที่ใช้แนวสันเขาสูงสุดซึ่งแบ่งน้ำให้ไหลไปยังคนละทิศทางเป็นเส้นเขตแดน หลักการนี้ถูกนำมาใช้เนื่องจากเป็นลักษณะทางธรรมชาติที่เห็นได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปัญหาได้เกิดขึ้นเมื่อเส้นที่ปรากฏในแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นในภายหลัง โดยเฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้น ไม่สอดคล้องกับแนวสันปันน้ำตามสภาพภูมิประเทศจริงในหลายจุด 

 

ความไม่สอดคล้องกันระหว่างหลักการในสนธิสัญญาคือ สันปันน้ำ กับ ผลลัพธ์ที่ปรากฏในแผนที่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในการตีความที่สืบเนื่องมา นอกจากนี้ ความไม่สมบูรณ์ของกระบวนการปักปันเขตแดนในอดีต เช่น ประเด็นที่ฝ่ายไทยยกขึ้นว่าคณะกรรมการผสมฯ อาจสลายตัวไปก่อนที่แผนที่บางชุดจะจัดพิมพ์เสร็จสมบูรณ์และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการตามขั้นตอนที่ตกลงกันไว้ในอนุสัญญา ย่อมส่งผลต่อความผูกพันทางกฎหมายของแผนที่นั้นๆ

 

ปัญหาเรื่องแผนที่ มาตราส่วนและการตีความ

 

ความขัดแย้งเรื่องแผนที่เป็นหัวใจสำคัญของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายยึดถือแผนที่คนละชุดเป็นหลักในการอ้างสิทธิ์

 

ล่าสุดมีรายงานว่า กัมพูชาได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่เพื่อเตรียมนำ 4 ข้อพิพาท ประกอบด้วย พื้นที่มุมไบหรือช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ยื่นฟ้องต่อ ICJ หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) และได้แต่งตั้งบุคคลต่างๆ เข้ารับตำแหน่ง โดยเฉพาะ ลัม เจีย รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชายแดนของกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

 

มีข้อมูลระบุว่าฝ่ายกัมพูชาได้อ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:10,000 ที่อ้างว่าจัดทำโดยคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ. 1908 ตามการเปิดเผยของ ลัม เจีย ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวจะทำให้แผนที่มีความละเอียดสูงขึ้น และ ลัม เจีย เคยอ้างว่า หากอ้างอิงตามแผนที่ฉบับนี้ จะเห็นว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน 2 หลัง (ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด) ตั้งอยู่ในอาณาเขตอธิปไตยของกัมพูชา อีกทั้งฝ่ายไทยก็ให้การยอมรับแผนที่นี้ สืบเนื่องจากสนธิสัญญาระหว่างไทยและฝรั่งเศส

 

ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ชุด L7017 และ L7018 ซึ่งจัดทำโดยกรมแผนที่ทหารของไทยในยุคสงครามเย็น โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาในการสำรวจและจัดทำ อาศัยเทคโนโลยีการสำรวจทางอากาศและภาพถ่ายทางอากาศที่ทันสมัยกว่า ทำให้มีความละเอียดและความถูกต้องแม่นยำทางภูมิศาสตร์สูงกว่าแผนที่ที่จัดทำขึ้นในสมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มาก 

 

ฝ่ายไทยเห็นว่าแผนที่ 1:50,000 นี้สะท้อนแนวสันปันน้ำตามสภาพภูมิประเทศจริงได้ถูกต้องแม่นยำกว่า และควรใช้เป็นพื้นฐานในการสำรวจและปักปันเขตแดนในพื้นที่ที่ยังคงเป็นปัญหาหรือยังไม่มีการปักปันหลักเขตที่ชัดเจน

 

ไทยมุ่งสู่ JBC กัมพูชามุ่งสู่ศาลโลก

 

ความแตกต่างในมาตราส่วนของแผนที่ซึ่งแต่ละฝ่ายอ้างถึง ย่อมส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการกำหนดเส้นเขตแดน สำหรับแผนที่มาตราส่วน 1:10,000 ระยะทาง 1 เซนติเมตรบนแผนที่เท่ากับ 10,000 เซนติเมตร หรือ 100 เมตรในสภาพภูมิประเทศจริง ซึ่งจะมีความละเอียดสูงกว่าแผนที่ 1:50,000 ถึง 5 เท่า 

 

ผลที่ตามมาคือ ความละเอียดที่สูงมากของแผนที่ 1:10,000 จะทำให้การลากเส้นสันปันน้ำมีความแม่นยำในระดับรายละเอียดปลีกย่อยมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของข้อมูลตั้งต้นที่ใช้ในการจัดทำแผนที่นั้นด้วย

 

ความขัดแย้งเรื่องแผนที่นี้จึงเป็นมากกว่าข้อพิพาททางเทคนิค แต่สะท้อนถึงสงครามการตีความประวัติศาสตร์และกฎหมาย โดยแต่ละฝ่ายเลือกใช้เครื่องมือหรือแผนที่ ที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่การอ้างสิทธิ์ของตนเอง ประเด็นที่ควรพิจารณาต่อไปคือ ในการประชุม JBC ระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชาที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ คาดหมายได้ว่าแต่ละฝ่ายจะนำหลักฐานทั้งหลายมาเปิดเผยและหารือกัน 

 

อย่างไรก็ดี จากท่าทีของฝ่ายกัมพูชาที่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับว่า พร้อมจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ตลอดจนตั้งคณะกรรมาธิการชุดใหญ่เข้าสู่ศาลโลก พร้อมหลักฐานที่ถือความได้เปรียบเหนือฝ่ายไทยอยู่ จึงต้องจับตาว่า การประชุม JBC ที่จะถึงนี้ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือจะมีเหตุให้เลื่อนหรือยกเลิกไปก่อน

 

ขณะที่ฝ่ายไทยเอง ก็มีสัญญาณของหลักฐานใหม่เข้าสู่กลไก JBC ภายหลังปรากฏว่าได้มีการเผยแพร่ข้อมูลอ้างอิงตามสื่อต่างๆ เมื่อวานนี้ (10 มิถุนายน) กระทั่ง พล.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ขอความร่วมมือ ให้ระมัดระวังการเผยแพร่ต่อ 

 

“เนื่องจากทางราชการอาจต้องนำไปใช้เป็นองค์ประกอบอ้างอิง ในห้วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับกระบวนการพูดคุยเจรจา สำหรับการแก้ปัญหากรณีข้อพิพาท เพื่อให้ผลลัพธ์ของกระบวนการทำงาน ในช่วงจากนี้ไป มีความสมบูรณ์มากที่สุด” โฆษก ทบ. ระบุ

 

สถานการณ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศเวลานี้ จึงไม่ต่างจากการเก็บงำไพ่ในมือเพื่อเตรียมวางลงต่อรองในช่วงเวลาที่เหมาะสม ปัญหาอยู่ที่ทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งใจจะสู้ต่างเวทีกัน ขณะที่ฝ่ายไทยมุ่งหมายจะใช้กลไกการประชุม JBC กัมพูชาก็หวังจะรวบรัดเข้าสู่ศาลโลก

 

คำถามจึงย้อนกลับมาทางรัฐบาลไทยเวลานี้ ที่ยืนยันว่าจะไม่ร่วมในกระบวนการของศาลโลกแต่ยังสงวนท่าทีเงียบอยู่ เวลานี้อาจกำลังเตรียมเหตุผลเพื่อคัดค้านกระบวนการของศาลโลก ทั้งข้ออ้างว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจศาล ใช้กลไกทวิภาคีจะเหมาะสมกว่า หรืออ้างการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชามากเกือบ 651 ครั้ง เพื่อยืนพื้นเป็นข้อต่อสู้ในการชี้แจงต่อศาลโลกให้ได้

 

อ้างอิง:

The post การเมืองบนแผนที่: ไพ่ในมือของแต่ละฝ่าย ช่วงชิงความได้เปรียบข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลออกแถลงการณ์ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ฉบับที่ 2 ยืนยันไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ขอใช้กรอบ JBC แก้ปัญหา ร่วมประชุม 14 มิ.ย. นี้ https://thestandard.co/thai-government-statement-2-no-icj/ Fri, 06 Jun 2025 03:08:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1082270

วานนี้ (5 มิถุนายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนาย […]

The post รัฐบาลออกแถลงการณ์ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ฉบับที่ 2 ยืนยันไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ขอใช้กรอบ JBC แก้ปัญหา ร่วมประชุม 14 มิ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วานนี้ (5 มิถุนายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น เวลา 16.30 น. รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์กรณีดังกล่าว เป็นฉบับที่ 2 ดังนี้

 

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายได้หารือและตกลงกันที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไข ปัญหา ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission: JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย กัมพูชา ซึ่งเป็นผลมาจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568

 

ทั้งนี้ ตามที่กัมพูชาแสดงความตั้งใจที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice: ICJ) นั้น

 

ประเทศไทยประกาศว่าไม่ยอมรับในเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน โดยทั้งสองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นปัญหาชายแดนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก สิ่งที่สำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป ซึ่งจะสร้างความซับซ้อนของปัญหามากขึ้น

 

ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นฝ่ายใดได้รับความสูญเสียใดๆ และประเทศไทย-กัมพูชา มีกลไกเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว ซึ่งกลไกดังกล่าวโดยเฉพาะการทำงานของ JBC ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด

 

ดังเช่นในกรณีของสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และบ้านสตึงบท ตำบลปอยเปต อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย) และการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ไทย กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี กับบ้านปรม จังหวัดไพลิน กัมพูชา

 

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงถึงความปรารถนาเช่นเดียวกันในการร่วมมือกับไทยในลักษณะที่สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของเราในสันติภาพ เสถียรภาพ และการเคารพซึ่งกันและกัน

The post รัฐบาลออกแถลงการณ์ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ฉบับที่ 2 ยืนยันไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ขอใช้กรอบ JBC แก้ปัญหา ร่วมประชุม 14 มิ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภูมิธรรมชี้เลอะเทอะ ปมรองนายกฯ กัมพูชาไม่ให้ปิดด่าน มุ่งเจรจาปัญหาชายแดนอย่างสันติ ยืนยันไทยไม่รับอำนาจศาลโลก https://thestandard.co/phumtham-dismisses-cambodia-gate-claim/ Wed, 04 Jun 2025 05:06:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1081708

วันนี้ (4 มิถุนายน) เวลา 09.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิ […]

The post ภูมิธรรมชี้เลอะเทอะ ปมรองนายกฯ กัมพูชาไม่ให้ปิดด่าน มุ่งเจรจาปัญหาชายแดนอย่างสันติ ยืนยันไทยไม่รับอำนาจศาลโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (4 มิถุนายน) เวลา 09.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลออกแถลงการณ์การแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชาโดยยึด 3 กลไก จะสามารถตัดเรื่องการนำไปสู่ศาลโลกได้หรือไม่ ว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการหารือร่วมกัน สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กองทัพบก (ทบ.) กระทรวงการต่างประเทศ

 

ภูมิธรรมกล่าวว่า สิ่งที่แถลงคือจุดยืนของรัฐบาล โดยอยากให้ประชาชนไปดูและศึกษา ซึ่งในแถลงมีเรื่องของจุดยืนอธิปไตยของประเทศ ยึดมั่นในบูรณภาพเหนือดินแดนไทย รวมถึงสิทธิทางกฎหมายของไทย และแก้ไขปัญหาโดยหลีกเลี่ยงความรุนแรง ซึ่งปัจจุบันนี้รัฐบาลดำเนินการไปตามขั้นตอน และข้อเท็จจริงที่รับรู้ เราไม่ได้ทำตามอารมณ์ หรือความต้องการของใคร แต่ดำเนินการภายใต้การปกป้องของอธิปไตย

 

ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า บางเรื่องเราไม่ได้เอ่ยถึงเพราะเขาพยายามขยายวงไปถึงศาลโลก เราพยายามจะจำกัดวงไม่ให้ไปถึงจุดนั้น เราจะพูดเฉพาะจุดปะทะ และยึด MOU 43 เนื่องจากง่ายในการหาข้อสรุปร่วมกันได้ ขณะนี้สิ่งที่เกิดปัญหาบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว เรากลับมาดูตรงนี้

 

ส่วนพื้นที่อื่นยังไม่มีอะไรรุนแรง เราอย่าไปเล่นเกมตามเขา เพราะจะกลายเป็นประเด็นที่นานาชาติเข้ามาและเรามั่นใจในจุดยืนของกระทรวงกลาโหมและกองทัพ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของชาติ ซึ่งจะกระทบกับเอกราชและดินแดนของประเทศไทย ไม่อยากให้ขยายวงกว้าง

 

ปัจจุบันรัฐบาลพยายามจำกัดวงปมความขัดแย้ง เนื่องจากมีเรื่องที่จะต้องไปเจรจาต่อรองรวมถึงเรื่องทางเทคนิค ซึ่งสิ่งที่เราได้พูดคุยกับทางกัมพูชา และนายกฯ ไทยได้คุยกับนายกฯ กัมพูชา ตนก็พูดคุยกับรองนายกฯ กัมพูชา ทุกฝ่ายยอมรับแล้วว่าในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 จะมีการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เขตแดนไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เราควรจะคิดไปทีละขั้น หากการประชุมในครั้งนี้หาข้อยุติไม่ได้ ก็ต้องดูว่ามีกลไกอะไรอีก

 

ภูมิธรรมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลเตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว ในการต่อสู้ในแง่ของกฎหมาย การเจรจาร่วมตามกลไกต่างๆ และหากมีความจำเป็นทหารเตรียมการในแนวหน้าไว้หมดแล้ว ไม่อยากให้มีการปลุกปั่นหรือตำหนิกัน ซึ่งวันนี้แกนนำฝ่ายค้านก็มีโทนเสียงที่ดีขึ้น ไม่ใช่พูดตามอารมณ์และเอามัน เพราะเรื่องนี้ผิดพลาดนิดเดียวเสียหายใหญ่หลวง เราอยากได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนเหมือนจากที่ประเทศกัมพูชาได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนของประเทศเขาเอง อยากให้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาไม่ใช่มานั่งตำหนิรัฐบาล

 

ขณะเดียวกันการปิดด่าน ก็มีกระบวนการขั้นตอนไม่ใช่ปิดไปทั่ว เรามีวิธีที่จะดำเนินการอยู่แล้ว ไม่อยากจะไปพูดว่าเราดำเนินการในขั้นตอนไหนบ้าง เพราะไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ อย่าไปอยากรู้มาก เพราะการเปิดเผยมากเกินไปก็จะสร้างความยุ่งยากในการเจรจา

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากระแสประชาชนไม่พอใจกับท่าทีของนายกฯ และนายภูมิธรรม ภูมิธรรม กล่าวว่า เราอยากลดความขัดแย้งไม่อยากยกระดับ ไปสู่ปัญหาระดับโลก ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาอีกมากมาย จะเรียกว่าเราใจเย็นก็ได้ เขา กำลังร้อนเราก็เอาน้ำเย็นลูบ หากมองว่าเราไม่แสดงท่าทีก็พูดได้

 

แต่ในทางปฏิบัติได้เตรียมไว้หมดแล้ว แล้วยืนยันว่ามีความเข้าใจอันดีกับกองทัพ รวมถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ก็ได้คุยกันตลอด ไม่มีอะไรเลยที่เป็นปัญหา วันนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองที่ฝ่ายค้านและรัฐบาลจะมาโต้แย้งกัน เรามีจุดยืนว่าจะเจรจาเรื่องสันติ หาอนาคตจะนำไปสู่ความรุนแรง บรรทัดสุดท้ายเราก็มีความพร้อมหมด

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ายุทธศาสตร์ที่รัฐบาลเตรียมไว้ ไม่มีประเด็นเรื่องของการนำไปสู่ศาลโลกใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่มีมติ ครม. 12 มีนาคม 2567 โดยยืนยันว่ามีหนังสือลงวันที่ 19 มีนาคม 2567 แจ้งให้หน่วยราชการทุกหน่วยทราบและให้ถือเป็นข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ว่าในการทำหนังสือสัญญา ระหว่างประเทศใดๆ ให้ทำข้อกำหนด ไว้ว่า ไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลไอซีเจ (ศาลโลก) ในทุกเรื่อง โดยให้เหตุผลว่าเพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ มันชัดเจนอยู่แล้ว

 

ภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ต้องถามเลยประเด็นนี้ และตนไม่อยากนำเรื่องนี้มาพูดให้มันกระจายไป ในขณะที่ประชาชนก็พยายามทำความเข้าใจ ในโซเชียลมีเดียที่ดูเหมือนจะเป็นเสียงของประชาชน เชื่อว่ามีการทำไอโอขึ้นมา พร้อมทั้งยืนยันว่าในชีวิตนี้ตนไม่เคยเจอกับ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา หลังจากที่เอไอทำรูปสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ลูบหัวตน

 

ส่วนกระแสข่าวปลดแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ไม่รู้ว่าไปเอาข่าวมาจากไหน นี่คือการปลุกปั่นประชาชนให้เกิดความระแวงแทงใจ ขอย้ำว่าเรื่องนี้สำคัญและจะกระทบกับเอกราชอธิปไตยถ้าเราเดินไม่ดี เราหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามเพราะเห็นแก่ประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงทหารที่ดูแลปกป้องอธิปไตย ซึ่งทหารไม่กลัวเพราะพร้อมรบตลอดเวลาอยู่แล้ว ทุกอย่างที่ได้วางไว้มีไทม์ไลน์ไว้ทั้งหมด

 

“ถ้าจะต่อสู้ทหารของชาติพร้อมอยู่แล้ว วันนี้ทำหน้าที่อย่างดี ยอมรับว่าคนของเราก็มีความอึดอัดในสถานการณ์ดังกล่าว แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่าอะไรคือการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาของชาติได้มากที่สุด อยากให้เข้าใจสิ่งนี้และให้อยากช่วยรัฐบาลด้วย ส่วนที่มีการพบระเบิดในชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ยังไม่รู้เลยว่าจริงหรือไม่ ยังไม่ได้รับรายงาน โซเชียลรู้ก่อนตนซึ่งขอให้รอทางฝ่ายปฏิบัติ บางครั้งข้อมูลในโซเชียลมีเดียมีทั้งจริงและไม่จริง”

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แต่มีข้อมูลชัดเจนว่าทหารกัมพูชาล้ำก็มาในเขตแดนไทย 200 เมตร เป็นที่มาของการเสนอปิดด่าน เพื่อกดดันให้ออกจากจุดนั้นแต่มีการสั่งให้ชะลอการปิดด่านเอาไว้ก่อน ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชาไปแล้ว ภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ด่านต่างๆ ยังไม่ได้ได้รับผลกระทบอะไร และ ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทหารพยายามเสนอปิดด่าน เพื่อไปกดดันให้ทหารกัมพูชาถอนกำลังออกจาก 200 เมตร ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีกระบวนการอยู่แล้ว ขอให้เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่าในจุดนั้นทหารกัมพูชาพึ่งล่วงล้ำมา ภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องเอาหลักฐานทางอากาศมาชี้แจงกันซึ่งจะตอบโจทย์ทุกอย่าง อยากให้รอ

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่าทางกัมพูชาย้ำออกมาได้มีการได้เปรียบไทยแล้ว ทางทหารจึงได้ขอให้ภูมิธรรมปิดด่านเพื่อกดดัน ภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ใช่ อยากให้ใจเย็น ล้ำหรือไม่ล้ำมันมีแผนที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่นั้นอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างประกาศอาณาเขต ซึ่งฝ่ายไหนเป็นคนละเมิดกลไกใน MOU 43 จะดำเนินการเอง ซึ่งในแนวหน้ายังไม่ไปสู่จุดที่ปะทะกัน ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ยืนยันกับตน เราอยู่ในจุดที่เขาล้ำเข้ามาในไทยไม่ได้เด็ดขาด แต่จุดที่เป็นปัญหาอยู่เป็นจุดที่อยู่ในจุดที่อ้างสิทธิ์กัน

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งว่าอย่างไรในเรื่องของการติดตาม ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เขาไม่ได้แจ้งว่าจะขอปิดด่าน เค้าแจ้งว่าหากถึงจุดหนึ่งก็จะขอปิดด่าน ซึ่งตนก็บอกว่าปิดได้อยู่แล้ว แต่มองว่าในขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่จะไปถึงจุดนั้น ซึ่งเราก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะปิดด่าน ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์แต่ละวัน

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำว่ากัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย 200 เมตรนั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า ขอให้ไปดูในเวที JBC

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระแสข่าว พล.อ. เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้โทรศัพท์มาหาเพื่อให้ปิดด่าน ภูมิธรรม กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “อันนี้เลอะเทอะ” แต่ยอมรับว่าได้โทรคุยกันจริง แต่ไม่ได้คุยกันมาก คุยเฉพาะบางส่วนที่เกี่ยวข้อง ในฐานะผู้นำระดับสูงของกัมพูชา คือประเด็นสำคัญคือการอยากให้ใช้กลไก JBC และไม่ให้เกิดความรุนแรง อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายแยกออกจากกัน เรายังไม่เคยพูดเรื่องปิดด่านเลย และมีการต่อรองให้มีการจัดประชุม JBC ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีกระแสปลุกปั่นให้เกิดการรัฐประหารนั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไรเป็นความเห็นของแต่ละคน แต่เชื่อว่ารัฐบาล ทหาร กองทัพคุยกันดีอยู่แล้ว

 

ส่วนความคืบหน้าเรือดำน้ำกับเรื่องเครื่องบินกริพเพนจะเข้าที่ประชุม ครม. หรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ยังไม่เข้า ส่วนที่กองทัพอากาศเตรียมแถลงเครื่องบินรบฝูงใหม่เป็นเครื่องบินกริพเพนนั้น กองทัพอากาศสามารถดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ต้องรอสัญญาณจากรัฐบาล จะแถลงอย่างไรก็ได้ แต่ถ้ายังไม่นำเข้า ครม. ก็ยังไม่มีผลอะไร

The post ภูมิธรรมชี้เลอะเทอะ ปมรองนายกฯ กัมพูชาไม่ให้ปิดด่าน มุ่งเจรจาปัญหาชายแดนอย่างสันติ ยืนยันไทยไม่รับอำนาจศาลโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐมนตรีต่างประเทศติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาใกล้ชิด ย้ำไทยปฏิบัติตามหลักสากล https://thestandard.co/maris-thai-cambodia-border/ Mon, 02 Jun 2025 12:22:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1081446

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดิ […]

The post รัฐมนตรีต่างประเทศติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาใกล้ชิด ย้ำไทยปฏิบัติตามหลักสากล appeared first on THE STANDARD.

]]>

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางถึงกรุงปารีส ฝรั่งเศส เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี OECD ในระดับรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (3 มิถุนายน) พร้อมเผยว่า ตนเองและกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง และได้สั่งการให้ปลัดกต.เรียกประชุมกรมกองที่เกี่ยวข้อง รวบรวมหลักฐาน โดยเฉพาะข้อกฎหมาย เพื่อเตรียมท่าที สำหรับเจรจาในกรอบ JBC กับฝ่ายกัมพูชา เร็วๆ นี้ 

 

มาริษระบุว่า เราจะต้องใช้ยุทธศาสตร์ที่เรามีทุกอย่างไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดคืออยากจะเห็นนโยบายที่เราจะต้องเจรจา และหาทางแก้ไขปัญหานี้ ‘อย่างสันติ’ ไม่นำไปสู่การขยายตัวของความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องหาทาง ‘แก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ไม่ใช้กำลัง’ จึงเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นสิ่งที่นักการทูตจำเป็นจะต้องใช้ 

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการไปเจรจาในกรอบของ JBC ที่จะมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งเราจะสามารถเจรจาหารือกันได้หรือไม่ได้นั้น ตนไม่สามารถที่จะการันตีได้ แต่ว่า JBC เป็นกลไกสำคัญที่ไทยกับกัมพูชามีร่วมกัน เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ทั้งนี้ประเทศไทยได้ผลักดันกับทางกัมพูชา ที่จะขอให้มีการจัดการประชุม JBC โดยเร็วที่สุด ขณะนี้กัมพูชาจะต้องเป็นเจ้าภาพการประชุม แต่ตนก็ยืนยันไปด้วยว่า ถ้ากัมพูชายังไม่มีความพร้อม ประเทศไทยพร้อมจัด เนื่องจากเราเห็นความสำคัญของกลไกนี้ ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาใน 2 ด้าน คือ 1. การลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้น และ 2. การมานั่งพูดคุยว่าเราจะกำหนด หรือหาทางแก้ไขเส้นเขตแดนระหว่างประเทศได้อย่างไร 

 

ในเรื่องการกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้น ไทยมีหนังสือประท้วงกับฝ่ายกัมพูชาไปแล้วด้วยเช่นกัน ว่าการกระทำของเรานั้นเป็นไป ‘ตามหลักสากล’  และเราต้องการที่จะแสดงการยืนยันสิทธิของเราในเรื่องอำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน และมีหนังสือไปแล้ว พูดอย่างชัดเจนว่าเราดำเนินการด้วยความเหมาะสม เป็นไปตามกลไกของกฎหมายระหว่างประเทศ และการปฏิบัติอย่างสากลทุกประการ 

 

ทั้งนี้ ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ ตอนกลับไปถึงประเทศไทย รัฐมนตรีต่างประเทศได้กำหนดที่จะเรียกผู้บริหารทั้งหมด ประชุมกำหนดท่าทีของเราให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ขอย้ำว่าตนประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา และเรียกประชุมทางออนไลน์กับกระทรวงการต่างประเทศเป็นระยะๆ เมื่อมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง 

 

ส่วนกรณีที่ผู้นำกัมพูชา ขอให้สภา ลงมติส่งข้อพิพาทไปยังศาลโลก กังวลว่าจะกระทบกับ JBC หรือไม่ มาริษยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกันเลย ซึ่งก็เป็นสิทธิที่ประเทศกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไรก็ได้ และก็เป็นสิทธิของประเทศไทยที่เราจะตัดสินใจอย่างไร เพราะประเทศไทยเราก็มีท่าทีชัดเจน ซึ่งในท้ายที่สุด ตนได้สั่งการให้ ปลัดกต. ได้มองภาพรวมให้เห็นอย่างชัดเจน กำหนดท่าที เพื่อที่จะวางนโยบายยุทธศาสตร์ ที่เราจะไปเจรจากับประเทศกัมพูชา ขณะเดียวกันก็กำหนดมาตรฐานของเราว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งในกรอบของทวิภาคีความสัมพันธ์ระหว่างกัน รวมทั้งใช้กลไกที่มีอยู่ระหว่างประเทศด้วย  

 

ภาพ: กระทรวงการต่างประเทศ

 

อ้างอิง:

  • กระทรวงการต่างประเทศ

The post รัฐมนตรีต่างประเทศติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาใกล้ชิด ย้ำไทยปฏิบัติตามหลักสากล appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภูมิธรรมยืนยัน ไม่ปิดด่านชายแดน หวั่นกระทบเศรษฐกิจ ย้ำรัฐบาลและกองทัพทำงานร่วมกันเป็นเอกภาพ https://thestandard.co/no-border-closure-economy-concerns/ Mon, 02 Jun 2025 12:06:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1081443

วันนี้ (2 มิถุนายน) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี แล […]

The post ภูมิธรรมยืนยัน ไม่ปิดด่านชายแดน หวั่นกระทบเศรษฐกิจ ย้ำรัฐบาลและกองทัพทำงานร่วมกันเป็นเอกภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (2 มิถุนายน) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่า เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน ตามที่มีข่าวกระจายกันในแวดวงสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหารในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อปัญหาการจัดการระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปิดด่านชายแดน

 

“ผมขอยืนยันว่าผมกับกองทัพฯ ได้หารือร่วมกันหลายครั้ง และเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางออกในการคลี่คลายวิกฤติ โดยยึดผลประโยชน์ประชาชนและอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ เราจึงกำหนดขอบเขตในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามลดเงื่อนไข ที่จะระงับยับยั้งมิให้เหตุการณ์ความขัดแย้งขยายตัวมากไปกว่านี้”

 

สำหรับเรื่องการปิดชายแดนขณะนี้ รัฐบาลเห็นว่าท่าทีและการแสดงออกของทั้งสองประเทศ ยังเป็นการแสดงออกที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้ เพราะการปิดด่านชายแดนแม้ไม่ใช่เรื่องการสู้รบทางตรง แต่กลับจะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะกระทบกับวิถีชีวิตประชาชน ทำให้สถานการณ์ยากต่อการคลี่คลาย

 

แต่ขณะเดียวกันกองทัพก็ตั้งอยู่ในความระมัดระวังและไม่ได้ละเลยในการปกป้องตนเองและอธิปไตยเหนือดินแดน ขณะนี้รัฐบาลร่วมกับกำลังเหล่าทัพและกระทรวงการต่างประเทศ กำลังใช้กลไก JBC เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดเวทีถกเถียงตามข้อเท็จจริงตามกฎหมาย

 

“ผมจึงขอเรียนชี้แจงยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพและมีพันธสัญญาที่มั่นคงในการรักษาความสงบสุขให้ประชาชนได้รับประโยชน์และความปลอดภัยมากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าเราจะหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความสูญเสียทั้งสองฝ่ายในทุกด้าน”

 

ภูมิธรรมระบุว่า ที่ผ่านมาเราร่วมกันใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ทั้งการประชุม หารือ การศึกษาข้อมูล และผลกระทบด้านต่างๆ เพื่อจะให้การจัดการความขัดแย้งในครั้งนี้มีทางเลือกที่เหมาะสม จนสามารถดำเนินการให้ยุติลงด้วยวิถีทางตามหลักสันติภาพ และยุติธรรมในที่สุด เพื่อผลประโยชน์และความสงบสันติของประชาชนทุกฝ่าย

The post ภูมิธรรมยืนยัน ไม่ปิดด่านชายแดน หวั่นกระทบเศรษฐกิจ ย้ำรัฐบาลและกองทัพทำงานร่วมกันเป็นเอกภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟ้องศาลโลกไม่ได้ง่าย: วิเคราะห์โอกาส ความเสี่ยง และหมากต่อไปของรัฐบาลกัมพูชา https://thestandard.co/cambodias-icj-case-challenges/ Mon, 02 Jun 2025 11:56:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1081440

วันนี้ (2 มิถุนายน) ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำศูนย […]

The post ฟ้องศาลโลกไม่ได้ง่าย: วิเคราะห์โอกาส ความเสี่ยง และหมากต่อไปของรัฐบาลกัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (2 มิถุนายน) ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกัมพูชาล่าสุด หลังนายกรัฐมนตรีกัมพูชาประกาศชัด เตรียมเดินหน้าฟ้องไทยในประเด็นพิพาทบริเวณ ‘สามเหลี่ยมมรกต’ ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

 

ดร.ภัทรพงษ์ ชี้ว่า ‘กำแพงด่านแรก’ ที่กัมพูชาต้องเผชิญคือ ‘เขตอำนาจศาล’ โดยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ศาลโลกจะมีเขตอำนาจได้ ก็ต่อเมื่อรัฐคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ให้ความยินยอมเท่านั้น

 

ในกรณีของไทย แม้จะเคยประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกในอดีตเมื่อราวร้อยปีก่อน แต่ภายหลังจากคำพิพากษาคดีพระวิหารในปี 1962 ไทยก็ไม่เคยยอมรับเขตอำนาจแบบทั่วไปอีกเลย ทำให้คดีในครั้งนี้ซึ่งถือเป็น ‘ข้อพิพาทใหม่’ ไม่สามารถอิงคำพิพากษาเดิมเหมือนคดีเมื่อสิบปีก่อนได้

 

ดร.ภัทรพงษ์ เสนอว่า หากกัมพูชาต้องการนำคดีเข้าสู่ศาลโลก มีเพียง 3 แนวทางให้เลือก

 

1. เจรจาตกลงกับไทยเพื่อฟ้องคดีร่วมกัน แนวทางนี้ขึ้นอยู่กับความยินยอมจากไทยโดยสมบูรณ์

 

2. ค้นหาสนธิสัญญาที่ทั้งสองประเทศเป็นภาคี และเปิดช่องให้ฟ้องศาลโลกได้โดยฝ่ายเดียว ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก

 

3. ยื่นฟ้องฝ่ายเดียวแบบ Forum Prorogatum โดยเชิญชวนให้ไทยยอมรับอำนาจศาลภายหลัง ซึ่งหากไทยไม่ยอมรับ คดีก็จะไม่เข้าสู่สารบบของศาล

 

แนวทางสุดท้ายนี้อาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกัมพูชา แม้ศาลจะไม่สามารถดำเนินคดีได้ แต่การยื่นฟ้องเพียงอย่างเดียวก็อาจเพียงพอในการสร้างกระแสภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่กัมพูชามีประเด็นทางการเมืองภายในที่ต้องการ

 

ทั้งนี้ ดร.ภัทรพงษ์ คาดว่า หากกัมพูชาเลือกยื่นฟ้องแบบ Forum Prorogatum จริง ก็อาจมีการร้องขอให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว (Provisional Measures) โดยอ้างว่าเกิดการใช้กำลังและอาจลุกลามได้ อย่างไรก็ตาม ตามหลักกฎหมาย ศาลจะออกคำสั่งชั่วคราวได้ก็ต่อเมื่อ ‘น่าจะมีเขตอำนาจ’ ซึ่งในกรณีนี้ยังไม่มี จึงเป็นไปได้ยาก

 

ดร.ภัทรพงษ์ ชี้ให้เห็นยุทธศาสตร์ของกัมพูชาที่เคยใช้ ‘การฟ้องศาลโลก’ เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยมในประเทศ เช่นเดียวกับเมื่อสิบปีก่อนที่มีการฟ้องคดีพระวิหารในจังหวะใกล้เลือกตั้ง และร้องขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาล

 

“ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันนัก” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว

 

ขั้นตอนถัดไป หากกัมพูชาจะเดินหน้าจริง คงต้องส่งหนังสือชี้แจงมายังรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการว่า มีข้อพิพาทในประเด็นใด และมีจุดยืนในเรื่องนั้นอย่างไร เพราะตามแนวปฏิบัติของศาลในปัจจุบัน หากรัฐหนึ่งฟ้องอีกฝ่าย โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้หรือไม่เข้าใจข้อพิพาทอย่างชัดเจน ศาลอาจไม่รับว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นจริง

 

ประเด็นนี้จึงยังต้องจับตาว่ากัมพูชาจะเดินเกมต่อไปอย่างไร และรัฐบาลไทยจะตอบสนองอย่างไรในเวทีระหว่างประเทศ

The post ฟ้องศาลโลกไม่ได้ง่าย: วิเคราะห์โอกาส ความเสี่ยง และหมากต่อไปของรัฐบาลกัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
กัมพูชาฟ้องศาลโลก ทำได้หรือไม่ กระทบอะไรกับไทย https://thestandard.co/opinion-cambodia-sues-at-icj/ Mon, 02 Jun 2025 11:13:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1081425

ในเรื่องความขัดแย้งด้านดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น เรา […]

The post กัมพูชาฟ้องศาลโลก ทำได้หรือไม่ กระทบอะไรกับไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในเรื่องความขัดแย้งด้านดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น เราจะเห็นว่ากัมพูชาจะใช้เทคนิค ‘การไม่เล่นตามกติกาถ้าเสียเปรียบ’ แต่จะ ‘อ้างกติกาถ้าได้เปรียบ’ ซึ่งทำให้ชายแดนไทย-กัมพูชามีปัญหาต่างจากชายแดนด้านอื่น เทคนิคเหล่านั้น เช่น การไม่สนใจ MOU 43 ที่ตนเองลงนามและห้ามดัดแปลงพื้นที่ใดๆ ที่ยังไม่ปักปันเขตแดน แต่ใช้วิธีการให้กำลังทหารขนาดเล็กเข้ามาดัดแปลงพื้นที่ หรือใช้ชาวบ้านเข้ามาตั้งรกราก เมื่อถูกทักท้วงหรือผลักดันก็อ้างว่าเป็นพื้นที่ของตน และต่อรองขยายข้อเรียกร้องเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศที่ยึดถือกติกาสากลและกฎหมาย ‘ไม่ทำกัน’

 

แต่ถ้าคิดว่าฝ่ายตนได้เปรียบ ก็จะอ้างกติกาและพยายามสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองได้เปรียบตามกติกานั้น เช่น ล่าสุดที่มีข่าวว่าสภากัมพูชาและผู้นำกัมพูชาเรียกร้องให้นำกรณีปราสาทตาเมือนธม ตาควาย และพื้นที่ทับซ้อนต่างๆ ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ศาลโลก’

 

เรื่องนี้อาจสร้างความกังวลให้กับคนไทยหลายคน เพราะไทยมีประสบการณ์ในการขึ้นศาลโลกมาแล้ว และคนไทยรู้สึกว่า ‘เราเสียเปรียบและเสียรู้’ เนื่องจากการตัดสินไม่เป็นคุณกับไทยในกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505

 

แต่ทั้งนี้ การนำคดีหรือข้อขัดแย้งใดขึ้นสู่ศาลโลก ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ เพราะศาลโลกไม่เหมือนกับศาลปกครองหรือศาลยุติธรรมที่เรารู้จักกัน และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องทีกัมพูชาจะดำเนินการได้ ‘โดยฝ่ายเดียว’ เพราะโดยหลักการแล้ว แม้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติจะถือเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลกโดยอัตโนมัติตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรของสหประชาชาติ แต่การนำคดีขึ้นสู่ศาลหรือการยอมรับอำนาจของศาลโลกในการพิจารณาคดีใดๆ มีเงื่อนไขหลายอย่างคือ

 

1. การต้องได้รับ ‘ความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย’ (Consent-based Jurisdiction) นั่นคือ คู่ความทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมที่จะยอมรับอำนาจศาลในการพิจารณาคดีและตัดสินความขัดแย้งใดๆ การฟ้องคดีโดยฝ่ายเดียวจะ ‘ทำไม่ได้’

 

2. การยอมรับอำนาจภาคบังคับ (Compulsory Jurisdiction) ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา 36 วงเล็บ 2 ของธรรมนูญศาลโลก ที่ระบุว่าประเทศต่างๆ สามารถประกาศยอมรับอำนาจศาลได้ ซึ่งจะถือว่าศาลโลกมีอำนาจโดยพฤตินัย (Ipso Facto) ในการพิจารณาคดี

 

3. การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะบางมิติ โดยประเทศต่างๆ อาจเลือกยอมรับอำนาจศาลโลกเฉพาะคดีบางคดีเท่านั้น (Reservation) เช่น การที่ออสเตรเลียยอมรับอำนาจศาลโลก ยกเว้นคดีที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนทางทะเล ซึ่งออสเตรเลียยื่นข้อสงวน หลังติมอร์ตะวันออกประกาศอิสรภาพ

 

4. การยอมรับเฉพาะคดีนั้นๆ หมายถึง คู่ความทั้งสองประเทศตกลงใจที่จะให้อำนาจศาลโลกมีสิทธิในการพิจารณาคดีเฉพาะในคดีนั้นๆ เท่านั้น โดยไม่มีสิทธิในการพิจารณาคดีอื่นๆ ซึ่งต้องยื่นการยอมรับเป็นครั้งๆ ไป

 

5. การยอมรับผ่านกลไก ‘สนธิสัญญาระหว่างประเทศ’ เนื่องจากมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับที่กำหนดให้ข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นจากประเด็นของสนธิสัญญาเหล่านั้นให้นำขึ้นพิจารณาในศาลโลก ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วงหลังนิยมใช้กัน โดยเฉพาะ ‘อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ที่มีหลายชาติฟ้องคดีเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในศาลโลก เช่น คดีระหว่างแกมเบียและเมียนมา, คดีระหว่างยูเครนและรัสเซีย และคดีระหว่างแอฟริกาใต้และอิสราเอล แต่ก็จะมีสิทธิฟ้องเฉพาะคดีตามสนธิสัญญานั้นและฟ้องได้เฉพาะรัฐที่เป็นภาคีในสนธิสัญญานั้นที่ไม่ได้ตั้งข้อสงวนใดๆ

 

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขดังกล่าว ‘ไทยไม่เข้ากับเงื่อนไขใดเลย’ เพราะแม้ไทยจะยอมรับอำนาจศาลโลกและยินยอมขึ้นสู่ศาลในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 แล้ว แต่หลังจากคดีนั้น ไทยก็ไม่ได้ประกาศยอมรับอำนาจศาลโลกภาคบังคับ และไทยไม่เคยประกาศยอมรับอำนาจศาลโลกในกรณีใดๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้แต่ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเข้าเป็นภาคี ไทยก็มักจะตั้งข้อสงวนในการไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เช่น การเป็นภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กำหนด เมื่อปี 2558 ให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

 

หรือล่าสุดก็คือ การเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อปี 2567 ซึ่งวางหลักเกณฑ์แบบขยายไว้ให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ

 

ดังนั้น การที่กัมพูชาประกาศจะฟ้องไทยในศาลโลกในความขัดแย้งที่สามเหลี่ยมมรกตล่าสุดนั้น ก็จะ ‘ไม่มีผลใช้บังคับ ถ้าไทยไม่ยินยอม’ นั่นหมายถึงกัมพูชาไม่มีสิทธิในการฟ้องไทยในศาลโลกในกรณีใดๆ ถ้าไม่ได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากไทย ซึ่งในกรณีนี้ กัมพูชาจะเสนอข้อเสนอนี้ในที่ประชุม JBC ระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ทางออกของไทยก็แค่แจ้งในที่ประชุมว่าไทย ‘ไม่ยอมรับมตินี้และปฏิเสธการขึ้นศาลโลก’ และยืนยันให้ใช้ ‘กลไก MoU43’ ซึ่งเป็นกลไกที่วางหลักในการแก้ปัญหาด้านเขตแดนอยู่แล้ว จึง ‘ไม่จำเป็น’ ต้องขึ้นศาลโลก

 

อนึ่ง จะมี ‘กรณีเดียวที่ไทยควรจะขึ้นศาลโลก’ ก็คือ คดีหรือการฟ้องคดีใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ซึ่งแม้หลังจากคดีนี้ไทยจะถอนการยอมรับอำนาจศาลโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะไม่ผูกพันกับคำพิพากษาในคดีนี้ เนื่องจากไทยยินยอมที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลในครั้งนั้นด้วยตัวเอง และตามหลักกฎหมายโดยทั่วไปแล้ว คำพิพากษามีลักษณะต่อเนื่อง ดังนั้นไทยจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา

 

ซึ่งก็หมายถึงเมื่อกัมพูชาสร้างสถานการณ์จนนำไปสู่การรบในปี 2554 และยื่นตีความคำพิพากษาในปี 2505 ให้ศาลพิจารณาว่าเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อให้กัมพูชาสามารถกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารได้ตามแผนที่ของตน กรณีนี้ถ้าไทยไม่ขึ้นศาลเพื่อแย้ง ศาลก็มีสิทธิที่จะฟังหลักฐานจากกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวและตัดสินได้ ดังนั้นไทยจึงขึ้นศาลเพื่อแย้งคำขอให้ตีความคำพิพากษาของกัมพูชา ซึ่งนำมาสู่การตีความคำพิพากษาในปี 2556 ที่ศาลโลกระบุว่า ‘กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร’ แต่เส้นเขตแดนเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศจำต้องไปตกลงกันเอง ศาลอาจให้คำแนะนำได้ด้วยการลากเส้นสมมุติว่าศาลเห็นว่าเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้ถือว่าเป็นข้อยุติ ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ยอมรับ

 

จึงทำให้เห็นว่า กรณีเดียวที่กัมพูชาจะพาไทยขึ้นสู่ศาลโลกได้อีกครั้งก็คือการยื่นตีความคำพิพากษาในปี 2505 ใหม่อีกครั้ง ด้วยการยื่นให้ศาลพิจารณาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชานั้นจะมีผลโดยชัดแจ้งกับพื้นที่อื่นหรือไม่ ซึ่งไทยควรเตรียมตัวเพื่อคัดค้าน แต่ถ้ากัมพูชายื่นขอตีความคำพิพากษาแบบนี้จริง เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลในอดีตแล้ว ศาลมักจะถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่ เพราะในคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 นั้น ศาลพิจารณาเฉพาะ ‘อธิปไตยเหนือตัวปราสาท’ เท่านั้น ไม่ได้พิจารณาเส้นเขตแดน และคำพิพากษาใช้เฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงเพื่อใช้ในพื้นที่อื่นได้ ซึ่งสุดท้ายศาลจะยกฟ้องและจำหน่ายคดีออกไป

 

และเช่นเดียวกัน แผนที่และการปักปันเขตแดนทางบก เป็น ‘คนละกรณี’ และใช้หลักกฎหมาย ‘คนละฉบับ’ กับเขตแดนทางทะเล ที่มักจะอ้างอิงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law of the Sea) ซึ่งกำหนดให้ถ้ามีข้อขัดแย้งใดๆ ของรัฐภาคีให้นำความขึ้นพิจารณาในศาลอนุญาโตตุลาการทางทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็น ‘คนละหน่วยงาน’ กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ซึ่งหมายถึง ‘กรณีเกาะกูด’ นั้นไทยไม่สามารถถูกบังคับให้นำความขึ้นสู่ศาลโลกได้ ยังไม่นับว่ากรณีเกาะกูดมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศชัดเจนว่าเป็นของไทย

 

ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนคนไทยควรจะตระหนักก็คือ ‘การมีสติ อย่าตกใจหรือกังวลใจ’ ตามผู้นำของกัมพูชาที่ใช้เกมการแถลงข่าวรายวัน เพื่อสร้างสถานการณ์ให้ตนเองได้เปรียบ แต่ทั้งนี้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องออกมาทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ด้วยการแถลงที่เข้าใจความรู้สึกของประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและทำให้ประชาชนคลายความกังวล ไม่ใช่แถลงแบบอ่านหนังสือราชการที่ประชาชนเข้าใจยาก ไม่ตรงประเด็น จับใจความได้ยาก รวมถึงนายกรัฐมนตรีที่จะต้องมีบทบาทในการเป็นผู้นำมากกว่านี้ ด้วยการสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเอง อย่าปล่อยให้รองนายกรัฐมนตรีหรือคุณพ่อของนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แถลงเองทุกครั้ง เพราะนี่คือ ‘โอกาสสำคัญ’ ที่จะทำให้ประชาชนเห็นว่า นายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มจริงๆ ไม่ต้องฟังใคร และทำงานเต็มจริงๆ โดยไม่ต้องรอรับคำสั่งจากใคร

 

แฟ้มภาพ: Faris Hadziq / SOPA Images / LightRocket via Getty Images

The post กัมพูชาฟ้องศาลโลก ทำได้หรือไม่ กระทบอะไรกับไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮุน มาเนต เตรียมฟ้องศาลโลก ชี้ขาดปมปราสาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา https://thestandard.co/hun-manet-border-dispute-icj-thailand-cambodia/ Mon, 02 Jun 2025 06:38:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1081349 ฮุน มาเนต แถลงข่าวเตรียมนำข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นศาลโลก

สื่อท้องถิ่นกัมพูชารายงานว่า ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพ […]

The post ฮุน มาเนต เตรียมฟ้องศาลโลก ชี้ขาดปมปราสาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮุน มาเนต แถลงข่าวเตรียมนำข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นศาลโลก

สื่อท้องถิ่นกัมพูชารายงานว่า ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตรียมนำประเด็นพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom), ปราสาทตาเมือนโต๊ด (Ta Moan Toch), ปราสาทตาควาย (Ta Krabey) และพื้นที่บริเวณมุมไบ (Mum Bei) ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ‘ศาลโลก’ ที่นครเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกรัฐมนตรีและประชาชนชาวกัมพูชา

 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชาได้เรียกร้องให้ประเทศไทยสอบสวนเหตุการณ์ยิงปืน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ทหารกัมพูชาคนหนึ่งเสียชีวิต โดยระบุว่าเป็น “การกระทำที่โหดร้ายและผิดกฎหมาย”

 

ฮุน มาเนต ระบุว่า กัมพูชาได้ดำเนินการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนอย่างสันติผ่านกลไกทางเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการประชุมด่วนของคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) กับไทย เพื่อหารือและดำเนินการตีเส้นเขตแดนและติดตั้งหลักเขตแดนต่อไป แม้จะยังคงร่วมมืออย่างสันติกับไทย เช่น การตีเส้นเขตแดนตามมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชายังคง “สงวนสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยของตนทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้กำลังทหาร หากมีความพยายามละเมิดอธิปไตยผ่านกำลังทหาร”

 

ขณะที่ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี  ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนแผนการนำข้อพิพาทสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  โดยระบุว่า ข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอ ทำให้เกิดความคลุมเครือและเกิดเหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธหลายครั้ง จึงเรียกร้องให้ไทยแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาโดยยินยอมร่วมกันนำเรื่องเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยไม่ต้องให้กัมพูชาฟ้องร้อง และรอท่าทีของไทยว่าจะมีจุดยืนต่อประเด็นนี้อย่างไร พร้อมสนับสนุนให้กองทัพกัมพูชามีความอดทนอดกลั้น แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมรับมือกับการรุกรานทุกรูปแบบ

 

ฮุน เซนยังเน้นย้ำว่า หากไม่นำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลก พื้นที่บริเวณชายแดนอาจเผชิญชะตากรรมไม่ต่างจาก ‘ฉนวนกาซา’ พร้อมอ้างว่า พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตทั้งหมดเป็นของกัมพูชา

 

ในโน้ตทางการทูตวันที่ 29 พฤษภาคม กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ส่งหนังสือประท้วงอย่างรุนแรงถึงสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ โดยระบุว่ากำลังทหารไทยได้ยิงใส่กำลังทหารกัมพูชาที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเตโช โมโรดก์ อำเภอโมโรดก์ จังหวัดพระวิหาร เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม เวลา 05.30 น. ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม

 

กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาอ้างว่า กำลังทหารกัมพูชาได้ประจำการในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและสงบสุขมานานก่อนการลงนาม MOU ปี 2000 เกี่ยวกับการตีเส้นเขตแดนและติดตั้งหลักเขตแดน พร้อมประณามเหตุยิงปืนครั้งนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและความสมานฉันท์ระหว่างประเทศ

 

“รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนและละเอียดถี่ถ้วนต่อเหตุการณ์รุนแรงนี้ และผู้รับผิดชอบต่อการกระทำที่โหดร้ายและผิดกฎหมายนี้ต้องถูกนำตัวมาลงโทษ”

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาระบุว่า กัมพูชายังคงยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนผ่านทางสันติวิธีและกลไกที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เพื่อสร้างชายแดนแห่งสันติภาพ ความร่วมมือ และมิตรภาพกับไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ 

 

ภาพ: STPM via The Phnom Penh Post

อ้างอิง:

The post ฮุน มาเนต เตรียมฟ้องศาลโลก ชี้ขาดปมปราสาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดคำสั่งศาลโลก หลังแอฟริกาใต้ฟ้องอิสราเอลให้หยุดยิงในกาซา https://thestandard.co/south-africa-report-icj-for-israel-gaza-shooting/ Sat, 27 Jan 2024 04:12:36 +0000 https://thestandard.co/?p=892834 แอฟริกาใต้

การพิจารณาคดีที่แอฟริกาใต้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธร […]

The post เปิดคำสั่งศาลโลก หลังแอฟริกาใต้ฟ้องอิสราเอลให้หยุดยิงในกาซา appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอฟริกาใต้

การพิจารณาคดีที่แอฟริกาใต้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เรื่อง อิสราเอลละเมิดอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่นั้น ล่าสุดศาลโลกมีคำตัดสินให้อิสราเอลต้อง ‘ป้องกัน’ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ และดำเนินการช่วยเหลือพลเรือนให้มากขึ้น อย่างไรก็ดี ศาลไม่ได้สั่งให้อิสราเอลหยุดยิงตามคำฟ้องของแอฟริกาใต้

 

ถึงแม้คำตัดสินดังกล่าวจะทำให้ชาวปาเลสไตน์ผิดหวังที่ต้องการให้ศาลสั่งยุติสงครามในฉนวนกาซา แต่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงถึงความพ่ายแพ้ทางกฎหมายของอิสราเอลที่เดิมคาดหวังว่าศาลจะยกฟ้องคดีนี้

 

▪ เปิดรายละเอียดคำสั่งศาล

 

โจแอน โดโนฮิว ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ ICJ สั่งให้อิสราเอลใช้มาตรการทั้งหมดที่อยู่ในอำนาจของตน เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารของอิสราเอลกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมสั่งให้อิสราเอลลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำการยั่วยุ ยุยง หรือปลุกปั่น ตลอดจนดำเนินการเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม และรายงานความคืบหน้าต่อศาลในอีกหนึ่งเดือน

 

ขณะเดียวกันศาลได้เรียกร้องให้กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ปล่อยตัวประกันที่ถูกจับไปในระหว่างการโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมของปีที่แล้ว

 

ในการอ่านคำตัดสิน ผู้พิพากษายังได้บรรยายถึงสถานการณ์เลวร้ายของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา อันตรายที่เด็กๆ ในกาซาต้องเผชิญ และอ้างถึงคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับภาวะฉุกเฉินด้านมนุษยธรรมจากเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ (UN)

 

สำหรับจุดเริ่มต้นของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อแอฟริกาใต้ยื่นฟ้องต่อ ICJ ภายใต้หลักการทางกฎหมายที่ว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ทุกประเทศมีหน้าที่ต้องป้องกัน โดยแอฟริกาใต้กล่าวหาว่า อิสราเอลกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงคราม ซึ่งชนวนสงครามรอบนี้เริ่มจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสในกาซายิงมิสไซล์โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โดยแอฟริกาใต้ยังได้ขอให้ศาลออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อยุติการสู้รบด้วย 

 

ก่อนหน้านี้อิสราเอลพยายามโน้มน้าวให้ศาลยกฟ้องการพิจารณาคดี โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาของแอฟริกาใต้เป็นเท็จและ ‘บิดเบือนอย่างเลวร้าย’ พร้อมยืนกรานว่า อิสราเอลทำหน้าที่ป้องกันตนเองจากศัตรูที่โจมตีก่อน และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพลเรือน 

 

▪ ศาลโลกมีอำนาจแค่ไหน

 

ICJ จัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตัดสินเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ บนฐานของสนธิสัญญาและอนุสัญญาต่างๆ เป็นหลัก

 

สำหรับการพิจารณาคดีนี้ ICJ ไม่ได้ตัดสินข้อกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปี ส่วนคำตัดสินที่สั่งให้อิสราเอลป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซานั้น อิสราเอลไม่สามารถอุทธรณ์ได้ แต่ศาลก็ไม่มีกลไกในการบังคับใช้คำตัดสินแต่อย่างใดแม้คำวินิจฉัยจะมีผลผูกพันกับรัฐที่ยอมรับอำนาจศาลก็ตาม

 

ซึ่งการที่ไร้กลไกหรือวิธีการบังคับใช้จริงนั้น เราจึงเห็นว่าบ่อยครั้งมีหลายประเทศละเลยคำวินิจฉัยหรือคำตัดสินชี้ขาดของศาลโลกในอดีต

 

▪ ท่าทีปาเลสไตน์-อิสราเอล และนานาประเทศ หลังคำตัดสินของศาล

 

กระทรวงการต่างประเทศปาเลสไตน์ขานรับคำตัดสินดังกล่าวของศาลโลก โดยระบุว่า เป็นการย้ำเตือนว่า ‘ไม่มีรัฐใดอยู่เหนือกฎหมาย’ และ ซามี อาบู ซูห์รี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮามาส กล่าวกับ Reuters ว่า พวกเขาจะสนับสนุนการยุติการยึดครองและเปิดโปงอาชญากรรมในฉนวนกาซา

 

ด้าน เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ยินดีกับคำตัดสินของ ICJ ที่ไม่สั่งให้หยุดยิง แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมทั้งยืนยันว่าอิสราเอลจะยังคงปกป้องตัวเองต่อไป

 

ขณะที่แอฟริกาใต้เรียกคำสั่งของศาลโลกว่าเป็น ‘ชัยชนะขั้นเด็ดขาด’ สำหรับหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ 

 

ด้านสหภาพยุโรปกล่าวว่า อิสราเอลจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวโดยสมบูรณ์และทันที

 

ส่วนสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรของอิสราเอล ระบุว่า ICJ ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของสหรัฐฯ ที่ว่า อิสราเอลมีสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนกับการโจมตีโดยกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023

 

ภาพ: Abed Rahim Khatib / Anadolu via Getty Images

อ้างอิง:

The post เปิดคำสั่งศาลโลก หลังแอฟริกาใต้ฟ้องอิสราเอลให้หยุดยิงในกาซา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลโลกสั่งให้รัสเซียระงับการรุกรานยูเครนทันที เซเลนสกีระบุหากเพิกเฉย รัสเซียจะถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น https://thestandard.co/world-court-rule-emergency-measures-ukraine-vs-russia-case/ Thu, 17 Mar 2022 00:42:14 +0000 https://thestandard.co/?p=606588 ศาลโลก

วานนี้ (16 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ศาลยุติธรรมระหว่างปร […]

The post ศาลโลกสั่งให้รัสเซียระงับการรุกรานยูเครนทันที เซเลนสกีระบุหากเพิกเฉย รัสเซียจะถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลโลก

วานนี้ (16 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) สั่งให้รัสเซียระงับการรุกรานยูเครน โดยกล่าวว่า ‘กังวลอย่างยิ่ง’ จากการใช้กำลังของรัสเซีย

 

“สหพันธรัฐรัสเซียจะต้องระงับการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ในดินแดนยูเครนโดยทันที” ในระหว่างที่รอการตัดสินขั้นสุดท้ายในคดีนี้ โจน โดโนฮิว ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะกล่าวกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

 

“ศาลกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการใช้กำลังของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งทำให้เกิดประเด็นที่ร้ายแรงในกฎหมายระหว่างประเทศ” โดโนฮิวกล่าวในการไต่สวนในกรุงเฮก

 

ยูเครนได้นำกรณีการบุกยูเครนดังกล่าวยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หลังจากการโจมตีของรัสเซียเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

 

ยูเครนกล่าวหารัสเซียว่าพยายามให้เหตุผลต่อสงครามครั้งนี้อย่างผิดกฎหมาย โดยกล่าวหาอย่างไม่ถูกต้องว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในภูมิภาคโดเนตสก์และลูฮันสก์ของยูเครน และจากนั้นยูเครนก็ขอให้ศาลใช้มาตรการชั่วคราวเพื่อสั่งให้รัสเซีย ‘ระงับการปฏิบัติการทางทหารในทันที’

 

“รัสเซียต้องถูกหยุด และศาลก็มีบทบาทในการหยุดยั้งสิ่งนั้น” แอนตัน โคริเนวิช ตัวแทนของยูเครนกล่าวกับ ICJ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

การพิจารณาคดีในวันพุธมีขึ้นท่ามกลางจำนวนผู้ลี้ภัยที่หนีออกจากยูเครนเพิ่มเป็น 3 ล้านคน และกองกำลังรัสเซียก็เพิ่มการโจมตีอาคารที่พักอาศัยในกรุงเคียฟ

 

ในเวลาเดียวกัน ยูเครนกล่าวว่าต้องการให้ความมั่นคงของยูเครนถูกรับประกันโดยกองกำลังระหว่างประเทศ ในขณะที่ปฏิเสธข้อเสนอให้ยูเครนรับสถานะเป็นกลางเทียบได้กับออสเตรียหรือสวีเดน ซึ่งรัสเซียผลักดัน

 

ทั้งนี้ รัสเซียปฏิเสธการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 7 และ 8 มีนาคม โดยโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ICJ ‘ไม่มีเขตอำนาจศาล’ เนื่องจากคำขอของยูเครนอยู่นอกขอบเขตของอนุสัญญาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1948 ซึ่งยูเครนใช้เป็นฐานในกรณีดังกล่าว

 

รัสเซียยังให้เหตุผลในการใช้กำลังในยูเครนโดยกล่าวว่า ‘เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเอง’ 

 

แต่ ICJ ตัดสินว่า ICJ เองมีอำนาจศาลในคดีนี้ โดยโดโนฮิวชี้ให้เห็นว่า ICJ ‘ไม่ได้มีหลักฐานที่ยืนยันข้อกล่าวหาของสหพันธรัฐรัสเซียว่ามีการกระทำฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดินแดนของยูเครน’ ในขณะนี้

 

นอกจากนี้ ผู้พิพากษายังสั่งรัสเซียให้ทำให้แน่ใจว่าหน่วยทหารหรือหน่วยติดอาวุธนอกแบบ ‘จะไม่ดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม’ ในการรุกรานต่อไป

 

ICJ ถูกจัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตัดสินเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกของสหประชาชาติบนฐานของสนธิสัญญาและอนุสัญญาต่างๆ เป็นหลัก ทว่า แม้คำวินิจฉัยจะมีผลผูกพัน แต่ก็ไม่ได้มีวิธีการบังคับใช้จริง และในบางกรณีที่พบได้ยากในอดีต หลายประเทศก็ละเลยคำวินิจฉัยเหล่านี้

 

ICJ ยังระบุว่าการพิจารณาคดีอย่างเต็มรูปแบบอาจยังคงใช้เวลานานหลายปี

 

คดีนี้ยังแยกจากการสอบสวนอาชญากรรมสงครามในยูเครนที่เริ่มโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งเป็นศาลที่แยกจากกันในกรุงเฮกด้วย

 

ด้านประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ยินดีกับคำวินิจฉัยของ ICJ ต่อมาตรการฉุกเฉินในฐานะ ‘ชัยชนะที่สมบูรณ์’ ในกรณีของยูเครนต่อรัสเซีย

 

“คำสั่ง (ICJ) มีผลผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รัสเซียต้องปฏิบัติตามทันที การเพิกเฉยต่อคำสั่งดังกล่าวจะทำให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น” เซเลนสกีกล่าวบน Twitter

 

ภาพ: Cyrille Gibot / Getty Images

 อ้างอิง:

The post ศาลโลกสั่งให้รัสเซียระงับการรุกรานยูเครนทันที เซเลนสกีระบุหากเพิกเฉย รัสเซียจะถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>