วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 03 Sep 2024 10:28:04 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ตำรวจไซเบอร์ร่วมกับ กสทช. บุกถอดจานส่งสัญญาณเถื่อน กระจายอินเทอร์เน็ตข้ามโขงไปฝั่งคิงส์โรมัน https://thestandard.co/cyber-police-nbtc-raid-illegal-satellite-dishes/ Tue, 03 Sep 2024 10:28:04 +0000 https://thestandard.co/?p=979038 จานส่งสัญญาณเถื่อน

วันนี้ (3 กันยายน) สืบเนื่องจากกองบังคับการตำรวจสืบสวนส […]

The post ตำรวจไซเบอร์ร่วมกับ กสทช. บุกถอดจานส่งสัญญาณเถื่อน กระจายอินเทอร์เน็ตข้ามโขงไปฝั่งคิงส์โรมัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จานส่งสัญญาณเถื่อน

วันนี้ (3 กันยายน) สืบเนื่องจากกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ได้ตรวจพบการลักลอบส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายจากพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่ง สปป.ลาว จึงได้ลงพื้นที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออำนาจศาลออกหมายค้นพื้นที่เป้าหมายได้สำเร็จ

 

ต่อมา พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ สอท. ได้สั่งการให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภาค 3 และ กสทช. เขต 34 พร้อมเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) เชียงแสน นำหมายค้นของศาลจังหวัดเชียงราย ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2567 เข้าตรวจค้นจุดติดตั้งเสาสัญญาณขนาดใหญ่ในพื้นที่ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งห่างจากแม่น้ำโขงประมาณ 800 เมตร โดยพบว่าพื้นที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำใน สปป.ลาว เป็นที่ตั้งของอาณาจักรคิงส์โรมัน คาสิโนชื่อดัง

 

เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง ได้มีมานพ ซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานที่ ได้นำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบว่ามีการตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน โดยสถานีวิทยุคมนาคมดังกล่าวได้ติดตั้งเครื่องวิทยุคมนาคม Wireless Link เพื่อรับ-ส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายด้วยสายอากาศแบบจานสะท้อนคลื่น ติดตั้งอยู่บนเสาทาวเวอร์ดังกล่าว

 

เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันถอดอุปกรณ์และตรวจยึดของกลาง ได้แก่

  1. เครื่องรับ-ส่งวิทยุคมนาคม WiFi (จานดาวเทียม) จำนวน 2 จาน
  2. สายนำสัญญาณ (สาย LAN) จำนวน 1 เส้น
  3. เครื่องจ่ายไฟผ่านสาย LAN จำนวน 1 เครื่อง

พร้อมนำของกลางดังกล่าวไปตรวจสอบพร้อมขยายผล เพื่อจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วต่อไป

The post ตำรวจไซเบอร์ร่วมกับ กสทช. บุกถอดจานส่งสัญญาณเถื่อน กระจายอินเทอร์เน็ตข้ามโขงไปฝั่งคิงส์โรมัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์​จับชายฮ่องกง แฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวแบกเครื่องส่ง SMS ปลอมส่งเข้ามือถือหลอกดูดเงินประชาชน https://thestandard.co/cyber-police-arrest-hong-kong-hacker/ Tue, 09 Apr 2024 12:31:51 +0000 https://thestandard.co/?p=921244 ตำรวจไซเบอร์

วันนี้ (9 เมษายน) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกร […]

The post ตำรวจไซเบอร์​จับชายฮ่องกง แฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวแบกเครื่องส่ง SMS ปลอมส่งเข้ามือถือหลอกดูดเงินประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์

วันนี้ (9 เมษายน) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.), วิสิฐศักดิ์ เจริญไชย ผู้จัดการส่วนงานองค์กรสัมพันธ์ AIS และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม ไท ลอย และ มัน ลุก ลี สัญชาติฮ่องกง   

 

พร้อมด้วยของกลางคือ เครื่องจำลองสถานี (False Base Station) แบบพกพา หรือเครื่องสติงเรย์ จำนวน 1 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง จับกุมได้ที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าย่านปทุมวัน

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับการประสานงานจากทาง AIS Monitor ว่ามีคนร้ายส่งข้อความไปยังผู้ใช้บริการของเครือข่าย ระบุว่าคะแนนของบัญชีกำลังจะหมดอายุ ให้กดลิงก์ที่แนบมาเพื่อเข้าไปแลกสินค้าหรือของสมนาคุณ จากนั้นคนร้ายจะหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและบัตรเครดิต 

 

ซึ่งหากผู้เสียหายหลงเชื่อก็จะกดลิงก์เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ที่คนร้ายสร้างขึ้นมาและกรอกข้อมูลเข้าไป คนร้ายก็จะดูดเงินออกไปจนเกลี้ยงบัญชี นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบข้อความในลักษณะต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก 

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ ระบุว่า หลังรับแจ้งชุดสืบสวนทำการตรวจสอบและถอดแผนพฤติกรรม กระทั่งพบว่าคนร้ายได้มีการใช้เครื่องสติงเรย์ในการส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง โดยส่งข้อความแนบลิงก์ปลอม 

 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบความเคลื่อนไหวที่บริเวณห้างสรรพสินค้าย่านปทุมวัน จึงได้นำกำลังไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงได้พบผู้ต้องหาทั้งสองคนในลักษณะต้องสงสัยมีการสะพายกระเป๋าเดินวนไปมา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอทำการตรวจสอบ ได้พบเครื่องสติงเรย์จำนวน 1 เครื่อง ผลิตจากประเทศมาเลเซีย ก่อนนำตัวไปตรวจค้นที่ห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางรัก พบแบตเตอรี่สำรอง 1 เครื่อง จึงทำการตรวจยึดไว้ 

 

จากการจับกุมในครั้งนี้พบว่า คนร้ายมีการพัฒนาแผนประทุษกรรม โดยนำเครื่องสติงเรย์เชื่อมต่อมือถือแทนคอมพิวเตอร์ตระเวนไปตามเป้าหมายหลัก เช่น ย่านชุมชน ตลาด หรือห้างสรรพสินค้า เนื่องจากกลุ่มคนที่จับจ่ายซื้อของมักจะใช้บริการอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและยากต่อการติดตาม 

 

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498

 

ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498

 

ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต อันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67 (3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม

The post ตำรวจไซเบอร์​จับชายฮ่องกง แฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวแบกเครื่องส่ง SMS ปลอมส่งเข้ามือถือหลอกดูดเงินประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
รักษาการ ผบ.ตร. กำชับตำรวจไซเบอร์ปราบเว็บพนันตามคำสั่งนายกฯ ย้ำใครผิดไม่เอาไว้ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงาน https://thestandard.co/instruct-cyber-police-to-crack-down-on-gambling-websites/ Tue, 02 Apr 2024 08:21:23 +0000 https://thestandard.co/?p=918390

วันนี้ (2 เมษายน) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้ […]

The post รักษาการ ผบ.ตร. กำชับตำรวจไซเบอร์ปราบเว็บพนันตามคำสั่งนายกฯ ย้ำใครผิดไม่เอาไว้ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (2 เมษายน) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำชับให้ พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ดำเนินการปราบปรามแก๊งพนันออนไลน์ Call Center และ Fake News รายใหญ่ โดยขีดเส้นให้มีผลเป็นรูปธรรมภายใน 30 วัน ได้มีการกำชับอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

 

พล.ต.อ. กิตติ์รัฐกล่าวว่า ตนให้ พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ฯ เร่งรัดข้อสั่งการตามที่นายกรัฐมนตรีกำชับ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ พร้อมให้กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนำเครื่องมือทันสมัย ที่สามารถตรวจสอบเรื่องเว็บไซต์มาใช้เพื่อให้เกิดการจับกุมที่จริงจัง พร้อมยืนยันว่าหากพบใครที่เกี่ยวข้องตนรับรองว่าไม่เอาไว้

 

เมื่อถามว่าหากครบ 30 วันยังไม่มีความชัดเจน จะมีการคาดโทษเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐกล่าวว่า ต้องให้เวลาผู้ปฏิบัติงาน เพราะนายกฯ พูดว่าผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์คน ฉะนั้นขอให้ดูกันไป

 

กรณีที่ทนายของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งพยานหลักฐานมาให้กับรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วนั้น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐระบุว่า เป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา โดยจะนำเรื่องไปรวม และขณะนี้ตนให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาอยู่ โดยกระบวนการพิจารณาเพื่อความรอบคอบ ก็ต้องให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบพิจารณาและเสนอแนะขึ้นมา

 

เมื่อถามว่าตำรวจจะพิจารณาเองหรือส่งเรื่องให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐระบุว่า ประเด็นดังกล่าวขอให้ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา และเสนอกลับมาให้ตนพิจารณา เรื่องนี้อยู่ที่พนักงานสืบสวนสอบสวน แต่ถึงอย่างไรตอนนี้อำนาจหน้าที่อยู่ที่พนักงานสืบสวนสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)

The post รักษาการ ผบ.ตร. กำชับตำรวจไซเบอร์ปราบเว็บพนันตามคำสั่งนายกฯ ย้ำใครผิดไม่เอาไว้ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์สั่งย้าย ‘รองฟาง-ดาบยาว’ ที่ถูกพาดพิงขบวนการส่วยบิ๊กตำรวจ ยืนยัน สอท. ไม่ใช่แหล่งหารายได้มหาศาล https://thestandard.co/cyber-police-27032204/ Wed, 27 Mar 2024 10:34:03 +0000 https://thestandard.co/?p=916241 ตำรวจไซเบอร์

วันนี้ (27 มีนาคม) พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญ […]

The post ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์สั่งย้าย ‘รองฟาง-ดาบยาว’ ที่ถูกพาดพิงขบวนการส่วยบิ๊กตำรวจ ยืนยัน สอท. ไม่ใช่แหล่งหารายได้มหาศาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์

วันนี้ (27 มีนาคม) พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) กล่าวถึงกรณีที่ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาแถลงเปิดโปงขบวนการรับส่วยและเส้นทางการเงินที่พาดพิงถึง ด.ต. อภิชาติ สุวรรณเพ็ชร (ดาบยาว) และ พ.ต.ท. สุรกุล ธัญสิริดำรง (รองฟาง) ผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ ระบุว่า แนวทางปฏิบัติของ บช.สอท. คือ มีคำสั่งให้นายตำรวจทั้งสองไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปก.สอท.) และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยหลังจากถูกพาดพิงเมื่อวานนี้ (26 มีนาคม) ได้ดำเนินการทั้งสองส่วนทันที 

 

ขณะนี้ตำรวจทั้งสองนายเข้ามาประจำที่ ศปก.สอท. แล้ว ส่วนตัวไม่ได้สอบถามนายตำรวจทั้งสองที่ถูกพาดพิง แต่ให้คณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบในทุกประเด็น

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลการแถลงข่าวเมื่อวานนี้พบว่า เป็นข้อมูลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับข้อมูลที่เคยมีผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) เตาปูน ซึ่งขณะนี้ สน.เตาปูนอยู่ระหว่างการสืบสวนดำเนินคดี

 

ส่วนที่ทนายตั้มจะไปพบ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็เป็นส่วนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดีด้วยส่วนหนึ่ง จึงมองว่าสังคมไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการตรวจสอบ เพราะมีหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบ ทั้ง สน.เตาปูน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการตรวจสอบในภาพรวมด้วย

 

เมื่อถามถึงพฤติการณ์ลักษณะการเก็บเงินหน้าเสื่อแล้วส่งไปให้บิ๊กตำรวจนั้น พล.ต.ท. วรวัฒน์ กล่าวว่า ต้องดูหลักฐานที่นำมาชี้แจงกับหลักฐานทางการเงินว่ามีลักษณะการเชื่อมโยงกันแบบไหน บางเส้นก็มีครั้งเดียว บางเส้นเองก็มีหลายครั้ง ซึ่งเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีทั้งสิ้น ในส่วนของ บช.สอท. เป็นการตรวจสอบทางวินัย เพราะคดีอาญาเป็นของ สน.เตาปูน และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

 

ส่วนกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของทนายตั้มถูกปิดกั้นก่อนจะมีการแถลงข่าว ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ บช.สอท. หรือไม่นั้น พล.ต.ท. วรวัฒน์ ระบุว่า ไม่เกี่ยวกับ บช.สอท. เพราะเพจปิดก็เปิดได้ หากมีการร้องขอไม่กี่ชั่วโมง และไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม เพราะเป็นข้อมูลเดิมๆ

 

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมถึงกรณีที่มีการพาดพิงว่ามีการใช้ห้องหนึ่งใน บช.สอท. เพื่อส่งยอดและรับยอดเงินส่วยทุกวันที่ 25 ของเดือนนั้น มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.ต.ท. วรวัฒน์ ระบุว่า ไม่ใช่ เพราะห้องนั้นเป็นห้องของผู้บังคับบัญชา ห้องของผู้บัญชาการจะเข้าไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร พร้อมย้ำว่า ตนเองพร้อมให้ตรวจสอบ ใครจะตรวจสอบก็มาตรวจสอบ เพราะเป็นข้าราชการก็พร้อมถูกตรวจสอบ

 

ส่วนกรณีที่ถูกมองว่า บช.สอท. เป็นแหล่งเงินที่มีการหารายได้มหาศาลนั้น พล.ต.ท. วรวัฒน์ ระบุว่า ไม่ใช่ เพราะถ้าตำรวจหน่วยไหนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจนั้นๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ และมักจะถูกพาดพิงและถูกตรวจสอบ เช่น ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งมาก็มีการจับกุมเว็บพนันและยึดทรัพย์ไปหลายพันล้านบาท

The post ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์สั่งย้าย ‘รองฟาง-ดาบยาว’ ที่ถูกพาดพิงขบวนการส่วยบิ๊กตำรวจ ยืนยัน สอท. ไม่ใช่แหล่งหารายได้มหาศาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ‘ธารารัตน์’ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สุ่มโทรลวงเหยื่อ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3 พันล้านบาท https://thestandard.co/tararat-call-center-arrest/ Fri, 12 Jan 2024 05:50:02 +0000 https://thestandard.co/?p=886889 คอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (12 มกราคม) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการก […]

The post จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ‘ธารารัตน์’ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สุ่มโทรลวงเหยื่อ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3 พันล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
คอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (12 มกราคม) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), พล.ต.อ. รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.)

 

ในวันนี้ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมเครือข่าย ธารารัตน์ กับพวก รวม 3 คน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้กระทำผิดฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชนผ่านแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีเงินรวมจากการหลอกลวงประชาชนและเงินหมุนเวียนจากการกระทำผิดรวมกว่า 3,000 ล้านบาท 

 

ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียหายประมาณ 54 คน และ ปปง. ได้สั่งยึดทรัพย์สินได้แล้วราว 924 ล้านบาท และได้ลงพื้นที่ตรวจค้นเมื่อวานนี้ (11 มกราคม) จำนวน 13 จุด แบ่งเป็นในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร พบทรัพย์สินทั้งรถยนต์โบราณหายาก และรถหรู จำนวน 77 คัน, โฉนดที่ดินจำนวน 84 ฉบับ, เงินสด, ทองคำ และทรัพย์สินอื่นๆ เช่น นาฬิกาแบรนด์เนม, บ้านพักหรู 2 หลัง และรถจักรยานยนต์ รวมมูลค่า 1,200 ล้านบาท

 

พฤติการณ์ของเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ ‘ธารารัตน์’

 

สำหรับพฤติการณ์เครือข่ายดังกล่าว มีการแบ่งหน้าที่กันทำทั้งกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้โทรศัพท์สุ่มเข้าไปหลอกลวงประชาชนเพื่อให้โอนเงิน หรือใช้ข้อความหลอกลวงผู้เสียหายผ่าน Facebook ลักษณะข้อความโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์เพื่อชักชวนเหยื่อมาเปลี่ยนเงินสกุลบาทเป็นสกุลหยวนในอัตราที่ถูกกว่าสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับไม่โอนเงินหรือให้ผลตอบแทนได้ตามกำหนด และมีกลุ่มหน้าม้าเพื่อเปิดบัญชีม้า รับโอนเงินจากเหยื่อ และกลุ่มถอนเงินผ่าน ATM ส่งต่อให้อีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อโยกย้ายเงินไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อปกปิดอำพรางซ่อนเร้น 

 

และยังมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน แปรสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงยังมีกลุ่มผู้บริหารทำหน้าที่ควบคุมสั่งการ โดยมีการอำพรางตนเองเพื่อให้ยากต่อการติดตามเส้นทางการเงิน โดย สอท. จะเร่งรัดการดำเนินคดีร่วมกับ ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว และนำทรัพย์สินที่ยึดทรัพย์ได้มาเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหายต่อไป 

 

ตำรวจพร้อมขยายผลจับกุมเครือข่ายต่อ

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ ยืนยันว่า การจับกุมและยึดทรัพย์สินในครั้งนี้ถือเป็นคดีในระยะแรก หรือ EP.1 โดยหลังจากนี้จะมีการขยายผล ตรวจค้น ตรวจสอบเส้นทาง และบุคคลในเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์ต่อไป 

 

ส่วนขั้นตอนการคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจงว่า ทรัพย์สินที่ยึดได้จะมีการขายทอดตลาดเพื่อเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย แต่ก็จะต้องมีขั้นตอน โดยผู้เสียหายจะต้องแจ้งเข้ามาขอรับเงินคืน ซึ่งผู้เสียหายจะต้องมีหลักฐานในการขอรับเงินคืน โดยประชาชนที่ถูกหลอกลวงในคดีนี้สามารถแจ้งความออนไลน์หรืออายัดบัญชีได้ที่ศูนย์ต่อต้านปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ หรือ AOC ผ่านสายด่วน 1441 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการแจ้งความออนไลน์ หรืออายัดบัญชีในคดี ซึ่งศูนย์แห่งนี้จะมีการประสานไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ และขยายผลไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ปปง. เตรียมติดตามทรัพย์สินคืนผู้เสียหาย

ด้านเทพสุระบุว่า คดีดังกล่าวนี้เป็นการฉ้อโกงหลอกลวงประชาชน ในชั้นต้นมีผู้เสียหายประมาณ 54 คน ตามขั้นตอนแล้วผู้เสียหายจะต้องยื่นคำร้องแจ้งความเสียหายและเข้าสู่การตรวจสอบ เพื่อส่งเรื่องต่อไปยังอัยการ ส่งฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อคุ้มครองผู้เสียหาย และติดตามทรัพย์สิน ติดตามความเสียหายที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนต่อไป 

 

ทั้งนี้ คดีการหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนของธารารัตน์กับพวกนี้ เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกับสำนักงาน ปปง. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการติดตามสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิดและทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด 

The post จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ‘ธารารัตน์’ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สุ่มโทรลวงเหยื่อ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3 พันล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์เตือนภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ กสทช. และค่ายมือถือ หลอกให้โอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ https://thestandard.co/call-center-gang-warning/ Sun, 01 Oct 2023 05:13:02 +0000 https://thestandard.co/?p=848847 photo hands holding a credit card using laptop computer and mobile phone

วันนี้ (1 ตุลาคม) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชากา […]

The post ตำรวจไซเบอร์เตือนภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ กสทช. และค่ายมือถือ หลอกให้โอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
photo hands holding a credit card using laptop computer and mobile phone

วันนี้ (1 ตุลาคม) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า ในปัจจุบันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้สร้างความเสียหายและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมิจฉาชีพสามารถเข้าถึงประชาชนได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นจากช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ จากการส่งข้อความสั้น (SMS) และจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือต่างๆ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานเอกชน 

 

โดยมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมีรูปแบบการทำงานเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ หลอกลวงข่มขู่เหยื่อให้เกิดความกลัว หรือหลอกลวงให้เกิดความโลภ ใช้ความไม่รู้ของประชาชนเป็นเครื่องมือ โดยที่ผ่านมาตรวจสอบพบว่ามีหลากหลายรูปแบบ เช่น การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่บริษัทขนส่งสินค้า แจ้งไปยังผู้เสียหายว่าบัญชีธนาคารหรือพัสดุที่จัดส่งไปยังต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางกฎหมาย หรือบัญชีธนาคารของผู้เสียหายถูกอายัด หรือเป็นหนี้ยังไม่ชำระบัตรเครดิต หรือเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เป็นบุคคลตามหมายจับ 

 

รวมไปถึงหลอกลวงว่าได้รับเงินคืนภาษี ได้รับรางวัลต่างๆ หรือหลอกสอบถามข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้แล้วยังมีการหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันของหน่วยงานปลอมที่สามารถควบคุมโทรศัพท์มือถือโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหาย

 

ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ส่งข้อความสั้น หรือโทรศัพท์ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง 

 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้ร่วมกันแสวงหาแนวทาง และวางมาตรการป้องกันในการแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการเตือนภัยไซเบอร์วัคซีน การทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับสถาบันการเงิน การบังคับกฎหมายตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 การแก้ไขการรับจ้างการเปิดบัญชีธนาคาร การครอบครองซิมโทรศัพท์มือถือ การอายัดบัญชีธนาคารอย่างรวดเร็วให้ทันท่วงที การตรวจจับบัญชีหรือการทำธุรกรรมการเงินที่ต้องสงสัย และการยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมการเงินที่มีวงเงินสูง 

 

นอกจากนี้ยังมีปฏิบัติการในหลายมิติที่สำคัญหลายครั้ง เช่น การปฏิบัติการตัดวงจรซิม-สาย-เสา การจับกุมข้าราชการนำข้อมูลไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การร่วมมือกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเหยื่อ ความเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท ยุทธการโค่นเสาสัญญาณ หรือสถานีเถื่อนชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน 

 

พ.ต.อ. กฤษณะ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมายังคงตรวจสอบพบมีผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นพนักงานผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แจ้งผู้เสียหายว่าได้เปิดใช้บริการซิมโทรศัพท์มือถือในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก หรือจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกล โดยหมายเลขที่เปิดใช้บริการในชื่อของผู้เสียหายนั้น ถูกนำไปใช้กระทำผิดกฎหมายต่างๆ หรือถูกนำไปใช้หลอกลวงบุคคลอื่น 

 

โดยแจ้งอีกว่าหากผู้เสียหายไม่ได้เป็นผู้เปิดใช้บริการ ให้ไปดำเนินการแจ้งความยังสถานีตำรวจท้องที่ที่ถูกเปิดใช้งานดังกล่าว แต่หากไม่สามารถเดินทางไปได้ สามารถแจ้งความออนไลน์ผ่านช่องทาง LINE ของสถานีตำรวจดังกล่าวได้ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อติดต่อไปยัง LINE สถานีตำรวจซึ่งถูกมิจฉาชีพปลอมขึ้นแล้ว ระหว่างการติดต่อผู้เสียหายจะได้รับแจ้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ต้องโอนเงินที่มีอยู่ในบัญชีมาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมทั้งข่มขู่ห้ามมิให้ผู้เสียหายแจ้งหรือติดต่อกับบุคคลใดในระหว่างการโอนเงิน รวมถึงมีการส่งเอกสารราชการปลอมให้ผู้เสียหายตรวจสอบ มีการสร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้เสียหายได้ยินเสียงว่าคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจจริงอีกด้วย

 

การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

พ.ต.อ. กฤษณะ กล่าวว่า สิ่งแรกที่มิจฉาชีพมักจะทำคือการสร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้เสียหาย โดยการทราบชื่อ-นามสกุลของผู้เสียหาย ใช้จิตวิทยาเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของเหยื่อ มีการเขียนบทสนทนาให้มิจฉาชีพใช้พูดคุยกับเหยื่อ มีการแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมือนจริง เพื่อทำให้เหยื่อคล้อยตามหลงเชื่อ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการหลอกลวง เช่น การใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติ IVR (Interactive Voice Response) หรือเทคโนโลยี Deepfake เพราะฉะนั้นประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนให้พึงระมัดระวังการรับสายโทรศัพท์หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมายเลขที่โทรมาจากต่างประเทศ ปัจจุบันจะมีเครื่องหมาย +697 ให้ท่านตั้งสติ อย่าตื่นตระหนก อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงินกับผู้ใดโดยเด็ดขาด

 

พร้อมขอประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันภัยจากมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังนี้

 

  1. ไม่มีนโยบายของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานเอกชนที่จะต้องโทรศัพท์ไปยังประชาชนเพื่อแสดงเอกสารราชการ กล่าวอ้างว่าท่านกระทำความผิด หรือมีส่วนในการกระทำความผิด หากพบการกระทำดังกล่าว สันนิษฐานได้ว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน

 

  1. ไม่ตกใจกลัว ไม่เชื่อเรื่องราวต่างๆ จากบุคคลที่ไม่รู้จัก ให้วางสายการสนทนาดังกล่าว ตรวจสอบก่อนโดยการโทรศัพท์ไปยังหมายเลขคอลเซ็นเตอร์ของหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง หรือโทรศัพท์สอบถามไปยังสายด่วนตำรวจไซเบอร์ หมายเลข 1441

 

  1. ไม่โอนเงิน หากมีคำพูดว่าให้โอนเงินมาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจหรือเพื่อสิ่งใดก็ตาม นั่นคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์มิจฉาชีพอย่างแน่นอน

 

  1. ไม่เพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชัน LINE เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีตำรวจหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างๆ

 

  1. ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเงินกับผู้ใดทั้งนั้น เช่น เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร รหัสหลังบัตร รหัส OTP 

 

  1. ท่านสามารถบล็อกสายเรียกเข้าที่มาจากต่างประเทศได้ด้วยการกด *138*1# แล้วโทรออก

 

  1. ติดตั้งแอปพลิเคชัน Whoscall เพื่อแจ้งเตือนระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก ป้องกันภัยจากมิจฉาชีพที่อาจโทรศัพท์มาหลอกลวง

 

  1. ดูแล แจ้งเตือนผู้สูงอายุ บุคคลใกล้ตัว เพื่อลดโอกาสในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

The post ตำรวจไซเบอร์เตือนภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ กสทช. และค่ายมือถือ หลอกให้โอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจจับขบวนการส่งลิงก์ปลอม หลอกเป็นธนาคาร ปล่อยสัญญาณผ่านเสาปลอม ความเสียหายกว่า 175 ล้านบาท https://thestandard.co/stingray-fake-link/ Thu, 25 May 2023 09:51:30 +0000 https://thestandard.co/?p=795158 False Base Station

วันนี้ (24 พฤษภาคม) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวน สอบสวนอาช […]

The post ตำรวจจับขบวนการส่งลิงก์ปลอม หลอกเป็นธนาคาร ปล่อยสัญญาณผ่านเสาปลอม ความเสียหายกว่า 175 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
False Base Station

วันนี้ (24 พฤษภาคม) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวน สอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย บช.สอท. ตัวแทนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงความคืบหน้าขบวนการส่งข้อความสั้น (SMS) ในลักษณะลิงก์ปลอม อ้างชื่อเป็นสถาบันการเงินเพื่อหลอกดูดเงินผู้เสียหาย

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อจากขบวนการส่ง SMS ในลักษณะลิงก์ปลอม อ้างชื่อเป็นธนาคารกสิกรไทย หลอกดูดเงินผู้เสียหาย ซึ่งขบวนการดังกล่าวกำลังแพร่ระบาดพบข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ห้วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2566 มีการแจ้งความออนไลน์รวมค่าความเสียหาย 175,159,482 บาท จึงได้เร่งรัดสืบสวน โดยร่วมสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูลกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อหาตัวกลุ่มขบวนการที่กระทำความผิด 

 

กระทั่งพบว่าคนร้ายจะกระทำโดยนำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ใส่ไว้ในรถแล้วขับออกไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยหากรถแล่นผ่านไปทางใดก็จะส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง แล้วส่ง SMS ในลักษณะลิงก์ปลอม อ้างชื่อเป็นสถาบันการเงิน กรมสรรพากร การไฟฟ้า เป็นต้น 

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้อุปกรณ์ดังกล่าวถูกใช้บริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้านและส่งสัญญาณในประเทศไทย ทำให้ไทยใช้มาตรการควบคุมสัญญาณให้อยู่ในรัศมีวงจำกัด มิจฉาชีพจึงต้องนำเข้าเครื่องดังกล่าวเข้ามาในประเทศโดยตรงแทน

 

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนหลงเชื่อและกดลิงก์ดังกล่าว ก็จะถูกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องระยะไกล โดยสามารถโอนเงินจากบัญชีธนาคารที่เครื่องโทรศัพท์นั้นติดตั้งแอปพลิเคชันประเภท Mobile Banking 

 

ในเบื้องต้นตำรวจสามารถจับกุม สุขสันต์ อายุ 40 ปี กับพวก รวม 6 คน ขณะที่รถกำลังแล่นออกไปเพื่อส่งสัญญาณ ตรวจยึดรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) จำนวน 4 คัน พร้อมอุปกรณ์ 4 ชุด

 

ผู้ต้องหาสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การรับว่าได้รับการติดต่อว่าจ้างจากคนรู้จักที่ทำงานอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะได้ค่าจ้างสำหรับการวิ่งส่งสัญญาณเดือนละ 80,000 บาท ซึ่งเครื่องดังกล่าวนั้นสามารถส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้วันละ 20,000 หมายเลขต่อเครื่อง โดยรับเข้ามา 4 เครื่อง ซึ่งตนกับพวกไม่มีความรู้เชิงลึกในการใช้อุปกรณ์ มีหน้าที่เพียงกดเปิดเชื่อมต่อสัญญาณ ไม่จำเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์ผู้เสียหาย แต่เป็นการใช้วิธีดักสัญญาณจากเสาจริง

 

ด้าน พล.ต.ต. วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. เปิดเผยว่าอุปกรณ์ ‘Stingray’ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ปลอมเสาสัญญาณและส่ง SMS ให้กับผู้เสียหาย ปกติจะถูกใช้กรณีเกิดภัยพิบัติที่สัญญาณมือถือไม่สามารถใช้การได้ และไว้เป็นช่องทางสื่อสารถึงผู้ประสบภัย หรือใช้ในหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา ในการดักรับข้อมูล เนื่องจากเป็นเสาสัญญาณที่มีขนาดเล็กสามารถหลอกให้มือถือในพื้นที่มาเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณดังกล่าวได้ อีกทั้งสามารถตั้งค่าชื่อผู้ส่งเป็นหน่วยงานต่างๆ ได้ 

 

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทาง  FBI ของสหรัฐฯ ได้ประสานตำรวจ บช.สอท. ให้สืบสวนหลังมีข้อมูลว่าอุปกรณ์ชนิดดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก และยังพบว่าถูกใช้ในการส่งลิงก์เว็บไซต์พนันออนไลน์ 

 

พล.ต.ต. วิวัฒน์กล่าวต่ออีกว่า จากนี้จะต้องส่งหนังสือสอบถามไปที่หน่วยงานทหารว่าอุปกรณ์นี้ถูกใช้ในกิจการทหารหรือเป็นยุทธภัณฑ์หรือไม่ หากเป็นก็จะมีการแจ้งข้อหาผู้ต้องหาเพิ่ม

 

ด้าน ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการรักษาราชการแทนเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า อุปกรณ์ดังกล่าวมีกฎหมายห้ามนำเข้า บุคคลทั่วไปไม่อนุญาตให้ใช้ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ

 

พฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาทำ ทางเครือข่ายจะไม่ทราบว่ามีการส่ง SMS ออก เนื่องจาก SMS เหล่านี้ไม่ได้ผ่านเสาสัญญาณเครือข่ายโดยตรง แต่เป็นการส่งออกจากเสาปลอม

 

ส่วน พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์กล่าวว่า จากการสืบสวนเบื้องต้น กลุ่มผู้ต้องหาจะมีเพิ่มจากนี้หรือไม่อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลต่อ โดยฐานข้อมูลหลักของกลุ่มนี้อยู่ที่ต่างประเทศ เข้ามาปฏิบัติการเฉพาะอุปกรณ์ ซึ่งมีมูลค่าหลักล้านบาทต่อเครื่อง 

 

เบื้องต้นแจ้งข้อหา 1. ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498

 

  1. ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498

 

  1. ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67 (3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม

 

  1. เป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา

The post ตำรวจจับขบวนการส่งลิงก์ปลอม หลอกเป็นธนาคาร ปล่อยสัญญาณผ่านเสาปลอม ความเสียหายกว่า 175 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์บุกค้นห้องพัก จ่าสิบโทแฮกเกอร์ ‘9near’ พบอุปกรณ์คอมฯ-เครื่องมือจำนวนมาก คาดเป็นมืออาชีพ https://thestandard.co/cyber-police-raided-rooms-9near/ Wed, 12 Apr 2023 10:21:09 +0000 https://thestandard.co/?p=776280 ตำรวจไซเบอร์บุกค้นห้องพัก 9near

วันนี้ (12 เมษายน) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่กองบัญชาการตำร […]

The post ตำรวจไซเบอร์บุกค้นห้องพัก จ่าสิบโทแฮกเกอร์ ‘9near’ พบอุปกรณ์คอมฯ-เครื่องมือจำนวนมาก คาดเป็นมืออาชีพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์บุกค้นห้องพัก 9near

วันนี้ (12 เมษายน) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) พร้อม พล.ต.ต. วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. แถลงผลการตรวจค้นที่พักของ จ.ส.ท. เขมรัตน์ บุญช่วย ทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก ผู้ต้องหาในความผิดตามความในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘9near’ ที่นำข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายชื่อไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์

 

พล.ต.ต. วิวัฒน์กล่าวว่า ที่ห้องพักของผู้ต้องหาพบมีฮาร์ดดิสก์ อุปกรณ์รีโมตควบคุมทางไกล อุปกรณ์โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และฮาร์ดดิสก์อีก 7-8 ตัว อุปกรณ์สำหรับการซ่อมคอมพิวเตอร์จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นผู้มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี มีความเชี่ยวชาญ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังรอผลการตรวจร่องรอยทางคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม

 

ด้าน พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้ พบพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับคำให้การของผู้ต้องหาว่าเป็นคนซื้ออุปกรณ์มา ส่วนการที่ผู้ต้องหาไปซื้อข้อมูลในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล เนื่องจากเป็นเครือข่ายเว็บไซต์ของต่างประเทศ ส่วนราคาซื้อที่ จ.ส.ท. เขมรัตน์ระบุว่า ซื้อข้อมูลส่วนบุคคลมาในราคา 8,000 บาทนั้น เป็นเพียงคำให้การเบื้องต้น 

 

ส่วนเรื่องการนำข้อมูลไปขายต่อหรือไม่นั้น ตามคำให้การยืนยันว่า จากการสอบปากคำมี 3 เจตนาในการโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลนี้ 

 

  1. เพื่อต้องการประกาศขาย เนื่องจากต้องการเงิน 
  2. ต้องการโพสต์ให้คนสนใจ โดยใช้ข้อมูลของบุคคลมีชื่อเสียงในลักษณะการข่มขู่ 
  3. เมื่อรู้ว่ามีการติดตามจับกุมก็เบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องการเมือง  

 

ในเบื้องต้นจากการหลบหนี ผู้ต้องหาคิดว่าตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวได้ จึงหลบหนีโดยขับรถไปยังภูมิลำเนาจังหวัดเชียงราย ระหว่างหลบหนีไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ และทิ้งเครื่องมือสื่อสารทุกอย่าง แต่มีการทิ้งเบาะแสคือการแวะไปหาเพื่อนตามสถานที่ต่างๆ ก่อนมุ่งไปที่จังหวัดเชียงรายเพียงคนเดียว

 

ส่วนเส้นทางการเงินจากการตรวจสอบพบว่าไม่มีการเชื่อมโยงไปยังภรรยา เพราะพบว่าในบัญชีภรรยามีจำนวนเงินหลักร้อยเท่านั้น 

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าวอีกว่า จากการสืบสวนตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ตำรวจได้ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้ พบ IP อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงกับอุปกรณ์ที่ตรวจพบในที่พักของ จ.ส.ท. เขมรัตน์ และเมื่อตรวจพยานแวดล้อมและสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็นำไปสู่การรวบรวมหลักฐานจนสามารถจับผู้ต้องหาได้ในวันนี้ 

 

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าจะมีบุคคลอื่นหรือมีผู้บังคับบัญชาเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าวว่า ไม่น่าเกี่ยวข้อง เนื่องจากการตรวจสอบที่พักพบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง หากมีคนสั่งการหรือมีหน่วยงานที่ควบคุมดูแลก็ควรจะมีสถานที่ที่เป็นความลับในการก่อเหตุมากกว่า

 

The post ตำรวจไซเบอร์บุกค้นห้องพัก จ่าสิบโทแฮกเกอร์ ‘9near’ พบอุปกรณ์คอมฯ-เครื่องมือจำนวนมาก คาดเป็นมืออาชีพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจคุมตัวจ่าสิบโทฝากขังศาลทหาร เจ้าตัวขอโทษคนไทย ยันไม่ได้แฮ็กข้อมูลหรือขายต่อ https://thestandard.co/police-detained-sergeant-in-military-court/ Wed, 12 Apr 2023 08:21:56 +0000 https://thestandard.co/?p=776195 9near ฝากขัง

วันนี้ (12 เมษายน) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญา […]

The post ตำรวจคุมตัวจ่าสิบโทฝากขังศาลทหาร เจ้าตัวขอโทษคนไทย ยันไม่ได้แฮ็กข้อมูลหรือขายต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
9near ฝากขัง

วันนี้ (12 เมษายน) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายหลังการสอบปากคำ จ.ส.ท. เขมรัฐ บุญช่วย ทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘9near’ โพสต์ขายข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายการ

 

ระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเพื่อไปทำการฝากขัง จ.ส.ท. เขมรัฐ ได้ระบุว่า กราบขอโทษคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่นำข้อมูลส่วนบุคคลไปเผยแพร่ทางโซเชียลจนเกิดความตระหนก ขอโทษมา ณ ที่นี้ พร้อมยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดยังไม่ถูกนำไปจำหน่าย ส่วนเหตุผลของการกระทำครั้งนี้จะให้การกับพนักงานสอบสวนเท่านั้น

 

หลังจากการสอบปากคำพนักงานสอบสวนและทหารพระธรรมนูญได้นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลทหาร โดยท้ายคำร้องคัดด้านการประกันตัวเนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี โดยมีระยะเวลาฝากขังผัดแรกตั้งแต่วันที่ 12-23 เมษายน รวมระยะเวลา 12 วัน

 

ด้าน พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) กล่าวว่า จากการสอบปากคำ จ.ส.ท. เขมรัฐ ให้การรับสารภาพ รวมทั้งพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้มานั้นมีความสอดคล้องกับคำให้การ

 

จ.ส.ท. เขมรัฐ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความรู้ในด้านไอทีและมีความสนใจในเว็บไซต์ที่แฮกเกอร์นิยมใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้อมูลผิดกฎหมาย จ.ส.ท. เขมรัฐ เคยเข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ดังกล่าวและพบว่ามีข้อมูลของตนเองอยู่จึงได้ติดต่อขอซื้อข้อมูลส่วนตัวคนไทยรายอื่นๆ เพิ่มจากเว็บไซต์ดังกล่าว จำนวน 8,000,000 Record เป็นเงิน 8,000 บาท

 

จากนั้นได้นำรายชื่อส่วนหนึ่งโพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดีย แต่ยังไม่ได้รับความสนใจ จึงได้นำข้อมูลส่วนตัวของคนมีชื่อเสียงโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียและส่งข้อความไปหาเจ้าของข้อมูลจนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา

 

พล.ต.ท. วรวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า จ.ส.ท. เขมรัฐ ให้การว่าเมื่อสิ่งที่ทำเป็นกระแสดัง รู้สึกตกใจจึงหลบหนีไปยังสถานที่ต่างๆ ส่วนพื้นที่ก่อเหตุนั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นยังบริเวณบ้านพักและสถานที่อื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดแล้ว

 

“ผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการซื้อข้อมูลไม่ใช่การแฮ็กข้อมูล ซึ่งข้อมูลบางส่วนได้ถูกทำลายไปแล้ว และยังไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปจำหน่ายแต่อย่างใด ทั้งยังยืนยันว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยที่หลุดไป 55 รายชื่อนั้นไม่เป็นความจริง ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนข้อมูลที่รั่วไหลที่แท้จริง ขณะเดียวกันผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการกระทำเพียงคนเดียว และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าภรรยาของผู้ต้องหาเป็นพยาบาล มีหน้าที่ดูแลคนไข้ ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบหรือข้อมูลอื่นๆ” พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าว

The post ตำรวจคุมตัวจ่าสิบโทฝากขังศาลทหาร เจ้าตัวขอโทษคนไทย ยันไม่ได้แฮ็กข้อมูลหรือขายต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจไซเบอร์เตรียมตรวจสอบ สธ. หลังถูกพาดพิงทำข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายชื่อ หลุดถึงมือแฮกเกอร์ https://thestandard.co/investigate-the-ministry-of-public-health/ Fri, 31 Mar 2023 11:13:38 +0000 https://thestandard.co/?p=771482 วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา

วันนี้ (31 มีนาคม) พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญ […]

The post ตำรวจไซเบอร์เตรียมตรวจสอบ สธ. หลังถูกพาดพิงทำข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายชื่อ หลุดถึงมือแฮกเกอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา

วันนี้ (31 มีนาคม) พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวถึงกรณีแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า ‘9Near’ ประกาศขายข้อมูลของคนไทยกว่า 55 ล้านรายชื่อผ่านโซเชียลมีเดียว่า ขณะนี้ทางไซเบอร์ได้ประสานไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อเร่งตรวจสอบถึงกรณีดังกล่าวว่าเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด และข้อมูลดังกล่าวหลุดมาจากหน่วยงานใด ซึ่งขณะนี้ทางดีอีเอสได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผ่านทางออนไลน์มาทางตำรวจไซเบอร์แล้ว ทั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ แต่จะทำให้เร็วที่สุด คาดว่าจะได้รับข่าวดีเร็วๆ นี้ 

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลดังกล่าวคาดว่าหลุดมาจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตามที่มีกระแสข่าวหรือไม่ พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าวว่า ยังไม่ขอพาดพิงหน่วยงานไหนเจาะจง แต่ทั้งนี้ได้ประสานไปยัง สธ. เพื่อขอเข้าไปตรวจสอบว่าข้อมูลหลุดจากการแฮ็ก หรือเจ้าหน้าที่หรือไม่

The post ตำรวจไซเบอร์เตรียมตรวจสอบ สธ. หลังถูกพาดพิงทำข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายชื่อ หลุดถึงมือแฮกเกอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>