วงการแฟชั่น – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 17 Jan 2025 10:35:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ศิลปะและแฟชั่น 2 เรื่องเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ผ่านมุมมองของแบรนด์ CHANEL https://thestandard.co/chanel-art-fashion-inseparable/ Fri, 17 Jan 2025 10:00:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1031362 CHANEL ศิลปะและแฟชั่น

เราค่อนข้างชื่นชอบคำกล่าวของ กาเบรียล ชาเนล หรือที่หลาย […]

The post ศิลปะและแฟชั่น 2 เรื่องเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ผ่านมุมมองของแบรนด์ CHANEL appeared first on THE STANDARD.

]]>
CHANEL ศิลปะและแฟชั่น

เราค่อนข้างชื่นชอบคำกล่าวของ กาเบรียล ชาเนล หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อโคโค ชาแนล (Coco Chanel) ตำนานดีไซเนอร์ผู้ล่วงลับ ในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ CHANEL อยู่ไม่น้อย 

 

ครั้งหนึ่งในงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเล็กชันใหม่โดย CHANEL ในปี 1969 กาเบรียล ชาแนล กล่าวไว้ว่า “แฟชั่นไม่ใช่แค่สิ่งที่ปรากฏอยู่บนเสื้อผ้าอาภรณ์เท่านั้น หากแต่แฟชั่นยังแฝงตัวอยู่บนแผ่นฟ้า ซ่อนกายตามหัวมุมท้องถนน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับแง่ง่ามความคิดและวิถีชีวิตของพวกเรา ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่เป็นพลวัตอยู่รอบตัว”

 

และในทางใดทางหนึ่ง THE STANDARD POP เองก็เชื่อว่าหากยึดตามเจตนาและแรงปรารถนาที่มุ่งมั่นของ โคโค ชาแนล แล้วละก็ แฟชั่นก็คืองานศิลปะแขนงหนึ่งที่ไม่สามารถตัดจากกันขาด อยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือแยกออกจากกันได้โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมมองใดก็ตาม

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ CHANEL เป็นแบรนด์แฟชั่นลำดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมเลือกเดินหน้าผลักดันการสนับสนุนวงการศิลปะทุกแขนงอย่างมุ่งมั่น จริงจัง และต่อเนื่อง มาเป็นระยะเวลายาวนาน

 

CHANEL ศิลปะและแฟชั่น

 

เมื่อแฟชั่นและศิลปะสำหรับ CHANEL คือความสัมพันธ์ที่ต่างเติมเต็มและตอบแทนซึ่งกันและกัน

 

แม้แต่ตัว กาเบรียล ชาแนล ในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ เธอก็หลงใหลในโลกของแฟชั่น งานออกแบบ และงานศิลปะ ชนิดถอนตัวไม่ขึ้นเช่นกัน 

 

Misia Sert, Jean Cocteau, Serge de Diaghilev, Igor Stravinsky, Pierre Reverdy, Alain Resnais, Salvador Dalí, Pablo Picasso, Colette และ Marie Laurencin เป็นเพียง ‘เพื่อนศิลปิน’ ส่วนหนึ่งจากอีกมากมายหลากหลายที่ชาแนลสนิทชิดเชื้อและสนับสนุนผลงานของกันและกัน การขับเคลื่อนแนวคิดศิลปะของอีกฝ่ายในระหว่างที่เธอยังมีลมหายใจและโลดแล่นในวงการแฟชั่นมาโดยตลอด

 

duchamp

 

เธอถือเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มจัดตั้งชุมชนของเหล่าศิลปินขึ้นมา ณ บ้านพักของเธออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อเป็นพื้นที่หรือศูนย์กลางที่ให้เพื่อนพ้องศิลปินของเธอได้มาแลกเปลี่ยนไอเดียหรือพบปะซึ่งกันและกัน

 

ตลอดจนการที่เธอมักให้การสนับสนุนเหล่าศิลปินเลือดใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะโดยไม่ประสงค์จะออกนามอยู่เสมอ เพื่อแผ้วถางทางให้เพื่อนพ้องพี่น้องศิลปินเหล่านั้นได้ก้าวขึ้นมาสร้างผลงานปรากฏสู่สายตาชาวโลก และเป็นที่รู้จักเมื่อพวกเขาเหล่านั้นเดินหน้าทำในสิ่งที่ตนเองเชื่ออย่างมั่นคง จนก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเอง

 

 

สู่ CHANEL Culture Fund บทพิสูจน์ความแน่วแน่และแรงผลักดันต่อแวดวงศิลปะและวัฒนธรรม

 

หลังสนับสนุนวงการศิลปะและเหล่าศิลปินมาหลายยุคหลายสมัย ในที่สุดในช่วงปี 2021 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว CHANEL ก็ได้จัดตั้งกองทุนสนับสนุนด้านวัฒนธรรมในสเกลระดับโลกอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ ‘CHANEL Culture Fund’

 

โดย CHANEL Culture Fund จะมุ่งเน้นไปที่การให้การสนับสนุนแก่ผู้บุกเบิก เหล่านวัตกรที่มีความคิดริเริ่มในการสร้างวัฒนธรรมอันดี เพื่อพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ และการเป็นบุคคลตัวอย่างด้านวัฒนธรรมและสังคมให้ดีมากยิ่งขึ้น และเพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมของบรรดาศิลปินผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมทั่วโลก เปิดโอกาสในการทำงานร่วมกัน ในช่วงเวลาที่ศิลปะเป็นแหล่งที่มาสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนทัศนคติและมุมมองของผู้คนต่อโลก

 

 

นอกเหนือจากนี้ CHANEL Culture Fund ยังให้การสนับสนุนภายใต้การทำงานร่วมกันกับสถาบันทางศิลปะอีกมากกว่า 5 แห่งทั่วโลก ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยชิคาโก (Museum of Contemporary Art Chicago) สหรัฐอเมริกา, หอศิลป์ภาพเหมือนแห่งชาติ (National Portrait Gallery) ลอนดอน, ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติจอร์จปงปิดู (Centre Georges Pompidou) ปารีส, โรงไฟฟ้าศิลปะ (The Power Station of Art) เซี่ยงไฮ้ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุง (Leeum Samsung Museum of Art) กรุงโซล  เพื่อร่วมสร้างสรรค์ความร่วมมือในรูปแบบโปรแกรมสนับสนุนกระบวนการคิดและการผลิตงานศิลปะอีกด้วย

 

ยังไม่นับรวม ‘รางวัล CHANEL Next Prize’ ที่ CHANEL จะมอบทุนมูลค่า 1 แสนยูโร หรือราว 3.6 ล้านบาท ให้กับศิลปิน 10 คนจากในหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี การเต้น การแสดง ภาพยนตร์ ทัศนศิลป์ และการออกแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดจำกัดด้านทรัพยากรทุนทรัพย์ให้พวกเขาหรือเธอทุกคนจากทุกประเทศทั่วโลก สามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะใหม่ๆ ออกมาอย่างไม่ลดละและไร้ซึ่งแรงเสียดทาน

 

CHANEL ศิลปะและแฟชั่น

 

‘ประเทศไทย’ อีกหนึ่งผืนผ้าใบ Canvas ที่ CHANEL พร้อมเปิดโอกาสผลักดันศิลปิน

 

ความมุ่งมั่นในการสนับสนุนอุตสาหกรรมศิลปะโดย CHANEL นี้ยังสะท้อนมาถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา CHANEL ก็มีโอกาสจัดงานสนับสนุนด้าน Art & Culture ไปหลายต่อหลายครั้ง

 

แต่ที่ชัดที่สุดและเริ่มเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้อย่างชัดเจนนั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2022 ที่พวกเขาจัดงานดินเนอร์ต้อนรับการฉายภาพยนตร์เรื่อง Memoria ของ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ขึ้นที่ยังโรงแรมอมันปุริ จังหวัดภูเก็ต โดยในงานดังกล่าวยังได้ ทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) ศิลปินและนักแสดงมากฝีมือ เดินทางมาร่วมงานในฐานะนักแสดงนำของเรื่องและแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ CHANEL อีกด้วย

 

 

ตลอดจน Friends of the House CHANEL และเพื่อนพ้องในอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากไทยอีกมากมาย ที่ก็เดินทางมาร่วมงานดินเนอร์นี้ด้วยเช่นกัน

 

ซึ่งหากถอยย้อนกลับไปในช่วงราวเดือนกรกฎาคม ปี 2021 เจ้ย อภิชาติพงศ์ และ Memoria เพิ่งจะคว้ารางวัล Jury Prize จากเวที Cannes Film Festival 2021 มาได้หมาดๆ โดยถือเป็น Jury Prize ลำดับที่ 2 ของเจ้าตัวอีกด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาเคยคว้ารางวัลดังกล่าวมาครองได้จากผลงานภาพยนตร์ สัตว์ประหลาด! (Tropical Malady) เมื่อปี 2004

 

 

ต่อมาในปี 2022 แบรนด์ CHANEL ก็เดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมศิลปะอีกครั้งผ่านการจัดงานดินเนอร์ที่กรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนผลงานศิลปะร่วมสมัยผ่านซีรีส์นิทรรศการงานศิลป์ ‘Ghost 2565: อยู่ยังไงให้ไม่ตาย’ ผลงานสุดยูนีกของ กรกฤต อรุณานนท์ชัย อีกหนึ่งศิลปินไทยที่มีผลงานโดดเด่นและถูกจับตาจากเวทีระดับโลก โดยเป็นช่วงไทม์ไลน์เดียวกันกับการจัดงาน Bangkok Art Biennale ครั้งที่ 3 ขึ้นที่ประเทศไทย

 

ในงานดังกล่าวยังได้ พัคซูจู ศิลปินและนางแบบระดับโลกจากเกาหลีใต้ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ เดินทางมาร่วมงาน พร้อมออกแบบโชว์ดนตรี Musical Performance สุดพิเศษร่วมกันกับกรกฤต เพื่อแสดงเฉพาะในงานนี้โดยเฉพาะ

 

 

เรื่อยมาจนถึงปี 2024 หรือเมื่อปีที่แล้ว CHANEL ก็ยังได้สนับสนุนโปรเจกต์ CINEMA FOR ALL ส่วนหนึ่งของงาน Thailand Biennale ที่จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย โดยพาร์ต CINEMA FOR ALL ถือเป็นความตั้งใจของ CHANEL ในการเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ คนรักฟิล์ม และศิลปะร่วมสมัย ได้มีพื้นที่ในการแบ่งปันเรื่องราว แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจัดแสดงผลงาน 

 

 

โดยมี เจ้ย อภิชาติพงศ์ เป็นหนึ่งในศิลปินที่นำผลงานนิทรรศการ ‘A Conversation with the Sun (VR)’ ของเขามาจัดแสดงด้วย ก่อนที่นิทรรศการดังกล่าวจะถูกนำไปจัดแสดงทั่วโลก (งานในครั้งนี้ยังได้ ทิลดา สวินตัน เดินทางมาร่วมงานด้วยเช่นกัน)

 

CHANEL ศิลปะและแฟชั่น

 

และล่าสุดในปี 2025 CHANEL ยังเตรียมนำโปรเจกต์นิทรรศการ A Conversation with the Sun (VR) ของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ มาให้คนกรุงเทพฯ ได้ร่วมรับชมและสัมผัสประสบการณ์กัน ณ One Bangkok Forum ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

 

ความพิเศษของการจัดแสดงผลงาน A Conversation with the Sun (VR) คือการที่ CHANEL ยังเตรียมจัด Masterclass รอบพิเศษโดย ทิลดา สวินตัน ร่วมกับ เจ้ย อภิชาตพงศ์ เพื่อให้ผู้ที่หลงใหลในศิลปะ และโดยเฉพาะงานสร้างสรรค์ของทั้ง เจ้ย อภิชาตพงศ์ และ ทิลดา สวินตัน ได้เข้าร่วมเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ คำแนะนำ ความรู้ และแรงบันดาลใจ ในการรังสรรค์งานศิลปะกลับออกไปเติมเต็มพลังส่วนตนในการสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง

 

อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวของการจัดงานนิทรรศการ A Conversation with the Sun (VR) ที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ผ่านทุกช่องทางของ THE STANDARD POP

The post ศิลปะและแฟชั่น 2 เรื่องเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ผ่านมุมมองของแบรนด์ CHANEL appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT EXHIBITIONS TO VISIT IN 2025 นิทรรศการที่คอแฟชั่นไม่ควรพลาดในปีนี้ https://thestandard.co/fashion-exhibitions-2025/ Sun, 12 Jan 2025 13:00:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1029615 นิทรรศการแฟชั่น 2025 ระดับโลก

CARTIER EXHIBITION AT V&A LONDON   เริ่มต้นที่ […]

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT EXHIBITIONS TO VISIT IN 2025 นิทรรศการที่คอแฟชั่นไม่ควรพลาดในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นิทรรศการแฟชั่น 2025 ระดับโลก

CARTIER EXHIBITION AT V&A LONDON

 

เริ่มต้นที่กรุงลอนดอน กับการประกาศเมื่อช่วงท้ายปี 2024 ที่ผ่านมาจากทาง Victoria & Albert Museum หรือ V&A เกี่ยวกับไลน์อัพงานจัดแสดงในปี 2025 และหนึ่งในนั้นคือ นิทรรศการ Cartier ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 เมษายน – 16 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งนับเป็นนิทรรศการครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 30 ปีของ Cartier ในสหราชอาณาจักร โดยจะมีการนำเสนอผลงานคราฟต์อย่างจิวเวลรี อัญมณี และนาฬิกากว่า 350 ชิ้น รวมไปถึงภาพอาร์ไคฟ์ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ผลงานจากไพรเวตคอลเล็กชันและรอยัลคอลเล็กชัน ซึ่งล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและวิวัฒนาการด้านศิลปะของเมซงแห่งนี้นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน

 

 


 

THE FACE MAGAZINE AT NATIONAL PORTRAIT GALLERY

 

อีกหนึ่งนิทรรศการสำคัญที่จัดขึ้นในกรุงลอนดอนช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ ซึ่งน่าจะถูกใจสายงานนิตยสารเป็นพิเศษ นั่นคือนิทรรศการ The Face Magazine: Culture Shift ที่จะพาทุกคนสำรวจจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยผ่านการรวบรวมผลงานภาพถ่ายแฟชั่นและภาพพอร์เทรตมากกว่า 200 ภาพ จากฝีมือช่างภาพกว่า 80 คนที่เคยฝากผลงานสุดไอคอนไว้กับนิตยสารสัญชาติอังกฤษอย่าง The Face ที่ทรงอิทธิพลด้านวัฒนธรรมร่วมสมัยและแฟชั่นตั้งแต่ปี 1980-2004 กระทั่งกลับมาเผยแพร่อีกครั้งในปี 2019 ซึ่งบางผลงานนั้นจะถูกนำมาแสดงนอกหน้าหนังสือเป็นครั้งแรก โดยนิทรรศการนี้จะจัดขึ้นที่ National Portrait Gallery ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ – 18 พฤษภาคม 2025 

 

 


 

LORO PIANA 100 YEARS SHANGHAI

 

ข้ามกลับมาที่ฝั่งเอเชีย ในปีนี้แบรนด์แฟชั่นหรูอย่าง Loro Piana เตรียมเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ด้วยการจัดนิทรรศการครบรอบ 100 ปี ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ Museum of Art Pudong (MAP) ภายในสถาปัตยกรรมที่ดีไซน์โดย Ateliers Jean Nouvel อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะพาเหล่าสาวกแบรนด์ไปสัมผัสโลกแห่งเส้นใยผ้า ย้อนรอยการเดินทางผ่านประวัติศาสตร์และมรดกของตระกูล Loro Piana ผ่านงานภาพถ่าย งานศิลปะ และงานหัตถศิลป์ชั้นเลิศในรูปแบบ Immersive อีกทั้งยังนับเป็นการเชิดชูสายสัมพันธ์ที่ทางแบรนด์มีต่อชุมชนในจีนด้านการอนุรักษ์มรดกการผลิตแคชเมียร์ โดยจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 5 พฤษภาคม 2025

 

นิทรรศการแฟชั่น 2025 ระดับโลก

 


 

LOUVRE COUTURE IN PARIS

 

สำหรับศูนย์กลางแห่งแฟชั่นของโลกอย่างกรุงปารีสนั้น ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม ยาวไปถึง 21 กรกฎาคม 2025 พิพิธภัณฑ์ Louvre จะจัดนิทรรศการพิเศษในปี 2025 ในชื่อ LOUVRE COUTURE: Objets d’art, objets de mode นิทรรศการพิเศษสุดยิ่งใหญ่ที่เจาะลึกความเชื่อมโยงระหว่างแฟชั่นชั้นสูงและศิลปะตั้งแต่ปี 1960 เน้นถึงอิทธิพลและแรงบันดาลใจที่ศิลปะมีต่อการออกแบบเสื้อผ้า วิธีที่แฟชั่นสะท้อนถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ จากผลงานดีไซน์และเครื่องประดับกว่า 45 แบรนด์ ที่มีตั้งแต่คอลเล็กชันของตกแต่งหรูหราสมัยไบแซนไทน์ไปจนถึงสมัยจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง ผ้าทอจากยุคเรเนสซองส์ และคอลเล็กชันชุดเกราะ

 

 


 

MET SUPERFINE: TAILORING BLACK STYLE

 

ถัดไปที่อีเวนต์ใหญ่แห่งปีของสายแฟชั่น ณ พิพิธภัณฑ์ Metropolitan Museum of Art ที่จัดขึ้นควบคู่กับงาน Met Gala โดยปีนี้มาในธีม Superfine: Tailoring Black Style ซึ่งได้รับเเรงบันดาลใจมาจากหนังสือของ Monica L. Miller เรื่อง Slaves to Fashion: Black Dandyism and the Styling of Black Diasporic Identity ในปี 2009 โฟกัสที่การถ่ายทอดความเป็น Black Dandy ที่สะท้อนทั้งอัตลักษณ์และสไตล์แฟชั่นชั้นสูงฝั่งสุภาพบุรุษของคนผิวดำ ผ่านการจัดแสดงเครื่องแต่งกาย งานภาพวาด ภาพถ่าย และสื่ออื่นๆ โดยยังเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2003 ที่ Metropolitan Museum of Art เลือกใช้ธีมที่เกี่ยวข้องกับ Menswear เป็นหลักอีกด้วย

 

นิทรรศการแฟชั่น 2025 ระดับโลก

 


 

DOLCE & GABBANA DU CŒUR À LA MAIN PARIS

 

ในส่วนของแลนด์มาร์กสำคัญอีกหนึ่งแห่งของปารีสอัน ได้แก่ Grand Palais ก็ต้องอยู่ในลิสต์ของเหล่าคอแฟชั่นปีนี้ด้วยเช่นกัน เพราะทาง Dolce & Gabbana เลือกสถานที่แห่งนี้จัดนิทรรศการ Du Cœur à la Main: Dolce & Gabbana ในวันที่ 10 มกราคม – 31 มีนาคม 2025 เพื่อนำเสนอผลงานกว่า 200 ชิ้นผ่านโซนต่างๆ ทั้ง 10 ห้องที่แบ่งตามธีม เช่น ศิลปะ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ดนตรี บัลเลต์ โอเปรา ตลอดจนความหลงใหลในแนวคิดแบบ La Dolce Vita ของอิตาลี ที่เปรียบเสมือนการนำทุกคนก้าวเข้าสู่โลกของ Domenico Dolce และ Stefano Gabbana ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ดูโอของแบรนด์ผู้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และไอเดียเบื้องหลังที่จุดประกายให้เกิดเป็นผลงานอันทรงคุณค่า 

 

 

 


 

THE FLOWERS OF YVES SAINT LAURENT

 

ปิดท้ายด้วยการสัมผัสความงามของดอกไม้ในมุมมองที่สะท้อนถึงแฟชั่น ศิลปะ และวรรณกรรมอย่างลึกซึ้ง ณ Musée Yves Saint Laurent Paris กับนิทรรศการ Les Fleurs d’Yves Saint Laurent หรือ The Flowers of Yves Saint Laurent ที่เข้าชมได้จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2025 เป็นการรวมเอาเสื้อผ้าและภาพร่างมากกว่า 30 ชิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นลวดลายดอกไม้อันซับซ้อนและเทคนิคการปักชั้นครู ประกอบกับการวางเส้นทางในแต่ละห้องให้เป็นเหมือนบทในหน้าหนังสือจากนวนิยายของ Marcel Proust โดยคิวเรเตอร์รังสรรค์ขึ้นจากความรักที่ Yves Saint Laurent มีต่อดอกไม้ ธรรมชาติ และวรรณกรรม ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่มีอิทธิพลต่องานออกแบบของเขา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่เหนือกาลเวลาและคงอยู่ชั่วนิรันดร์นั่นเอง

 

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT EXHIBITIONS TO VISIT IN 2025 นิทรรศการที่คอแฟชั่นไม่ควรพลาดในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Charlotte Tilbury ประกาศดีลใหญ่กับ Puig เตรียมทยอยขายหุ้นทั้งหมดภายในต้นปี 2031 https://thestandard.co/charlotte-tilbury-puig-stake-sale-2031/ Wed, 18 Dec 2024 05:50:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1020917 Charlotte Tilbury

ถือเป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายปีในแวดวงความงาม เมื่อ Puig บริษั […]

The post Charlotte Tilbury ประกาศดีลใหญ่กับ Puig เตรียมทยอยขายหุ้นทั้งหมดภายในต้นปี 2031 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Charlotte Tilbury

ถือเป็นข่าวใหญ่ส่งท้ายปีในแวดวงความงาม เมื่อ Puig บริษัทความงามและแฟชั่นยักษ์ใหญ่จากสเปน ประกาศข้อตกลงใหม่กับแบรนด์ Charlotte Tilbury โดยจะทยอยเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของแบรนด์ภายในต้นปี 2031

 

ย้อนกลับไปในปี 2020 Puig เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ Charlotte Tilbury ด้วยมูลค่าราว 1.2 พันล้านปอนด์ โดยช่างแต่งหน้าชื่อดังผู้ก่อตั้งแบรนด์ยังคงถือหุ้นส่วนน้อยไว้ หลังจากการร่วมมือครั้งนั้น Charlotte Tilbury เติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า

 

ปัจจุบัน Charlotte Tilbury ครองแชมป์แบรนด์เมกอัพอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร และเป็นแบรนด์ความงามที่มีอิทธิพลสูงสุดในโลกโซเชียลแม้จะมีช่องทางจัดจำหน่ายที่เลือกสรรมาอย่างพิถีพิถัน Charlotte Tilbury เผยว่า “การร่วมมือกับ Puig ตั้งแต่ปี 2020 เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเรา ฉันเชื่อมั่นว่ายังมีโอกาสและศักยภาพอีกมากที่รอให้เราปลดล็อก การขยายความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้แบรนด์เติบโตและยืนหยัดในฐานะผู้นำวงการความงามได้อย่างแข็งแกร่ง”

 

ล่าสุดในไตรมาส 3 ของปี 2024 Charlotte Tilbury ยังคงโชว์ฟอร์มแกร่งด้วยการเติบโตแบบสองหลักในตลาดหลักอย่าง EMEA และอเมริกา อย่างไรก็ตาม การเติบโตในไตรมาส 4 อาจชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากต้องเทียบกับฐานที่สูงจากการเปิดตัวในร้าน Ulta ช่วงปลายปี 2023

 

นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ Puig ที่มีแบรนด์ดังในเครือมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Jean Paul Gaultier, Rabanne, Carolina Herrera, Dries Van Noten และ Byredo การขยายความร่วมมือครั้งนี้จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้ทั้งสองฝ่ายและสร้างความตื่นเต้นให้วงการความงามอย่างแน่นอน

 

ภาพ: Courtesy of Charlotte Tilbury

อ้างอิง:

The post Charlotte Tilbury ประกาศดีลใหญ่กับ Puig เตรียมทยอยขายหุ้นทั้งหมดภายในต้นปี 2031 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โบแต่งผม แอ็กเซสซอรีมาแรงที่เข้าถึงง่าย แมตช์ได้ทุกลุค https://thestandard.co/hair-bow-clip-trending-accessory/ Wed, 16 Oct 2024 04:18:53 +0000 https://thestandard.co/?p=996403 โบแต่งผม

โบแต่งผม กำลังกลับมาเป็นเทรนด์ฮิตอีกครั้งในวงการแฟชั่นแ […]

The post โบแต่งผม แอ็กเซสซอรีมาแรงที่เข้าถึงง่าย แมตช์ได้ทุกลุค appeared first on THE STANDARD.

]]>
โบแต่งผม

โบแต่งผม กำลังกลับมาเป็นเทรนด์ฮิตอีกครั้งในวงการแฟชั่นและความงาม ด้วยความน่ารักและความหลากหลายในการใช้งาน ทำให้โบกลายเป็นไอเท็มยอดนิยมที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเข้ากับทุกลุค

 

เราเห็นการใช้ โบแต่งผมในหลากหลายวงการ ตั้งแต่คนดังไปจนถึงนางแบบบนรันเวย์ระดับโลก ยกตัวอย่างเช่น Hailey Bieber ที่มักจะเห็นเธอใช้ที่คาดผมติดโบน่ารักๆ เพิ่มความสดใสให้กับลุคของเธอ เช่นเดียวกับในภาพที่เราเห็นที่มีการใช้ที่คาดผมโบสีอ่อนๆ ดูน่ารักและเข้ากับลุคธรรมชาติของเธอได้อย่างลงตัว

 

ในวงการแฟชั่นเราเห็นโบปรากฏบนรันเวย์ของแบรนด์ดังระดับโลกหลายแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคอลเล็กชัน Couture Spring/Summer 2024 ยกตัวอย่างเช่น

 

  1. Giambattista Valli SS24 Couture Show แบรนด์นี้นำเสนอโบขนาดใหญ่อลังการ ทั้งบนเสื้อผ้าและเป็นเครื่องประดับผม สร้างลุคที่โรแมนติกและดรามาติกอย่างที่สุด
  2. Dior SS24 Couture Show ที่นำเสนอโบในรูปแบบที่เรียบหรูแต่มีเสน่ห์ ทั้งเป็นส่วนประกอบของเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริมแต่งทรงผม สะท้อนถึงความเป็นผู้หญิงในแบบฉบับของ Dior
  3. CHANEL SS24 Couture Show มีการใช้โบเป็นดีเทลเล็กๆ น่ารักบนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับลุคคลาสสิกของ CHANEL

 

ดีไซเนอร์ของแต่ละแบรนด์ล้วนนำโบมาตกแต่งทรงผมของนางแบบในหลากหลายรูปแบบ ทั้งโบขนาดเล็กน่ารักไปจนถึงขนาดใหญ่ดูโดดเด่น แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและความยืดหยุ่นของการใช้โบในการสร้างสรรค์ลุคที่แตกต่างกัน เทรนด์การใช้โบแต่งผมยังแพร่หลายไปถึงวงการกีฬาด้วย โดยนักกีฬาจากหลากหลายประเภทนิยมใช้โบผูกผมให้เข้ากับสีของชุดแข่งขันหรือธงชาติของตน เพิ่มความสวยงามและแสดงถึงความภาคภูมิใจในการเป็นตัวแทนประเทศ

 

ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์ไหน โบแต่งผมก็สามารถปรับให้เข้ากับลุคของคุณได้อย่างลงตัว ตั้งแต่ลุคสบายๆ แบบ Hailey Bieber ไปจนถึงลุคหรูหราสง่างาม ลองนำโบมาเป็นส่วนหนึ่งในการแต่งตัวของคุณ เพื่อเพิ่มความสดใสและความน่ารักให้กับลุคของคุณกันดูนะ

 

ภาพ: haileybieber / IG

The post โบแต่งผม แอ็กเซสซอรีมาแรงที่เข้าถึงง่าย แมตช์ได้ทุกลุค appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT HEART EVANGELISTA แฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ https://thestandard.co/7-things-we-love-about-heart-evangelista/ Sun, 13 Oct 2024 12:00:54 +0000 https://thestandard.co/?p=995252

หนึ่งส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการแฟชั่นนอกจากตัวแบรนด์ […]

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT HEART EVANGELISTA แฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หนึ่งส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการแฟชั่นนอกจากตัวแบรนด์แล้วนั้น เหล่าแฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ถือเป็นเครื่องมือชั้นดีในการเข้าถึงผู้คนเป็นวงกว้าง ซึ่งกระแสของเซเลบริตี้และอินฟลูเอ็นเซอร์ฝั่งเอเชียกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากฝั่ง APAC ที่ความนิยมกำลังเติบโตและเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้นในทุกๆ ไตรมาส แน่นอนว่าหากกล่าวถึงแฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์คนสำคัญของเอเชียจะต้องมีชื่อของ Heart Evangelista 

 

จากนักแสดงสาวเชื้อสายฟิลิปปินส์ เธอก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นในฐานะสไตล์ไอคอนแห่งเอเชียจากอิทธิพลการแต่งตัวและมุมมองด้านแฟชั่นส่วนตัวของเธอที่สะท้อนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากมาย เธอยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับภาพยนตร์ Crazy Rich Asians นำเสนอไลฟ์สไตล์อันหรูหราของเซเลบริตี้ชาวเอเชียที่เก๋และเปรี้ยวไม่แพ้ฮอลลีวูดกันเลยทีเดียว

 

และในโอกาสที่เธอกำลังโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ THE STANDARD POP จึงอยากพาแฟนชาวไทยไปรู้จักชีวิตเบื้องหลังของเธอกันให้มากขึ้น

 

EARLY LIFE

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 39 ปีก่อน ในปี 1985 ชีวิตของ Heart Evangelista ได้กำเนิดขึ้นที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยชื่อจริงว่า Love Marie Payawal Ongpauco ซึ่งชื่อต้นเธออย่าง Love นั้นมาจากการที่เธอเกิดในวันวาเลนไทน์ (14 กุมภาพันธ์) และไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาสู่เส้นทางวงการบันเทิงที่บ้านเกิดตั้งแต่วัย 13 ปี ด้วยชื่อในวงการว่า Heart Evangelista และประสบความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลทั้งนักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากหลากหลายเวที จนกล่าวได้ว่าเด็กสาวคนนี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักทั้งจากครอบครัวและแฟนคลับดังชื่อของเธอเอง

 

 


 

FROM ACTRESS TO INFLUENCER

 

หลังโลดแล่นท่ามกลางแสงสปอตไลต์ในฐานะนักแสดงสาว แน่นอนว่านอกจากผลงานการแสดงแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากนั่นคือลุคบนพรมแดงและการปรากฏตัวต่อหน้าสื่อด้วยเสื้อผ้าที่มีความหรูหราและสง่างาม ซึ่งถ่ายทอดผ่านความเป๊ะในทุกท่วงท่าการโพสที่ทำให้แต่ละลุคนั้นดูโดดเด่นขึ้นไปอีก จนกระทั่งในปี 2017 เธอได้บินลัดฟ้าไปเข้าร่วม Paris Haute Couture Fashion Week เป็นครั้งแรก และกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้เธอถูกเรียกว่า สไตล์ไอคอนจากเอเชียผู้เขย่าวงการกูตูร์ บนหน้านิตยสาร Harper’s BAZAAR ในปีต่อมา พร้อมทั้งยังมีการเปิดเผยจาก Kevin Kwan นักเขียนเรื่อง Crazy Rich Asians ว่าเธอเป็น 1 ใน 4 ของเซเลบริตี้ชาวเอเชียผู้เป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังเรื่องราวภาพยนตร์ที่ไวรัลไปทั่วโลกอีกด้วย

 

 


 

PERSONAL STYLE

 

อีกหนึ่งคีย์สำคัญที่ทำให้เธอกลายมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ในยุคนี้ได้ คงไม่พ้นการเปิดบัญชีอินสตาแกรม (@iamhearte) และช่องยูทูบ Love Marie Escudero เพื่อแชร์ภาพที่ทำให้ทุกคนได้เห็นไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของเธอได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การทำงานในแต่ละวัน การพาชมตู้เก็บรองเท้าที่น่าตื่นตาตื่นใจ เทคนิคการแต่งตัวแมตช์ลุคต่างๆ ตลอดจนอาหารการกินและสัตว์เลี้ยงตัวโปรด 

 

นอกจากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักในด้านความชื่นชอบทางศิลปะ อย่างที่หลายคนคุ้นเคยกันอาจเป็นภาพการเพนต์กระเป๋า Hermès รุ่น Birkin ตลอดจนการจัดนิทรรศการศิลปะของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ในตอนนี้จำนวนยอดผู้ติดตามของเธอนั้นพุ่งสูงถึง 16.2 ล้านคนเข้าไปแล้ว เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่แฟนคลับงานแสดงที่ชื่นชอบตัวตนของเธอเท่านั้น แต่วินาทีนี้ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าแอ็กเคานต์ของ Heart นั้นควรค่าแก่การติดตามจริงๆ 

 

 


 

LAUNCHING BEAUTY BRAND

 

ความทรงอิทธิพลของเธอไม่ได้หยุดอยู่แค่วงการแฟชั่นเท่านั้น แต่ Heart Evangelista ได้ก้าวขาเข้ามาในวงการบิวตี้ด้วยการก่อตั้งแบรนด์ในชื่อ Pure Living ในปี 2022 ซึ่งเน้นไปที่การให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสประสบการณ์ความงามและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) เน้นย้ำที่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ รวมถึงจับมือกับแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังในการพัฒนาคอลเล็กชันพิเศษ ซึ่งแบรนด์ Pure Living ได้การตอบรับที่ดีจากทั้งแฟนคลับและคนในแวดวงบิวตี้

 

 


 

CHARITY INITIATIVES

 

อย่างไรก็ตาม ลำพังเพียงความสวย รวย เก่ง คงไม่ได้ทำให้ทุกคนรักเธออย่างเป็นเสียงเดียวกันได้ขนาดนี้ แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทุกคนพร้อมชื่นชมในตัว Heart Evangelista อยู่เสมอคือการมีจิตใจที่ดี โดยเธอมีส่วนร่วมสำคัญในกิจกรรมการกุศลต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งโปรเจกต์ Heart Can เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ ให้การสนับสนุนมูลนิธิเกี่ยวกับเด็กที่ป่วยเป็นโรคหายาก โรคมะเร็ง หรือโรคสมอง การระดมทุนผ่านการประมูลภาพวาดของเธอเพื่อช่วยเหลือโครงการเกี่ยวกับสุขภาพจิต ตลอดจนเป็นที่รู้จักในด้านผู้สนับสนุนสิทธิสัตว์มาอย่างยาวนานด้วยการร่วมมือกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพสัตว์อย่าง Performing Animal Welfare Society (PAWS)

 

 


 

FASHION WEEK IMPACT

 

เมื่อกล่าวถึงตัวเลขอันเป็นที่ประจักษ์สำหรับความทรงพลังในด้านแฟชั่นของเธอ ล่าสุดมีรายงานจาก Lefty ว่าในช่วง Paris Fashion Week ซีซัน Spring/Summer 2025 ที่ผ่านมา Heart สามารถสร้างมูลค่าสื่อโดยประมาณ (EMV) ได้สูงถึง 5.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเข้าร่วม 15 โชว์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเซเลบริตี้ Top 10 ของโลกที่สร้างมูลค่าสื่อได้สูงที่สุดร่วมกับคนดังคนอื่นๆ เช่น Kylie Jenner, Cardi B และ Cha Eun Woo อีกทั้งทางแพลตฟอร์ม Launchmetrics ยังเปิดเผยเมื่อเดือนมิถุนายนว่า นักแสดงสาวคนนี้เป็นหนึ่งใน Top 5 ด้านแฟชั่นและสปอร์ตแวร์ ด้วยการสร้าง Media Impact Value ไว้สูงถึง 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดที่วัดจากจำนวนรีแอ็กชันโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับเธอบนโซเชียลมีเดียในช่องทางต่างๆ นั่นเอง

 

 


 

EMPOWERMENT INSPIRATION

 

ส่วนสุดท้ายที่เราอยากกล่าวถึง คือความสำเร็จจากทั้งด้านแฟชั่น ความงาม และการช่วยเหลือสังคมทั้งหมดนั้น ทำให้เธอถูกขนานนามว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นแบบอย่างให้กับใครหลายคนที่อยากจะทำตามความฝันตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นผู้ผลักดันให้ผู้คนหันมาสำรวจความชอบในสไตล์ของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญในด้านการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิต และเป็นพันธมิตรผู้สนับสนุนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนได้รับรางวัล Equality Champion Award จาก Lagablab Network ในฟิลิปปินส์ ซึ่งทำให้ชื่อของ Heart Evangelista ได้รับการจดจำในฐานะผู้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์อย่างแท้จริง

 

 

ภาพ: Heart Evangelista, Getty Images, Edward Berthelot

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT HEART EVANGELISTA แฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โอกาสในการเติบโตของตลาดแฟชั่นและลักชัวรีในไทย สู่การเปล่งประกายบน Fashion Hub ระดับโลก: ไฮไลต์จากเวทีทอล์ก WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/wwd-x-siam-piwat-global-fashion-spotlight/ Fri, 11 Oct 2024 09:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=994457

“กว่า 40 ปีที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์เป็นผู้นำในการยกระดับอุ […]

The post โอกาสในการเติบโตของตลาดแฟชั่นและลักชัวรีในไทย สู่การเปล่งประกายบน Fashion Hub ระดับโลก: ไฮไลต์จากเวทีทอล์ก WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

“กว่า 40 ปีที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์เป็นผู้นำในการยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ด้วยวิสัยทัศน์แต่แรกเริ่มที่จะพัฒนาแบรนด์ไทยและดีไซเนอร์ไทยให้มีความรู้ความสามารถ รวมถึงสร้างธุรกิจเป็นของตนเองได้อย่างแข็งแกร่ง

 

เราขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือกับองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างองค์ความรู้และจัดเวทีในการแสดงผลงาน อีกทั้งยังมีพื้นที่จัดจำหน่ายสินค้าในศูนย์การค้า ทำให้เกิดระบบนิเวศของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอย่างครบวงจรได้สำเร็จ สามารถแจ้งเกิดแบรนด์ไทยชั้นนำตั้งแต่ดีไซเนอร์ไทยระดับบนไปจนถึงดีไซเนอร์รุ่นใหม่หลายร้อยแบรนด์

 

อีกทั้งได้ต่อยอดนำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของเหล่านิสิตหรือนักศึกษาให้เกิดเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนับหมื่นล้านบาท และมีการเติบโตของผู้ที่อยู่ในระบบนิเวศของแวดวงอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอย่างแข็งแกร่ง

 

“ในช่วงโควิดจนถึงปีนี้ ยอดขายสินค้าลักชัวรีแบรนด์ที่มีแฟลกชิปสโตร์ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนและไอคอนสยาม มียอดขายเติบโตหลายเท่าตัวและเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญที่เหล่าลักชัวรีแบรนด์มุ่งเน้นที่จะขยายพื้นที่ร้านเพิ่มขึ้น”

 

 

ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ กล่าวในงาน WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT ซึ่งจัดขึ้นโดยสยามพิวรรธน์จับมือกับ WWD สื่อแฟชั่นชั้นนำระดับโลก และพันธมิตรอย่างธนาคารกสิกรไทย และ SC Asset ในวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ พาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน

 

งานครั้งนี้เปลี่ยนเวทีแฟชั่นสู่การเป็นเวทีทอล์กที่รวบรวมผู้นำทางความคิด ดีไซเนอร์ชื่อดัง และผู้ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมแฟชั่นและลักชัวรีระดับโลกไว้ด้วยกัน โดยจัดขึ้นภายใต้ธีม SOUTHEAST ASIA – LUXURY’S NEW FUTURE ซึ่งกลุ่มสยามพิวรรธน์มองเห็นโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมแฟชั่นและลักชัวรีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายสำคัญบนเวทีแฟชั่นระดับโลก การพูดคุยบนเวทีแบ่งออกเป็น 3 ช่วง โดยมีไฮไลต์ที่โดดเด่น ดังนี้

 

Building Brands for a Global Consumer: สร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน ต้องยึดมั่นในจุดยืน

 

ช่วงแรกของการเปิดเวทีเป็นการพูดคุยในหัวข้อ Building Brands for a Global Consumer เจาะลึกแนวคิดสร้างแบรนด์สู่ตลาดโลก โดยใน Panel นี้จะชี้ให้เห็นถึงทิศทางและความเป็นไปได้ในการสร้างแบรนด์ระดับเอเชียให้ไปไกลสู่เวทีโลก

 

 

“BOYY เริ่มต้นในช่วงที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียและการตลาดแบบอินฟลูเอ็นเซอร์ การนำพา BOYY สู่แบรนด์ระดับโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการเรียนรู้และการปรับตัวอย่างมาก แต่สิ่งที่ต้องยึดมั่นคือเอกลักษณ์ของแบรนด์และเรื่องราวที่อยากส่งต่อ”

 

วรรณศิริ คงมั่น Co-founder and Co-creative Director ของ BOYY เล่าถึงจุดเริ่มต้นและจุดยืนของ BOYY

 

“แม้ว่า SHANGHAI TANG จะมีประวัติยาวนานกว่า 30 ปี และยอดขายอาจขึ้นลงตามสถานการณ์ แต่สิ่งที่สำคัญและเป็นหัวใจหลักของแบรนด์คือการไม่ละทิ้งความเป็นเอเชีย โดยดีไซน์ของแบรนด์ยังคงสะท้อนความเป็นจีนสมัยใหม่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงต้องรักษาไว้”

 

Octo Cheung Yan Yu, Vice President จากแบรนด์แฟชั่นสุดหรูที่ก่อตั้งในฮ่องกงอย่าง SHANGHAI TANG กล่าวเสริมเรื่องการคงเอกลักษณ์ของแบรนด์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

สำหรับการใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างแบรนด์ วรรณศิริเล่าถึงประเด็นนี้ว่า BOYY ต้องการนำเสนอแบรนด์ผ่านคนที่รักในตัว BOYY จริงๆ ส่วนด้าน Octo Cheung Yan Yu เห็นว่าโซเชียลมีเดียมีประโยชน์มาก เพราะเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้แบรนด์ได้นำเสนอความงดงามออกไปสู่สายตาชาวโลกในวงกว้าง

 

ในช่วงท้ายของ Panel แรกมีการพูดคุยถึงเรื่องโอกาสของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการเปิดรับนักลงทุนต่างชาติ Lie Sang Bong ดีไซเนอร์ชื่อดังจากเกาหลีใต้ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ LIE SANGBONG และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกของเกาหลีใต้ มองว่าปัจจุบันโลกแคบลงและเอเชียเริ่มเป็นหมุดหมายใหม่ในวงการนี้ โดยเล่าว่า

 

“LIE SANGBONG เริ่มก่อตั้งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในช่วงนั้นแบรนด์เกาหลียังไม่ได้รับการยอมรับและต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไป โดยเริ่มเห็นโอกาสการผลักดันแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่อุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก”

 

สำหรับเรื่องการเปิดรับนักลงทุนจากต่างชาติ วรรณศิริและ Lie Sang Bong มีความเห็นตรงกันว่าปัจจุบันยังไม่เปิดรับนักลงทุน เนื่องจากอยากรักษาจุดยืนของแบรนด์ไว้ 100% และต้องการให้การออกแบบเป็นไปตามที่ชอบจริงๆ ด้าน Octo Cheung Yan Yu เห็นว่าต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างนักลงทุนกับจุดยืนของแบรนด์และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อการทำงานร่วมกัน

 

Adapting to the New Luxury Landscape: ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาที่แบรนด์ระดับโลกต้องปรับตัว

 

ใน Panel ที่ 2 เป็นการเสวนาในหัวข้อ Adapting to the New Luxury Landscape การปรับตัวสู่ภูมิทัศน์ใหม่ของตลาดลักชัวรี ซึ่งปัจจุบันตลาดลักชัวรีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์ระดับโลกก็จะต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน

 

สุวดี พึ่งบุญพระ Chief Executive Officer จากพีพี กรุ๊ป มองว่า

 

 

“นิยามของคำว่า ‘ลักชัวรี’ เปลี่ยนไปจากในอดีตที่คนใช้สินค้าประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่มีรายได้สูงเท่านั้น แต่ปัจจุบันสินค้าลักชัวรีขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่คือเข้าถึงได้มากขึ้น โดยลูกค้าให้ความสำคัญกับความหมายและคุณภาพของสินค้ามากกว่ามูลค่าทางตัวเงิน”

 

นอกจากคุณภาพของสินค้าแล้ว สิ่งที่ทำให้แบรนด์มีมูลค่ามากขึ้นคือเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของแบรนด์ โดย Emmanuelle Kouakou, Managing Director จาก Piaget Southeast Asia & Oceania แบรนด์เครื่องประดับชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ให้ความเห็นว่า

 

“สิ่งที่ทำให้ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ต้องประกอบด้วยรากฐานของแบรนด์ที่มั่นคง นอกจากนั้นยังต้องมีทิศทางที่ชัดเจนที่ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่แบรนด์ต้องปรับตัวให้รู้สึกดึงดูดลูกค้าได้อยู่เสมอ”

 

Roberta Pellacci, Vice President of Marketing and Communications จาก Bvlgari Japan เสริมในประเด็นนี้ว่า

 

“การสร้างแบรนด์ควรเน้นที่คุณค่า ความเป็นตำนาน และสัมผัสที่เหนือกาลเวลา ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนของที่ซื้อในวันนี้ต้องสามารถเป็นมรดกที่ส่งต่อให้ลูกหลานได้โดยไม่ตกยุค”

 

นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ในการนำเสนอตัวตนของแบรนด์ โดย โอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์ Chief Operating Officer และ Chief Business Officer จากพีพี กรุ๊ป มีความเห็นว่า

 

“การเลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ถูกต้องจะทำให้แบรนด์เจอกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยลูกค้าจะเข้าใจเอกลักษณ์ของแบรนด์มากขึ้นผ่านการนำเสนอของแบรนด์แอมบาสเดอร์”

 

สำหรับความท้าทายของแบรนด์ในการเข้าสู่ตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Roberta Pellacci และโอฬาร มองว่า การนำเสนอแบรนด์ยังต้องคงความเป็นเอกลักษณ์ตัวเอง พร้อมทั้งตอบสนองความต้องการและวัฒนธรรมเฉพาะของแต่ละประเทศอย่างลงตัวเพื่อเข้าสู่ตลาดลักชัวรียุคใหม่

 

Southeast Asia’s Power of Global Influence: พลังแห่งเอเชียสู่การมีอิทธิพลระดับโลก

 

Panel สุดท้าย เป็นการพูดคุยในหัวข้อ Southeast Asia’s Power of Global Influence ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นภูมิภาคที่มีพลังอิทธิพลในวงการแฟชั่นโลก ด้วยศักยภาพและความเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้แบรนด์ลักชัวรีหันมาสนใจและลงทุนมากขึ้น

 

อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ เฮาส์แอมบาสเดอร์จากแบรนด์ Dior และ Friend of Piaget มองว่า

 

“การเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เป็นการสื่อสารตัวตนของแบรนด์ผ่านมุมมองของตัวเองและส่งอิทธิพลในวงการเป็นวงกว้าง”

 

สำหรับ Heart Evangelista เซเลบชื่อดังจากฟิลิปปินส์ มองว่า

 

 

“การเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์มาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อไรก็ตามที่อยู่ในสปอตไลต์ก็ควรทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก โดยพยายามเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะสื่อสารกับคนในคอมมูนิตี้”

 

อีกประเด็นหนึ่งที่ได้พูดคุยในการเสวนา Panel นี้คือ การส่งพลังแห่งการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เอเชียผ่านแบรนด์ระดับโลก โดย ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ เห็นว่า

 

“การที่มีภูมิหลังเป็นลูกครึ่งทำให้เชื่อมโยงกับกลุ่มคนที่หลากหลาย นอกจากนั้นยังมองว่าประเทศไทยมีบุคลากรที่เก่งมากมาย ซึ่งเชื่อว่าสามารถไปไกลระดับโลกได้” 

 

ด้านณัฐวิญญ์มีความเห็นว่า การได้ทำงานร่วมกับผู้คนจากหลากหลายประเทศทำให้เห็นว่า ‘แฟชั่น’ สามารถเชื่อมโยงกลุ่มคนเอาไว้ได้ โดยทำลายกำแพงภาษา ชาติ และศาสนา สื่อสารออกมาผ่านศิลปะและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของผู้คนในโลกใบนี้

 

งาน WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT ได้สะท้อนถึงการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมแฟชั่น รวมทั้งลักชัวรีแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังเป็นหมุดหมายสำคัญในการขยายตลาดของแบรนด์ระดับโลก การขับเคลื่อนของสยามพิวรรธน์ในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านแฟชั่น และเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะเติบโตไปยังวงการระดับโลกอย่างยั่งยืน

The post โอกาสในการเติบโตของตลาดแฟชั่นและลักชัวรีในไทย สู่การเปล่งประกายบน Fashion Hub ระดับโลก: ไฮไลต์จากเวทีทอล์ก WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
JENNIE คงทำอาชีพในวงการแฟชั่น หรือเป็นอีเวนต์แพลนเนอร์หากไม่ได้เป็นคนดังทุกวันนี้ https://thestandard.co/jennie-will-probably-pursue-a-career-in-the-fashion-industry/ Tue, 01 Oct 2024 00:37:09 +0000 https://thestandard.co/?p=989964

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รายการ My Name is Gabriel ที่ J […]

The post JENNIE คงทำอาชีพในวงการแฟชั่น หรือเป็นอีเวนต์แพลนเนอร์หากไม่ได้เป็นคนดังทุกวันนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รายการ My Name is Gabriel ที่ JENNIE วง BLACKPINK ไปเป็นแขกรับเชิญก็ออนแอร์ไปแล้ว โดยในรายการนี้ JENNIE ต้องใช้ชีวิตเป็น Maria เจ้าของฟาร์มและที่พักโฮมสเตย์แห่งกรุง Paliano ไม่ห่างจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี

 

ในช่วงสัมภาษณ์ต้นรายการ JENNIE เผยถึงอาชีพที่เธอจะเลือกทำถ้าหากว่าเธอไม่ได้เลือกเส้นทางการเป็นไอดอล และกลายเป็นคนดังระดับโลกดังเช่นในทุกวันนี้ เธอเผยว่า

 

“ฉันคุยเรื่องนี้กับเพื่อนบ่อยๆ ฉันน่าจะทำงานในวงการแฟชั่น แล้วฉันก็ชอบการวางแผน เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นอีเวนต์แพลนเนอร์ที่ดีเยี่ยมได้ด้วยเหมือนกัน”

 

JENNIE ไปถ่ายทำรายการดังกล่าวหลังจากที่เธอไปเดินแบบเป็นครั้งแรกบนรันเวย์ของ JACQUEMUS ที่ Capri ประเทศอิตาลี ซึ่งเมื่อเธอไปถึงที่ฟาร์มแล้ว เธอก็เริ่มทำความรู้จักและเรียนรู้เรื่องราวชีวิตของ Maria บทบาทที่เธอต้องเป็นสำหรับรายการนี้ รวมไปถึงทำความรู้จักกับคนใกล้ชิดของ Maria ด้วย ซึ่ง JENNIE เผยด้วยว่า ตอนแรกเธอรู้สึกสับสนและลนลาน เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายในการปรับตัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีสิ่งที่เหมือนกับ Maria อยู่ นั่นคือชีวิตในฟาร์มและความรักที่มีต่อม้า เธอเผยว่า

 

“มันทำให้ฉันนึกถึงตอนเด็กๆ เมื่อก่อนฉันเคยป้อนแอปเปิ้ลและแครอตให้ม้า แม้แต่ตอนที่พ่อกับแม่ตามให้ฉันกลับไปใช้เวลาวันหยุดที่เกาหลีตอนที่ฉันอยู่นิวซีแลนด์ ฉันจะบอกพวกเขาเลยว่าฉันขออยู่ที่ฟาร์มม้า”

 

สำหรับเอพิโสดต่อไปก็น่าจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลามไม่แพ้กัน เพราะ JENNIE ต้องเริ่มทำงานในฐานะ Maria อย่างเป็นทางการ โดยเธอจะขับรถไปรับแขกที่จะมาพักที่นี่ และดูเหมือนว่าแขกรายหนึ่งจะจดจำเธอได้ ซึ่งแฟนๆ ก็ต้องติดตามต่อไปว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นอย่างไร

 

อ้างอิง: 

The post JENNIE คงทำอาชีพในวงการแฟชั่น หรือเป็นอีเวนต์แพลนเนอร์หากไม่ได้เป็นคนดังทุกวันนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่! วงการแฟชั่นหรู พบหลักฐาน Dior และ Giorgio Armani ใช้แรงงานผิดกฎหมายผลิตสินค้า https://thestandard.co/dior-giorgio-armani-migrant-workers/ Mon, 23 Sep 2024 09:00:30 +0000 https://thestandard.co/?p=987021 Dior

สะเทือนวงการแฟชั่นในอิตาลี LVMH บริษัทแม่แบรนด์หรู Dior […]

The post เปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่! วงการแฟชั่นหรู พบหลักฐาน Dior และ Giorgio Armani ใช้แรงงานผิดกฎหมายผลิตสินค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dior

สะเทือนวงการแฟชั่นในอิตาลี LVMH บริษัทแม่แบรนด์หรู Dior และ Giorgio Armani ถูกเปิดโปง ใช้โรงงานผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย แถมต้องทำงานในสภาพแวดล้อมคล้ายโรงงานทาส ทำงานหนักเกินเวลา แต่ได้รับผลตอบแทนต่ำ หนำซ้ำยังละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

‘Made in Italy: shame in Italy’ หรือที่ง่ายๆ ว่า ‘ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในอิตาลี กลับสร้างความอับอายให้กับประเทศอิตาลี’ ประโยคดังกล่าวเป็นคำที่กลุ่มแรงงานข้ามชาติกลุ่มเล็กๆ ตะโกนอยู่บริเวณหน้าร้านของ Montblanc ผู้ผลิตเครื่องประดับหรู เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ยืนอยู่ห่างจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ Richemont บริษัทแม่ของ Montblanc ที่มีมูลค่า 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์เพียง 3 กิโลเมตร

 

จริงๆ ประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ Montblanc ออกแถลงการณ์ว่า ในช่วงต้นปี 2023 บริษัทตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ Z Production ซึ่งเป็นบริษัทซัพพลายเออร์ เนื่องจากการตรวจสอบพบว่า ผู้รับเหมารายนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

แต่ฝั่งของ Zain Ali วัย 23 ปี ชาวปากีสถานที่ทำงานกับ Z Production ออกมาโต้แย้งว่า สาเหตุที่ Montblanc ยุติสัญญาเป็นเพราะเราต้องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 5 วันต่อสัปดาห์ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน แต่บริษัทไม่สามารถให้ได้

 

กระทั่งในปี 2024 ประเด็นดังกล่าวถูกนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย โดยอัยการเริ่มสอบสวนจนโยงไปเจอโรงงานนรกกว่า 16 แห่งใกล้กับเมืองมิลานของอิตาลี ที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ดี และโรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์หรูอย่าง Dior, Giorgio Armani และ Alviero Martini

 

สะท้อนให้เห็นว่าสภาพการทำงานที่โหดร้ายเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานสินค้าหรู โดยฝั่งผู้นำสหภาพแรงงานและกลุ่มแรงงานกล่าวว่า ไม่เพียงแค่ Z Production และโรงงานอื่นๆ ในพื้นที่นั้น ที่จ้างแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารและไม่มีประสบการณ์ในการทำเครื่องหนังมาก่อน เพื่อมาผลิตสินค้าให้กับ Montblanc และแบรนด์ระดับไฮเอนด์อื่นๆ ทั้งหมดถือเป็นการลดต้นทุนของธุรกิจทั้งนั้น

 

สอดคล้องกับ อเลสซานโดร เลสซี ชายวัย 53 ปี ซึ่งเคยทำงานเป็นพนักงานส่งของที่ Z Production ระบุว่า ตัวเขาเป็นชาวอิตาลีเพียงคนเดียวที่ทำงานในโรงงานแห่งนี้ และมีสัญญาจ้างงานปกติ ตัวเขาเลิกงาน 18.00 น. แต่แรงงานต่างชาติต้องทำงานนานกว่า และคนงานส่วนใหญ่มาจากจีน ปากีสถาน และบังกลาเทศ

 

หรือแม้แต่ อับบาส ชายวัย 32 ปี ตัวเขาไม่มีใบอนุญาตในการทำงาน แต่ได้ทำงานในโรงงานผลิตกระเป๋าและเครื่องหนังให้กับแบรนด์สินค้าหรู มีสัญญาจ้างงานแบบพาร์ตไทม์ มีรายได้ประมาณ 600-700 ยูโรต่อเดือน (หรือราวๆ 22,000-25,000 บาท) แต่ต้องยืนทำงานตลอด 14 ชั่วโมง ซึ่งก็เหมือนกับแรงงานข้ามชาติจากปากีสถาน อัฟกานิสถาน และจีน ประมาณ 50 คน และเมื่อทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ พวกเขาแทบจะไม่มีเวลาออกไปช้อปปิ้ง หรือไม่มีเวลาซักผ้าเลยด้วยซ้ำ

 

เมื่อไม่นานมานี้ศาลในมิลาน ประเทศอิตาลี สั่งให้ควบคุม Giorgio Armani Operations และ Manufactures Dior ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท Armani ของอิตาลีเป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นผู้พิพากษาจะตรวจสอบอีกครั้งว่าบริษัทเหล่านี้ได้ดำเนินการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแรงงานได้หรือไม่ และในช่วงเวลาเดียวกัน อัยการอิตาลีก็กำลังเดินหน้าสอบสวนห่วงโซ่อุปทานของแบรนด์แฟชั่นอีกประมาณ 10 กว่าแบรนด์

 

ในเดือนกรกฎาคม LVMH บริษัทแม่ของ Dior และ Giorgio Armani กล่าวว่า บริษัทมีแผนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานการผลิตมากขึ้น ขณะที่แบรนด์ Dior ก็จะเข้ามาควบคุมการผลิตโดยตรงมากขึ้น

 

ทั้งหมดเป็นการรักษาจุดแข็งของ LVMH ที่เน้นผลิตสินค้าหายากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนประสบความสำเร็จและช่วยผลักดันให้ LVMH กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

 

เมื่อย้อนกลับมาดูเอกสารของศาล ระบุว่า สภาพการทำงานที่ไม่ดีและค่าจ้างที่ต่ำ ทำให้ Pelletteria Elisabetta Yang ซึ่งเป็นผู้รับเหมาของ Dior เรียกเก็บเงินจาก Dior ได้เพียง 53 ยูโร หรือราวๆ 1,900 บาทต่อกระเป๋าหนึ่งใบ ในขณะที่ราคาขายปลีกกลับอยู่ที่ 2,600 ยูโร (หรือราวๆ 95,386 บาท) แต่ Dior ชี้แจงว่าตัดความสัมพันธ์กับผู้ผลิตรายนี้ไปแล้ว

 

สิ่งที่เกิดขึ้นภายในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าหรูซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในอิตาลีนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Bain พบว่า แบรนด์โดยเฉลี่ยมีผู้ผลิตกว่า 7,000 ราย และถ้าผู้ผลิตแต่ละรายมีผู้ผลิตรายย่อยอีก 2 ราย ก็จะเป็นอีก 14,000 ราย แน่นอนว่ายิ่งเพิ่มความยากในการตรวจสอบและควบคุม

 

ด้าน อันโตนิโอ ฟรานเชสคินี จากกลุ่ม CNA Federmoda ของอิตาลี ซึ่งเป็นตัวแทนของช่างฝีมือและธุรกิจแฟชั่นขนาดเล็กกล่าวว่า ปัจจุบันสินค้าหรูแข่งขันกันอย่างรุนแรง แน่นอนว่าต้นทุนการจ้างพนักงานและการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมักจะมีค่าใช้จ่ายตามมา แต่ในกรณีข้างต้นถือเป็นสัญญาณเตือนแบรนด์ใหญ่ๆ ให้ใส่ใจสิทธิมนุษยชนของแรงงานให้มากขึ้น

 

อ้างอิง:

The post เปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่! วงการแฟชั่นหรู พบหลักฐาน Dior และ Giorgio Armani ใช้แรงงานผิดกฎหมายผลิตสินค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT BTS AMBASSADORSHIP บอยแบนด์ตัวท็อปกับบทบาทแอมบาสเดอร์วงการแฟชั่น https://thestandard.co/7-things-we-love-about-bts-ambassadorship/ Sun, 22 Sep 2024 07:48:58 +0000 https://thestandard.co/?p=986617 BTS AMBASSADORSHIP

บอยแบนด์จากแดนโสมที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่างถล่มทลา […]

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT BTS AMBASSADORSHIP บอยแบนด์ตัวท็อปกับบทบาทแอมบาสเดอร์วงการแฟชั่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS AMBASSADORSHIP

บอยแบนด์จากแดนโสมที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่างถล่มทลาย การันตีด้วยเพลงอันดับหนึ่งบนชาร์ตสุดหินอย่าง Billboard และรางวัลดนตรีจากเวทีระดับโลกมากมาย ก็ต้องยกให้วง BTS ซึ่งพวกเขาวางรากฐานศิลปิน K-Pop ให้กลายเป็นมูฟเมนต์ระดับคัลเจอร์จนก่อเป็นกระแสไอดอล K-Pop ที่ไม่ว่าจะปรากฏตัวที่ไหนจะได้เสียงตอบรับจากแฟนๆ ไปทั่วโลก 

 

นอกจากผลงานเพลงอันสุดยอดของพวกเขาแล้ว แต่ละสมาชิก Jin, RM, Jimin, Suga, V, Jungkook และ J-Hope ยังสร้างอิทธิพลส่งต่อถึงวงการแฟชั่นอีกด้วย โดยทุกคนต่างขึ้นรับตำแหน่ง Brand Ambassador ให้กับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก รวมถึงการขึ้นแคมเปญของแบรนด์นั้น และยังสร้างปรากฏการณ์ Sold Out ไม่ว่าพวกเขาจะหยิบไอเท็มไหนมาสวมใส่ก็ตาม จนในปี 2023 เว็บไซต์ชื่อดังด้านธุรกิจแฟชั่นอย่าง The Business of Fashion จัดให้พวกเขาอยู่ในลิสต์ BoF 500 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดต่อวงการแฟชั่น 

 

วันนี้ THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปชมมูฟเมนต์ของแต่ละสมาชิกที่สร้างต่อวงการแฟชั่นกันว่า พวกเขาสุดยอดขนาดไหน

 

หมายเหตุ: เป็นการเลือกแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่สมาชิกเป็นแอมบาสเดอร์ ไม่รวมเครื่องประดับ

 

JIMIN FOR DIOR 

 

 

Jimin เป็น 1 ใน 2 สมาชิกที่สามารถพาเพลงเดี่ยวของเขาขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต Billboard ได้สำเร็จ แถมเขายังได้เซ็นสัญญารับตำแหน่ง Brand Ambassador กับ Dior เมื่อต้นปี 2023 อีกด้วย โดยกิจกรรมแรกของเขาในฐานะ Brand Ambassador คือการไปนั่งชมแฟชั่นโชว์คอลเล็กชัน Fall/Winter 2023 แน่นอนว่าการมาครั้งนี้ของ Jimin ทำให้ปารีสแทบจะแตก เมื่อแฟนคลับจำนวนมหาศาลต่างมารอให้กำลังใจเขาเต็มเกือบทุกพื้นที่ และยังสร้างมูลค่าสื่อให้กับแบรนด์ไปอย่างมหาศาล แต่จะให้สมฐานะ Brand Ambassador มันก็ต้องขึ้นแคมเปญ ซึ่ง Jimin ได้ปรากฏตัวบนแคมเปญคอลเล็กชัน Spring 2024 ให้กับแบรนด์ Dior เป็นอีกก้าวสำคัญของเขาในวงการแฟชั่น

 

 

 

JUNGKOOK FOR CALVIN KLEIN

 

 

 

สมาชิกน้องเล็กของวง และเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่พาผลงานเพลงเดี่ยวทะยานขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต Billboard ได้สำเร็จ Jungkook ยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนๆ เมื่อ Calvin Klein เผยภาพสุดเซ็กซี่ของเขาพร้อมประกาศตำแหน่ง Brand Ambassador ให้กับเขา โดยแคมเปญ Spring/Summer 2023 เป็นแคมเปญแรกที่เขาปรากฏตัวพร้อมกับ JENNIE แห่งวง BLACKPINK, Kendall Jenner, FKA twigs และอีกมากมาย และกลับมาอีกครั้งในคอลเล็กชัน Spring 2024 โดย Jungkook ให้เหตุผลถึงการร่วมงานกับ Calvin Klein ว่ามาจากแพสชันและมุมมองที่เหมือนกัน เขาเองก็อยากจะสื่อสารและเข้าถึงแฟนคลับของเขาผ่านดนตรี ในขณะที่ Calvin Klein สื่อสารผ่านแฟชั่น 

 

 

J-HOPE FOR LOUIS VUITTON

 

 

หลังจากมีโอกาสร่วมงานกับ Louis Vuitton มาแล้วทั้งวง สมาชิกอย่าง J-Hope เป็นเพียงคนเดียวที่แบรนด์เลือกต่อสัญญาในฐานะ Brand Ambassador ด้วย โดยให้เหตุผลว่า J-Hope เป็นศิลปินที่มีแฟนคลับทั่วโลก และเขาเป็นคนมีเอเนอร์จี้ดีๆ ที่สามารถส่งต่อให้กับผู้อื่นได้ นอกจากการร่วมชมโชว์คอลเล็กชัน Fall/Winter 2023 ที่ผ่านมา เขายังมีโอกาสขึ้นแคมเปญให้กับไลน์กระเป๋า Keepall ของ Louis Vuitton อีกด้วย ซึ่งกระเป๋ารุ่น Keepall เป็นหนึ่งในรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มจำหน่ายในปี 1930 ซึ่งหลังแคมเปญนี้ปล่อยออกมา J-Hope ก็เข้ากรมทหาร โดยต้องมารอดูว่าหลังจากเขาปลดประจำการในเดือนตุลาคมนี้ Louis Vuitton และ J-Hope จะมีโอกาสร่วมงานอื่นๆ อะไรอีกบ้าง 

 

 

 

RM FOR BOTTEGA VENETA 

 

 

เมื่อช่วงต้นปี 2023 แบรนด์ Bottega Veneta สร้างเซอร์ไพรส์ เมื่ออยู่ดีๆ หัวหน้าวงของ BTS อย่าง RM ปรากฏตัวเพื่อนั่งชมโชว์ของ Bottega Veneta จนหลายคนสงสัยว่านี่อาจเป็นการร่วมงานของทั้งสองคนในฐานะ Brand Ambassador หรือเปล่า หลังจากนั้นไม่นาน ภาพของ RM ก็ปรากฏบนแคมเปญคอลเล็กชัน Spring/Summer 2023 ของ Bottega Veneta แถมตัวดีไซเนอร์ Matthieu Blazy ยังออกมาโพสต์อินสตาแกรมส่วนตัวว่า “Andiamo! Welcome to the family” ซึ่งแน่นอนว่าถือเป็นการเปิดตัวสถานะของ RM ที่มีต่อแบรนด์เช่นกัน ปกติแบรนด์ Bottega Veneta จะไม่ค่อยใช้เซเลบริตี้หรือคนดังมาทำหน้าที่ Brand Ambassador แต่กระแสของ BTS ที่สร้างอิทธิพลระดับคัลเจอร์ส่งให้ RM เป็นเซเลบริตี้ไม่กี่คนเท่านั้นที่แบรนด์เลือกจะร่วมงานด้วย 

 

 

V FOR CELINE 

 

 

อีกหนึ่งหนุ่มแฟชั่นของวงที่หลายคนคาดการณ์ว่าเขาจะสร้างอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นเป็นอย่างมาก แล้วก็เป็นจริงตามที่กล่าว หลัง V ปรากฏตัวที่โชว์ของ CELINE คอลเล็กชัน Spring/Summer 2023 ร่วมกับ LISA วง BLACKPINK และ Park Bo Gum ซึ่งภายหลังทั้งสามคนได้ขึ้นรับตำแหน่ง Brand Ambassador ให้กับ CELINE อย่างเป็นทางการ และ V ยังมีโอกาสได้ถ่ายแคมเปญโดย Hedi Slimane ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์อีกด้วย และยังได้ไปร่วมงานเปิดร้านของแบรนด์ ณ ถนนโอโมเตะซันโด ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

 

 

SUGA FOR VALENTINO

 

 

อีกหนึ่งสมาชิกที่ประกาศตำแหน่ง Brand Ambassador ในปี 2023 นั่นก็คือ Suga หลังจากเขาได้ร่วมงานกับ Valentino มาก่อนหน้า โดย Suga ถือเป็นหนึ่งในตัวแทนของ Di.Vas ซึ่งย่อมาจาก Different Values หรือบุคคลที่ใช้อิทธิพลในการแสดงตัวตนของตัวเองได้อย่างชัดเจน Suga มีโอกาสร่วมงานกับ Valentino หลายครั้ง ตั้งแต่แคมเปญ Maison Valentino Essentials คอลเล็กชันเสื้อผ้าคลาสสิก และแคมเปญคอลเล็กชัน Spring/Summer 2024 แถมในคอนเสิร์ตเดี่ยวของเขายังได้ Pierpaolo Piccioli ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนก่อนของ Valentino มาช่วยออกแบบทำชุดให้เขาอีกด้วย 

 

 

JIN FOR GUCCI

 

 

สมาชิกที่เข้ากรมก่อนเพื่อน และได้ปลดประจำการก่อนเพื่อนเช่นกัน ก็คือพี่ใหญ่อย่าง Jin โดยหลังจากที่เขาออกมา หลายคนก็รอลุ้นว่าแบรนด์เสื้อผ้าลักชัวรีเจ้าไหนจะคว้าตัวไปได้ เพื่อมาเป็นแอมบาสเดอร์ระดับโลกเหมือนน้องๆ ในวง ซึ่งเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็ประกาศว่าแบรนด์มหาอำนาจฝั่งอิตาลีอย่าง Gucci เซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่ง Sabato De Sarno เผยว่า ด้วยบุคลิกอันอบอุ่นของ Jin ทำให้เขาเป็นคนที่น่าร่วมงานด้วยมากๆ และล่าสุด Jin ก็เดินทางถึงเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นที่เรียบร้อย เพื่อร่วมชมโชว์คอลเล็กชันเสื้อผ้าผู้หญิง Spring/Summer 2025 โดยถือเป็นอีเวนต์เดี่ยวครั้งแรกของเขาในต่างประเทศสำหรับแบรนด์ลักชัวรี

 

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT BTS AMBASSADORSHIP บอยแบนด์ตัวท็อปกับบทบาทแอมบาสเดอร์วงการแฟชั่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT ยุคสมัยที่แฟชั่นสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและสังคม https://thestandard.co/7-things-we-love-about-90s-fashion-moment/ Sun, 01 Sep 2024 07:46:46 +0000 https://thestandard.co/?p=978196 7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT

หากกล่าวถึงยุค 90 เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีความทรงจำที่แตกต […]

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT ยุคสมัยที่แฟชั่นสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT

หากกล่าวถึงยุค 90 เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีความทรงจำที่แตกต่างกันไป ซึ่งในส่วนของแฟชั่นโมเมนต์ยุค 90 ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งยุคสำคัญที่สามารถสร้างภาพจำสุดไอคอนิกระดับป๊อปคัลเจอร์และสังคมวงกว้างที่เรื่องราวของแฟชั่นเป็นสิ่งขับเคลื่อนอยู่เรื่อยมา 

 

โดยในช่วงยุค 80 เป็นยุคแห่งความโอ่อ่า แต่เมื่อยุค 90 มาถึง วงการแฟชั่นล้างกระดานใหม่ทั้งหมดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย กระแส ‘มินิมัล’ การแต่งตัวเรียบโก้กลายเป็นเทรนด์สำคัญที่แผ่ขยายสู่ไลฟ์สไตล์ของคนยุคนั้นไปเลย แต่นั่นก็ไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ยังมีโมเมนต์อีกมากมายที่กลายเป็นภาพจำระดับตำนานในความทรงจำของใครหลายๆ คน 

 

วันนี้ THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปย้อนดูถึงโมเมนต์แฟชั่นสำคัญของยุค 90 ที่ทรงอิทธิพลต่อวงการแฟชั่น

 

POWER COUPLE

 

อีกหนึ่งโมเมนต์สำคัญของยุค 90 คือการมาของ Power Couple หรือคู่รักทรงอิทธิพล นอกจากข่าวการคบกันของคนดังแล้ว สไตล์ของพวกเขาในระหว่างคบหากันยังเป็นประเด็นที่สื่อแฟชั่นให้ความสนใจ โดยเฉพาะ Carolyn Bessette และ John F. Kennedy Jr. ลูกชายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา John F. Kennedy สไตล์เรียบแต่ดูหรูของทั้งสองเป็นตัวอย่างของภาพลักษณ์ยุค 90 อย่างแท้จริง พวกเขายังได้กองกำลังเสริมทัพอย่าง Brad Pitt และ Gwyneth Paltrow ทั้งคู่ถือเป็นอีกหนึ่งคู่รักที่แต่งตัวเสริมกันและกันทั้งยามส่วนตัว (ปาปารัชซี) และยามออกงานร่วมกัน ในขณะที่ Johnny Depp และ Kate Moss ทั้งสองเป็นคู่รักคนดังที่ดูจะได้แรงบันดาลใจจากการแต่งตัวของกันและกัน ซึ่ง Kate ขึ้นแท่นแฟชั่นไอคอนจากสไตล์การแต่งตัวเท่ จากการที่เธอมักหยิบเอาเสื้อผ้าของผู้ชาย (Johnny Depp) มาสวมใส่ 

 

 


 

THE WAIF SUPERMODELS

 

ในยุค 80 ได้ถือกำเนิดซูเปอร์โมเดลขึ้น นำทัพโดย Linda Evangelista, Naomi Campbell, Christy Turlington และ Cindy Crawford พวกเธอเปรียบได้กับเซเลบริตี้ฝั่งแฟชั่น แม้พวกเธอจะขึ้นแท่นระดับไอคอนแล้วก็ตาม แต่ในยุค 90 กระแสมินิมัลมาพร้อมทัพนางแบบสไตล์ใหม่ด้วยเช่นกัน หากยุค 80 นางแบบเรือนร่างเซ็กซี่เป็นที่ต้องการตัว สำหรับยุค 90 เหล่าดีไซเนอร์กลับชื่นชอบนางแบบรูปร่างผอมบาง จนเป็นที่มาของกระแสนางแบบ The Waif นำโดย Kate Moss, Amber Valletta, Shalom Harlow, Kristen McMenamy, Carolyn Murphy และ Stella Tennant ซึ่งการมาของพวกเธอต่อยอดให้เทรนด์รูปร่างนางแบบที่ผอมบางกลายเป็นมาตรฐานสำหรับวงการแฟชั่นอีกด้วย 

 

7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT

 


 

CLUELESS

 

ภาพยนตร์ในยุค 90 เปรียบได้กับสื่อทรงอิทธิพลหนึ่งแขนง วัยรุ่นส่วนใหญ่มักได้แรงบันดาลใจการแต่งตัวจากตัวละครในภาพยนตร์ ซึ่ง Clueless ภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอเมดี้ที่ออกฉายในปี 1995 ผ่านตัวละคร Cher Horowitz นำแสดงโดย Alicia Silverstone เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการพูดถึงด้านแฟชั่นมากกว่าเนื้อเรื่องภาพยนตร์ สำหรับ Clueless เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผสานแฟชั่นเข้ากับภาพยนตร์ ชุดไฮสคูลลายสกอตสีเหลืองของเธอกลายเป็นชุดสุดไอคอนิกจนทุกวันนี้ และยังเป็นภาพยนตร์ต้นแบบให้กับเรื่องอื่นๆ ที่นำแฟชั่นเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น Sex and the City, Gossip Girl, The Devil Wears Prada และล่าสุดอย่าง Emily in Paris 

 

 


 

MINIMALIST DESIGNS

 

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น กระแสมินิมัลเข้ามาล้างกระดานเทรนด์ความฟู่ฟ่าจากยุค 80 กอปรกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในช่วงนั้นทำให้กระแสของแฟชั่นหันมาหาสิ่งที่เรียบง่ายขึ้น พร้อมการมาของดีไซเนอร์อย่าง Calvin Klein, Jil Sander และ Helmut Lang ผู้ที่เข้ามาเขย่าวงการแฟชั่นด้วยสไตล์ที่เรียบโก้ เน้นคัตติ้งสวยคมมากกว่าความโอ่อ่าดูดรามาติกแบบยุค 80 สไตล์มินิมัลสร้างอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นอย่างมาก เพราะแมตช์เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไป ความแม็กซิมัลกลายเป็นความเชยไปโดยปริยาย แม้แต่ดีไซเนอร์ที่รุ่งเรืองในยุค 80 เช่น Versace, Mugler และอื่นๆ ยังต้องปรับงานดีไซน์ของตัวเองให้รับกับยุคสมัยและเทสต์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 

 

7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT

 


 

SUPERSTAR DESIGNERS

 

เมื่อมีนางแบบก็ต้องมีดีไซเนอร์ ยุค 90 เป็นปีทองของเหล่าดีไซเนอร์ด้วยเช่นกัน หลังจากเครือบริษัท LVMH จ้าง John Galliano ให้เข้ามาดูแลแบรนด์ Givenchy ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของวงการแฟชั่นในเวลานั้น ก่อนที่เขาจะย้ายมาที่ Dior ในเวลาต่อมา โดยในเวลาไล่เลี่ยกัน ชื่อของ Alexander McQueen ถูกพูดถึงเพียงชั่วข้ามคืนจากแฟชั่นโชว์สุดแปลกแหวกขนบของเขา เขาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการแฟชั่นด้วยการจัดโชว์ให้กลายเป็นภาพจำระดับไอคอนิกไปตลอดกาล ใครจะลืมโชว์หุ่นยนต์พ่นสีบนเดรสของเขาไปได้ ข้ามฝั่งมาที่มิลาน แบรนด์ Gucci พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เมื่อเขาตัดสินใจจ้าง Tom Ford ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันมาพลิกโฉมแบรนด์ใหม่ทั้งหมด Tom สร้างปาฏิหาริย์ผ่านการอัดฉีด ‘Sex’ มู้ดแอนด์โทนแบบใหม่ จน Gucci กลายเป็นที่ต้องการอีกครั้งได้สำเร็จ และการมาของ Marc Jacobs ที่ Louis Vuitton ถือเป็นการตอบโต้แบรนด์ Gucci ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยเช่นกัน ซึ่ง Marc วางรากฐานเสื้อผ้า Ready-to-Wear ให้แบรนด์ Louis Vuitton ประสบความสำเร็จจวบจนทุกวันนี้ 

 

 


 

POP MUSIC

 

ดนตรีป๊อปในยุค 90 เป็นส่วนสำคัญของป๊อปคัลเจอร์ในยุคนั้น เกิร์ลกรุ๊ปอย่าง Spice Girls เซ็ตสแตนดาร์ดใหม่ให้กับวงการเพลงผ่านแฟชั่น สะท้อนคาแรกเตอร์ของแต่ละคนพร้อมสโลแกน Girl Power สร้างอิมแพ็กต์ต่อวัยรุ่นอย่างมหาศาล เช่นเดียวกับ Britney Spears กับซิงเกิล …Baby One More Time ส่งให้ชุดนักเรียนไฮสคูลกลายเป็นยูนิฟอร์มแฟชั่นด้วยเช่นกัน ด้านดนตรีฮิปฮอปสร้างอิทธิพลได้ไม่ต่างจากดนตรีป๊อป นักร้อง Aaliyah, TLC หรือแม้แต่ Destiny’s Child ขึ้นแท่นเป็นแฟชั่นไอคอนของวัยรุ่นในช่วงนั้นผ่านสไตล์การแต่งตัวมีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง ซึ่งแบรนด์อย่าง Tommy Hilfiger ก็ได้อานิสงส์จากความนิยมของศิลปินฮิปฮอปที่มักนำเสื้อผ้าของเขามาสวมใส่ 

 

7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT

 


 

CALVIN KLEIN SUPREMACY

 

แบรนด์ทรงอิทธิพลของยุค 90 ต้องไม่พ้นแบรนด์อเมริกันอย่าง Calvin Klein แบรนด์แฟชั่นที่หยิบกระแสมินิมัลมาใช้เป็นแบรนด์แรกๆ ของวงการ นอกจากเสื้อผ้าน้อยชิ้นแล้ว สิ่งที่สร้างอิทธิพลจนเป็นที่พูดถึงในวงกว้างคือแคมเปญโฆษณา ในยุค 80 แบรนด์ Calvin Klein สร้างไวรัลด้วยภาพแคมเปญ โดยใช้นักแสดงและนางแบบสาว Brooke Shields ในวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น ความสุ่มเสี่ยงนี้กลายกลยุทธ์ที่ Calvin Klein เลือกใช้ทำแคมเปญโฆษณาในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการดึงเอา Kate Moss นางแบบหน้าใหม่รูปร่างผอมบางซึ่งตรงข้ามกับภาพลักษณ์ของซูเปอร์โมเดลในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคนติเรื่องรูปร่างของเธอ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชุดของ Calvin Klein ดูสวยจริงๆ ยามอยู่บนเรือนร่างของเธอ รวมไปถึงการออกแคมเปญน้ำหอม CK One น้ำหอมยูนิเซ็กซ์ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศ สร้างภาพลักษณ์แบบ Free Sex ให้กับแบรนด์ แต่ที่สร้างไวรัลมากที่สุดตอนนั้นต้องยกให้แคมเปญยีนส์และชุดชั้นในที่ได้ Mark Wahlberg นักแสดงและนักร้องหนุ่มหล่อจากวง New Kids On The Block มาโชว์กล้ามสุดเซ็กซี่ ภาพเซ็ตนั้นยังคงเป็นตำนานที่หลายคนพูดถึงจวบจนทุกวันนี้ 

 

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT 90S FASHION MOMENT ยุคสมัยที่แฟชั่นสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>