ลูกจ้าง – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 25 Jan 2025 07:16:20 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. นี้ ลูกจ้างรัฐ-เอกชน ไปใช้สิทธิได้ ไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด นายจ้างฝ่าฝืนเสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น https://thestandard.co/employee-rights-voting/ Sat, 25 Jan 2025 07:16:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1034415 employee-rights-voting

วันนี้ (25 มกราคม) คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกร […]

The post เลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. นี้ ลูกจ้างรัฐ-เอกชน ไปใช้สิทธิได้ ไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด นายจ้างฝ่าฝืนเสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
employee-rights-voting

วันนี้ (25 มกราคม) คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด  

 

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยกระทรวงแรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้างสถานประกอบกิจการอนุญาตให้ลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ณ หน่วยเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีชื่ออยู่ โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด เพื่อให้นายจ้างอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างในการไปใช้สิทธิ โดยกำหนดให้ลูกจ้างสามารถหยุดงานหรือปรับเวลาทำงานเพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ตามกฎหมายเลือกตั้ง 

 

สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ สามารถแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ในช่วงก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน (วันที่ 25-31 มกราคม 2568) และหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน (วันที่ 2-8 กุมภาพันธ์ 2568) ตามแบบฟอร์มแจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น (ส.ถ./ผ.ถ. 1/8) หรือทำเป็นหนังสือซึ่งอย่างน้อยต้องระบุหมายเลขประจำตัวประชาชนและที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้านให้ชัดเจน พร้อมทั้งแจ้งเหตุอันสมควร 

 

โดยผ่านช่องทาง ดังนี้ 

 

  1. ยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ตนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยตนเอง 
  2. ทำเป็นหนังสือมอบหมายให้บุคคลอื่นไปยื่นแทน 
  3. จัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน 
  4. แจ้งเหตุผ่านเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือแอปพลิเคชัน SMART VOTE 
  5. แจ้งเหตุผ่านเว็บไซต์ของสำนักบริหารการทะเบียน กระทรวงมหาดไทย https://stat.bora.dopa.go.th/Election/abscause/#/main

 

ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ทำงานนอกพื้นที่ทะเบียนบ้านของตนสามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้โดยสะดวก และเพื่อให้การออกเสียงลงคะแนนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 117 ที่กำหนดบทลงโทษผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้าง หากขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว หรือไม่ให้ความสะดวกผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้างให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

โดยกฎหมายดังกล่าวครอบคลุมการเลือกตั้งท้องถิ่นรูปแบบอื่นด้วย หากนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาไม่อำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่มีเหตุจำเป็น อาจเข้าข่ายกระทำความผิดและมีโทษทางกฎหมายนี้เช่นกัน

 

คารมกล่าวต่อว่า การใช้กฎหมายบังคับนายจ้างให้หยุดงานไม่สามารถทำได้ เพราะจะกระทบต่อระบบการผลิตและการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง ดังนั้นการจัดสรรเวลาให้ลูกจ้างไปใช้สิทธิเลือกตั้งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละสถานประกอบการ โดยขอให้นายจ้างพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และย้ำว่ากฎหมายมีบทลงโทษสำหรับนายจ้างที่ขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 

 

หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร 10 พื้นที่, สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วน 1506 กด 3 หรือ 1546

The post เลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. นี้ ลูกจ้างรัฐ-เอกชน ไปใช้สิทธิได้ ไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด นายจ้างฝ่าฝืนเสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะ 5 ความหวังและความกังวลต่อปัญหาโลกร้อนของลูกจ้างที่ซีอีโอควรต้องรับฟัง https://thestandard.co/opinion-employee-climate-concerns/ Thu, 03 Oct 2024 08:41:11 +0000 https://thestandard.co/?p=991157

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ส่ […]

The post เจาะ 5 ความหวังและความกังวลต่อปัญหาโลกร้อนของลูกจ้างที่ซีอีโอควรต้องรับฟัง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการดำเนินธุรกิจขององค์กร รวมทั้งการปฏิบัติงานของลูกจ้าง โดยล่าสุดข้อมูลจากรายงานผลสำรวจความหวังและความกังวลของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประจำปี 2567 ของ PwC ระบุว่า ความตระหนักรู้โดยทั่วไปเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในหมู่พนักงานได้พัฒนาไปสู่ความกังวลที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสกับความเครียดจากความร้อน, มลพิษทางอากาศ และความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยอื่นๆ ภายในสถานที่ทำงาน เป็นต้น

 

นอกจากนี้ในปัจจุบันพนักงานยังมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับปัญหาสภาพภูมิอากาศมากขึ้น จนทำให้ซีอีโอและผู้บริหารองค์กรทั้งหลายต้องหันมาใส่ใจต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกจ้างในเรื่องนี้ ซึ่งจากรายงานของ PwC มีประเด็นที่น่าสนใจต่างๆ ที่ผมอยากจะนำมาแลกเปลี่ยน ดังต่อไปนี้

 

 

1. ความคาดหวังของลูกจ้างต่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กรเพิ่มสูงขึ้น

 

กำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีความตระหนักรู้มากขึ้นต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อพวกเขา และคาดหวังให้นายจ้างต้องดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสร้างความพึงพอใจของพนักงานไปพร้อมๆ กัน รายงานฉบับเอเชีย-แปซิฟิกระบุว่า 42% ของลูกจ้างเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยิ่งส่งผลกระทบต่องานของพวกเขาภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับซีอีโอมีเพียง 34% เท่านั้นที่แสดงความกังวลในเรื่องนี้

 

นอกจากนี้บทวิเคราะห์ของ PwC ยังรายงานว่า บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมกันคิดเป็น 58% ของตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ล้วนอยู่ในภาคส่วนที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ และ 53% ของมูลค่าเพิ่มสุทธิ (GVA) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือราว 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังขึ้นอยู่กับธรรมชาติอย่างสูงหรือปานกลางอีกด้วย

 

2. ความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยในสถานที่ทำงานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นภัยคุกคามที่จับต้องได้

 

นอกจากนี้เรายังพบว่ากำลังแรงงานไทยมากถึง 60% กังวลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน

 

ในขณะที่พนักงานมากกว่าครึ่ง (51%) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงอย่างความเครียดจากความร้อน มลพิษทางอากาศ และการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย ซึ่งความกังวลนี้ยังมีความรุนแรงเป็นพิเศษในประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ (67%), เวียดนามและอินโดนีเซีย (65%), ไทย (60%), อินเดีย (58%) และมาเลเซีย (55%)

 

ด้วยเหตุนี้ซีอีโอควรต้องมีมาตรการปกป้องทั้งสินทรัพย์ทางกายภาพและแรงงานจากความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหากผู้บริหารไม่มีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, การฝึกอบรม หรืออุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็นในการลดภัยคุกคามนี้ ก็คาดว่าในอนาคตจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

3. นายจ้างต้องแสดงความรับผิดชอบในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากองค์กร

 

รายงานของ PwC ยังพบว่าแรงงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากถึง 52% ต้องการให้นายจ้างมีความรับผิดชอบต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกำลังแรงงานไทยที่ 59% ซึ่งซีอีโอส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยในจุดนี้ โดย 75% ได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ 68% แนะนำผลิตภัณฑ์, บริการ หรือเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ แต่ถึงแม้ว่าซีอีโอจะได้ดำเนินการด้านความยั่งยืนไปบ้างแล้ว เรายังพบว่ามีองค์กรเพียงจำนวนน้อยที่ดำเนินการนอกเหนือจากการลดการปล่อยก๊าซ เช่น มีแนวทางการแก้ปัญหาในระบบนิเวศธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นผู้นำองค์กรต้องมองว่าการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถได้อีกด้วย

 

4. พนักงานคาดว่าตนจะต้องพัฒนาทักษะใหม่เพื่อรับมือกับสภาวะโลกร้อน

 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การทำงานเปลี่ยนไป โดย 42% ของกำลังแรงงานไทยกล่าวว่า เทคโนโลยีใหม่ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้พวกเขาต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่นเดียวกับเอเชีย-แปซิฟิกที่ 40% เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน, ห่วงโซ่อุปทาน, ความต้องการของลูกค้า และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม พนักงานก็จะต้องมีทักษะในการปรับกระบวนการ, บริการ และผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม

 

ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอทั่วโลกพบว่าธุรกิจส่วนหนึ่งได้เริ่มปรับทักษะสีเขียวให้แก่พนักงานแล้ว แต่สำหรับองค์กรที่กำลังวางแผนพัฒนาทักษะด้านนี้ ควรเริ่มจากการริเริ่มโครงการเฉพาะที่มุ่งเป้าไปที่พนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรงมากที่สุด

 

5. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะสร้างงานใหม่

 

วิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจทำให้เกิดงานใหม่ๆ ในหลากหลายสาขา ตั้งแต่พลังงานหมุนเวียน, การออกแบบที่ยั่งยืน ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการพัฒนานโยบาย ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า 37% ของกำลังแรงงานในเอเชีย-แปซิฟิกตระหนักดีถึงความเป็นไปได้นี้

 

แต่สำหรับพนักงานที่อาจยังมองไม่เห็นโอกาสในจุดนี้ ผู้บริหารสามารถเริ่มต้นมองหาช่องว่างทางทักษะ (Skills Gaps) ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการคว้าโอกาสใหม่ๆ ของพนักงาน และควรสื่อสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสงานที่มีอยู่แล้วในบทบาทที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ รวมถึงอาจแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จ (Success Stories) ของพนักงานที่ได้เปลี่ยนเข้าสู่บทบาทเหล่านั้นด้วย

 

อ้างอิง:

The post เจาะ 5 ความหวังและความกังวลต่อปัญหาโลกร้อนของลูกจ้างที่ซีอีโอควรต้องรับฟัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนไทยว่างงานพุ่งแตะ 4.3 แสนคน สูงสุดรอบ 4 ไตรมาส หากเศรษฐกิจไม่ฟื้น คนเสี่ยงตกงานต่อ https://thestandard.co/thai-unemployment-430000-4-q/ Mon, 26 Aug 2024 07:32:56 +0000 https://thestandard.co/?p=975502

สภาพัฒน์เผยอัตราว่างงานเพิ่มครั้งแรกนับตั้งแต่การฟื้นตั […]

The post คนไทยว่างงานพุ่งแตะ 4.3 แสนคน สูงสุดรอบ 4 ไตรมาส หากเศรษฐกิจไม่ฟื้น คนเสี่ยงตกงานต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

สภาพัฒน์เผยอัตราว่างงานเพิ่มครั้งแรกนับตั้งแต่การฟื้นตัวจากโรคโควิดระบาด ส่วนจำนวนคนว่างงานในไทยพุ่งแตะ 4.3 แสนคน ซึ่งสูงสุดรอบ 4 ไตรมาส ฉุดจำนวนผู้มีงานทำในตลาดแรงงานเหลือ 39.5 ล้านคน จับตาหากความเสี่ยงเศรษฐกิจเพิ่ม จ่อกระทบอัตราการจ้างงาน

 

วันนี้ (26 สิงหาคม) ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงเปิดตัวรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/67 โดยระบุว่า การจ้างงานในไตรมาสนี้ลดลงตามการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่หดตัวต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน ลดลง 0.4%YoY หรือลดลงจากไตรมาส 2/66

 

สำหรับการว่างงานในไตรมาส 2/67 จำนวนผู้ว่างงานอยู่ที่ 4.3 แสนคน นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ไตรมาส หรือนับตั้งแต่ไตรมาส 2/66

 

เมื่อเทียบกับกำลังแรงงานไทยทั้งหมด 40.2 ล้านคน ทำให้อัตราว่างงานในไทยไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1.07% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับจากการฟื้นตัวจากโรคโควิดระบาดเมื่อปี 2565 ซึ่งจำนวนนี้เป็นการเพิ่มขึ้นจากกลุ่มที่เคยมีงานทำมาก่อนด้วย

 

 

หากเศรษฐกิจและ SMEs ไม่ฟื้น! การจ้างงานอาจได้รับผลกระทบต่อ

 

ตามรายงานระบุว่า SMEs เป็นกลุ่มธุรกิจที่รองรับแรงงานไว้เป็นจำนวนมาก โดยในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าผลิตภัตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ถึง 35.2%

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน SMEs กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง สะท้อนจากสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) ต่อสินเชื่อรวมของ SMEs ในไตรมาส 4/66 ซึ่งอยู่ที่ 7.2% เพิ่มขึ้นจาก 4.6% ในไตรมาส 1/62

 

สถานการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและระดับหนี้ครัวเรือนส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจมากขึ้น

 

นอกจากนี้ การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังส่งผลต่อต้นทุนและเป็นข้อจำกัดในการรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ โดยดัชนีต้นทุนของธุรกิจรายย่อย (Micro) และธุรกิจขนาดกลาง (Medium) ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 15.1% และ 2.2% ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ SMEs ทำกำไรลดลงได้ และสถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลต่อเนื่องไปสู่การเลิกจ้างแรงงาน SMEs ได้ จึงอาจต้องมีการดำเนินนโยบายที่สร้างกำลังซื้อได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการควบคุมต้นทุนด้านต่างๆ ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะด้านการเงินให้แก่ SMEs

 

เปิดผลกระทบอุทกภัยต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร

 

รายงานระบุด้วยว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมและได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้บางพื้นที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่า สถานการณ์อุทกภัยระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2567 มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบด้านการเกษตรจำนวน 15 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 308,238 ไร่ และเกษตรกร 47,944 ราย

 

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยายังได้คาดการณ์ว่าในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2567 ประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนอง 60-80% ของพื้นที่ รวมถึงมรสุมข้างต้นจะกลับมามีกำลังแรงและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเสี่ยงที่พื้นที่การเกษตรจะได้รับความเสียหาย

 

โดยความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรรวมถึงต้นทุนในการลงทุนเพาะปลูกครั้งใหม่ และอาจกระทบต่อเนื่องไปถึงความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกรด้วย

 

หน่วยงานต่างๆ จึงต้องเตรียมพร้อมมาตรการป้องกันและบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยทั้งที่กำลังเกิดขึ้นและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

The post คนไทยว่างงานพุ่งแตะ 4.3 แสนคน สูงสุดรอบ 4 ไตรมาส หากเศรษฐกิจไม่ฟื้น คนเสี่ยงตกงานต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความภักดีต่อองค์กรตายแล้ว? ผู้เชี่ยวชาญ HR ชี้ คนรุ่นใหม่เน้นเติบโต-เงินเดือน ไม่สนอยู่ยาว เพราะเปลี่ยนงานบ่อยอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า https://thestandard.co/employee-loyalty-younger-generation/ Sun, 25 Aug 2024 07:22:47 +0000 https://thestandard.co/?p=975215

Vera Lau วัย 27 ปี ทำงานมาแล้ว 3 บริษัทในเวลาเพียง 3 ปี […]

The post ความภักดีต่อองค์กรตายแล้ว? ผู้เชี่ยวชาญ HR ชี้ คนรุ่นใหม่เน้นเติบโต-เงินเดือน ไม่สนอยู่ยาว เพราะเปลี่ยนงานบ่อยอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า appeared first on THE STANDARD.

]]>

Vera Lau วัย 27 ปี ทำงานมาแล้ว 3 บริษัทในเวลาเพียง 3 ปี เธอเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่กำลังท้าทายแนวคิดเรื่องความภักดีต่อองค์กร โดยมองว่าการเปลี่ยนงานบ่อยอาจเป็นหนทางสู่ความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่า

 

Lau กล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าความภักดีจะให้ผลตอบแทนที่ดี…มันเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนกัน คุณมีค่าตราบเท่าที่พวกเขายังเห็นว่าคุณมีค่า ถ้าคุณไม่เรียนรู้และไม่เติบโตก็ถึงเวลาที่คุณต้องไป”

 

เธอเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในอดีตที่คนรุ่นก่อนรู้สึกขอบคุณที่มีงานทำและได้รับเงินเดือน แต่ในปัจจุบัน มุมมองต่อการทำงานเปลี่ยนไป ชีวิตของเราไม่ได้หมุนรอบงานอีกต่อไป และเงินเดือนเพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายหรือซื้อบ้าน

 

ผลสำรวจของ WorkProud ในเดือนพฤษภาคม 2024 พบว่า มีเพียง 23% ของพนักงานอายุไม่เกิน 42 ปีที่มีความสนใจทำงานกับบริษัทในระยะยาว สำหรับพนักงานอายุไม่เกิน 30 ปี ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 18%

 

Rick Garlick หัวหน้านักวิจัยของ WorkProud กล่าวว่า “ผลการวิจัยนี้เน้นย้ำถึงธรรมชาติของความภักดีในที่ทำงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พนักงานรุ่นใหม่”

 

ในยุคที่การเปลี่ยนงานบ่อยเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ คำถามคือ ความภักดีต่อองค์กรยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่หรือไม่? Jerome Zapata ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Kickstart Ventures กล่าวว่า “คำตอบสั้นๆ คือ ไม่”

 

พนักงานที่เปลี่ยนงานบ่อยมักจะได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้น เพราะการขึ้นเงินเดือนตามผลงานมีข้อจำกัด และผู้สมัครสามารถต่อรองเงินเดือนได้ดีกว่าเมื่อเข้าร่วมบริษัทใหม่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนงานบ่อยในช่วงต้นของอาชีพยังสามารถให้ ‘ข้อได้เปรียบ’ แก่ผู้สมัคร เนื่องจากพวกเขามักจะได้รับมอบหมายความรับผิดชอบที่มากขึ้น หรือมีมุมมองที่กว้างขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนงานบ่อยก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ซึ่งบริษัทมักจะมองหาผู้ที่มีความภักดีและมุ่งมั่นที่จะทำงานกับบริษัทในระยะยาว

 

Sumita Tandon ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ LinkedIn กล่าวว่า “พนักงานควรชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนงานบ่อยๆ เพราะมันอาจทำให้งานก้าวหน้าและเงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่ถ้าทำบ่อยเกินไป บริษัทอาจมองว่าคุณเป็นคนที่พร้อมจะลาออกได้ทุกเมื่อ และอาจลังเลที่จะลงทุนในตัวคุณ”

 

Tandon แนะนำว่า พนักงานควรตรวจสอบก่อนว่าพวกเขาสามารถเติบโตในหน้าที่การงานภายในองค์กรเดิมได้หรือไม่ ผ่านโครงการใหม่ๆ หรือการมีพี่เลี้ยง (Mentor) ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงาน

 

ในโลกที่วัฒนธรรมองค์กรกำลังถูกนิยามใหม่โดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่เห็นความสำคัญของความภักดี บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถเอาไว้

 

Zapata กล่าวว่า บริษัทสามารถทำได้โดยการเสนอค่าตอบแทนที่แข่งขันได้ และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานด้วยการเสนอความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น

 

อ้างอิง:

The post ความภักดีต่อองค์กรตายแล้ว? ผู้เชี่ยวชาญ HR ชี้ คนรุ่นใหม่เน้นเติบโต-เงินเดือน ไม่สนอยู่ยาว เพราะเปลี่ยนงานบ่อยอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เริ่มวันแรก ปรับค่าจ้างขั้นต่ำลูกจ้างโรงแรม 4 ดาวใน 10 จังหวัด เป็นวันละ 400 บาท https://thestandard.co/adjust-the-minimum-wage-for-employees-of-4-star-hotels-in-10-provinces/ Sat, 13 Apr 2024 03:34:53 +0000 https://thestandard.co/?p=922477

วันนี้ (13 เมษายน) คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกร […]

The post เริ่มวันแรก ปรับค่าจ้างขั้นต่ำลูกจ้างโรงแรม 4 ดาวใน 10 จังหวัด เป็นวันละ 400 บาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (13 เมษายน) คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างกำหนดให้ลูกจ้างทำงานในประเภทกิจการโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานที่พักเพื่อการท่องเที่ยว ประเภทโรงแรมระดับการให้บริการ 4 ดาว และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละ 400 บาทใน 10 จังหวัด 

 

ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เฉพาะเขตปทุมวันและวัฒนา, กระบี่ เฉพาะเขต อบต.อ่าวนาง, ชลบุรี เฉพาะเขตเมืองพัทยา, เชียงใหม่ เฉพาะเขตเทศบาลนครเชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะเขตเทศบาลหัวหิน, พังงา เฉพาะเขตเทศบาลตำบลคึกคัก, ภูเก็ตทั้งจังหวัด, ระยอง เฉพาะเขตตำบลเพ, สงขลา เฉพาะเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี เฉพาะเขตเทศบาลนครเกาะสมุย

 

คารมกล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่นายจ้างต้องจ่ายอัตราค่าแรงขั้นต่ำให้กับลูกจ้าง หากนายจ้างไม่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยลูกจ้างสามารถร้องเรียนได้ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

 

“คณะกรรมการค่าจ้างได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม โดยพิจารณาบนพื้นฐานของความเสมอภาค และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อให้นายจ้างและลูกจ้างสามารถประกอบธุรกิจและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างจะได้มีการติดตามผลกระทบที่เกิดจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม เพื่อนำไปสู่การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างด้วยความรอบคอบต่อไป” คารมกล่าว

The post เริ่มวันแรก ปรับค่าจ้างขั้นต่ำลูกจ้างโรงแรม 4 ดาวใน 10 จังหวัด เป็นวันละ 400 บาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกชนสหรัฐฯ เตรียมเผชิญภาวะรายได้หายกำไรหด หลังต้นทุนพลังงานพุ่ง-ลูกจ้างขอปรับขึ้นค่าแรงครั้งใหญ่ https://thestandard.co/us-companies-warn-higher-costs/ Mon, 18 Sep 2023 03:08:35 +0000 https://thestandard.co/?p=842699

บริษัทหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะบรรดาสายการบินและธ […]

The post เอกชนสหรัฐฯ เตรียมเผชิญภาวะรายได้หายกำไรหด หลังต้นทุนพลังงานพุ่ง-ลูกจ้างขอปรับขึ้นค่าแรงครั้งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

บริษัทหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะบรรดาสายการบินและธุรกิจด้านขนส่งโลจิสติกส์ พร้อมใจกันออกมาเตือนว่า ต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นบวกกับการขอปรับขึ้นค่าแรงของลูกจ้าง จะส่งผลต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทในไตรมาสปัจจุบัน 

 

สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า บริษัททั่วสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับต้นทุนการดำเนินการที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ผู้ผลิตด้านการบินและอวกาศ ไปจนถึง UPS ยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งพัสดุ กำลังพิจารณาข้อตกลงด้านแรงงานครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันสหภาพแรงงานตั้งแต่อุตสาหกรรมยานยนต์ไปจนถึงฮอลลีวูด กำลังผลักดันให้มีค่าตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งสายการบินที่มีค่าใช้จ่ายจากน้ำมันและค่าแรงมากที่สุดกำลังได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ

 

เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สายการบิน Delta Air Lines ได้ปรับลดการคาดการณ์กำไรสำหรับไตรมาสที่ 3 ลงเหลือระหว่าง 1.85-2.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 2.20-2.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าซ่อมบำรุงที่แพงกว่าที่คาดไว้ โดยราคาน้ำมันเครื่องบินในสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 3.42 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอน เพิ่มขึ้น 38% จากเมื่อสองเดือนก่อน 

 

ขณะเดียวกันสายการบิน American Airlines และ Southwest Airlines ก็มีการปรับลดประมาณการตัวเลขรายได้ในไตรมาสที่ 3 เช่นเดียวกัน โดย Southwest Airlines ยังได้คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้นในไตรมาสที่ 3 จะลดลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 95 เซนต์ต่อหุ้น เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นกับข้อตกลงแรงงานนำร่องฉบับใหม่ที่หมายถึงการปรับขึ้นค่าแรง ทำให้บริษัทประเมินว่าต้องมีการใช้เงินมากกว่า 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัญญาการจ้างงานฉบับใหม่ ซึ่งครอบคลุมถึงการเพิ่มเงินเดือนทันที 21% สำหรับนักบิน และค่าชดเชยที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 46% ตลอดระยะเวลาของสัญญา

 

ส่วนบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่อย่าง UPS ก็เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับสหภาพแรงงานเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้พนักงานขับรถได้รับเงินสวัสดิการสูงถึง 1.7 แสนดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา 5 ปี รวมถึงการขึ้นเงินเดือนสำหรับทั้งพนักงานเต็มเวลาและนอกเวลา 

 

ขณะที่สหภาพแรงงานของบริษัท United Auto Workers (UAW) และผู้ผลิตรถยนต์ในเมืองดีทรอยต์ยังคงอยู่ในระหว่างการเผชิญหน้าเพื่อบรรลุข้อตกลงร่วมกัน โดยสหภาพแรงงานพยายามขอขึ้นเงินเดือนเกือบ 40% จากสัญญาฉบับใหม่ รวมถึงลดเวลาทำงานสัปดาห์ละ 32 ชั่วโมง และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานในแง่อื่นๆ 

 

เช่นเดียวกันสหภาพแรงงานอื่นๆ ก็กำลังเรียกร้องค่าชดเชยที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยมีการนัดหยุดงานของบรรดานักเขียนและนักแสดงฮอลลีวูดที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมลากยาวมาจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดาสมาชิกนักเขียนและนักแสดงต่างเรียกร้องค่าตอบแทนที่ดีขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในยุคสตรีมมิงความบันเทิง

 

นอกจากนี้มีรายงานว่า สายการบิน American Airlines ได้เสนอให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินขึ้นค่าจ้าง 11% ในวันที่สัญญาใหม่เริ่ม และเพิ่มขึ้น 2% หลังจากนั้น แต่สมาคมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมืออาชีพกล่าวว่า สหภาพฯ ต้องการให้เพิ่มขึ้น 35% ในช่วงเริ่มต้นข้อตกลงใหม่ ตามด้วยการปรับขึ้นรายปี 6% โดยย้ำว่า สหภาพแรงงานไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนเลยในช่วงอัตราเงินเฟ้อที่สูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

 

แม้ว่าความต้องการในการเดินทางโดยเครื่องบินจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ช่วยให้ธุรกิจการบินสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่สายการบินส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสายการบินขนาดเล็กที่เน้นเส้นทางระยะใกล้ คาดว่าจะขาดทุนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงมีรายได้ลดลงและต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น 

 

อ้างอิง:

The post เอกชนสหรัฐฯ เตรียมเผชิญภาวะรายได้หายกำไรหด หลังต้นทุนพลังงานพุ่ง-ลูกจ้างขอปรับขึ้นค่าแรงครั้งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุชาติ สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสอบข้อเท็จจริง ปมนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างลาไปดูแลแม่ป่วยจนเสียชีวิต https://thestandard.co/suchart-chomklin-17082023/ Thu, 17 Aug 2023 05:49:20 +0000 https://thestandard.co/?p=830312 สุชาติ ชมกลิ่น

วันนี้ (17 สิงหาคม) สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรว […]

The post สุชาติ สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสอบข้อเท็จจริง ปมนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างลาไปดูแลแม่ป่วยจนเสียชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุชาติ ชมกลิ่น

วันนี้ (17 สิงหาคม) สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข่าวลูกจ้างสาวรายหนึ่งโพสต์เฟซบุ๊ก โดยนำภาพแชตที่คุยกับหัวหน้าที่ทำงาน กรณีขอลางานเนื่องจากแม่ป่วยหนักและใกล้จะเสียชีวิต แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลางาน ว่า ได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย 

 

เบื้องต้น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 34 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็นได้ปีละไม่น้อยกว่า 3 วันทำงาน และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลากิจเพื่อกิจธุระอันจำเป็นเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกิน 3 วันทำงาน เนื่องจากการลากิจธุระอันจำเป็นเป็นสิทธิพื้นฐานที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดสิทธิให้ลูกจ้างทุกประเภทมีสิทธิลากิจได้ แม้จะเป็นลูกจ้างทดลองงาน ลูกจ้างรายวัน และลูกจ้างประเภทอื่น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรฐานขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม สุชาติได้กำชับให้พนักงานตรวจแรงงานเร่งสอบข้อเท็จจริงจากนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยกระทรวงแรงงานจะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน

 

นิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครราชสีมา (สสค.นครราชสีมา) ซึ่งเป็นท้องที่ที่เกิดเหตุ เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย หากลูกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำงาน สามารถปรึกษา ร้องทุกข์ และร้องเรียนได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร 10 พื้นที่ หรือโทรสายด่วน 1506 กด 3 หรือ 1546

The post สุชาติ สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสอบข้อเท็จจริง ปมนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างลาไปดูแลแม่ป่วยจนเสียชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลสำรวจเผย คนฝรั่งเศสกว่า 20% ต้องการรับค่าจ้างเป็น ‘คริปโต’ โดยผู้มีอายุระหว่าง 18-35 ปี ชอบคริปโตสูงถึง 31% https://thestandard.co/french-want-to-get-paid-crypto/ Mon, 03 Jul 2023 03:20:52 +0000 https://thestandard.co/?p=810958

Cointribune สื่อฝรั่งเศสรายงานว่า จากแบบสำรวจของ PayFit […]

The post ผลสำรวจเผย คนฝรั่งเศสกว่า 20% ต้องการรับค่าจ้างเป็น ‘คริปโต’ โดยผู้มีอายุระหว่าง 18-35 ปี ชอบคริปโตสูงถึง 31% appeared first on THE STANDARD.

]]>

Cointribune สื่อฝรั่งเศสรายงานว่า จากแบบสำรวจของ PayFit ผู้ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ด้านการจ่ายเงินเดือน (Payroll) เผยว่า คนฝรั่งเศสกว่า 20% ต้องการรับเงินเดือนในรูปของ ‘คริปโต’

 

ซึ่ง Amaury Lelong ประธานบริหารของ PayFit ก็มองว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่อธิบายได้ค่อนข้างยากว่าทำไมคนฝรั่งเศสกว่า 20% ถึงต้องการรับเงินเดือนเป็นคริปโต

 

ไม่เพียงเท่านั้น แบบสำรวจดังกล่าวยังพบว่าในประชาชนฝรั่งเศสที่มีอายุน้อยลงมาช่วงประมาณ 18-35 ปี กว่า 31% พึงพอใจที่จะรับเงินเดือนในรูปคริปโต และจากข้อมูลยังพบว่า เพศชายเป็นเพศที่ชอบคริปโตมากที่สุด โดยประมาณ 25% ของเพศชายพึงพอใจสำหรับการรับเงินเดือนในรูปคริปโต

 

ในทางตรงกันข้าม คนฝรั่งเศสที่ทำงานในบริษัทขนาดใหญ่มีความสนใจต่อคริปโตน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยจากข้อมูลพบว่า คนฝรั่งเศสกว่า 80% ที่ทำงานในบริษัทใหญ่ (บริษัทที่มีจำนวนพนักงานเกิน 500 คน) ปฏิเสธการรับเงินเดือนเป็นคริปโต และ 79% ของคนฝรั่งเศสที่เป็นกลุ่มรายได้สูง เช่น หมอ, ทนาย, เจ้าของกิจการ และพนักงานระดับสูงของบริษัท ปฏิเสธที่จะรับเงินเป็นคริปโตเช่นกัน

 

ผลสำรวจดังกล่าวทำให้ทาง Amaury ตั้งคำถามว่า คนรุ่นใหม่ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงและความผันผวนในสินทรัพย์ประเภทคริปโตกันเลยหรือ

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและทัศนคติของคนในรุ่นนี้ที่มีต่อด้านการเงิน การงาน และเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และในปัจจุบันที่ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อจึงอาจส่งผลให้ความสนใจต่อคริปโตเพิ่มมากขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน

 

อ้างอิง: 

The post ผลสำรวจเผย คนฝรั่งเศสกว่า 20% ต้องการรับค่าจ้างเป็น ‘คริปโต’ โดยผู้มีอายุระหว่าง 18-35 ปี ชอบคริปโตสูงถึง 31% appeared first on THE STANDARD.

]]>
มะเดี่ยว ชูเกียรติ โพสต์แสดงความเห็นต่อประเด็นความไม่เสมอภาคและสวัสดิภาพชีวิตคนทำงานหลังกองถ่าย https://thestandard.co/madeaw-chookiat-opinion-inequality/ Mon, 30 Jan 2023 09:01:57 +0000 https://thestandard.co/?p=743660

กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนออกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลา […]

The post มะเดี่ยว ชูเกียรติ โพสต์แสดงความเห็นต่อประเด็นความไม่เสมอภาคและสวัสดิภาพชีวิตคนทำงานหลังกองถ่าย appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนออกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายทิศทาง เกี่ยวกับอภิสิทธิ์ชนของเหล่าดารานักแสดงที่สวนทางกับแรงงานในฝ่ายโปรดักชัน ซึ่งผู้กำกับภาพยนตร์ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ออกมาโพสต์ถึงเรื่องนี้ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของเขา พร้อมอิงถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของตนเอง หลังจากที่ได้พบเจอปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้น โดยในข้อความของโพสต์ดังกล่าวระบุว่า

 

 

ภาพ: Chookiat Sakveerakul / Facebook

 

“กูเบื่อสังคมที่นิยมชมชื่นกับความอู้ฟู่ร่ำรวยของดาราและอินฟลูเอ็นเซอร์ เวลาเห็นคนทำงานในวงการนี้ดิ้นรนกับค่าตัวที่ยากจะสร้างตัวและน้อยนิดเมื่อเทียบกับความเหนื่อย โดยเฉพาะกับความลำบากที่ต้องดีลกับผู้โด่งดังทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ต้องถึงขั้นเอาค่าตัวมาแจกจ่ายใครหรอกจ้า รู้ว่าบุญวาสนามันแข่งกันบ่ได้ แต่เห็นใจคนทำงานกันหน่อยก็ดี

 

  • มาทำงานให้ตรงเวลา
  • ทำการบ้านอ่านบทมาให้เป๊ะ
  • ดูแลตัวเองให้ดูดีทั้งสุขภาพกายและจิต
  • ทีมงานไม่ใช่คนใช้ ไม่ใช่ลูกจ้างของคุณ บริษัทเขาจ้างมาทำหน้าที่ของเขา ให้เกียรติกันด้วย
  • ช่างหน้า ช่างผม สไตลิสต์ อยากได้ดังใจจ้างมาเอง อย่าเบียดบังเงินกอง จริงอยู่ว่ามีโปรดักชันที่จ่ายได้ แต่บางทีเขาก็ไม่ไหว บางทีต้องตัดจากงบ Set งบกล้องไฟ งบสวัสดิภาพของคนอื่นๆ เรื่องแบบนี้รู้ไว้บ้างก็ดี
  • ผู้จัดการทั้งหลายความเยอะ ความเขี้ยว เบาได้เบา หลายครั้งที่รีดเค้นความเป๊ะจากกอง แต่ขอความอะลุ่มอล่วยให้ตัวเอง บางทีให้ดาราเล่นบทน่ารัก เขารู้กันหมดแล้วว่าศีลเสมอกัน เลยอยู่กันได้
  • นายทุน ช่อง ลูกค้าใดๆ หันมาใส่ใจทีมงานบ้าง อย่าไปมองแต่จะต้องเอาดาราดัง อินฟลูเอ็นเซอร์ล้านวิวมาขาย ลงกับบท กับโปรดักชัน และอย่าไปคิดแทนคนดูว่าเขาบ้าดาราหรือคนดัง บางทีเขาก็อยากเห็นงานดีๆ ที่ลงทุนกับสติปัญญาเหมือนกันนะ 

 

“ฯลฯ ที่อยากจะแนะนำผู้อยู่เบื้องบนๆ

 

“ที่ว่ามานี่ไม่ได้เจาะจงใคร มาจากประสบการณ์ของเราเองกับผู้อยู่เบื้องหลังล้วนๆ ประเด็นที่ยกมาข้างต้นนี่แทบจะเป็นประสบการณ์ร่วมของคนกองทุกคนแหละ ไม่ได้จะด่าใคร วันหนึ่งกูเลิกจากวงการนี้จะเขียนเล่าให้ฟัง เก็บเป็นตำนานไว้ชั่วลูกหลาน

 

“เป็นกำลังใจให้ทีมงานผู้ขยันขันแข็งทุกคนนะครับ หวังว่าวงการนี้จะทำให้เราและคนรุ่นหลังมีความสำคัญขึ้นมาในสายตาผู้มีตังค์ทั้งหลายบ้าง

 

“อยากให้เขาภูมิใจกันบ้างว่าได้ลงทุนกับสวัสดิภาพชีวิตคนทำงานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและเท่าเทียมกัน ขอให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ”

 

ซึ่งหลังจากสเตตัสดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป หลายคอมเมนต์ที่ได้ตอบกลับในโพสต์ต้นทางจากมะเดี่ยวก็มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน บ้างก็มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในเชิงว่าวงการบันเทิงไทยยังมีการวางระบบชนชั้นวรรณะไว้อย่างชัดเจน ทั้งที่ทุกฝ่ายในการผลิตล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการรังสรรค์ผลงานร่วมกัน เรียกได้ว่าการออกมาพูดคุยครั้งนี้ของมะเดี่ยวได้สร้างจุดขบคิดให้กับใครได้หลายคน ตลอดจนสามารถเล็งเห็นได้ถึงปัญหาดังกล่าวที่สืบเนื่องมายาวนาน และก็ได้แต่วาดหวังกันว่าปัญหาต่างๆ ใต้พรมของอุตสาหกรรรมบันเทิงไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคนทำงานเบื้องหลังจะได้รับการใส่ใจและแก้ไขให้ดีขึ้นในสักวัน

 

อ้างอิง:

The post มะเดี่ยว ชูเกียรติ โพสต์แสดงความเห็นต่อประเด็นความไม่เสมอภาคและสวัสดิภาพชีวิตคนทำงานหลังกองถ่าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาดการณ์นายจ้างในไทยจะปรับเพิ่มค่าตอบแทน เงินเดือน 4.5% ในปี 66 แต่น้อยกว่าเวียดนามที่คาดปรับเพิ่ม 7.1% https://thestandard.co/thailand-payment-4-5-percent-2566/ Sat, 05 Nov 2022 04:16:24 +0000 https://thestandard.co/?p=704711

เมอร์เซอร์คาดการณ์ว่า อัตราการขึ้นค่าตอบแทน หรือ เงินเด […]

The post คาดการณ์นายจ้างในไทยจะปรับเพิ่มค่าตอบแทน เงินเดือน 4.5% ในปี 66 แต่น้อยกว่าเวียดนามที่คาดปรับเพิ่ม 7.1% appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมอร์เซอร์คาดการณ์ว่า อัตราการขึ้นค่าตอบแทน หรือ เงินเดือน ในปี 2566 ของไทย จะปรับเพิ่ม 4.5% ซึ่งอัตราการเพิ่มนี้ใกล้เคียงกับอัตราที่เกิดขึ้นจริงในปีนี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและสถานการณ์โดยรวมที่กลับเข้าสู่ระดับก่อนหน้าวิกฤตโรคระบาด

 

ตัวเลขดังกล่าวมาจากการสำรวจ Total Remuneration Surveys (TRS) ประจำปี 2565 โดยได้สำรวจกับองค์กร 636 แห่ง ใน 15 อุตสาหกรรมในประเทศไทย ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2565

 

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางของค่าตอบแทนที่ปรับสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของค่าตอบแทนในตลาดแรงงานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีการประมาณการอัตราค่าตอบแทนที่ปรับตัวสูงถึงระดับ 7.1% ในประเทศเวียดนาม เทียบกับ 2.2% ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต่ำที่สุดในภูมิภาค


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


เมลลา ดาราแคน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเมอร์เซอร์ ประจําประเทศไทย กล่าวว่า “แม้จะมีความคาดหวังต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่นายจ้างส่วนใหญ่ยังมีความระมัดระวังในการวางแผนรับมือผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ดังนั้นแนวโน้มในการปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนปีหน้าอาจจะยังใกล้เคียงกับปีนี้ อย่างไรก็ตาม เมอร์เซอร์แนะนำให้ภาคธุรกิจพิจารณาและทบทวนกลยุทธ์การบริหารค่าตอบแทนของพนักงานในองค์กร เนื่องจากธุรกิจอาจพบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดแรงงานในอนาคต รวมถึงอาจประสบความท้าทายในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถไว้”

 

การสำรวจพบว่า ไม่มีอุตสาหกรรมใดปรับลดอัตราการขึ้นเงินเดือน โดยคาดว่าอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์ จะมีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงสุดอยู่ที่ 4.9, 4.8 และ 4.8% ตามลำดับ

 

ส่วนในแง่ของค่าตอบแทนผันแปร คาดการณ์การจ่ายโบนัสที่ 1.3-2.5 เดือน โดยการจ่ายโบนัสสูงสุดอยู่ที่ 2.4 เดือนจากอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์

 

มากกว่าครึ่ง (53%) ของบริษัทผู้ตอบแบบสํารวจในประเทศไทย กล่าวว่า จะไม่มีนโยบายในการปรับเปลี่ยนกรอบอัตรากำลังพนักงานปี 2566 และ 1 ใน 5 หรือราว 22% ของนายจ้างที่ร่วมการสำรวจ กล่าวว่า จะเพิ่มจำนวนพนักงาน ในขณะที่มีเพียง 4% ของนายจ้าง ระบุว่า จะลดจำนวนพนักงานลง

 

ขณะเดียวกันอัตราการลาออกของพนักงานในปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนหน้าวิกฤตโรคระบาด ซึ่งมีอัตราสูงกว่า 11.9% เมื่อเทียบกับ 9.4% ในปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจต่างๆ โดยที่อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์คาดว่าจะมีอัตราการลาออกของพนักงานสูงที่สุด

The post คาดการณ์นายจ้างในไทยจะปรับเพิ่มค่าตอบแทน เงินเดือน 4.5% ในปี 66 แต่น้อยกว่าเวียดนามที่คาดปรับเพิ่ม 7.1% appeared first on THE STANDARD.

]]>