รัฐสวัสดิการ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 16 Aug 2023 05:20:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ษัษฐรัมย์ ฉายภาพรัฐสวัสดิการไทย ชี้ระบบพิสูจน์ความจนคือช่องทางคอร์รัปชันมหาศาลมากกว่าระบบถ้วนหน้า https://thestandard.co/sustarum-talks-thai-welfare-state/ Wed, 16 Aug 2023 05:20:13 +0000 https://thestandard.co/?p=829901

วานนี้ (15 สิงหาคม) รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ปร […]

The post ษัษฐรัมย์ ฉายภาพรัฐสวัสดิการไทย ชี้ระบบพิสูจน์ความจนคือช่องทางคอร์รัปชันมหาศาลมากกว่าระบบถ้วนหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

วานนี้ (15 สิงหาคม) รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ถึงประเด็นรัฐสวัสดิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

 

รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า ปัญหารัฐสวัสดิการตอนนี้คืองบประมาณสำหรับผู้สูงอายุหรือเด็กที่เป็นระบบถ้วนหน้าไม่สามารถคอร์รัปชันได้ เนื่องจากจะส่งตรงสู่คนทั่วไป ไม่เหมือนกับงบการสร้างถนนหรือโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถมีเงินทอนกลับมาได้

 

ดังนั้นการกลับไปสู่ระบบพิสูจน์ความจนจะเป็นช่องทางการคอร์รัปชันมหาศาล และทำให้คนที่ยากจนจริงๆ ตกออกไปจากการสำรวจในส่วนนี้

 

รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าวอีกว่า งบประมาณของเบี้ยผู้สูงอายุปัจจุบันอยู่ราวๆ 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงร้อยละ 2 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต่อให้ทวีคูณก็จะตกอยู่แค่ร้อยละ 3.5-4 ต่อปี หากเทียบง่ายๆ คือ ถ้ามีเงิน 100 บาท จ่ายแค่ 3-4 บาทเพื่อให้ผู้สูงอายุมากกว่า 11 ล้านคนได้

 

นอกจากนี้ ประชาชนต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แม้จะไม่ใช้มาตรวัดของการเสียภาษี แต่ทุกคนก็ได้สร้างมูลค่าให้แก่ประเทศไทยทั้งสิ้น ต่อให้ไม่ต้องเสียภาษีรายได้ แต่ก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังไม่นับอีกว่าได้สร้างมูลค่าให้นายทุนร่ำรวย ฉะนั้นทุกคนมีส่วนร่วมของสังคมนี้

 

“วิธีการที่ยุติธรรมที่สุดคือคืนกลับมาให้ทุกคนได้สิทธิพื้นฐานที่เท่ากัน ไม่ต้องมาต่อคิวพิสูจน์ความจนอะไรแบบนี้” รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ระบุ

 

ส่วนเบี้ยผู้สูงอายุต่อเดือนที่เหมาะสม ตนเองมองว่าความยากจนจากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) คือประมาณ 2,800-3,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น 3,000 บาท คือตัวเลขที่ทำให้รอดจากสังคมผู้สูงอายุ 

 

“วิธีการที่จะทำให้เรารอดจากตรงนี้ ถ้าประเทศไทยไม่มีระบบสวัสดิการที่ดี มันก็คือคนอายุ 30-40 ปีนี่แหละครับที่จะต้องดูแลผู้สูงอายุ” รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าวทิ้งท้าย

The post ษัษฐรัมย์ ฉายภาพรัฐสวัสดิการไทย ชี้ระบบพิสูจน์ความจนคือช่องทางคอร์รัปชันมหาศาลมากกว่าระบบถ้วนหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
KKP Research ห่วงนโยบายสวัสดิการ-แจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น อาจดันระดับหนี้สาธารณะแตะเพดาน 70% ภายใน 10 ปี https://thestandard.co/kkp-research-concerned-about-welfare-policy/ Thu, 29 Jun 2023 11:01:22 +0000 https://thestandard.co/?p=809432 หนี้สาธารณะ

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เผยแ […]

The post KKP Research ห่วงนโยบายสวัสดิการ-แจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น อาจดันระดับหนี้สาธารณะแตะเพดาน 70% ภายใน 10 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้สาธารณะ

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เผยแพร่งานวิจัยโดยประเมินว่ารัฐบาลไทยจะเผชิญความท้าทายเพิ่มขึ้นในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ จากระดับหนี้ที่ปรับสูงขึ้นมากหลังวิกฤตโควิด-19 และการขาดดุลทางการคลังเชิงโครงสร้างตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มจะแย่ลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

ปัญหาการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้าง

รายงานของ KKP Research ระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยมีการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้าง (Structural Deficit) คือขาดดุลมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 15 ปี ซึ่งขนาดของการขาดดุลการคลังทั้งหมดเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2010 อยู่ที่ปีละ 2.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และทำให้ยอดหนี้สาธารณะของไทยเติบโตขึ้นทุกปี ปีละประมาณ 7-8% ซึ่งปัญหาหนี้สาธารณะของไทยอาจแบ่งได้เป็น 3 ข้อ คือ

 

  1. การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำ จากขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ที่มีขนาดใหญ่ แรงงานส่วนมากประกอบอาชีพอิสระและอยู่นอกระบบภาษี อัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ค่อนข้างต่ำหากเทียบกับประเทศอื่น

 

  1. สัดส่วนรายจ่ายประจำอยู่ในระดับสูง ขณะที่งบลงทุนมีสัดส่วนเพียง 20% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น สะท้อนว่าการจัดสรรงบประมาณของไทยอาจมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวได้น้อย

 

  1. การขาดดุลการคลังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทั้งการเก็บรายได้ภาษีของรัฐบาลที่จะลดลง โดยเฉพาะการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล และรายจ่ายของภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นจากรายจ่ายในหมวดสังคมสงเคราะห์

 

ผลกระทบหากไม่มีวินัยการคลัง

KKP Research ระบุอีกว่า จากประสบการณ์ของหลายประเทศในอดีตชี้ให้เห็นว่าปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงและการขาดวินัยทางการคลังอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 3 ด้าน ได้แก่

 

  1. ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายทางการคลัง (Fiscal Space) ลดลง ซึ่งที่ผ่านมาระดับหนี้สาธารณะของไทยไม่เคยปรับลดลงสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตได้เลย และหากเทียบกับช่วงโควิด-19 ที่รัฐบาลต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 20% ของ GDP ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่รัฐบาลจะไม่สามารถมีบทบาทในการพยุงเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่หากเกิดวิกฤตขึ้นอีกในอนาคต

 

  1. ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลที่อาจปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีการก่อหนี้สูง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และไม่มีแผนการชัดเจนในการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง

 

  1. การไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้าย การอ่อนค่าของค่าเงิน และการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ โดยเฉพาะประเทศที่มีการกู้ยืมหนี้สกุลต่างประเทศสูงและประเทศที่พึ่งพาการนำเข้ามาก

 

ขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น เร่งปัญหาหนี้สาธารณะ

งานวิจัยของ KKP Research ชี้ว่า นโยบายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายและการขาดดุลการคลังเช่นนโยบายการให้เงินอุดหนุน จะยิ่งสร้างต้นทุนต่อภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะ โดยถึงแม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่จะสร้างภาระผูกพันระยะยาวให้กับรัฐ ซึ่งทำให้การปรับลดระดับหนี้สาธารณะในอนาคตทำได้ยากขึ้น

 

โดย KKP Research ได้คำนวณผลกระทบของการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายสวัสดิการต่างๆ และนโยบายการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นพบว่าการดำเนินนโยบายรูปแบบดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะแตะระดับเพดานหนี้ 70% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ขณะที่การปฏิรูปรายรับรายจ่ายอาจช่วยลดภาระต่อหนี้สาธารณะได้บ้าง แต่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวได้

 

ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากใช้จ่ายอย่างเหมาะสม

KKP Research ระบุว่า การก่อหนี้เพื่อนำไปสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจในระยะยาวคือทางออกของการสร้างความยั่งยืนทางการคลังให้เกิดขึ้น โดยถึงแม้ในระยะสั้นการก่อหนี้ดังกล่าวจะทำให้ระดับหนี้สูงขึ้นได้บ้าง แต่ในระยะยาว การลงทุนเพื่อยกระดับผลิตภาพและเพิ่มศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ทยอยปรับลดลงตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่โตเร็วขึ้น และการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่ควรปรับเพิ่มขึ้นตามรายได้ของคนในประเทศเช่นกัน

 

การจัดหารายได้เพิ่มและตัดลบงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นควบคู่ไปด้วยจะช่วยลดปัญหาการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้างของไทยที่มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงภายใต้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ โดยการลดขนาดการขาดดุลทางการคลังควบคู่กับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะช่วยให้ระดับหนี้สาธารณะปรับลดลงได้เร็วขึ้น

 

โดยประเมินว่าระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 57.4% เมื่อเทียบกับกรณีที่มีการจัดสรรงบประมาณใหม่แต่ไม่มีการลดขนาดการขาดดุลทางการคลังเชิงโครงสร้าง ซึ่งระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ 65.6% หรือต่างกันเกือบ 10%

 

ความท้าทายที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้า รัฐบาลไทยจะเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ โดยนอกจากระดับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19 และปัญหาสังคมผู้สูงอายุที่จะมาซ้ำเติมการขาดดุลการคลังเชิงโครงสร้างแล้ว ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจะยิ่งทำให้ปัญหาหนี้สาธารณะของไทยเลวร้ายลงไปอีก

 

โดยความท้าทายทั้งหมดนี้ล้วนตอกย้ำความสำคัญของนโยบายรัฐที่จะต้องมุ่งเน้นการเพิ่มการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว การลดการขาดดุลเชิงโครงสร้าง รวมถึงควรมีการดำเนินการอย่างทันทีและต่อเนื่อง เพราะปัญหาหนี้สาธารณะอาจมาเร็วกว่าที่คิดและการแก้ปัญหาก็อาจใช้เวลานานกว่าที่หลายคนคาดเช่นกัน

The post KKP Research ห่วงนโยบายสวัสดิการ-แจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น อาจดันระดับหนี้สาธารณะแตะเพดาน 70% ภายใน 10 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เลือกตั้ง 2566 : เพื่อไทยแจง เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แค่ชะลอไม่ได้พับโครงการ ชี้ใช้งบฯ ก้อนเดียวกับนโยบายรัฐสวัสดิการก้าวไกล ให้เกียรติพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลก่อน https://thestandard.co/pheu-thai-clarifies-digital-wallet-money/ Fri, 02 Jun 2023 06:06:51 +0000 https://thestandard.co/?p=798380 เผ่าภูมิ โรจนสกุล

วันนี้ (2 มิถุนายน) เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเ […]

The post เลือกตั้ง 2566 : เพื่อไทยแจง เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แค่ชะลอไม่ได้พับโครงการ ชี้ใช้งบฯ ก้อนเดียวกับนโยบายรัฐสวัสดิการก้าวไกล ให้เกียรติพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เผ่าภูมิ โรจนสกุล

วันนี้ (2 มิถุนายน) เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการ เลขานุการ และโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าเพื่อไทยยุติดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ใช้คำว่ายุติหรือพับโครงการ แต่เป็นการชะลอเพื่อใช้เวลาในการเจรจาร่วมกันกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างมีวุฒิภาวะและให้เกียรติพรรคแกนนำ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงจับมือกันสร้างรัฐบาลเพื่อประชาชนให้เกิดขึ้นให้ได้

 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยขอยืนยันข้อเท็จจริงใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

 

  1. ข้อจำกัดด้านงบประมาณและผลการเลือกตั้งนั้น นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย 10,000 บาท ต้องใช้งบประมาณรวม 560,000 ล้านบาท ในขณะนี้นโยบายด้านสวัสดิการของพรรคก้าวไกลใช้งบประมาณ 650,000 ล้านบาท โดยนโยบายที่ใช้งบประมาณทั้งสองก้อนไม่ได้ใช้งบประมาณจากการกู้เงินทั้งสองก้อนแต่ใช้งบในระบบงบประมาณ ซึ่งหมายความว่าทั้งสองนโยบายใช้งบก้อนเดียวกัน การใช้เงินสองก้อนในเวลาเดียวกันในภาวะการคลังแบบนี้จึงไม่สามารถทำได้ ในที่สุดจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าต้องเลือกระหว่างนโยบายสวัสดิการและดิจิทัลวอลเล็ต

 

อีกทั้งผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีความสำคัญในการเจรจาและข้อตกลงเชิงนโยบายภายใต้การให้เกียรติพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

 

  1. เพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความหวังของประชาชนที่สนับสนุนพรรคไม่น้อย ในการเจรจาที่จะเกิดขึ้นพรรคเพื่อไทยมีหน้าที่ชี้แจง ให้ความเห็น และแลกเปลี่ยนกันในมุมมองเชิงนโยบายที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน โดยนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายที่สำคัญและตอบโจทย์ประเทศ เราออกแบบนโยบายเป็นระบบ โดยดิจิทัลวอลเล็ตคือการปั๊มหัวใจประเทศในขั้นแรกให้เดินต่อไป และจะตามด้วยอีกหลายนโยบาย ดังนั้นดิจิทัลวอลเล็ตจะมีประโยชน์ในสองมิติคือ

 

  • การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะประเทศไทยในสภาวะปัจจุบันยังไม่พร้อมรับนโยบายต่างๆ ได้ถ้าไม่ปั๊มหัวใจก่อน จึงจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน
  • ความจำเป็นในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้ประเทศ เพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้น

 

ดังนั้นดิจิทัลวอลเล็ตทั้งหมดจึงมีความสำคัญที่พรรคเพื่อไทยต้องนำเข้าสู่การเจรจา

 

เผ่าภูมิกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการหารือเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอย่างไม่เป็นทางการแล้ว และจะหารืออย่างเป็นทางการอีกครั้งในอนาคต ยืนยันว่าการดำเนินนโยบายของพรรคแกนนำและดิจิทัลวอลเล็ตใช้งบประมาณมากและใช้งบก้อนเดียวกันไม่ได้ ขณะนี้อยู่ในช่วงของการเข้าสู่การเจรจา พรรคเพื่อไทยไม่ใช่แกนนำ แต่เราจะเจรจาโดยให้เกียรติพรรคแกนนำ เราไม่ได้ปิดโอกาสในการไม่มีนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ให้เกียรติในการตัดสินใจ และมีอำนาจตัดสินใจ บนพื้นฐานของการเข้าสู่การเจรจาซึ่งกันและกัน ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีนโยบายนี้ในอนาคตนั้น เผ่าภูมิระบุว่า เรามีความหวัง หากมีงบประมาณเพียงพอ มีความเป็นไปได้ที่จะทำ และเป็นสิ่งจำเป็นในการวางโครงสร้างด้านดิจิทัลสำหรับประเทศไทย

 

“ปัจจุบันเราต้องเข้าใจตรงกันว่าเรากำลังจัดตั้งรัฐบาลเพื่อประชาชน เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชน เราต้องเดินไปสู่จุดนั้นด้วยความละมุนละม่อม ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้เกียรติพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล” เผ่าภูมิกล่าว

The post เลือกตั้ง 2566 : เพื่อไทยแจง เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แค่ชะลอไม่ได้พับโครงการ ชี้ใช้งบฯ ก้อนเดียวกับนโยบายรัฐสวัสดิการก้าวไกล ให้เกียรติพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย: อย่ามาเล่นกับไฟ ร้อนๆ จะไม่ดี https://thestandard.co/change-structure-thai-economy/ Fri, 02 Jun 2023 03:27:12 +0000 https://thestandard.co/?p=798287 เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของประเทศไทยเป็นผลการเลือกตั้ง […]

The post เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย: อย่ามาเล่นกับไฟ ร้อนๆ จะไม่ดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของประเทศไทยเป็นผลการเลือกตั้งที่สะท้อนความต้องการเชิงรูปธรรมของประชาชนที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง ด้วยคะแนนเสียงประชาชนทุ่มให้กับ ‘พรรคก้าวไกล’ สะท้อนการกาเครื่องหมาย X เชิงกลยุทธ์ ที่นักการเมืองลายครามนึกไม่ถึงว่าบริบททางการเมืองของประเทศไทยไม่ว่าในเมืองหรือภูธรได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง การเข้าถึงประชาชนทางสังคมออนไลน์ผ่านรูปแบบ 7 วัน x 24 ชั่วโมง และการสร้างกระแสไวรัล เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของผู้คน ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดทางการเมืองที่พรรคก้าวไกลนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

แต่กระนั้นก็ตาม เสียงสะท้อนของผลการเลือกตั้งมีนัยทางการเมืองให้เห็นอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก คนส่วนใหญ่ของประเทศรู้สึกเบื่อกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน และต้องการความเปลี่ยนแปลง กระแส ‘เบื่อลุง’ กลายเป็นที่นิยมชมชอบตั้งแต่เด็กอนุบาลไปยันคนแก่ถือไม้เท้า และก็เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าความเบื่อหน่ายกับเรื่องเดิมๆ เป็นเรื่องปกติของ ‘คนไทย’ มาช้านาน 

 

ประการถัดมา คนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามามีพื้นที่การแสดงออกทางการเมืองในประเทศไทยมากขึ้น ผ่านตัวแทนที่พวกเขาเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงและอนาคตที่สดใสขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นว่านโยบายที่ขัดกับอุดมการณ์หรือความเชื่อในอดีตกำลังถูกท้าทายอย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือนโยบายการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นต้น

 

ความน่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งนี้ในสายตาของนักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจ คงหนีไม่พ้นนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมาเป็นลำดับที่หนึ่งอย่างพรรคก้าวไกล แก่นของนโยบายของพรรคก้าวไกลคือเส้นทางการเดินไปสู่ ‘รัฐสวัสดิการ’ และการสร้างภาพว่าเศรษฐกิจประเทศไทยถูก ‘ทุนผูกขาด’ ครอบงำอยู่ และพรรคก้าวไกลมีหน้าที่ต้อง ‘ปลดแอก’ ให้กับคนไทยได้ลืมตาอ้าปากเสียที

 

หากยกเอาเรื่องมายาคติเกี่ยวกับชนชั้นศักดินาและไพร่ออกไปเสียก่อน แล้วพิจารณาเฉพาะเนื้อหาของนโยบายและผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความเป็นไปในอนาคตของระบบการเงินการคลังของประเทศ การวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลจะเป็นประโยชน์และอานิสงส์แก่กลุ่มคนต่างๆ ไม่มากก็น้อย เพราะนโยบายของพรรคก้าวไกล ถ้าเปรียบเทียบแบบฟังดูขัดหูพิกลก็คงจะพูดได้ว่า พรรคก้าวไกลกำลังเขย่ารากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีมาช้านานให้พังทลายลงและสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยมือตัวเองก็ย่อมได้

 

รากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยถูกออกแบบให้เป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม โดยวางยุทธศาสตร์การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และการผลิตเพื่อส่งออกเป็นเป้าหมาย ตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตอนต้น พ.ศ. 2500 พร้อมด้วยการถือกำเนิดของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่รับผิดชอบการวางแผนเศรษฐกิจประเทศไทยตามแนวทางดังกล่าว แม้ว่าเส้นทางประชาธิปไตยของประเทศไทยจะสะดุดบ้าง ราบเรียบบ้าง โลดโผนบ้าง แต่เส้นทางของการพัฒนาทางเศรษฐกิจกลับมีความต่อเนื่องจากรัฐบาลหนึ่งไปอีกรัฐบาลหนึ่ง เหตุผลส่วนหนึ่งที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้คือ กลุ่มทุนทางเศรษฐกิจสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายอำนาจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร หรือกลุ่มอิทธิพลทางการเมืองที่กำหนดนโยบายสาธารณะ ด้วยการเกลี้ยกล่อมหรือชักจูงให้เครือข่ายอำนาจยอมรับต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจของประเทศไทยว่าเป็นไปอย่างถูกต้องแล้ว

 

การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของทุกรัฐบาล การให้สิทธิพิเศษทางการลงทุนเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนจากบรรษัทข้ามชาติจึงถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ถูกบรรจุไว้ในเมนูนโยบายที่นำเสนอต่อนักลงทุนตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ตาม บางช่วงบางจังหวะที่การลงทุนซบเซาหรือชะลอตัว รัฐบาลก็ใช้เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว เช่น การบริโภคภาคเอกชน หรือการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นต้น ด้วยเหตุนี้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจึงวางรากฐานความเป็นทุนนิยมหรือเสรีนิยมมาอย่างยาวนานในสังคมไทย 

 

การนำเสนอแนวคิดทางเศรษฐกิจที่มีกลิ่นอายความเป็นสังคมนิยมของพรรคก้าวไกลในเบื้องแรกก็หาได้มีผลสะเทือนไม่ แต่พลันที่ความเป็นไปได้ของการเป็นรัฐบาลของพรรคก้าวไกลปรากฏขึ้น ตลาดทุนซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดความเห็นของนักลงทุนต่อนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจ เหตุผลของการตอบสนองต่อเมนูนโยบายของว่าที่รัฐบาลมีอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่

 

ประการแรก การริเริ่มการสร้างสวัสดิการสังคมแก่ประชากรไทยโดยไม่คัดกรองอย่างรอบคอบย่อมนำไปสู่ภาระทางการคลังของรัฐบาลอย่างมหาศาล และย่อมนำไปสู่การจัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ เพื่อชดเชยรายจ่ายสาธารณะดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากถามว่ารัฐบาลก่อนๆ มิได้ทำเรื่องนี้หรือ ก็คงต้องตอบว่า เปล่า เขาทำ แต่เขาทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง มิได้เหวี่ยงแหจนเกิดภาระแก่งบประมาณแผ่นดินอย่างมากมายเช่นนี้ ผลสืบเนื่องที่จะตามมาจากสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้าจะนำมาซึ่งการเคลื่อนย้ายทุนทางการเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมตามประสิทธิภาพของแรงงานและทุน นโยบายทางการคลังจะเข้าสู่ทางตันไม่วันใดก็วันหนึ่งในไม่ช้า หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง

 

ประการถัดมา การสร้างมุมมองของนโยบายที่เห็นว่าทุนเป็นเรื่องน่ารังเกียจและสมควรถูกลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกสิทธิพิเศษของการส่งเสริมการลงทุน การจัดเก็บภาษีความมั่งคั่ง หรือการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับตลาดการเงิน ดังที่ได้กล่าวแล้วว่ามุมมองดังกล่าวมีความเป็นสังคมนิยมที่ค่อนข้างไม่เป็นมิตรกับความเป็นเสรีของทุนและธุรกิจ การสร้างมุมมองเช่นที่ว่าจะลดทอนแรงจูงใจของการเพิ่มผลิตภาพของการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมให้ความไร้ประสิทธิภาพมีบทบาทหลัก ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดของการมองโลกแบบนี้คงหนีไม่พ้นการกัดกร่อนบ่อนทำลายความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่มากก็น้อย

 

ประการสุดท้าย การยกเอา ‘บทบาทของรัฐ’ และ ‘การแทรกแซงของรัฐ’ เป็นธงนำของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเสี่ยงต่อการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 75 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ที่บัญญัติว่า

 

“มาตรา 75 รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ

 

“รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม การจัดให้มีสาธารณูปโภค หรือการจัดทำบริการสาธารณะ”

ทั้งๆ ที่อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยึดเอาระบบตลาดเสรีเป็นสรณะมาอย่างช้านาน การหันหลังให้กับตลาดเสรีย่อมกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างคาดไม่ถึง การประนีประนอมเชิงนโยบายของพรรคก้าวไกลน่าจะเป็นคำตอบที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจสบายใจขึ้น เพราะพวกเขาคงไม่อยากเห็นพรรคก้าวไกลหาญกล้าเล่นกับไฟ แต่คนถูกเผาหาใช่คนเล่นแต่อย่างใด

The post เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย: อย่ามาเล่นกับไฟ ร้อนๆ จะไม่ดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เพื่อไทยเผย นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจต้องชะลอไป หลังพรรคแกนนำรัฐบาลมีนโยบายรัฐสวัสดิการที่ใช้งบเท่ากันอยู่แล้ว https://thestandard.co/pheu-thai-digital-money-policy-delay/ Thu, 01 Jun 2023 09:38:44 +0000 https://thestandard.co/?p=797958 เผ่าภูมิ โรจนสกุล

วันนี้ (1 มิถุนายน) เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเ […]

The post เพื่อไทยเผย นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจต้องชะลอไป หลังพรรคแกนนำรัฐบาลมีนโยบายรัฐสวัสดิการที่ใช้งบเท่ากันอยู่แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เผ่าภูมิ โรจนสกุล

วันนี้ (1 มิถุนายน) เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการ เลขานุการ และโฆษก คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ได้หารือเพื่อเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นสำคัญที่เป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อนประเทศใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 

 

  1. การส่งออก: พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับการหาตลาดใหม่ โดยเน้นที่ตลาดกลุ่มตะวันออกกลาง รวมทั้งการสร้างสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของตลาด ดูแลค่าค่าเงินบาทให้คงตัว เพื่อส่งเสริมรายได้จากการส่งออกจากประเทศ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศในระยะสั้น

 

  1. การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI): ต้องดำเนินการด้วยความยืดหยุ่นสูงและมีความชี้เฉพาะในตัว ด้วยมาตรการที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการของนักลงทุนรายอุตสาหกรรมและนักลงทุนรายประเทศ พร้อมเน้นย้ำ ไม่มีมาตรการตัดเสื้อโหลให้ทุกคนพึงพอใจเหมือนอย่างเป็นปัญหาในปัจจุบัน 

 

  1. หนี้ SMEs: หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือหนี้เสีย (NPL) สูงขึ้นคิดเป็น 20% หรือ SMEs จำนวน 1 ใน 5 กำลังประสบปัญหาหนี้ ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต พรรคเพื่อไทยมีความกังวลในเรื่องนี้ ดังนั้นนวัตกรรมทางการเงินและวิศวกรรมทางการเงินจะเข้ามาตอบโจทย์และแก้ปัญหา SMEs รวมถึงการใช้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐช้อนหนี้จากสถาบันการเงิน เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้ 

 

  1. สังคมสูงวัย: เป็นปัญหาระยะยาวและระยะสั้นที่ต้องรีบแก้ไข ซึ่งทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยมองใน 2 มิติ คือ ปัญหาและโอกาส โดยในส่วนของปัญหาคือ แรงงานลดลงและผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้รายได้ลดลง รายจ่ายมากขึ้น หากเป็นอย่างนี้ต่อไปหมายความว่ากำลังเดินไปสู่ทางตัน ซึ่งแก้ไขได้ใน 2 มิติ คือ ต้องเพิ่มจำนวนแรงงานและอัตราการเกิด และการเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้นและเก่งขึ้น ในส่วนของโอกาสคือ กำลังซื้อจากคนชรา ต้องคิดค้นการสร้างรายได้จากกำลังซื้อกลุ่มนี้ด้วยศูนย์กลางทางการแพทย์ ศูนย์กลางอาหารออร์แกนิก และศูนย์กลางการท่องเที่ยวและพำนักระยะยาว 

 

  1. ระบบภาษีที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย: ต้องไม่กระทบต่อภาคการลงทุนและไม่ทำให้เศรษฐกิจหดตัวหรือเดินช้าในระยะยาว ซึ่งเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ 

 

เผ่าภูมิกล่าวต่อไปว่า ประเด็นต่างๆ จะนำไปคุยกับแกนนำพรรคร่วมและพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหาจุดลงตัวสำหรับประชาชนทุกคน โดยในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านในสัปดาห์หน้าพรรคเพื่อไทยจะพูดคุยในนโยบายหลัก ยอมรับว่ามีความแตกต่าง ซึ่งต้องหาจุดลงตัว ส่วนนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ต้องใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท ในขณะที่นโยบายพรรคแกนนำก็ใช้เงินเท่ากันในนโยบายรัฐสวัสดิการ ซึ่งต้องเป็นไปตามพรรคแกนนำเป็นหลัก ดังนั้นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ต้องชะลอไป

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนว่าพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะรีดภาษีมากกว่าการหารายได้เข้าประเทศ เผ่าภูมิกล่าวว่า ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ขอก้าวล่วงในมิติของนโยบายพรรคการเมืองอื่น เพราะทุกนโยบายมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน นโยบายของพรรคเพื่อไทยเราชัดเจนในนโยบายทุนนิยมที่มีหัวใจ เศรษฐกิจโตเท่าเทียม เศรษฐกิจโตสูง และโตเท่าเทียม

The post เพื่อไทยเผย นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจต้องชะลอไป หลังพรรคแกนนำรัฐบาลมีนโยบายรัฐสวัสดิการที่ใช้งบเท่ากันอยู่แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: รัฐสวัสดิการ-ปฏิรูปภาษี โจทย์หิน รมว.คลัง คนใหม่? | WEALTH IN DEPTH https://thestandard.co/wealth-in-depth-24052023/ Wed, 24 May 2023 12:08:54 +0000 https://thestandard.co/?p=794837 รัฐสวัสดิการ ปฏิรูปภาษี

พบกับ WEALTH IN DEPTH รายการเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน […]

The post ชมคลิป: รัฐสวัสดิการ-ปฏิรูปภาษี โจทย์หิน รมว.คลัง คนใหม่? | WEALTH IN DEPTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐสวัสดิการ ปฏิรูปภาษี

พบกับ WEALTH IN DEPTH รายการเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุนเชิงลึก ในหัวข้อ ‘รัฐสวัสดิการ-ปฏิรูปภาษี โจทย์หิน รมว.คลัง คนใหม่?’

 

ร่วมพูดคุยกับ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ

 

ดำเนินรายการโดย ศิรัถยา อิศรภักดี

 

ติดตาม WEALTH IN DEPTH วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 เวลา 19.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

The post ชมคลิป: รัฐสวัสดิการ-ปฏิรูปภาษี โจทย์หิน รมว.คลัง คนใหม่? | WEALTH IN DEPTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
เลือกตั้ง 2566 : กรณ์ชี้ รัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวียยังเป็นอุดมคติ หมอมิ้งยัน รัฐสวัสดิการต้องมีแผนให้ประชาชนสร้างรายได้ https://thestandard.co/the-standard-debate-end-game-11/ Tue, 25 Apr 2023 17:03:38 +0000 https://thestandard.co/?p=781262

วันนี้ (25 เมษายน) ที่สยามพารากอน THE STANDARD จัดงาน T […]

The post เลือกตั้ง 2566 : กรณ์ชี้ รัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวียยังเป็นอุดมคติ หมอมิ้งยัน รัฐสวัสดิการต้องมีแผนให้ประชาชนสร้างรายได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (25 เมษายน) ที่สยามพารากอน THE STANDARD จัดงาน THE STANDARD DEBATE: เลือกตั้ง 66 ENDGAME เกมที่แพ้ไม่ได้ ตั้งแต่เวลา 19.30 น. เป็นต้นไป โดยมีตัวแทน 10 พรรคการเมือง ร่วมประชันวิสัยทัศน์

 

สำหรับ Round 2 : The Grand Battle ดวลวิสัยทัศน์ตัวต่อตัว คำถามในหมวด ‘รัฐสวัสดิการ’ ว่าไทยควรมีรัฐสวัสดิการแบบยุโรปสแกนดิเนเวียหรือไม่ รูปแบบรัฐสวัสดิการแบบไทยๆ ควรเป็นอย่างไร และจะหาเงินเข้ารัฐจากไหน ในเมื่อไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุที่ฐานภาษีเล็กลง

 

ในรอบนี้ กรณ์ จาติกวณิช แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคชาติพัฒนากล้า เลือกดวลวิสัยทัศน์กับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ตัวแทนพรรคเพื่อไทย

 

โดยกรณ์ชี้ว่า พรรคชาติพัฒนากล้านั้นเป็นพรรค ‘โอกาสนิยม’ ที่เน้นเรื่องการสร้างโอกาสให้ทุกคนมีความก้าวหน้าในชีวิต ให้โอกาสทุกคนได้แข่งขันอย่างเป็นธรรม แต่ตระหนักเสมอว่าในโลกของการแข่งขันจะมีผู้ที่แข่งไม่ได้ ซึ่งผู้ที่แข่งไม่ได้ควรจะต้องมีสิทธิ์ได้รับการดูแลโดยภาครัฐ

 

สำหรับการเปรียบเปรยกับระบบรัฐสวัสดิการของประเทศสแกนดิเนเวีย กรณ์มองว่า “อันนั้นคือการแจกรายได้ให้กับประชาชนทุกคนโดยไม่คำนึงถึงโอกาส ความร่ำรวยหรือความสามารถในการแข่งขัน” ซึ่งเขามองว่ายังเป็น “อุดมคติที่เรายังทำไม่ได้” เนื่องจากประเทศสแกนดิเนเวียมีภาษีประมาณ 55% ของ GDP ในขณะที่ไทยมีรายได้ของรัฐเทียบกับ GDP เพียงแค่ 16-17% ซึ่งหากเราอยากไปถึงจุดนั้นเราต้องเพิ่มภาษี ซึ่งเรายังไม่พร้อม

 

ด้าน นพ.พรหมินทร์ให้ความเห็นประเด็นนี้ว่า ผู้ที่ต้องได้รับรัฐสวัสดิการคือคนด้อยโอกาสในสังคม แต่หากประชาชนมีรายได้เพียงพอ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องได้สวัสดิการ ซึ่งหากทุกคนมีโอกาสสร้างรายได้และเพิ่มรายได้มากขึ้นเท่าไร คนที่ต้องถูกดูแลก็น้อยลงเท่านั้น

 

ขณะที่คำถามว่ารัฐสวัสดิการเหมาะสมหรือไม่กับไทย นพ.พรหมินทร์มองว่าไม่ขัดข้อง เนื่องจากเป็นหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว แต่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยใน 17 ปีข้างหน้า ดังนั้นหากเราจะดูแลประชาชนด้วยรัฐสวัสดิการเช่นนี้ โดยไม่มีแผน เราจะทำอย่างไร คำตอบคือการขยายให้ประชาชนสามารถสร้างรายได้ มีคุณค่า แม้แต่ผู้สูงอายุ

 

ทั้งนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคไทยภักดี ได้ใช้สิทธิ์ Challenge ในประเด็นรัฐสวัสดิการ โดยให้ความเห็นว่า ทุกรัฐบาลต้องการที่จะให้กับประชาชน แต่คำถามคือจะเอาเงินมาจากไหน ซึ่งที่ผ่านมาการหาเงินมาจะเป็นการกู้ยืมโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน

 

พร้อมกันนี้ นพ.วรงค์ให้ความมั่นใจว่าพรรคไทยภักดีสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศได้อย่างมั่นคง โดยมีหนึ่งในนโยบายสร้างรายได้คือการปฏิวัติโครงสร้างพลังงานสะอาดโดยใช้พืชพลังงาน รวมทั้งสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต

 

ดังนั้นการให้สวัสดิการ เช่น สวัสดิการเด็กเกิดใหม่ การจูงใจให้สตรีมีครรภ์ การให้โอกาสเรียนฟรี การให้สิทธิรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ตลอดจนสวัสดิการผู้สูงอายุ และข้าราชการที่ถูกมองว่าเป็น ‘ช้างป่วย’ จึงสามารถทำได้

 

“ผมบอกพี่น้องทุกท่านเลยนะครับว่า วันที่ไทยภักดีเป็นรัฐบาล เราจะปรับเงินในการดูแลที่ท่านถูกเรียกว่าช้างป่วย ให้กลายเป็นช้างที่เข้มแข็ง” นพ.วรงค์กล่าว

The post เลือกตั้ง 2566 : กรณ์ชี้ รัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวียยังเป็นอุดมคติ หมอมิ้งยัน รัฐสวัสดิการต้องมีแผนให้ประชาชนสร้างรายได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘อาคม’เร่งการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หลังคลังเลื่อนวันประกาศผลอย่างไม่มีกำหนด อาจไม่ทันโอนเงิน 1 มีนาคมนี้ https://thestandard.co/expedite-verification-of-registrant-welfare-card/ Wed, 15 Feb 2023 08:06:39 +0000 https://thestandard.co/?p=750842

กรณี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง […]

The post ‘อาคม’เร่งการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หลังคลังเลื่อนวันประกาศผลอย่างไม่มีกำหนด อาจไม่ทันโอนเงิน 1 มีนาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

กรณี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กำลังเร่งรัดการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 หลังจากกระทรวงการคลังขอเลื่อนวันประกาศผลออกไปอย่างไม่มีกำหนด ส่อแววโอนเงินในวันที่ 1 มีนาคมไม่ทัน

 

วันนี้ (15 กุมภาพันธ์) อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการประกาศผลการตรวจสอบผู้ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ว่ากำลังเร่งรัดอยู่ โดยเตรียมนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบในแง่ของจำนวนตัวเลขผู้เข้าร่วมสิทธิ ให้เร็วที่สุดภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยกล่าวว่าจะพยายามทำให้การเริ่มโอนเงินทันวันที่ 1 มีนาคม

 

หลังจากเมื่อวานนี้ (14 กุมภาพันธ์) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้า ครม. เพื่อให้ ครม. อนุมัติ และเตรียมพร้อมโอนเงินในวันที่ 1 มีนาคมนี้

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อาคมกล่าวอีกว่า จำนวนผู้ผ่านคุณสมบัติรอบล่าสุดนี้ใกล้เคียงกับโครงการเดิม ซึ่งอยู่ที่ 13 ล้านคน เนื่องจากผู้ที่เคยได้รับสิทธิอาจมีรายได้หรือสินทรัพย์มากขึ้น และมีคนใหม่เข้ามา

 

เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการประมวลผลที่ได้รับจากหน่วยตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนกว่า 19.63 ล้านราย และข้อมูลคู่สมรสและบุตรอีกกว่า 24.88 ล้านราย รวมทั้งสิ้นกว่า 44.51 ล้านราย ซึ่งการประมวลผลการตรวจสอบคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนครั้งนี้ มีความครอบคลุมและมีการตรวจสอบที่ละเอียดกว่าโครงการลงทะเบียนในอดีต เนื่องจากมีการใช้เกณฑ์ครอบครัวเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติมจากเดิมที่พิจารณาเฉพาะเกณฑ์บุคคล อีกทั้งในครั้งนี้มีการเพิ่มเติมคุณสมบัติสำหรับเกณฑ์บุคคล ได้แก่ การมีบัตรเครดิต และภาระหนี้สินของผู้ลงทะเบียน ซึ่งการพิจารณาการตรวจสอบสิทธิของผู้ลงทะเบียนในครั้งนี้จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ตามเกณฑ์บุคคลก่อน โดยตามข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบันมีจำนวน 13.22 ล้านราย 

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ประกาศเลื่อนผลการตรวจสอบผู้ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ออกไป จากกำหนดการเดิมที่ระบุว่า จะประกาศเลื่อนผลการตรวจสอบผู้ผ่านคุณสมบัติภายในเดือนมกราคม เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบจากหน่วยตรวจสอบสิทธิจากหลายหน่วยงาน เพื่อให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์

The post ‘อาคม’เร่งการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หลังคลังเลื่อนวันประกาศผลอย่างไม่มีกำหนด อาจไม่ทันโอนเงิน 1 มีนาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประยุทธ์ถามบางพรรค ‘จะหาเงินจากไหน’ ของบฯ 8 แสนล้านทำรัฐสวัสดิการ ยังไม่ตอบลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 รวมไทยสร้างชาติ https://thestandard.co/prayut-concern-welfare-budget/ Tue, 07 Feb 2023 08:31:49 +0000 https://thestandard.co/?p=747097

วันนี้ (7 กุมภาพันธ์) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จ […]

The post ประยุทธ์ถามบางพรรค ‘จะหาเงินจากไหน’ ของบฯ 8 แสนล้านทำรัฐสวัสดิการ ยังไม่ตอบลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 รวมไทยสร้างชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (7 กุมภาพันธ์) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อห่วงใยเรื่องการใช้งบประมาณ ว่า ได้เรียนต่อที่ประชุม ครม. ว่าห่วงงบฯ สวัสดิการต่างๆ ที่มีการให้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นภาระงบประมาณมาก ได้สั่งการให้ระมัดระวังกัน ซึ่งในการเพิ่มงบฯ รัฐสวัสดิการต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันทั้งข้าราชการและประชาชนไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม

 

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า มีบางพรรคการเมืองเสนอมา 8 แสนล้านบาท ซึ่งตนเองก็ไม่รู้จะหาเงินจากตรงไหน อยากให้ประชาชนรับทราบด้วย ไม่เช่นนั้นงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะถูกลดลงทั้งหมด และถูกดึงไปส่วนงบประมาณนี้ แล้วประเทศไทยจะอยู่กันได้อย่างไร ตนเองก็ไม่เข้าใจ เรียนประชาชนให้พิจารณาด้วย

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการตัดสินใจลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนขอตัดสินใจเอง ให้ถึงเวลาก่อน ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น เรื่องที่อยู่ในใจควรอยู่ในใจ จะให้อยู่นอกใจได้อย่างไร และขอไม่ตอบ

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเป็น ส.ส. เป็นได้ 4 ปี แต่ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก 2 ปีเท่านั้น หมายความว่าจะทำการเมืองยาวใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ย้อนถามกลับว่า แล้วตามกฎหมายได้หรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายเป็นได้กี่ปีก็เท่านั้น อย่าคิดไปเรื่อย และขอไม่ตอบคำถามนี้ 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงท่าทีกลุ่มสามมิตรของพรรคพลังประชารัฐจะย้ายไปพรรคเพื่อไทย พล.อ. ประยุทธ์ ตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกลุ่มสามมิตร ไม่เกี่ยวกับตนเอง 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีการส่ง ส.ส. ไปอยู่หลายพรรคการเมือง ในอนาคตจะได้เห็นรัฐบาลข้ามขั้วหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า ไม่มีรัฐบาลที่ข้ามขั้วทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น ยังไม่คิดอะไรข้างหน้า ให้เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง อีกเรื่องคือการแบ่งเขต วันนี้อยู่ในขั้นตอนตรงนั้น และได้รับการยืนยันว่าจะไม่มีการนำคนต่างชาติมาลงคะแนนเลือกตั้งด้วย เป็นเพียงการสำรวจจำนวนคนที่มีแรงงานเท่าใด คนต่างชาติเท่าใด สิ่งสำคัญที่สุดคือคนไทยต้องเลือกตั้ง และไม่มีประเทศไหนที่ให้คนต่างชาติมาเลือกตั้งในประเทศไทย  

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขอโทษกรณีลูกพรรคภูมิใจไทยปราศรัยพาดพิง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไร อนุทินเข้ามาชี้แจงเท่านั้น มองว่าการเป็นหัวหน้าพรรคนั้นมีความคิดอยู่แล้ว 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไร ยังมีการพูดคุยกันตามปกติ ตนก็บอกว่าต่างคนต่างหาเสียงไป ให้ระมัดระวังในเรื่องของภาพรวมด้วย เพราะพรรคที่ตนเองเข้าไปเป็นสมาชิกก็ได้สั่งการไปแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับใคร

 

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ได้มีการกำชับเรื่ององค์ประชุมสภาร่วมหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้กำชับไปแล้ว กำชับทุกครั้งในการประชุม เพราะยังมีการประชุมพิจารณากฎหมายต่างๆ อยู่ แต่เรื่องของการเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถไปจับเขาผูกขาไว้ได้

 

The post ประยุทธ์ถามบางพรรค ‘จะหาเงินจากไหน’ ของบฯ 8 แสนล้านทำรัฐสวัสดิการ ยังไม่ตอบลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 รวมไทยสร้างชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ย้อนที่มา ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ก่อนพลังประชารัฐเปิดนโยบายเพิ่มวงเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน https://thestandard.co/welfare-card-info/ Tue, 17 Jan 2023 10:07:20 +0000 https://thestandard.co/?p=738521

วันนี้ (17 มกราคม) พรรคพลังประชารัฐเปิดนโยบายแรกเพื่อสู […]

The post ย้อนที่มา ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ก่อนพลังประชารัฐเปิดนโยบายเพิ่มวงเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (17 มกราคม) พรรคพลังประชารัฐเปิดนโยบายแรกเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง คือการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย

 

THE STANDARD ย้อนที่มาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก่อนพรรคพลังประชารัฐประกาศนโยบายเพิ่มวงเงินในบัตร

 

 

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

The post ย้อนที่มา ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ก่อนพลังประชารัฐเปิดนโยบายเพิ่มวงเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>