รัฐยะไข่ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 22 Dec 2024 02:51:34 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 กลุ่มชาติพันธุ์เมียนมารุกหนัก ยึดฐานบัญชาการภาคตะวันตกของกองทัพเมียนมาได้สำเร็จ https://thestandard.co/myanmar-ethnic-groups-seize-western-army-base/ Sun, 22 Dec 2024 02:51:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1022197 myanmar-ethnic-groups-seize-western-army-base

กองทัพอาระกัน (Arakan Army: AA) เปิดเผยว่า สามารถบุกยึด […]

The post กลุ่มชาติพันธุ์เมียนมารุกหนัก ยึดฐานบัญชาการภาคตะวันตกของกองทัพเมียนมาได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
myanmar-ethnic-groups-seize-western-army-base

กองทัพอาระกัน (Arakan Army: AA) เปิดเผยว่า สามารถบุกยึดฐานบัญชาการภาคตะวันตกของกองทัพเมียนมา ที่ตั้งอยู่ในเมืองแอนน์ (Ann) รัฐยะไข่ ได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 ธันวาคม) หลังโจมตีเป็นเวลานานกว่า 2 เดือน โดยถือเป็นฐานบัญชาการกองทัพเมียนมาแห่งที่ 2 จากทั้งหมด 14 ฐาน ทั่วประเทศ ที่ถูกกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธบุกยึดไว้ได้ 

 

โดยก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ (Three Brotherhood Alliance) ที่มีกองทัพอาระกันรวมอยู่ด้วย สามารถยึดฐานบัญชาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ตั้งอยู่ในเมืองล่าเสี้ยว ของรัฐฉาน สำเร็จเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

 

โฆษกกองทัพอาระกันเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ The Irrawaddy ว่า รองผู้บัญชาการและเสนาธิการทหารในรัฐยะไข่ถูกกองทัพอาระกันควบคุมตัวไว้ได้หลังการบุกยึดฐานบัญชาการภาคตะวันตกดังกล่าว ขณะที่พบว่ามีทหารเมียนมาบางส่วนหลบหนีไปได้ ซึ่งกองทัพอาระกันยังคงพยายามติดตามตัว ท่ามกลางการโจมตีทางอากาศในพื้นที่อย่างต่อเนื่องของกองทัพเมียนมา

 

คลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า ทหารของกองทัพเมียนมาจำนวนมากพร้อมทั้งครอบครัวยกธงขาวยอมจำนนต่อกองทัพอาระกัน ขณะที่คลิปวิดีโอจากโดรนเผยให้เห็นภาพของฐานบัญชาการที่ได้รับความเสียหายและถูกไฟไหม้

 

โดยกองทัพอาระกันเริ่มโจมตีฐานทหารของกองทัพเมียนมาในรัฐยะไข่ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และสามารถยึดเมืองต่างๆ ภายในรัฐยะไข่ได้ 12 แห่งจากทั้งหมด 17 แห่ง รวมถึงเมืองปาเลตวา (Paletwa) ในรัฐชินที่อยู่ใกล้เคียง

 

ภาพ: AA Info Desk

 

อ้างอิง: 

 

The post กลุ่มชาติพันธุ์เมียนมารุกหนัก ยึดฐานบัญชาการภาคตะวันตกของกองทัพเมียนมาได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลทหารเมียนมาสั่งระงับหน่วยงานช่วยเหลือ ไม่ให้เข้าถึงผู้ประสบภัยไซโคลนโมคานับล้าน https://thestandard.co/myanmar-junta-suspends-aid-access/ Tue, 13 Jun 2023 09:39:01 +0000 https://thestandard.co/?p=802679 ไซโคลน รัฐยะไข่

สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ( […]

The post รัฐบาลทหารเมียนมาสั่งระงับหน่วยงานช่วยเหลือ ไม่ให้เข้าถึงผู้ประสบภัยไซโคลนโมคานับล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไซโคลน รัฐยะไข่

สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs: OCHA) เปิดเผยว่า รัฐบาลทหารเมียนมามีคำสั่งระงับหน่วยงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ให้เข้าถึงกลุ่มผู้ประสบภัยไซโคลนโมคานับล้านรายในพื้นที่รัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตก แม้ว่าจะยังมีผู้ประสบภัยจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน หลังจากที่เผชิญผลกระทบความเสียหายที่รุนแรงจากการพัดกระหน่ำของพายุมากว่า 1 เดือน

 

OCHA ระบุว่า การตัดสินใจระงับการเข้าถึงความช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยดังกล่าวส่งผลให้การตอบสนองด้านมนุษยธรรมต่อผู้ประสบภัยไซโคลนเป็นอัมพาต และทำให้การแจกจ่ายความช่วยเหลือที่สามารถช่วยชีวิตประชาชนจำนวนมากถูกตัดขาด

 

รามานาธาน บาลากริชนัน (Ramanathan Balakrishnan) ผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่วานนี้ (12 มิถุนายน) ว่า “เป็นเวลา 4 สัปดาห์แล้วในการรับมือภัยพิบัติครั้งนี้ และด้วยฤดูมรสุมที่กำลังดำเนินไป มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ” และชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงสำหรับประชาชนมากกว่า 1 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

“เมื่อชุมชนที่เปราะบางต้องการความช่วยเหลือจากเรามากที่สุด เราก็ถูกบังคับให้หยุดแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และเครื่องอุปโภคบริโภค” เขากล่าวเสริม

 

ไซโคลนโมคาพัดเข้าถล่มชายฝั่งทางภาคตะวันตกของเมียนมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยถือเป็นหนึ่งในพายุที่รุนแรงมากที่สุดที่เมียนมาเคยเผชิญมา

 

ขณะที่รัฐยะไข่ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐที่ยากไร้ที่สุดของประเทศ ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุที่มีความแรงลมมากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งส่งผลทำลายอาคารบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก ทำให้ถนนและระบบการสื่อสารถูกตัดขาด และเกิดน้ำท่วมพื้นที่การเกษตร โดยกระทบประชาชนทั่วทั้งรัฐกว่า 1.6 ล้านคน ซึ่งรวมถึงประชาชนหลายพันคนที่พลัดถิ่นอยู่แล้วจากสถานการณ์ขัดแย้งในพื้นที่และต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมาตั้งแต่ก่อนเผชิญพายุ

 

OCHA ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผู้ประสบภัยในรัฐยะไข่ที่ได้รับที่พักพิงและสิ่งบรรเทาทุกข์อื่นๆ แล้วราวมากกว่า 1.1 แสนคน ขณะที่ประชาชนเกือบ 3 แสนคนได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารแล้ว

 

ด้านสำนักข่าว CNN รายงานว่า กว่า 1 เดือนนับตั้งแต่ที่พายุพัดถล่ม ยังมีประชาชนหลายครอบครัวในรัฐยะไข่ที่ต้องอาศัยอยู่นอกบ้าน และยังคงต้องการเสบียงอาหารและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นๆ

 

ซึ่งที่ผ่านมาการจัดส่งความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่เป็นไปอย่างลำบาก เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่รัฐยะไข่ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด และหน่วยงานช่วยเหลือจำเป็นต้องยื่นขออนุญาตเดินทางล่วงหน้า 1 เดือน

 

ภาพ: Sai Aung Main / AFP

อ้างอิง:

The post รัฐบาลทหารเมียนมาสั่งระงับหน่วยงานช่วยเหลือ ไม่ให้เข้าถึงผู้ประสบภัยไซโคลนโมคานับล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมียนมาและบังกลาเทศ บรรลุข้อตกลงส่งชาวโรฮีนจากลับประเทศ สัปดาห์ละ 1,500 คน คาดส่งคืนทั้งหมดภายใน 2 ปี https://thestandard.co/myanmar-bangladesh-reach-agreement-to-rohingya-muslims-return-in-2-years/ https://thestandard.co/myanmar-bangladesh-reach-agreement-to-rohingya-muslims-return-in-2-years/#respond Wed, 17 Jan 2018 03:49:20 +0000 https://thestandard.co/?p=62808

จากเหตุความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในรัฐยะไข่ (Rakhine) ของเมี […]

The post เมียนมาและบังกลาเทศ บรรลุข้อตกลงส่งชาวโรฮีนจากลับประเทศ สัปดาห์ละ 1,500 คน คาดส่งคืนทั้งหมดภายใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากเหตุความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในรัฐยะไข่ (Rakhine) ของเมียนมาช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ชาวโรฮีนจาที่นับถือศาสนาอิสลามกว่า 655,000 คนต้องอพยพลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ การไหลทะลักของชาวโรฮีนจาทำให้องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างกังวลว่า พวกเขาจะถูกบีบบังคับให้ต้องเดินทางกลับประเทศ ในช่วงที่สถานการณ์ความรุนแรงยังไม่สงบและคลี่คลายลง

 

 

ล่าสุด รัฐบาลเมียนมาและบังกลาเทศได้เริ่มเจรจาเรื่องการส่งผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาเดินทางกลับสู่รัฐยะไข่แล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2017 และบรรลุข้อตกลงเตรียมส่งชาวโรฮีนจากลับประเทศ สัปดาห์ละ 1,500 คน โดยตั้งเป้าส่งคืนทั้งหมดภายใน 2 ปี ซึ่งรัฐบาลทั้งสองประเทศจะหารือกันในรายละเอียดอีกครั้งในสัปดาห์นี้ที่กรุงเนย์ปิดอว์

 

 

ทางด้าน Sufiur Rahman ทูตบังกลาเทศประจำเมียนมาเผยว่า “เราเสนอให้มีการส่งกลับชาวโรฮีนจาสัปดาห์ละ 15,000 คนทุกๆ สัปดาห์ แต่ทางรัฐบาลเมียนมาไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาต้องการเวลาเตรียมการ โดยเห็นด้วยที่จะส่งชาวโรฮีนจากลับวันละ 300 คน หรือราว 1,500 คนต่อสัปดาห์” ซึ่งตัวเลขดังกล่าว อาจทำให้เป้าหมายในการส่งชาวโรฮีนจาทั้งหมดกลับเมียนมาภายในระยะเวลา 2 ปีเป็นไปได้ยาก

 

 

ในขณะที่องค์การด้านสิทธิมนุษยชนหลายองค์กรต่างแสดงความกังวลกับการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทางในครั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่เชื่อว่า ความรุนแรงและการแบ่งเชื้อชาติที่มีต่อชาวโรฮีนจาจะหายไปจากสังคมเมียนมา โดยพวกเขาหวังว่า ผู้อพยพที่ไม่อยากจะเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมจะไม่ถูกบีบบังคับให้ต้องเดินทางกลับประเทศเช่นกัน

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

The post เมียนมาและบังกลาเทศ บรรลุข้อตกลงส่งชาวโรฮีนจากลับประเทศ สัปดาห์ละ 1,500 คน คาดส่งคืนทั้งหมดภายใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/myanmar-bangladesh-reach-agreement-to-rohingya-muslims-return-in-2-years/feed/ 0
โลกแห่งความอลหม่าน มอง 7 ประเด็นใหญ่ที่ต้องจับตาในเวทีโลกปี 2018 กับ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข https://thestandard.co/world-analysis-2018-with-surachart-bamrungsuk/ https://thestandard.co/world-analysis-2018-with-surachart-bamrungsuk/#respond Sat, 30 Dec 2017 03:47:16 +0000 https://thestandard.co/?p=59256

หากเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปี 2017 จะพบว่ามีเหตุโกลาห […]

The post โลกแห่งความอลหม่าน มอง 7 ประเด็นใหญ่ที่ต้องจับตาในเวทีโลกปี 2018 กับ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปี 2017 จะพบว่ามีเหตุโกลาหลวุ่นวายและความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นตลอดทั้งปี นับตั้งแต่การเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะผู้นำประเทศมหาอำนาจแถวหน้าของเวทีโลกอย่างสหรัฐฯ ที่พร้อมจะพัดพากระแสการเมืองโลกให้หันขวามากยิ่งขึ้น ตลอดจนวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้งจากภัยก่อการร้าย ปัญหาผู้อพยพ สงคราม ความรุนแรง ค่านิยมสุดโต่ง หรือแม้แต่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม


สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนกำลังท้าทายและตั้งคำถามกับระเบียบโลกเสรีนิยมชุดเดิม คำถามสำคัญคือท่ามกลางกระแสการเมืองโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่งเช่นนี้ มีประเด็นใดบ้างที่น่าจับตามองที่สุด แล้วเราในฐานะคนไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกจะเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2018 นี้อย่างไร

 


THE STANDARD ตั้งวงสนทนากับ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาคำตอบ…

 

“ช่วงปี 2017-2018 โลกจะมีอาการเดียวกันคือ ‘ความอลหม่าน’ หรืออาจจะเรียกว่าเป็น The Turbulent Year ถ้ามองจากปี 2017 เราจะเห็นแนวโน้มของสถานการณ์หลายอย่างอยู่พอสมควร เพราะฉะนั้นปีหน้าจะเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อใหญ่อีกครั้งหนึ่งของโลก”

 

ศ.ดร.สุรชาติ ชี้ว่า กระแสการเมืองโลกในปี 2018 มี 7 ประเด็นใหญ่ที่ต้องจับตา

เส้นทางสู่อำนาจทางการเมือง มาจากรถหาเสียง ไม่ใช่รถถัง ไม่มีใครเกาะรถถังเข้าสภาอีกแล้ว แต่จินตนาการในบ้านเรา เรายังเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือต้องให้ทหารคุม และคุมให้ได้ทุกอย่าง

 

1. กระแสลมฝ่ายขวายังคงพัดแรงในการเมืองโลก

การเกิดขึ้นของ ‘ประชานิยมปีกขวา’ (Right-wing Populism) ส่วนหนึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากกระแสโลกาภิวัตน์ เพราะกระแสดังกล่าวไปกระทบกับชนชั้นล่างและบรรดาคนงานในสังคมตะวันตก เราจะเริ่มเห็นการย้ายฐานผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงราคาถูก เกิดเหตุก่อการร้าย และการเริ่มไหลทะลักของบรรดาผู้อพยพเข้าไปในยุโรป พร้อมๆ กับกระแสประชานิยมปีกขวาที่ค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นราวปี 2011


ก่อนที่จะเกิดแรงปะทุครั้งใหญ่จากเหตุก่อการร้ายที่กรุงปารีส และวิกฤตผู้อพยพและผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลที่ไหลทะลักเข้าสู่ยุโรปเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา จนทำให้ยุโรปกลายเป็นเหมือน ‘หน้าด่าน’ ที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาชุดใหม่อย่างหนักหน่วงเอาการ ส่งผลให้กลุ่มประชานิยมปีกขวาในยุโรปเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และก่อตัวเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ‘ชุดความคิดชาตินิยมใหม่’ (New Nationalism)


“ปีกขวาที่ว่านี้เป็นประชานิยม และเวลาพูดถึงประชานิยม คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่าต้องเป็นแต่ปีกซ้าย แต่ลืมไปว่าประชานิยมก็มีทั้งซ้ายและขวา ปีกขวายุโรปชุดนี้เริ่มต่อต้านชุดความคิดแบบเสรีนิยม ต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านผู้อพยพ คนมุสลิม รวมถึงความหลากหลายทางเพศ”

 


การลงประชามติของอังกฤษในกรณี Brexit และผลชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2016 เป็นตัวแบบที่เห็นได้ชัดถึงชัยชนะของกลุ่มปีกขวาที่นักวิชาการและสื่อหลายสำนักต่างคาดการณ์ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่กระแสเสรีนิยมกำลังไหลเชี่ยว ความสำเร็จดังกล่าวยิ่งทำให้กลุ่มปีกขวาแข็งแกร่งและขยายตัวเพิ่มมากขึ้น

 


“แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2017 ประชานิยมปีกขวาก็ขับเคลื่อนไม่ได้อย่างเต็มที่ ผู้นำฝ่ายขวาในฝรั่งเศสอย่างมารีน เลอ แปน เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ ที่ผู้นำฝ่ายขวาอย่างกีรต์ ไวล์เดอร์ส ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้เช่นกัน จนถึงการเลือกตั้งในเยอรมนี ที่แม้ว่าพรรคฝ่ายขวาชิดขอบอย่าง AfD (Alternative for Deutsches) จะแพ้การเลือกตั้ง แต่พวกเขาก็ได้รับคะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่พรรคของอังเกลา แมร์เคิล กลับมีคะแนนเสียงลดน้อยลง และดูเหมือนว่ากำลังพบกับอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ไม่น้อย”

 


ความพ่ายแพ้ใน 3 จุดสำคัญก็ไม่ทำให้กระแสลมของฝ่ายขวาหยุดพัดลงได้ ก่อนที่จะส่งท้ายปี 2017 ด้วยชัยชนะของปีกขวาอีกครั้งในออสเตรีย เซบาสเตียน คูร์ซ ตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่หัวเอียงขวา ผู้เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 26 ปี ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำประเทศคนต่อไป โดยจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2018 นี้


จนหลายฝ่ายต่างเปรียบการเมืองโลกในช่วงปีที่ผ่านมาว่ามีลักษณะคล้ายกับลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งไปมา และทำให้การเลือกตั้งทั่วไปของอิตาลีในปี 2018 น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากกลุ่มปีกขวาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอีกก็อาจเดินหน้าผลักดันให้อิตาลีลาออกจากสหภาพยุโรปตามอังกฤษไปอีกประเทศก็เป็นได้


“ในปี 2018 ถ้าโลกโดยเฉพาะยุโรปยังต้องเผชิญหน้ากับเหตุก่อการร้ายและวิกฤตผู้อพยพที่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งกระตุ้นกระแสประชานิยมปีกขวาหรือกระตุ้นความรู้สึกของกลุ่มชาตินิยมใหม่ในยุโรปให้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และยิ่งกระแสชุดนี้เคลื่อนที่ไปปรากฏอีกลักษณะหนึ่งในยุโรปตะวันออกอย่างฮังการีและโปแลนด์ที่ค่อนข้างเผด็จการพอสมควร ก็จะยิ่งทำให้กระแสประชานิยมปีกขวาที่เกิดขึ้นดูรุนแรงมากยิ่งขึ้น


“ในขณะที่กระแสเสรีนิยมเองก็ไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2016 อาจสะท้อนถึงการสิ้นสุดของกระแสเสรีนิยมในเวทีโลก แต่โดยชุดความคิดแล้วเป็นไปไม่ได้ขนาดนั้น เหมือนกับเวลาที่ยุคสังคมนิยมล่มสลายลงหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชุดใหญ่ทั้งในยุโรปและสหภาพโซเวียต เอาเข้าจริงกระแสสังคมนิยมไม่ได้หมดไปเลย เพียงแต่ชุดความคิดเปลี่ยนรูปไปโดยไม่จำเป็นต้องยึดถือตำรามาร์ก หรือยังต้องยืนอิงกับเลนินในโซเวียต แต่เป็นสังคมนิยมที่อาจจะขยายความถึงการทำงานเพื่อสังคมชนชั้นล่าง”

 

 

2. การก่อการร้าย ‘หมาป่าตัวเดียว’ ที่อาจออกล่าเหยื่อในเอเชีย

สงครามในเวทีโลกไม่ใช่เรื่องของรัฐสู้กับรัฐอีกต่อไปแล้ว แต่สงครามกำลังจะเป็นเรื่องของรัฐสู้กับตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ เช่น ขบวนการก่อการร้ายที่ทำให้กลายเป็นสงครามที่ไม่มีขีดจำกัด อีกฝ่ายหนึ่งสามารถรบได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดใดๆ ดังนั้นการเรียกร้องให้ผู้ก่อการร้ายเคารพกติกา คำตอบจึงเป็นไปไม่ได้

 


‘เหตุวินาศกรรม 9/11’ เมื่อปี 2001 คือหมุดหมายสำคัญที่เปิดฉากการก่อการร้ายครั้งใหญ่ของโลก ก่อนที่การปรากฏตัวขึ้นของ ‘กลุ่มรัฐอิสลาม’ หรือ ‘ไอเอส’ ในโลกมุสลิมเมื่อปี 2015 จะกลายเป็นกระแสก่อการร้ายชุดใหญ่ที่เข้าไปปะทะยุโรปและสั่นสะเทือนระเบียบโลก จนกระทั่งเริ่มมีการปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย ภาพที่เราเห็นในปี 2017 คือฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มไอเอสทั้งในอิรักและซีเรียอย่างเมืองโมซุลและรักกาแตกพ่าย และปิดท้ายด้วยชัยชนะของกองกำลังรัฐบาลอิรักและซีเรีย รวมถึงแรงสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรที่ร่วมรบตลอดหลายปีที่ผ่านมา

 


“สิ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มไอเอสตายจริงหรือไม่ ผมตอบได้เลยว่าไม่ตาย แม้ผู้นำของกลุ่มจะตายก็ตาม การพ่ายแพ้ที่โมซุลและรักกาไม่ได้แปลว่ากระแสความคิดและอุดมการณ์จะไม่หายไปภายในระยะเวลาอันสั้น กระแสชุดนี้ไปไกลมากกว่ากระแสของอัลกออิดะห์ในสมัยของโอซามา บิน ลาเดน เนื่องจากกระบวนการทำสื่อของคนในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ และทีมสื่อที่ใช้ผลิตโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มไอเอสก็มีฝีมือ เหมือนกับกลุ่มไอเอสกำลังตั้งสำนักข่าวต่างประเทศเป็นของตัวเอง

 

 

“ชุดความคิดนี้จะไปปรากฏตัวหรือขับเคลื่อนที่ไหน ส่วนหนึ่งอาจเป็นที่ยุโรปที่เดิม และอาจขับเคลื่อนมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2017 เราเห็นเหตุระเบิดในกรุงจาการ์ตา การจับกุมกลุ่มแนวร่วมขบวนการไอเอส และเหตุความรุนแรงในมาราวีที่กำลังส่งสัญญาณว่าการขยายตัวของไอเอสในภูมิภาคนี้อาจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในปี 2018 โดยเฉพาะในพื้นที่ของคนที่นับถือศาสนาอิสลามอย่างในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งโยงไปถึงอีกจุดหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่คาดคิด นั่นคือ ‘กรณีของยะไข่’ ถ้าสถานการณ์ในยะไข่บานปลาย ยะไข่จะเป็นเหมือนตัวจุดชนวนในบริบทของเมียนมาหรือไม่ แต่ถ้ายะไข่เป็นตัวจุดชนวนจริง เราก็จะเห็นปัญหาชัดขึ้น หนึ่งในนั้นคือพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย


“ทุกวันนี้เราเห็นรูปแบบความรุนแรงที่หลากหลาย ทั้งขับรถไล่ชน ใช้มีดไล่แทง กราดยิง และวางระเบิด ที่บ่อยครั้งมักจะปรากฏในรูปแบบที่ผมเรียกว่า ‘หมาป่าตัวเดียว’ (Lone Wolf) ซึ่งพวกเขามักจะลงมือเพียงลำพัง และไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของกลุ่มก่อการร้ายโดยตรง ไม่มีประวัติอาชญากรรม แต่เป็นคนกลุ่มที่รับสารผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต พวกเขาทำงานภายใต้ช่องโหว่ที่จะยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทำงานได้ยากขึ้น เวลาเราเห็นตัวแบบในยุโรป เราต้องคิดเผื่อทันทีว่าหมาป่าตัวเดียวก็อาจออกล่าเหยื่อในเอเชียได้เช่นกัน เพราะตัวแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วโลก


“ดังนั้นกระแสสุดโต่งของโลกอิสลามที่เดินทางมาสู่พื้นที่แถบนี้มากยิ่งขึ้นจะทำให้ปี 2018 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับคนในภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน”

เราจะเห็นสถานการณ์โลกที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในปี 2018 สิ่งนี้ตอบเราว่าโลกกำลังหมุนไป สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ เวลาเราเห็นโลก เราต้องยอมรับที่จะเห็นโลกที่มีความขัดแย้ง ไม่มีโลกที่ไม่มีความขัดแย้ง ในชีวิตจริงโลกไม่ได้สันติตลอดเวลา เพียงแต่ต้องคุมความขัดแย้งไม่ให้ขยายตัวเป็นสงครามใหญ่ อยู่บนโลกด้วยความเข้าใจโลก เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก และอย่ากลัวความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

 

3. อเมริกา-จีน-รัสเซีย ความสัมพันธ์สามเส้าที่เข้มข้นกว่าเดิม

ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันในสมัยรัฐบาลก่อนหน้าก็มีท่าทีปรับตัวดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเองก็เป็นไปในทิศทางบวก ภายหลังจากที่ทรัมป์เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้ว่ากระแสการแย่งชิงมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลกจะยังไม่หายไป ในขณะที่ผู้นำจีนและรัสเซียต่างก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเพื่อใช้ถ่วงดุลอำนาจกับสหรัฐฯ

 


ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า “ในปี 2018 การสู้กันของประเทศมหาอำนาจน่าจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ยิ่งมองผ่านบริบทของทรัมป์ วันนี้สังคมอเมริกันอาจจะกำลังเผชิญวิกฤตด้านตัวผู้นำ (Leadership Crisis) ขึ้นอยู่กับว่าความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และรัสเซียที่ถูกสอบสวนจะจบลงหรือไม่ และจะเป็นไปในทิศทางใด แต่คำตอบที่เห็นได้ชัดจากวิกฤตซีเรียกำลังบอกเราว่า 25 ปีที่รัสเซียไม่ได้หวนกลับมาเกี่ยวข้องกับการเมืองในตะวันออกกลางชี้ให้เห็นว่ารัสเซียกลับมาแล้วและฟื้นตัวในการเมืองโลกอีกครั้ง รวมถึงวันนี้ การพุ่งทะยานขึ้นของจีน (The Rise of China) ในเวทีโลกก็เป็นอีกประเด็นที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ ความพยายามที่จะสร้างจีนเชิงรุกในทั้งมิติการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร จะยิ่งทำให้การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของ 3 มหาอำนาจใหญ่ในปี 2018 เป็นอะไรที่น่าจับตามอง


“โอกาสที่จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจเดี่ยวในเวทีโลกอาจจะยังคงเป็นไปไม่ได้ วันนี้รัสเซียก็ฟื้นตัวและขยับตัวเยอะขึ้น สหรัฐฯ เองก็ยังมีบทบาทและมีอิทธิพลอย่างมากในเกมการเมืองโลก โลกในยุคที่เป็นอินเทอร์เน็ตอย่างทุกวันนี้ทำให้ระเบียบโลกเป็นไปในลักษณะที่กระจายออก (Diffusion of Power) ซึ่งไม่มีรัฐมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งจะคุมอำนาจได้ทั้งหมด เราต้องยอมรับว่าโลกในปัจจุบันยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยรัฐมหาอำนาจใหญ่อย่างสหรัฐฯ รัสเซีย และจีน ในขณะเดียวกันเราก็คงจะตัดยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งบทบาทของตัวแสดงใหม่ๆ อย่างอินเดีย หรือเกาหลีใต้ออกไปไม่ได้เช่นกัน”

 

 

4. วิกฤตขีปนาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีที่ยังคงร้อนระอุ

ปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือที่คาราคาซังอยู่ในขณะนี้จะเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้การเมืองบนคาบสมุทรเกาหลีร้อนแรงยิ่งขึ้นในปี 2018 โดยมีรายงานว่า ตลอดปีที่ผ่านมา กองทัพโสมแดงยิงทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์รวมกันอย่างน้อย 16 ครั้ง ในจำนวนนี้มีขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่ยิงได้ไกลถึงแผ่นดินสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของเกาหลีเหนือ

 


ศ.ดร.สุรชาติ ยอมรับว่า “ในปีที่ผ่านมา เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการผลิตหัวรบนิวเคลียร์แล้วจริงๆ แต่คำถามคือ เป็นไปได้หรือไม่ที่ในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะยอมเห็นเกาหลีเหนือเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มประเทศโลกนิวเคลียร์ (Nuclear Club) ที่แต่เดิมมีประเทศสมาชิกเพียง 5 ประเทศ นั่นคือกลุ่มประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก่อนที่จะเพิ่มอินเดียและปากีสถานเข้ามา ซึ่งในปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงกันว่าเกาหลีเหนือและอิหร่านจะได้ถูกจัดรวมไว้ในกลุ่มนี้ด้วยหรือไม่ ถ้าท้ายที่สุดสหรัฐฯ ไม่ยินยอม คำถามสำคัญคือจะเกิดอะไรขึ้นในปี 2018”


สำหรับคำถามที่ใครหลายคนอาจจะอยากรู้คำตอบว่าสุดท้ายแล้วสงครามนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นหรือไม่ ศ.ดร.สุรชาติ แสดงความคิดเห็นว่า “ผมยังคงหวังว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าคิมจองอึนไม่ใช่คนโง่ หากเราเชื่อว่าสงครามจะเกิดขึ้น ทุกฝ่ายกังวลว่า สหรัฐฯ อาจจะเปิดการชิงโจมตีก่อน (Pre-emptive Strike) และคิมจองอึนก็จำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้ ซึ่งความโหดร้ายจะเกิดขึ้นกับประชากรของเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอาจรวมถึงจีนด้วย และถ้าสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นจริง ความขัดแย้งนี้จะดึง 3 มหาอำนาจใหญ่ที่เราพูดถึงไปเมื่อสักครู่นี้เข้ามาในสงครามด้วยหรือไม่ และอนาคตของสงครามจะจบลงอย่างไร”

 


ด้วยบุคลิกลักษณะของผู้นำทั้งสองประเทศที่คาดเดาได้ยาก รวมถึงการซ้อมรบ การยั่วยุ และสงครามน้ำลายที่เกิดขึ้นบนเวทีโลกจะยิ่งทำให้หนทางที่จะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาเป็นไปอย่างยากลำบากมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมามีประเทศนอกความขัดแย้งที่พยายามจะเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือหลายครั้งหลายคราว

 


“วิกฤตการณ์อาวุธนิวเคลียร์ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันแตกต่างจากยุคสงครามเย็นที่รัฐมหาอำนาจใหญ่ทั้งคู่ต่างมีกลไกของการจัดการร่วมกัน สิ่งที่น่าคิดต่อคือรัฐเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นมหาอำนาจใหญ่จะใช้กลไกอย่างนั้นได้หรือไม่ หรือรัฐมหาอำนาจใหญ่จะยินยอมใช้กลไกนั้นกับรัฐขนาดเล็กได้หรือไม่ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ ‘วิกฤตการณ์คิวบา’ (Cuban Missile Crisis) ซึ่งวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นจบลงด้วยการต่อสายตรงระหว่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กับกรุงมอสโก เพื่อให้ผู้นำได้สื่อสารกันก่อนโดยไม่ต้องหาช่องทางอื่น ซึ่งเราไม่อาจคาดเดาได้ว่าวิกฤตการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีรอบนี้จะจบลงอย่างวิกฤตการณ์ที่คิวบาหรือไม่”

 

 

การจะให้เกาหลีเหนือละทิ้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์แต่โดยดีเป็นไปได้ยาก เนื่องจากอาวุธนิวเคลียร์เป็นเพียงหลักประกันเดียวที่จะช่วยปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของเกาหลีเหนือไว้ได้ อีกทั้งผู้นำเกาหลีเหนือก็ยังเห็นบทเรียนครั้งสำคัญจากกรณีของอดีตผู้นำคนสำคัญของอิรักอย่างซัดดัม ฮุสเซน และมูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำเผด็จการของลิเบีย ที่ยอมล้มเลิกโครงการดังกล่าวและยินยอมให้สหรัฐฯ เข้าไปจัดระเบียบ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพบกับจุดจบของชีวิตด้วยน้ำมือของตะวันตก ซึ่งผู้นำเกาหลีเหนืออย่างคิมจองอึนคงจะไม่มีวันปล่อยให้ตนเองและประเทศเดินไปถึงจุดนั้นโดยเด็ดขาด

 

 

5. วิกฤตผู้อพยพในยุโรป สายธารมนุษย์ที่ยังไม่หยุดหลั่งไหล

กระแสผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่เริ่มไหลทะลักเข้าไปในยุโรปนับตั้งแต่ปี 2015 แม้เวลาผ่านไปกว่า 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงมีผู้คนจำนวนมากพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังยุโรป โดยหวังว่าจะมีที่หลบภัยและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่เคย ปี 2017 เราจะเห็นโจทย์คู่ขนานเรื่องวิกฤตผู้อพยพในยุโรปที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมจากทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้

 

 

ในขณะเดียวกัน วิกฤตนี้ก็เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน ปัญหาชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ของเมียนมาถูกยกระดับให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ประชาคมโลกเฝ้าจับตามอง ในปัจจุบันมีชาวโรฮีนจากว่า 620,000 คนที่เดินทางอพยพไปยังบังกลาเทศนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังถูกกองทัพเมียนมาปราบปรามอย่างรุนแรงจนสหประชาชาติกล่าวว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮีนจาไม่ต่างอะไรกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ซึ่งวิกฤตเหล่านี้จะรุนแรงขึ้น หากปะทะกับกระแสปีกขวาที่ต่อต้านมุสลิม (Anti-Muslim Movement) หรือกระแสต่อต้านกลุ่มผู้อพยพ (Anti-Immigration Movement) ที่เคลื่อนตัวอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก


ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า “วิกฤตผู้อพยพในยุโรปยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง เนื่องจากปัญหาความยากลำบาก สงครามกลางเมือง และความแห้งแล้ง ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าสงครามกับกลุ่มก่อการร้ายในบางพื้นที่จะจบลงก็ตาม ในขณะที่วิกฤตโรฮีนจาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีความพยายามที่จะทำให้สภาพปัญหาเบาบางลง ซึ่งปัญหานี้ในที่สุดจะต้องไม่ถูกแปลงให้เป็นเงื่อนไขของการก่อการร้ายในหลายจุดสำคัญของเอเชียอย่างซินเจียง ยะไข่ สามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย รวมถึงภาคใต้ของฟิลิปปินส์ที่ยังคงเป็นจุดที่มีความเปราะบาง”

 

 

6. การแข่งขันสร้างรัฐให้ทันสมัย เกมการเมืองครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง

ปี 2018 จะเป็นปีของความผันผวนครั้งใหญ่ และอาจจะใหญ่กว่าที่เราคาดคิด เพราะปีที่ผ่านมาบทบาทใหม่ของซาอุดีอาระเบียและการขึ้นสู่อำนาจของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารพระองค์ใหม่ที่เร่งเดินหน้าปฏิรูปประเทศตามวิสัยทัศน์ 2030 ที่ได้วางเอาไว้ รวมถึงความพยายามที่จะสร้างให้ซาอุดีอาระเบียเป็นเสมือนผู้นำของโลกมุสลิมทั้งหมด โดยเฉพาะในมิติทางการเมือง จะส่งผลให้แรงปะทะระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น


“ความขัดแย้งภายในภูมิภาคที่ผูกโยงอยู่กับปัญหาสงครามในหลายพื้นที่ที่ทั้งซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเข้าไปเกี่ยวข้องหรือหนุนหลังจะทำให้ภาพรวมของปี 2018 เป็นปีแห่งความผันผวนของโลกในตะวันออกกลางที่ทับซ้อนด้วยเงื่อนไขของการก่อการร้าย และถูกทับซ้อนอีกชั้นหนึ่งด้วยการแข่งขันของบรรดาชาติมหาอำนาจที่จะเข้าไปเล่นเกมการเมืองในภูมิภาคนี้”


สภาพสังคมซาอุดีอาระเบียที่เคร่งครัดในหลักศาสนากำลังจะค่อยๆ เปลี่ยนโฉมไป ผู้หญิงเริ่มมีสิทธิและบทบาทเพิ่มมากขึ้น มีการอนุญาตให้ผู้หญิงมีใบขับขี่ สามารถเข้าชมการแข่งขันกีฬาได้ รัฐบาลยินยอมให้มีการจัดแสดงคอนเสิร์ตเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษในช่วงการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการของผู้นำสหรัฐฯ หรือแม้แต่การยินยอมให้ธุรกิจเกี่ยวกับโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดฉายภายในซาอุดีอาระเบียได้อีกครั้ง


สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนสะท้อนความพยายามให้การสร้างรัฐให้ทันสมัยและโน้มเอียงหาทางโลกมากยิ่งขึ้น ด้านหนึ่งอาจจะก่อให้เกิดแรงปะทะกับกลุ่มนักการศาสนาภายในประเทศ อีกด้านหนึ่ง ซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านก็พยายามสร้างฝ่ายการเมืองของตัวเอง โดยดึงบรรดาประเทศมุสลิมและอาหรับในตะวันออกกลางเข้ามาในหมากกระดานนี้

 

 

7. กาตาลุญญา เสียงเรียกร้องเอกราชที่เดิมพันด้วยความฝันอันสูงสุด

ผลประชามติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ผลักดันไปสู่การประกาศเอกราชแต่เพียงฝ่ายเดียวของสภาแคว้นกาตาลุญญา และบีบบังคับให้รัฐบาลกลางที่กรุงมาดริดประกาศใช้อำนาจตามมาตรา 155 ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยประกาศยุบสภากาตาลุญญา ปลดบรรดาผู้นำและคณะรัฐบาลท้องถิ่น พร้อมประกาศจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา แม้พรรค Pro Unity อย่าง Ciudadanos จะได้รับเสียงโหวตมากที่สุด แต่ก็อาจเผชิญกับความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก เนื่องจากกลุ่มพรรคฝ่ายขวาที่ Pro-Independence สนับสนุนให้กาตาลุญญาแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปนกวาดที่นั่งในสภาไปเกินกว่ากึ่งหนึ่ง (70 จากทั้งหมด 135 ที่นั่ง) วิกฤตการเมืองสเปน-กาตาลุญญาอาจจะเดินไปสู่จุดต่ำสุดอีกครั้งในปีนี้ นับตั้งแต่ระบอบเผด็จการฟรังโกสิ้นสุดลงเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา

 

 

“โจทย์ของกาตาลุญญาเป็นโจทย์ที่น่าสนใจในโลกสมัยใหม่ หลายคนคิดว่าแทบจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องรัฐแล้ว รัฐน่าจะตายไปแล้ว แต่ถ้าเราดูประชานิยมปีกขวาในโลกตะวันตกให้ดี ผู้นำอย่างทรัมป์ หรือมารีน เลอ แปน ยังคงพูดเน้นถึงรัฐและชูประเด็นนี้ไม่น้อย แต่ในกรณีกาตาลุญญาเป็นปัญหารัฐที่ต้องการแยกตัวออกมาเป็นรัฐเอกราชภายใต้เงื่อนไขอัตลักษณ์เฉพาะของตน การเข้าใกล้ความสำเร็จของกาตาลุญญากำลังจะเป็นแรงกระตุ้นคนทั่วโลกที่ฝันอยากจะมีรัฐที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ถ้าท้ายที่สุดกาตาลุญญากลายเป็นรัฐเกิดใหม่ได้สำเร็จ คำถามคือสหภาพยุโรปจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงปัญหาภายในสเปนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่ต้องการแยกตัวเป็นรัฐเอกราชทั่วโลก จะเกิดการแตกตัวเป็นรัฐใหม่ในอีกหลายพื้นที่ตามมา โดยเฉพาะในยุโรปที่ถือว่ามีความหลากหลายทางอัตลักษณ์เฉพาะสูงมาก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เราจะเห็นตัวแบบก่อนหน้านี้คือ ชัยชนะของประชามติในติมอร์ตะวันออก


“วิกฤตของยุโรปปี 2018 จะเป็นวิกฤตของสหภาพยุโรป ภูมิภาคนี้กำลังถูกซ้อนทับด้วยกระแสชาตินิยม 2 ชุดคือ กระแสชาตินิยมชุดเก่าที่สนับสนุนการแยกตัวเป็นรัฐเอกราช และกระแสชาตินิยมชุดใหม่ หรือกระแสชาตินิยมปีกขวานั่นเอง ซึ่งในอนาคต กระแสปีกขวาในยุโรปจะแพร่มายังเอเชียหรือไม่ ถ้าสมมติโรดริโก ดูเตร์เต คือตัวแบบของประชานิยมปีกขวาในเอเชีย แต่สังคมไทยยังอยู่ในบริบทของขวาแบบเก่า ปีกขวาไทยจะปรับตัวเข้ากับกระแสขวาในเวทีโลกหรือไม่ หรือขวาไทยจะยังคงเป็นขวาที่ล้าหลังบนเวทีโลกต่อไป”

 

 

เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและอยู่ร่วมกันท่ามกลางความขัดแย้งได้อย่างไร

ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า “สิ่งที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ คนไทยมักจะมีจินตนาการชุดหนึ่งว่าการเมืองต้องนิ่ง ซึ่งในความเป็นจริง ในทางรัฐศาสตร์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองนิ่ง เพราะการเมืองโดยระบบมันไม่นิ่ง แต่การไม่นิ่งคือโอกาสที่ก่อให้เกิดการต่อสู้ทางการเมืองแบบเปิดเผย แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณพยายามจะคุมการเมืองโดยหวังว่าการเมืองจะนิ่ง นั่นแปลว่ามีการเมืองฝ่ายหนึ่งถูกกด และถ้ากดหนักที่สุด ถ้าเป็นในโลกสมัยเก่า การเมืองชุดนั้นจะลงใต้ดิน แล้วมันจะกลายเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้น


“ประชานิยมปีกขวาวันนี้ ต่อให้ขวายังไงก็รู้อย่างหนึ่งว่าเส้นทางสู่อำนาจทางการเมือง มาจากรถหาเสียง ไม่ใช่รถถัง ไม่มีใครเกาะรถถังเข้าสภาอีกแล้ว แต่จินตนาการในบ้านเรา เรายังเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือต้องให้ทหารคุม และคุมให้ได้ทุกอย่าง แต่ในโลกสมัยใหม่ที่เป็นดิจิทัล เป็นโลกที่กระจายออก (Diffusion) การควบคุมทางสังคมทำได้ยากขึ้น อีกทั้งสังคมตะวันตกยอมให้มีความขัดแย้ง ในขณะที่เสถียรภาพของเราคือ ต้องไม่ขัดแย้ง หากเรายังมีความคิดชุดเดิม เราจะอยู่ในโลกสมัยใหม่ด้วยความกลัว จะถวิลหาโลกเก่าที่ไม่เป็นจริง สุดท้ายความกลัวชุดนี้จะกลายเป็นความกลัวทางการเมือง ทำให้การเมืองไทยในระบบเปิดเดินต่อไปไม่ได้”

 


ศ.ดร.สุรชาติ กล่าวทิ้งท้ายกับ THE STANDARD ว่า “เราจะเห็นสถานการณ์โลกที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในปี 2018 สิ่งนี้ตอบเราว่าโลกกำลังหมุนไป สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ เวลาเราเห็นโลก เราต้องยอมรับที่จะเห็นโลกที่มีความขัดแย้ง ไม่มีโลกที่ไม่มีความขัดแย้ง ในชีวิตจริงโลกไม่ได้สันติตลอดเวลา เพียงแต่ต้องคุมความขัดแย้งไม่ให้ขยายตัวเป็นสงครามใหญ่ อยู่บนโลกด้วยความเข้าใจโลก เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก และอย่ากลัวความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

 

 

Photo: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม, AFP

The post โลกแห่งความอลหม่าน มอง 7 ประเด็นใหญ่ที่ต้องจับตาในเวทีโลกปี 2018 กับ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/world-analysis-2018-with-surachart-bamrungsuk/feed/ 0
ภาพข่าวแห่งปี 2017 คัดสรรโดยช่างภาพข่าว THE STANDARD https://thestandard.co/the-standard-photo-of-the-year-2017/ https://thestandard.co/the-standard-photo-of-the-year-2017/#respond Fri, 29 Dec 2017 04:13:12 +0000 https://thestandard.co/?p=58902

เกิดอะไรขึ้นบ้างในปี 2017? ถ้าให้นึกย้อนกลับไป หลายคนคง […]

The post ภาพข่าวแห่งปี 2017 คัดสรรโดยช่างภาพข่าว THE STANDARD appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้นบ้างในปี 2017?


ถ้าให้นึกย้อนกลับไป หลายคนคงนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นในรูปแบบของ ‘ภาพถ่าย’


เพราะคนเราจดจำสิ่งต่างๆ เป็นภาพมากกว่าตัวหนังสือ ขณะเดียวกัน ภาพหนึ่งภาพก็บรรจุเรื่องราวมากมาย เหมือนที่คนพูดว่า ‘ภาพหนึ่งภาพ แทนคำล้านคำ’


ช่างภาพข่าว THE STANDARD ได้คัดสรรภาพข่าวในปี 2017 โดยคัดเลือกจากภาพจำนวนมหาศาลที่บันทึกโดยช่างภาพข่าวทั่วโลกในเว็บไซต์ AFPforum.com และภาพถ่ายที่พวกเขาบันทึกตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับ THE STANDARD


หวังว่าภาพเหล่านี้จะช่วยให้เราจดจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในปี 2017?


เพื่อนำอดีตมาทบทวนเป็นบทเรียนในการก้าวต่อไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง

    
และไม่ซ้ำรอยกับความผิดพลาดเดิมๆ

 

– มกราคม –

 

 

HOLLYWEED กัญชาจงเจริญ!

1 มกราคม 2017

ภาพ: Gene Blevins / AFP

ชาวเมืองลอสแอนเจลิสตื่นขึ้นมาในเช้าวันปีใหม่ด้วยความประหลาดใจ เมื่อป้าย ‘HOLLYWOOD’ อันโด่งดังที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ถูกมือดีใช้ผ้าใบเปลี่ยนตัว ‘O’ เป็นตัว ‘E’ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า ชายชุดดำคนหนึ่งปีนขึ้นไปเปลี่ยนตัวอักษรในเวลาประมาณตีสามก่อนรุ่งเช้าของปีใหม่ โดยคำว่า ‘WEED’ เป็นสแลงหมายถึง ‘กัญชา’ คาดว่าการก่อเหตุน่าจะเป็นไปเพื่อเฉลิมฉลองการลงคะแนนเสียงให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายในแคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016

 

 

The Winner ฉลองชัยก่อนเข้าพิธีสาบานตน

19 มกราคม 2017

ภาพ: Mandel Ngan / AFP

โดนัลด์ ทรัมป์ และภรรยา เมลาเนีย ทรัมป์ เดินทางมาถึงคอนเสิร์ตฉลองพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างผู้มีชัยชนะ ณ อนุสาวรีย์ลินคอล์น กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

 

 

Women’s March ต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์

21 มกราคม 2017

ภาพ: Joshua Lott / AFP

กลุ่มผู้ประท้วงหลายแสนคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงทั้งวัยสาวและวัยกลางคน ร่วมชุมนุมและเดินขบวน Women’s March เต็มพื้นที่ถนนเพนซิลเวเนีย รอบทำเนียบขาว เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ที่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศและดูถูกผู้หญิง

 

– กุมภาพันธ์ –

 

 

ฝุ่นควันที่ปะทุจากความขัดแย้ง

6 กุมภาพันธ์ 2017

ภาพ: Mohammed Abed / AFP

ชาวปาเลสไตน์วิ่งหนีออกจากพื้นที่ หลังอิสราเอลโจมตีทางอากาศที่มั่นกลุ่มติดอาวุธฮามาส ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา โดยกองทัพอิสราเอลระบุว่าเป็นการโจมตีเพื่อตอบโต้ปาเลสไตน์ที่ยิงโจมตีชายแดนอิสราเอล

 

 

เซลฟีกับโป๊ป

19 กุมภาพันธ์ 2017

ภาพ: Tiziana Fabi / AFP

เด็กชายเซลฟีกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระสันตะปาปาองค์ที่ 266 ณ โบสถ์เซนต์ มาเรีย โจเซฟา ใน Castelverde เขตชานเมืองของกรุงโรม โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2014 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก็ทรงร่วมเซลฟีกับวัยรุ่นชาวเอเชียในงานชุมนุมเหล่ายุวชนเอเชียที่เกาหลีใต้ ในครั้งนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่ายุวชนว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมทำให้คนพากันละทิ้งเรื่องทางจิตวิญญาณกันมากขึ้น

 

 

หนีมฤตยูจากฟากฟ้า

25 กุมภาพันธ์ 2017

ภาพ: Sameer Al-Doumy / AFP

ชายชาวซีเรียกำลังอพยพเด็กๆ จากซากปรักหักพังของอาคารที่ถูกทำลาย หลังรัฐบาลมีรายงานการโจมตีทางอากาศที่ตั้งของกลุ่มกบฏในเมืองโดมา ทางตะวันออกของกรุงดามัสกัส กลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรียระบุว่า การโจมตีในเมืองโดมาเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน

 

 

ทรัมป์กับผู้นำผิวสี

27 กุมภาพันธ์ 2017

ภาพ: Brendan Smialowski / AFP

เคลลีแอนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี ตรวจสอบโทรศัพท์ของเธอหลังถ่ายรูปหมู่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับอดีตผู้นำของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยผิวสีในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ซึ่งเป็นห้องทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ณ ทำเนียบขาว

 

– มีนาคม –

 

 

ฝูงกวางขณะรอรับเสด็จประมุขแห่งซาอุดีอาระเบีย

1 มีนาคม 2017

ภาพ: Adek Berry / AFP

ฝูงกวางเดินผ่านหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศอินโดนีเชีย ณ พระราชวังของประธานาธิบดีในเมืองโบกอร์ ขณะรอรับเสด็จกษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอะซิซ แห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการเสด็จฯ มายังประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลกครั้งแรกในรอบ 47 ปี

 

 

ระหว่างหลบหนีไฟสงครามในโมซุล

8 มีนาคม 2017

ภาพ: Aris Messinis / AFP

หญิงชาวอิรัก หนึ่งในพลเมืองที่หลบหนีไฟสงครามจากเมืองโมซุล นอนราบอยู่บนพื้นอย่างหมดอาลัย ขณะที่กองทัพอิรักเดินทัพเข้าเมืองโมซุลเพื่อต่อสู้และยึดเมืองคืนจากการยึดครองของกลุ่มไอเอส

 

 

สาดกระสุน

19 มีนาคม 2017

ภาพ: Amer Almohibany / AFP

นักสู้กลุ่ม Failaq al-Rahman ยิงปืนกลหนักในพื้นที่เขตโจบาร์ ที่กลายเป็นสนามรบระหว่างกลุ่มกบฏและรัฐบาลมานานกว่า 2 ปี และเป็นพื้นที่ 1 ใน 3 ของกรุงดามัสกัสที่กลุ่มกบฏยึดครอง

 

 

ความหวังที่ค่อยๆ จมลงทะล

20 มีนาคม 2017

ภาพ: Abdullah Elgamoudi / AFP

กลุ่มผู้อพยพรอคอยความช่วยเหลือ ขณะที่เรือซึ่งอยู่ในชายฝั่งทะเลเมืองซาวิยาห์กำลังค่อยๆ จมน้ำ โดยผู้อพยพกลุ่มนี้พยายามข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังยุโรปเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

 

– เมษายน –

 

 

แรดโจมตี!

4 เมษายน 2017

ภาพ: Prakash Mathema / AFP

แรดที่เพิ่งถูกย้ายมาอยู่อุทยานแห่งชาติ Shuklaphanta วิ่งเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ทีมป่าไม้เนปาลทันทีหลังจากได้รับการปล่อยตัว โดยก่อนหน้านี้หนึ่งวัน นักอนุรักษ์ได้จับแรดหายากตัวหนึ่งในเนปาลมาปล่อยในป่าแห่งนี้ เพื่อหวังเพิ่มจำนวนประชากรแรด ซึ่งเป็นที่หมายตาของบรรดานักลักลอบล่าสัตว์ป่า

 

 

ครบรอบ 105 ปี วันคล้ายวันเกิด คิมอิลซุง

15 เมษายน 2017

ภาพ: Ed Jones / AFP

ทหารกองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) กำลังเฝ้าดูพิธีสวนสนามในวาระครบรอบ 105 ปี วันคล้ายวันเกิด คิมอิลซุง ผู้นำผู้ล่วงลับ ณ กรุงเปียงยาง

 

 

ใต้บ่อน้ำพุกรุงปารีส

26 เมษายน 2017

ภาพ: Oliver Morin / AFP

ภาพถ่ายใต้น้ำในบ่อน้ำพุโทรคาเดโร กลางกรุงปารีส ขณะที่นักโต้คลื่นกำลังดำน้ำท่า duck-diving โดยมีเบื้องหลังเป็นยอดหอไอเฟล

 

– พฤษภาคม –

 

 

ไฟความไม่สงบ

3 พฤษภาคม 2017

ภาพ: Juan Barreto / AFP

ผู้ประท้วงถูกไฟคลอก หลังถังน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจระเบิดระหว่างการปะทะกันในการประท้วงต่อต้าน นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ในกรุงการากัส หลังกลุ่มต่อต้านไม่พอใจการจัดเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ เพราะมองว่าเป็นการพยายามรวบอำนาจของประธานาธิบดีมาดูโร

 

 

ซากปรักหักพัง

29 พฤษภาคม 2017

ภาพ: Johannes Eisele / AFP

ชายคนหนึ่งในรถขุดกำลังขุดซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่พังยับเยินบริเวณ Larung Gar Buddhist Institute ในเขตเซอต๋า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของภิกษุ แม่ชี และชาวจีนเชื้อสายฮั่นที่นับถือพุทธ รวมถึงสถาบันการศึกษาพุทธศาสนาแบบทิเบตที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลก แต่รัฐบาลจีนได้ออกคำสั่งให้ขับไล่มวลชนเหล่านี้กลับไปยังถิ่นกำเนิดของตน พร้อมกับเตือนว่าบริเวณนี้มีความแออัดหนาแน่น

 

– มิถุนายน –

 

 

มายุ…ที่รัก

13 มิถุนายน 2017

ภาพ: Johannes Eisele / AFP

มาซายูกิ โอซากิ นักกายภาพบำบัดชาวญี่ปุ่น อายุ 45 ปี กำลังอาบน้ำ ‘มายุ’ ตุ๊กตายางของเขาในโรงแรมม่านรูด เขตยาชิมาตะ จังหวัดชิบะ โอซากิปฏิบัติต่อตุ๊กตายางตัวนี้ราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว นอนเตียงเดียวกัน ใช้ชีิวิตร่วมกัน

 

โอซากิตัดพ้อว่า “ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่มีหัวใจ ไร้ความรู้สึก ผมเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่กลับบ้านมาหลังจากเลิกงานก็อยากจะมีใครสักคนที่คอยรับฟังตัวผม

 

“มายุอยู่กับผมตลอดเวลา ไม่เคยทิ้งผมไปไหนเลย ทั้งเวลาที่มีความสุขและช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมพร้อมจะตายและขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับมายุ”

 

 

เพลิงมรณะ

14 มิถุนายน 2017

ภาพ: Daniel Leal-Olivas / AFP

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายยืนรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ใกล้ตึก Grenfell Tower อพาร์ตเมนต์ 27 ชั้นทางตะวันตกของลอนดอนที่เพลิงลุกไหม้ หลังจากเกิดเหตุเมื่อเวลา 01.15 น. ของอังกฤษ นักดับเพลิงมากกว่า 200 คน พร้อมรถดับเพลิง 40 คัน รถพยาบาลมากกว่า 20 คัน ถูกส่งไปในพื้นที่เพื่อดับไฟและรองรับผู้บาดเจ็บที่คาดว่าจะมีจำนวนมาก

 

ตำรวจระบุว่าประชาชนหลายคนได้รับบาดเจ็บและมีอาการสำลักควันไฟ ผู้เห็นเหตุการณ์เปิดเผยว่าได้ยินเสียงคนกรีดร้องขอความช่วยเหลือ และผู้หญิงที่อุ้มลูกเพื่อพยายามจะออกมาจากหน้าต่าง

 

 

รอมฎอนในซีเรีย

18 มิถุนายน 2017

ภาพ: Hamza Al-Ajweh / AFP

โต๊ะอาหารหลายร้อยชุดถูกตระเตรียมขึ้นตลอดแนวถนนในดูมาน เมืองเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของซีเรียที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มกบฏ กองกำลังติดอาวุธ และภัยสงคราม เพื่อฉลองวันสิ้นสุดเทศกาลถือศีลอดหลังพระอาทิตย์ตกดินในเดือนรอมฎอน งานฉลองวันนี้ต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ ที่ปกติจะจัดขึ้นในมัสยิดหรือในถ้ำเพื่อหลบเลี่ยงอันตรายจากแรงระเบิด “พวกเราจัดงานนี้ขึ้นเพื่อให้ทุกคนรู้สึกถึงความสงบในพื้นที่นี้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่”

 

 

พาผู้อพยพผิดกฎหมายกลับบ้าน

27 มิถุนายน 2017

ภาพ: Taha Jawashi / AFP

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชายฝั่งประเทศลิเบีย ยืนอยู่บนเรือระหว่างช่วยเหลือผู้อพยพผิดกฎหมาย 147 คนที่พยายามลักลอบเข้ายุโรปจากชายฝั่งเมืองซาวิยาห์ ทางตะวันตกของตริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย โดยมีผู้อพยพกว่า 8,000 คนได้รับการช่วยเหลือในน่านน้ำนอกชายฝั่ง เนื่องจากเหตุสภาพอากาศแปรปรวน

 

– กรกฎาคม –

 

 

มิตรหรือศัตรู?

7 กรกฎาคม 2017

ภาพ: Saul Loeb / AFP

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย จับมือกันระหว่างการหารือทวิภาคี ซึ่งจัดคู่ขนานกับการประชุม G20 ที่เมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี

 

– สิงหาคม –

 

 

จบไม่สวย

12 สิงหาคม 2017

ภาพ: Daniel Leal-Olivas / AFP

ยูเซน โบลต์ ยอดนักวิ่งชาวจาเมกาที่มีอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ล้มคว่ำกลางลู่ระหว่างแข่งวิ่งผลัด 4 x 100 เมตรชาย รอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลก 2017 ณ ลอนดอน สเตเดียม โดยการแข่งขันรายการนี้เป็นรายการสุดท้ายก่อนที่โบลต์จะอำลาลู่วิ่งและอาชีพนักกรีฑา

 

 

Great American Eclipse

21 สิงหาคม 2017

ภาพ: Rob Kerr / AFP

คนอเมริกันและนักท่องเที่ยวนับสิบล้านคนใน 14 รัฐของสหรัฐอเมริกา เฝ้าชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในรอบ 38 ปี สื่อและคนอเมริกันตั้งชื่อปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Great American Eclipse’ หลายคนสวมแว่นตาสุริยะเพื่อจะได้สบตากับดวงอาทิตย์ก่อนดวงจันทร์จะเข้าบดบัง “โอ้ พระเจ้า มันอะเมซิงมากๆ” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนเสียงดังที่โบสถ์ในไอดาโฮ ส่วนภาพนี้ถ่ายที่รัฐโอเรกอน

 

– กันยายน –

 

 

รวมพลังค้นหาผู้รอดชีวิต

19 กันยายน 2017

ภาพ: Yuri Cortez / AFP

เจ้าหน้าที่กู้ภัย นักผจญเพลิง ตำรวจ ทหาร และอาสาสมัคร ช่วยกันรื้อซากอาคารถล่มเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ โดยทางการแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้

 

 

สาส์นจากท่านผู้นำ

22 กันยายน 2017

ภาพ: Ed Jones / AFP

ชาวเกาหลีเหนือฟังคำแถลงการณ์ของ คิมจองอึน ที่หน้าจอโทรทัศน์สาธารณะด้านนอกสถานีรถไฟกลางกรุงเปียงยาง โดยท่านผู้นำกล่าวถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ในถ้อยแถลงการณ์ว่าเป็นคน ‘วิกลจริต’ และจะต้อง ‘ชดใช้อย่างสาสม’ ในการคว่ำบาตรและคุกคามเกาหลีเหนือ

 

 

หัตถ์แห่งความกรุณา

30 กันยายน 2017

ภาพ: Fred Dufour / AFP

ชายชาวบังกลาเทศอุ้มผู้ลี้ภัยโรฮีนจาจากเรือขึ้นฝั่งบริเวณแม่น้ำนาฟ หลังล่องเรือจากชายแดนพม่าข้ามแม่น้ำมาที่เมืองเต็กนาฟ เพื่อหลบหนีการปราบปรามอันรุนแรงของกองทัพรัฐบาลพม่าในรัฐยะไข่ ผู้ลี้ภัยบอกว่ามีการสังหาร ข่มขืน หรือแม้แต่การสังหารหมู่ โดยสหประชาชาติเรียกปฏิบัติการของรัฐบาลพม่าว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

 

– ตุลาคม –

 

 

พระเมรุมาศจากยอดสะพานพระราม 8

10 ตุลาคม 2017

ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD

ภาพพระเมรุมาศและสิ่งปลูกสร้างในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ถ่ายจากยอดสะพานพระราม 8 บนความสูง 165 เมตร หรือเท่ากับตึก 60 ชั้น ช่างภาพผู้บันทึกภาพเล่าว่า วันนั้นลมพัดแรง ขาตั้งกล้องและกล้องในมือถูกลมกระโชกสั่นไหว แต่ภาพการก่อสร้างพระเมรุมาศตรงหน้าที่คืบหน้าไปแล้ว 99% งดงามราวกับสวรรค์ เขาจึงพยายามบันทึกภาพนี้ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่คือภาพประวัติศาสตร์ของคนไทยทุกคน

 

 

น้ำท่วมกรุง

14 ตุลาคม 2017

ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD

สภาพของถนนอโศก-ดินแดง มุ่งหน้าพระราม 9 เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. มีท่วมสูงหลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา (13 ต.ค.) พื้นที่กรุงเทพมหานครมีฝนตกหนัก ทำให้มีน้ำท่วมหลายพื้นที่

 

 

พสกนิกรถวายความอาลัย

26 ตุลาคม 2017

ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ยาตราริ้วขบวนพระมหาพิชัยราชรถ อัญเชิญพระบรมโกศ รัชกาลที่ 9 สู่พระเมรุมาศ โดยพสกนิกรที่มารอถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตลอดสองข้างทางรอบพระบรมมหาราชวังต่างก้มกราบลงแนบกับพื้น ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ทางการรายงานสรุปจำนวนประชาชนที่เดินทางมาร่วมพระราชพิธีในวันนั้นว่ามีมากถึง 227,297 คน

 

 

F**k You, Mr.President

28 ตุลาคม 2017

ภาพ: Brendan Smialowski / AFP

ผู้หญิงคนหนึ่งชูนิ้วกลางขณะปั่นจักรยานผ่านขบวนรถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างที่กำลังแล่นออกจากสนามกอล์ฟ Trump National Golf Course ในรัฐเวอร์จิเนีย

 

 

เคนยาระอุ!

30 ตุลาคม 2017

ภาพ: Yasuyoshi Chiba / AFP

ผู้สนับสนุน ไรลา โอดิงกา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคฝ่ายค้านในเคนยาก่อเหตุจลาจล หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้ง โดยก่อนหน้านี้โอดิงกาออกมายืนยันว่าไม่สนับสนุนการเลือกตั้งที่จัดขึ้น เนื่องจากไม่มีความโปร่งใส ไม่น่าเชื่อถือ และดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งเขาและพรรคได้ตัดสินใจ ‘บอยคอต’ การเลือกตั้งครั้งนี้

 

– พฤศจิกายน –

 

 

การประท้วงในสเปน

11 พฤศจิกายน 2017

ภาพ: Josep Lago / AFP

ประชาชนถือธงประจำแคว้นกาตาลุญญาระหว่างการประท้วงในบาร์เซโลนา เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้นำที่สนับสนุนการประกาศเอกราชของแคว้นกาตาลุญญาที่ถูกคุมขัง หลังจากรัฐสภาแคว้นกาตาลุญญาลงมติเห็นชอบกับการประกาศเอกราชของดินแดนให้พ้นจากการเป็นส่วนหนึ่งของสเปน พร้อมประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐ

 

 

ฉลองหลังยึดอำนาจจากเผด็จการ

21 พฤศจิกายน 2017

ภาพ: Marco Longari / AFP

ทหารซิมบับเวในรถถังทักทายกับประชาชนระหว่างการเฉลิมฉลองหลังการลาออกของประธานาธิบดีมูกาเบที่ยึดอำนาจปกครองประเทศภายใต้ระบอบ ‘เผด็จการมูกาเบ’ กว่า 37 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้มูกาเบเพิ่งสั่งปลด เอ็มเมอร์สัน มนันกักวา นักการเมืองผู้มีสายสัมพันธ์อันดีกับกองทัพ และถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญของภรรยา เกรซ มูกาเบ ให้พ้นจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี เพราะต้องการให้เกรซเป็นผู้สืบทอดอำนาจทางการเมืองหลังลงจากอำนาจ

 

– ธันวาคม –

 

 

เพราะแดดแยงตา…

4 ธันวาคม 2017

ภาพ: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม / THE STANDARD

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยกมือป้องแดดขณะถ่ายภาพหมู่ ‘ครม. ประยุทธ์ 5’ เผยให้เห็นแหวนเพชรและนาฬิกาหรูแบรนด์ Richard Mille ราคาราว 3.8 ล้านบาท ที่สวมบนข้อมือขวา จนบานปลายกลายเป็นประเด็นใหญ่ให้สงสัยว่าทรัพย์สินเหล่านี้มาจากไหน เพราะในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่แจ้งกับ ป.ป.ช. ไม่พบเครื่องประดับทั้งสองรายการ ก่อนที่ต่อมาโลกออนไลน์จะขุดภาพเก่าของ ‘บิ๊กป้อม’ แล้วพบว่านาฬิกาหรูไม่ได้มีแค่เรือนเดียว

 

 

ผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์เขวี้ยงก้อนหิน

12 ธันวาคม 2017

ภาพ: Jaafar Ashtiyeh / AFP

ผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ขว้างก้อนหินโดยใช้แรงเหวี่ยงของเชือกไปที่ทหารอิสราเอลระหว่างการปะทะกันในเมือง Tulkarm ซึ่งการประท้วงปะทุขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจรับรองเมืองเยรูซาเลมเป็นนครหลวงของอิสราเอล

 

 

ใบหน้าก่อนออกวิ่งเซตสุดท้าย

25 ธันวาคม 2017

ภาพ: ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม / THE STANDARD

หน้าตาอิดโรย แต่แววตามีประกายแห่งความหวังของ อาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม ก่อนออกวิ่งเซตสุดท้ายในโครงการ ‘ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ’ โดยเป็นการวิ่งจากเบตงถึงแม่สาย ระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร ที่กินเวลายาวนานถึง 55 วัน

 

“เหนื่อยไหมพี่?” นักข่าวถามความรู้สึก

 

ตูนตอบด้วยเสียงนิ่งเรียบตามสไตล์ว่า “ทุกวันเหนื่อยอยู่แล้ว เราทำแบบนี้มันเหนื่อยอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเรามีความสุขและสนุกกับมัน การเหนื่อยคือสิ่งหนึ่งที่เราต้องเจอในการทำงานชิ้นต่างๆ ให้สำเร็จอยู่แล้ว

 

“ถ้ามันไม่เหนื่อย ผมว่ามันคงไม่ใช่การทำงานหรือการทำสิ่งที่เราตั้งใจให้สำเร็จ”

 

เรียบเรียงโดย วชิรวิชญ์ กิติชาติพรพัฒน์

The post ภาพข่าวแห่งปี 2017 คัดสรรโดยช่างภาพข่าว THE STANDARD appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/the-standard-photo-of-the-year-2017/feed/ 0
แพทย์ไร้พรมแดนชี้ โรฮีนจาอย่างน้อย 6,700 เสียชีวิตในช่วงเดือนแรกหลังเหตุรุนแรงยะไข่ https://thestandard.co/6700-rohingya-muslims-killed-in-one-month-in-myanmar/ https://thestandard.co/6700-rohingya-muslims-killed-in-one-month-in-myanmar/#respond Fri, 15 Dec 2017 08:55:39 +0000 https://thestandard.co/?p=55704

องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières: MSF) เ […]

The post แพทย์ไร้พรมแดนชี้ โรฮีนจาอย่างน้อย 6,700 เสียชีวิตในช่วงเดือนแรกหลังเหตุรุนแรงยะไข่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières: MSF) เผยรายงานชิ้นใหม่ที่พบว่า ชาวมุสลิมโรฮีนจามากกว่า 6,700 ราย รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีอย่างน้อย 730 ราย ถูกสังหารในช่วงเวลาเดือนแรกหลังเหตุความรุนแรงในรัฐยะไข่เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา

 

“เราได้ยินรายงานมาว่า บางครอบครัวเสียชีวิตทั้งบ้าน เพราะบ้านถูกไฟเผาขณะที่พวกเขาถูกขังอยู่ข้างใน” ดร.ซิดนีย์ หว่อง ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ MSF กล่าว

 

 

รายงานระบุข้อมูลว่า สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากการถูกยิง 69% ถูกเผาและสาเหตุอื่นๆ 9% และถูกซ้อมจนเสียชีวิต 5% นอกจากนี้ในบรรดาเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีสาเหตุเสียชีวิตจากกับระเบิด 2% ด้วย

 

หว่องเปิดเผยถึงรายงานอีกว่า “มีความเป็นไปได้ว่ายอดผู้เสียชีวิตที่ประมาณการยังต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากเราสำรวจข้อมูลที่ค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ ซึ่งไม่ได้รวมถึงอีกหลายครอบครัวที่ยังติดอยู่ในเมียนมา”

 

 

ตามข้อมูลของรายงานยอดผู้เสียชีวิตระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม ถึง 24 กันยายน อาจสูงถึง 13,759 ราย โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีอย่างน้อย 1,000 ราย

 

ทีมสำรวจได้ลงพื้นที่สอบถาม 2,434 ครอบครัว โดยสอบถามหัวหน้าแต่ละครัวเรือนว่าสมาชิกในครอบครัวรายใดบ้างที่เสียชีวิตลงในช่วงมีนาคมถึงตุลาคมปีนี้ และด้วยสาเหตุใด ทางทีมงานจึงนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์

 

 

คนไร้รัฐ

ชาวโรฮีนจาถือเป็นมุสลิมชนกลุ่มน้อยไร้รัฐในเมียนมา คาดการณ์ว่ามีชาติพันธุ์นี้อยู่ในรัฐยะไข่ราว 1 ล้านคน แต่ทางการไม่ได้ยอมรับพวกเขาในฐานะพลเรือน และไม่รับรองฐานะกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศด้วย

 

ประชากร 647,000 คนของชนกลุ่มน้อยนี้ได้ลี้ภัยเข้าสู่บังกลาเทศหลังเหตุการณ์ในรัฐยะไข่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าเผาหมู่บ้านโรฮีนจาหลายร้อยแห่ง และยังถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุข่มขืนเด็กและผู้หญิงด้วย

 

ภาพถ่ายดาวเทียมที่องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลหลายแห่งได้รวบรวมและชี้ให้เห็นว่า หมู่บ้านโรฮีนจาในรัฐยะไข่หลายแห่งถูกเผาทิ้ง

 

หลายประเทศตะวันตกได้ออกมาประณามสถานการณ์นี้ในฐานะการฆ่าล้างชาติพันธุ์ แต่เมียนมาปฏิเสธต่อข้อกล่าวหานี้ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลออกมาชี้ความผิดว่ามาจากกองกำลังก่อการร้ายสุดโต่งของโรฮีนจา

 

 

ริช เวียร์ นักวิจัยประจำเอเชียขององค์กร Human Rights Watch แสดงความคิดเห็นว่า “รายงานล่าสุดเข้าไปเสริมข้อมูลของ Human Rights Watchที่ รวบรวมจากผู้ลี้ภัยโรฮีนจาที่หลบหนีจากการฆ่าล้างชาติพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในรัฐยะไข่

 

“ตัวเลขนี้ควรจะทำให้ประชาคมระหว่างประเทศตระหนักและกระตุ้นให้พวกเขาลงมือทำอะไรบางอย่าง คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบ และจะต้องมีการคว่ำบาตรพวกที่อยู่เบื้องหลังความป่าเถื่อนนี้”

 

 

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เมียนมาและบังกลาเทศตกลงร่วมกันที่จะส่งชาวโรฮีนจากลับสู่รัฐยะไข่ จนทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนออกมาวิจารณ์ถึงความอันตรายต่อชนกลุ่มน้อยนี้

 

“ในตอนนี้ผู้คนยังคงหลบหนีออกจากเมียนมาเข้าบังกลาเทศ และบางคนที่ข้ามพรมแดนไปได้ก็ยังตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในช่วงหลายสัปดาห์นี้” ผู้อำนวยการหว่องกล่าว “ด้วยสาเหตุที่มีกลุ่มช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพียงน้อยนิดที่สามารถเข้าถึงพื้นที่ในยะไข่ได้ เรารู้สึกหวั่นเกรงต่อชะตากรรมชาวโรฮีนจาที่ยังอยู่ในนั้น”

 

ถึงวันนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมที่ชาวโรฮีนจาต้องเผชิญในอนาคตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

 

Photo: AFP
อ้างอิง:

The post แพทย์ไร้พรมแดนชี้ โรฮีนจาอย่างน้อย 6,700 เสียชีวิตในช่วงเดือนแรกหลังเหตุรุนแรงยะไข่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/6700-rohingya-muslims-killed-in-one-month-in-myanmar/feed/ 0
โลกปี 2017 คือปีแห่ง ‘ความโกลาหล’ ที่ยังวุ่นวายไม่จบสิ้น https://thestandard.co/2017-year-of-confusion-world/ https://thestandard.co/2017-year-of-confusion-world/#respond Tue, 12 Dec 2017 08:47:08 +0000 https://thestandard.co/?p=54361

ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา THE STANDARD เฝ้าติดตามสถานการณ์ต […]

The post โลกปี 2017 คือปีแห่ง ‘ความโกลาหล’ ที่ยังวุ่นวายไม่จบสิ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา THE STANDARD เฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ ในแวดวงต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และมีเหตุการณ์สำคัญจำนวนไม่น้อยที่สร้างปรากฏการณ์และแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นในประชาคมโลก ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

 

THE STANDARD จึงขอยกให้ภาพรวมต่างประเทศในปี 2017 เป็นปีแห่ง ‘ความโกลาหล’ ที่ยังคงวุ่นวายต่อเนื่องมาจากปี 2016

 

 

การเคลื่อนไหวของกลุ่มฝ่ายขวาและชาตินิยมทั่วโลก

เราเริ่มต้นปีด้วยชัยชนะจากการเลือกตั้งของกลุ่มฝ่ายขวาและการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาตินิยมต่างๆ ทั่วโลกลากยาวมาตลอดทั้งปี นับตั้งแต่พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนมกราคม ปี 2017 และผลประชามติที่สนับสนุนให้สหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้แก่ระบบระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการดำเนินนโยบายต่างประเทศและด้านเศรษฐกิจ

 

 

รวมถึงการกลับมามีบทบาทสำคัญของพรรคฝ่ายขวาจัด (AfD) ในเยอรมนี ที่สามารถคว้าที่นั่งหวนคืนสู่รัฐสภาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนางอังเกลา แมร์เคิล จะยังคงกุมเสียงข้างมากไว้ได้ และชัยชนะของนายเซบาสเตียน คูร์ซ ผู้นำฝ่ายขวาที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำออสเตรียคนใหม่ในช่วงต้นปีหน้า พร้อมด้วยภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ด้วยวัยเพียง 31 ปี ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลกคนล่าสุด ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมของการเมืองโลกดูเอียงขวามากยิ่งขึ้น แม้ว่าผู้นำของกลุ่มฝ่ายขวาอย่างนางมารีน เลอ แปน และนายกีรต์ ไวล์เดอร์ส จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งระดับชาติในฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ก็ตาม

 

 

นอกจากนี้เรายังเห็นความพยายามของกลุ่มชาตินิยมต่างๆ ทั่วโลกที่เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชหรือเพิ่มอำนาจการปกครองให้แก่ดินแดนของตน โดยใช้ความรุนแรงและวิธีตามแบบฉบับของประชาธิปไตยอย่างการหยั่งเสียงลงประชามติ (ทั้งที่เป็นทางการและไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย) ไม่ว่าจะเป็นในสกอตแลนด์, เคอร์ดิสถาน, บางแคว้นในอิตาลี, 3 รัฐทางใต้ของบราซิล และโดยเฉพาะพื้นที่อย่างแคว้นกาตาลุญญาที่กลายเป็นประเด็นร้อนตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในหลายพื้นที่จะยังไม่สามารถประกาศตัวเป็นรัฐเอกราชได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมและขยับเข้าใกล้จุดมุ่งหมายดังกล่าวเข้าไปทุกที ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นประเทศสมาชิกเกิดใหม่ของประชาคมโลกอีกหลายสิบประเทศในอนาคตอันใกล้นี้

 

 

วิกฤตการณ์นิวเคลียร์และความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี

บุคลิกที่ยากจะคาดเดาได้ของทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 3 ของเกาหลีเหนือ ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดเกี่ยวกับการครอบครองขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือคุกรุ่นและร้อนระอุมากยิ่งขึ้นตลอดทั้งปี โดยหลายฝ่ายเกรงว่าสงครามน้ำลายและการซ้อมรบร่วมกันกับบรรดาชาติพันธมิตรจะพัฒนากลายเป็นชนวนเหตุของการชิงโจมตีก่อน และนำไปสู่การทำสงครามนิวเคลียร์ในที่สุด

 

จากการเก็บสถิติและข้อมูลของ CNS/NTI เปิดเผยว่า ในปี 2017 ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์รวมกันอย่างน้อย 16 ครั้ง มากกว่า 20 ลูก และในจำนวนนี้เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่มีพิสัยไกลกว่า 5,500 กิโลเมตร (ถึงแผ่นดินสหรัฐฯ) ถึง 3 ลูกด้วยกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเกาหลีเหนือได้ขยับเข้าใกล้สถานะของการเป็นรัฐนิวเคลียร์ตามที่พวกเขากล่าวอ้างแล้ว ส่งผลให้โอกาสในการเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาชาติพันธมิตรกับกองทัพโสมแดงเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ทั้งนี้เกาหลีเหนือเองก็คงไม่ยินยอมที่จะยุติการเดินหน้าพัฒนาและครอบครองขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยง่ายอย่างแน่นอน เนื่องจากตัวผู้นำเห็นว่านี่คือเครื่องมือต่อรองกับชาติมหาอำนาจที่ทรงพลังที่สุดที่จะปกป้องระบอบและผลประโยชน์สูงสุดของเกาหลีเหนือไว้ได้ ในขณะเดียวกัน คิมจองอึนก็เห็นบทเรียนของอดีตผู้นำประเทศที่ยอมจำนนต่อสหรัฐฯ อย่างซัดดัม ฮุสเซน ในอิรัก และมูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบีย ที่นำไปสู่จุดจบของชีวิตในที่สุด ประชาคมโลกจะร่วมกันแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้อย่างไรในวันที่ความมั่นคงระหว่างประเทศถูกสั่นคลอนครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

แม้รักกาและโมซุลจะสงบลง แต่เหตุก่อการร้ายยังเพิ่มขึ้นทั่วโลก

สงครามในหลายพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไป และอัตราการก่อการร้ายที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก หนึ่งในภูมิภาคที่เกิดสงครามความขัดแย้งมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตะวันออกกลาง ทั้งปัญหาภายในประเทศทับซ้อนกับการก่อการร้าย ลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศขนาดย่อมที่บรรดามหาอำนาจและชาติพันธมิตรต่างเข้าร่วมสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามความขัดแย้งในซีเรีย การต่อสู้กับขบวนการรัฐอิสลาม (กลุ่มไอเอส) ที่พยายามจะแย่งชิงพื้นที่และสถาปนารัฐอิสลามขึ้นภายในภูมิภาค ก่อนที่จะกระจายตัวไปยังภูมิภาคต่างๆ อย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในมาราวีของฟิลิปปินส์

 

 

ถึงแม้ว่ากองกำลังอิรักจะสามารถยึดครองดินแดนคืนมาและประกาศชัยชนะเหนือกลุ่มไอเอสได้ในฐานที่มั่นสำคัญอย่างรักกาในซีเรีย และโมซุลในบังกลาเทศ แต่อุดมการณ์และชุดความคิดของการก่อการร้ายจะยังคงถูกส่งต่อและเชื้อเชิญผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวให้ลงมือปฏิบัติตามผ่านการรับสารจากช่องทางอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ต่างๆ

 

 

ในขณะที่ประเทศแถบยุโรปก็ไม่น้อยหน้า เกิดเหตุก่อการร้ายเพิ่มสูงขึ้นตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เกิดรูปแบบการก่อการร้ายที่นิยมลงมือคนเดียว (Lone wolf) โดยใช้ยานพาหะอย่าง ‘รถตู้’ เป็นเครื่องมือสำคัญในการลงมือก่อเหตุ รวมถึงใช้มีดและอาวุธปืนไล่กราดยิงและทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเหตุกราดยิงผู้คนในเทศกาลดนตรีที่นครลาสเวกัสเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 59 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 546 คน นับเป็นเหตุสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เลยทีเดียว

 

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐกำลังเผชิญหน้ากับตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ (Non-State Actors) เช่น กลุ่มก่อการร้ายที่มีความซับซ้อน หรือกลุ่มหัวรุนแรง โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์ที่เกิดการกระชับแน่นของคน เวลา ทุน และสถานที่ พร้อมท้าทายอำนาจที่มีอยู่ของรัฐในการจัดการกับปัญหานี้มากยิ่งขึ้น

 

 

วิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ

อีกหนึ่งสถานการณ์ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและสะท้อนความโกลาหลได้เป็นอย่างดีคือวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ อันเป็นผลพวงมาจากปัญหาสงครามและความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ก่อให้เกิดกระแสผู้ลี้ภัยไหลทะลักเข้าไปยังยุโรปเป็นจำนวนมาก จากตัวเลขสถิติของ UNHCR พบว่า ปัจจุบันพลเมืองโลกที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานกว่า 65.6 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่า 22.5 ล้านคนเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาจากซีเรีย อัฟกานิสถาน และซูดานใต้ ยังไม่นับรวมกลุ่มคนไร้รัฐ (Stateless People) อีกกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้มาตรการความรุนแรงกวาดล้างชาวโรฮีนจาที่อาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างเมียนมา บริเวณรัฐยะไข่ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปะทุออกมากลายเป็นกระแสวิกฤตโรฮีนจาที่ประชาคมโลกจับตามอง ตลอดระยะเวลากว่า 5 เดือนที่ผ่านมา มีชาวโรฮีนจามากกว่า 626,000 คน เดินทางอพยพไปยังบังกลาเทศ ชุมชนและบ้านเรือนของพวกเขาถูกเผาทำลายเสียหายเกือบหมด เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์สั่นคลอนแรงศรัทธาที่มีต่อนางออง ซาน ซูจี ผู้นำคนสำคัญของเมียนมา ที่ต่อสู้เพื่อความความเป็นประชาธิปไตยในบ้านเกิดของเธอมาโดยตลอด จนหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเธอเหมาะสมแค่ไหนกับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่เคยได้รับ รวมถึงแท้จริงแล้วเธอมีอำนาจในการตัดสินใจและบริหารประเทศมากน้อยแค่ไหนกันแน่ และถ้าหากสงครามและความรุนแรงยังคงถูกขับเคลื่อนต่อไป วิกฤตการณ์ของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพนี้จะรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

สหรัฐฯ ขอถอนตัวออกจากการเป็นภาคีความตกลงปารีส

ด้านสิ่งแวดล้อมโลกก็ปั่นป่วนไม่น้อย หลังประเทศมหาอำนาจที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีนอย่างสหรัฐฯ ขอถอนตัวออกจากการเป็นภาคีความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่มีเป้าหมายต่อสู้กับภาวะโลกร้อนและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อคนรุ่นต่อไปในอนาคต ซึ่งนับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ที่ประชาคมโลกเกือบ 200 ประเทศยอมอยู่ภายใต้กรอบข้อตกลงเดียวกัน

 

 

ในปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นชาติสมาชิกของสหประชาชาติเพียงชาติเดียวที่แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับความตกลงดังกล่าว หลังนิการากัวและลิเบียตัดสินใจยอมปฏิบัติตามความตกลงและตระหนักถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการขอถอนตัวของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อโอกาสในการบรรลุเป้าหมายของความตกลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้แก่มหาอำนาจอื่นๆ อย่างเช่น จีน และรัสเซีย ให้มีบทบาทในเวทีโลกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

ตลอดปีที่ผ่านมา สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมโลกไม่ค่อยสู้ดีนัก ราวกับธรรมชาติกำลังต้องการจะทวงบางสิ่งอย่างบางอย่างกลับคืน ดังจะเห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น ทั้งไฟป่า วาตภัย อุทกภัย แผ่นดินไหว ดินโคลนถล่ม รวมถึงภูเขาไฟระเบิด ซึ่งท้าทายระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศต่างๆ อยู่ไม่น้อย

 

โดยเฉพาะเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่ผ่านมา เกิดพายุลูกใหญ่ถึง 4 ลูกในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พัดถล่มบริเวณชายฝั่งของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลแคริบเบียน จนอาคารบ้านเรือนและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ถูกทำลายเกือบหมด หนึ่งในนั้นคือพายุเฮอร์ริเคนเออร์มาร์ที่มีความเร็วลมสูงถึง 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนับว่าเป็นพายุหมุนที่มีความเร็วลมสูงที่สุดในรอบสิบกว่าปี นับตั้งแต่พายุเฮอร์ริเคนวิลมาเมื่อปี 2005 ในขณะที่แผ่นดินไหวครั้งใหญ่บริเวณพรมแดนอิรักและอิหร่าน และแผ่นดินไหวในเม็กซิโก ก็มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในปีนี้ถึง 540 คน และ 370 คนตามลำดับ

 

 

ความปั่นป่วนวุ่นวายของบรรดารัฐอาหรับ

วิกฤตกาตาร์ที่ปะทุขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของบรรดา 6 รัฐอาหรับกับกาตาร์ที่ดำเนินไปจนถึงจุดต่ำสุด ถึงขั้นประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน หลังประเทศพี่ใหญ่ นำโดยซาอุดีอาระเบีย อ้างว่ากาตาร์เป็นประเทศตัวการที่บ่อนทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงภายในภูมิภาค พร้อมทั้งสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ค่านิยมสุดโต่ง และร่วมมือกับรัฐอันธพาลอย่างอิหร่าน

 

 

จนนำไปสู่การดำเนินมาตรการกดดันและเรียกร้องให้กาตาร์ยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องต่างๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยหนึ่งในจำนวนนั้นคือ การตัดความสัมพันธ์กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มต้องห้ามของประเทศอื่นๆ ภายในภูมิภาค รวมถึงต้องยุติการสนับสนุน (ปิดกิจการ) สำนักข่าวอัลจาซีราและสื่อย่อยอื่นๆ

 

นับเป็นวิกฤตทางการทูตครั้งรุนแรงที่สุดของอ่าวอาหรับในรอบหลายทศวรรษ แม้ผู้นำกาตาร์จะยืนยันว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งยังจะสนับสนุนสำนักข่าวอัลจาซีรา ผู้มีบทบาทสำคัญในการรายงานสถานการณ์เหตุลุกฮือต่อต้านรัฐบาลของประชาชนในช่วงอาหรับสปริงนี้ต่อไป เนื่องจากเขาเชื่อว่าสื่อสำนักนี้จะเปิดพื้นที่ให้เกิดการถกเถียงทางการเมือง นำความทันสมัยและความเปลี่ยนแปลงในทางบวกมาสู่ภูมิภาคแห่งนี้ โดยการ์ตาพร้อมเดินหน้าเจรจาหาทางออกร่วมกัน

 

 

นอกจากวิกฤตกาตาร์แล้ว การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศพี่ใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียก็สำคัญไม่แพ้กัน หลังเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารพระองค์ใหม่ เร่งเดินหน้าปฏิรูปประเทศและปราบปรามคอร์รัปชัน สั่งควบคุมตัวเจ้าชายถึง 11 พระองค์ พร้อมบุคคลสำคัญท่านอื่นๆ ที่อาจมีส่วนพัวพันกับการทุจริต เพื่อสอบปากคำ ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกปล่อยตัวพร้อมเงื่อนไขที่มีมูลค่าสูงหลายล้านเหรียญสหรัฐเพื่อแลกกับอิสรภาพ

 

 

ถือเป็นความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศที่เคร่งครัดในหลักศาสนาอิสลามแห่งนี้ อีกทั้งยังคงสถานะความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มีบริบททางสังคมที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิสตรี ซึ่งแนวทางและมาตรการต่างๆ เหล่านี้ที่ดูมีความทันสมัยและเบนหาทางโลกมากยิ่งขึ้นอาจจะยิ่งส่งผลให้นักการศาสนาและกลุ่มกลุ่มสุดโต่ง ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่าและทรงอิทธิพลภายในซาอุดีอาระเบียต้องออกมาเคลื่อนไหว และอาจส่งผลให้มิติต่างๆ ของประเทศนี้ขาดเสถียรภาพ ซึ่งแน่นอนว่าผลพวงจากการเมืองภายในประเทศนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่ประชาคมโลก รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่มากก็น้อย

 

 

สีจิ้นผิงพาจีนผงาด ท้าชิงมหาอำนาจของโลก

หน้าฉากเกมการเมืองของบรรดาผู้นำโลกยังคงเป็นสงครามเย็นกลายๆ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมบทบาทในการชิงชัยเป็นมหาอำนาจลำดับต้นๆ ของโลก หากเทียบกระแสความนิยมในตัวประธานาธิบดีทั้ง 3 คนของจีน รัสเซีย และสหรัฐฯ ดูเหมือนว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะเป็นคนที่ตกที่นั่งลำบากและได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลกมากที่สุด

 

 

ด้านนายวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ดูเหมือนจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากพลเมืองแดนหมีขาว เพื่อลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีกสมัยในเดือนมีนาคม ปี 2018

 

ในขณะที่ผู้นำรุ่นที่ 5 ของจีนอย่างนายสีจิ้นผิง ก็มีภาพลักษณ์เชิงบวกในเวทีโลก อีกทั้งยังได้รับเสียงสนับสนุนและยกย่องจากชาวจีนในฐานะ ‘ผู้มีอำนาจสูงสุด’ ในรอบหลายทศวรรษ เทียบเท่ากับสุดยอดผู้นำตลอดกาลอย่างเหมาเจ๋อตุง และเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ทิ้งมรดกทางประวัติศาสตร์การเมืองไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะการมีแนวคิดและทฤษฎีทางการเมืองเป็นของตนเอง และตัวสีจิ้นผิงเองก็สร้างผลงานไว้มากมายตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยได้นำพาจีนไปสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ รวมถึงเดินหน้าผลักดันให้พญามังกรจีนพุ่งทะยานขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ทรงอิทธิพลและน่าจับตามองมากที่สุดประเทศหนึ่งในประชาคมโลก

 

ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่นายสีจิ้นผิงจะได้รับมติให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนต่ออีก 1 สมัยในที่ประชุม ‘สภาประชาชนแห่งชาติ’ ที่จะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้านี้ และจะนำพาจีนในอีกอย่างน้อย 5 ปีต่อจากนี้ให้เป็นจีนที่ใครต่อใครในประชาคมโลกก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากประเทศนี้ได้เลย

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงต่างประเทศตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ THE STANDARD ยกให้ภาพรวมต่างประเทศของปี 2017 เป็นปีแห่งความโกลาหลวุ่นวาย แม้จะมีเสียงตะโกนกู่ร้องด้วยความดีใจจากพี่น้องกลุ่มคนรักเพศเดียวกันในหลายประเทศที่ประสบความเร็จในการเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน รวมถึงทุกๆ ความสำเร็จและเรื่องราวน่ายินดีที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก แต่อย่างไรก็ตาม เสียงของพวกเขาเหล่านี้ก็อาจจะยังไม่ก้องกังวานเท่าเสียงระเบิด ไฟแห่งสงคราม เสียงสะอื้นไห้ และคราบน้ำตาของผู้คนมากมายที่ยังคงตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของความรุนแรงและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในมิติต่างๆ ทั่วโลก

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

The post โลกปี 2017 คือปีแห่ง ‘ความโกลาหล’ ที่ยังวุ่นวายไม่จบสิ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/2017-year-of-confusion-world/feed/ 0
โรฮีนจา-ทะเลจีนใต้-นิวเคลียร์ ประเด็นร้อนในอาเซียนซัมมิท ครั้งที่ 31 ที่ฟิลิปปินส์ https://thestandard.co/31st-asean-summit/ https://thestandard.co/31st-asean-summit/#respond Tue, 14 Nov 2017 07:36:38 +0000 https://thestandard.co/?p=45246

         เป็นที่น่าจับตามองไม่ […]

The post โรฮีนจา-ทะเลจีนใต้-นิวเคลียร์ ประเด็นร้อนในอาเซียนซัมมิท ครั้งที่ 31 ที่ฟิลิปปินส์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

 

     เป็นที่น่าจับตามองไม่น้อยสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 31 ที่เปิดฉากขึ้นแล้วเมื่อวานนี้ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิก พร้อมผู้นำและตัวแทนจากภาคีเครือข่ายต่างๆ เดินทางเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้กันอย่างคับคั่ง ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่น่าติดตามหลายประเด็น

 

 

ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียนไร้เงาประเด็นกวาดล้างชาวโรฮีนจาในเมียนมา

     กลายเป็นประเด็นร้อน หลังอาเซียนเผยร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดผู้นำในครั้งนี้ โดยไม่ได้มีการระบุถึงประเด็นการกวาดล้างและขับไล่ชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ของเมียนมาออกนอกประเทศ หลังกองทัพเมียนมาใช้มาตรการทางทหารและความรุนแรงต่อชาวมุสลิมกลุ่มนี้

     นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา มีชาวโรฮีนจาอพยพไปยังบังกลาเทศมากกว่า 6 แสนคน บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หมู่บ้านหลายแห่งของชาวโรฮีนจาถูกเผาทำลายทิ้ง สหประชาชาติได้ประณามเหตุการใช้ความรุนแรงดังกล่าวว่า “ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และเรียกร้องให้นางออง ซาน ซูจี ผู้นำที่ (เคย) เป็นแรงบันดาลใจของคนทั้งโลกในเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยและความเท่าเทียมกันในยุคเผด็จการทหารของเมียนมาให้ออกมาแก้ไขปัญหานี้เป็นการด่วน

     ความตอนหนึ่งในร่างแถลงการณ์ดังกล่าว พูดถึงความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม แก่ผู้เคราะห์ร้ายและตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติทางธรรมชาติในเวียดนาม การต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (กลุ่มไอเอส) ในฟิลิปปินส์ รวมถึงชุมชนที่ได้รับผลกระทบบริเวณทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ซึ่งไม่ได้ระบุหรือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับความโหดร้ายและป่าเถื่อนที่กองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรง ต่อต้านและปราบปรามกลุ่มคนที่พวกเขามองว่า ‘เป็นอื่น’ โดยมิได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด

 

 

     นางออง ซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 1991 ที่เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำในครั้งนี้ ต่างทำให้หลายฝ่ายผิดหวังต่อท่าทีของเธอในประเด็นนี้ และเธอยังไม่เคยเอ่ยถึงการกวาดล้างชาวโรฮีนจา บริเวณทางตอนเหนือของรัฐยะไข่เลย นับตั้งแต่เดินทางถึงกรุงมะนิลา สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะสะท้อนถึงจุดด้อยของอาเซียนที่ยึดถือหลักการไม่แทรกเเซง (Non-Interference) ระหว่างกัน ซึ่งส่งผลให้บางประเด็นปัญหา โดยเฉพาะปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนภายในภูมิภาคนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยาเเก้ไขอย่างจริงจัง

     วิลเนอร์ ปาปา (Wilnor Papa) ผู้แทนขององค์กรนิรโทษกรรมสากลระหว่างประเทศ ประจำฟิลิปปินส์เผยว่า “ผู้นำอาเซียนจะพูดคุยถึงประเด็นปัญหาการก่อการร้าย สันติภาพ และความสงบสุขภายในภูมิภาค แต่มีประเด็นปัญหาหนึ่งที่จะไม่ถูกพูดถึง และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นกำลังถูกเพิกเฉยจากบรรดาผู้นำประเทศเหล่านี้”

 

 

อาเซียนและผู้นำจีน เร่งผลักดันให้แก้ไขปัญหาพิพาทในทะเลจีนใต้

     นายหลี่ เค่อเฉียง (Li Keqiang) นายกรัฐมนตรีของจีน ได้แสดงจุดยืนต่อกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ขณะเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในครั้งนี้ โดยมองว่า การเร่งจัดพิมพ์แบบแผนข้อพึงปฏิบัติ (Code of Conduct) ต่อกรณีพิพาทดินแดนที่เกิดขึ้น จะมีส่วนช่วยทำให้เกิดความมีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้นภายในภูมิภาค

     “ความหวังสูงสุดของจีนคือ การเกิดสันติภาพและความมั่นคงขึ้นภายในภูมิภาค”

     นักวิชาการหลายสำนักมองว่า ความพยายามดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเร็วๆ นี้ เนื่องจากการพูดคุยที่เกิดขึ้นเป็นเพียงกรอบแนวทางและหลายประเทศก็ยังเดินหน้าอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนต่างๆ โดยยากที่จะเเบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดวันที่จะเริ่มเจรจากันอย่างชัดเจนอีกด้วย

     นอกจากนี้เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางการจีนก็ได้เปิดตัวเรือขุดลำใหม่ที่ใหญ่ที่สุดของจีน หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่มีชื่อว่า เรือขุด Tian Kun Hao มีการคาดการณ์ว่า เรือขุดลำมหึมานี้จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการสร้างเกาะเทียมให้แก่จีน และสนับสนุนการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนต่างๆ ที่จีนอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตน โดยเฉพาะเหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้ที่มีข้อพิพาทกับไต้หวัน รวมถึง 4 ประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนอีกด้วย (บรูไน เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) จึงยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นระหว่างกันในการร่วมมือแก้ไขปัญหานี้

     ทั้งนี้ที่ผ่านมาจีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด และสร้างค่ายทหาร รวมถึงถมพื้นที่ตามแนวปะการังในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย

 

 

ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ อาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการยุติปัญหานิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี

     ก่อนที่จะปิดท้าย Trump’s Asian Tour อย่างเป็นทางการ วานนี้ทรัมป์ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 31 พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 40 ปี โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้กล่าวชื่นชมถึงผลงานและความสำเร็จในการเป็นกลไกสำคัญในการโอบอุ้มพลเมืองอาเซียนกว่า 625 ล้านคน และมีพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในการเดินหน้าอย่างมีพลวัตตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา

     ปัญหาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงและยากจะคาดเดาได้นั้น ยิ่งทำให้หลายฝ่ายในประชาคมระหว่างประเทศเป็นกังวลต่อภัยคุกคามความมั่นคง และสงครามนิวเคลียร์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต มหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐฯ หนึ่งในคู่ขัดแย้งหลักของปัญหานี้ รวมถึงชาติพันธมิตร จึงได้พยายามดำเนินมาตรการกดดันเกาหลีเหนือในยุติการทดสอบและเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ความขัดแย้งจะบานปลายจนกลายเป็นการใช้กำลังเข้าโจมตีระหว่างกัน

 

 

     แต่ดูเหมือนว่าอาวุธนิวเคลียร์นี้ เปรียบเสมือนเป็นหลักประกันเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของเกาหลีเหนือไว้ได้ จึงทำให้สถานการณ์ต่างๆ รวมถึงหนทางที่จะนำไปสู่โต๊ะเจรจาในช่วงเวลานี้เป็นไปได้ยากพอสมควร

     ทั้งนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเล็งเห็นว่า อาเซียนจะเป็นอีกหนึ่งตัวแสดงสำคัญในประชาคมระหว่างประเทศที่จะสนับสนุนจุดยืนของสหรัฐฯ พร้อมกดดันให้กองทัพโสมแดงยุติโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยเร็วตามมติของสหประชาชาติ เพราะถ้าหากทุกประเทศช่วยกันตัดช่องทางแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการพัฒนาอาวุธดังกล่าว อาจทำให้เป้าหมายนี้บรรลุผลเร็วยิ่งขึ้น

 

 

บทบาทของผู้นำไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้

     นายกรัฐมนตรีไทยเห็นว่า อาเซียนจะยังต้องร่วมกันขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไปในอีก 50 ปีข้างหน้า โดยเน้นการเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่มีความเข้มแข็ง เน้นนวัตกรรม และยึดมั่นกติกา และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 อาเซียนจะขยับจากอันดับที่ 6 ขึ้นมาเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก หากอาเซียนนำนวัตกรรมมาเป็นตัวขับเคลื่อนและสามารถนำความตกลงโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจมาปฏิบัติตามเป้าหมายอย่างครบถ้วน

 

 

     นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามชายแดนผ่านรูปแบบความร่วมมือประเทศไทย +1 ที่สามารถขยายและเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศในภูมิภาคได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงการเสริมสร้างและรักษาความเข้มแข็งของแกนกลางอาเซียน (ASEAN Centrality) เพื่อรับมือกับภัยคุกคามภายนอกภูมิภาค และประเด็นความท้าทายต่างๆ ของโลก เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ และความเหลื่อมล้ำต่างๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสของประชาคมอาเซียนร่วมกันในอนาคต

 

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

The post โรฮีนจา-ทะเลจีนใต้-นิวเคลียร์ ประเด็นร้อนในอาเซียนซัมมิท ครั้งที่ 31 ที่ฟิลิปปินส์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/31st-asean-summit/feed/ 0
ออง ซาน ซูจี เดินทางเยือนรัฐยะไข่ เยี่ยมโรฮีนจาครั้งแรกวันนี้ https://thestandard.co/suu-kyi-visits-troubled-rakhine-first-time-since-crisis/ https://thestandard.co/suu-kyi-visits-troubled-rakhine-first-time-since-crisis/#respond Thu, 02 Nov 2017 05:30:33 +0000 https://thestandard.co/?p=40117

     ออง ซาน ซูจี ผู้นำคนสำคัญของเมียนมา […]

The post ออง ซาน ซูจี เดินทางเยือนรัฐยะไข่ เยี่ยมโรฮีนจาครั้งแรกวันนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ออง ซาน ซูจี ผู้นำคนสำคัญของเมียนมา เดินทางเยือนทางตอนเหนือของรัฐยะไข่เป็นครั้งแรกในวันนี้ หวังคลี่คลายปมปัญหาการกวาดล้างชาวโรฮีนจาอย่างหนักตลอดช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยเธอยืนยันว่ารัฐบาลเมียนมาจะยังคงสนับสนุนแผนการและขั้นตอนการขอกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมของชาวโรฮีนจาต่อไป หลังจากที่อพยพไปยังบังกลาเทศเป็นจำนวนมาก

 

 

     ภายหลังจากที่เดินทางถึงซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่ เธอรีบมุ่งหน้าสู่ทางตอนเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนมุสลิมชาวโรฮีนจาทันที โดยกล่าวว่า เมื่อปี 2015 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ตนเคยเดินทางมายังตอนใต้ของรัฐยะไข่ ซึ่งที่นั่นไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และศาสนามากเท่าใดนัก

     ในขณะที่นายซอว์ ฮเตย์ โฆษกของนางออง ซาน ซูจี ออกมาเผยว่ารัฐบาลจะไม่เปิดเผยแผนการเดินทางของเธอกับสื่อ เนื่องจากเหตุผลทางด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ความขัดแย้งเช่นนี้

 

 

     นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมเป็นต้นมา มีชาวโรฮีนจามากกว่า 6 แสนคนอพยพออกนอกประเทศ หลังจากกองทัพเมียนมาเริ่มปฏิบัติการกวาดล้าง ‘ความเป็นอื่น’ อย่างหนัก จนสหประชาชาติและประชาคมโลกต่างเป็นห่วงความปลอดภัยของชาวโรฮีนจาที่ยังคงอาศัยอยู่ภายในรัฐยะไข่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาสั่งระงับปฏิบัติการที่โหดร้ายราวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุนี้โดยเร็ว

     นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของผู้นำเมียนมาอีกครั้ง ภายหลังจากถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและถูกตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วนางออง ซาน ซูจี และคณะรัฐบาลเมียนมาชุดปัจจุบันมีอำนาจที่แท้จริงมากน้อยแค่ไหนกันแน่ หรือระบอบเผด็จการที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมเมียนมามาอย่างยาวนานจะยังคงทำงานได้ดีอยู่จนถึงปัจจุบัน?

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

The post ออง ซาน ซูจี เดินทางเยือนรัฐยะไข่ เยี่ยมโรฮีนจาครั้งแรกวันนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/suu-kyi-visits-troubled-rakhine-first-time-since-crisis/feed/ 0
Amnesty เผยข้อมูล วิกฤตโรฮีนจาในเมียนมาเข้าขั้น ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ https://thestandard.co/amnesty-show-rohingya-crisis-genocide/ https://thestandard.co/amnesty-show-rohingya-crisis-genocide/#respond Fri, 15 Sep 2017 09:41:35 +0000 https://thestandard.co/?p=27622

     ไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตปัญหาโรฮีนจาในเม […]

The post Amnesty เผยข้อมูล วิกฤตโรฮีนจาในเมียนมาเข้าขั้น ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตปัญหาโรฮีนจาในเมียนมาจะจบลงตรงไหน เพราะถึงเวลานี้ (15 กันยายน 2017) ตัวเลขชาวโรฮีนจาที่หนีตายออกจากตอนเหนือของรัฐยะไข่ เพื่อลี้ภัยไปยังบังกลาเทศพุ่งสูงถึง 370,000 คนแล้ว และไม่มีทีท่าว่าตัวเลขนี้จะหยุดนับง่ายๆ

 

 

     ล่าสุดแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสากลได้เปิดเผยหลักฐานชิ้นใหม่ที่ชี้ให้เห็นผลจากการกวาดล้างในวงกว้างที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ โดยกองกำลังความมั่นคงของเมียนมาและกลุ่มชาวบ้านได้เผาหมู่บ้านชาวโรฮีนจาทั้งหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีการยิงสังหารประชาชนโดยไม่เลือกเป้าหมายระหว่างการหลบหนี

 

 

     จากการวิเคราะห์ข้อมูลบ่งชี้ถึงจุดที่กำลังมีเพลิงไหม้ ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายอื่นๆ และวิดีโอจากในพื้นที่ รวมทั้งจากการสัมภาษณ์ประจักษ์พยานหลายสิบคนในเมียนมาและส่วนที่หนีข้ามพรมแดนมายังบังกลาเทศ ทางแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพบว่า มีหลักฐานบ่งชี้ถึงการวางเพลิงอย่างเป็นระบบ โดยพุ่งเป้าโจมตีหมู่บ้านของชาวโรฮีนจาตลอดทั่วตอนเหนือของรัฐยะไข่ เป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์

     ทีรานา ฮัสซัน (Tirana Hassan) ผู้อำนวยการแผนกรับมือภาวะวิกฤต แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า พยานหลักฐานที่มีนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ากองทัพเมียนมากำลังวางเพลิงตลอดทั่วตอนเหนือของรัฐยะไข่ โดยเป็นปฏิบัติการที่พุ่งเป้าผลักดันชาวโรฮีนจาให้ออกจากเมียนมา ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างชัดเจน

     “การปฏิบัติมิชอบที่เกิดขึ้นมีแบบแผนที่ชัดเจนและเป็นระบบ กองกำลังความมั่นคงได้เข้าปิดล้อมหมู่บ้าน ยิงใส่ประชาชนที่กำลังตระหนกตกใจ จากนั้นได้วางเพลิงเผาบ้านจนราบเป็นหน้ากลอง ในทางกฎหมายแล้วถือได้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ และเป็นการเนรเทศพลเมืองออกจากประเทศ”

 

 

     นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังตรวจพบการวางเพลิงขนาดใหญ่อย่างน้อย 80 แห่งในพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ โดยเพลิงไหม้แต่ละแห่งกินบริเวณกว้างอย่างน้อย 375 เมตร ซึ่งจากการพิจารณาภาพถ่ายดาวเทียมในเวลาและเดือนเดียวกันในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยพบว่าเกิดปรากฏการณ์เพลิงไหม้ระดับรุนแรงเช่นนี้ในพื้นที่ใดของรัฐดังกล่าวมาก่อน

     เจ้าหน้าที่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้พูดคุยกับชายวัย 27 ปีจากหมู่บ้านอินดิน ซึ่งอธิบายว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม กองทัพพร้อมกับกลุ่มชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้เข้ามาล้อมหมู่บ้าน และยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนจะบุกเข้ามาไล่ยิงชาวโรฮีนจาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านและกำลังหลบหนีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย สาเหตุที่เขารอดตายเพราะหนีไปซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ๆ และมองเห็นทหารยึดหมู่บ้านอยู่สามวัน มีการปล้นสะดมและเผาบ้านเรือน

 

 

     ส่วนประจักษ์พยานชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่และผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศได้บรรยายตรงกันถึงยุทธการกองกำลังความมั่นคงของเมียนมาว่า พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และกลุ่มชาวบ้านเข้ามาปิดล้อมหมู่บ้านและยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนจะบุกเข้ามาและเริ่มยิงปืนใส่ในทุกทิศทาง ก่อนจะวางเพลิงบ้านเรือนโดยใช้น้ำมันหรือบางครั้งก็ใช้เครื่องยิงระเบิดแบบพาดไหล่ยิงใส่

     ชายอายุ 48 ปีคนหนึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเยทวิน เมื่อวันที่ 8 กันยายนว่า “ตอนที่ทหารบุกเข้ามา พวกเขาเริ่มไล่ยิงคนที่กำลังตกใจและจะวิ่งหนี ผมเห็นทหารยิงใส่ประชาชนจำนวนมากและสังหารเด็กผู้ชายไปสองคน พวกเขาใช้อาวุธสงครามเพื่อเผาบ้านเรือนของเรา เดิมทีหมู่บ้านเรามีกันอยู่ 900 หลังคาเรือน ตอนนี้เหลือเพียง 80 หลังที่ไม่โดนเพลิงไหม้ แต่ไม่มีชาวบ้านเหลืออยู่และไม่มีใครที่จะมาฝังศพคนเหล่านี้”

 

 

     ส่วนชายชาวโรฮีนจาซึ่งหลบหนีจากบ้านของเขาที่เมียวทูจีในเขตหม่องดอว์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมบอกว่า “กองทัพได้เริ่มโจมตีเมื่อตอน 11 โมงเช้า พวกเขาไล่ยิงเข้าไปในบ้านและยิงใส่ชาวบ้าน ปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากหยุดลง ผมเห็นเพื่อนตายอยู่บนถนน ต่อมาตอนประมาณสี่โมงเย็น ทหารได้เริ่มยิงใส่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อชาวบ้านหลบหนี พวกเขาก็ใช้ขวดน้ำมันและที่ยิงระเบิดยิงใส่เพื่อเผาบ้านเรือน การวางเพลิงเกิดขึ้นต่อเนื่องไปเป็นเวลาสามวัน จนปัจจุบันไม่มีบ้านเหลืออยู่ในพื้นที่ของเราเลย บ้านทุกหลังถูกเผาไปจนหมด”

     ที่น่าสังเกตคือ ในบางพื้นที่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นดูเหมือนจะประกาศแจ้งเตือนชาวบ้านล่วงหน้าว่าจะมีการวางเพลิงเผาบ้านของพวกเขา ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าการโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยความจงใจและมีการวางแผน

 

 

     ขณะที่ทางการเมียนมาได้ปฏิเสธว่า กองกำลังความมั่นคงไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการวางเพลิงเหล่านี้ และมีการอ้างว่าชาวโรฮีนจาเป็นผู้จุดไฟเผาบ้านตนเอง “ความพยายามของรัฐบาลที่โยนความผิดให้กับชาวโรฮีนจา เป็นการโกหกอย่างชัดเจน จากการศึกษาของเราทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากว่า กองกำลังความมั่นคงและชาวบ้านบางส่วน มีส่วนรับผิดชอบต่อการวางเพลิงเพื่อเผาไหม้บ้านเรือนของชาวโรฮีนจา

 

 

     “ชาวโรฮีนจาเกือบครึ่งล้านได้หลบหนีออกจากบ้านเรือนของตนภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ต้องมีการสอบสวนอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยกองกำลังความมั่นคง และต้องมีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลเมียนมาต้องยุติการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบต่อชาวโรฮีนจา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของวิกฤตในปัจจุบัน” ผู้อำนวยการแผนกรับมือภาวะวิกฤต แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว

 

Photo: Amnesty International

The post Amnesty เผยข้อมูล วิกฤตโรฮีนจาในเมียนมาเข้าขั้น ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/amnesty-show-rohingya-crisis-genocide/feed/ 0