มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 07 Nov 2025 03:20:18 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยคนปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลูกค้าใหม่หดตัว 4.7% แต่ยอดใช้จ่ายยังโตได้ 1% https://thestandard.co/spending-grows-despite-card-closures/ Thu, 06 Nov 2025 12:31:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1140471 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยคนปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลูกค้าใหม่หดตัว 4.7% แต่ยอดใช้จ่ายยังโตได้ 1%

วันนี้ (6  พ.ย.2568) อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้า […]

The post กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยคนปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลูกค้าใหม่หดตัว 4.7% แต่ยอดใช้จ่ายยังโตได้ 1% appeared first on THE STANDARD.

]]>
กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยคนปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลูกค้าใหม่หดตัว 4.7% แต่ยอดใช้จ่ายยังโตได้ 1%

วันนี้ (6  พ.ย.2568) อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรก ทุกแบงก์ที่มีการออกบัตรเครดิต มียอดปิดบัญชีบัตรเครดิต มากกว่ายอดเปิดบัญชีใหม่ โดยยอดปิดบัญชี บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มลูกค้า เช่นเดียวกับยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ลดลง ทั้งนี้เป็นการหดตัวทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการที่ลูกค้าระมัดระวังการใช้จ่าย ลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น โดยลูกค้าที่ติดต่อยกเลิกบัตรเครดิต ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ไม่อยากถือบัตรเครดิตหลายใบ เพราะต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย

 

สำหรับลูกค้าระดับบนที่มีรายได้สูง แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัว ของเศรษฐกิจมากนัก แต่ก็ใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง เนื่องจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจลดลง โดยได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ตลาด และข่าวลบต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เข้ามาซ้ำเติม sentiment ให้แย่ลง

 

คนใช้บัตรเครดิตน้อยลง มองหา ‘ความคุ้มค่า’ มากกว่าส่วนลด

 

ด้วยธุรกิจบัตรเครดิตได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยตรง ทำให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด เน้นการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมบริหารต้นทุนเพื่อรักษาระดับผลการดำเนินงาน โดยปรับกลยุทธ์การตลาด และวิธีทำโปรโมชัน เน้นเป็นตัวช่วยแบ่งภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การให้เครดิตเงินคืน เพิ่มคะแนนการใช้จ่าย แทนที่การแข่งขันมอบความคุ้มค่าด้วยส่วนลด

 

เดิมทีธุรกิจบัตรเครดิต มักแข่งกันมอบสิทธิประโยชน์ วัดความคุ้มค่าด้วยส่วนลด เพื่อกระตุ้น การใช้จ่าย แต่ปัจจุบันกลยุทธ์ดังกล่าว เริ่มไม่ดึงดูดลูกค้า เนื่องจากจุดความคุ้มค่าของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เช่น การทำโปรโมรชันส่วนลด 5-10% ในอดีตช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ดี แต่ปัจจุบันต้องเสนอมากกว่านั้น เพื่อให้ลูกค้ายอมใช้จ่าย ซึ่งในระยะยาวธุรกิจ จะแบกรับต้นทุนไม่ไหว 

 

ธุรกิจโตดีกว่าอุตสาหกรรม แม้ยอดลูกค้าใหม่หดตัว

 

สำหรับผลประกอบการ ณ สิ้นสุดไตรมาส 3 ในภาพรวมยังเติบโตดีกว่าตลาด ทั้งในแง่ของจำนวนบัตรและยอดใช้จ่ายผ่านบัตร โดยมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 422,800 บัญชี หดตัว 4.7% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 286,300 ล้านบาท เติบโต 1% ยอดสินเชื่อใหม่ 68,400 ล้านบาท หดตัว 2.2% และยอดสินเชื่อคงค้าง 134,300 หดตัว 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ระดับ 1.3% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.2% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจจากการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม

 

ทั้งนี้หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. ประกันภัย, 2. ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ, 3.ปั๊มน้ำมัน, 4. ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน และ 5. ช้อปออนไลน์

 

ส่วนหมวดใช้จ่ายที่มีอัตราเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน, 2. แอปดิลิเวอรี 3.กองทุนรวม, 4.ตัวแทนท่องเที่ยว และ 5.ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคระมัดระวังมากขึ้นชะลอการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เน้นการใช้จ่ายในหมวดที่จำเป็นและการวางแผนระยะยาวมากขึ้น

 

มั่นใจปิดปี 68 ยอดใช้จ่ายถึงเป้า 4 แสนล้าน

 

สำหรับผลประกอบการสิ้นปี 2568 ตั้งเป้ามียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 400,000 ล้านบาท เติบโต 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า, ยอดสินเชื่อใหม่ 94,000 ล้านบาท และยอดสินเชื่อคงค้าง 143,000 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ จากอานิสงส์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวและจับจ่าย ประกอบกับมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส, เที่ยวดีมีคืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและกำลังซื้อในระบบ โดยเฉพาะในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยว ส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจ และอาจต่อยอดส่งผลดีไปถึงช่วงต้นปี 2569 ได้

The post กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยคนปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลูกค้าใหม่หดตัว 4.7% แต่ยอดใช้จ่ายยังโตได้ 1% appeared first on THE STANDARD.

]]>
กกร.เตือน ส่งออกขยายตัวดี แต่ส่งไปไม่ถึงเศรษฐกิจ เหตุสัดส่วน Transshipment พุ่ง https://thestandard.co/export-growth-not-reaching-economy/ Wed, 05 Nov 2025 10:39:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1140023 กกร. เตือน ส่งออกขยายตัวดี แต่ส่งไปไม่ถึง เศรษฐกิจ เหตุ สัดส่วน Transshipment พุ่ง

วันนี้ (5 พฤศจิกายน) ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมก […]

The post กกร.เตือน ส่งออกขยายตัวดี แต่ส่งไปไม่ถึงเศรษฐกิจ เหตุสัดส่วน Transshipment พุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
กกร. เตือน ส่งออกขยายตัวดี แต่ส่งไปไม่ถึง เศรษฐกิจ เหตุ สัดส่วน Transshipment พุ่ง

วันนี้ (5 พฤศจิกายน) ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2568 กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาดส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด

 

“กกร.คงคาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี Local Content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ทำให้การนำเข้าและส่งออกไม่สร้างผลบวกต่อ GDP มากนัก โดยคาดว่า ภาคการส่งออกจะช่วยหนุน GDP ปีนี้ได้เพียงแค่ 0.4% เท่านั้น” ดร.พจน์กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม กกร. คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการคนละครึ่งพลัส และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 โดยเฉพาะ 3 เดือนหลัง จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่อาจช่วยให้เศรษฐกิจไทยโตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%

 

โดยกกร.ยังพบว่า สินค้าที่มี Local Content ต่ำและมี Foreign Content จากจีนมากขึ้น ได้แก่

  • เหล็กและโลหะ
  • อิเล็กทรอนิกส์
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • เครื่องจักรและอุปกรณ์
  • ยานพาหนะและชิ้นส่วน

 

เปิดตลาด 99% ยังต้องคุยอีกเยอะ

 

พจน์ ชี้แจงกรณีข่าวไทยเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ จาก 90% เป็น 99% ว่าไม่ใช่ประเด็นใหม่ และอยู่ภายใต้ Non-Disclosure Agreement โดยหน่วยงานไทยหลายฝ่ายยังอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียด ทั้งกรมเจรจาฯ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงเกษตร และกระทรวงการคลัง

 

สำหรับการเปิดตลาด พจน์ระบุว่า บางเรื่องสามารถเริ่มได้ทันที บางเรื่องต้องใช้เวลา หรือขอเป็นโควตา ซึ่งอะไรจะเปิดก่อนหรือหลัง พจน์กล่าวว่า “ยังต้องคุยอีกเยอะ”

 

นอกจากนี้ พจน์ ยังเผยอีกด้วยว่า กกร. ได้นัดหารือรายละเอียดเพิ่มเติมกับรองนายกรัฐมนตรีเอกนิติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือมาตรการดังกล่าวอีกทีในวันรุ่งขึ้น

 

จับตาตลาดแรงงานเปราะบาง ว่างงานในระบบสูงสุดรอบ 2 ปี

 

นอกจากนี้ กกร.ยังกังวลว่า ตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน

The post กกร.เตือน ส่งออกขยายตัวดี แต่ส่งไปไม่ถึงเศรษฐกิจ เหตุสัดส่วน Transshipment พุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไขทุกข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มัดรวมคำถาม-คำตอบ 22 ข้อ https://thestandard.co/tiew-dee-mee-kuen-faqs/ Mon, 03 Nov 2025 12:44:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1139355 ไขทุกข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มัดรวม คำถาม-คำตอบ 22 ข้อ

รวมข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มาตรการสนับสนุนการ […]

The post ไขทุกข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มัดรวมคำถาม-คำตอบ 22 ข้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไขทุกข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มัดรวม คำถาม-คำตอบ 22 ข้อ

รวมข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ประกอบด้วย มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านฝึกอบรม ประชุม และสัมมนาของภาครัฐ และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก

 


 

รวมคำถามสำหรับ ‘บุคคลธรรมดา’

 

1. โฮมสเตย์ไทยที่เข้าข่ายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ (สำหรับบุคคลธรรมดา) คือโฮมสเตย์ไทยใดบ้าง?

 

ตอบ: โฮมสเตย์ตามประกาศกรมการก่องเที่ยว เรื่อง รายชื่อโฮมสเตย์ที่ได้รับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อโฮมสเตย์ได้ที่ https:/www.dot.go.th/news/inform/detail/7918 และโฮมสเตย์นั้นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร

 

2. ร้านอาหารต้องเป็นร้านอาหารในโรงแรมที่พักหรือไม่?

 

ตอบ: เป็นร้านอาหารใดก็ได้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นร้านอาหารในโรงแรมที่พัก และไม่จำเป็นต้องมีการพักโรงแรม โฮมสเตย์ หรือสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม จึงสามารถหักลดหย่อนค่าบริการของร้านอาหาร การท่องเที่ยวโดยไม่มีการเข้าพักดังกล่าว ก็สามารถหักลดหย่อนค่าบริการของร้านอาหารได้เช่นกัน

 

3. ค่าบริการของร้านอาหารคือค่าใช้จ่ายใด?

 

ตอบ: 1. ค่าอาหาร 2. ค่าเครื่องดื่ม 3. ค่าบริการอื่น ๆ ในการใช้บริการของร้านอาหาร เช่น Service Charge

 

4. ผู้มีเงินได้สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวที่สามารถออก e-Tax Invoice ได้จากที่ใด?

 

ตอบ: สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร

 

5. e-Tax Invoice คืออะไร และแตกต่างจากใบคำกับภาษีในรูปแบบกระดาษอย่างไร?

 

ตอบ: e-Tax Invoice คือ ใบกำกับภาษีที่ได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ไม่ต้องเก็บรักษาใบกำกับภาษีและไม่ต้องจัดส่งให้กรมสรรพากรในการใช้สิทธิตามมาตรการภาษีนี้ โดยสามารถใช้ข้อมูล e-Tax Invoice ในฐานข้อมูลของกรมสรรพากรในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี และเจ้าหน้าที่จะไม่ขอให้ส่งใบกำกับภาษีอีก

 

6. ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) กับระบบการขอใบกำกับภาษี โดยการประทับรับรองเวลา (e-Tax Invoice by Time Stamp) แตกต่างกันอย่างไร?

 

ตอบ: แตกต่างกันที่วิธีการจัดทำและการนำส่ง e-Tax Invoice แต่ e-Tax Invoice ที่จัดทำจากทั้ง 2 ระบบสามารถเป็นหลักฐานในการใช้สิทธิตามมาตรการภาษีนี้

 

7. ผู้ประกอบการจดเบียนภาษีมูลเพิ่มสามารถสมัคร e-Tax Invoice ได้อย่างไร

 

ตอบ: ผู้ประกอบการสามารถสมัคร e-Tax Invoice ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร ในกรณีที่ผู้ประกอบการต้องการสมัคร e-Tax Invoice by Time Stamp สามารถสมัครได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรเช่นกัน

 

8. ต้องใช้หลักฐานใดในการใช้สิทธิตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ในประเทศ (สำหรับบุคคลธธรรมดา)?

 

ตอบ: หลักฐานที่ใช้ คือ ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบกระดาษหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ซึ่งรวมถึง e-Tax Invoice by Time Stamp ทั้งนี้ ใบกำกับภาษีต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้มีเงินได้ และต้องมี วัน เดือน ปีที่เข้าพักหรือรับบริการจากร้านอาหารและจังหวัดที่ที่พักหรือร้านอาหารตั้งอยู่

 


 

รวมคำถามสำหรับ ‘มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล’

 

1. ห้องพักและห้องสัมมนาต้องอยู่ที่เดียวกันหรือไม่

 

ตอบ: ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียวกัน

 

2. รายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนาคือรายจ่ายใด

 

ตอบ: ค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการ ค่าวิทยากร และค่าวัสดอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการอบรมสัมมนา เช่น ค่าเอกสารประกอบการอบรม ค่าจ้างถ่ายเอกสาร ค่าบันทึกภาพและเสียง ค่าจัดทำสื่อที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม เป็นต้น

 

3. ผู้ต้องการใช้สิทธิสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่สามารถออก e-Tax Invoice และ e-Receipt ได้จากที่ใด

 

ตอบ: สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://etax.rd.go.th/ETAXSEARCH/

 

4. e-Tax Invoice และ e-Receipt คืออะไร และแตกต่างจากใบกำกับภาษีและใบรับในรูปแบบกระดาษอย่างไร และระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) กับระบบการขอทำใบกำกับภาษี โดยการประทับรับรองเวลา (e-Tax Invoice by Time Stamp) แตกต่างกันอย่างไร

 

ตอบ: e-Tax Invoice และ e-Receipt คือ ใบกำกับภาษีและใบรับที่ได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไม่ต้องเก็บรักษาใบกำกับภาษีและใบรับ และไม่ต้องจัดส่งให้กรมสรรพากรในการใช้สิทธิหักรายจ่ายตามมาตรการภาษีนี้ โดยสามารถใช้ข้อมูล e-Tax Invoice และ e-Receipt ในฐานข้อมูลของกรมสรรพากรในการยื่นแบบแสดงรายการภาษี และเจ้าหน้าที่จะไม่ขอให้ส่งใบกำกับภาษีหรือใบรับอีก

 

5. ผู้ประกอบการสามารถสมัคร e-Tax Invoice และ e-Receipt ได้อย่างไร

 

ตอบ: ผู้ประกอบการสามารถสมัคร e-Tax Invoice และ e-Receipt ได้ที่เว็บโชต์ของกรมสรรพากร ในกรณีที่ผู้ประกอบการต้องการสมัคร e-Tax Invoice by Time Stamp สามารถสมัครได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรเช่นกัน

 

6. ต้องใช้หลักฐานใดในการใช้สิทธิหักรายจ่ายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ

 

ตอบ: หลักฐานที่ใช้ คือ ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตร 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เว้นแต่ค่าขนส่งที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการที่มิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้ใบรับตามมาตรา 105 แห่งประมวลรัษฎากรที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)

 

7. ผู้ใช้สิทธิสามารถขอ e-Tax Invoice และ e-Receipt จากผู้ประกอบการได้อย่างไร

 

ตอบ: หากเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติให้ออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt จากกรมสรรพากร ผู้ใช้สิทธิสามารถแจ้งความประสงค์ต่อผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ออก e-Tax Invoice เว้นแต่ค่าขนส่งสามารถแจ้งความประสงค์ต่อผู้ประกอบการที่มิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ออก e-Receipt

 

8. ผู้ต้องการใช้สิทธิต้องจัดทำโครงการอบรมสัมมนาหรือไม่

 

ตอบ: ต้องจัดทำโครงการอบรมรมสัมมนา โดยมีเอกสารหลักฐานประกอบโครงการ

 


 

รวมคำถามสำหรับ ‘มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก’

 

1. เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบและยึดติดกับอาคารเป็นการถาวร มีลักษณะอย่างไร

 

ตอบ: ต้องไม่อาจแยกจากอาคารได้ นอกจากจะทำลาย ทำให้บบสลาย หรือทำให้ให้เปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

 

2. โรงแรมที่สามารถใช้สิทธิหักรายจ่ายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก มีอะไรบ้าง

 

ตอบ: โรงแรมตามพระราชบัญญัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ซึ่งหมายถึง สถานที่พักที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจ เพื่อให้บริการที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทางหรือบุคคคลอื่นใด โดยมีค่าตอบแทน และแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้

 

1.) โรงแรมประเภท 1 หมายความว่า โรงแรมที่ให้บริการเฉพาะห้องพัก และมีห้องพักไม่เกิน50 ห้อง

2.) โรงแรมประเภท 2 หมายความว่า โรงแรมที่ให้บริการเฉพาะห้องพักเกิน 50 ห้องขึ้นไป หรือโรงแรมที่ให้บริการห้องพักและห้องอาหารหรือสถานที่สำหรับบริการอาหารหรือสถานที่สำหรับประกอบอาหาร

3.) โรงแรมประเภท 3 หมายความว่า โรงแรมที่ให้บริการห้องพัก ห้องอาหารหรือสถานที่สำหรับบริการอาหารหรือสถานที่สำหรับประกอบอาหาร และสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการหรือห้องประชุมสัมมนา

4.) โรงแรมประเภท 4 หมายความว่า โรงแรมที่ให้บริการห้องพัก ห้องอาหารหรือสถานที่สำหรับบริการอาหารหรือสถานที่สำหรับประกอบอาหาร สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการและห้องประชุมสัมสัมมนา

 

3. หากปรับปรุงโรงแรมไม่แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 แต่ได้มีการจ่ายเงินไปแล้ว จะใช้สิทธิหักรายจ่ายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พักได้หรือไม่ อย่างไร

 

ตอบ: ไม่สามารถใช้สิทธิได้ เนื่องจากต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตามประสงค์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569

 

4. หากจ้างออกแบบปรับปรุงโรงแรมโดยจ่ายเงินภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 แต่ปรับปรุงโรงแรมไม่แล้วเสร็จและไม่พร้อมใช้งานภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 จะสามารถใช้สิทธิตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พักได้หรือไม่

 

ตอบ: ไม่สามารถใช้สิทธิได้ อย่างไรก็ดี หากมีการลงทนปรับปรงโรงแรมแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานตามประสงค์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 และมีการบันทึกค่าจ้างออกแบบดังกล่าว รวมอยู่ในบูลค่าของทรัพย์สินก็สามารถใช้สิทธิได้

 

5. การซ่อมแซมอาคารสามารถใช้สิทธิตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พักได้หรือไม่

 

ตอบ: หากเป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ไม่สามารถใช้สิทธิได้

 

6. หากต้องการใช้สิทธิตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก จะต้องดำเนินการอย่างไร และต้องใช้หลักฐานใด

 

ตอบ:

 

1.) ต้องจัดทำโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงินและแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (http://www.rd.go.th) ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569

 

2.) ต้องจัดทำรายงานแสดงรายละเอียดของทรัพย์สินที่ใช้สิทธิตามที่อธิบดีกรมสุรรพากร ประกาศกำหนดและเก็บรักษารายงานดังกล่าว รวมทั้งเอกสารประกอบการลงรายการ ในรายงานไว้ ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เอกสารหลักฐานดังกล่าวต้องมีสัญญา ใบสั่งซื้อ ใบสั่งจ้าง หรือข้อตกลงในลักษณะทำนองเดียวกันรวมอยู่ด้วย

The post ไขทุกข้อสงสัย มาตรการ ‘เที่ยวดี มีคืน’ มัดรวมคำถาม-คำตอบ 22 ข้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทินถก ครม. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนท่องเที่ยว ยกระดับปราบสแกมเมอร์ ด้านสำนักงบฯชงแผนเร่งเบิกจ่ายกว่า 4 ล้านล้านบาท https://thestandard.co/cabinet-approves-stimulus-budget-fraud/ Tue, 21 Oct 2025 04:35:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1133237 COVER - Cabinet approves stimulus budget fraud.

วันนี้ (21 ตุลาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐ […]

The post อนุทินถก ครม. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนท่องเที่ยว ยกระดับปราบสแกมเมอร์ ด้านสำนักงบฯชงแผนเร่งเบิกจ่ายกว่า 4 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - Cabinet approves stimulus budget fraud.

วันนี้ (21 ตุลาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเป็นการส่วนตัว ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เนื่องในวันครบรอบถึงแก่กรรมของ พลเอกเจ้าพระยารามราฆพ ในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2510 รวม 58 ปี ในฐานะเจ้าของบ้านนรสิงห์ ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังถือเป็นการทำบุญตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งวันนี้ตรงกับวันพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามประเพณี

 

ก่อนที่ อนุทินเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดย อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน Maha Loi Krathong World Event ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดสุโขทัย และพระนครศรีอยุธยา และงาน Vijit Chao Phraya 2025 ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 ณ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ

 

สำหรับวาระการประชุม ครม. กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเน้นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในประเทศ และเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ โดยมี 4 มาตรการ ประกอบด้วย

 

  • มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ให้ผู้มีรายได้บุคคลธรรมดานำค่าใช้จ่ายจากที่พัก โรงแรม โฮมสเตย์ และร้านอาหารมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 20,000 บาท โดย 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ อีก 10,000 บาท ต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)

 

ขณะที่ จังหวัดท่องเที่ยวรอง 55 จังหวัด ได้สิทธิลดหย่อน 1.5 เท่า เพื่อกระจายรายได้สู่พื้นที่ เริ่มใช้ 29 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2568

  • มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบฝึกอบรม (Front Load) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งเบิกจ่ายงบฝึกอบรมและสัมมนาอย่างน้อย 60% ภายใน ตุลาคม 68-มกราคม 69 ส่งเสริมให้จัดอบรมในจังหวัดท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดรอง และนำผลเบิกจ่ายเป็นหนึ่งใน ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (KPI) ของผู้บริหารภาครัฐ
  • ขยายเวลาลดภาษีสถานบันเทิง ต่ออัตราภาษีสรรพสามิต จาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี (1 มกราคม-31 ธันวาคม 2569) ครอบคลุมกิจการไนต์คลับ ผับ บาร์ และสถานบันเทิงที่มีการแสดงดนตรีหลังเที่ยงคืน
  • มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมและที่พัก ให้หักรายจ่ายลงทุนปรับปรุงโรงแรมได้ 2 เท่า ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับมูลค่ารายจ่ายนั้น มีผลตั้งแต่ 29 ตุลาคม 68-31 มีนาคม 69

 

ขณะที่ สำนักงบประมาณจะเสนอให้เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณกว่า 4 ล้านล้านบาท ของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี

 

พร้อมกันนี้ จะมีการนำผลประชุม การยกระดับการปราบปรามสแกมเมอร์และมิจฉาชีพออนไลน์ เป็น ‘วาระแห่งชาติ’ เข้าที่ประชุม ครม. เพื่อบูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ ครม. จะมีการรับทราบกรอบการประชุม GBC ของของฝ่ายไทย ก่อนการประชุม GBC กลับประเทศที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย วันที่ 23 ตุลาคม 2568 โดย 4 ประเด็นหลักๆ คือ การถอนอาวุธหนัก, การเก็บกู้ทุ่นระเบิด, อาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17

The post อนุทินถก ครม. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนท่องเที่ยว ยกระดับปราบสแกมเมอร์ ด้านสำนักงบฯชงแผนเร่งเบิกจ่ายกว่า 4 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
LINE MAN รับลูกนโยบาย ‘คนละครึ่ง พลัส’ ดึง ‘หนุ่ม กรรชัย’ เสริมทัพแคมเปญ ปลุกยอดขายร้านอาหารทั่วประเทศ https://thestandard.co/line-man-konla-khrueng-plus-200-million-campaign/ Wed, 15 Oct 2025 06:19:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1130805 line-man-konla-khrueng-plus-200-million-campaign

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN กล่าวว […]

The post LINE MAN รับลูกนโยบาย ‘คนละครึ่ง พลัส’ ดึง ‘หนุ่ม กรรชัย’ เสริมทัพแคมเปญ ปลุกยอดขายร้านอาหารทั่วประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
line-man-konla-khrueng-plus-200-million-campaign

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN กล่าวว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการสั่งอาหารเดลิเวอรีได้จริง ผู้ใช้สามารถสั่งผ่าน LINE MAN และชำระด้วยสิทธิคนละครึ่ง พลัสได้สะดวก

 

ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายรายได้ให้ร้านอาหารและไรเดอร์ทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมา มีร้านอาหารเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งกับฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีเกือบ 100,000 ร้าน โดยกว่า 60–70% เลือกใช้ LINE MAN นอกจากนี้ยังมียอดผู้ใช้งานคนละครึ่ง ผ่าน LINE MAN จากเฟสที่ผ่านมาทั้งหมดกว่า 7 ล้านสิทธิ์

 

ล่าสุดได้เลือก ‘หนุ่ม กรรชัย’ มาร่วมแคมเปญครั้งนี้ ถือเป็นจังหวะที่คมและแม่นของ LINE MAN ที่มองเห็นเทรนด์ทันกระแส เพราะนอกจากจะเป็นคนข่าวที่อยู่ในกระแสสังคมตลอดเวลาแล้ว ยังเพิ่งสร้างปรากฏการณ์ไวรัลจากไลฟ์ดังแห่งปี ที่กวาดยอดขายถล่มทลายหลายสิบล้าน จนเป็นกระแสไวรัลดังบนโลกออนไลน์ ซึ่งมองว่าการใช้พลังความแมสและความน่าเชื่อถือของคนข่าวระดับประเทศมาเป็นกระบอกเสียงให้เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น

 

ส่วนในมุมของร้านอาหารนอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานสิทธิคนละครึ่งได้ง่ายทั้งฝั่งร้านค้าและผู้บริโภค LINE MAN ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ภายใต้โครงการ คนละครึ่ง พลัส เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายร้านอาหารและสร้างความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ

 

โดยร้านอาหารที่สมัครเข้าร่วมโครงการผ่าน LINE MAN ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน เป็นต้นไป จะได้รับสิทธิพิเศษ ได้แก่

 

  1. ลดค่าธรรมเนียม GP เป็นกรณีพิเศษ สำหรับออเดอร์จากโครงการ คนละครึ่ง พลัส
  2. คูปองส่วนลดสำหรับร้านค้าเพื่อนำไปทำโปรโมชั่น มูลค่า 3,000 บาท
  3. Ads Credit เพิ่มการมองเห็นของร้านในแอปพลิเคชัน สูงสุด 1,000 บาท
  4. ขยายระยะทางส่งฟรีเป็น 5 กิโลเมตร
  5. สื่อโฆษณา ณ จุดขาย (POSM) เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าร้านสามารถสั่งผ่านโครงการ คนละครึ่ง พลัส ได้
  6. ส่วนลดค่าบริการระบบจัดการร้านอาหาร (POS) สูงสุด 8,000 บาท และกิจกรรมทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง

 

อีกทั้ง ยังได้เตรียมแคมเปญการตลาดและงบโปรโมชั่นให้ส่วนลดค่าอาหาร และคูปองส่วนลด ให้ผู้ใช้สิทธิคนละครึ่ง ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า LINE MAN ไม่ได้เพียงตอกย้ำสถานะ เบอร์ 1 คนละครึ่ง แต่ยังเดินเกมเชิงรุกด้วยกลยุทธ์ที่เข้าใจทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

The post LINE MAN รับลูกนโยบาย ‘คนละครึ่ง พลัส’ ดึง ‘หนุ่ม กรรชัย’ เสริมทัพแคมเปญ ปลุกยอดขายร้านอาหารทั่วประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สติธรชี้ โครงการคนละครึ่งพลัส คุ้มสองต่อ เศรษฐกิจหมุนเวียน-ดึงประชาชน เข้าระบบภาษี https://thestandard.co/khonla-krueng-plus-tax-status-subsidy/ Thu, 09 Oct 2025 07:38:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1128538 khonla-krueng-plus-tax-status-subsidy

วันนี้ (9 ตุลาคม) ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะร […]

The post สติธรชี้ โครงการคนละครึ่งพลัส คุ้มสองต่อ เศรษฐกิจหมุนเวียน-ดึงประชาชน เข้าระบบภาษี appeared first on THE STANDARD.

]]>
khonla-krueng-plus-tax-status-subsidy

วันนี้ (9 ตุลาคม) ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นต่อโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคมนี้ว่า ถือเป็นการต่อยอดนโยบายที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้ว และเป็นแนวทางที่ช่วยทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในเวลาเดียวกัน

 

ดร.สติธรกล่าวว่า จุดเด่นของโครงการคนละครึ่งพลัส อยู่ที่การอุดหนุนเงินตามสถานะภาษีของผู้ได้รับ ซึ่งช่วยให้เงินหมุนเวียนลงสู่ร้านค้ารายย่อยได้รวดเร็วและทั่วถึง ขณะเดียวกันยังสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง ถือเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่เกิดประโยชน์สองต่อ ทั้งในระยะสั้นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ และในระยะยาวคือการเชื่อมโยงนโยบายเข้ากับระบบภาษีที่ช่วยเสริมสร้างวินัยทางการคลังของประเทศ

 

ดร.สติธรแนะนำว่า สิ่งที่ต้องระวังคือปัญหาทางเทคนิคและการใช้งานระบบ เนื่องจากเป็นโครงการที่ประชาชนจำนวนมากเคยเข้าร่วมมาก่อน ระบบการลงทะเบียนจึงต้องมีความเสถียร และต้องป้องกันพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผิดเงื่อนไข เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นและผลลัพธ์เชิงบวกของโครงการในภาพรวม

The post สติธรชี้ โครงการคนละครึ่งพลัส คุ้มสองต่อ เศรษฐกิจหมุนเวียน-ดึงประชาชน เข้าระบบภาษี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทิน นำประชุม ครม. จ่อไฟเขียวคนละครึ่งพลัส งบ 4.4 หมื่นล้าน https://thestandard.co/cabinet-khon-la-krueng-plus-oct-20-wpo/ Tue, 07 Oct 2025 04:20:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1127427 cabinet-khon-la-krueng-plus-oct-20-wpo

วันนี้ (7 ตุลาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล […]

The post อนุทิน นำประชุม ครม. จ่อไฟเขียวคนละครึ่งพลัส งบ 4.4 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
cabinet-khon-la-krueng-plus-oct-20-wpo

วันนี้ (7 ตุลาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการของรัฐบาล และเป็นสัปดาห์แรก ของการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 

 

สำหรับวาระที่น่าสนใจในการประชุม ครม. วันนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส ภายใต้กรอบวงเงิน 44,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบฯ 2569 วงเงิน 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะครอบคลุมประชาชนกว่า 20 ล้านสิทธิ

 

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตังได้ระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคมนี้ โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับสิทธิ์คนละ 2,400 บาท ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับ 2,000 บาท และคาดว่าจะเริ่มใช้สิทธิ์ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะพิจารณาแผนบูรณาการการทำงานตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลในแต่ละด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และดิจิทัล เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีเอกภาพและลดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน 

 

อีกทั้งอาจมีการพิจารณางบเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายความมั่นคงจะรายงานสถานการณ์ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เนื่องจากวันนี้ครบกำหนดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ส่งแผนอพยพชาวกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านคลองแผง รวมถึงจะมีการรายงานความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด 

ขณะเดียวกัน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเสนอแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐในการจัดทำความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม. และเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายด้านเศรษฐกิจ 

 

รวมถึงเสนอแนวทางดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 1896/2568 ระหว่าง ธนพร ศรียากูล ผู้ฟ้องคดี กับคณะรัฐมนตรีและพวก รวม 3 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอนุมัติรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 68 ประจำปีการศึกษา 2568-2569 ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ

 

นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะรายงานรายชื่อคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี, กระทรวงคมนาคมจะเสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือนด้วย ส่วนการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย วงเงินกว่า 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม ครม. วันที่ 14 ตุลาคมนี้

 

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 2 ที่มีนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธาน

The post อนุทิน นำประชุม ครม. จ่อไฟเขียวคนละครึ่งพลัส งบ 4.4 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภราดรไม่กังวลถูกร้องโยกงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้ทำ ‘คนละครึ่งพลัส’ เหตุเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่แล้ว https://thestandard.co/19-billion-stimulus-fund-defended/ Tue, 07 Oct 2025 03:02:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1127392 ภราดรไม่กังวลถูกร้องโยกงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้ทำ คนละครึ่งพลัส เหตุเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่แล้ว

วันนี้ (7 ตุลาคม) ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนั […]

The post ภราดรไม่กังวลถูกร้องโยกงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้ทำ ‘คนละครึ่งพลัส’ เหตุเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภราดรไม่กังวลถูกร้องโยกงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้ทำ คนละครึ่งพลัส เหตุเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่แล้ว

วันนี้ (7 ตุลาคม) ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ เปิดเผยถึงกรณีถูกวิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการใช้งบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท มาใช้ในโครงการ คนละครึ่งพลัส ซึ่งเป็นงบที่ควรจะใช้ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน ว่า งบกลางเป็นส่วนที่รัฐบาลตั้งไว้ในแต่ละปี โดยรัฐบาลก่อน ได้แยกส่วนเอาไว้ 25,000 ล้านบาท เพื่อเอามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะ ซึ่งโครงการคนละครึ่ง ต้องใช้เงินทั้งสิ้น 44,000 ล้านบาท มีอยู่ในส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท ทำให้ยังขาดอยู่อีก 19,000 ล้านบาท จึงต้องไปหยิบมาจากงบกลาง ที่ตั้งไว้ทั้งหมด 99,000 ล้านบาท

 

ภราดรยอมรับว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่ผู้ตั้งงบประมาณ เป็นผู้ที่ใช้งบประมาณจากที่รัฐบาลเดิมตั้งไว้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาช่องทางมาเติมเต็มเพื่อให้นโยบายสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังประกาศนโยบายว่า จะต่อสู้กับ 4 ภัย ซึ่งมีด้านเศรษฐกิจก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ใช้งบกลางมาเติมในส่วนนี้ได้

 

ส่วนจะกระทบหรือไม่หากในอนาคตเกิดความจำเป็นเร่งด่วน ภราดรกล่าวว่า ในปีงบประมาณปกติ รัฐบาลได้ดูแล้วว่างบประมาณในการเยียวยาประชาชนอยู่ที่ประมาณ 20,000- 30,000 ล้านบาท จึงยังมีพื้นที่พอที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ส่วนหากมีการร้องเรียนในการใช้งบกลางส่วนนี้กังวลหรือไม่ ภราดรกล่าวว่า งบกลางเขียนไว้ชัดเจนว่าสามารถใช้ได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ สามารถเรียกได้ว่า ฉุกเฉิน จำเป็น และเร่งด่วน

 

ส่วนวงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาทที่จะใช้ ได้ประมาณการไว้หรือไม่ว่าจะสร้างการหมุนเวียนไว้เท่าไร ภราดรกล่าวว่า เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประเมินว่าในช่วงไตรมาสสุดท้าย สามารถขยับตัวเลข GDPได้ 0.3-0.4%

The post ภราดรไม่กังวลถูกร้องโยกงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้ทำ ‘คนละครึ่งพลัส’ เหตุเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดข้อเสนอแนะนักวิชาการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ ทำให้อย่างไรให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ https://thestandard.co/half-half-project-2-assessment/ Thu, 11 Sep 2025 00:41:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1118036 half-half-project-2-assessment

หัวข้อในเนื้อหานี้   จุดแข็งที่ต้องรักษา: คนคุ้นเค […]

The post เปิดข้อเสนอแนะนักวิชาการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ ทำให้อย่างไรให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
half-half-project-2-assessment

หัวข้อในเนื้อหานี้

 

 

‘ปัญหาเศรษฐกิจ’ ถือเป็น 1 ใน 4 ปัญหาเร่งด่วนที่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรีประกาศว่า จะเร่งแก้ไข โดยเตรียมปัดฝุ่น นำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อหวังช่วยประชาชนลดรายจ่ายและค่าครองชีพ พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า โครงการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ นี้อาจมีการปรับปรุงและอัปเกรดในรายละเอียดต่างๆ รวมไปถึงการเพิ่มสูตรการให้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ เป็นสูตร 60:40 (โดยรัฐช่วยอุดหนุนในสัดส่วน 60% และประชาชนจ่าย 40%)

 

โดยรายละเอียดคาดว่า จะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจาก ‘ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ’ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับโปรดเกล้าฯ

 

ดังนั้น ระหว่างนี้ THE STANDARD WEALTH จึงได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยนำเสนอว่า รัฐบาลควรปรับปรุงโครงการ ‘คนละครึ่ง’ นี้อย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมไปถึงฐานะทางการคลังของไทยที่ไม่แข็งแกร่งเช่นเก่า

 

จุดแข็งที่ต้องรักษา: คนคุ้นเคย-ช่วยร้านเล็ก

 

รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงกรณีที่รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ มีแนวคิดที่จะนำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้อีกครั้ง โดยระบุว่า การฟื้นโครงการ ‘คนละครึ่ง’ มีข้อดีคือ ทั้งร้านค้าและประชาชนมีความคุ้นเคยกับโครงการนี้ รวมถึงการมีโครงสร้างพื้นฐาน อย่างแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ก็จะช่วยทำให้การดำเนินการและการลงทะเบียนร้านค้าใหม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

 

นอกจากนี้ งานวิจัยยืนยันชัดเจนว่า โครงการคนละครึ่งที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการช่วยเหลือ ‘ร้านค้าขนาดเล็ก’  ดังนั้น หนึ่งในจุดแข็งของโครงการคือการ ‘ขยายฐานลูกค้า’ ให้กับร้านค้ารายย่อยได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยร้านค้ามีลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้น และที่น่าสนใจคือ แม้โครงการจะสิ้นสุดลง ร้านค้าเหล่านี้จำนวนมากยังคงรักษายอดขายที่ดีไว้ได้ เนื่องจากลูกค้าใหม่ได้กลายมาเป็นลูกค้าประจำ

 

ข้อจำกัดที่อาจต้องแก้ไข: กระตุ้นการใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่ – Crowding Out Effect

 

อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.อธิภัทร ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดในโครงการ ‘คนละครึ่ง’ รอบก่อน โดยจากการศึกษาที่ทำร่วมกับ LINE MAN Wongnai พบว่า แม้โครงการจะช่วยเหลือร้านค้าขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี แต่กลับมีประสิทธิผลในการกระตุ้นการบริโภคโดยรวมค่อนข้างน้อย จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Crowding Out Effect’

 

“ตามการศึกษาพบว่า โครงการคนละครึ่งครั้งก่อน เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Crowding Out Effect ก็คือ ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการหันไปใช้เงินกับร้านที่เข้าร่วม แล้วลดการซื้อจากร้านที่ไม่ได้เข้าร่วม อย่างมีนัยสำคัญ พูดง่ายๆ คือ เหมือนการเปลี่ยนที่ซื้อมากกว่าการเพิ่มยอดซื้อ” รศ. ดร.อธิภัทร กล่าว

 

นอกจากนี้ รศ. ดร.อธิภัทร เปิดเผยอีกว่า จากงานวิจัยพบว่า ค่าประสิทธิผลในการกระตุ้นการใช้จ่าย (Marginal Propensity to Consume – MPC) จากโครงการคนละครึ่งครั้งก่อน อยู่ที่ 0.4 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ 1 บาทที่รัฐอุดหนุน ก่อให้เกิดการใช้จ่ายจริงในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเพียง 40 สตางค์ ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการแจกเงินสดโดยไม่มีเงื่อนไข

 

ถอดบทเรียนจากจีน: ทำอย่างไรให้เงินที่รัฐจ่าย 1 บาท กระตุ้นการใช้จ่ายถึง 3 บาท

 

รศ. ดร.อธิภัทร ได้ยกตัวอย่างมาตรการลักษณะเดียวกันในประเทศจีน ซึ่งสามารถสร้างค่า MPC ได้สูงถึง 3.0 หรือรัฐให้เงิน 1 บาท แต่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้ถึง 3 บาท 

 

โดยปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่การออกแบบเงื่อนไขที่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจริง ได้แก่ 

  1. ‘กำหนดเกณฑ์การใช้จ่ายขั้นต่ำ’ กล่าวคือ ผู้ใช้ต้องซื้อสินค้าถึงยอดที่กำหนดก่อนจึงจะได้รับส่วนลด
  2. ‘จำกัดเวลาการใช้งาน’ เนื่องจาก คูปองมีอายุสั้นแบบ ‘วันต่อวัน’ จะช่วยเร่งการตัดสินใจใช้จ่าย

 

โดยแนวทางดังกล่าวคล้ายกับโปรโมชันของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่คนไทยคุ้นเคย เช่น “ลด 20% เมื่อซื้อขั้นต่ำ 200 บาท” ซึ่งแตกต่างจากโครงการคนละครึ่งเดิมที่ให้ส่วนลด 50% ตั้งแต่บาทแรกและสามารถทยอยใช้ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเขต

 

“สิ่งที่จีนทำแตกต่างจากเราคือ เขากำหนดเกณฑ์การใช้จ่ายขั้นต่ำที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายปกติเล็กน้อย และที่สำคัญคือคูปองส่วนลดมีอายุแบบวันต่อวัน ถ้าไม่ใช้ในวันนั้นสิทธิ์ก็จะหายไป สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจให้คนเร่งใช้จ่าย ต่างจากของไทยที่ให้ส่วนลด 50% ตั้งแต่บาทแรก และสามารถทยอยใช้สิทธิ์ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเฟส ทำให้ขาดแรงกระตุ้นให้คนใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าปกติ” รศ. ดร.อธิภัทร กล่าว

 

เปิดข้อเสนอแนะ การทำ ‘คนละครึ่ง’ 2.0

 

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการภายใต้งบประมาณที่จำกัด รศ. ดร.อธิภัทร ได้เสนอแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขหลายประการ ดังนี้

 

  1. กำหนดเกณฑ์การใช้จ่ายขั้นต่ำ: อาจมีการกำหนดว่าต้องซื้อสินค้าถึงยอดที่กำหนดจึงจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายปกติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจริง

 

“สำหรับการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำอาจจะต้องดูว่า แล้วปกติค่าเฉลี่ยการซื้อคนในโครงการเนี่ยจะซื้อกันกี่บาท ถ้ามันกำหนดสูงเกินไปก็อาจจะไม่เวิร์ก แล้วคนก็รู้สึกว่า ถ้ากำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำสูงขนาดนั้น ไม่เอาดีกว่า ก็อาจจะต้องออกแบบให้ยังน่าดึงดูดอยู่”  รศ. ดร.อธิภัทร 

 

  1. จำกัดสิทธิ์การใช้แบบรายวัน: โดยแบ่งวงเงินรวมออกเป็นยอดใช้จ่ายรายวัน เช่น ให้วันละ 150 บาท หากไม่ใช้ภายในวันนั้น สิทธิ์ของวันนั้นจะถูกตัดไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ


 

“สมมติให้วงเงินทั้งหมด 3,000 บาท เราอาจจะกำหนดว่า ประชาชนไม่สามารถทยอยใช้ได้ทั้งหมด แต่มีการกำหนดโควตารายวัน เช่น วันนี้ 150 บาท ถ้าไม่ใช้ สิทธิ์ของวันนี้ก็หมดไป วันถัดมาก็ได้อีก 150 บาท วิธีนี้จะทำให้คนเร่งใช้จ่ายมากขึ้น”

 

ใช้งบอย่างฉลาด ในวันที่ ‘กระสุนการคลัง’ มีจำกัด

 

รศ. ดร.อธิภัทร เน้นย้ำว่า สถานการณ์ทางการคลังในปัจจุบันแตกต่างจากสมัยรัฐบาลก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น รัฐบาลอาจต้องพิจารณากำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่า ต้องการเพียงแค่ช่วยเหลือร้านค้า หรือต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย ซึ่งหากเป้าหมายคืออย่างหลัง การปรับปรุงเงื่อนไขตามที่เสนอจะเป็นโจทย์ที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า 

 

“ต้องยอมรับว่าตอนนี้กระสุนทางการคลังของเรามีไม่เยอะเหมือนเดิม โดยโครงการคนละครึ่งครั้งก่อน มีการทำหลายเฟส ใช้งบประมาณเป็นหลักแสนล้าน แต่ปัจจุบันงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเหลือเพียงราว 25,000 ล้านบาท และยังต้องกันส่วนหนึ่งไว้สำหรับมาตรการอื่นๆ อีก ดังนั้นการใช้งบประมาณที่จำกัดจึงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้มากที่สุด”

 

“หลายคนบ่นว่า เศรษฐกิจซบเซา หนี้ครัวเรือนก็เป็นปัญหาใหญ่ การนำเครื่องมือที่คนคุ้นเคยกลับมาใช้และทำให้มันเวิร์คขึ้น โดยทำให้มั่นใจว่าเงินที่ใส่ลงไปมันคุ้มค่า กระตุ้นให้คนใช้จ่ายมากขึ้นจริง ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล และต้องไม่ลืมว่า โครงการนี้เป็นเพียงมาตรการกระตุ้นระยะสั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว” รศ. ดร.อธิภัทร กล่าว

 

KResearch แนะรัฐพิจารณาลดเงินอุดหนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงการ พร้อมมุ่งเป้าเฉพาะคนจ่ายภาษี

 

บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) แนะว่า หากรัฐบาลอยากนำ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้อีกครั้ง อาจพิจารณาลดเงินอุดหนุนลง จาก 50% เป็น 20% หรือ 30%  เพื่อทำให้เงินหมุนเร็วขึ้น หรือกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น

 

นอกจากนี้ บุรินทร์ ยังแนะว่า ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งครั้งนี้ก็ควรจำกัดเกณฑ์เฉพาะผู้ที่จ่ายหรือยื่นภาษีเงินได้เช่น ขณะที่ในฝั่งร้านค้าก็ควรเป็นร้านที่จ่ายภาษี หรือได้ยื่น VAT เนื่องจากมองว่า โครงการนี้เป็นจังหวะดีในการขยายฐานภาษี และเป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องยื่นภาษี แต่ยังมีผู้คนอีกมากไม่ค่อยยื่นภาษี

 

ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยล่าสุดของ ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ปัจจุบัน มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาราว 11 ล้านคน และมีผู้เสียภาษีเงินได้นี้ราว 4 ล้านคน

 

ขณะที่ ตามการคำนวณ ‘ล่าสุด’ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่า ในปี 2564 คาดว่า มีแรงงานที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นแบบจำนวนกว่า 19 ล้านคน จากกำลังแรงงานในระบบทั้งหมดราว 40 ล้านคน

 

KResearch มองควรออกแบบใหม่ให้ตรงจุด-สร้างประโยชน์ระยะยาว

 

ขณะที่ ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวว่า เนื่องจาก มีงบประมาณค่อนข้างจำกัดอยู่ที่ 25,000 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องออกแบบนโยบายให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต โดยเสนอให้ต่อยอดจากโครงการเดิม แต่ยกเลิกแนวคิด ‘One Size Fits All’ หรือการอุดหนุนในสัดส่วน 50:50 เท่ากันทุกคน

 

พร้อมทั้งแนะว่า รัฐบาลอาจจะออกโครงการเพิ่ม คล้ายการแจกบัตรกำนัล (Voucher)ให้กับคนที่มีรายได้ อย่างที่เคยทำ ช่วงปี 2564 ที่มีเงื่อนไขยิ่งจ่ายยิ่งได้ เพื่อกระตุ้นให้คนที่มีรายได้ไปเพิ่มการใช้จ่าย

 

อีกประเด็นสำคัญที่ ณัฐพรเน้นย้ำ คือการสร้างและใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล (Database) ของผู้เข้าร่วมโครงการ ทั้งประชาชนและร้านค้า เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่าย และนำไปออกแบบมาตรการให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต

 

“ในระยะข้างหน้า ไทยจะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณจะมีมากขึ้น ดังนั้น จึงต้อง Target แบบยิงนัดเดียวต้องตรงเป้าเลย” ณัฐพร กล่าว

 

ขณะที่ เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมในมิติของการกระจายประโยชน์ โดยเสนอว่ารัฐบาลควรมีกลไกสนับสนุนให้โครงการกระจายตัวไปสู่พื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ไม่กระจุกตัวอยู่แค่ในเขตเมืองหรือ Modern Trade เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนไปสู่เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ต่างจังหวัดได้อย่างแท้จริง

 

ตรวจสอบประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลโครงการ ‘คนละครึ่ง 1.0’

 

หลังจากเกิดโควิด รัฐบาลนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกโครงการ ‘คนละครึ่ง 1.0’ ออกมาทั้งหมด 5 ระยะ ระหว่างปี 2563 – 2565 โดยใช้เม็ดเงินกว่า 2.3 แสนล้าน ดังนี้ 

 

เฟส 1: วงเงิน 30,000 ล้านบาท เป้าหมาย 10 ล้านสิทธิ

เฟส 2: วงเงิน 22,500 ล้านบาท เป้าหมาย 15 ล้านสิทธิ

เฟส 3: วงเงินรวม 126,000 ล้านบาท เป้าหมาย 28 ล้านสิทธิ

เฟส 4: วงเงิน 34,800 ล้านบาท เป้าหมาย 29 ล้านสิทธิ

เฟส 5: วงเงิน 21,200 ล้านบาท เป้าหมาย 26.5 ล้านสิทธิ

 

โดยตามข้อมูลจาก บล.ทรีนีตี้ ซึ่งอ้างอิงจากผล การศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในอดีต เคยประเมินว่า โครงการคนละครึ่งในระยะที่ 1-3 ซึ่งมีต้นทุนคิดเป็นราว 1.3% ของ GDP สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ GDP ได้ ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.5% ของ GDP โดยสามารถเพิ่มกำลังซื้อ และช่วยกระจายรายได้สู่ร้านค้าและประชาชนในระดับภูมิภาคได้

 

นอกจากนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยังได้มีการประเมินผลของโครงการคนละครึ่งระยะที่ 1-3 ซึ่งใช้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 และ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 เพิ่มเติม

 

โดย รายงานการประเมินผลโครงการภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 และ พ.ร.ก. กู้เงินโควิด-19 เพิ่มเติม   ระบุว่า “ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 และ 2 มีการอนุมัติเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ตั้งแต่เดือนตุลาคมและธันวาคม 2563 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 21,367.19 และ 1,444.50 ล้านบาทตามลำดับ และเริ่มลดลงในปีถัดไป เพราะมีการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. เกือบทั้งหมดแล้วในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 โดยทั้งระยะที่ 1 มีค่าตัวทวีคูณเท่ากับ 0.8938 และระยะที่ 2 มีค่าตัวทวีคูณเท่ากับ 0.8921” 

 

“โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด เนื่องจาก วงเงินอนุมัติโครงการสูงที่สุดและมีการเบิกจ่ายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม โครงการระยะดังกล่าว เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2564 หรือไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ดังนั้น ในระหว่างปี 2563 จึงยังไม่เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากโครงการนี้ โดยมีค่าตัวทวีคูณ คือ 0.8975 เท่า” รายงาน ระบุ

The post เปิดข้อเสนอแนะนักวิชาการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ ทำให้อย่างไรให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัส เงื่อนไข ‘คนละครึ่ง 2.0’ รัฐบาลอนุทิน ใครได้สิทธิ์ เริ่มเมื่อไหร่ เช็กที่นี่ https://thestandard.co/khon-la-khrueng-2-point-0-info/ Wed, 10 Sep 2025 13:01:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1117992

โครงการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ ซึ่งเป็นนโยบาย Quick Win เรือธง […]

The post ถอดรหัส เงื่อนไข ‘คนละครึ่ง 2.0’ รัฐบาลอนุทิน ใครได้สิทธิ์ เริ่มเมื่อไหร่ เช็กที่นี่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

โครงการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ ซึ่งเป็นนโยบาย Quick Win เรือธงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ และเป็นนโยบายที่ประชาชนกำลังตั้งตารอคอยจำนวนมาก

 

THE STANDARD WEALTH ได้สรุปรายละเอียดสำคัญของ โครงการ ‘คนละครึ่ง 2.0’ เท่าที่มีการเปิดเผยออกมา ดังนี้

 

Q: ใครมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ?

 

A: สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า อาจจะขยายอายุผู้ได้รับสิทธิ์จาก 18 ปี ขยับเป็น 16 ปี เพราะเราคิดว่าพฤติกรรมของเด็กมัธยมปลาย เทียบกับเด็กมหาวิทยาลัยหรือผู้ใหญ่มีการบริโภคต่างกัน 

 

Q: เริ่มโครงการวันไหน?

 

A: สิริพงศ์กล่าวว่า ต้องการเริ่มให้เร็วที่สุด โดยคาดว่า รายละเอียดต่างๆ จะชัดเจนไม่เกินการประชุมครม.ครั้งที่ 2 หลังรัฐบาลแถลงนโยบาย และรมว.คลังได้ข้อสรุป

 

Q: การลงทะเบียนอย่างไร?

 

A: สิริพงศ์กล่าวว่า เพื่อความสะดวกสำหรับร้านค้าและการเข้าระบบภาษี ในส่วนของร้านค้า ทางรัฐบาลชุดใหม่จะเร่งกระบวนการให้รวดเร็ว โดยผู้ค้าเดิม ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหรือยืนยันตัวตนใหม่ ส่วนผู้ค้าใหม่สามารถเข้าระบบได้อย่างรวดเร็ว และร้านค้าจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

 

Q: รัฐบาลอุดหนุนในสัดส่วนเท่าไร?

 

A: อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อาจจะมีการกำหนดเงื่อนไขมาตรการจูงใจพิเศษสำหรับกลุ่มผู้เสียภาษี เพิ่มอีกสูตร คือ 60:40 (โดยรัฐช่วยอุดหนุนในสัดส่วน 60% และประชาชนจ่าย 40%) และสำหรับประชาชนที่ไม่ถึงเกณฑ์ยื่นหรือไม่ได้เสียภาษีเงินได้ยังคงได้รับสิทธิ์อุดหนุนในอัตราส่วน 50:50 เช่นเดิม 

 

Q: รัฐบาลเตรียมอุดหนุนให้วันละเท่าไร?

 

A: รัฐบาลยังไม่เคาะรายละเอียด แต่สมาคมภัตตาคารไทย เสนอรัฐบาลปรับวงเงินใช้จ่ายเป็น 200 บาทต่อวัน (จากคนละครึ่ง 1.0 สมัยนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อุดหนุน 150 บาทต่อวัน) พร้อมแนะอย่าทำเงื่อนไขซับซ้อน และต้องเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการว่าจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

 

Q: รัฐบาลเอางบประมาณมาจากไหน

 

A: ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เผยว่า สามารถนำเงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่  25,000 ล้านบาท ใน พ.ร.บ. งบฯ 68 มาใช้ได้ หากโครงการเริ่มต้นก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณในวันที่ 30 กันยายนนี้ 

 

แต่หากไม่ทัน โครงการสามารถใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจในร่าง พ.ร.บ. งบฯ 69 ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป

 


 

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

The post ถอดรหัส เงื่อนไข ‘คนละครึ่ง 2.0’ รัฐบาลอนุทิน ใครได้สิทธิ์ เริ่มเมื่อไหร่ เช็กที่นี่ appeared first on THE STANDARD.

]]>