ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มพร้อมดื่ม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 20 Sep 2022 15:19:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ครม. เคาะเลื่อนขึ้น ‘ภาษีน้ำตาล’ ระยะ 3 ออกไปอีก 6 เดือน หวังบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน https://thestandard.co/postpone-the-sugar-tax/ Tue, 20 Sep 2022 09:41:49 +0000 https://thestandard.co/?p=684300 ภาษีน้ำตาล

รัฐมนตรีคลังเผย ครม. มีมติเลื่อนขึ้นภาษีน้ำตาลระยะ 3 ออ […]

The post ครม. เคาะเลื่อนขึ้น ‘ภาษีน้ำตาล’ ระยะ 3 ออกไปอีก 6 เดือน หวังบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาษีน้ำตาล

รัฐมนตรีคลังเผย ครม. มีมติเลื่อนขึ้นภาษีน้ำตาลระยะ 3 ออกไปอีก 6 เดือน เหตุกังวลว่าหากปรับขึ้นภาษีตามกำหนดเวลาเดิมอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เนื่องจากผู้ประกอบการอาจดำเนินการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น

 

วันนี้ (20 กันยายน) อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบขยายเวลาปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ออกไปอีกเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2566 เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงช่วยให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มมีระยะเวลาในการปรับตัวเพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ต่อไป

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุอีกว่า กรมสรรพสามิตได้เริ่มจัดเก็บภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลในสินค้าเครื่องดื่มตั้งแต่ปี 2560 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมปรับสูตร ลดปริมาณน้ำตาล เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด โดยกำหนดโครงสร้างภาษีในอัตราแบบขั้นบันได ได้แก่ ระยะที่ 1 ในวันที่ 16 กันยายน 2560 – 30 กันยายน 2562, ระยะที่ 2 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2564 และระยะที่ 3 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 30 กันยายน 2566 

 

โดยต่อมาได้ขยายเวลาการปรับขึ้นอัตราภาษีระยะที่ 3 ออกไป 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2565 

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน หากปรับขึ้นภาษีตามกำหนดเวลาเดิมอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เนื่องจากผู้ประกอบการอาจดำเนินการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ กรมสรรพสามิตจึงเสนอขยายเวลาการขึ้นอัตราภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ออกไปอีกเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2566 

  

ขณะที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตความหวานตามปริมาณน้ำตาลตามที่กำหนดไว้นั้น นอกจากจะเป็นแนวทางด้านสาธารณสุขในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ ยังถือได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ของกรมสรรพสามิตที่มุ่งหวังจะเป็นกลไกสำคัญในการวางรากฐานสังคม และสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสุขภาพ เพื่อเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชนและประเทศชาติสืบไป

The post ครม. เคาะเลื่อนขึ้น ‘ภาษีน้ำตาล’ ระยะ 3 ออกไปอีก 6 เดือน หวังบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กรมอนามัย เผยหลังขับเคลื่อนมาตรการจัดเก็บ ‘ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม’ คนไทยบริโภคลดลง ตัวเลขคนอ้วนลดเช่นกัน https://thestandard.co/anamai-revealed-thai-people-consume-less-sugar-after-sugar-tax-on-beverages/ Thu, 23 Sep 2021 03:36:23 +0000 https://thestandard.co/?p=539632 Suwanchai Wattanayingcharoenchai

วันนี้ (23 กันยายน) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบ […]

The post กรมอนามัย เผยหลังขับเคลื่อนมาตรการจัดเก็บ ‘ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม’ คนไทยบริโภคลดลง ตัวเลขคนอ้วนลดเช่นกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Suwanchai Wattanayingcharoenchai

วันนี้ (23 กันยายน) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การบริโภคเครื่องดื่มรสหวานส่งผลต่อความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และโรคฟันผุ พฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานของ คนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลา 5 ปี จากปี 2546-2552 มีการบริโภคเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31.6 ส่งผลให้คนไทยได้รับน้ำตาลจากเครื่องดื่มคิดเป็นร้อยละ 45.9 ซึ่งสอดคล้องกับความชุกของโรคอ้วนในคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.7 ในปี 2551 เป็น 37.5 ในปี 2557 อีกทั้งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทย คิดเป็นร้อยละ 82 ของสาเหตุการตายทั้งหมดในปี 2556 

 

นอกจากนี้ในเด็กอายุ 12 ปี พบอัตราการเกิดโรคฟันผุเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.9 ในปี 2537 เป็นร้อยละ 57.3 ในปี 2543

 

จากปัญหาดังกล่าว นำมาสู่แนวคิดการจัดทำมาตรการจัดเก็บภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาวะคนไทย โดยได้มีการออกพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ภายใต้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560 กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เครื่องดื่มผง (3 in 1) และเครื่องดื่มเข้มข้นตามปริมาณน้ำตาล  

 

​ด้าน ทพ.ปิยะดา ประเสริฐสม ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กล่าวเสริมว่า ผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนมาตรการจัดเก็บภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาวะคนไทย ทำให้เกิดการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ได้แก่ 

 

  1. ในภาพรวม ราคาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่ผลิตในประเทศและนำเข้ามีราคาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.7 และ 18.1 ตามลำดับ 

 

  1. เครื่องดื่มที่ผลิตในประเทศมีสัดส่วนจำนวนชนิดของเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ในขณะที่เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากกว่า 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร มีสัดส่วนลดลงมากที่สุด 

 

  1. สัดส่วนรายได้จากภาษีเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตทั้งหมด 

 

ซึ่งจากการศึกษาปริมาณเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่ดื่มเฉลี่ยต่อวันในกลุ่มประชากรไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล 2563 พบกลุ่มตัวอย่างมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลงจาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตร ในปี 2562 หรือลดลง ร้อยละ 2.8 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปมีการบริโภคลดลงสูงสุด ร้อยละ 7.2 โดยเครื่องดื่มที่มีการบริโภคลดลงมากที่สุด พบว่าเครื่องดื่มผสมโซดาแบบกระป๋องมีสัดส่วนการบริโภคลดลงมากที่สุด ร้อยละ 17.7 ตามด้วยเครื่องดื่มสมุนไพร ร้อยละ 10.0 และน้ำผลไม้แบบกล่อง ร้อยละ 9.2 ตามลำดับ

 

​“นอกจากนี้การสำรวจปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปี 2555-2562 โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า ปี 2551-2560 คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น แต่หลังการบังคับใช้พระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ในการจัดเก็บภาษี เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เครื่องดื่มผง (3 in 1) และเครื่องดื่มเข้มข้นตามปริมาณน้ำตาล ส่งผลให้คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 15.3 และ 14.0 ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ และในปี 2563 พบว่าคนเป็นโรคอ้วนลดลง 9,306 คน” ทพ.ปิยะดา กล่าว

The post กรมอนามัย เผยหลังขับเคลื่อนมาตรการจัดเก็บ ‘ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม’ คนไทยบริโภคลดลง ตัวเลขคนอ้วนลดเช่นกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เก็บภาษีความหวาน ช่วยคนไทยรักษาสุขภาพได้จริงหรือ? https://thestandard.co/sugartax/ https://thestandard.co/sugartax/#respond Tue, 05 Sep 2017 13:36:56 +0000 https://thestandard.co/?p=24615

     ข้อมูลของ Global Agricultural Infor […]

The post เก็บภาษีความหวาน ช่วยคนไทยรักษาสุขภาพได้จริงหรือ? appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ข้อมูลของ Global Agricultural Information Network ปี 2557 พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลถึง 28.4 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำไว้แค่วันละ 6 ช้อนชาถึง 4.7 เท่า เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด

     แต่ธุรกิจเครื่องดื่มพร้อมดื่มในไทย มูลค่าทะลุสองแสนล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 4-5% ต่อปี สินค้าเริ่มมีความหลากหลาย และการแข่งขันดุเดือด ทั้งผู้ประกอบการในไทยและต่างชาติอยากเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งในธุรกิจนี้

 

ภาษีความหวานคุยมานาน เพราะคนไทยบริโภคน้ำตาลเกินกำหนด

     แนวคิดเก็บภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มพร้อมดื่มมีการพูดคุยกันมาสักพัก แต่เพิ่งเริ่มปรากฏเค้าลางความจริงขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) มีมติเห็นชอบ รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สปท. เรื่อง การป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการในประเด็นการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ

     มีสาระสำคัญคือการเสนอจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล อาทิ น้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น

     โดย สปท. เชื่อว่าการจัดเก็บภาษีนี้จะช่วยเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้มากกว่า หนึ่งหมื่นล้านบาทต่อปี

 

ผู้ประกอบการดิ้นคัดค้านสุดฤทธิ์

     หลัง สปท. ลงมติเห็นชอบถล่มทลาย ด้าน สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย ที่มีสมาชิกเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ชั้นนำของไทย อาทิ ชาเขียว น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผักผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลังกว่า 36 บริษัท ได้ส่งหนังสือถึงประธาน สปท. ขอให้ทบทวนรายงานฉบับดังกล่าวทันที เพราะเห็นว่าขาดความชอบธรรม ไม่เชิญผู้ประกอบการซึ่งมีส่วนได้เสียไปร่วมด้วย พร้อมชี้แจงถึงผลกระทบต่างๆ โดยเฉพาะราคาที่จะปรับเพิ่มขึ้นเดือดร้อนถึงผู้บริโภค

     แต่ สปท.ใส่เกียร์เดินหน้าผลักดันเสนอคณะรัฐมนตรี พร้อมชี้แจงกลับว่า เอกชนจะไม่เสียประโยชน์เพราะเทรนด์ในอนาคตเป็นเทรนด์ของสุขภาพ ผู้บริโภคต้องการเครื่องดื่มที่น้ำตาลน้อย อีกทั้งการลดน้ำตาลยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต

     จากนั้นรายงานฉบับนี้จึงได้ถูกส่งไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ

 

ผู้ประกอบการต่อรองขอเวลาปรับตัว 5 ปี

     ช่วงต้นปี 2560 ประเด็นภาษีน้ำตาล ถูกกระทรวงการคลังหยิบขึ้นมาพิจารณา โดย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง บอกว่า การจัดเก็บภาษีน้ำหวานต้องหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ปลูกอ้อย โรงงานผลิตน้ำตาล รวมไปถึงผู้ประกอบการผลิตเครื่องดื่มที่ใช้น้ำตาลทั้งหมดเพื่อหาข้อสรุป โดยจะให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว 2 ปี และยืนยันว่าเป้าหมายหลักของการเก็บภาษีความหวานคือเพื่อ ‘สุขภาพ’ ไม่ใช่ ‘รายได้’

     ด้านผู้ประกอบการ โดย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย เดินเกมต่อรองขอเวลาปรับตัว 5 ปี จากแผนเดิมที่กระทรวงการคลังเสนอ คือจะเริ่มเก็บภาษีความหวานในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560

 

เคาะอัตราภาษีความหวาน อัตราก้าวหน้า 6 ระดับ

 

 

     การเก็บภาษีความหวาน เป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าที่ถูกปรับภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต 2560 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กันยายนนี้

     แต่ให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว 2 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในสินค้าของตัวเองลง

     ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 หากผู้ประกอบการไม่ปรับสูตรน้ำตาลให้ต่ำลง ก็จะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า 6 ระดับ ยิ่งน้ำตาลมากยิ่งเสียมาก

     ณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้อธิบายภายในงานเสวนา ภาษีความหวานกับการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม ว่า ปกติแล้วเครื่องดื่มมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอยู่แล้ว แต่เป็นการจัดเก็บ ในขามูลค่า อยู่ที่ 20% ของราคาหน้าโรงงาน หรือราคานำเข้าเพียงขาเดียว

     แต่ พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต 2560 จะนำภาษี ในขาปริมาณ ซึ่งก็คือปริมาณน้ำตาลเข้ามาคิดด้วย โดยมีหลักเกณฑ์คือ เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10% ต่อ 100 มล. จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่วางเอาไว้ ซึ่งเป็นอัตราก้าวหน้า คือยิ่งมีน้ำตาลมาก ก็ยิ่งเสียภาษีในอัตราที่สูง เป็นต้น

     “อัตราส่วน 20% ที่เคยเก็บจากขามูลค่าจะทำการปรับลง เพื่อให้เมื่อรวมกับอัตราที่จัดเก็บจากขาปริมาณแล้ว ภาระทางภาษีจะเท่าเดิม หรือใกล้เคียงมากที่สุด”

 

ภาษีเครื่องดื่มแบบเดิม (ปัจจุบัน) = VAT 7% + ภาษีสรรพสามิต 20% ของราคาหน้าโรงงาน

ภาษีเครื่องดื่มแบบใหม่ = VAT 7% + ภาษีสรรพสามิตของราคาขายปลีกแนะนำ + ภาษีปริมาณน้ำตาล

 

 

     สำหรับการคำนวณภาษีปริมาณน้ำตาลให้เทียบต่อเครื่องดื่ม 1 ลิตร เช่น กรณีมีน้ำตาล 18 กรัม ต่อ 100 มล. ถ้าสินค้านั้นมีความจุ 1 ลิตร จะจ่ายภาษี 1 บาท แต่ถ้าครึ่งลิตร จ่าย 50 สตางค์

 

เครื่องดื่มใด ‘หวาน’ แค่ไหน?

     THE STANDARD ได้สุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องเสียภาษีความหวาน โดยคำนวณปริมาณน้ำตาลตามอัตราภาษีที่กระทรวงการคลังกำหนด

     ภาษีที่เพิ่มขึ้นในที่นี้คือ ภาษีปริมาณน้ำตาล ไม่ใช่ภาษีรวมสุทธิที่เพิ่มขึ้นตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต 2560

 

 

เก็บ ‘ภาษีความหวาน’ ช่วยให้เลิกกินจริงหรือ?

     ใช่ว่าเมื่อภาษีความหวานมีผลบังคับใช้สมบูรณ์แล้ว จะแก้ปัญหาสุขภาพของคนไทยได้ทันทีทันใด

     วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยแสดงทัศนะไว้ว่า ภาษีจะต้องไม่สูงไปจนทำให้ราคาสูงมากเสียจนผู้บริโภคเลิกซื้อ เพราะผู้ผลิตจะอยู่ไม่ได้ แต่ภาษีก็จะต้องไม่ต่ำจนเกินไปจนทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจ ความยากจึงอยู่ที่การกำหนดความเหมาะสมของภาษี สิ่งเหล่านี้ ภาษาวิชาการเรียกว่า ‘ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ที่มีต่อราคา’ ซึ่งผู้บริโภคแต่ละกลุ่มจะมีการตอบสนองต่อราคาที่แพงขึ้นไม่เหมือนกัน

     คำถามคือคนรวยกับคนจนใครบริโภคน้ำหวานมากกว่ากัน หากคนรวยบริโภคมากกว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจไม่กระทบการตัดสินใจในการบริโภค การบริโภคน้ำหวานก็อาจไม่ลดลงอย่างที่คาดไว้

     อีกทั้งภาษีประเภทนี้คือ ‘ภาษีทางอ้อม’ ผู้ประกอบการต้องตัดสินใจว่าจะผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคเท่าไหร่ จะรับเองเท่าไหร่ ซึ่งจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร

     ดังนั้นผู้ผลิตอาจยอมขาดทุนกำไร แบกรับภาษีน้ำตาลไว้ส่วนหนึ่ง ทำให้ราคาไม่ได้แพงขึ้นกันอย่างที่ตั้งใจไว้

     ผลที่จะไปลดปริมาณการบริโภคจึงอาจไม่มากเท่าที่คำนวณไว้อีกเช่นกัน

 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

อ้างอิง :

The post เก็บภาษีความหวาน ช่วยคนไทยรักษาสุขภาพได้จริงหรือ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/sugartax/feed/ 0