ยักษ์ค้าปลีก 7-Eleven ญี่ปุ่น จับมือ Sony ติดตั้งกล้อง […]
The post 7-Eleven ญี่ปุ่น จับมือ Sony ติดตั้งกล้อง AI ส่องพฤติกรรมลูกค้าในร้าน นำมาวิเคราะห์ความต้องการให้แม่นยำขึ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>ยักษ์ค้าปลีก 7-Eleven ญี่ปุ่น จับมือ Sony ติดตั้งกล้อง AI ส่องพฤติกรรมลูกค้าในร้านสะดวกซื้อ 500 สาขา หวังนำมาวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคให้แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม
Nikkei Asia รายงานว่า ยักษ์ค้าปลีก 7-Eleven จับมือกับ Sony เตรียมติดตั้งกล้องระบบ AI ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จำนวน 500 แห่งในประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้ติดตามพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้า เพื่อจะนำมาวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคได้แม่นยำมากขึ้น
สำหรับฟังก์ชันระบบกล้อง AI Camera จะมีขนาดเท่ากับกล้องวงจรปิดทั่วไป มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ภาพ AI ติดตั้งไว้ภายในร้าน เริ่มตั้งแต่แคชเชียร์ไปจนถึงชั้นวางสินค้าและเครื่องดื่ม โดยกล้องจะเน้นจับภาพในตำแหน่งระหว่างลูกค้าและป้ายราคา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทั้งนี้ ก็เพื่อดูว่าก่อนเลือกซื้อสินค้า ลูกค้าได้ดูจอโฆษณาหรือไม่ และหลังจากนั้นตัดสินใจเลือกซื้อนานแค่ไหน โดยตัวกล้องจะจับภาพพร้อมดึงข้อมูลและส่งไปยังระบบคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังช่วยลด Data ที่ต้องโหลดเข้าเซิร์ฟเวอร์ และลดความเสี่ยงของข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล
สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบรรดาร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ที่หันมาให้ความสำคัญกับสื่อโฆษณาดิจิทัลภายในร้าน เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว แต่ที่ผ่านมาการทำโฆษณาดังกล่าวมีความยากในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค แน่นอนว่ากล้อง AI จะช่วยวัดประสิทธิภาพทั้งก่อนและหลังการขายได้เป็นอย่างดี
7-Eleven ญี่ปุ่น เครือร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ กล่าวว่า ตอนนี้เราสามารถเห็นภาพผู้บริโภคที่เข้ามาในร้านแล้วดูโฆษณาสินค้าทุกรายการ จากนี้เราจะเห็นพฤติกรรมการซื้อทั้งก่อนและหลังดูจอโฆษณา ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่จะนำไปต่อยอดใช้กับกลยุทธ์สร้างการเติบโตต่อไป
อย่างไรก็ตาม 7-Eleven จะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับ Sony ครอบคลุมทั้งค่าติดตั้งและค่าธรรมเนียม Flat Rate สำหรับการใช้ระบบ และ Sony ยังมีแผนขยายการบริการดังกล่าวไปยังร้านค้าปลีกรายอื่นๆ รวมถึงภาคการขนส่งด้วย
อ้างอิง:
The post 7-Eleven ญี่ปุ่น จับมือ Sony ติดตั้งกล้อง AI ส่องพฤติกรรมลูกค้าในร้าน นำมาวิเคราะห์ความต้องการให้แม่นยำขึ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>แม้จะแยกทางกันมาเป็นเวลาร่วมปีแล้วแต่ดูเหมือนเรื่องราวร […]
The post ‘เครื่องหมายนาซี-บังคับจูบรูปฮิตเลอร์-ส่งรูปโป๊’ เปิดบันทึกเรื่องสุดช็อกของ Ye ที่ adidas ทนมาเป็นสิบปี appeared first on THE STANDARD.
]]>แม้จะแยกทางกันมาเป็นเวลาร่วมปีแล้วแต่ดูเหมือนเรื่องราวระหว่าง คานเย เวสต์ กับ adidas จะยังไม่สามารถสลัดตัดขาดกันได้อย่างสมบูรณ์
บียอร์น กูลเดน ซีอีโอคนใหม่ของบริษัทกีฬายักษ์ใหญ่จากเยอรมนี ได้กล่าวถึงคานเย หรือ Ye เมื่อเดือนที่แล้ว ในทำนองที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ยินจากปากของผู้บริหารระดับสูงสุดของ adidas
“เขาไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงอย่างนั้นหรอกในสิ่งที่เขาพูด” กูลเดนกล่าวถึงแรปเปอร์ผู้เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และพยายามบอกว่า Ye ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร
แต่เรื่องนี้ได้นำไปสู่การเปิดโปงครั้งใหญ่ถึงเรื่องราวพฤติกรรมที่เหลือจะกล่าวของศิลปินผู้เต็มไปด้วยความขัดแย้งและสร้างปัญหา รวมถึงความทุกข์ให้แก่ผู้คนมากมายที่ต้องทำงานร่วมกับเขานับตั้งแต่จับมือกับ adidas เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2013
Ye แผลงฤทธิ์อะไรเอาไว้บ้างตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และทำไม adidas ถึงต้องยอมทนมาอย่างยาวนาน?
สำหรับทีม adidas การที่พวกเขาสามารถคว้าตัว Ye มาออกแบบเสื้อผ้าและรองเท้าในตระกูล Yeezy ถือเป็นข่าวดีอย่างมาก
นั่นเป็นเพราะ adidas ยังอ่อนต่อตลาดในสหรัฐอเมริกา พวกเขายังถูกผูกติดกับความเป็นแบรนด์กีฬาที่เน้นสาย Performance มากกว่า ตามข้อมูลจาก Industry Data ระบุว่าส่วนแบ่งของแบรนด์เยอรมันในตลาดอเมริกันชนนั้นอยู่ที่เพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ห่างจากเจ้าพ่ออย่าง Nike ที่ครองเบอร์หนึ่งในบ้านเกิดของพวกเขาเองด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์
พวกเขาคาดหวังว่าแรปเปอร์ระดับเจ้าพ่อจะพา adidas ไปอยู่ในใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น หลังจากที่เคยถอดใจไปแล้วว่าคงไม่มีความหวังที่จะไล่ตามได้ทัน
แต่เค้าลางของปัญหาเริ่มก่อตัวตั้งแต่การพบกันครั้งแรกในสำนักงานใหญ่ของ adidas ในประเทศเยอรมนี ที่ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้พบและหารือถึงแนวทางในการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรก
ด้วยความตั้งใจฝ่ายทีม adidas พยายามที่จะทำการบ้านด้วยการออกแบบผลงานซึ่งได้รับการแชร์ไอเดียมาจากทางด้าน Ye เอง
ปรากฏว่า Ye ได้คว้าเอากระดาษที่ดีไซเนอร์จาก adidas ได้วาดดีไซน์รองเท้าคร่าวๆ เอาไว้ ก่อนที่จะเอาปากกามาเขียนที่ตรงปลายเท้า
Ye ไม่ได้เขียนข้อความให้กำลังใจหรือติชมอย่างที่ควรจะเป็น เขาวาดรูปเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนาซี
การวาดเครื่องหมายสวัสดิกะในห้องประชุมใหญ่ของบริษัทมหาอำนาจสัญชาติเยอรมนี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเรื่องต้องห้ามอยู่แล้ว และยิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากขึ้นไปอีกเมื่อตามประวัติศาสตร์ adidas ก่อตั้งโดย อดอล์ฟ ดาสส์เลอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคนาซี
และสถานที่ที่พวกเขาพบกันก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองนูเรมเบิร์ก ที่ที่เหล่าผู้นำของจักรวรรดิไรช์ที่ 3 พยายามก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ
นี่เป็นการส่งสัญญาณเตือนแบบโต้งๆ จาก Ye ซึ่งขณะนั้นยังเป็น คานเย เวสต์
อย่าคิดว่านี่เป็นการจับมือกับนักบุญ เพราะจริงๆ แล้วนี่อาจเป็นการทำสัญญากับปีศาจ
ทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงฤดูร้อน 2013 เมื่อ จอน เว็กซ์เลอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจบันเทิงและการตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์ของ adidas ในขณะนั้นได้รับสายจากศิลปินดัง
“ผมอยากร่วมงานกับคุณ”
ข้อเสนอขอเป็นพันธมิตรในการร่วมออกแบบรองเท้าของคานเยทำให้เว็กซ์เลอร์หัวใจเต้นรัว เพราะนี่คือสุดยอดศิลปินระดับไอคอนิกของโลก เขามองภาพที่สวยงามในการร่วมมือกันของสองฝ่ายออกในทันที เช่นเดียวกับทางด้าน ฮอร์มันน์ ไดนิงเงอร์ (Hermann Deininger) ผู้บริหารระดับสูงของ adidas ที่ชื่นชอบในการพยายามผลักดันให้บริษัทได้ทลายขีดจำกัดต่างๆ
ด้วยความรีบร้อน adidas จับมือกับคานเยทันที โดยแรปเปอร์ที่ขณะนั้นมีวัย 36 ปีจะได้เป็นผู้ร่วมออกแบบรองเท้าและเสื้อผ้า แลกกับส่วนแบ่งจากยอดขาย 15 เปอร์เซ็นต์ และเงินการันตีขั้นต่ำอีกปีละ 3 ล้านดอลลาร์
สัญญาฉบับดังกล่าวได้ถูกลงนามอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2013 และมีระยะเวลาถึงปี 2017 ซึ่งถือเป็นสัญญาที่พิเศษนอกเหนือจากสัญญาที่ adidas มอบให้แก่นักกีฬา
“โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว!!!” คานเยส่งข้อความหาเว็กซ์เลอร์ภายหลังจากที่เซ็นสัญญาร่วมมือกัน ก่อนที่เขาจะประกาศไปทั่วว่าจะ ‘นิยามขีดจำกัดของ adidas ใหม่’
เพียงแต่การทำงานกับศิลปินตัวพ่ออย่างเขาไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ทีมงานที่ต้องทำงานด้วยต่างต้องรับมือกับพฤติกรรมที่ทดสอบความอดทนของมนุษย์จากคานเยตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงการทำงานแบบเอาแต่ใจ ความอารมณ์ร้อนเหมือนภูเขาไฟ การใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม บางครั้งพูดจาไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมงานที่เป็นสุภาพสตรีด้วยการพูดจาลามกอนาจาร
คานเยก่อวีรกรรมมากมายที่ทางทีม adidas ได้ร้องเรียนและเก็บบันทึกคำร้องไว้ ซึ่งบางอย่างล้ำเส้นเกินไปมาก เช่น การบังคับให้พนักงานที่มีเชื้อสายยิวจูบรูปของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำนาซีที่เป็นผู้สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทุกวัน
ไปจนถึงการเปิด ‘หนังโป๊’ ในระหว่างการประชุม บังคับให้ทีมงานและผู้บริหารดู (แม้กระทั่งก่อนการเซ็นสัญญากันในปี 2013)
เรียกได้ว่าหากใครคิดว่าเคยเจอคนที่เสื่อมแล้ว ขอให้มาถามคนที่ทำงานร่วมกับคานเยดู
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ adidas ต้องอดทนก็เป็นเพราะฝีมือของศิลปินผู้นี้เป็นของจริง
‘Yeezy’ สามารถสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
ภายหลังจากที่ใช้เวลาในการสร้างสรรค์ผลงาน รองเท้า Yeezy สายพันธุ์ใหม่ก็ได้เปิดเผยตัวตนเป็นครั้งแรกในการแสดงคอนเสิร์ต
คานเยขึ้นเวทีร่วมกับ ทราวิส สก็อตต์ และศิลปินแรปเปอร์คนอื่นๆ โดยที่พวกเขาใส่ Yeezy รุ่นใหม่ ซึ่งได้แจกจ่ายให้แก่เหล่าศิลปินรวมถึงกลุ่มคนรอบตัวของคานเยเพื่อช่วยกันสร้างกระแสขึ้นมา
วิธีการง่ายๆ แบบนี้ได้ผลเสมอ เมื่อถึงเวลาที่รองเท้าวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ มันก็หายไปจากหน้าร้านและบนร้านค้าออนไลน์ของ adidas อย่างรวดเร็ว และไปปรากฏอยู่ตามเว็บไซต์ของร้านค้ารีเซลเลอร์
Yeezy ใหม่กลายเป็นที่ต้องการของเหล่าสนีกเกอร์เฮด, แฟชั่นนิสตา และบรรดานักกีฬา รวมถึงคนที่เซ็นสัญญากับบริษัทคู่แข่งของ adidas เองก็ตาม
จากนั้นก็มีการเปิดตัว Yeezy Boost 350 รองเท้าสนีกเกอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Nike Roshe Run รองเท้าวิ่งใส่สบายๆ ที่เปิดตัวในช่วงเวลาดังกล่าว แต่รองเท้าของคานเยไปไกลกว่านั้น เพราะมีการใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดอย่างพื้น Boost ที่ทำจากโฟม รวมถึงส่วนอัปเปอร์ของรองเท้าที่ทำมาจากผ้าถัก
‘350’ อาจจะไม่ใช่รองเท้าที่เหมาะสำหรับการวิ่ง แต่เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากได้รองเท้าเท่ๆ สักคู่ ซึ่งรองเท้ารุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย จนได้รับรางวัลจากการประกวดที่เป็นเหมือนงานประกาศรางวัลออสการ์ของคนทำรองเท้า
ความสำเร็จนี้ทำให้บรรดาผู้บริหารของ adidas เริ่มรู้ตัวว่า พวกเขาค้นพบห่านทองคำเข้าแล้ว เพียงแต่ห่านตัวนี้นิสัยอาจเสียสักหน่อย หากอยากได้ไข่ทองคำก็ต้องยอมทน
อย่างไรก็ดีด้าน adidas มีการร่างสัญญาฉบับใหม่กับคานเยในปี 2016 ซึ่งเริ่มมีการ ‘ปกป้อง’ บริษัทบ้างเพื่อไม่ให้พลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงจากศิลปินที่ไม่มีใครคาดเดาอะไรได้ทั้งนั้น (เขาแต่งเพลงที่มีเนื้อทำนองว่าน่าจะมีโอกาสได้มีอะไรกับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เพราะทำให้มีชื่อเสียงขึ้นมา จนทำให้ศิลปินสาวคนดังต้องออกมาประณาม)
แม้ว่าทางด้านตัวแทนด้านกฎหมายของแรปเปอร์จะยืนยันว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้มีการยกเลิกสัญญาระหว่างกันได้คือคานเยถือปืนไปยิงคน แต่ทาง adidas ยืนกรานว่าพวกเขาต้องการระบุข้อห้ามที่ชัดเจนเอาไว้เป็นรายการมากมาย
ด้วยความที่คานเยเริ่มประสบปัญหาจากการใช้จ่ายแบบไม่ระมัดระวัง ทั้งยังเคยเปิดเผยว่ามีหนี้สินถึง 53 ล้านดอลลาร์ จนภรรยาอย่าง คิม คาร์ดาเชียน ยังต้องเคยขอให้หยุดการเผาเงินทิ้ง (แต่เจ้าตัวก็บอกว่า ‘ไม่มีใครคุมข้าได้’)
ไม่นับการที่ออกมาเปิดเผยว่ามีปัญหาการติดแอลกอฮอล์และการดูหนังโป๊ ซึ่งมาจากการเป็นโรคซึมเศร้าหลังแม่จากไปอย่างกะทันหันในปี 2007
สุดท้ายทางด้านคานเยต้องยอมรับสัญญาที่เป็นเหมือนการทำทัณฑ์บนควบคุมความประพฤติและศีลธรรม (Moral Clause)
แต่ในทางกลับกันสัญญาฉบับนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
เป้าหมายที่ adidas ตั้งไว้ร่วมกันกับแรปเปอร์ตัวพ่อคือการเพิ่มยอดขายของ Yeezy จาก 65 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 ไปสู่พันล้านดอลลาร์ในปี 2021
โดยสิ่งแลกเปลี่ยนคือการที่เขาจะได้รับเงินการันตีขั้นต่ำ 10 ล้านดอลลาร์ และเงินส่วนแบ่งจากยอดขายจำนวน 15 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดง่ายๆ คือหากทำได้ตามยอด ‘พันล้าน’ Kanye จะได้รับเงินส่วนแบ่ง 150 ล้านดอลลาร์
สัญญานี้เป็นเหมือนการกล่าวคำสาบานแต่งงานกันระหว่างสองฝ่าย
ทางผู้บริหาร adidas ยังได้ส่งคนเข้าไปอยู่ในทีม Yeezy ของคานเยจำนวน 20 คน ซึ่งจะประจำการอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ adidas ในสหรัฐอเมริกาด้วย เพื่อทำให้ทุกอย่างราบรื่นมากที่สุด (หรืออีกนัยอาจเป็นการส่งคนไปประกบเพื่อสอดส่องด้วย?)
ชีวิตของคานเยอาจมีปัญหาถึงขั้นที่ต้องหยุดการทัวร์หลังจากที่ไปก่อเหตุอื้อฉาวมากมาย หนักข้อถึงขั้นที่คุณหมอมาช่วยดูอาการแล้วแต่กลับอาละวาดใหญ่จนต้องเรียกตำรวจมาควบคุมสถานการณ์แทน สุดท้ายต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังในหลายอาการ รวมถึงโรคไบโพลาร์ที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้
แต่ยอดขายของ Yeezy กลับทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ จนทำให้ adidas ที่แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของคานเยในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมันหอมหวานเสียจนทำให้ผู้บริหารคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
กระนั้นก็มีการตั้งกลุ่มแชตขึ้นมาที่ชื่อว่า ‘Yzy Hotline’
กลุ่มแชตนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อแจ้งข่าวสารความเคลื่อนไหวของ Yeezy แต่มีขึ้นเพื่อรายงานเกี่ยวกับตัวของ Ye โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหาต่อเพื่อนร่วมงาน โดยที่ปัญหานั้นหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาประสบความสำเร็จ adidas เองไม่คิดที่จะขัด แถมยังให้ทุกอย่างตามที่ร้องขอ
Yzy Hotline ในด้านหนึ่งจึงเหมือนเพื่อนคู่คิดของคานเยที่จะมีผู้บริหารคอยช่วยเหลือหรือสั่งการจัดการในสิ่งต่างๆ ที่ถูกร้อง ซึ่งสำหรับศิลปินจอมห่ามเวลานั้น adidas เป็นเหมือนสมาชิกคนเดียวในครอบครัวที่เขาเชื่อใจ
อีกด้านคือการจัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้เรื่องของ Kanye เช่น เรื่องของการจ่ายเงินเดือนในแผนก ไปจนถึงการบริหารจัดการเว็บไซต์ที่ผิดพลาด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยต้องจ่ายเงินเกือบ 1 ล้านดอลลาร์ จากปัญหาการจัดส่งรองเท้าไปยังลูกค้าที่ล่าช้า
แต่นั่นทำให้ Kanye อาจรู้สึกลำพองจนเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ และหนักขึ้นทุกที
ในปี 2019 เขาเรียกร้องขอตั้งแต่การจ่ายเงินล่วงหน้า 1 พันล้านดอลลาร์ ไปจนถึงการย้ายสำนักงานของ Yeezy ไปอยู่ที่เมืองโคดี (Cody) โดยที่ไม่ได้ปรึกษาทีมงานที่ทำงานร่วมกัน ซึ่ง adidas ยังยอมถึงขั้นจะแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของโรงงานที่ผลิตรองเท้า และการให้งบพิเศษอีก 100 ล้านดอลลาร์ที่คานเยจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ตามใจ เพราะเชื่อว่าได้ผลดีมากกว่าในการตลาด
ยอดขายที่สวยงามของ Yeezy ในระดับที่ไปถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 ทำให้ผลงานของ Kanye ที่เรียกตัวเองใหม่ว่า Ye มีสถานะที่ไม่ต่างอะไรจากเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยง adidas
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนีกังวลเช่นกัน และพยายามที่จะหาทางผ่องถ่ายอำนาจและพึ่งพา Ye ให้น้อยลง ซึ่งรวมถึงการร่วมมือกับศิลปินคนอื่นในการสร้างคอลเล็คชันใหม่ เช่น Beyoncé แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จนัก
แต่จุดแตกหักระหว่างทั้งสองเริ่มขึ้นขึ้นจากการที่ Ye พบว่า adidas มีการออกแบบรองเท้าที่คล้ายคลึงกับ Yeezy Slide รองเท้าแตะที่กลายเป็นไอเท็มสุดฮิตของคนทั่วโลก นั่นทำให้เขาโกรธอย่างมาก ความเชื่อใจที่มีต่อผู้บริหารระดับสูงซึ่งรวมถึงเว็กซ์เลอร์ได้หมดลง
Ye เริ่มสงครามของเขาทันทีทั้งการโจมตีผู้บริหารไปจนถึงบอร์ดบริหาร ก่อนจะลุกลามบานปลายใหญ่โตไปเรื่อยๆ
ในงาน Yeezy Fashion Show ที่กรุงปารีส เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขาใส่เสื้อที่มีข้อความว่า ‘White Lives Matter’ ที่กลายเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่ทันที ก่อนที่เรื่องจะลุกลามบานปลายใหญ่โต ไม่เพียงแค่ adidas แต่แบรนด์อื่นๆ ที่ร่วมงานกับเขาต่างก็ทยอยบอยคอตเขา
แรงกดดันนั้นทำให้ adidas ต้องออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า ‘จะทบทวนความร่วมมือระหว่างกัน’ ซึ่งนั่นทำให้ Ye ตบะแตก เขาอาละวาดบนโซเชียลมีเดียแบบไม่มีใครหยุดได้ ทั้งยังเหยียดชาวยิว และแสดงออกชัดเจนว่าเป็นผู้ฝักใฝ่ฝ่ายขวา
ฟางเส้นสุดท้ายอยู่ที่การออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ ‘Drink Champs’ ที่นอกจากจะเล่าเรื่องทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการที่มีชาวยิวเป็นผู้กุมอำาจต่างๆ ไปจนถึงการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ฆ่า จอร์จ ฟลอยด์ ที่เป็นชนวนของกระแส ‘Black Lives Matter’
และคำพูดท้าทาย “ต่อให้ผมพูดเหยียดคนยิว adidas ก็ไม่กล้าทิ้งผมหรอก”
ในวันที่ 25 ตุลาคมปีกลาย adidas ตัดสินใจยุติความร่วมมือกับ Ye
ไม่มี Ye และ Yeezy อีกต่อไป เพราะแม้ว่าจะเป็นรายได้หลักสำคัญของบริษัทชนิดที่แทบจะหล่อเลี้ยงบริษัทได้ แต่สิ่งที่แรปเปอร์ทำซึ่งนับวันก็ยิ่งเหมือนสติแตกขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีไม่สามารถที่จะจับมือที่แปดเปื้อนของเขาได้อีก
จริงอยู่ที่เรื่องรายได้สำคัญ ไหนจะมีเรื่องสต๊อกสินค้า Yeezy ที่ผลิตมาแล้วรอวางจำหน่ายอีกเป็นล้านคู่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ไม่นับการที่มีการดำเนินคดีระหว่างทั้งสองฝ่ายอีก
แต่การไม่มี Ye อยู่หมายถึงข่าวดีสำหรับคนทำงานบางส่วนที่เจ็บปวดและทุกข์ทนกับศิลปินผู้นี้มาแสนนาน
สิ่งที่เจ็บยิ่งกว่าคือการที่พวกเขาเชื่อว่าผู้บริหารก็รับรู้ทุกอย่างแต่ไม่ทำอะไรเลย ซึ่งสุดท้ายก็มีการรวมตัวกันฟ้องร้องต่อผู้บริหารที่ละเลยการทำหน้าที่ในการพิทักษ์คุณธรรมในองค์กร ปล่อยให้คนทำงานถูกรังแกแต่ตัวเองเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
อย่างไรก็ดีดูเหมือน adidas กับ Ye จะยังไม่สามารถตัดขาดกันได้ง่ายๆ โดยมีการตกลงกันในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาในการจัดการปล่อยสต๊อกสินค้าออกมาจำหน่ายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะการค้างคากันไปแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับใครเลย
ปรากฏว่ารองเท้า Yeezy ที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงเวลา 2 เดือนสามารถทำรายได้ถึง 437 ล้านดอลลาร์ ช่วยบรรเทาปัญหาของ adidas ที่เดิมคาดว่าจะขาดทุนถึง 700 ล้านดอลลาร์เหลือเพียงขาดทุนแค่ 100 ล้านดอลลาร์
ความสำเร็จดังกล่าวยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าสำหรับคนที่รัก Yeezy แล้ว พวกเขาไม่สนใจหรอกว่า Ye จะไปทำอะไรเลวร้ายที่ไหน ขอแค่ได้ซื้อผลงานของเขามาใส่ก็พอ เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าแบรนด์ Yeezy นั้นอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ
การออกมาพูดของ บียอร์น กูลเดน ซีอีโอในรายการพอดแคสต์ในทำนองชื่นชมความคิดสร้างสรรค์และยกย่องว่าการร่วมมือกันกับ Ye ถือเป็นหนึ่งในการคอลแลบที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังพูดในทำนองว่า Ye ‘โชคร้ายมาก เพราะผมไม่คิดว่าเขาจะหมายความอย่างที่พูดจริงๆ’
ทำให้น่าคิดว่าอาจมีการ ‘รีเทิร์น’ กันอีกครั้งหรือไม่ในอนาคต? แม้ว่าจะมีการออกแถลงของ adidas ตามมาว่า ‘จุดยืนยังเหมือนเดิม’
แต่อย่าลืมว่า Impossible is Nothing นะ
อ้างอิง:
The post ‘เครื่องหมายนาซี-บังคับจูบรูปฮิตเลอร์-ส่งรูปโป๊’ เปิดบันทึกเรื่องสุดช็อกของ Ye ที่ adidas ทนมาเป็นสิบปี appeared first on THE STANDARD.
]]>คำว่า ‘อีโก้’ ในบ้านเราใช้กันทั่วไปกับคนที่เรารู้สึกว่า […]
The post ล้มได้ก็ลุกได้! มาฝึก ‘อีโก้’ ของเราให้แข็งแรง จะได้ไม่โตไปเป็นคนที่เราเกลียด appeared first on THE STANDARD.
]]>คำว่า ‘อีโก้’ ในบ้านเราใช้กันทั่วไปกับคนที่เรารู้สึกว่ามั่นใจในตัวเองในแบบที่ผิดๆ หยิ่งยโส ไม่ฟังใคร ไม่มีความเห็นใจใคร ไปจนถึงพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างการดูถูกความสามารถคนอื่นเพราะเชื่อว่าตัวเองดีที่สุด ส่วนในภาษากรีก คำว่า ‘อีโก้’ แปลว่า ‘ตัวฉัน’ หรือแปลให้ลึกกว่านั้นคือความเป็นตัวตนของเราเอง แต่ละคนจะมีตัวตนที่ชัดเจนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่ยังมีอีกหนึ่งคำที่น่าสนใจ นั่นคือคำว่า ‘ความแข็งแรงของอีโก้’ ซึ่งมองแวบแรกอาจรู้สึกไม่ดีเท่าไร คำนี้หมายความว่าคนที่อีโก้สูงจนน่ารังเกียจหรือเปล่า แต่ไม่ใช่เลย ความแข็งแรงของอีโก้หมายถึงความยั่งยืน ความแกร่ง และความ ‘ล้มได้ก็ลุกได้’ ของตัวเราเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ยิ่งอีโก้ของเราแข็งแรงเท่าไร เราจะยิ่งเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เราจะสามารถเรียนรู้และเติบโตจากเหตุการณ์ท้าทายในชีวิตหรือคนรอบข้าง ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราและคนรอบข้าง และชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้น
ในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต คนที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วยบ่อยๆ คือพ่อแม่ ผู้ปกครอง ใครก็ตามที่เลี้ยงดูเรามา ซึ่งพวกเขาจะเป็นคนตัดสินว่าเราจะโตขึ้นมามีอีโก้และความแข็งแรงของอีโก้ในแบบใด สิ่งนี้จะชี้วัดว่าเราสามารถรับมือกับความเครียดได้แค่ไหน สมองของเราถูกสร้างขึ้นเพื่อเรียนรู้และพัฒนาหาวิธีการตอบสนองความเครียดของตัวเอง
คนที่มีความแข็งแรงของอีโก้น้อยหรืออ่อนแอจะขาดความยืดหยุ่น ยึดติดกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกสบายใจ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยทางอารมณ์ พวกเขามักจะมีความคาดหวังกับทุกสิ่งแม้มันจะไม่มีทางเป็นจริง และยังยึดเอาความคาดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันหลัก ซึ่งข้อเสียคือจะทำให้ความเครียดของร่างกายพุ่งขึ้นสูง เนื่องจากจิตใจพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวและวิตกกังวลว่าจะมีอะไรมาทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า
ในทางกลับกัน คนที่มีความแข็งแรงของอีโก้สูงจะเป็นคนที่ยืดหยุ่น มองโลกในแง่ดี รับมือกับความเครียดได้ดี อดทนกับความไม่สบายใจได้ และยิ่งความแข็งแรงมีมากเท่าไร พวกเขาจะสบายใจและสามารถแก้ปัญหาทุกสิ่งได้ดีมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะรักความท้าทาย เพราะมองว่าความท้าทายทำให้ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น
นอกจากเรื่องวิธีคิดของตัวเองแล้ว อีโก้ที่แข็งแรงยังช่วยให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเราแข็งแกร่งขึ้นด้วย ซึ่งวิธีการลับคมความแข็งแกร่งให้กับอีโก้ก็ไม่ยาก อาจต้องบังคับตัวเองสักเล็กน้อย แต่ถ้าทำได้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างแน่นอน
อ้างอิง:
The post ล้มได้ก็ลุกได้! มาฝึก ‘อีโก้’ ของเราให้แข็งแรง จะได้ไม่โตไปเป็นคนที่เราเกลียด appeared first on THE STANDARD.
]]>เป็นที่รู้กันว่าการระบาดของโควิดทำให้พฤติกรรมของผู้บริโ […]
The post โควิดทำพฤติกรรมคนไทยเปลี่ยน การซื้อวิตามิน-สินค้าบำรุง ไม่ใช่เพื่อ ‘รักษา’ แต่ต้อง ‘ป้องกัน’ ก่อนที่การป่วยจะเกิดขึ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>เป็นที่รู้กันว่าการระบาดของโควิดทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยเปลี่ยนไปในทุกแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อวิตามิน-สินค้าบำรุง ในปัจจุบันไม่ใช่เพื่อ ‘รักษา’ แต่ต้อง ‘ป้องกัน’ ก่อนที่โรคจะเกิดขึ้น
“การซื้อสินค้าสุขภาพในวันนี้คือการป้องกัน ไม่ใช่ป่วยแล้วถึงมาซื้อกิน แต่ต้องบำรุงให้แข็งแรงด้วย” อรพรรณ พงศ์พานิช Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย กล่าว “ตอนนี้สินค้าในกลุ่มสุขภาพหากเป็นความงามและดูแลตัวเองไปด้วยจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สิ่งที่น่าสนใจคือ อรพรรณมองว่า เทรนด์การดูแลรักษาภาพลักษณ์มาแน่ๆ นอกจากการซื้อวิตามินที่ต้องบำรุงสุขภาพแล้ว เทรนด์สกินแคร์ใหม่ๆ ก็ให้ความสนใจเรื่องฟื้นฟูและบำรุงไปพร้อมนัก นอกจากนี้คนไทยยังหันมาโฟกัสส่วนผสม เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้ดียิ่งขึ้น
สิ่งที่อรพรรณมองเห็นสอดคล้องไปกับผลสำรวจที่พบว่า นักช้อปไทยชอบการซื้อสินค้าที่จัดโปรโมชัน และยังตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ พบว่าการสร้างประสบการณ์ที่ดีเป็นอีกปัจจัยสำคัญสำหรับนักช้อปไทย โดย 75% ของนักช้อปจะยอมจ่ายเงินมากขึ้น ถ้าแบรนด์หรือร้านค้านั้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาได้
ซึ่งผลสำรวจเทรนด์ความงามระดับโลกปี 2566 เผยว่าความงามและสุขภาพที่ดีในทุกช่วงอายุเป็นการช่วยยกระดับฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นหลังจากวิกฤตโควิด และยังพบว่าคนไทยมากกว่า 65% มีความใส่ใจกับการดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ
ปัจจัยดังกล่าวทำให้บู๊ทส์นำมาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำร้านค้าแบบใหม่ แบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ เน้นสินค้าสุขภาพ เน้นสินค้าความงาม และผสมผสานระหว่างสินค้าสุขภาพและความงาม นอกจากนี้ยังคัดสรรสินค้าจากอินไซต์ลูกค้าให้มีสินค้าสุขภาพและความงามตรงใจลูกค้าแต่ละพื้นที่
มีการนำเสนอนวัตกรรมสินค้าคุณภาพภายใต้แบรนด์บู๊ทส์ในราคาจับต้องได้ และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟนำเข้าจากอังกฤษ โดยมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกือบทุกเดือน
รวมถึงการนำอินไซต์ของนักช้อปไทยมาทำเป็นโปรโมชัน ‘บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมทช์’ (Boots Mix & Match) เลือกคละสินค้าสุขภาพและความงามที่ใช่แบบ 1 แถม 1 คละได้ โดยมีสินค้าเข้ารวม 1,200 รายการ
แคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2564 ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก จึงจัดเป็นโปรโมชันต่อเนื่องไตรมาสละ 1 ครั้ง โดยโปรฯ นี้ช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านบู๊ทส์ให้เติบโตทุกช่องทางถึง 2 เท่า
การจัดโปรฯ บ่อยครั้งทำให้เกิดความท้าทายว่า ผู้บริโภคจะรอซื้อสินค้าเฉพาะโปรโมชันหรือไม่? แต่เรื่องนี้อรพรรณย้ำว่า สร้างผลกระทบไม่มากนัก เพราะบู๊ทส์จะเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกโปรโมชัน
“ลูกค้าตามหาสินค้าโปรโมชันอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องมีแคมเปญเพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ส่วนหนึ่งจะเป็นการตอกย้ำว่า เรามีความคุ้มค่าและให้ประสบการณ์ที่แตกต่างซึ่งจะเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่ง”
ทั้งนี้ปี 2565 ตลาดรีเทลมีมูลค่ากว่า 121,896 ล้านบาท เติบโต 10% โดยสินค้ากลุ่มสุขภาพและสกินแคร์ ยอดขายโตแรงสะท้อนศักยภาพในการเติบโตของตลาดรีเทลสุขภาพและความงามในไทยว่ามีทิศทางที่ดีในปี 2566 โดย EIC มีการคาดการณ์ว่าตลาดรีเทลจะมีการเติบโต 9% และ 13% ในหมวดธุรกิจค้าปลีกสุขภาพ
The post โควิดทำพฤติกรรมคนไทยเปลี่ยน การซื้อวิตามิน-สินค้าบำรุง ไม่ใช่เพื่อ ‘รักษา’ แต่ต้อง ‘ป้องกัน’ ก่อนที่การป่วยจะเกิดขึ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>ผลสำรวจผู้บริโภคในด้านการท่องเที่ยวของ EIC พบว่า เทรนด์ […]
The post EIC แนะเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มให้ชัด ก่อนงัดโปรโมชันเด็ดดูดกำลังซื้อ appeared first on THE STANDARD.
]]>ผลสำรวจผู้บริโภคในด้านการท่องเที่ยวของ EIC พบว่า เทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยมีความหลากหลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งนำมาปรับใช้ให้สอดรับกับธุรกิจจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำเสนอบริการที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่น่าจับตาและเป็นโอกาสทางธุรกิจ สามารถแบ่งตามกิจกรรมหลักที่นักท่องเที่ยวสนใจได้ 13 สาย ซึ่งไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวแต่ละสายมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน โดย 13 สายนักท่องเที่ยวชาวไทยยอดนิยม และเป็นที่จับตามองต่อภาคการท่องเที่ยว ได้แก่
อีกทั้งนักท่องเที่ยวสายนี้จะให้ความสำคัญกับที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปค่อนข้างมาก รวมถึงสนใจที่พักที่มีความใกล้ชิดธรรมชาติ อย่างที่พักในอุทยานและลานกางเต็นท์
11.-13. สายเที่ยววันเดียว x สายเที่ยวสั้น x สายเที่ยวยาว: นักท่องเที่ยวในสายเหล่านี้มักจะมีจุดประสงค์และรูปแบบในการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจน โดยสายเที่ยววันเดียวส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Z กลุ่มเดินทางคนเดียว และกลุ่มที่มีงบประมาณการท่องเที่ยวที่จำกัดจากรายได้ที่ไม่สูงมากนัก โดยเน้นการไปทำบุญไหว้พระ กับทำกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากกว่าสายอื่น ส่วนนักท่องเที่ยวสายเที่ยวสั้นส่วนใหญ่จะเน้นเดินทางกับกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มครอบครัว
โดยท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนควบคู่กับการเข้าร้านอาหาร หรือคาเฟ่บรรยากาศดี และมักเลือกพักในโรงแรมระดับ 2-3 ดาว ขณะที่สายเที่ยวยาว ซึ่งแม้จะมีจำนวนไม่สูงนักแต่เป็นสายที่น่าสนใจ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม LGBTQIA+ กลุ่มคู่รัก กลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างสูง และกลุ่มอาชีพที่มีเวลาท่องเที่ยวนาน เช่น กลุ่มเกษียณกับกลุ่มอาชีพอิสระ ทั้งนี้ สายนี้จะนิยมท่องเที่ยวทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เที่ยวชมเมือง เที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงทำกิจกรรมหลากหลาย ทั้ง แอดเวนเจอร์ เอาต์ดอร์ คอนเสิร์ต สปา และออกกำลังกาย อีกทั้งยังเลือกพักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเป็นส่วนใหญ่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
จากการวิเคราะห์ 13 สายนักท่องเที่ยวชาวไทยยอดนิยมพบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
ทั้งนี้ การเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในแต่ละสายที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้เร็ว และเสริมจุดแข็งของธุรกิจตนเองให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ตรงจุด ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เช่น ธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟ อาจจะเน้นการตกแต่งและเพิ่มเมนูเพื่อสุขภาพ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวสายคาเฟ่ สายสุขภาพและเวลเนส ส่วนธุรกิจร้านขายของที่ระลึก สินค้าท้องถิ่น อาจใส่ไอเดียในสินค้าที่สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่นเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลักอย่างสายบุญ สายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสายคาเฟ่ เป็นต้น นอกจากนี้ การทำกิจกรรมทางการตลาด โดยเฉพาะทางออนไลน์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากสำหรับการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน จะเป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การขยายบริการท่องเที่ยวอย่างครบวงจรจะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับนักท่องเที่ยวพร้อมทั้งสร้างโอกาสให้กับภาคธุรกิจ เนื่องจากเทรนด์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นใช้จ่ายเพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ทำให้บริการท่องเที่ยวที่ครบวงจรทั้งที่พักและกิจกรรมภายใต้บริการที่ได้มาตรฐานและราคาเหมาะสม จะช่วยเพิ่มคุณค่าบริการและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น
สุดท้ายนักท่องเที่ยวสายคาเฟ่ สายสุขภาพและเวลเนส สายแอดเวนเจอร์ เป็นสายนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเป็นโอกาสแก่ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เที่ยวนาน และได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ไม่สูงนัก ทำให้มีแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวค่อนข้างสูงตาม ทั้งนี้ การจัดทำโปรโมชันส่งเสริมการขาย การบริการระดับพรีเมียม และการตกแต่งที่ทันสมัย เป็นเอกลักษณ์ คาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้ค่อนข้างมาก
The post EIC แนะเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มให้ชัด ก่อนงัดโปรโมชันเด็ดดูดกำลังซื้อ appeared first on THE STANDARD.
]]>‘พื้นที่ปลอดภัย’ ดูเหมือนเป็นสถานที่ง่ายๆ อย่างบ้าน ห้อ […]
The post ความจริงแล้ว ‘ผู้ชาย’ ใช้เวลาในห้องน้ำมากกว่า ‘ผู้หญิง’ และพวกเขามองว่าห้องน้ำคือพื้นที่ปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.
]]>‘พื้นที่ปลอดภัย’ ดูเหมือนเป็นสถานที่ง่ายๆ อย่างบ้าน ห้องนอน ร้านอาหารที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย หรือที่ง่ายไปกว่านั้น และหลายคนคิดไม่ถึงอย่าง ‘ห้องน้ำ’ ซึ่งถ้าให้คิดง่ายๆ กับคำถามที่ว่า ระหว่างผู้หญิงหรือผู้ชายจะใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่ากัน? หลายคนคงตอบทันทีว่าเป็นผู้หญิง
แต่จากแบบสอบถามกลับกลายเป็น ‘ผู้ชาย’ ต่างหาก
ผลงานวิจัยจากบริษัทห้องน้ำ Pebble Grey ปี 2018 พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ชายในสหราชอาณาจักรใช้เวลามากกว่า 7 ชั่วโมงต่อปีในห้องน้ำเพื่อการ ‘พักผ่อน’ และ ‘คลายเครียด’
จากแบบสอบถามที่ส่งให้ผู้ชาย 38 คนที่มีอายุระหว่าง 19-55 ปี เกี่ยวกับนิสัยการเข้าห้องน้ำพบว่า 92% ใช้เวลาในห้องน้ำ 20 นาที และกว่า 70% ใช้เวลา 30-40 นาทีในการนั่งบนโถส้วม เมื่อเทียบกับผู้หญิงในคำถามเดียวกันเป็นจำนวน 10 คน พบว่า พวกเธอทั้ง 10 คนใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ
ในจำนวนนี้พบว่า กว่า 84% ของผู้ชายใช้เวลาในโลกโซเซียล 68% ดูคลิปวิดีโอ 62% อ่านข่าว 49% ตอบแชตหรืออีเมล 24% ดูรายการทีวี 14% อ่านหนังสือ และ 8% โทรศัพท์ แต่คำตอบยอดนิยมคือ 80% ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
นักจิตอายุรเวท เบนจามิน แจ็คสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาของผู้ชายกล่าวว่า ผู้ชายใช้เวลาเพียงลำพังในการสร้างระดับฮอร์โมนที่สำคัญสำหรับผู้ชายอย่าง ‘เทสโทสเตอโรน’ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะลดลงเมื่อเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ เช่น การเข้าสังคม การทำงาน หรือแม้แต่เรื่องเพศ
ฉะนั้นการที่ผู้ชายจำนวนมากเลือก ‘ห้องน้ำ’ เป็นพื้นที่ปลอดภัย เปรียบเสมือนการที่พวกเขาใช้เวลาในถ้ำเพื่อปรับระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และเพื่อการผ่อนคลายทางจิตใจ
ภาพ: Shutterstock
อ้างอิง:
The post ความจริงแล้ว ‘ผู้ชาย’ ใช้เวลาในห้องน้ำมากกว่า ‘ผู้หญิง’ และพวกเขามองว่าห้องน้ำคือพื้นที่ปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.
]]>Ezra Miller นักแสดงวัย 29 ปี ที่จู่ๆ ก็มีข่าวฉาวเรื่องพ […]
The post Ezra Miller เริ่มบำบัดปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองแล้ว พร้อมกล่าวขอโทษต่อพฤติกรรมสุดฉาวที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.
]]>Ezra Miller นักแสดงวัย 29 ปี ที่จู่ๆ ก็มีข่าวฉาวเรื่องพฤติกรรมสุดโต่งและการใช้ความรุนแรงมากมาย จนนำไปสู่การถูกจับกุมหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความงุนงงต่อแฟนภาพยนตร์ทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนว่าอาชีพนักแสดงของเขากำลังไปได้ดีทีเดียวในเวลานั้น
หลังจากที่ Ezra Miller ปิดปากเงียบมาเป็นเวลานาน ล่าสุดตัวแทนของเขาก็มีการแถลงการณ์ผ่านสื่อ Variety ว่า เขากำลังเข้ารับการรักษาปัญหาสุขภาพจิตที่ซับซ้อนของตัวเองแล้ว พร้อมกับกล่าวขอโทษต่อพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ที่ผ่านมาทั้งหมด
เขากล่าวในแถลงการณ์ว่า “การที่เพิ่งได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความวิกฤตมานั้น ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าฉันกำลังทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพจิตที่ซับซ้อนของตัวเอง และได้เริ่มต้นบำบัดแล้ว ฉันอยากขอโทษทุกๆ คนที่ทำให้ตื่นตระหนกและไม่พอใจในพฤติกรรมที่ผ่านมา ฉันกำลังตั้งใจทำทุกอย่างที่ต้องทำ เพื่อที่จะได้กลับมาสุขภาพดี ปลอดภัย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
Ezra Miller เป็นนักแสดงผู้เป็นที่ชื่นชอบไม่น้อย เขามีผลงานภาพยนตร์มาแล้วมากมายทั้ง Fantastic Beasts และการรับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ The Flash แห่งอาณาจักร DC ซึ่งพฤติกรรมฉาวของเขาก็ทำให้ทั้งเพื่อนร่วมงานอย่าง Warner Bros. และทีมงาน The Flash ตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก
Ezra Miller ขึ้นพาดหัวข่าวเรื่องพฤติกรรมรุนแรงครั้งแรกในปี 2020 โดยเขาก่อเหตุบีบคอหญิงรายหนึ่งหน้าบาร์ที่ประเทศไอซ์แลนด์ และเขาเพิ่งถูกจับกุมช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาในข้อหาลักทรัพย์ที่รัฐเวอร์มอนต์ ซึ่งเมื่อตำรวจสืบสวนก็พบว่า Ezra Miller ได้ขโมยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายขวดไปจากที่แห่งหนึ่งเมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่ นอกจากนั้นในปีนี้เขายังถูกจับกุมในฮาวายถึง 2 ครั้ง ในข้อหาประพฤติมิชอบและคุกคามผู้อื่น ซึ่งเขาก็ต้องจ่ายค่าปรับในข้อหาแรก และได้รับการยกฟ้องในข้อหาคุกคาม
ถึงแม้ว่าข่าวฉาวมากมายจะสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของเขา รวมไปถึงสตูดิโอที่กำลังร่วมงานกันอย่าง Warner Bros. แต่ก็มีรายงานว่า Warner Bros. สนับสนุนการตัดสินใจเข้ารับการรักษาสุขภาพจิตของ Ezra Miller อย่างเต็มที่ ส่วนภาพยนตร์ The Flash ที่เขานำแสดงร่วมกับ Ben Affleck และ Michael Keaton ก็มีกำหนดฉายในปี 2023 หลังเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง
ภาพ: David M. Benett / WireImage
อ้างอิง:
The post Ezra Miller เริ่มบำบัดปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองแล้ว พร้อมกล่าวขอโทษต่อพฤติกรรมสุดฉาวที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (16 มิถุนายน) มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการท […]
The post ‘มาดามแป้ง’ ออกแถลงการณ์ขอโทษ ย้ำจุดยืนต่อต้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของทีมงานกับนักเตะทีมชาติไทย appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (16 มิถุนายน) มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ภายในงานเลี้ยง ที่มีเจ้าหน้าที่กระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับนักฟุตบอลทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีที่มาร่วมงาน
โดยแถลงการณ์ของมาดามแป้งระบุว่า
“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงสังสรรค์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีนักฟุตบอลชาย ทีมชาติไทย U23 บางส่วนมาร่วมงานด้วย ได้มีทีมงานของแป้งที่มีความคุ้นเคยกับนักกีฬา ได้ใช้คำพูดรวมทั้งแสดงกิริยาที่อาจจะทำให้หลายคนมองว่าไม่เหมาะสม ตามที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย จากนั้นต่อมาหนึ่งในทีมงานของแป้งได้โพสต์แสดงความเสียใจและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
“แป้งในฐานะผู้จัดการทีมชาติไทย และหัวหน้างานโดยตรง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เมื่อทราบเรื่องก็รู้สึกไม่สบายใจ ได้ใช้เวลาที่ผ่านมาในการสอบถามทุกฝ่ายเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง และได้เรียกทีมงานทุกคนและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนทราบว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดจากเจตนาร้าย แป้งจึงได้ตำหนิและกำชับไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
“แป้งขอใช้โอกาสนี้แสดงจุดยืนว่าแป้งให้ความสำคัญในเรื่องการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต่อต้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทุกรูปแบบ รวมทั้งมีการเน้นย้ำในเรื่องนี้กับทีมงานทุกคน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด ไม่ว่ากับใครก็ตาม”
The post ‘มาดามแป้ง’ ออกแถลงการณ์ขอโทษ ย้ำจุดยืนต่อต้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของทีมงานกับนักเตะทีมชาติไทย appeared first on THE STANDARD.
]]>ช่วงค่ำของวานนี้ (14 มิถุนายน) ได้เกิด #แบนทีมงานมาดามแ […]
The post #แบนทีมงานมาดามแป้ง ขึ้นท็อปเทรนด์ทวิตเตอร์ หลังพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับนักเตะ ล่าสุดหนึ่งในทีมงานโพสต์ขอโทษแล้ว appeared first on THE STANDARD.
]]>ช่วงค่ำของวานนี้ (14 มิถุนายน) ได้เกิด #แบนทีมงานมาดามแป้ง และขึ้นท็อปเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับที่ 1 กว่า 27,000 ข้อความ กล่าววิจารณ์พฤติกรรมของทีมงาน มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่หลายฝ่ายมองว่าไม่เหมาะสมภายในงานเลี้ยงที่มีสมาชิกนักเตะทีมชาติไทยชุด U23 ที่เพิ่งกลับจากการแข่งขันที่อุซเบกิสถาน
โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์บางรายได้นำเอาคลิปภาพภายในงานเเลี้ยงที่มีการจับเนื้อต้องตัวนักกีฬาทีมชาติไทย และแสดงท่าทีที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นไปในลักษณะของ Sexual Harassment หรือล่วงละเมิดทางเพศกับนักเตะหลายคน
ภายหลังจากเกิดกระแสการวิจารณ์อย่างหนักในทวิตเตอร์ ตี๋-วิทูรณ์ ชมชายผล ทีมงานเลขาฯ ของมาดามแป้ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความใน Facebook ส่วนตัวระบุว่า
“ผมขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อคืน ที่ทำให้หลายคนไม่สบายใจ ขอเรียนชี้แจงว่า ผมได้จัดงานเลี้ยงให้น้องๆ ที่ทำงานร่วมกัน ด้วยความประสงค์ที่จะให้มีการรื่นเริงสังสรรค์ และได้ชักชวนนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติบางส่วนที่ยังไม่ได้เดินทางกลับบ้านหรือสโมสรมาร่วมงานด้วย ผมพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน โดยมิได้มีจิตเจตนาหรือความตั้งใจที่จะให้เป็นการไม่ให้เกียรติ หรือถึงขั้นว่าเป็น Sexual Harassment
“ตัวผมเองไม่ได้นิ่งนอนใจกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมได้รับบทเรียนแล้วว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และก่อให้เกิดความไม่สบายใจกับหลายๆ ฝ่าย ผมกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ และคงเป็นบทเรียนสำคัญที่จะได้ระมัดระวังให้มากขึ้น ขอน้อมรับทุกคำแนะนำและตักเตือนครับ”
The post #แบนทีมงานมาดามแป้ง ขึ้นท็อปเทรนด์ทวิตเตอร์ หลังพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับนักเตะ ล่าสุดหนึ่งในทีมงานโพสต์ขอโทษแล้ว appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (8 พฤษภาคม) ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกร […]
The post โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงกระแสข่าวพระสงฆ์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สั่งการสำนักพุทธฯ เข้มวินัยสงฆ์ appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (8 พฤษภาคม) ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเป็นห่วงต่อกระแสข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ส่งผลต่อความศรัทธาของพี่น้องประชาชน จึงสั่งการสำนักพระพุทธศาสนากำชับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) เข้มงวดพระสงฆ์ให้ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
ธนกรกล่าวว่า หน้าที่หลักของพระสงฆ์คือ การธำรงรักษาและเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาให้ยั่งยืนสืบไป ด้วยสังฆคุณอันยิ่งใหญ่นี้พุทธศาสนิกชนจึงควรรู้จักการปฏิบัติตนต่อพระภิกษุสงฆ์ที่เหมาะสม หน้าที่หลักของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ การศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาแล้วปฏิบัติตาม พร้อมทั้งนำหลักคำสอนมาเผยแผ่แก่ประชาชน การจะปฏิบัติกิจใดๆ ก็ตามต้องไม่ละเลยการประพฤติในส่วนที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นความประพฤติเพื่อความประเสริฐ เพื่อบรรลุถึงความสิ้นกิเลส โดยประพฤติให้เป็นไปตามพุทธบัญญัติและต้องเอื้อเฟื้อ ไม่ละเมิดพุทธอาณัติอันเป็นข้อห้ามมิให้ประพฤติ หรือเรียกว่าประพฤติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย
“นายกฯ ขอให้ พศจ. เร่งประสานงานกับเจ้าคณะปกครองสงฆ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางร่วมกันในการทำความเข้าใจต่อสังคมให้ถูกต้อง รวมถึงสอดส่องดูแลให้พระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติตามคำสั่งมหาเถรสมาคม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน สร้างศรัทธา ความเลื่อมใส ร่วมกันทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป” ธนกรกล่าว
The post โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงกระแสข่าวพระสงฆ์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สั่งการสำนักพุทธฯ เข้มวินัยสงฆ์ appeared first on THE STANDARD.
]]>