พรีเซ็นเตอร์โฆษณา – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 03 Mar 2024 12:48:19 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ความฮอตของ ‘บิวกิ้นและพีพี’ จะไปสุดที่ตรงไหน? ชวนวิเคราะห์ทำไมแบรนด์ดังถึงเลือกคู่จิ้นเป็นพรีเซนเตอร์? แม้ค่าตัว 7 หลักก็ยอม https://thestandard.co/why-do-big-brands-use-famous-people-to-represent-their-brands/ Fri, 01 Mar 2024 10:07:20 +0000 https://thestandard.co/?p=906148 บิวกิ้นพีพี

ความฮอตของ ‘บิวกิ้นและพีพี’ จะไปสุดที่ตรงไหน นักวิเคราะ […]

The post ความฮอตของ ‘บิวกิ้นและพีพี’ จะไปสุดที่ตรงไหน? ชวนวิเคราะห์ทำไมแบรนด์ดังถึงเลือกคู่จิ้นเป็นพรีเซนเตอร์? แม้ค่าตัว 7 หลักก็ยอม appeared first on THE STANDARD.

]]>
บิวกิ้นพีพี

ความฮอตของ ‘บิวกิ้นและพีพี’ จะไปสุดที่ตรงไหน นักวิเคราะห์คอนเฟิร์ม! บิวกิ้นและพีพียังเป็นที่สนใจของแบรนด์ดัง เพราะสร้างอิมแพ็กต์ได้อย่างแน่นอน พร้อมเปิดเทรนด์ จากนี้แบรนด์สินค้าจะเลือกใช้พรีเซนเตอร์มากกว่า 1 คนขึ้นไปถึงจะประสบความสำเร็จ

 

ถึงวันนี้มองไปทางไหนก็จะเห็นบิวกิ้นและพีพีรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับหลากหลายแบรนด์ ซึ่งนอกจากจะรับงานเดี่ยวแล้ว ทั้งสองคนยังควงคู่กันรับงานพรีเซนเตอร์คู่ให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น AIS หรือเมื่อไม่นานมานี้อย่าง The Pizza Company ที่ก็เปิดตัวบิวกิ้นและพีพีเป็นพรีเซนเตอร์อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน ว่ากันว่าค่าตัวทั้งสองคนสูงถึง 7 หลักเลยทีเดียว 

 

 

หากย้อนกลับไป บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร เริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงซีรีส์สายวาย ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางของการเป็นศิลปิน โดยบิวกิ้นนั้นได้เข้าสู่บทบาทผู้บริหารและเป็นศิลปินในค่าย Billkin Entertainment ในวัย 24 ปี ส่วนพีพีในวัย 24 ปีนั้นก็เป็นผู้บริหารและศิลปินในค่าย PP Krit Entertainment ของตัวเองเช่นกัน โดยทั้งคู่มีผลงานในวงการบันเทิงออกมามากมาย

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

คอนเฟิร์ม! บิวกิ้นและพีพียังเป็นที่สนใจของแบรนด์และยังไม่ช้ำ

 

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI GROUP ฉายภาพกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในอดีตปัจจัยหลักที่แบรนด์เลือกใช้พรีเซนเตอร์จะมุ่งไปที่ดาราหรือศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับแมส 

 

ยกตัวอย่างเช่น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์, เบลล่า-ราณี แคมเปน หรือ มาริโอ้ เมาเร่อ ฯลฯ ที่คนรู้จักกันทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันแบรนด์จะเลือกใช้พรีเซนเตอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับคัลเจอร์และตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ 

 

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร / THE STANDARD

 

 

ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป หากสังเกตดูก็จะเห็นว่ากลุ่มลูกค้ามีความชัดเจนขึ้นและแตกกระจายอยู่ในหลายๆ คอมมูนิตี้ ทำให้ดาราในสมัยก่อนถูกดิสรัปต์ไปค่อนข้างมาก สลับมาที่บิวกิ้นและพีพีที่เป็นทั้งดาราและศิลปิน มีผลงานต่างๆ มากมาย และเริ่มแมส มีคนรู้จักมากขึ้น จนทำให้ปัจจุบันมีฐานแฟนคลับจำนวนมาก

 

“จริงๆ จุดกำเนิดของทั้งสองคนมาจากการเป็นคู่จิ้นในซีรีส์วายและละคร รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ซึ่งช่วงนั้นก็ยังไม่เป็นกระแสมากนัก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีกระแสขึ้นมาจากองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการเล่นซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ, ภาพลักษณ์ดี, คาแรกเตอร์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร แถมมีความสามารถทั้งการเป็นนักแสดงและเป็นศิลปิน ที่ไม่ว่าจะมีผลงานอะไรออกมาก็มักมีแฟนคลับติดตามจนกลายเป็นแมสได้ระดับหนึ่ง”

 

และอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งคู่คือ มีภาพลักษณ์ที่ดี รสนิยมดี มีการศึกษาที่ดี ภาษาดี บ้านมีฐานะ ทุกอย่างดีไปหมด ทั้งหมดจะสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมูลค่าของมาร์เก็ตเตอร์ที่ต้องการคนที่จะสามารถสื่อสารแบรนด์ไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายกลุ่ม หลากหลายวัฒนธรรม

 

 

เสี่ยงไหม? ศิลปินรับพรีเซนเตอร์หลายตัว

 

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าบิวกิ้นและพีพีรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับหลากหลายแบรนด์รวมแล้วมากกว่าหลายสิบแบรนด์ ทำให้คำถามที่ตามมาคือ จะสร้างความสับสนในใจให้ผู้บริโภคหรือไม่?

 

เรื่องนี้ภวัตให้มุมมองที่น่าสนใจว่า ในยุคนี้ดารารับพรีเซนเตอร์หลายตัวจะไม่หนักเท่าเมื่อก่อน ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา อย่าง เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ช่วงนั้นมีชื่อเสียงและรับเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าทุกกลุ่ม ในยุคต่อมาก็มี ณเดชน์ คูกิมิยะ, ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ และ มาริโอ้ เมาเร่อ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคไม่สนใจว่านักแสดงที่เขาชอบจะรับพรีเซนเตอร์สินค้าหลายตัวหรือไม่ แต่ผู้บริโภคจะสนใจแค่ว่าสินค้าไหนที่เขาจำได้เท่านั้น

 

ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์สินค้าจ้าง ณเดชน์ คูกิมิยะ มาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่ไม่มีการร้องเพลงประกอบ ทำให้แบรนด์สร้างได้แค่ Awareness แต่ไม่สามารถเชื่อมพรีเซนเตอร์ให้เข้าไปสร้าง Engagement กับกลุ่มเป้าหมายได้

 

เช่นเดียวกับบิวกิ้นและพีพี เราจะเห็นทั้งคู่รับงานโฆษณาคู่กันอย่าง B-Quik ที่มีการร้องเพลงประกอบ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสร้างเรื่องราวได้ว่าเป็นธุรกิจครอบครัวของบิวกิ้น ทำให้โฆษณามีหลายมิติมากขึ้น

 

รวมถึงที่พีพีที่ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์โอโม ก็สามารถสร้าง Awareness ได้ เพราะฉะนั้นในมุมของ Awareness สร้างได้แน่นอน ซึ่งถ้าศิลปินหรือนักแสดงรับงานพรีเซนเตอร์ 20 แบรนด์ คอนซูเมอร์ก็จะรับรู้ได้ทุกแบรนด์ แต่รับมาก็ลืมๆ ไป แต่ความคาดหวังมาร์เก็ตเตอร์คือ การสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ให้ได้

 

 

กลยุทธ์พรีเซนเตอร์ 1 คนหรือ 2 คนขึ้นไป แบบไหน Success กว่ากัน

 

ในอดีตการใช้พรีเซนเตอร์ 1 คนดีกว่าทุกมุม เช่น ณเดชน์ คูกิมิยะ โฆษณาของแชมพูหรือ NIVEA  คอนซูเมอร์ก็จะมีภาพจำว่า NIVEA MEN คือณเดชน์ เพราะฉะนั้นคำว่าณเดชน์กับ NIVEA จะผูกกันชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าแบรนด์จะใช้พรีเซนเตอร์มากกว่า 1 คนขึ้นไป งบประมาณทางการตลาดก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย 

 

ที่สำคัญเรตในการลงโฆษณาของแต่ละคนจะถูกแชร์ตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งแบรนด์มีงบ 100 บาท มีพรีเซนเตอร์หลายคน ต้องใช้งบยิงแอดโฆษณาไปหาลูกค้าที่เป็นฐานแฟนคลับของดาราคนนั้น ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันตลาดหรือกลุ่มเป้าหมายมีหลากหลายมาก ดังนั้นการมีพรีเซนเตอร์คนเดียวอาจไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ และสร้างได้แค่ Awareness แต่ไม่ได้ Community และไม่ได้ Engagement 

 

สะท้อนได้ว่า ในอดีตพรีเซนเตอร์คนเดียวได้ผลชัดเจน แต่ปัจจุบันการมีพรีเซนเตอร์หลายคนจะตอบโจทย์กับยุคนี้มากกว่า เพราะกลุ่มเป้าหมายคนไทยที่มีอยู่ 70 ล้านคน มีพรีเซนเตอร์ในใจมากกว่าหนึ่งคน 

 

“ถ้าเทียบกับในอดีต เดินไปตลาดถามใครก็จะตอบว่าชื่นชอบแค่อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต อยู่แค่ 3-4 คน แต่ปัจจุบันถ้าเดินไปในคอมมูนิตี้หนึ่ง กลุ่มผู้บริโภคอาจจะบอกว่ามีดาราหรือศิลปินในดวงใจมากถึง 20 คนด้วยซ้ำ” ภวัตให้ความเห็น 

 

พรีเซนเตอร์มากกว่า 1 คน สร้างอิมแพ็กต์ความยิ่งใหญ่ให้กับแบรนด์

 

แน่นอนว่าปัจจุบันเราจะเห็นหลายๆ แบรนด์พยายามใช้ศิลปินหลายคน เพื่อให้ศิลปินสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละตลาด และจะเห็นโฆษณาที่มีพรีเซนเตอร์หลายๆ คนมารวมกัน สิ่งเหล่านี้จะตอบโจทย์เรื่องของอิมแพ็กต์ความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ 

 

ก่อนหน้านี้ AIS ที่มีพรีเซนเตอร์หลายคนก็ชัดเจน และประสบความสำเร็จกับการดึงพรีเซนเตอร์ตัวท็อปมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ และหนึ่งในนั้นมีชื่อ ลิซ่า BLACKPINK และแบมแบม GOT7 ก็สร้างความฮือฮาอยู่ไม่ใช่น้อย 

 

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพรีเซนเตอร์ที่เป็น AI อย่างน้องไอรีน ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าน้องไอรีนคือใคร ไม่รู้จัก แต่อย่าลืมว่าน้องไอรีนสามารถดึงกลุ่มคนที่ชอบเรื่องเมตาเวิร์ส หรือ AI เข้ามาได้อย่างแน่นอน 

 

 

ไม่เว้นแม้แต่ Samsung ที่มีสินค้าหลากหลาย ก็ใช้พรีเซนเตอร์และอินฟลูเอ็นเซอร์ให้เข้ากับภาพลักษณ์ของสินค้านั้นๆ

 

เราจะเห็นเลยว่า แบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มใช้พรีเซนเตอร์หลายคนเต็มไปหมด จริงๆ ก็เปรียบเสมือนกับการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ ซึ่งแบรนด์ระดับกลางหรือแบรนด์ทั่วไปอาจจะใช้เงินจ้างพรีเซนเตอร์คนหนึ่ง แล้วพรีเซนต์ก็เป็นเหมือนแบรนด์แอมบาสเดอร์ 

 

แต่คำว่าแบรนด์แอมบาสเดอร์อาจไม่ได้สร้าง Engagement ได้อย่างเต็มที่ เพราะอาจไม่ได้อยู่ในคอมมูนิตี้นั้นๆ แล้วหลังจากนั้นแบรนด์ค่อยมาใช้อินฟลูเอ็นเซอร์เพื่อเข้าไปหาลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ทีหลัง  

 

แบรนด์จะเลือกศิลปินที่เหมาะสมกับสินค้าอย่างไร

 

เมื่อศิลปินมีภาพลักษณ์ที่หลากหลายจากการรับพรีเซนเตอร์หลายตัว ทำให้เรื่องนี้มาร์เก็ตเตอร์กังวลมานานกว่า 20 ปีแล้ว เพราะสมัยก่อนที่แบรนด์จะเลือกนักแสดงหรือศิลปินมาเป็นพรีเซนเตอร์ ต้องพิจารณาจากเบื้องหลังการใช้ชีวิต 

 

อย่างเช่น โฆษณารถยนต์ ก็ต้องดูว่าในชีวิตประจำวันดาราคนนั้นขับรถยนต์แบรนด์อะไร และขับมานานแค่ไหน กลายเป็นภาพจำแล้วหรือไม่ แน่นอนว่าถ้าเป็นคู่แข่ง แบรนด์ก็เลือกที่จะไม่ใช้ เพราะมีความสุ่มเสี่ยงที่ลูกค้าจะมีเกิดความสับสนได้

 

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องกฎของแบรนด์นั้นไม่สามารถจ้างพรีเซนเตอร์ที่เคยรับงานสินค้าประเภทเดียวกันได้ นอกจากจะหมดสัญญาแล้ว โดยปกติสัญญาก็อยู่ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี

 

เลือกพรีเซนเตอร์ให้ตรงกับภาพลักษณ์สินค้ามีความท้าทายมาก

 

อีกหนึ่งความท้าทายที่พูดง่ายแต่ทำยากคือ พรีเซนเตอร์คนนี้ที่จ้างมาในราคาประมาณ 7-8 หลัก โจทย์คือแบรนด์จะดึงเสน่ห์และตัวตนเขามาเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้อย่างไร เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกดีกับแบรนด์ 

 

แต่เรื่องนี้ก็ถือว่ายากที่จะทำให้พรีเซนเตอร์เข้ากับแบรนด์สินค้าได้จริงๆ ต้องเลือกให้ตรงจริต โดยพรีเซนเตอร์กับสินค้าต้องมีความเข้ากันได้ในระดับหนึ่งและต้องเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายด้วยว่าแบรนด์ต้องการขายใคร 

 

อย่างกรณีของคัลแลนกับพี่จองที่มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Samsung S24 เราไม่มีทางรู้ว่าจะขายดีมากน้อยแค่ไหน แต่ได้มากกว่าแค่ Awareness แน่นอน เพราะคนพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ทำให้ได้อินไซต์มาด้วย แตกต่างกับหลายๆ แบรนด์ก็จะแค่โฆษณา แต่ยังไม่ได้สร้างอิมแพ็กต์มากนัก ดังนั้นแบรนด์จะต้องสร้างความแตกต่างให้ได้

 

สำหรับกรณีของ Samsung นั้นได้ออกมาเปิดเผยอย่างเป็นการทางว่า Galaxy S24 Series ได้รับความนิยมและการตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้บริโภคชาวไทย ด้วยยอดการสั่งจองล่วงหน้ากว่า 200% เมื่อเทียบกับรุ่น Galaxy S23 Series และสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ตัวเลขเติบโตติดท็อป 1 ใน 5 ของโลก ส่วนยอดขายติดท็อป 10 โดย 1 ใน 4 ของยอดพรีออร์เดอร์นั้นมาจากแบรนด์คู่แข่ง

 

“นอกจากการก้าวเข้าสู่ยุค AI Phone ส่วนตัวมองว่า ปรากฏการณ์คัลแลน-พี่จองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขการจองเติบโตสูงแบบนี้” สิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานธุรกิจองค์กร โมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH

 

 

อนาคตกลยุทธ์ ‘Celebrity Endorsement’ ในยุคดิจิทัลจะเป็นอย่างไร

 

ภวัต เรืองเดชวรชัย ฉายภาพต่อไปว่า ในปัจจุบันการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง คำจำกัดความไม่ได้อยู่แค่ดาราต่อไปอีกแล้ว แต่เป็นคนที่มีชื่อเสียงในแต่ละคอมมูนิตี้ ซึ่งอนาคตเราอาจจะเห็นแบรนด์เลือกใช้พรีเซนเตอร์ที่หลากหลายขึ้นในหนึ่งแบรนด์หรือหนึ่งแคมเปญด้วยซ้ำ และจะไม่ได้เป็นแค่การทำโฆษณาแบบปกติแล้ว 

 

“สมมติว่าเราจ้างบิวกิ้นกับพีพีมาทำโฆษณาหลักหนึ่งตัว จากนั้นเราจะเห็นชิ้นงานโฆษณาย่อยในมิติอื่นๆ เพราะมาร์เก็ตเตอร์รู้แล้วว่าการทำลักษณะนี้ผู้บริโภคจะยอมรับแบรนด์หรือมี Value ที่ดีกับแบรนด์แน่นอน

 

“เห็นได้จากโฆษณา Samsung S24 คัลแลนกับพี่จอง จะมีที่เป็นโฆษณาหลักหนึ่งตัวและจะมีคลิปวิดีโอที่สะท้อนตัวสินค้า S24 ในมุมมองต่างๆ ที่เรียลขึ้น เพราะเทรนด์ผู้บริโภควันนี้เขาจะเข้าถึงคอนเทนต์ในลักษณะนี้มากกว่า” 

 

ดารา-ศิลปินรับพรีเซนเตอร์หลายงาน จะมีความช้ำเป็นเรื่องธรรมดา

 

สอดคล้องกับ ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา การใช้พรีเซนเตอร์ถือว่าจำเป็นมากสำหรับแบรนด์ที่ต้องเพิ่มขีดการแข่งขันในตลาด แต่ปัจจุบันแบรนด์จะใช้พรีเซนเตอร์คนเดียวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะผู้คนมีความชอบหลากหลายมากขึ้น 

 

ภาพ: สลัก แก้วเชื้อ / THE STANDARD

 

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวที่หลายๆ แบรนด์เลือกใช้บิวกิ้นกับพีพีเป็นพรีเซนเตอร์มาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยทั้งสองคนรับพรีเซนเตอร์ในกลุ่มสินค้าหลากหลายประเภท ที่สำคัญสามารถจับกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุม จึงทำให้หลายๆ แบรนด์เลือกใช้ ซึ่งก็ยอมรับว่าถ้าแบรนด์ใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะมีความช้ำอยู่บ้าง เพราะคนจำไม่ได้ว่าเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์อะไรมาบ้าง ซึ่งกรณีแบบนี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ และ เบลล่า-ราณี แคมเปน ก็เคยประสบกับปัญหาแบบนี้มาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

 

ขณะเดียวกันการรับพรีเซนเตอร์หลายตัว ถ้าอยู่ในกลุ่มสินค้าประเภทแตกต่างกันก็ไม่มีปัญหาอะไร คือผู้บริโภคไม่ได้เดือดร้อนที่พรีเซนเตอร์คนหนึ่งจะไปรับสินค้าหลายตัว เพียงแต่แบรนด์ที่มาใช้ทีหลังคนอาจจะจำได้น้อยกว่า

 

ทั้งนี้ กลยุทธ์ก็แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Daikin ที่เคยใช้ณเดชน์เป็นพรีเซนเตอร์คนเดียว แต่ปัจจุบันนั้นเป็นพรีเซนเตอร์คู่กับบิวกิ้น สะท้อนให้เห็นว่า พอใช้ณเดชน์ไปสักพักคนจะเริ่มคุ้นตาและเริ่มอยากเห็นอะไรใหม่ๆ แบรนด์ก็เลยต้องเพิ่มพรีเซนเตอร์คนใหม่เข้ามา แต่ขณะเดียวกันก็เลิกใช้พรีเซนเตอร์คนเดิมไม่ได้ 

 

ในบางครั้งการใช้พรีเซนเตอร์ 2 คนมีประโยชน์ก็จริง แต่ก็ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายและพรีเซนเตอร์คนเดิมและคนใหม่ว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่ เพราะไม่ใช่ว่าภาพลักษณ์ของพรีเซนเตอร์ทั้งสองคนจะเข้ากันได้ง่ายๆ แต่ข้อดีคือสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น

 

ก่อนหน้าที่เราจะเห็นแบรนด์ที่ใช้พรีเซนเตอร์หลายคน อย่างเช่น MISTINE ที่มีโปรดักต์หลากหลายและตั้งใจเจาะกลุ่มแมส นอกจากจะแบ่งตามเพศและตามอายุแล้ว สิ่งสำคัญที่แบรนด์ให้ความสำคัญมากๆ ก็คือ การแบ่งตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ทั้งนี้ ก็เพื่อรองรับบริบทสังคมและพฤติกรรมของผู้คนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

 

พรีเซนเตอร์ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น นับเป็นเกาะปกป้องแบรนด์

 

เรียกได้ว่าการที่แบรนด์จะเลือกพรีเซนเตอร์ 

 

  1. ต้องดูที่งบการตลาด 
  2. ดูว่าพรีเซนเตอร์จะเชื่อมกับแบรนด์และจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่แบรนด์ต้องการหรือไม่
  3. ต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายว่ามีลักษณะเป็นแฟนคลับหรือไม่ เพราะพรีเซนเตอร์บางคนมีคนรู้จัก แต่ไม่มีกลุ่มแฟนคลับ 

 

“ถึงกระนั้นข้อดีของพรีเซนเตอร์ที่มีฐานแฟนคลับคือ คนกลุ่มนี้จะไม่ใช่แค่ชอบในตัวศิลปิน แต่จะสนับสนุนและปกป้องด้วย”

 

ในกรณีที่แบรนด์ถูกโจมตี ก็จะมีแฟนคลับของพรีเซนเตอร์เข้ามาปกป้องทันที จุดนี้นักการตลาดก็จะใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการเลือก เพราะมองว่าเป็นการซื้อเกราะปกป้องแบรนด์ โดยศิลปินที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นที่เรารู้จักกันดีก็มีแต่ตั้งบิวกิ้น, พีพี, เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร รวมถึงศิลปิน K-Pop จากเกาหลีอย่าง BTS และ BLACKPINK

 

 

ความท้าทายของการที่แบรนด์จะเลือกศิลปินหรือดาราให้เหมาะสมกับสินค้า

 

ถ้าหากแบรนด์สามารถเลือกพรีเซนเตอร์ให้เข้ากับแบรนด์ได้จะสร้างประโยชน์ได้อย่างมากมาย อย่างเช่น Samsung S24 ที่ดึงคัลแลนกับพี่จองมารับหน้าที่พรีเซนเตอร์ ด้วยความที่ทั้งสองคนเป็นเกาหลีอยู่แล้วและมีไลฟ์สไตล์น่ารัก รู้สึกน่าเอ็นดู และพอมาเข้ากับ Samsung ที่เป็นแบรนด์เกาหลี ทุกอย่างก็ดูเข้ากันไปหมด

 

ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ควรระมัดระวังไม่ใช่แค่จ้างคนดัง แต่ต้องจ้างคนดังที่เหมาะกับแบรนด์ และมากกว่านั้นคือต้องระวังว่าคนคนนั้นมีความใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นที่จ้างอยู่หรือไม่ เพราะแม้จะรับงานในอุตสาหกรรมที่ต่างกัน แต่มีความใกล้เคียงกัน อย่างเช่น ธุรกิจอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ที่มีความใกล้เคียงเรื่องความสวยความงาม อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนในที่สุด 

 

เทรนด์พรีเซนเตอร์ AI กำลังมาแรงในยุคดิจิทัล

 

นอกจากนี้แบรนด์ก็ต้องมีเครื่องมือการตลาดเพื่อสร้างความแตกต่างและไม่ทิ้งเรื่องคุณภาพของสินค้า ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางจำหน่าย เพื่อหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ เนื่องจากการใช้พรีเซนเตอร์ในบางครั้งจะช่วยสร้างยอดขายได้ในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าอยากให้สร้างยอดขายได้ในระยะยาว ต้องจัดกิจกรรมและแคมเปญเข้ามาเสริมด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการที่แบรนด์จะใช้ดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาสนับสนุนแบรนด์ในยุคดิจิทัล ที่พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงเร็วและซับซ้อนมากขึ้น การใช้พรีเซนเตอร์คนเดิมในระยะเวลานานอาจไม่ตอบโจทย์อีกแล้ว จากนี้จะเริ่มเห็นการใช้พรีเซนเตอร์ในรูปแบบของ AI ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วในบางแบรนด์ เช่น AIS และ AirAsia ที่ใช้ AI มาเป็นพรีเซนเตอร์ เพียงแต่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยมากนัก 

The post ความฮอตของ ‘บิวกิ้นและพีพี’ จะไปสุดที่ตรงไหน? ชวนวิเคราะห์ทำไมแบรนด์ดังถึงเลือกคู่จิ้นเป็นพรีเซนเตอร์? แม้ค่าตัว 7 หลักก็ยอม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mercedes-Benz บอกลาวัฒนธรรมการใช้ ‘พริตตี้’ โปรโมตรถ หันมาใช้ ‘Digital Guide’ ที่ไม่จำกัดเพศ สีผิว รูปร่าง และไม่ต้องแต่งตัววาบหวิว https://thestandard.co/mercedes-benz-digital-guide/ Tue, 19 Apr 2022 07:35:39 +0000 https://thestandard.co/?p=618861 Mercedes-Benz

วัฒนธรรมการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่ทุกคนรู้จักในนาม ‘พริตตี้’ […]

The post Mercedes-Benz บอกลาวัฒนธรรมการใช้ ‘พริตตี้’ โปรโมตรถ หันมาใช้ ‘Digital Guide’ ที่ไม่จำกัดเพศ สีผิว รูปร่าง และไม่ต้องแต่งตัววาบหวิว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mercedes-Benz

วัฒนธรรมการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่ทุกคนรู้จักในนาม ‘พริตตี้’ ที่ช่วยโปรโมตรถยนต์ในงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย จนอาจส่งผลต่อมุมมองของคนไทยที่มีต่อพริตตี้ และหลาย ๆ ครั้งก็ส่งผลกระทบกับคุณค่าของผู้หญิง และอาจนำไปสู่การกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อพวกเธอ

 

แต่เพราะคุณค่าของแต่ละบุคคลอยู่ที่หลากหลายองค์ประกอบ ไม่ใช่แค่เพศสภาพ Mercedes-Benz จึงได้ประกาศบอกลาวัฒนธรรมดังกล่าวด้วยการใช้ ‘Digital Guide’ ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่ให้ความรู้เรื่องรถยนต์ของ Mercedes-Benz ทุกรุ่น ในงานจัดแสดงรถยนต์ทุกงานในประเทศไทย

 

“นี่คือพรีเซ็นเตอร์ที่ไม่จำกัดเพศ สีผิว หรือรูปร่าง ไม่จำเป็นต้องแต่งตัววาบหวิว แต่ได้รับการอบรมเรื่องรถยนต์และมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ให้ข้อมูลอย่างแม่นยำ” Mercedes-Benz กล่าวในเอกสารที่ส่งให้สื่อมวลชน

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง

 


 

ทิศทางของ Mercedes-Benz เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังรูดม่านงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 โดยยอดจองรวมภายในงานครั้งนี้อยู่ที่ 33,936 คัน เติบโตขึ้น 13.6% แบ่งเป็น ยอดจองรถยนต์ใหม่ 31,896 คัน เติบโตขึ้น 14.4% และยอดจองรถจักรยานยนต์ใหม่ 2,040 คัน เติบโตขึ้น 2% เมื่อเทียบกับการจัดงานครั้งก่อนหน้า

 

Mercedes-Benz รั้งอันดับที่ 8 สำหรับแบรนด์รถยนต์ที่มียอดจองสูงสุด โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 2,102 คัน 

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post Mercedes-Benz บอกลาวัฒนธรรมการใช้ ‘พริตตี้’ โปรโมตรถ หันมาใช้ ‘Digital Guide’ ที่ไม่จำกัดเพศ สีผิว รูปร่าง และไม่ต้องแต่งตัววาบหวิว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pepsi Max x BlackPink ระเบิดความซ่าทุ่มงบโฆษณา Wrap รถไฟฟ้า 4 ขบวน พร้อมสื่อบนสถานีรถไฟฟ้ากลางเมือง 4 สถานี เสิร์ฟความฟินเอาใจแฟนบลิ๊งค์ทั่วประเทศ [Advertorial] https://thestandard.co/pepsi-max-x-blackpink-wrap-advertising/ Mon, 11 Jan 2021 06:30:25 +0000 https://thestandard.co/?p=439528

แม้ตอนนี้แบรนด์ต่างๆ จะเริ่มทุ่มงบโฆษณาไปกับสื่อโฆษณาออ […]

The post Pepsi Max x BlackPink ระเบิดความซ่าทุ่มงบโฆษณา Wrap รถไฟฟ้า 4 ขบวน พร้อมสื่อบนสถานีรถไฟฟ้ากลางเมือง 4 สถานี เสิร์ฟความฟินเอาใจแฟนบลิ๊งค์ทั่วประเทศ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้ตอนนี้แบรนด์ต่างๆ จะเริ่มทุ่มงบโฆษณาไปกับสื่อโฆษณาออนไลน์มากขึ้น แต่พื้นที่สื่อออฟไลน์มากมายก็ยังมีช่องทางใหม่ๆ ที่น่าสนใจให้แบรนด์และนักการตลาดได้สื่อสารกับผู้บริโภค เพราะอย่างไรก็ตามผู้บริโภคยังคงโหยหาประสบการณ์จริงผ่านแบรนด์มากกว่าโลกออนไลน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับแบรนด์แล้วว่าจะใช้ความครีเอทีฟพูดคุยกับผู้บริโภคในบริบทไหน จนสามารถดึงความสนใจได้อย่างอยู่หมัด 

 

พูดถึงความครีเอทีฟในการทำตลาดของแบรนด์ในเมืองไทย กลุ่มแบรนด์สินค้าเครื่องดื่มแต่ละเจ้าก็สร้างสรรค์การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างน่าสนใจ จนกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับนักการตลาดและแบรนด์อื่นๆ ได้เช่นกัน และหนึ่งในแบรนด์ที่ไม่ว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่หรือปล่อยแคมเปญอะไรก็ดึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ทุกที ต้องยกให้กับเจ้าตลาดน้ำดำอย่าง PEPSI ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด

 

 

 

Pepsi Max x BlackPink เต็มที่กันต่อ ด้วยการตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่กล้าทำเรื่องซ่าๆ ทุ่มงบโฆษณาทำการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง หลังเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ก็ถึงคิวของสื่อโฆษณากลางแจ้ง หรือ Out of Home Media โดยใช้โฆษณาผ่านสื่อโฆษณายักษ์ใหญ่อย่าง VGI เอาใจแฟนบลิ๊งค์ให้ฟินเต็มที่ในทุกๆ ที่ทั่วกรุงเทพฯ

 

 

การสื่อสารผ่านสื่อโฆษณานอกบ้านโดยเฉพาะ Transit Media อย่างรถไฟฟ้า BTS ทั้งในสถานี นอกสถานที่ รวมถึงการ Wrap ขบวนรถ เนื่องจาก BTS เป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงการเดินทางที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ถือเป็นอีกสื่อที่เสริมบทบาทการเข้าถึงทั้งกลุ่มเป้าหมายและคนทั่วไป ที่แม้จะไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้าก็ยังสามารถเห็นโฆษณาได้อยู่ดี และยิ่งเดี๋ยวนี้แฟนคลับชาวไทยมีวัฒนธรรมซื้อสื่อป้ายโฆษณานอกบ้านเพื่ออวยพรวันเกิดให้กับศิลปินที่ชื่นชอบ ‘จะได้เห็นเขาตลอดเวลา’ การที่แคมเปญ Pepsi Max x BlackPink เลือกใช้สื่อเดียวกัน และยังใช้ศิลปินที่มีแฟนคลับมากที่สุดวงหนึ่งในโลก บอกเลยว่างานนี้ Pepsi Max ทุ่มงบเอาใจแฟนคลับ บลิ๊งค์กันสุดๆ ปล่อยฮุกหมัดเดียวได้ทั้ง Awareness และ Engagement จุกๆ กันไปเลยครับท่าน!

แต่ก่อนจะฮุกหมัดเดียวจุก! แคมเปญ Pepsi Max x BlackPink แอบปล่อยหมัดแย็บออกมาเป็น 4 เฟส ผ่านสื่อ VGI ในการโปรโมตแคมเปญ เริ่มจาก  

 

 

Phase 1: แย็บน้อยๆ ปล่อยทีเซอร์
‘Ready พร้อมมั้ย?’ พร้อมกับโลโก้ของ Pepsi Max ปรากฏบนสื่อตอม่อรถไฟฟ้า หรือ BTS Street View LED เป็นการเปิดตัวที่แฟนบลิ๊งค์ตัวจริงไม่ต้องเดา แต่แค่ต้องลุ้นว่าจะสเตปต่อไปจะมาไม้ไหน ซึ่ง BTS Street View LED หรือจอดิจิทัลบริเวณตอม่อนี้ ยังเป็นพื้นที่สื่อที่พาดผ่านใจกลางย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ถึงจะไม่ใช่แฟนบลิ๊งค์ก็ต้องเห็น และยิ่งเล่นหยอดตลอดๆ เส้นทาง ลงล็อกในการสร้าง Brand Awareness

 

 

Phase 2: หยอดต่อ เปิดภาพพรีเซนเตอร์ให้แฟนบลิ๊งค์ฟิน
หลังปล่อยทีเซอร์ ‘Ready พร้อมมั้ย?’ เฟสต่อมาก็ถึงเวลาเปิดตัวพรีเซนเตอร์ทั้ง 4 โดยยังคงใช้ BTS Street View LED และเพิ่มความครีเอทีฟให้กับชิ้นงาน ใส่ลูกเล่น ภาพเคลื่อนไหว ทลายขีดจำกัดป้ายโฆษณาแบบเดิมๆ ช่วยดึงความสนใจจากผู้ใช้รถใช้ถนนหรือแม้แต่คนเดินเท้าให้สามารถรับชมโฆษณาได้อย่างชัดเจนเต็มตา และการเลือกซื้อสื่อในย่านธุรกิจที่มีการจราจรติดขัดก็ยิ่งได้เวลาในการหยุดมองเพิ่มขึ้นจากคนที่อยู่บนท้องถนน  

 

 

Phase 3: เปิดตัวดีไซน์บนกระป๋อง Pepsi Max 4 แบบ 4 สไตล์ 

ถึงเวลาเปิดตัวแพ็กเกจแบบลิมิเต็ดคอลเล็กชันในธีมสีดำ-ชมพู ที่มาพร้อมลายเซ็นของทั้ง 4 สาว ได้แก่ จีซู เจนนี่ โรเซ่ และลิซ่า เพื่อเอาใจแฟนคลับชาวไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิกให้ได้ ฟินกันกับมิติใหม่ของ Pepsi Max คราวนี้เลือกแย็บหมัดใส่กลุ่มเป้าหมายโดยตรง ใช้สื่อจอดิจิทัลบนสถานี รวมถึงจอ BTS Street View LED เผยภาพแพ็กเกจสุดลิมิเต็ดทั้ง 4 แบบ 

 

 

Phase 4:  เต็มที่กับการโฆษณาให้สุด Wrap รถไฟฟ้าบีทีเอส 4 ขบวน พร้อมเหมาพื้นที่ 4 สถานที่ใหญ่ใจกลางเมือง ชิดลม พร้อมพงษ์ ศาลาแดง และช่องนนทรี 

เต็มที่ให้สุดกับเฟส 4 ที่เล่นใหญ่ส่งท้ายปี ด้วยการ Wrap ทั้งภายในและภายนอกขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส 4 ขบวน พร้อมดึงดูดทุกสายตาของกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่บันไดขึ้นสถานี, ทางเข้าสถานี, ทางเดินภายในสถานี, ป้ายชื่อสถานี ไปจนถึงภายในตู้โดยสาร, เพดานรถไฟฟ้า, เสารถไฟฟ้า, ประตู, หน้าต่างรถไฟฟ้า และสแตนดี้ของ 4 สาวที่มารอต้อนรับทุกคนที่มาใช้บริการบนสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 4 สถานีใจกลางเมือง ได้แก่ ชิดลม พร้อมพงษ์ ศาลาแดง และช่องนนทรี เรียกว่าจะเดิน จะรอรถไฟฟ้า หรืออยู่ในขบวน

ก็ได้ฟินกันเต็มๆ ตาผ่านจอในขบวนรถไฟฟ้า 

 

 

การ Wrap ขบวนรถไฟฟ้าภายนอกนั้น ยังสามารถสื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ทั่วกรุงเทพฯ ยิ่งตอนนี้ BTS ขยายเส้นทางการเดินรถ โอกาสที่โฆษณาจะถูกเห็นก็เพิ่มมากขึ้น ทั้งในย่านธุรกิจและย่านชุมชนที่รถไฟฟ้าผ่าน และไม่เฉพาะแค่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเท่านั้น คนทั่วไปที่เดิมตามท้องถนนก็มีโอกาสเห็นเช่นกัน

 

 

หมัดสุดท้ายก่อนทิ้งท้ายแคมเปญใหญ่ปลายปี ทีมการตลาดยังรู้ด้วยว่ากลุ่มแฟนคลับ หลังจากสร้าง ‘โปรเจกต์’ ด้วยการซื้อพื้นที่ป้ายโฆษณาแล้ว ต้องจบภารกิจด้วยการ ‘ภาพถ่ายของป้าย’ และอัปขึ้นทวิตเตอร์

 

แฟนบลิ๊งค์ทุกคนต้องห้ามพลาดไปเช็กอินถ่ายรูปสุดชิคได้แล้วตั้งแต่วันนี้ และอย่าลืมมาร่วมกิจกรรม ‘อร่อยซ่าโพสท่าเต็มที่ กับ PEPSI x BLACKPINK Station’ เพื่อลุ้นรางวัลพิเศษ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : PepsiThai

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

The post Pepsi Max x BlackPink ระเบิดความซ่าทุ่มงบโฆษณา Wrap รถไฟฟ้า 4 ขบวน พร้อมสื่อบนสถานีรถไฟฟ้ากลางเมือง 4 สถานี เสิร์ฟความฟินเอาใจแฟนบลิ๊งค์ทั่วประเทศ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
บ๊ายบาย ‘ยุนอา’ ด้วยความรัก เมื่อเธออำลาตำแหน่งแอมบาสเดอร์ Innisfree หลังทำหน้าที่ยาวนานถึง 11 ปี https://thestandard.co/yoona-and-innisfree-terminated-the-contract-after-11-years/ Sat, 08 Aug 2020 04:49:41 +0000 https://thestandard.co/?p=386830

ข่าวอย่างเป็นทางการจากแบรนด์ Innisfree ที่ทำเอาแฟนๆ แอบ […]

The post บ๊ายบาย ‘ยุนอา’ ด้วยความรัก เมื่อเธออำลาตำแหน่งแอมบาสเดอร์ Innisfree หลังทำหน้าที่ยาวนานถึง 11 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

ข่าวอย่างเป็นทางการจากแบรนด์ Innisfree ที่ทำเอาแฟนๆ แอบช็อกไปตามๆ กันคือ การโบกมือลาตำแหน่งแอมบาสเดอร์ของ อิมยุนอา (สมาชิกวง Girls’ Generation) หลังจากทำหน้าที่สื่อสารและโปรโมตแคมเปญต่างๆ ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา 11 ปี ด้วยเหตุนี้แบรนด์ Innisfree ประเทศไทย จึงออกแถลงการณ์ชวนแฟนๆ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ Innisfree ในการร่วมขอบคุณ อิมยุนอา แบรนด์แอมบาสเดอร์คนสวย ซึ่งเธอได้ทำหน้าที่ของเธอได้เป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาอันยาวนาน 11 ปี

 

โดยยุนอาเปิดตัวเป็นแอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ Innisfree ครั้งแรกเมื่อปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงปีที่เธอได้รับรางวัล Best New Actress จากซีรีส์ You Are My Destiny ในงาน Baeksang Arts Awards ปีที่ 45 และได้รับรางวัล Most Popular Actress จากงานประกาศรางวัลเดียวกันอีกด้วย ต้องบอกว่าช่วงเวลาตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ยุนอาทำหน้าที่ของเธอในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ Innisfree ได้เป็นอย่างดี เธอได้มอบรอยยิ้มอันสดใส มอบเสียงหัวเราะอันร่าเริง และเต็มเปี่ยมไปด้วยการสื่อสารถึงความรักความอบอุ่นที่ส่งมอบให้แฟนๆ ของแบรนด์ผ่านผลิตภัณฑ์และสื่อโฆษณาจากแคมเปญต่างๆ ของทางแบรนด์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 

 

เชื่อว่าเธอสามารถทำให้แฟนๆ ชาวไทยจดจำและมอบกระแสตอบรับที่ดีให้แก่แบรนด์ Innisfree มาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ในครอบครัวของแบรนด์สีเขียวแบรนด์นี้ เธอได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์ให้ทุกคนหันมาใส่ใจและรักษาส่ิงแวดล้อม ลดการใช้กระดาษ และใช้สิ่งต่างๆ ที่มาจากการรีไซเคิลให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ถึงแม้นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่เธอสามารถทำได้ผ่านหน้าที่ของแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีของการรักษ์โลกให้แก่ทุกคน แม้วันนี้จะถึงเวลาที่แบรนด์ Innisfree ต้องโบกมือลายุนอา ที่จะลงจากตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ไปด้วยความรักและความคิดถึง แต่เชื่อว่าการบอกลาครั้งนี้จะเต็มไปด้วยความประทับใจที่จะถูกเก็บไว้ในความทรงจำของทั้งแบรนด์เองและแฟนๆ ของยุนอาด้วยเช่นกัน แม้ต่อจากนี้ไปเราจะไม่ได้เห็นภาพของยุนอาทำหน้าที่โปรโมตแบรนด์ Innisfree อีกต่อไปแล้ว แต่เชื่อว่าเธอจะอยู่ในใจของแฟนๆ ไปอีกนานแสนนาน 

 

THE STANDARD POP ขอเป็นส่วนหนึ่งในการบอกลายุนอาด้วยความขอบคุณจริงๆ ที่ตลอดระยะเวลา 11 ปี เธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกใบนี้สวยงามและสดใสขึ้น 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post บ๊ายบาย ‘ยุนอา’ ด้วยความรัก เมื่อเธออำลาตำแหน่งแอมบาสเดอร์ Innisfree หลังทำหน้าที่ยาวนานถึง 11 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>