วันนี้ (24 เมษายน) ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ในช่วงบ่ายที่ประชุมได้มีการพิจารณาในวาระที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค พิจารณาชื่อและตราประทับ (โลโก้พรรค) โดยชื่อพรรคใหม่ที่ได้รับการรับรองคือชื่อ ‘พรรครวมพลัง’ (Action Coalition Party) 

สำหรับตราสัญลักษณ์พรรคนั้นใช้สัญลักษณ์เป็นรูปพญานาคสีเหลือง มีลายเส้นสีม่วง มีตัวอักษร ‘พ’ สีเหลือง วางอยู่กึ่งกลางเหนือลำตัวพญานาค พื้นหลังพญานาคเป็นวงกลมสีม่วง ล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว มีตัวอักษรชื่อ ‘พรรครวมพลัง’ ด้านบน และชื่อภาษาอังกฤษ Action Coalition Party อยู่ด้านล่าง และมีขอบสีม่วงล้อมรอบวงสีขาวอีกชั้น ทั้งนี้ ความหมายของสัญลักษณ์ดังกล่าวมีการอธิบายว่า ภาพรวมเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมพลังอันยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยเพื่อพิทักษ์ธรรม 

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพรรครวมพลัง เพราะชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทยตอนต้นเป็นการทำให้ครบเนื้อหาสาระที่สุด แต่คนจำยาก เราก็เลยเหลือพรรครวมพลัง ส่วนสัญลักษณ์หรือตราพรรคของเดิมก็สวยงาม แต่ตอนนี้เราต้องเลือกตั้งครั้งหน้า น่าจะมีพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นอีก ก็จำเป็นที่จะต้องมีวิธีบอกประชาชนว่าไปเลือกพรรคที่มีสัญลักษณ์ที่ประชาชนเห็นได้ชัด จึงจัดทำสัญลักษณ์เป็นพญานาคเพราะมีพลังและปกป้องพระพุทธเจ้าได้ จึงเป็นสัญลักษณ์ว่าพรรคเราจะพิทักษ์ธรรม พิทักษ์สิ่งที่ถูกต้อง ส่วนตัวย่อจะใช้คำว่า ‘ร.พ.’ ซึ่งจะทำให้ประชาชนจำง่ายขึ้น

ด้าน สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงโลโก้และชื่อพรรคใหม่ว่า การเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่ก็เพื่อที่จะให้เกิดการจำที่ง่ายขึ้น ส่วนชื่อเก่านั้นยาวไป ชื่อใหม่ก็จำง่ายขึ้น ดูมีชีวิตชีวา และเชื่อว่าคงไม่มีการดราม่าเกิดขึ้น 

The post รวมพลังประชาชาติไทย เปลี่ยนโลโก้ใช้ ‘พญานาค’ เป็นสัญลักษณ์ พร้อมปรับชื่อเป็น ‘พรรครวมพลัง’ สุเทพหวังจำได้ง่าย appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (20 มกราคม) เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ โฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวยืนยันกรณีมีกระแสข่าวว่า พรรคเล็กที่จะไปร่วมกับกลุ่ม ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทยคือสุภาพบุรุษทางการเมือง เมื่อประชาชนไว้วางใจลงคะแนนให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่านของพรรคเข้ามา 5 ท่านในรัฐสภา บนสัญญาที่ว่าเราต้องการที่จะเห็นการเมืองที่ดีขึ้น การเมืองที่สุจริต โดยพวกเราเชื่อมั่นว่าท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบทุกประการ

“ไม่ว่าจะเป็นงานทั้งฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารที่มีหัวหน้าพรรคคือ ท่านรัฐมนตรี เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลุงตู่จนจบสมัยตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนมาตั้งแต่ช่วงหาเสียง” เขตรัฐกล่าว

เขตรัฐกล่าวต่อไปว่า พรรคไหนที่จะย้ายไปอยู่กับใครนั้นเป็นสิทธิของ ส.ส. แต่ละท่าน ไม่ขอไปก้าวก่ายและวิจารณ์ ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน แต่พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะไม่มีวันหักหลังลุงตู่และประชาชนที่เลือกพวกเราเข้ามาทำงาน

The post ‘จะไม่มีวันหักหลังลุงตู่’ รวมพลังประชาชาติไทยประกาศเคียงข้างประยุทธ์ทั้ง 5 เสียง appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (21 พฤศจิกายน) ที่อาคารหอประชุมใหญ่ (BTU Hall) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 โดยก่อนเริ่มการประชุม สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้งพรรค พร้อมด้วย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้เดินทักทายสมาชิกพรรคที่มาร่วมประชุม

สำหรับการประชุมดังกล่าวมีเอนกเป็นประธานการประชุม โดยมีการรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งการดำเนินการของกระทรวง อว. อาทิ การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ตามนโยบายรัฐบาล โครงการ อว. ลดค่าเทอม เพื่อนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด การใช้มหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนแพทย์เปิดโรงพยาบาลสนามในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด รวมทั้งการเป็นหน่วยในการฉีดวัคซีนโควิด การเพิ่มช่องทางเข้าสู่ศาสตราจารย์โดยไม่จำเป็นแค่การส่งตำราหรืองานวิจัย ยกเลิกการรีไทร์ในมหาวิทยาลัย รวมทั้งนโยบายผลิตยานอวกาศไปดวงจันทร์ สร้างดาวเทียม ทำให้เกิดเศรษฐกิจอวกาศ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในการประชุมยังมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่รวม 7 คน ประกอบด้วย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรค, ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เป็นเลขาธิการพรรค, จุฑาฑัตต เหล่าธรรมทัศน์ เหรัญญิกพรรค, ดนุช ตันเทอดทิตย์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค, พัชรินรุจา จันทโรนานนท์, ยอดขวัญ ชุมวระ, พิรสุต จันทรานุวัฒน์ กรรมการบริหารพรรค

นอกจากนี้ยังมีการเลือกคณะกรรมการจริยธรรมและวินัยของพรรครวม 5 คน ประกอบด้วย ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง, วีระชัย คล้ายทอง, พล.ต.ท. อภิชาติ บุญศรีโรจน์, พล.ต.ต. ธนนท์ สิงหรา ณ อยุธยา และ พล.ต.ต. พิกัด ตันติพงศ์ 

อีกทั้งยังแจ้งย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรค จากเดิมตั้งอยู่ที่อาคารทูแปซิฟิคเพลส ชั้น 21 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ย้ายที่ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 29 ซอยเพชรเกษม 102/3 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร

เอนกกล่าวภายหลังรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคว่า จะให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรค โดยจะเตรียมพรรคสู่การเลือกตั้งในช่วงเวลา 1 ปีต่อจากนี้ไป โดยมีเวลา 1 ปีเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของพรรค ซึ่งเรามีผลงานในช่วงที่ร่วมเป็นรัฐบาลในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของกระทรวง อว. และผลงาน ส.ส. ของพรรคในสภา โดยเป้าหมายจะเป็นพรรคขนาดเล็ก-ขนาดกลางที่มีคุณภาพ จะเป็นพรรคของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เพราะเราปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม

The post ‘เอนก’ นั่งหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยคนใหม่ จากวันก่อตั้งสู่เก้าอี้รัฐมนตรี ตั้งเป้าเป็นพรรคเล็ก-กลางที่มีคุณภาพ appeared first on THE STANDARD.

วานนี้ (1 พฤศจิกายน) เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่มีการเสนอแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยระบุว่า ผมขอคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 กฎหมายคือกติกาของสังคมในการอยู่ร่วมกัน การกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจะยกมาแก้ พวกท่านแน่ใจแล้วหรือว่าคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้ เรื่องนี้เราได้เตือนมาตลอดว่าการกระทำผิดกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วยังคิดยังมาแก้กฎหมาย ก็มิต่างอะไรกับการวางตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของสังคม 

เขตรัฐระบุอีกว่า ขอยกตัวอย่างที่ใกล้ชีวิตประจำวันของทุกท่าน มันจะต่างอะไรกับกฎหมายธรรมดาที่ใกล้ตัวท่าน เช่น กฎหมายว่าด้วยการจราจรที่วิ่งเกินกำหนดความเร็วเเล้วโดนใบสั่ง แต่มารวมตัวกันเพื่อให้พ้นผิด

“ผมขอถามกลับไปตรงๆ ว่าสรุปท่านต้องการอยู่เหนือกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อสังคมกันแน่”

The post เขตรัฐ รวมพลังประชาชาติไทย ค้านแก้ ม.112 ถามกลับแน่ใจหรือคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (18 ตุลาคม) เพชรชมพู กิจบูรณะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า 

“วันนี้เพชรได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทยกับหัวหน้าพรรคและนายทะเบียนสมาชิกพรรค รวมถึงได้ส่งสำเนาให้กับ กกต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของเพชร สิ้นสุดลงตามมาตรา 101 ของรัฐธรรมนูญ​ เนื่องจาก​เพชรเป็น​ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ​ ผู้ที่มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชี​รายชื่อของพรรค​จะเลื่อนขึ้นมาเป็น​ ส.ส.​ แทน”

เพชรชมพูยังโพสต์ด้วยว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาที่เพชรมีโอกาสเข้ามาทำงานการเมือง ได้พบเห็น​ เรียนรู้​ และเข้าใจ​ประเด็นปัญหาต่างๆ​ ของประเทศ​มากขึ้นทั้งในเชิงมหภาค​และจุลภาค​ บ่อยครั้งที่​ทางออกของปัญหานั้น​ไม่สามารถ​ทำให้ทุกฝ่าย​พึงพอใจได้​ จึงตกเป็นหน้าที่ของฝ่ายนโยบาย​ที่จะหา​จุดสมดุลให้เจอ​เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน​ทุกกลุ่ม

“สำหรับผู้ที่ดำรงตำแหน่งสมาชิก​สภาผู้แทน​ราษฎร​ เรามีส่วนร่วม​ในการหาจุดสมดุลนี้ได้ผ่านที่ประชุมสภา​ และกรรมาธิการ​ชุดต่างๆ​ กว่า​ 2 ปีที่เพชรดำรงตำแหน่ง​ ส.ส.​ เพชรได้ปฏิบัติ​หน้าที่​อย่างเต็มที่​ไม่ว่าจะในที่ประชุมสภา ในคณะกรรมา​ธิการ​ หรือในการประชุมระหว่างประเทศ​ ขอขอบคุณทุกท่านที่เพชรได้พบเจอและร่วมงานตลอดเส้นทางการเมืองของเพชร​ สำหรับท่านต่อไปนี้​ เพชรต้องขอขอบพระคุณ​เป็นอย่างสูง​ ถือว่าเป็นโชคดีของเพชรที่ได้มีโอกาสเรียนรู้งานจากท่านในบทบาทต่างๆ” เพชรชมพูระบุ

สำหรับพรรครวมพลังประชาชาติไทย มี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่ออยู่ 4 คน โดยลำดับถัดไปที่คาดว่าจะเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส. คือ สุเนตตา แซ่โก๊ะ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 8

The post เพชรชมพู ลาออกรวมพลังประชาชาติไทย สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ทันที คาดเลื่อน ‘สุเนตตา’ เป็น ส.ส. ใหม่ป้ายแดง appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (3 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พร้อมด้วย ส.ส. ของพรรค แถลงจุดยืนพรรคในการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 4 กันยายนนี้ว่า จากการฟังการอภิปรายของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาตลอด 3 วัน พบว่าไม่มีนำ้หนักมากพอ เนื่องจากฝ่ายค้านมีการนำข้อมูลเท็จและหลักฐานเท็จในการอภิปราย อาทิ เรื่อง IO ซึ่งผู้ถูกอภิปรายก็ถูกฟ้องร้องแล้ว ต่อมามีการนำคลิปชุมนุมเมื่อปี 2557 มานำเสนอเหมือนว่าเป็นการชุมนุมในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าไม่เป็นความจริง 

เขตรัฐกล่าวว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีก็สามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น รวมทั้งยังมีปรากฏการณ์ที่ ส.ส. เปิดประตูให้อำนาจเงินมาบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของระบบประชาธิปไตยเพื่อล้มล้างรัฐบาล ซึ่งถือว่าขัดกับหลักการของพรรคและเป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้ ดังนั้นพรรค รปช. ที่มี 5 เสียง ขอลงมติไว้วางใจให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 คน พร้อมขอเป็นกำลังใจสู้ต่อไป ฝ่าฟันวิกฤตของประเทศไปให้ได้

The post ‘ขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไป’ รวมพลังประชาชาติไทย แถลงโหวตไว้วางใจประยุทธ์และรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกซักฟอก appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (3 กันยายน) เมื่อเวลา 09.56 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ตอนหนึ่งว่า สภาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีท่านอื่นๆ แต่ฟังมาทุกวันเห็นว่า เป้าที่แท้จริงคือท่านนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น ประกอบกับโทนี่ออกมาปลุกระดมข้ามทวีป และสมุนบริวารที่นำโดย  ณัฐวุฒิกับพวกออกมาก่อเหตุกดดัน ส.ส. อยู่ด้านนอกสภา ที่ชั่วร้ายที่สุดคือ การที่มีคนเลวทำร้ายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการใช้เงินก้อนโตไล่ซื้อ ส.ส. ให้ลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์

บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะการระบาดของโควิด และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นและมากขึ้นทุกวัน ต้องการผู้นำรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริต รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บุคคลที่คนไทยในยามนี้ไว้วางใจให้นำประเทศฝ่าวิกฤตครั้งนี้ พี่น้องประชาชนยังคงไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ให้นำประเทศก้าวต่อไป ผมขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพี่น้องประชาชน แสดงความไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศให้ได้

The post สุเทพ ประกาศไว้วางใจประยุทธ์ ชี้มีคนเลวทำลายประชาธิปไตย ใช้เงินซื้อ ส.ส. ให้โหวตคว่ำนายกฯ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (16 พฤศจิกายน) ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย พร้อมด้วย เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ โฆษกพรรค ออกแถลงการณ์ของพรรครวมพลังประชาชาติไทยถึงจุดยืนร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนศกนี้ ดังนี้

ข้อ 1 เราขอเริ่มด้วยประเด็นความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่มีผลบังคับอยู่ในปัจจุบัน เรามักได้ยินฝ่ายนั้นฝ่ายนี้กล่าวกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่จัดทำขึ้นภายใต้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ โดยได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร

ดังนั้นจึงเป็นรัฐธรรมนูญที่น่ารังเกียจ ควรต้องถูกล้มเลิกไป โดยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้แทน เราเห็นว่าจุดเริ่มต้นหรือที่มาในการจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ใช่ประเด็นชี้ขาดความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ เพราะแม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่คณะราษฎรจัดทำขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยใน พ.ศ. 2475 ก็ก่อกำเนิดมาจากการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ของกลุ่มทหารและพลเรือนผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นกัน

การพิจารณาความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาที่เนื้อหาสาระทั้งมวลที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และโอกาสของประชาชนทั้งประเทศที่ได้พิจารณาให้การรับรองหรือไม่รับรองรัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ โดยการลงประชามติอย่างอิสรเสรีตามครรลองแห่งระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นี้ได้มีประชาชนลงมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมากเป็นจำนวนเกือบ 17 ล้านเสียง ซึ่งย่อมต้องถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการสถาปนาโดยประชาชน จึงเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรมอย่างบริบูรณ์

การที่บุคคลคณะหนึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอันเนื่องจากคุณวุฒิ ประสบการณ์ และความรู้ทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เป็นแนวทางปฏิบัติอันเป็นปกติ แม้แต่หากจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นก็มิใช่ว่า สสร. แต่ละคนจะร่วมกันเป็นผู้ร่างบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญขึ้นเอง หากแต่จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการยกร่าง ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทำนองเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วให้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญอยู่ดี

ข้อ 2 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอโดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านและฉบับที่เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาล อันถือว่าเป็นฉบับหลักสำคัญ 2 ฉบับซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญคล้ายคลึงกันคือแก้ไขมาตรา 256 ในอันที่จะทำให้วิธีการและขั้นตอนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ง่ายขึ้นกว่าบทบัญญัติที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กับการเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำธรรมนูญฉบับใหม่ โดยจะให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและให้ สสร. เป็นผู้เข้ามาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นทั้งฉบับ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่มีผลบังคับอยู่ในเวลานี้มีหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความหมายชัดอยู่ในตัวให้มีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมเป็นบางส่วน บางหมวด บางมาตราเท่านั้น ไม่ใช่การล้มเลิกฉบับเดิมแล้วจัดทำใหม่ทั้งฉบับ (แม้ในร่างฉบับใหม่ที่เขียนไว้ขัดแย้งกันในตัวว่าจะไม่แก้ไขเพิ่มเติม หมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ซึ่งหากจะไม่แตะต้องทั้งสองหมวดดังกล่าวจริงแล้ว เหตุใดจะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ)

อนึ่ง การที่จะล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมแล้วให้ สสร. ดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยประชาชนทั่วไปไม่อาจคาดคิดได้ว่าโฉมหน้าของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะปรากฏออกมาเป็นเช่นใด ก็เปรียบเสมือนประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเซ็นเช็คฉบับว่างเปล่ามอบให้แก่ตัวแทนไปเขียนตัวเลขจำนวนเงินเอาเองตามอำเภอใจ ซึ่งจะเป็นรูปการณ์ที่เป็นอันตรายและสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีความชอบธรรมจากการลงประชามติของประชาชน 

ดังกล่าวในข้อ 1 แล้ว หากจะเสนอให้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนั้นด้วยการจัดทำใหม่ทั้งฉบับตามร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอเข้าสู่รัฐสภาในครั้งนี้เพื่อความชอบธรรมและด้วยจิตวิญญาณแห่งระบบประชาธิปไตยดังที่มักกล่าวอ้างกันอยู่ ก็ควรถามประชาชนเป็นเบื้องต้นด้วยการเสนอหลักการสำคัญให้มีการลงประชามติเสียก่อนว่าจะเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ข้อ 3 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีบทบัญญัติอันดีงามอยู่นานาประการ อันมีความมุ่งหมายเพื่อการแก้ไขและป้องกันปัญหาเลวร้ายทางการเมืองและสังคมที่ผ่านมาเป็นบทเรียนให้เกิดการพัฒนา สร้างกรอบทางกฎหมายขึ้น ได้แก่ ระบบการเลือกตั้งที่ป้องกันปัญหาเผด็จการเสียงข้างมากหรือเผด็จการทางรัฐสภา การป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในแวดวงการเมืองและในระบบบริหารราชการแผ่นดิน การมีบทบัญญัติบังคับภาครัฐดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างทั่วด้าน (แม้ขณะนี้จะยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน แต่การปฏิรูปก็อยู่ในกระบวนการดำเนินการทั้งสิ้น หากภาครัฐไม่ดำเนินการก็จะเป็นการมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญบังคับให้ต้องดำเนินการ) หากจะมีการสนใจศึกษาบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 อย่างถ่องแท้จะเห็นเนื้อหาสาระอันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่เห็นปรากฏการณ์วิพากษ์วิจารณ์ตำหนิติเตียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ก็เป็นเพียงบทบัญญัติบางมาตรา ได้แก่

มาตรา 272 ที่สมาชิกวุฒิสภามีสิทธิในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งเป็นเพียงบทเฉพาะกาลที่ใกล้จะสิ้นผลลงในไม่ช้านี้แล้ว เป็นต้น หากจะมีการแก้ไขบทบัญญัติที่ไม่พึงปรารถนาของภาคส่วนทางการเมืองก็ย่อมจะกระทำได้เป็นรายหมวด รายมาตรา หามีเหตุอันสมควรจะต้องล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แล้วจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาแทนแต่อย่างใดไม่

ข้อ 4 รัฐสภาเป็นองค์กรแห่งอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นเสาหลัก 1 ใน 3 เสาแห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย การดำเนินการใดๆ ของสมาชิกรัฐสภา อันได้แก่ การตราหรือการแก้ไขกฎหมายใดๆ จะต้องกระทำภายใต้หลักแห่งนิติรัฐและนิติธรรม ไม่พึงกระทำเพียงเพื่อตามกระแสหรือเพื่อหวังบรรเทาแรงกดดันอันปราศจากความชอบธรรมอย่างแท้จริงเพื่อให้ผ่านสถานการณ์ช่วงหนึ่งไปเท่านั้น

พรรครวมพลังประชาชาติไทยยืนหยัดคัดค้านการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post รวมพลังประชาชาติไทย ประกาศจุดยืนค้านร่าง รธน. ใหม่ทั้งฉบับ ย้ำ รธน. ปี 60 มีความชอบธรรม appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (15 กันยายน) ที่อาคารทูแปซิฟิค สุขุมวิท ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พร้อมด้วย ส.ส. ของพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค เช่น สุพล จุลใส ส.ส. ชุมพร, จุฑาฑัตต เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ, ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขาธิการพรรค และ เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ได้ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับจุดยืนของพรรค รปช. ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทวีศักดิ์ แถลงว่า ภาพรวมพรรรค รปช. พิจารณาแล้วเห็นว่าจะต้องแถลงแสดงจุดยืนในเรื่องการแก้ไข รธน. การที่เราเห็นว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องแถลงเพราะรัฐธรรมนูญ (รธน.) เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายแม่บท การแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องมีเหตุผลที่ชอบธรรมและสมบูรณ์ที่สุด เราเห็นว่า รธน. ฉบับนี้เป็นนวัตกรรมทางกฎหมาย อันเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง

ทวีศักดิ์กล่าวต่อว่า พรรคไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยมีมติให้ ส.ส. ของพรรค ไม่ร่วมลงชื่อในญัตติเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกฉบับทั้งของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล รวมถึงการลงมติไม่เห็นชอบในวาระที่ 1 รับหลักการทุกญัตติ

ทวีศักดิ์ชี้แจงเหตุผลว่า รธน. ปี 2560 เป็น รธน. ที่มีจุดมุ่งหมายผดุงหลักนิติรัฐนิติธรรม เป็นครั้งแรกที่บัญญัติการปฏิรูปประเทศอย่างทั่วด้าน อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมถึงผ่านการออกเสียงประชามติจากประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ใช้มา 3 ปีเศษ แต่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ว่า รธน. มีปัญหาหรือไม่ มีเพียงนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่ชอบใจ ไม่สมประโยชน์ที่พึงประสงค์ ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งทั่วไปเหมือนที่เคยได้ รวมถึงชี้ว่าญัตติเสนอแก้ไข รธน. ไม่ชอบด้วย รธน. เนื่องจากไม่มีการรับฟังความเห็นตามมาตรา 77 วรรค 2

“การประกาศจุดยืนไม่สนับสนุนการแก้ไข รธน. ไม่ได้มีเจตนาเป็นกบฏต่อพรรคร่วมรัฐบาล แต่มองว่าการแก้ไข รธน. ไม่ถือเป็นนโยบายร่วมกัน เพราะเป็นปรัชญาทางการเมืองที่แต่ละพรรคมีความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งพรรค รปช. เห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติม รธน. เวลานี้ เพราะ รธน. เป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ ไม่ควรแก้ไขเพียงเพื่อผ่อนคลายอุณหภูมิทางการเมือง และขอให้คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบัน เนื่องจากต้องใช้งบประมาณจัดทำประชามติ จำนวนมาก และยืนยันว่าการประกาศจุดยืนไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มกรุงไทยภักดี ที่นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตประธานกรรมการพรรค รปช. เพียงแต่เห็นพ้องต้องกันเท่านั้น” ทวีศักดิ์กล่าว

ทวีศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) บางพรรคอาจจะเห็นว่าจะรวมผู้ที่มาจากการเลือกตั้งที่ต่างๆ แต่ความจริงคือมาจากเครือข่ายพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ๆ และทิศทางที่จะเขียนกฎหมายก็จะได้รับอิทธิพลจากความคิดของพรรค หรือบางฝ่ายมองว่าการตั้ง สสร. เป็นกระบวนการยื้อหรือซื้อเวลา แต่ไม่ว่าใครจะมีวาระแฝงเร้น แต่พรรค รปช. มองว่า ถ้าตั้ง สสร. มา เหมือนการเซ็นเช็คเปล่า เป็นอันตรายที่ รธน. ของดีที่มีอยู่อาจจะกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือบางคนจะมองว่าถ้าร่างมาแล้วก็ต้องลงประชามติอยู่ดี แต่การลงประชามติก็ต้องใช้เงินเป็นหมื่นล้านบาท และในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้มันควรหรือไม่

ด้านดวงฤทธิ์กล่าวว่า พรรค รปช. เป็นพรรคการเมืองของประชาชน เคารพความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ซึ่งวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมกันแสดงความเห็นชอบให้ประกาศใช้ รธน. ฉบับนี้ โดยมีประชามติให้ความเห็นชอบ 16.8 ล้านคน ซึ่งได้พิจารณาศึกษา รธน. ฉบับนี้อย่างรอบคอบ ศึกษาทุกแง่มุม มีมติเอกฉันท์แสดงจุดยืนกับประชาชนทั่วประเทศ ว่าจะทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนชาวไทย พิทักษ์ รธน. ของประชาชน

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post รวมพลังประชาชาติไทยแถลงจุดยืน ไม่ร่วมแก้ รธน. บอกยังไม่มีความจำเป็น มีมติให้ ส.ส. โหวตขวาง appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (5 กรกฎาคม) พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่ Bangkok Thonburi Hall ภายในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคใหม่ หลังจากที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันและคณะกรรมการชุดต่างๆ ของพรรคพ้นสภาพทั้งหมด สำหรับการเสนอชื่อกรรมการบริหารพรรคในวันนี้ ทุกตำแหน่งมีเพียงหมายเลขเดียว โดยมีผลคะแนนดังนี้

• ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง หัวหน้าพรรค ได้รับคะแนนเสียง 565 คะแนน
• ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขาธิการพรรค 545 คะแนน 
• จุฑาฑัตต เหล่าธรรมทัศน์ เหรัญญิกพรรค 524 คะแนน
• ธันย์ธรณ์เทพ แย้มอุทัย นายทะเบียนพรรค 533 คะแนน
• เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการบริหารพรรคคนที่หนึ่ง 548 คะแนน
• จักษ์ พันธ์ชูเพชร กรรมการบริหารพรรคคนที่สอง 552 คะแนน 
• ดนุช ตันเทอดทิตย์ กรรมการบริหารพรรคคนที่สาม 553 คะแนน

นอกจากนี้ยังมีการเลือกคณะกรรมการจริยธรรมวินัยและคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สำหรับตำแหน่งโฆษกพรรคไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็น เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ และเพชรชมพู กิจบูรณะ

ที่ประชุมของพรรครวมพลังประชาชาติไทยในวันนี้ยังมีมติเปลี่ยนสัญลักษณ์พรรค โดยให้เหตุผลว่าคำนึงถึงการกาบัตรเลือกตั้ง โดยยังคงมีล้อแห่งธรรมไว้ แต่จะมีรูปช้างเผือก สัตว์คู่บ้านคู่เมืองมาแทนตรงกลาง เพื่อให้โลโก้พรรคโดดเด่นมากขึ้น สื่อความหมายธรรมอันประเสริฐของศาสนา และสื่อความหมายการรวมพลังของประชาชนคู่พระบารมีพระมหากษัตริย์ และร่วมกันผลักดันการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง 

ทวีศักดิ์กล่าวหลังการประชุมว่าขอบคุณสมาชิกพรรคทุกคน โดยจะตั้งใจทำงานเต็มที่ ตนอาจจะไม่สดชื่นเข้มแข็งเหมือนหนุ่มๆ แต่ว่าใจสู้ ตอนนี้ทำหน้าที่ที่ถือว่าเป็นทุกขลาภ แต่ยอมรับ เต็มใจ และยินดีทำเพื่อประชาชน

โดยก่อนหน้านี้หลังการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ก็ปรากฏชื่อของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หลังจากที่ทางพรรคได้เสนอชื่อเอนกต่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดังนั้นจึงให้ ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เลขาธิการพรรค ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรค ขึ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน เพื่อให้เอนกได้ทำหน้าที่รัฐมนตรีอย่างเต็มที่ 

ขณะที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ได้มานั่งสังเกตการณ์ร่วมกับสมาชิกพรรค และกล่าวกับที่ประชุมพรรคว่าตนขอขอบคุณสมาชิกพรรคทั่วประเทศที่แน่วแน่มั่นคงต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิถีทางประชาธิปไตย พรรคของเราเป็นพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของพรรค เป็นผู้กำหนดนโยบายที่พรรคต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นี่คือจุดยืนสำคัญ 

สุเทพกล่าวว่าตนเองมั่นใจว่ารัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะทำหน้าที่จนครบ 4 ปี และหากเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในปี 2565 ก็ยังมีเวลามากพอในการเตรียมตัวลงสู่สนามเลือกตั้ง ตนขอฝากความหวังไว้ที่บรรดาสมาชิกพรรคให้มีหน้าที่ในการขยายความคิดไปสู่พี่น้องเพื่อนฝูง ชักชวนมาเป็นสมาชิกพรรคและร่วมทำการเมือง เพราะการเป็นพรรคการเมืองของประชาชน ต้องพึ่งเงินทุนจากประชาชน ทุกคนต้องมีใจหนักแน่น ทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เราไม่ได้ทำการเมืองเพื่อตัวเราเอง เราทำการเมืองเพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานของเรา ตนเข้ามาทำงานไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ตนไม่รับเลือกตั้งและรับประโยชน์ใด แต่จะอยู่เคียงข้างทุกคน 

ทั้งนี้สุเทพได้แสดงความยินดีกับคณะกรรมการบริหารพรรค และแสดงความยินดีล่วงหน้ากับเอนกที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต่อจาก ม.ร.ว.จัตุมงคล ขอให้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ และขอให้นำความสำเร็จมาสู่พรรค

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post รปช. ประชุมใหญ่ เลือก ‘ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง’ นั่งหัวหน้าพรรค สุเทพยินดีล่วงหน้า หลังเสนอชื่อเอนกนั่ง รมต. ในโควตาพรรค appeared first on THE STANDARD.