คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 21 Mar 2025 09:05:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สุดารัตน์ร้อง ป.ป.ช. สอบ 2 สส. งูเห่า แหกอุดมการณ์พรรคต่อเนื่อง ขอลงโทษเด็ดขาด ป้องกันนักการเมืองไร้จรรยาบรรณ สร้างบรรทัดฐานใหม่ https://thestandard.co/sudarat-nacc-cobra-mps/ Fri, 21 Mar 2025 09:05:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1054779

วันนี้ (21 มีนาคม) ที่สำนักงาน ป.ป.ช. คุณหญิงสุดารัตน์ […]

The post สุดารัตน์ร้อง ป.ป.ช. สอบ 2 สส. งูเห่า แหกอุดมการณ์พรรคต่อเนื่อง ขอลงโทษเด็ดขาด ป้องกันนักการเมืองไร้จรรยาบรรณ สร้างบรรทัดฐานใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (21 มีนาคม) ที่สำนักงาน ป.ป.ช. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้เร่งรัดการไต่สวนและตรวจสอบพฤติกรรมของ สุภาพร สลับศรี สส. ยโสธร เขต 1 และ อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สส. อุดรธานี เขต 6 พรรคไทยสร้างไทย รวมถึงยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะ สส. รายอื่นๆ ที่กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับของพรรค และมีพฤติกรรมฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่นอย่างต่อเนื่อง

 

คุณหญิงสุดารัตน์เปิดเผยว่า พรรคไทยสร้างไทยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยระบุว่า สส. ทั้งสองมีพฤติกรรมละเลยหน้าที่ ปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมของพรรค และไม่ปฏิบัติตามแนวทางของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงภายในพรรคและฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและข้อบังคับของพรรคไทยสร้างไทย

 

คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า ที่ผ่านมาพรรคไทยสร้างไทยในฐานะผู้ร้อง ได้ติดตามความคืบหน้าของคดีนี้มาโดยตลอด ต้องขอบคุณคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว แต่ที่มาวันนี้ก็เพื่อที่จะเร่งรัดการดำเนินงานไต่สวนและลงโทษนักการเมืองที่ไม่มีจิตสำนึกที่สุจริตต่อประชาชน ขาดจริยธรรม ส่อทุจริต โดยใช้ตำแหน่ง สส. ที่ได้มาจากการลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคไทยสร้างไทยแสวงหาประโยชน์อื่นใด ซึ่งในส่วนนี้หากพบว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนไปถึงพรรคการเมืองที่มีส่วนร่วม พรรคไทยสร้างไทยก็จะดำเนินการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นบรรทัดฐานของนักการเมืองไทย

 

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยย้ำว่า คณะกรรมการจริยธรรมของพรรคตรวจสอบพบว่า พฤติกรรมของ สส. ทั้งสองคนขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 รวมถึงละเมิดประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2563 และข้อบังคับของพรรคไทยสร้างไทย พ.ศ. 2566 อย่างชัดเจน

 

การกระทำของผู้ถูกร้องส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบพรรคการเมือง ต่อระบบรัฐสภา เพราะเป็นการทำลายเสถียรภาพของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เปิดช่องให้เกิดการซื้อเสียงทางอ้อม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองและระบบประชาธิปไตยโดยรวม

 

“พรรคไทยสร้างไทยจะขอเดินหน้าสร้างการเมืองสุจริต ทำลายนักการเมืองคอร์รัปชัน ซื้อเสียงเข้ามาคดโกง และ สส. ที่ขายตัวแลกผลประโยชน์ส่วนตนให้สิ้นซาก เพื่อสร้างอนาคตให้การเมืองไทย”

 

คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของพรรคไทยสร้างไทย แต่เป็นเรื่องของมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองไทยทั้งหมด หากเราปล่อยให้มีพฤติกรรมแบบนี้โดยไม่ดำเนินการใดๆ เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้นักการเมืองสามารถละเมิดกฎหมายทำลายพรรคและทำลายระบบประชาธิปไตยได้อย่างเสรี

The post สุดารัตน์ร้อง ป.ป.ช. สอบ 2 สส. งูเห่า แหกอุดมการณ์พรรคต่อเนื่อง ขอลงโทษเด็ดขาด ป้องกันนักการเมืองไร้จรรยาบรรณ สร้างบรรทัดฐานใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เลขาธิการ ป.ป.ช. เผย คดี 44 สส. เสนอแก้ ม.112 มาถึงขั้นตอนท้ายๆ แล้ว จะจบปีนี้หรือไม่อยู่ที่ความครบถ้วนของการไต่สวน https://thestandard.co/section112-case-update/ Fri, 21 Mar 2025 03:57:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1054566 section112-case-update

วันนี้ (21 มีนาคม) สาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมกา […]

The post เลขาธิการ ป.ป.ช. เผย คดี 44 สส. เสนอแก้ ม.112 มาถึงขั้นตอนท้ายๆ แล้ว จะจบปีนี้หรือไม่อยู่ที่ความครบถ้วนของการไต่สวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
section112-case-update

วันนี้ (21 มีนาคม) สาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล กระทำการจงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

 

สาโรจน์ระบุว่า ตามกระบวนการหลังแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจะเริ่มต้นจากการเชิญมารับทราบข้อกล่าวหา โดยจะกำหนดวัน เวลา และสถานที่ ซึ่งปกติแล้วจะใช้ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สาเหตุที่เราเชิญมาเพื่อที่จะต้องการให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้รับทราบข้อกล่าวหาที่ชัดเจน มีประเด็นที่ไม่เข้าใจในส่วนไหนสามารถสอบถามได้ จากนั้นทางคณะไต่สวนจะแจ้งข้อกล่าวหาไป 1 ฉบับ และจะกำหนดเวลาให้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

 

สำหรับบุคคลที่ไม่ได้มา จะส่งบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของผู้ถูกกล่าวหา ส่วนคดีนี้เมื่อครบกำหนดระยะเวลาเชิญมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ปรากฏว่ามีบางรายมา บางรายไม่ได้มา โดยในรายที่ไม่ได้มาก็มีการส่งบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ปัจจุบันการดำเนินการยังอยู่ในขั้นตอนนี้อยู่ ทั้งนี้ บุคคลที่ไม่ได้มารับข้อกล่าวหาด้วยตัวเองมีจำนวนมากกว่าบุคคลที่มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อเราส่งไปที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ถือว่าเขารับทราบแล้ว

 

“ตามระเบียบของ ป.ป.ช. ทำได้ 2 อย่าง คือมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเอง และส่งไปที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ซึ่งหากมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเองจะเป็นประโยชน์มากกว่า สามารถสอบถามประเด็นที่ถูกกล่าวหาได้ว่าหมายถึงอะไร จะต้องดำเนินการอย่างไร มีสิทธิ์อะไรบ้าง ส่วนการส่งไปที่อยู่ตามทะเบียนบ้านจะมีรายละเอียดและแจ้งสิทธิ์ไปครบถ้วนเช่นกัน เพียงแต่เขาจะไม่มีโอกาสสอบถามในประเด็นที่สงสัย”

 

ขณะที่ระยะเวลาในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั้น ตามระเบียบ ป.ป.ช. คือภายใน 15 วันนับแต่วันรับทราบ ถ้ามารับทราบด้วยตัวเองจะมีวันที่รับทราบชัดเจน คือวันที่มารับทราบข้อกล่าวหา หากส่งทางไปรษณีย์คือวันที่ปรากฏหลักฐานว่าไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับได้ส่งถึงผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ซึ่งจะนับไป 15 วันเช่นกัน

 

สาโรจน์กล่าวอีกว่า ในการชี้แจงข้อกล่าวหา 15 วัน เป็นช่วงระยะเวลาในการให้โอกาสชี้แจง หากผู้ถูกกล่าวหารายใดมีเหตุผลความจำเป็นสามารถขยายเพิ่มได้อีก 15 วัน หลังจากครบระยะเวลาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้วขั้นตอนต่อไปพนักงานเจ้าหน้าที่จะมาพิจารณาคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากับคำแก้ข้อกล่าวหาว่าจะสามารถวินิจฉัยได้หรือไม่ เพียงใด หรือจะต้องไปรวบรวมพยานหลักฐานตามที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้าง เพราะเขามีสิทธิ์อ้างพยานบุคคล เอกสาร และหลักฐาน เพิ่มเติมได้ หากพนักงานไต่สวนเห็นว่ามีเหตุจำเป็นเพื่อความยุติธรรมก็ดำเนินการ และเมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก็เป็นขั้นตอนการสรุปสำนวน คณะไต่สวนจะสรุปสำนวนเพื่อทำความเห็นเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา

 

“ขั้นตอนจะจบภายในปีนี้หรือภายในครึ่งปีนี้ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนสมบูรณ์ของการไต่สวน ซึ่งถ้าดูตามขั้นตอนการดำเนินการไต่สวนถือว่าดำเนินการมาในขั้นตอนท้ายๆ แล้ว คือขั้นตอนให้โอกาสแก้ข้อกล่าวหาแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของการสรุปสำนวนเพื่อพิจารณา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงขั้นตอนชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” สาโรจน์ระบุ

 

สาโรจน์เปิดเผยด้วยว่า สำหรับคดีนี้ หลักในการพิจารณาพฤติการณ์การกระทำความผิดต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล เว้นแต่ว่ามีพฤติการณ์ในส่วนไหนที่เป็นการร่วม ซึ่งคือการกระทำอันเดียวกัน เป็นหลักทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้ หลักในการพิจารณาสำนวนต้องพิจารณาพฤติการณ์การกระทำความผิด ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายของแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม ไม่ได้เป็นการพิจารณาในภาพรวม เรื่องสอบสวนทางอาญาและจริยธรรมจะคล้ายๆ กัน

 

สาโรจน์กล่าวว่า การไต่สวนเรื่องนี้เป็นประเด็นเรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง พฤติการณ์ของบุคคลใดเข้าลักษณะการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงข้อใด หรือเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรม แต่ไม่ร้ายแรง หลักจะมีอยู่แค่นี้ เพราะไม่ใช่เรื่องทางอาญา

 

ส่วนจะต้องนำการแสดงความเห็นผ่านสื่อ หรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองของผู้ที่ร่วมแก้ไขกฎหมายดังกล่าวมาร่วมพิจารณาด้วยหรือไม่ สาโรจน์กล่าวว่า พฤติการณ์ พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพฤติการณ์เป็นหลักการจะต้องมาประกอบการพิจารณาอยู่แล้ว ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไต่สวน เป็นหลักการทั่วไปที่พนักงานไต่สวนต้องนำมาประกอบการพิจารณาอยู่แล้ว

 

“เรื่องนี้เป็นสำนวนเดียวกัน แม้พิจารณาเป็นรายบุคคลแต่อยู่ในสำนวนเดียวกัน ไม่ได้แยกเป็น 1 คน 1 คดี แต่เป็นคดีเรื่องเดียวกันว่าใครผิดใครไม่ผิด” สาโรจน์กล่าว

The post เลขาธิการ ป.ป.ช. เผย คดี 44 สส. เสนอแก้ ม.112 มาถึงขั้นตอนท้ายๆ แล้ว จะจบปีนี้หรือไม่อยู่ที่ความครบถ้วนของการไต่สวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พญ.เกศกมล ไม่กังวล หลัง กกต. จ่อเรียกสอบปมวุฒิการศึกษา ขอสังคมให้กำลังใจ เหตุ สว. ตั้งใจทำงาน https://thestandard.co/senator-katekamonl-education-qualification-investigation/ Wed, 19 Mar 2025 08:51:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1053901 พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณี กกต.เตรียมเรียกสอบปมวุฒิการศึกษา

วันนี้ (19 มีนาคม) ที่อาคารรัฐสภา พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย […]

The post พญ.เกศกมล ไม่กังวล หลัง กกต. จ่อเรียกสอบปมวุฒิการศึกษา ขอสังคมให้กำลังใจ เหตุ สว. ตั้งใจทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณี กกต.เตรียมเรียกสอบปมวุฒิการศึกษา

วันนี้ (19 มีนาคม) ที่อาคารรัฐสภา พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมเรียกสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสอบวุฒิการศึกษา และในสำนวนดังกล่าวมี 2 ข้อหาด้วยกัน คือฝ่าฝืนมาตรา 77 (1) และมาตรา 77 (4) หลอกให้คนอื่นหลงเชื่อ

 

พญ.เกศกมล เปิดเผยว่า ขณะนี้ กกต. ยังไม่ได้เรียกสอบเพิ่มเติม ไม่ได้มีการแจ้งอะไรมา แต่ กกต. ได้ส่งหนังสือสอบถามมา จึงได้ชี้แจงกลับไปแล้ว ทั้งนี้ ไม่ได้กังวล และขอกำลังใจด้วย เพราะตนเองมั่นใจในความยุติธรรมและ กกต. ทั้ง 7 ท่าน ซึ่งหากเรียกไปสอบถามก็พร้อมจะนำหลักฐานไปชี้แจง

 

สำหรับกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินคดีฐานฟอกเงินนั้น พญ.เกศกมล ย้ำว่า ไม่กังวลเลย แม้ DSI จะเรียก สว. มาสอบปากคำทีละคนภายใน 3 เดือน พร้อมชี้แจงต่อสังคมที่ยังสงสัยเรื่องที่มาของ สว. ชุดนี้ ว่ามีการฮั้ว โดยระบุว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือผิดทางด้านไหน 

 

“อยากให้ทุกคนเข้าใจ และคอยให้กำลังใจพวกเราด้วย เพราะ สว. ตั้งใจทำงาน และทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ซึ่งมาถูกต้องตามกระบวนการของกฎหมายทุกประการ” พญ.เกศกมล กล่าว 

 

ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่ามีนายทุนพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง สว. บางกลุ่มนั้น พญ.เกศกมล ระบุว่า ไม่ทราบ และคิดว่าไม่เป็นความจริง ก่อนยืนยันว่า ในกลุ่มก๊วนของตนไม่ได้อยู่ในกลุ่ม สว.ค่ายสีน้ำเงิน ทุกคนมาถูกต้องตามกฎหมาย จึงอยากให้ประชาชนทุกคนเข้าใจ และให้กำลังใจพวกเราทุกคนด้วย 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีกลุ่ม สว. 105 คน ไปยื่นเอาผิด พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พญ.เกศกมล ระบุสั้นๆ ว่า ขอให้สื่อมวลชนไปลองตรวจสอบดู พร้อมย้ำว่า ว่าพวกเราทำตามกระบวนการตามกฎหมาย และทำตามสิ่งที่ถูกต้อง

The post พญ.เกศกมล ไม่กังวล หลัง กกต. จ่อเรียกสอบปมวุฒิการศึกษา ขอสังคมให้กำลังใจ เหตุ สว. ตั้งใจทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประวิตรบอก “คอยฟังดิ” หลังถูกถามถึงความพร้อมศึกซักฟอกนายกฯ พลังประชารัฐเตรียมเปิด 2 ประเด็นใหม่ https://thestandard.co/prawit-said-wait-and-listen/ Tue, 18 Mar 2025 08:41:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1053509

วันนี้ (18 มีนาคม) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ พล.อ. ประวิ […]

The post ประวิตรบอก “คอยฟังดิ” หลังถูกถามถึงความพร้อมศึกซักฟอกนายกฯ พลังประชารัฐเตรียมเปิด 2 ประเด็นใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (18 มีนาคม) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส. แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากรอฟังการอภิปรายว่า “คอยฟังดิ คอยฟัง”

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้ระยะเวลาในการอภิปรายกี่นาที พล.อ. ประวิตร ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “รอฟังๆ”

 

ขณะที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงประเด็นที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พล.อ. ประวิตร จะอภิปรายในภาพรวม ซึ่งจะมีการกล่าวถึงประเด็นที่พรรคพลังประชารัฐได้ตรวจสอบไว้ เช่น คดีสนามกอล์ฟที่ดินอัลไพน์, คาสิโนถูกกฎหมาย, การพนันออนไลน์, MOU 44 รวมถึงประเด็นชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีอีก 2 ประเด็นที่ยังขออุบไว้ก่อน

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า 2 ประเด็นที่ยังไม่มีการเปิดเผยจะเป็นการช็อตฟีลนายกรัฐมนตรีเลยหรือไม่ ไพบูลย์กล่าวว่า เรื่องนี้ขอให้ทีมงานได้เตรียมข้อมูล ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี

 

เมื่อถามต่อถึง 2 ประเด็นดังกล่าวนั้นสามารถเปิดเผยรายละเอียดว่าจะลากยาวไปสู่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไพบูลย์กล่าวว่า หลังจากที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ตนเชื่อว่าหลายเรื่องจะถูกแปลงกายเป็นคำร้องไปสู่ ป.ป.ช. และอาจไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าประชาชนมีความเป็นห่วงในเรื่องการอภิปรายของ พล.อ. ประวิตร จะง่วง ไม่ตื่นเต้น รวมถึงไม่มีข้อมูลเด็ด ไพบูลย์กล่าวว่า ตนมั่นใจว่า พล.อ. ประวิตร เป็นผู้ใหญ่ เวลาที่อภิปรายมีการใช้คำที่เป็นผู้ใหญ่และมีน้ำหนัก โดยพุ่งเป้าไปสู่การอภิปรายนายกรัฐมนตรีว่าเหตุใดจึงไม่ไว้วางใจ แต่ขอทำความเข้าใจว่า พล.อ. ประวิตร ไม่ได้ห่วงรายละเอียด เพราะการลงรายละเอียดในแต่ละประเด็นนั้นเป็นหน้าที่ของ สส. ที่ได้รับหน้าที่ในการอภิปรายและไปขยายผลต่อ

 

เมื่อถามต่อว่ากรณีที่ สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่ได้ปรามาสไว้ว่าอยากจะให้ พล.อ. ประวิตร อภิปรายเนื้อหาที่มากกว่าคำว่า “ไม่รู้ๆ” ไพบูลย์กล่าวว่า ก็ขอให้รอฟัง ยืนยันว่าจะไม่เป็นอย่างที่เขาพูดอย่างแน่นอน และถ้าหากไม่ใช่อย่างที่เขาพูดจะทำอย่างไรบ้าง จะมาขอโทษในที่ทำการพรรคได้หรือไม่

 

ไพบูลย์ยืนยันว่าการอภิปรายครั้งนี้ประชาชนจะไม่ผิดหวัง เพราะบทบาทของ พล.อ. ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่อยู่ฝ่ายค้าน ที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เมื่อได้ฟังการอภิปรายแล้วจะไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีทันที เพราะท่านได้ชี้ไว้แล้ว

 

เมื่อถามต่อว่า พล.อ. ประวิตร ได้ซักซ้อมเพื่ออภิปรายในไม่ไว้วางใจในรัฐมนตรีครั้งนี้หรือไม่นั้น ไพบูลย์กล่าวว่า พล.อ. ประวิตร ระดับนี้แล้ว ท่านทำอย่างสมบูรณ์อย่างแน่นอน

 

เมื่อถามต่อว่าการอภิปรายของ พล.อ. ประวิตร นั้นจะใช้ระยะเวลาทั้งหมดกี่นาที ไพบูลย์กล่าวว่า ตนขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด และขอให้รอฟัง เชื่อว่าเป็นระยะเวลาที่พอสมควร จะไม่พูดเรื่องเยอะ และจะไม่ใช้ระยะเวลามากมายพูดสมกับที่เป็นผู้ใหญ่

 

เมื่อถามต่อถึงระยะเวลาของพรรคประชารัฐในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงมีจำนวน สส. ในพรรคอภิปรายทั้งหมดกี่คน ไพบูลย์กล่าวว่า เบื้องต้นพรรคพลังประชารัฐได้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง โดยวางตัวผู้อภิปรายไว้ทั้งสิ้นทั้งหมด 6 คน แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียดว่ามีใครบ้าง เพราะหลายเรื่องยังไม่สามารถที่จะพูดพอเป็นเรื่องที่อยากจะไปโชว์ในวันอภิปราย

 

เมื่อถามต่อว่ากรณีที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ระบุว่าจะมี สส. จากพรรคเก่ามาร่วมรัฐบาลด้วยอีก 10 คนนั้น เป็นโควตาของพรรคประชารัฐใช่หรือไม่ ไพบูลย์กล่าวว่า ขอให้รอดูใครจะพูดอะไรก็พูดไป

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ สส. ภายในพรรคหากโหวตสวนมติพรรคจะมีมติอย่างไร ไพบูลย์ย้ำว่าขอให้รอดู อย่างกรณีล่าสุด กาญจนา จังหวะ สส. ชัยภูมิ ก็มีการขับออกจากตำแหน่งอดีตรองเลขาธิการพรรค แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการขับออกจากพรรคจนกว่าจะมีการยื่นไปลาออกไปเอง

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคพลังประชารัฐมีการแบ่งข้อมูลกับทางพรรคประชาชนในการอภิปรายครั้งนี้หรือไม่ ไพบูลย์กล่าวว่า ต่างฝ่ายต่างดำเนินการ แม้ประเด็นจะเหมือนกันก็ไม่เป็นไร แต่ข้อมูลและข้อเท็จจริงอาจจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงข้อมูลต่อกัน ทุกพรรคการเมืองมีเอกสิทธิ์ของตัวเอง ซึ่ง สส. ก็ต้องไปเตรียมการการบ้านของตัวเอง เราทุกคนก็เคารพซึ่งกันและกัน แม้พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะไม่ร่วมมือกันสักเท่าไร แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านนั้นผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น

 

เมื่อถามต่อว่าพรรคประชาชนใช้แคมเปญว่าดีลแลกประเทศ พรรคพลังประชารัฐใช้แคมเปญว่าอะไร ไพบูรณ์กล่าวว่า ขอให้รอฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำข้อมูลให้เสร็จ รับรองว่าการอภิปรายของพรรคประชารัฐจะทำให้ประชาชนนั้นได้เห็นข้อเท็จจริงว่าเรามีนายกรัฐมนตรีแบบไหน ซึ่งสำหรับตนเองนั้นมองว่าไว้วางใจไม่ได้

The post ประวิตรบอก “คอยฟังดิ” หลังถูกถามถึงความพร้อมศึกซักฟอกนายกฯ พลังประชารัฐเตรียมเปิด 2 ประเด็นใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐสภาคว่ำร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ปมโอนคดีทุจริตทหารไปศาลอาญา วิโรจน์ผิดหวังเพื่อไทยลืมบุญคุณคนเสื้อแดง ด้านชลน่านโหวตเห็นชอบคนเดียวทั้งพรรค https://thestandard.co/parliament-rejects-nacc-law-amendment-military-corruption-cases/ Mon, 17 Mar 2025 10:14:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1053185 รัฐสภาคว่ำกฎหมาย ป.ป.ช.: การลงมติในที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่เห็นชอบร่างกฎหมายโอนคดีทุจริตทหารจากศาลทหารไปสู่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

วันนี้ (17 มีนาคม) ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภ […]

The post รัฐสภาคว่ำร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ปมโอนคดีทุจริตทหารไปศาลอาญา วิโรจน์ผิดหวังเพื่อไทยลืมบุญคุณคนเสื้อแดง ด้านชลน่านโหวตเห็นชอบคนเดียวทั้งพรรค appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐสภาคว่ำกฎหมาย ป.ป.ช.: การลงมติในที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่เห็นชอบร่างกฎหมายโอนคดีทุจริตทหารจากศาลทหารไปสู่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

วันนี้ (17 มีนาคม) ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ .. พ.ศ. ….) ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญได้พิจารณาแก้ไข 5 มาตรา โดยเฉพาะ มาตรา 4 ที่ให้โอนคดีทุจริตของกองทัพไปให้อัยการสูงสุดดำเนินการ แต่ยังคงอำนาจศาลทหารในการพิจารณาคดีของเจ้าหน้าที่กองทัพในช่วงเปลี่ยนผ่าน

 

กรรมาธิการเสียงข้างน้อยและสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นว่า การคงอำนาจศาลทหารขัดต่อหลักความยุติธรรมสากล และอาจทำให้จำเลยใช้ช่องว่างกฎหมายในการประวิงเวลา ศาลยุติธรรมเสนอให้โอนคดีทุจริตทั้งหมดไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อความเป็นอิสระและเสมอภาค

 

ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ ชี้แจงว่า หลักการร่างกฎหมายที่รัฐสภารับไป คือให้ยกเลิกอำนาจของอัยการสูงสุดที่ดำเนินคดีในศาลทหาร และเขียนบทรองรับให้โอนอำนาจศาลทหารในคดีอาญาทุจริตที่มีอยู่ก่อน พ.ร.ป.ฯ ใช้บังคับ โอนให้อัยการสูงสุดในศาลอาญาคดีทุจริตพิจารณา ทั้งนี้ ยอมรับว่า กรรมาธิการเสียงข้างมากแก้ไขเนื้อหาตามหลักการ แต่สิ่งที่พบคือจะเป็นปัญหา หากเห็นชอบโอนคดีให้อัยการสูงสุดทำในศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะปฏิบัติไม่ได้ เพราะแม้จะโอนคดีที่มีก่อนหน้าไปแล้ว แต่คดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะทำอย่างไร ซึ่งตัวแทนศาลยุติธรรมให้ความเห็นอย่างมีน้ำหนัก คือ มีปัญหาต่อการบังคับใช้ เพราะไม่มีบทบังคับที่รองรับเขตอำนาจในคดีที่อาจเกิดในอนาคต

 

รัฐสภาคว่ำร่างกฎหมาย ตีตกโอนคดีทหารไปศาลอาญาคดีทุจริต

 

เมื่อสมาชิกมีความเห็นแย้งกันจึงต้องลงมติตัดสิน ปรากฏว่าเสียงข้างมาก 456 เสียงเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ไม่เห็นด้วย 6 เสียง งดออกเสียง 138 เสียง และในการลงมติว่าจะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อย พบว่ามติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก มีเพียง 24 เสียง และเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างน้อย 167 เสียง มีผู้งดออกเสียงมากถึง 410 เสียง

 

ทำให้เนื้อหาของมาตรา 4 ถูกแก้ไขตามมติของรัฐสภา ให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีบุคคล ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารในความผิดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และบรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีของอัยการทหาร

 

จากนั้น ที่ประชุมรัฐสภาได้ลงมติในวาระ 3 โดยที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 163 เสียง  ไม่เห็นด้วย 415 เสียง  งดออกเสียง 12 เสียง จึงถือว่าประชุมแห่งนี้ไม่เห็นด้วยกับร่าง  พ.ร.ป. ฉบับดังกล่าว เนื่องจากคะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้ร่าง พ.ร.ป. ฉบับนี้เป็นอันตกไป ซึ่งเป็นร่างที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นผู้เสนอ

 

วิโรจน์จวกพรรคเพื่อไทยเนรคุณคนเสื้อแดง

 

ต่อมา วิโรจน์กล่าวถึงมติของรัฐสภาที่คว่ำร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่า สาระสำคัญ ของกฎหมายฉบับนี้ หากการกระทำทุจริต ปกติแล้วข้าราชการพลเรือน จะขึ้นศาลอาญาทุจริตมีเพียงทหารหรือข้าราชการกลาโหมเท่านั้น ที่ขึ้นศาลทหาร ที่ผ่านมา มีหลายคดีที่มีข้อสงสัยและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถึงความอิสระในการพิจารณาคดี หลายกรณีทุจริตต่อแผ่นดิน ต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน

 

ส่วนตัวรู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อบทบาทของพรรคเพื่อไทย เพราะรู้ดีที่สุดว่า ศาลทหารมีความยุติธรรมมากน้อยเพียงใด และเป็นปัญหาอย่างไร เกี่ยวกับปัญหาทุจริตโดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ที่เป็นดังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ให้กับพรรคเพื่อไทย เหตุการณ์วันนี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจน ภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไม่มีความจริงใจ ที่จะปฏิรูปบ้านเมือง ไปสู่ประชาธิปไตย ที่หลุดจากเงื้อมมือของทหารและอำนาจที่มองไม่เห็น

 

“ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่ชี้ชัดว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีความจริงใจที่จะเปลี่ยนผ่านให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ หลุดจากเงื้อมมือลายพราง ยังคงหงอกับอำนาจมืดลายพรางที่อยู่เบื้องหลัง”

 

วิโรจน์ย้ำว่า นี่เป็นร่องรอยความหวาดกลัว หากในอนาคตทหารกระทำการย่ำยีบีฑาประชาชน คดโกงประเทศชาติบ้านเมือง กลัวที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบตรงไปตรงมาในศาลอาญาทุจริต โดยที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นนั่งร้านให้กับอำนาจลายพราง ลืมความเสียสละ ลืมความต่อสู้ ลืมผนังทองแดงกำแพงเหล็กของประชาชนคนเสื้อแดงหมดสิ้นแล้ว

 

“วันนี้ยิ่งกว่าตระบัดสัตย์ ไม่รู้คุณคน เนรคุณเสื้อแดง ไปถามคนเสื้อแดงได้ว่ารู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ไม่รู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของคนเสื้อแดง เสียข้าวสุกที่คนเสื้อแดงเอามาป้อน แย่มาก อดสูที่สุด ผมต้องการคำตอบจาก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และ สส.ที่เคยต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดงว่า คุณไม่รู้สึกสมเพชหรืออดสูตัวเองหรือ น่าผิดหวังมาก ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าวันนี้แล้ว“ วิโรจน์ทิ้งท้าย

 

เพื่อไทย มี ‘ชลน่าน’ เห็นชอบคนเดียวทั้งพรรค

 

ผู้สื่อข่าวรายงานผลการลงมติที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 415 เสียง ตีตกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.( ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่. … พ.ศ. …) พบว่า พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบ มีเพียง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ลงมติเห็นด้วย และ โกศล ปัทมะ สส.นครราชสีมา งดออกเสียง

 

ขณะที่พรรคประชาชน ส่วนใหญ่ เห็นชอบ และพบว่า ไม่มีการลงมติจำนวน 13 คน

 

สำหรับพรรคภูมิใจไทย ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย มีเพียง อลงกต มณีกาศ สส.นครพนม ที่ลงมติเห็นชอบ

 

สส. พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกล้าธรรม ชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนา ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบ

 

ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคพลังประชารัฐ เห็นชอบ เพียงแค่ 4 คน คือ กระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย, คอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี, ชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และ วิริยะ ทองผา สส.มุกดาหาร พรรคไทยสร้างไทย เห็นชอบ 3 คน คือ ชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด, รำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี และ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ เห็นชอบ

 

ด้าน สว. ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบ อาทิ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1, พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร มีเพียง 24 คนที่เห็นชอบ ซึ่งส่วนมากเป็น สว.ในกลุ่มพันธุ์ใหม่ และมี 10 คนที่งดออกเสียง อาทิ บุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2, ปริญญา วงษ์เชิดขวัญ

The post รัฐสภาคว่ำร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ปมโอนคดีทุจริตทหารไปศาลอาญา วิโรจน์ผิดหวังเพื่อไทยลืมบุญคุณคนเสื้อแดง ด้านชลน่านโหวตเห็นชอบคนเดียวทั้งพรรค appeared first on THE STANDARD.

]]>
คดีฟอกเงินกดดัน ‘สว. น้ำเงินแท้’: ชี้ชะตา 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พลิกดุลอำนาจองค์กรอิสระ https://thestandard.co/key-messages-senator-money-laundering-case/ Mon, 17 Mar 2025 08:43:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1053139 คดีฟอกเงิน สว. สีน้ำเงินแท้

ในวันพรุ่งนี้ (18 มีนาคม) วุฒิสภาจะมีวาระสำคัญคือการประ […]

The post คดีฟอกเงินกดดัน ‘สว. น้ำเงินแท้’: ชี้ชะตา 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พลิกดุลอำนาจองค์กรอิสระ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คดีฟอกเงิน สว. สีน้ำเงินแท้

ในวันพรุ่งนี้ (18 มีนาคม) วุฒิสภาจะมีวาระสำคัญคือการประชุมและลงมติลับ พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ จำนวน 2 คน ที่แม้คณะกรรมการสรรหาฯ จะตรวจสอบคุณสมบัติและลงความเห็นเลือกมาแล้ว แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดให้ สว. มีอำนาจชี้ขาดว่าจะ ‘ให้ผ่าน’ หรือ ‘ตีตก’ ได้เป็นด่านสุดท้าย

 

สว. ชุดปัจจุบันทั้ง 200 คน จึงยังดำรงสถานะผู้รักษาประตูสู่เก้าอี้ตำแหน่งต่างๆ ใน 7 องค์กรอิสระ ซึ่งมีการสรุปรวมไว้ว่า ตลอดวาระการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. ชุดนี้อีก 5 ปี (พ.ศ. 2567-2572) จะมีการเลือกบุคคลเข้ารับตำแหน่งในองค์กรอิสระรวมกันถึง 41 คน แทนตำแหน่งที่ว่างลงเมื่อหมดวาระ อาทิ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 คน, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 7 คน, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 3 คน และอื่นๆ

 

การรุกไล่ สว. ภายหลังการดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ค้ำยันด้วยมติ 11 เสียงเห็นชอบของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) จึงมีนัยสำคัญคือการท้าชนกับสภาสูงที่กุมดุลอำนาจเหนือองค์กรอิสระ ตลอดจนการพิจารณาผ่านกฎหมายต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโต๊ะให้ 2 ขั้วอำนาจทางการเมือง ได้เจรจาต่อรองกันว่าจะแบ่งสรรอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัตินี้อย่างไร

 

ในการประชุมลับเพื่อชี้ชะตา 2 ตัวเต็งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 18 มีนาคม นี้ ผลลัพธ์มีโอกาสออกมาได้หลายทาง แต่ไม่ว่าทางใดก็ย่อมบ่งชี้ถึงสถานการณ์ของการเมืองภายในวุฒิสภาได้ไม่น้อย

 

กลุ่ม สว. เสียงข้างมาก สวมใส่เสื้อสีเหลือง ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา 

กลุ่ม สว. เสียงข้างมาก สวมใส่เสื้อสีเหลือง ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

ความเสี่ยงและโอกาส ‘2 ตัวเต็ง’

 

ผู้ที่ได้คัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาฯ ให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองคนคือ ศ. ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ชาตรี อรรจนานันท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก 

 

ควรเน้นย้ำว่าทั้งสองคนนี้ไม่ใช่ ‘ผู้ท้าชิง’ ที่มาแข่งขันกันว่าใครจะได้รับตำแหน่ง หรือใครเหนือกว่าใคร แต่ทั้งคู่เป็นบุคคลตัวเต็งที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งแทนผู้ที่หมดวาระแล้ว โดย ศ. ดร.สิริพรรณ มารับตำแหน่งแทน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนปัจจุบัน และชาตรีมารับตำแหน่งแทน ปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

 

ศ. ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี

ศ. ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

ทั้ง ศ. ดร.สิริพรรณ และชาตรี ได้ผ่านการแสดงวิสัยทัศน์และตอบข้อซักถามต่อคณะกรรมการสรรหาฯ มาแล้วก่อนจะได้รับเลือก และจะส่งชื่อมาให้ สว. พิจารณาต่อ 

 

รู้จักตัวตนและวิสัยทัศน์ของ 2 ตัวเต็งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ที่ https://thestandard.co/2-candidates-for-constitutional-court-judge-thailand/

 

ก่อนหน้าการประชุมเพื่อลงมติลับ ทั้งสองคนต้องผ่านการตรวจสอบในกลไก คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น สว. จำนวน 15 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเสียงข้างมากของที่ประชุมวุฒิสภา

 

และเมื่อเริ่มการประชุม สว. จะซักถามคณะกรรมาธิการฯ ดังกล่าวถึงการสอบประวัติและอภิปรายแสดงความคิดเห็นหรือความกังวลต่อประวัติ ความประพฤติ และจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ จนเมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงเข้าสู่การลงมติ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะเป็นความลับ

 

ชาตรี อรรจนานันท์

ชาตรี อรรจนานันท์

 

อย่างไรก็ตาม กลไกกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่สอบประวัติบุคคลในองค์กรอิสระต่างๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัย สว. ชุดเฉพาะกาล 250 คน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า จะมีการคัดกรองอย่างละเอียด โดยเฉพาะด้านทัศนคติและจุดยืนทางการเมือง และที่ผ่านมาของแต่ละคน ทำให้ที่ผ่านมา มีหลายบุคคลไม่ได้รับเสียงเห็นชอบจากวุฒิสภา

 

กระทั่งมีการวิเคราะห์กันล่วงหน้าว่า จากประวัติที่ผ่านมา รวมถึงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนของเสียงข้างมากใน สว. ชุดนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่วุฒิสภาจะไม่ให้ความเห็นชอบทั้งสองคนหรือให้ความเห็นชอบเฉพาะคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะ ศ. ดร.สิริพรรณ ที่ สว. บางคนที่มีจุดยืนเป็นอนุรักษนิยมเกิดความกังวล เนื่องจากเมื่อช่วงปี 2555 ศ. ดร.สิริพรรณ เคยเป็นหนึ่งในนักวิชาการ 112 คนแรก ที่ร่วมคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ตามการรายงานของสำนักข่าวประชาไท

 

กดดัน ‘สว. น้ำเงินแท้’ ศูนย์กลางอำนาจ

 

เมื่อเชื่อมโยงเข้ากับการดำเนินคดีฐานฟอกเงินโดย DSI ซึ่งหลายคนมองว่า เป็นการสร้างพันธนาการ ‘สว. สีน้ำเงิน’ ซึ่งเป็นกลุ่มเสียงข้างมากในสภาสูง ให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ขณะเดียวกัน ก็เป็นการกดดันเพิ่มอำนาจต่อรองให้ สว. กลุ่มนี้หันมาสนับสนุนวาระจากอีกขั้วการเมือง ซึ่งชัดเจนว่าคือขั้ว ‘พลังสีแดง’

 

พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแล DSI เคยเปิดเผยว่า DSI รับความผิดฐานฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ว่ากระบวนการทุจริตในการเลือก สว. นั้นมีเงินสะพัดเกิน 300 ล้านบาท และคาดว่ามี สว. จำนวน 20 คนที่มีหลักฐานการจ่ายสามารถยื่นเอาผิดได้

 

พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ

พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ในกลุ่ม สว. สีน้ำเงิน ที่มีจำนวนอยู่ระหว่าง 140-160 คนนั้น มีศูนย์กลางอำนาจ ที่เป็นกลุ่ม สว. ราว 20-30 คนที่เป็นผู้กำหนดทิศทาง วางยุทธศาสตร์ และควบคุมเสียงโหวตของ สว. กลุ่มใหญ่ในวาระต่างๆ หรืออาจเรียกว่า ‘สว. น้ำเงินแท้’ ที่มีลักษณะเป็นแกนกลาง และเป็นเป้าหมายในการดำเนินคดีของ DSI 

 

ตามกระบวนการประชุมลับเพื่อลงมติเลือกบุคคลในองค์กรอิสระต่างๆ จำเป็นต้องผ่านกลไกคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ทั้งสิ้น ซึ่งตั้งแต่ สว. ชุดนี้ทำหน้าที่มาเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการฯ นี้ขึ้นมาแล้ว 6 คณะ ประกอบด้วย

 

  1. คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี พ.ต.อ. กอบ อัจนากิตติ เป็นประธาน

 

  1. คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ อัยการสูงสุด และประธานศาลปกครองสูงสุด ที่มี พล.ต.ท. ยุทธนา ไทยภักดี เป็นประธาน

 

  1. คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่มี ธวัช สุระบาล เป็นประธาน

 

  1. คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มี ชีวะภาพ ชีวะธรรม เป็นประธาน

 

  1. คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มี พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา เป็นประธาน

 

  1. คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่มี พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร เป็นประธาน

 

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

THE STANDARD ตรวจสอบรายชื่อ สว. จากกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ 6 คณะ คณะละ 15 คน พบว่า มี สว. ที่ปรากฏชื่ออยู่ในมากกว่า 1 กรรมาธิการ อยู่ทั้งหมด 19 คน

 

โดยมี สว. 15 คน ที่มีชื่อซ้ำอยู่ใน 2-3 กรรมาธิการ, มี 2 คน ที่อยู่ใน 4 กรรมาธิการ, มี 1 คน ที่อยู่ใน 5 กรรมาธิการ และมีอีก 1 คน ที่อยู่ในทั้ง 6 กรรมาธิการ หรืออยู่ในกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ทุกคณะเท่าที่มีการตั้งขึ้นมา

 

ทั้งนี้ สว. ในจำนวนดังกล่าว ยังได้กระจายตัวไปเป็นประธานคณะกรรมาธิการสามัญคณะต่างๆ ของวุฒิสภาอีกด้วย

 

หาก DSI ล็อกเป้าหมายได้ถูกต้อง สามารถยึดกุมแกนกลางอำนาจของ ‘สว. น้ำเงินแท้’ ไว้ได้ ย่อมส่งผลต่อการพิจารณาบุคคลเข้าสู่องค์กรอิสระต่างๆ นับแต่นี้ได้ และจะส่งผลให้บุคคลเหล่านั้นไม่ถูกผูกขาดแหล่งที่มาจากขั้วการเมืองฝ่ายเดียว

 

เสนอชะลอ รอการตรวจสอบ

 

ขณะเดียวกัน ผลลัพธ์ของการลงมติพิจารณาตัวเต็งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองคนก็อาจออกมาอีกทางได้ เพราะมีอีกกลุ่มที่เห็นว่ากระบวนการเลือกคนเข้าสู่องค์กรอิสระโดย สว. ชุดนี้ควรชะลอไว้ก่อน เนื่องจากกำลังถูกตรวจสอบดำเนินคดีโดย DSI และ กกต. จึงอาจมีปัญหาเรื่องความชอบธรรม 

 

นันทนา นันทวโรภาส สว. ระบุว่า การดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระนั้นมีวาระ 7 ปี ถ้า สว. ที่ไปลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ หากบุคคลนั้นเข้าไปดำรงตำแหน่งแล้ว เมื่อการตรวจสอบมีปัญหาว่าไม่สุจริต ก็จะทำให้ผู้ที่เป็น สส. นั้นขาดคุณสมบัติ และถ้าคนที่เป็น สว. ขาดคุณสมบัติแล้วไปลงมติเห็นชอบให้กับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ จะส่งผลให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนั้นเป็นโมฆะ และส่งผลกระทบระยะยาว

 

“ขอเรียกร้องให้บรรดา สว. ทั้งหมด ชะลอการลงมติเห็นชอบองค์กรอิสระในวันที่ 18 มีนาคมนี้ไปก่อน จนกว่าการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสิ้นสงสัยว่า กระบวนการได้มาซึ่ง สว. นั้นสุจริตโปร่งใส แล้วค่อยมาทำหน้าที่ลงมติกันต่อ” นันทนากล่าว

 

นันทนา นันทวโรภาส สว.

นันทนา นันทวโรภาส สว.

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

เช่นเดียวกับ เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ที่เปิดเผยว่า ในช่วงต้นของการประชุมวุฒิสภาวันดังกล่าว อาจมีการเสนอญัตติขอชะลอการพิจารณาคุณสมบัติของตัวเต็งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองคน ออกไปก่อน ซึ่งก็ต้องรอท่าทีในที่ประชุมวุฒิสภาว่าอาจจะมีเสียงเห็นแย้ง และอาจนำมาสู่การลงมติตัดสินว่าจะให้ชะลอวาระนั้นไว้หรือไม่

 

ถ้าหากกระบวนการดังกล่าวถูกชะลอไป ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนปัจจุบันก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปก่อนจนกว่าจะเลือกผู้ดำรงตำแหน่งคนใหม่ได้ เช่นเดียวกับตำแหน่งในองค์กรอิสระอื่นๆ ที่กำลังจะหมดวาระ ก็จะเข้าสู่สภาวะ ‘สุญญากาศ’ ระหว่างรอ DSI ตรวจสอบ สว. ชุดนี้จนกระจ่างหรือไม่ก็จนกว่าผู้มีอำนาจเบื้องหลังขั้วการเมืองจะพบบรรลุข้อตกลงซึ่งกันและกัน

The post คดีฟอกเงินกดดัน ‘สว. น้ำเงินแท้’: ชี้ชะตา 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พลิกดุลอำนาจองค์กรอิสระ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประธานสภาไฟเขียว ให้ฝ่ายค้านใช้ ‘สทร.’ แทนชื่อทักษิณในญัตติได้ ขอแค่ไม่เอ่ยชื่อ https://thestandard.co/opposition-motion-sathorn/ Sat, 15 Mar 2025 10:34:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1052574 opposition-motion-sathorn

วันนี้ (15 มีนาคม) ที่สยามอะเมซิ่งพาร์ค วันมูหะมัดนอร์ […]

The post ประธานสภาไฟเขียว ให้ฝ่ายค้านใช้ ‘สทร.’ แทนชื่อทักษิณในญัตติได้ ขอแค่ไม่เอ่ยชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
opposition-motion-sathorn

วันนี้ (15 มีนาคม) ที่สยามอะเมซิ่งพาร์ค วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขณะนี้ฝ่ายค้านยอมแก้ชื่อญัตติแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรรอหนังสือที่มีการแก้ไขเข้ามา คาดว่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 17 มีนาคมนี้ เมื่อพิจารณาเรียบร้อยก็จะสั่งให้บรรจุระเบียบวาระ และในวันที่ 18 มีนาคม จะส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อรับทราบกำหนดวันเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ในวันที่ 24 มีนาคม น่าจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ 

 

ส่วนกรอบเวลาจะเป็นกี่ชั่วโมงกี่วัน ทางวิป 3 ฝ่ายจะต้องไปตกลงกัน ซึ่งได้มีการพูดคุยกันรอบหนึ่งแล้ว หากได้มีการพูดคุยกันในวันที่ 19 มีนาคมนี้ คาดว่าจะเรียบร้อย เพราะทุกฝ่ายก็อยากให้ประชาชนได้ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของผู้นำฝ่ายค้านคนนี้และรัฐบาลชุดนี้ สุดท้ายแม้จะลงมติอะไรก็ตาม แต่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง 

 

เมื่อถามว่า ทางฝ่ายค้านได้มีการแจ้งมาหรือไม่ว่าเปลี่ยนจากชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นคำว่าอะไร ประธานสภากล่าวว่า ยังไม่ได้บอกว่าเป็นคำว่าอะไร แต่อยู่ในหลักการกว้างๆ และไม่ผิดข้อบังคับ ไม่เอ่ยชื่อบุคคลใด แต่หากมีการแก้ใหม่อีกรอบ แล้วยังผิดข้อบังคับอยู่ ก็ต้องให้แก้ไขใหม่ ขออย่ากังวลว่าจะเปิดอภิปรายไม่ทันวันที่ 24 มีนาคม เพราะสามารถขยับเวลาได้ไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุมนี้ 

 

เมื่อถามว่า หากฝ่ายค้านแก้เป็นใครคนนั้นหรือ สทร. (เสือกทุกเรื่อง ฉายาที่ทักษิณตั้งให้กับตนเอง) ได้หรือไม่ ประธานสภากล่าวว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคล ส่วนคนจะเข้าใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของประชาชนและ สส. ในสภา

 

ส่วนที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เคยบอกว่า ถ้ายอมแก้ญัตติจะต้องไม่สั่งหยุดการอภิปรายนั้น ยืนยันว่าการอภิปรายต้องเป็นไปตามข้อบังคับ แต่เพื่อไม่ให้เกิดการถกเถียง ตนจะให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรชี้แจงระเบียบอย่างชัดเจนก่อนเริ่มการประชุม 

 

“เหมือนเล่นกีฬา ที่ต้องทำภายใต้กติกา หากทุกฝ่ายเคารพกติกา การเล่นก็จะเป็นไปได้ด้วยดี แพ้ชนะเรื่องหนึ่งแต่กรรมการต้องเป็นกลาง แน่นอนกรรมการอาจจะต้องถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตำหนิ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากรรมการไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้” ประธานสภากล่าว 

 

ประธานสภาฯยอมรับว่า แม้ไม่เอ่ยชื่อแต่มีการกล่าวพาดพิงบุคคลภายนอกอาจนำไปสู่การประท้วงได้ เพราะถ้าไม่พาดพิงเลยจะอภิปรายได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ทักษิณ แต่คนอื่นก็เหมือนกัน 

 

ถ้าไม่ผิดกติกา ไม่เอ่ยชื่อ ไม่เสียดสี สามารถทำได้ แต่ถ้าอ้างว่าจำเป็นต้องเอ่ยชื่อก็ต้องดูกติกาอีกที เพราะญัตตินี้ตามรัฐธรรมนูญสมาชิกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี คนภายนอกหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถจะมาชี้แจงแทนได้ ไม่เหมือนญัตติอื่นๆ 

 

ส่วนที่ ชวน หลีกภัย สส. พรรคประชาธิปัตย์ เตือนว่าถ้าให้มีให้ฝ่ายค้านตัดชื่อทักษิณ รับรองว่าจะได้คำที่หนักกว่าเดิมแน่นอน ประธานสภายืนยันว่าไม่เป็นไร ขอแค่อย่าผิดกติกา 

 

พิจารณาคำร้องยื่นถอดถอนประธาน ป.ป.ช. ไม่เกิน 3 เดือน 

 

ส่วนความคืบหน้ากรณีที่พรรคประชาชนยื่นถอดถอน สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประธานสภาระบุว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่ แต่เนื่องจากช่วงนี้ทับซ้อนกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยันว่าจะพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งต้องพิจารณาให้รอบด้าน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 คาดว่าจะไม่เกิน 3 เดือน 

 

ส่วนกรณีคลิปเสียงพาดพิงถึงนั้น ประธานสภาระบุว่า ไม่หนักใจ เพราะเราดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับของสภา แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นเจ้าหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบรายละเอียด เพราะเนื้อหามีร้อยกว่าหน้า และมีหลายกรณีรวมทั้งมีการพาดพิงไปถึงองค์กรอื่นๆ เช่น ศาลปกครอง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (ป.ป.ช.) แต่ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด

The post ประธานสภาไฟเขียว ให้ฝ่ายค้านใช้ ‘สทร.’ แทนชื่อทักษิณในญัตติได้ ขอแค่ไม่เอ่ยชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สว. ส่งเรื่องถึง ป.ป.ช. ให้ไต่สวนเอาผิด 11 กรรมการบอร์ดคดีพิเศษ ฐานละเมิดและแทรกแซงการทำงานของวุฒิสภาอย่างร้ายแรง https://thestandard.co/nacc-to-investigate-11-board-members-senate-allegations/ Fri, 14 Mar 2025 00:50:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1051975 วุฒิสภา

วันนี้ (13 มีนาคม) วุฒิสภา ลงนามโดย มงคล สุระสัจจะ ประธ […]

The post สว. ส่งเรื่องถึง ป.ป.ช. ให้ไต่สวนเอาผิด 11 กรรมการบอร์ดคดีพิเศษ ฐานละเมิดและแทรกแซงการทำงานของวุฒิสภาอย่างร้ายแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
วุฒิสภา

วันนี้ (13 มีนาคม) วุฒิสภา ลงนามโดย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ส่งเอกสารถึงประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยอ้างตามหนังสือที่อ้างถึง ประธานวุฒิสภาได้ส่งหนังสือของคณะสมาชิกวุฒิสภา ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่อง ขอให้ส่งคำร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณาไต่สวน และดำเนินการกับ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เกี่ยวกับการกระทำการผ้าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น

 

ในการนี้ เนื่องจากคณะสมาชิกวุฒิสภาได้มีหนังสือ ลงวันที่ 11 มีนาคม 2568 ถึงประธานวุฒิสภา เพื่อร้องขอให้ประธานวุฒิสภาส่งหนังสือคำร้องเรียนกล่าวโทษ มายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัย เอาผิดต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ กับพวก รวม 11 คน เพราะได้กระทำการละเมิดและแทรกแซง การใช้อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาอย่างร้ายแรง

 

ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งหลักนิติธรรม ความเชื่อมั่นของประชาชน และปกป้องความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ เพิ่มเติมจากหนังสือคำร้องฉบับเดิมที่อ้างถึง ประธานวุฒิสภาจึงขอส่งหนังสือคำร้องของของคณะสมาชิกวุฒิสภา ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

The post สว. ส่งเรื่องถึง ป.ป.ช. ให้ไต่สวนเอาผิด 11 กรรมการบอร์ดคดีพิเศษ ฐานละเมิดและแทรกแซงการทำงานของวุฒิสภาอย่างร้ายแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจสอบสวนกลางนำชุดปฏิบัติการจับกุมเจ้าหน้าที่กองการกีฬาฯ กทม. จัดจ้างซ่อมรถบัสปลอม 28 ครั้ง รัฐเสียหายกว่า 2.7 ล้านบาท https://thestandard.co/fake-bus-repair-officials-caught/ Wed, 12 Mar 2025 05:50:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1051272

วันนี้ (12 มีนาคม) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย […]

The post ตำรวจสอบสวนกลางนำชุดปฏิบัติการจับกุมเจ้าหน้าที่กองการกีฬาฯ กทม. จัดจ้างซ่อมรถบัสปลอม 28 ครั้ง รัฐเสียหายกว่า 2.7 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (12 มีนาคม) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) ,เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ,เจ้าหน้าที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) 

 

ร่วมกันสืบสวนจับกุม และแจ้งข้อกล่าวหาข้าราชการพลเรือน สังกัดกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จำนวน 7 ราย ดังนี้

 

  1. ดำรงค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ จ.19/2568 
  2. ภูมินทร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ จ. 20/2568 
  3. คมกริช ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ จ. 21/2568 
  4. ปฏิญญา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ จ. 22/2568 
  5. สิริกัญญา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ จ. 25/2568 
  6. อภินันท์ แจ้งข้อกล่าวหา
  7. สุชาวดี แจ้งข้อกล่าวหา

 

ซึ่งกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ 

 

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(1)(4) และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

 

พฤติการณ์สืบเนื่องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติของการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีการจ้างเหมาซ่อมแซมรถโดยสารปรับอากาศ ขนาด 45-50 ที่นั่ง จำนวน 5 คันในหน่วยงานราชการ สังกัดกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร

 

จึงดำเนินการตรวจสอบเอกสารพบว่าหน่วยราชการดังกล่าวมีการเบิกฎีกาจ้างเหมาซ่อมรถโดยสารดังกล่าวในห้วงระหว่างปี พ.ศ.2565-2567 โดยไม่มีการส่งรถเข้าซ่อมจริงจำนวน 11 ครั้ง โดยมีกลุ่มของผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุขออนุมัติจ้างซ่อม และทำการปลอมใบเสนอราคาของ บริษัทซ่อมรถทั้ง 5 คัน เพื่อจัดทำเอกสารเสนอราคากลางในการจ้างซ่อม แล้วดำเนินการอนุมัติงบประมาณ

 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการ และมีการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในห้วงระหว่างปี พ.ศ.2565-2567 มีการจ้างเหมาซ่อมรถโดยสารดังกล่าว โดยที่ไม่มีการส่งรถเข้าซ่อมจริงอีก จำนวน 12 ครั้ง และกรุงเทพมหานคร ได้ตรวจพบ การกระทำลักษณะเดียวกันอีก จำนวน 5 ครั้ง รวมจำนวนเงินที่กลุ่มผู้ต้องหาทำการเบิกจ่ายค่าซ่อมรถ โดยไม่มีการซ่อมจริง 28 ครั้ง หรือ 28 ฎีกาของการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นเงินที่มี การทุจริตทั้งสิ้น 2,790,748 บาท

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 กรุงเทพมหานครจึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทั้ง 7 คน จึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางตามหมายจับข้างต้น

 

จนกระทั่งในวันที่ 12 มีนาคม 2568 ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนได้ขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

สอบถามปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

The post ตำรวจสอบสวนกลางนำชุดปฏิบัติการจับกุมเจ้าหน้าที่กองการกีฬาฯ กทม. จัดจ้างซ่อมรถบัสปลอม 28 ครั้ง รัฐเสียหายกว่า 2.7 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
สว. 81 คน รวมตัวยื่นเอาผิด ‘รมว.ยุติธรรม-อธิบดี DSI’ เปรียบเป็นแมวมีปลอกคอ ระวังคนเลี้ยงไม่อยู่จะอดตาย https://thestandard.co/81-senators-file-charges-against-justice-minister-dsi-director/ Wed, 12 Mar 2025 04:42:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1051221 สว.ยื่นเอาผิด

วันนี้ (12 มีนาคม) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบป […]

The post สว. 81 คน รวมตัวยื่นเอาผิด ‘รมว.ยุติธรรม-อธิบดี DSI’ เปรียบเป็นแมวมีปลอกคอ ระวังคนเลี้ยงไม่อยู่จะอดตาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
สว.ยื่นเอาผิด

วันนี้ (12 มีนาคม) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลุ่มตัวแทน สว. จำนวน 81 คน นำโดย พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินทางเข้ายื่นคำร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

 

ทั้งนี้ มี สว. ร่วมลงชื่อยื่นเอาผิดทั้งหมด 105 คน โดยมี สาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ 

 

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ ได้แถลงภายหลังยื่นหนังสือระบุว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในกรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและมีเจตนาพิเศษ จงใจกล่าวหากลั่นแกล้ง สว. เพื่อให้ได้รับโทษทางอาญา โดยเฉพาะความผิดข้อหาอั้งยี่-ซ่องโจร นั้น สว. รับไม่ได้ เพราะ สว. ที่มาทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิจากหลายสาขาอาชีพ จึงถือว่าองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการได้มาซึ่ง สว. คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) การกล่าวหาว่า สว. ชุดนี้มีการฮั้วเรารับไม่ได้ กำลังให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและดำเนินการต่อไป ขณะนี้กำลังรวบรวมหลักฐานทุกคนที่กล่าวหา 

 

“กกต. เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนมาก่อนแล้ว ซึ่ง กกต. ใช้ความละเอียดรอบคอบและมีความระมัดระวังในการกล่าวหาต่อผู้ที่ได้รับการรับรองเป็น สว. ไปแล้ว ไม่เหมือนผู้ร้องที่อยากเป็นเร็ว อยากขยับขึ้นมาก็กล่าวหาว่า กกต. ทำงานด้วยความล่าช้า อยากถามว่า กกต. จะต้องไปตรวจสอบผู้สมัคร 40,000 คน จะใช้เวลาเท่าไร 6-7 เดือนเป็นไปได้หรือไม่” พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าว

 

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ  กล่าวต่อไปว่า หาก DSI สืบสวนไปแล้วรู้ว่าไม่มีอำนาจในการดำเนินการ ก็ควรส่งพยานหลักฐานให้ กกต. ตนก็ไม่ทราบว่า DSI จะเก็บไว้ทำไม วันดีคืนดีพวกตนทำงานมีประสิทธิภาพ การเมืองไม่พอใจ ไม่รู้ใครบัญชาการ ใครคุมกระทรวงยุติธรรม ความยุติธรรมในประเทศก็เริ่มไม่เกิดขึ้น ความระส่ำระสายเกิดขึ้นทุกองค์กรจากผู้นำจิตวิญญาณบางคนที่สามารถควบคุมฝ่ายการเมืองได้ 

 

“การทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ผมถือว่าทำไม้บรรทัด 1 ฟุต ให้เป็น 13 นิ้ว มีเจตนาจงใจให้ สว. ได้รับโทษทางอาญา ทั้งที่ทำผิดคดีมูลฐาน เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. จะกล่าวเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ท่านอ้างว่าจะทำจากคดีฟอกเงินไปหาคดีใหญ่ ผมไม่ว่า แต่ผมถูกกลั่นแกล้งกล่าวหา”

 

พร้อมกันนี้ พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ  ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบคนเลี้ยงสุนัขและแมวกับการทำหน้าที่ของอธิบดี DSI ที่รับพิจารณาทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่และทำตามคำสั่ง อาจพบจุดจบที่ไม่ดี 

 

“แมวนอกจากจับหนูได้ แมวยังกินปลา ก็โยนแมวลงไปในน้ำให้ไปจับปลากิน โดยลืมนึกว่าแมวว่ายน้ำไม่เป็น ผลสุดท้ายแมวก็จมน้ำตาย เหมือนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ท่านมีปลอกคอ ท่านคิดว่าเอาตัวรอดได้ เชิญสอบสวนไป เราไม่ว่า สักวันหนึ่งคนเลี้ยงไม่อยู่ จะอดตายและติดคุก”

 

ส่วนหากคณะสืบสวนของ DSI มาขอให้ สว. ให้ข้อมูลนั้นจะร่วมมือด้วยหรือไม่ พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ ย้ำว่า ตราบใดที่ผู้สอบสวนยังไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เราก็ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จะมายัดเยียดว่าไม่บริสุทธิ์ไม่ได้ และสำหรับคณะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินที่ DSI ตั้งมานั้น ถือเป็นรายการต่อไปที่พวกตนต้องขออนุญาตดำเนินการ

 

“ประเด็นการเมืองไม่เกี่ยวกับเรา เพราะเราไม่อยู่ในคราบของการเมือง แต่รู้ไว้อย่างเดียวว่า วุฒิสภานั้นมีหน้าที่ปกป้องสถาบันฯ” พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าวทิ้งท้าย

 

The post สว. 81 คน รวมตัวยื่นเอาผิด ‘รมว.ยุติธรรม-อธิบดี DSI’ เปรียบเป็นแมวมีปลอกคอ ระวังคนเลี้ยงไม่อยู่จะอดตาย appeared first on THE STANDARD.

]]>