ปิโตรเลียม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 20 Dec 2024 07:30:17 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ปตท.สผ. ประกาศแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุนและรายจ่ายรวม 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ใช้พัฒนาโครงการหลัก เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม เร่งสำรวจโครงการปัจจุบัน https://thestandard.co/pttep-investment-plan-petroleum-production/ Fri, 20 Dec 2024 07:30:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1021868 ปตท.สผ.

ชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงิ […]

The post ปตท.สผ. ประกาศแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุนและรายจ่ายรวม 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ใช้พัฒนาโครงการหลัก เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม เร่งสำรวจโครงการปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.สผ.

ชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) ว่า บริษัทขอแจ้งแผนการดำเนินงานประจำปี 2568 ของ PTTEP ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจำปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วย รายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) 5,299 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายจ่ายดำเนินงาน (Operating Expenditure) 2,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

โดยเป้าหมายการดำเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้

 

  1. เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สำคัญ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ), โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช), โครงการอาทิตย์, โครงการเอส 1, โครงการคอนแทร็ค 4, โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย, โครงการซอติก้า และโครงการยาดานาในประเทศเมียนมา ที่มีการนำก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย

 

อีกทั้งโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สำคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซียและโอมาน โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุน 3,676 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีแผนงานสำหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และ Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลำดับ โดยตั้งงบประมาณสำหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้น 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  1. เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา, โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2, โครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี, โครงการมาเลเซีย เอสเค417 และโครงการมาเลเซีย เอสเค438 ให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผนงาน โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  1. เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุน 127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย มาเลเซีย และเมียนมา ทั้งงบประมาณ 5 ปี (ปี 2568-2572) ที่ได้จัดสรรไว้เพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนงานข้างต้น มีรายละเอียดดังนี้

 

 

จากแผนงานและการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ปตท.สผ. คาดการณ์ปริมาณขายปิโตรเลียมในปี 2568-2572 จากโครงการปัจจุบัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

 

 

ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงสำรองงบประมาณ 5 ปี (ปี 2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีก 1,747 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายต่อไป

The post ปตท.สผ. ประกาศแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุนและรายจ่ายรวม 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ใช้พัฒนาโครงการหลัก เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม เร่งสำรวจโครงการปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพงษ์มองปม OCA ชี้ เกาะกูดเป็นของไทย แต่ถามถึงรัฐบาลจะเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมอย่างไรให้โปร่งใส https://thestandard.co/natthaphong-oca/ Tue, 05 Nov 2024 08:49:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1004666 ณัฐพงษ์มองปม OCA

วันนี้ (5 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค […]

The post ณัฐพงษ์มองปม OCA ชี้ เกาะกูดเป็นของไทย แต่ถามถึงรัฐบาลจะเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมอย่างไรให้โปร่งใส appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพงษ์มองปม OCA

วันนี้ (5 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความถึงกรณีข้อพิพาทเกาะกูดกับกัมพูชา โดยระบุว่า

 

“กรณีพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ OCA ระหว่างไทยกับกัมพูชา ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมขณะนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะเกี่ยวพันอย่างมีนัยสำคัญถึงความพยายามในการนำทรัพยากรปิโตรเลียมจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ เป็นสมบัติชาติที่มีมูลค่ามหาศาล และรัฐบาลไทยพยายามดำเนินการเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

 

“ผมอยากชี้ชวนพี่น้องประชาชนให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ว่ามีมากกว่าเรื่องเกาะกูด และการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่เป็นที่สนใจกันอยู่ เราเสี่ยงที่จะเสียอธิปไตยเหนือเกาะกูดจากการเจรจา OCA และการพยายามเดินหน้าโครงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA หรือไม่

 

“ประเด็นนี้กระทรวงการต่างประเทศยืนยันชัดเจนแล้วว่าไทยไม่เคยลงนามใดๆ ที่มีผลผูกพันยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือเกาะกูด และ MOU 2544 อันเป็นการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เป็นเพียงความตกลงกำหนดกรอบและกลไกการเจรจาระหว่างกัน และ ‘รับทราบ’ การลากเส้นอาณาเขตทางทะเลของแต่ละฝ่าย ไทยรับทราบจุดยืนกัมพูชา กัมพูชารับทราบจุดยืนของไทย ว่ามีความแตกต่างกัน ไม่ใช่การที่ไทย ‘ยอมรับ’ เส้นอาณาเขตทางทะเลที่กัมพูชาอ้างสิทธิแต่อย่างใด

 

“ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติว่าเกาะกูดเป็นของไทย และกัมพูชาก็ไม่เคยอ้างหรือมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนของเกาะกูดแต่อย่างใด ดังนั้นเกาะกูดไม่มีทางจะเป็นของชาติอื่นแน่นอน

 

“แต่เรื่องน่ากังวลที่ยังไม่ได้พูดถึงกันมากนักก็คือการจัดการผลประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA อันถือเป็นสมบัติชาติที่มีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นผมขอตั้งคำถามต่อรัฐบาลถึงแผนการจัดการสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA ดังนี้

 

“1. หากไทยกับกัมพูชาเจรจากันเป็นผลสำเร็จจนนำไปสู่การเปิดแหล่งปิโตรเลียมได้ สัมปทานเหนือพื้นที่ที่ไทยเคยให้แก่บริษัทต่างๆ ทั้งของไทยและต่างชาติตั้งแต่ปี 2515 แต่ถูกแช่แข็งไว้เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงเรื่องการอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้ จะมีการจัดการอย่างไร จะเปิดประมูลใหม่หรือไม่

 

“2. หากมีการเปิดประมูลใหม่ รัฐบาลจะจัดการอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่ละเมิดกติการะหว่างประเทศ และทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่าความพยายามในการเจรจากับกัมพูชาหลายสิบปีที่ผ่านมาเพื่อเปิดแหล่งปิโตรเลียมนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนชาวไทย ไม่ใช่การเปิดช่องให้กลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่งเข้ามาแสวงหาความมั่งคั่งจากทรัพยากรอันเป็นของคนไทยทั้งประเทศ เหมือนกับที่ประชาชนเกิดข้อครหาต่อท่าทีและนโยบายพลังงานของรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา

 

“ผมยืนยันว่าพรรคประชาชนสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนผ่านที่โลกจะเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดอย่างสมบูรณ์ แต่เราต้องการให้ทรัพยากรอันเป็นสมบัติของประชาชนชาวไทยถูกจัดสรรอย่างโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อความมั่งคั่งและความมั่นคงทางพลังงานของประชาชนทั้งชาติ

 

“ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ ประชาชนไทยรู้สึกระแวงแคลงใจต่อเป้าประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลในการเร่งเจรจาเขตแดนพื้นที่ OCA เพื่อเปิดแหล่งปิโตรเลียม ผมเชื่อว่าหากรัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสัมปทาน หรือมีการแถลงแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA จะช่วยคลายความกังวลและข้อครหาต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาลลงได้มาก และทำให้การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน รวมถึงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเดินหน้าไปได้โดยราบรื่น”

The post ณัฐพงษ์มองปม OCA ชี้ เกาะกูดเป็นของไทย แต่ถามถึงรัฐบาลจะเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมอย่างไรให้โปร่งใส appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.สผ. ลุยเข้าซื้อหุ้น ‘กาชา’ แหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในยูเออี ช่วยเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียม https://thestandard.co/pttep-acquires-stake-in-uae-ghasha-gas-field/ Wed, 12 Jun 2024 08:50:34 +0000 https://thestandard.co/?p=944378 ปตท.สผ.

ปตท.สผ. เซ็นสัญญาซื้อหุ้นสัดส่วน 10% ในพื้นที่สัมปทานกา […]

The post ปตท.สผ. ลุยเข้าซื้อหุ้น ‘กาชา’ แหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในยูเออี ช่วยเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.สผ.

ปตท.สผ. เซ็นสัญญาซื้อหุ้นสัดส่วน 10% ในพื้นที่สัมปทานกาชา นอกชายฝั่งยูเออี คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในปี 2030

 

มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.(PTTEP)  เปิดเผยว่า บริษัท พีทีทีอีพี มีนา จำกัด (PTTEP MENA Limited) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ.ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) เพื่อเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุน 10% ในพื้นที่สัมปทานกาชา (Ghasha) นอกชายฝั่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) จากบริษัท วินเทอร์แชลล์ ดีอีเอ มิดเดิล อีสต์ จำกัด (Wintershall Dea Middle East GmbH) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของประเทศเยอรมนี การเข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้นับเป็นความก้าวหน้าในการสร้างฐานการลงทุนที่แข็งแกร่งของ ปตท.สผ.ในยูเออี

 

รวมถึงการขยายการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง การซื้อขายสัดส่วนการลงทุนในครั้งนี้ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสามารถเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วของ ปตท.สผ.ได้ทันที

 

“พื้นที่สัมปทานกาชาเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ยูเออีให้ความสำคัญ การเข้าร่วมลงทุนครั้งนี้จึงเป็นอีกความก้าวหน้าสำคัญของ ปตท.สผ.ในการขยายฐานการลงทุนอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้งยังช่วยเสริมประโยชน์และประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการร่วมกับโครงการสำรวจอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงซึ่งบริษัทลงทุนอยู่แล้ว โดยเราพร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อพัฒนาและผลักดันโครงการให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย” มนตรีกล่าว

 

สำหรับแปลงสัมปทานกาชาตั้งอยู่นอกชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของเมืองอาบูดาบีในยูเออี คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในปี 2030 นอกจากนี้โครงการยังมีแผนการดำเนินงานในการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี (MMtpa) เพื่อให้เป็นโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

 

อีกทั้งแปลงสัมปทานกาชายังตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กับโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 1, โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 และโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 3 ซึ่ง ปตท.สผ.ร่วมทุนอยู่แล้ว จึงเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการโครงการร่วมกัน

           

นอกจากโครงการดังกล่าวแล้ว ปตท.สผ.ยังลงทุนในโครงการชาร์จาห์ ออนชอร์ แอเรีย เอ และโครงการชาร์จาห์ ออนชอร์ แอเรีย ซี ในยูเออีด้วย ซึ่งอยู่ในระยะสำรวจ รวมทั้งยังมีโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติแอดนอค (AGP) ที่อยู่ในระยะผลิตด้วย

The post ปตท.สผ. ลุยเข้าซื้อหุ้น ‘กาชา’ แหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในยูเออี ช่วยเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท. ฝากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ดูแล ‘ต้นทุนพลังงาน’ ทั้งราคาค่าไฟฟ้าและน้ำมันให้เหมาะสม https://thestandard.co/ptt-on-energy-cost-new-gov/ Mon, 22 May 2023 08:58:51 +0000 https://thestandard.co/?p=793646

ปตท. ฝากถึงรัฐบาลใหม่ ‘ต้องเป็นผู้บริหารจัดการต้นทุนพลั […]

The post ปตท. ฝากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ดูแล ‘ต้นทุนพลังงาน’ ทั้งราคาค่าไฟฟ้าและน้ำมันให้เหมาะสม appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปตท. ฝากถึงรัฐบาลใหม่ ‘ต้องเป็นผู้บริหารจัดการต้นทุนพลังงานที่ดี’ เนื่องจากไทยเป็นประเทศผู้นำเข้า ซึ่งราคาเท่ากันทั่วโลกจึงทำให้คุมได้ยาก หากมากกว่านี้จำเป็นต้องใช้มาตรการและนโยบายด้านภาษีเข้ามาช่วยเสริม พร้อมเร่งดูแลค่าไฟฟ้า น้ำมัน ลดค่าครองชีพประชาชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้เหมาะสม พร้อมเปิดทิศทางธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย กับแผนนำเข้า Spot LNG 100 ลำ ช่วงชิงจังหวะราคาตลาดโลกเข้าสู่ช่วงขาลง 

 

พงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บทบาทของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. จะมุ่งขยายเครือข่ายทางการค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด และนำรายได้เข้าประเทศ รวมถึงการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกพลังงานที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคต หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีสำนักงานการค้าอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของทุกภูมิภาคทั่วโลก 

 

โดยช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นอันเป็นผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ได้ร่วมลดผลกระทบแก่ประชาชน และบริหารจัดการเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหา LNG แบบตลาดจร (SPOT) ในช่วงเวลาเร่งด่วน จัดหาและสำรองน้ำมันดิบในภาวะการขาดแคลนทั่วโลก รวมถึงการบริหารต้นทุนพลังงาน พร้อมทั้งปรับการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันในช่วงเวลาที่เหมาะสม

 

สำหรับรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศนั้น อยากฝากให้ดูเรื่องราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนเป็นหลัก โดยราคาน้ำมันที่ต้องอิงตลาดโลก หากจะให้ลดลงมากกว่านี้ จำเป็นต้องใช้มาตรการนโยบายด้านภาษีเข้ามาช่วย

 

“การบริหารก็ต้องดูทุกฝ่าย ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้เหมาะสม ทั้งผู้นำเข้า ผู้ผลิต ที่สำคัญคือต้องมีการบริหารจัดการในเรื่องของต้นทุนที่ดี เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้า ราคาเท่ากันทั่วโลก จึงทำให้คุมราคายาก” พงษ์พันธุ์กล่าว  

 

ราคาตลาด LNG ขาลง เหลือ 9 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู มองโอกาสดีนำเข้า 100 ลำ

 

เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน ปตท. ประเมินว่าในปีนี้ อาจมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตลาดจร หรือ Spot LNG เกือบ 100 ลำ หรือประมาณ 6 ล้านตัน จากปัจจุบันที่นำเข้ามาแล้ว 60 ลำ อยู่ที่ 4 ล้านตัน หรือลำละ 60,000 ตัน โดยปี 2565 มีการนำเข้าอยู่ที่ 53 ลำ หรือราว 3.3 ล้านตัน โดยการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ปริมาณนักท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น ประกอบกับทิศทางราคา Spot LNG ถูกลง และคุ้มค่ากว่าการใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้า อีกทั้งราคาที่ต่ำลงเกิดจากกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) มีการสำรอง LNG ไว้ในปริมาณสูงเกินความต้องการของตลาด ดังนั้น น่าจะเป็นจังหวะที่ดีและส่งผลดีต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร (Ft) ในงวดถัดไปลดลงได้

 

โดยล่าสุดราคา Spot LNG ตลาดโลกเดือนมิถุนายนนี้ อยู่ที่ประมาณ 9 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เทียบจากปีที่ผ่านมา บางช่วงราคาสูงสุดอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู และสูงเป็นประวัติการณ์ คาดว่าจนถึงปลายปีนี้ราคาอาจจะอยู่ที่ราว 15-20 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู โดยราคาที่ ปตท. ทำสัญญาซื้อขายไปแล้วนั้นจะไม่เกิน 20 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู 

 

อย่างไรก็ตาม ปตท. จะนำเข้า LNG ในปีนี้ถึง 100 ลำตามเป้าหมายหรือไม่ ยังต้องติดตามดูว่า ปตท.สผ. จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซในอ่าวไทยเป็นไปตามแผนควบคู่ไปด้วยหรือไม่ รวมถึงการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและราคา LNG ในอนาคตด้วย ซึ่งการนำเข้า LNG แต่ละล็อตจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อีกด้วย

 

นอกจากนี้ ปีนี้จะมีปริมาณการค้าเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีปริมาณการค้ารวมมากกว่า 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ครอบคลุมมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และมีการจัดหาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการพลังงานของประเทศ

 

เพิ่มสัดส่วน EBITDA ธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 30% 

 

นพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงาน กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ประกอบด้วย ธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง ได้แก่ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและสายงานกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย รวมถึงธุรกิจที่ ปตท. ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 

 

โดยไตรมาส 1 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานคิดเป็น 31% ของกำไรสุทธิของ ปตท. หรือ 8,748 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานตามพันธกิจและก้าวสู่ธุรกิจใหม่ตามวิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond พร้อมเติบโตในธุรกิจพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

 

โดยกลยุทธ์การดำเนินงานนั้นต้องอาศัยความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจเดิม (Hydrocarbon Based) และเป็นฐานต่อยอดธุรกิจใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Advance Materials & Specialty Chemicals) ที่สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานที่เปลี่ยนแปลง และสามารถเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ธุรกิจใหม่ ของกลุ่ม ปตท. รวมถึงเพิ่มสัดส่วนธุรกิจคาร์บอนต่ำและธุรกิจใหม่ที่มากกว่าพลังงาน เพื่อให้เป็นไปตามแผนดังกล่าว ปตท. ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วน EBITDA จากธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 30% ในปี 2573 จากปี 2565 อยู่ที่ 15% 

 

ทุ่มลงทุนผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล  

 

โดยปัจจุบันมีการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรในหลายธุรกิจ เช่น ความมั่นคงของระบบน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก (EEC) กับนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ศึกษาการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เนื่องจากอนาคตความต้องการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมเสี่ยงขาดแคลน จึงต้องอาศัยการลงทุนด้านน้ำเป็นสำคัญ รวมทั้งเรื่องการรีไซเคิลน้ำ ผันน้ำ การลงทุนระบบท่อน้ำ เพราะกลุ่ม ปตท. มีความต้องการใช้น้ำสัดส่วนถึง 30% ของอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก รวมไปถึงการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การเข้าสู่ตลาด Carbon Credit Trading และการค้าเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนกลุ่ม ปตท. และประเทศไทยเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ตามแผนที่วางไว้

The post ปตท. ฝากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ดูแล ‘ต้นทุนพลังงาน’ ทั้งราคาค่าไฟฟ้าและน้ำมันให้เหมาะสม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมไทยถึงมีต้นทุนผลิตไฟถูกลง เมื่อการผลิตปิโตรเลียมอ่าวไทยเปลี่ยนจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต https://thestandard.co/cost-of-producing-electricity-thai/ Tue, 07 Mar 2023 13:25:29 +0000 https://thestandard.co/?p=759750 ต้นทุนผลิตไฟฟ้า

ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 8 มีนาคมเป็นต้นไป ประเทศไทยจะ […]

The post ทำไมไทยถึงมีต้นทุนผลิตไฟถูกลง เมื่อการผลิตปิโตรเลียมอ่าวไทยเปลี่ยนจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ต้นทุนผลิตไฟฟ้า

ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 8 มีนาคมเป็นต้นไป ประเทศไทยจะมีต้นทุนผลิตไฟถูกลง เมื่อถึงจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์พลังงานปิโตรเลียมไทย ‘จากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC)’ ที่คณะรัฐมนตรีไฟเขียว ปตท.สผ.-เชฟรอน ได้สิทธิ์ประมูลอ่าวไทย (แหล่งบงกช)

 

วันนี้ (7 มีนาคม) สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ. อีดี) และบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลในการยื่นขอสิทธิ์สำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24 

 

โดยบริษัท ปตท.สผ. อีดี เป็นผู้ได้รับสิทธิ์เป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 และ G3/65 ขนาดพื้นที่รวม 19,515.42 ตารางกิโลเมตร และอนุมัติให้บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิ์เป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ขนาดพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร 

  

ทั้งนี้ การดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านของแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานสู่ระบบแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) ซึ่งจะดำเนินงานโดย ปตท.สผ. อีดี

 

โดยมั่นใจว่าสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ราบรื่นทุกขั้นตอนแบบไร้รอยต่อและไร้ปัญหา เนื่องจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เตรียมความพร้อมรองรับ โดยได้ตั้งวอร์รูมเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านในลักษณะบูรณาการร่วมกับผู้รับสัมปทานรายเดิม ผู้รับสัญญารายใหม่ และผู้รับซื้อปิโตรเลียม ผู้บริหารของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติบัญชาการที่ห้องวอร์รูมในกระทรวงพลังงาน และมีทีมเฉพาะกิจภาคสนาม จำนวน 3 ทีม คอยติดตาม ควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิดบนแท่นผลิตในทะเลอ่าวไทย จะประจำที่แท่นผลิตกลางบงกช เพื่อตรวจสอบปริมาณการผลิตปิโตรเลียมรอบสุดท้ายในช่วงเวลาก่อนหมดอายุสัมปทาน (ก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 8 มีนาคม) รวมทั้งวัดปริมาณปิโตรเลียมที่คงค้างในเรือกักเก็บ ก่อนที่จะมีการส่งมอบให้กับผู้รับสัญญารายใหม่อย่างเป็นทางการวันนี้

 

“เที่ยงคืนวันที่ 8 มีนาคม 2566 และวันพรุ่งนี้ ถือเป็นอีกวันหนึ่งในประวัติศาสตร์พลังงานของประเทศไทยที่จะใช้ระบบใหม่ในกิจการปิโตรเลียม จากเดิมที่ใช้ระบบสัมปทาน แต่ระบบใหม่จะเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต (PSC)” สราวุธกล่าว

 

ระบบแบ่งปันผลผลิตกดราคาก๊าซลงกว่า 2 หมื่นล้านบาท

โดยความต่างจากระบบสัมปทานคือ เมื่อเปลี่ยนเป็น ‘ระบบแบ่งปันผลผลิต’ แล้วจะมีผลต่อราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้จากแปลง G2/61 ปรับลดลงจากเดิม 279-324 บาทต่อล้านบีทียู เหลือ 172 บาทต่อล้านบีทียู หรือลดลงประมาณ 107-152 บาทต่อล้านบีทียู คิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท (เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2566) 

 

นอกจากนี้ระบบแบ่งปันผลผลิตจะช่วยสร้างเสถียรภาพของราคาก๊าซธรรมชาติที่จะนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ลดต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ลดพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ และมีส่วนช่วยลดผลกระทบเกี่ยวกับราคาค่าไฟฟ้าของประชาชนได้ อีกทั้งราคาก๊าซธรรมชาติโลกในปัจจุบันก็เริ่มปรับตัวลดลง ทั้งนี้จะช่วยลดได้มาก-น้อยแค่ไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) 

 

ปัจจุบันแหล่งบงกชสามารถผลิตก๊าซธรรมธรรมชาติอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ในข้อตกลงใหม่คือ ‘ระบบแบ่งปันผลผลิต’ จะกำหนดไว้ให้มีการผลิตก๊าซธรรมธรรมชาติที่ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน 

 

ดังนั้นกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจึงขอความร่วมมือผู้รับสัญญารายใหม่คงอัตราการผลิตก๊าซธรรมธรรมชาติที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อให้สามารถชดเชยปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงของแปลง G1/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณเดิม) 

 

สำหรับแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย สร้างการจ้างงาน สร้างรายได้ให้แก่รัฐในรูปแบบ ‘ค่าภาคหลวงปิโตรเลียม’ และรายได้อื่นๆ (ค่าตอบแทนการต่อระยะเวลาผลิต) เป็นมูลค่ากว่า 2.3 แสนล้านบาท 

 

เชฟรอนพร้อมรับช่วงต่อระบบแบ่งปันผลผลิต

รณรงค์ ชาญเลขา กรรมการ บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า เชฟรอน ออฟชอร์ จะมีการลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตระหว่างกระทรวงพลังงานและผู้ได้รับคัดเลือกต่อไป และยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจากภาครัฐให้เป็นผู้รับสัญญาของแหล่ง G2/65 

 

ซึ่งการร่วมขอเป็นผู้รับสิทธิ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเดินหน้าภารกิจส่งมอบพลังงานที่สะอาดขึ้นอย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาวต่อไป ดังที่ได้ดำเนินงานมากว่า 60 ปี

 

“ด้วยการผสานความรู้ความเชี่ยวชาญในธรณีวิทยาของอ่าวไทยเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย และแนวทางปฏิบัติงานที่เป็นเลิศจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เชฟรอนเชื่อมั่นว่าเราสามารถพัฒนาปิโตรเลียมจากแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งขับเคลื่อนสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593” รณรงค์กล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

The post ทำไมไทยถึงมีต้นทุนผลิตไฟถูกลง เมื่อการผลิตปิโตรเลียมอ่าวไทยเปลี่ยนจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. เห็นชอบงบ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ-แผนงานปี 66 ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในงานปิโตรเลียม https://thestandard.co/cabinet-approved-malaysia-thai-fund/ Tue, 06 Sep 2022 10:02:27 +0000 https://thestandard.co/?p=677146 ไตรศุลี ไตรสรณกุล

วันนี้ (6 กันยายน) ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักน […]

The post ครม. เห็นชอบงบ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ-แผนงานปี 66 ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในงานปิโตรเลียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไตรศุลี ไตรสรณกุล

วันนี้ (6 กันยายน) ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบงบประมาณจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 182 ล้านบาท) และแผนการดำเนินงานประจำปี 2566 ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย โดยองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย มีฐานะเป็นนิติบุคคล เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วม เพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศในอ่าวไทย โดยเฉพาะปิโตรเลียมในพื้นที่ดินใต้ทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนล่างที่ไทยและมาเลเซียอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ซึ่งเรียกว่าพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) 

 

ซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีผลใช้บังคับระหว่างกันเป็นเวลา 50 ปี นับตั้งแต่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2522

 

สำหรับงบประมาณปี 2566 ที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย เสนอขอครั้งนี้จำนวน 5 ล้านดอลลาร์ เป็นการจัดทำรายละเอียดคำขอขึ้นตามพื้นฐานกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรร่วมฯ ในสถานการณ์ปกติ ซึ่งสูงกว่างบประมาณปี 2565 ที่ได้รับอนุมัติภายใต้สภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ร้อยละ 22  

 

ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 4,836,100 ดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน 163,900 ดอลลาร์ ส่วนที่มาของงบประมาณนั้น องค์กรร่วมฯ ได้เสนอขอใช้เงินที่ได้รับจากการขายปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จำนวน 4,271,916 ดอลลาร์ และงบประมาณเหลือจ่ายของปี 2564 จำนวน 728,084 ดอลลาร์ และได้ประมาณการรายได้รวมขององค์กรร่วมฯ ในปีงบประมาณ 2566 อยู่ที่จำนวน 667 ล้านดอลลาร์ ประกอบด้วยค่าภาคหลวง 181 ล้านดอลลาร์ และปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรจำนวน 486 ล้านดอลลาร์

 

สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายบุคลากร ประกอบด้วย เงินเดือนพนักงาน ค่าเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2, ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคณะกรรมการองค์กรร่วมฯ และเจ้าหน้าที่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 50, ค่าเช่า เช่น พื้นที่สำนักงาน อุปกรณ์สำนักงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6, ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5, ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.2 และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.39  

 

ส่วนค่าใช้จ่ายที่ลดลงคือ ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม เช่น ค่าบำรุงรักษาสำนักงาน ยานพาหนะ อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสำนักงาน ลดลงร้อยละ 12

 

ไตรศุลีกล่าวต่ออีกว่า แผนการดำเนินงานขององค์กรร่วมฯ ในปี 2566 ที่สำคัญ เช่น เจาะหลุมประเมินผลจำนวน 1 หลุมในแหล่ง Senja, เจาะหลุมปิโตรเลียมในแหล่ง Bumi Deep Phrase 1 and 2 จำนวน 7 หลุม, รักษาระดับอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติที่เรียกรับสูงสุด (CDC) ในอัตรา 869 ล้านลูกบาศก์ฟุต และประสานงานกับบริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (TTM) เพื่อให้การผลิตก๊าซเป็นไปตามสัญญา

The post ครม. เห็นชอบงบ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ-แผนงานปี 66 ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในงานปิโตรเลียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: จุดหมายระหว่างทาง https://thestandard.co/video-destination-along-the-way/ Mon, 07 Dec 2020 04:00:54 +0000 https://thestandard.co/?p=429237 จุดหมายระหว่างทาง PTTPLC

การทำงานทางด้านปิโตรเคมีคืองานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค […]

The post ชมคลิป: จุดหมายระหว่างทาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จุดหมายระหว่างทาง PTTPLC

การทำงานทางด้านปิโตรเคมีคืองานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค ซึ่งต้องสร้างความสมดุลเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน การเป็นผู้บริหารจึงเหมือนการแบกภาระต่างๆ ไว้บนบ่า

 

กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย กับงานด้านการบริหารปิโตรเลียมและไลฟ์สไตล์ชีวิตที่นำไปสู่การบริหารองค์กรอย่างมีคุณภาพ

 

[Advertorial]

The post ชมคลิป: จุดหมายระหว่างทาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
New Business ของ ปตท. กับอนาคตและความยั่งยืนของประเทศไทย ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยยารักษาโรคมะเร็ง [Advertorial] https://thestandard.co/ptts-new-business-and-the-future-and-sustainability-of-thailand/ Mon, 23 Nov 2020 10:00:57 +0000 https://thestandard.co/?p=416616 New Business ของ ปตท. กับอนาคตและความยั่งยืนของประเทศไทย ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยยารักษาโรคมะเร็ง [Advertorial]

คนไทยแทบทุกคนต่างรู้จักกันดีว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาช […]

The post New Business ของ ปตท. กับอนาคตและความยั่งยืนของประเทศไทย ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยยารักษาโรคมะเร็ง [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
New Business ของ ปตท. กับอนาคตและความยั่งยืนของประเทศไทย ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยยารักษาโรคมะเร็ง [Advertorial]

คนไทยแทบทุกคนต่างรู้จักกันดีว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นั้นเป็นบริษัทด้านพลังงานของประเทศไทย ทว่าเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาว่า ปตท. ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และองค์การเภสัชกรรม ทำข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ โดยมุ่งเน้นไปที่ยารักษาโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ปตท. ยังได้ลงนามในสัญญาที่จะพัฒนาและก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งทั้งยาเคมีและชีววัตถุเพื่อทดแทนการนำเข้า รวมถึง ปตท. ยังมีแผนที่จะร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ พัฒนาเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการแพทย์และผลิตภัณฑ์โภชนาการที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย

 

THE STANDARD คิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากว่าเพราะเหตุใด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำด้านพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงาน วิศวกรรม และเทคโนโลยีของประเทศไทยจึงมีความสนใจในธุรกิจ Life Science เราจึงได้พูดคุยกับ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ทำให้ได้พบว่าธุรกิจใหม่ของ ปตท. นั้นมีความสำคัญต่ออนาคตและความยั่งยืนของประเทศไทยเป็นอย่างมาก  

 

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ 

รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 

 

ทำไมบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงาน วิศวกรรม และเทคโนโลยี จึงให้ความสนใจธุรกิจ Life Science 

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ ปตท. ในฐานะองค์กรด้านพลังงาน และเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้นน้ำให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อ 30 ปีที่แล้วนับตั้งแต่เจอก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และมีการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงงานปิโตรเคมี ทดแทนการนำเข้าและเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในการต่อยอดอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันภารกิจดังกล่าวได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่หากมองไปในอนาคตของประเทศไทยที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 ไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น New S-Curve ของประเทศ ในแง่ของธุรกิจ ปตท. เองก็เหมือนกับองค์กรทั่วๆ ไปที่ต้องมีการวางแผน วางวิสัยทัศน์ และกำหนดโครงสร้างการลงทุนทางธุรกิจ จากธุรกิจดั้งเดิมมาสู่ธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจใหม่ที่จะต่อยอดองค์กรให้เติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่ง ปตท. มองว่าธุรกิจ Life Science มีความสอดคล้องกับทรัพยากรและการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศและโลก และเป็นธุรกิจที่จำเป็นที่จะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นในประเทศในอีก 10-20 ปีข้างหน้า

 

จากธุรกิจเดิมมาสู่ธุรกิจปัจจุบัน และธุรกิจใหม่ที่จะต่อยอดไปสู่อนาคต ซึ่งในส่วนของธุรกิจใหม่นั้น เรามองไปถึงเรื่องของ ‘Bioeconomy’ ที่ใช้ความรู้และนวัตกรรมทางด้านชีววิทยาหรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพมาช่วยพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการ เช่น การเกษตร อาหาร สุขภาพ การแพทย์ และพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนครับ

 

New Business นี้สอดคล้องกับพันธกิจในการดูแลสังคมของ ปตท. และจะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนได้อย่างไร

อย่างที่ทุกคนก็คงจะทราบกันดีครับว่าประเทศไทยเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือ Aging Society ซึ่งเมื่อประชากรของเรามีอายุมากขึ้นแล้วก็จะมีปัญหาทางด้านสุขภาพตามมาทั้งโรคติดต่อและไม่ติดต่อตามความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ เพราะเมื่ออายุยืนขึ้น เราทุกคนก็คงอยากจะอยู่อย่างมีสุขภาพดี มีความกระฉับกระเฉง มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยกันทั้งนั้น การที่ประเทศต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศมากๆ ก็จะทำให้ประเทศเราไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางด้านนี้ได้ เกิดความยากลำบากในการเข้าถึงยาของประชาชน และเป็นภาระทางด้านงบประมาณของทางราชการ จึงถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศและสังคมไทย

 

 

การที่เราต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศมากๆ
ก็จะทำให้ประเทศเราไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางด้านนี้ได้
จึงถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศและสังคมไทย  

 

เทคโนโลยีและการลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ ปตท. หันมาให้ความสนใจกับธุรกิจใหม่นี้ 

โลกอนาคตข้างหน้านั้นจะมีเทคโนโลยีสำคัญอยู่ 3 อย่างที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของมนุษย์ อย่างแรกก็คือ Digital ซึ่งหลายคนก็น่าจะได้เห็นอิทธิพลของดิจิทัลกันไปแล้ว เทคโนโลยีอย่างที่สองคือเรื่องของ Advanced Materials ก็คือวัสดุล้ำสมัย เช่น พลาสติกมูลค่าเพิ่มอย่างพวกรถยนต์หรือเครื่องบิน ซึ่งแต่เดิมใช้วัสดุที่เป็นโลหะ แต่เทรนด์ในอนาคตต่อไปนี้จะใช้พลาสติก เพราะว่ามีน้ำหนักเบาและขึ้นรูปได้ง่ายกว่า สามารถสร้างให้ทนทานกว่า รวมไปถึงการทำเครื่องมือแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นหลอดฉีดยาหรือพวกเครื่องมือวิเคราะห์อะไรต่างๆ หรือแม้กระทั่งหน้ากากอนามัยก็มีองค์ประกอบของพลาสติกที่เป็นตัวกรอง ฯลฯ และสุดท้ายคือเทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานและพลาสติกชีวภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ และยารักษาโรค 

 

ในเรื่องของดิจิทัล ทุกบริษัทในกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายของ ปตท. ได้นำดิจิทัลเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนอยู่แล้ว ขณะที่ Advanced Materials บริษัทในกลุ่ม ปตท. ไม่ว่าจะเป็น GC และ IRPC ก็พร้อมจะทำในส่วนนี้เพื่อต่อยอดจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเดิมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ โดยเฉพาะอาหารและยา ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ใช้เงินลงทุนและเวลาในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะรับผิดชอบโดย ปตท. ที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะหากประเทศไทยไม่มีการลงทุนจะทำให้เราต้องพึ่งพาต่างประเทศมากจนเกินไป ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเรามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านสาธารณสุข และมีความหลากหลายทางชีวภาพ หากทุกภาคส่วนช่วยกันดำเนินการอย่างเป็นระบบครบวงจร ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแสวงหาองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราก็มีโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดย ปตท. มีความพร้อมที่จะดำเนินการในธุรกิจนี้

 

 ปตท. จะช่วยทำให้ประเทศไทยของเรามีความมั่นคงขึ้น

 

 

ประเทศไทยของเรามีความได้เปรียบตรงที่
เราเป็นสังคมเกษตรกรรมและมีความหลากหลายทางชีวภาพ
ดังนั้นเราจึงควรจะหันมานำสิ่งที่เรามีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบตรงนี้
มาพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่ม 

 

ฟังดูเหมือนธุรกิจใหม่ของ ปตท. จะช่วยทำให้ประเทศไทยของเรามีความมั่นคงขึ้น
เราหวังไว้เช่นนั้นครับ เพราะถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีพวกนี้ได้ ประเทศเราก็จะมีความมั่นคงทางด้านสุขภาพและสาธารณสุขมากขึ้น การทำให้คนไทยแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี คนป่วยได้รับการดูแลที่ดี ปัญหาสังคมก็จะน้อยลง นอกจากนี้ก็ยังเป็นการช่วยยกระดับให้วัตถุดิบในประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น การเข้าไปทำเรื่องนี้ของ ปตท.​ จึงตอบโจทย์ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมอีกด้วย

 

แล้วทำไมจึงเริ่มต้นด้วยความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมและสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยมุ่งเน้นไปที่ยารักษาโรคมะเร็ง
จากข้อมูลพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนในบ้านเราคือโรคมะเร็ง ซึ่งมีปัจจัยมาจากการใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อม การที่เราไม่ระมัดระวังในเรื่องของการบริโภค ฯลฯ ทำให้อัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้อัตราการป่วยเป็นมะเร็งใน 1 ปีของประชากรของไทยมีจำนวนมากกว่า 1.2 แสนคน และมีอัตราเสียชีวิตถึงปีละ 8 หมื่นคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง ปัญหาของคนที่ป่วยคือต้องใช้เงินในการรักษา การเข้าถึงยาที่มีคุณภาพจึงเป็นภาระค่อนข้างมากของผู้ป่วยและญาติ ในปีหนึ่งๆ ประเทศไทยต้องนำเข้ายารักษาโรคมะเร็งกว่าประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

 

ทั้งที่ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งนั้นวิวัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างในสมัยก่อนเราอาจจะทำคีโมหรือใช้ยาซึ่งไปฆ่าทุกเซลล์ในร่างกาย แต่การรักษาโรคมะเร็งสมัยใหม่นั้นมีการให้ยาเฉพาะจุด ทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียง ช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บป่วยทรมานน้อยลง รวมไปถึงการสร้างยาชีววัตถุที่ช่วยให้การรักษามีความแม่นยำและสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามมา ฉะนั้นเราจึงคิดกันว่าแทนที่ประเทศไทยต้องนำเข้ายารักษาโรคมะเร็งจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ทำไมเราไม่ลองผลิตยากันเอง นี่จึงเป็นที่มาของโครงการความร่วมมือระหว่าง ปตท. กับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัยรักษาโรคมะเร็ง และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผลิตยา โดยจะใช้โครงการนี้เพิ่มความก้าวหน้าทางการแพทย์ของไทยให้เป็นศูนย์กลางในภูมิภาค สามารถนำผลงานวิจัยที่คิดค้นได้ไปต่อยอดในระดับอุตสาหกรรม

 

อยากให้อธิบายถึงความเชี่ยวชาญและจุดแข็งของ ปตท. ซึ่งเมื่อจับมือร่วมกับ องค์การเภสัชกรรมและสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์แล้วจะช่วยเติมเต็มและสนับสนุนให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยกันได้อย่างไร
เรื่องของยารักษาที่ต้องนำมาใช้กับผู้ป่วยจำเป็นต้องผ่านการวิจัยมาเป็นอย่างดีครับ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์นั้นเป็นคณะแพทย์แล้วก็เป็นโรงพยาบาลรักษาโรคมะเร็งที่มีทั้งเคสผู้ป่วยและทีมแพทย์ ทีมนักวิจัยเพื่อคิดค้นการรักษา ส่วนองค์การเภสัชกรรมก็เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งทำหน้าที่และมีความเชี่ยวชาญในการผลิตและจำหน่ายยา มีเครือข่ายอยู่ทั้งในและต่างประเทศ สามารถขายยาให้กับทุกโรงพยาบาลในประเทศไทย

 

ส่วน ปตท. นั้น สิ่งที่เรามีก็คือประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ เรามีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม ซึ่งเมื่อทั้ง 3 องค์กรร่วมมือกันนั้น ในขณะที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เป็นคนคิดค้นพัฒนายาโรคมะเร็ง ปตท. ก็จะเป็นคนออกแบบสร้างโรงงานร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เมื่อโรงงานเสร็จแล้ว องค์การเภสัชกรรมก็จะเอาสูตรยามาผสมแล้วก็ผลิตยาภายใต้การควบคุมคุณภาพขององค์การเภสัชกรรม รวมไปถึง ปตท. อาจทำหน้าที่นำยาไปทำตลาดในต่างประเทศที่ ปตท. ได้มีการเข้าไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ก่อนหน้านี้

 

ตอนนี้ความคืบหน้าของโครงการนี้เป็นอย่างไร อยู่ในขั้นตอนไหน
ยาที่เรากำลังทำกันอยู่ไม่ใช่ยาต้นแบบ (Original Drug) แต่เป็นยาสามัญ (Generic Drug) ที่คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาใกล้เคียงกับตัวยาต้นตำรับ สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยได้เช่นกัน โดยก่อนจะนำออกจำหน่ายได้นั้นต้องนำไปขึ้นทะเบียนยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย มีการตรวจสอบโรงงานและผลวิจัยทางคลินิกรองรับ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่องค์การเภสัชกรรมช่วยพัฒนาและดำเนินการให้

 

ส่วน ปตท. รับหน้าที่ในส่วนของการออกแบบและบริหารโครงการ ขณะนี้เราอยู่ในขั้นตอนการออกแบบโรงงาน ก่อนที่องค์การเภสัชกรรมจะอนุมัติและทำการเปิดประมูลการก่อสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง ซึ่งมีกำหนดการเริ่มก่อสร้างในปี 2565 และจะแล้วเสร็จในปี 2567 หลังจากนั้นก็น่าจะใช้เวลา 3 ปีในการผลิตยาและขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คาดว่าจะสามารถนำยาออกสู่ตลาดเพื่อทดแทนการนำเข้าได้ในราวปี 2570 ครับ ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าการวิจัยยานั้นปกติใช้เวลากันนานมากนับสิบปี เพราะการวิจัยและพัฒนายาเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนเยอะ ที่สำคัญและถือเป็นความท้าทายอีกอย่างก็คือเรื่องของระบบการควบคุมคุณภาพที่จะผิดพลาดไม่ได้เลย เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน แถมเรายังต้องส่งไปขายทั่วโลกด้วย ดังนั้นเพื่อให้มีมาตรฐานความปลอดภัยที่แน่นอนจึงต้องใช้เวลานาน แต่ด้วยความร่วมมือของทั้งสององค์กรทำให้เราสามารถร่นระยะเวลาไปได้ถึง 3 ปีครับ และน่าจะทำให้ลดต้นทุนยาลงได้เมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้า 30-50% ครับ แต่เหนือสิ่งอื่นคือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาธุรกิจทางด้าน Life Science ให้เป็น New S-Curve 

 

 

ประเทศไทยเราก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 

แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะหันมาห่วงใยสุขภาพกันเยอะขึ้น 

การเข้าไปสู่ธุรกิจนี้ของ ปตท.​ จึงตอบโจทย์ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี 

เศรษฐกิจ และสังคม

 

อยากให้ช่วยอธิบายว่าธุรกิจ Life Science ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในอนาคตของ ปตท. นั้นมีความสำคัญอย่างไรกับสังคมผู้สูงวัยที่กำลังจะมาถึงของไทย 

ประเทศไทยเราก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะหันมาห่วงใยสุขภาพกันเยอะขึ้นครับ อย่างที่บอกว่าทุกวันนี้เรามีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม มลพิษ รวมถึงไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ที่ทำให้คนเป็นโรคต่างๆ กันมากขึ้น การดูแลรักษาสุขภาพโดยเฉพาะในเรื่องของยาจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เราจะเอาแต่พึ่งพาต่างประเทศอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจะทำให้ต้นทุนในการรักษานั้นแพง มีคนพูดว่า “ทำงานมาทั้งชีวิต เก็บเงินมาเพื่อจะจ่ายค่ายา ค่าหมอ” เดี๋ยวนี้มีโรคใหม่ๆ อย่างโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้นก็มีความเสี่ยงที่จะเป็น แถมโรคพวกนี้ต้องกินยาตลอดเวลา ถ้าเราไม่อยากจะต้องรักษาก็ต้องป้องกันด้วยการเลือกกินของดีมีประโยชน์ อย่างคนที่อายุเยอะจะกินน้ำตาลหรือไขมันมากก็ไม่ได้ จึงได้มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นโภชนาการออกมาตอบโจทย์ 

 

ธุรกิจ Life Science นั้นเกี่ยวข้องกับทั้งการรักษา นั่นคือยา รวมถึงการป้องกันด้วยโภชนาการและเวชภัณฑ์การรักษา ซึ่งถ้าเราพัฒนายาได้เมื่อไร การทำผลิตภัณฑ์โภชนาการก็จะง่ายแล้ว และเราก็กำลังพัฒนาร่วมกับสถาบันวิจัยอย่าง สวทช. เกี่ยวกับการทำโภชนาการ รวมถึงกำลังทำ Medical Device ที่เป็นเวชภัณฑ์อย่างหน้ากากอนามัย ถุงมือยาง ชุดตรวจต่างๆ ฯลฯ ซึ่งเป้าหมายที่ ปตท. มุ่งหวังเอาไว้ก็คือในอนาคตภายในสัก 10 ปีข้างหน้า เราจะมีพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจ Life Science และ Advanced Materials อยู่ที่ประมาณ 10-15% ในธุรกิจทั้งหมดของเรา


เพื่อในวันที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยในอนาคตที่กำลังจะมาถึง เราจะได้เห็นคนไทยมีสุขภาพดีและแข็งแรงกันถ้วนหน้า 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์ 

The post New Business ของ ปตท. กับอนาคตและความยั่งยืนของประเทศไทย ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยยารักษาโรคมะเร็ง [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. เคาะต่อเวลาสัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบก S1 ให้บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อีก10 ปี https://thestandard.co/cabinet-decide-to-continue-petroleum-concessions-to-pttep/ Tue, 22 Sep 2020 08:34:41 +0000 https://thestandard.co/?p=399582

วันนี้ (22 กันยายน) ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนัก […]

The post ครม. เคาะต่อเวลาสัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบก S1 ให้บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อีก10 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (22 กันยายน) ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2522/16 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข S1 (พื้นที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และกำแพงเพชร) ออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2574 โดยทางกระทรวงพลังงานได้รายงานว่า ได้นำเสนอเรื่องการต่อเวลาดังกล่าวให้คณะกรรมการปิโตรเลียมพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้รับสัมปทานปฏิบัติครบถ้วนตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและข้อกำหนดของสัมปทานปิโตรเลียม รวมทั้งแผนดำเนินงาน แผนการลงทุน ระยะเวลาการผลิต และผลประโยชน์เพิ่มเติมที่เสนอให้แก่รัฐมีความเหมาะสมและมีสมรรถนะเชิงพาณิชย์ คณะกรรมการปิโตรเลียมจึงมีมติอนุมัติต่อระยะเวลาออกไปให้ 10 ปี ก่อนที่จะนำมาเสนอ ครม. ตามขั้นตอน

 

อย่างไรก็ตาม สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตั้งข้อสังเกตว่า การขุดเจาะปิโตรเลียมด้วยวิธี Hydraulic Fracturing โดยการฉีดน้ำผสมทรายและสารเคมีลงไปในหลุมเพื่อให้เกิดรอยแตกในชั้นหินและให้น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติไหลออกมา อาจทำให้สารที่ใช้รั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำบาดาลได้ หากดำเนินการอย่างไม่ระมัดระวังและขาดการควบคุมที่ดี ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พื้นที่เกษตรกรรมและการประมง รวมถึงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่โดยรอบ ดังนั้นจึงเห็นควรให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติตรวจสอบและควบคุมผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบกทุกรายที่ใช้วิธีขุดเจาะเดียวกันนี้ ให้ดำเนินการด้วยความรอบคอบรัดกุม ได้มาตรฐานสากล และเป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์และข้อบังคับที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

 

ภาพ: PTTEP

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ครม. เคาะต่อเวลาสัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบก S1 ให้บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อีก10 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นปิโตรเลียม-โรงกลั่นทรุด หลังราคาน้ำมันดิบร่วงแรงมากกว่า 2% https://thestandard.co/scbs-petroleum-share-decend/ Thu, 23 Jan 2020 10:37:21 +0000 https://thestandard.co/?p=323669

เกิดอะไรขึ้น: วานนี้ (22 มกราคม) ผู้อำนวยการสำนักงานพลั […]

The post หุ้นปิโตรเลียม-โรงกลั่นทรุด หลังราคาน้ำมันดิบร่วงแรงมากกว่า 2% appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

วานนี้ (22 มกราคม) ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานสากล (International Energy Agency: IEA) แถลงว่า สถานการณ์น้ำมันโลกจะเผชิญกับภาวะอุปทานน้ำมันส่วนเกินในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยคาดอุปทานจะเกินกว่าอุปสงค์ราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ Shale Oil ในสหรัฐฯ ประกอบกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนในตลาดกังวลว่า หากการแพร่ระบาดยังลุกลามต่อเนื่อง จะกระทบต่อการเดินทางและท่องเที่ยว ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันลดลง เป็นปัจจัยลบต่อธุรกิจสายการบินที่น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลัก 

 

ถ้อยแถลงดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนวานนี้ปรับลงแรง โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือลดลง 2.8% DoD ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลงอยู่ที่ระดับ 63.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือลดลง 2.1% DoD

 

กระทบอย่างไร:

การปรับตัวลงแรงของน้ำมันดิบคืนวานนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นปิโตรเลียมและโรงกลั่นปรับตัวลงในวันนี้ (23 มกราคม) ได้แก่ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) ลดลง 6.47% DoD, บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ลดลง 3.77% DoD, บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ลดลง 2.88% DOD, บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ลดลง 1.81% DoD, บมจ.ปตท. (PTT) ลดลง 1.62% DoD และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ลดลง 1.53% DoD (ข้อมูล ณ 12.30 น.)

 

มุมมองระยะสั้น:

SCBS มองว่า ความกังวลเรื่องไวรัสโคโรนานั้นเป็นเพียง Sentiment เชิงลบที่เข้ามากระทบในระยะสั้น เนื่องจากในอดีต ผลกระทบจากโรคระบาดต่อธุรกิจโรงกลั่นยังไม่เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจน อาทิ การระบาดของโรคซาร์ส ช่วงปี 2556-2557 ช่วงนั้นโรงกลั่นหลายแห่งเพิ่งเข้าจดทะเบียนในเดือนตุลาคม 2557 ซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นบรรเทาลงไปมากแล้วจึงไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนการระเบิดของโรคเมอร์สเมื่อปี 2558 หุ้นโรงกลั่นแม้จะปรับลง แต่ก็เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ดิ่งลงแรงเป็นหลัก

 

มุมมองระยะยาว:

SCBS มองว่า ระยะยาวปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันมาจากอุปสงค์และอุปทานเป็นหลัก โดยฝั่งอุปสงค์นั้นมีตัวแปรสำคัญอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีแนวโน้มขยายตัวช้า แม้ว่าสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน จะคลี่คลายลงก็ตาม จึงทำให้คาดว่าการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์น้ำมันในปีนี้อาจไม่มากนัก 

 

ขณะที่ฝั่งอุปทาน ตัวแปรสำคัญอยู่ที่การผลิตของกลุ่มนอกโอเปก (Non-OPEC) โดยเฉพาะจากฝั่งสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นกว่า 11% YoY ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.12 ล้านบาร์เรลต่อวัน SCBS จึงมองว่าทิศทางราคาน้ำมันในปีนี้อาจปรับขึ้นได้ไม่มากนัก 

 

อย่างไรก็ดี ยังมีตัวแปรสำคัญอีกประเด็น คือ กลุ่ม OPEC ที่จะมีการประชุมวันที่ 5-6 มีนาคมนี้ เพื่อพิจารณาว่าจะยังคงลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งจะช่วยลดทอนผลกระทบจากอุปทานล้นตลาดได้ นอกจากนี้ สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังมีความสุ่มเสี่ยงเกิดความไม่สงบได้ทุกเมื่อ ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยผลักดันราคาน้ำมันขึ้น

 

ขณะที่ผู้ประกอบการปิโตรเลียม-โรงกลั่นนั้น ราคาน้ำมันถือเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อผลประกอบการ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก ทั้งจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์-ต้นทุน และการขาดทุนสินค้าคงคลัง ซึ่งได้สะท้อนผ่านมายังราคาหุ้นที่ปรับลงต่อเนื่องทำระดับต่ำสุดในรอบหลายปี 

 

ส่วนในปีนี้ SCBS เชื่อว่า แนวโน้มผลประกอบการน่าจะทยอยฟื้นตัวได้จากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว แต่จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ต่อเนื่องในปีต่อๆ ไปหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูกันต่อไป

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

OPEC มีสัดส่วนกำลังการผลิตน้ำมันดิบราว 55% ของทั้งโลก ขณะที่ปัจจุบัน สหรัฐฯ และรัสเซียซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่ม OPEC มีกำลังการผลิตเป็นอันดับที่หนึ่งและสองของโลก ส่วนซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของกลุ่ม OPEC มีกำลังการผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่สาม ในเชิงเปรียบเทียบนั้น สหรัฐฯ มีกำลังการผลิตคิดเป็นราว 13% ของการผลิตทั้งโลก รัสเซียอยู่ที่ 11% และซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ 10%

 

หมายเหตุ % DoD คือ % การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับวันทำการก่อนหน้า

The post หุ้นปิโตรเลียม-โรงกลั่นทรุด หลังราคาน้ำมันดิบร่วงแรงมากกว่า 2% appeared first on THE STANDARD.

]]>