ปัญหาสังคม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 14 Oct 2021 09:07:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชมคลิป: สวนดุสิตโพลเผย ภัยออนไลน์น่าห่วงสุดในช่วงโควิด ภัยสังคมทำให้ไว้ใจผู้อื่นลดลง https://thestandard.co/suandusitpoll-online-dangers/ Tue, 19 Oct 2021 01:00:06 +0000 https://thestandard.co/?p=548146 online dangers

สวนดุสิตโพลเผย ภัยออนไลน์น่าห่วงสุดในช่วงโควิด ภัยสังคม […]

The post ชมคลิป: สวนดุสิตโพลเผย ภัยออนไลน์น่าห่วงสุดในช่วงโควิด ภัยสังคมทำให้ไว้ใจผู้อื่นลดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
online dangers

สวนดุสิตโพลเผย ภัยออนไลน์น่าห่วงสุดในช่วงโควิด ภัยสังคมทำให้ไว้ใจผู้อื่นลดลง

The post ชมคลิป: สวนดุสิตโพลเผย ภัยออนไลน์น่าห่วงสุดในช่วงโควิด ภัยสังคมทำให้ไว้ใจผู้อื่นลดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครูพี่เลี้ยงจุ๋มเข้ารับทราบ 2 ข้อหา ปมทำร้ายเด็ก ขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ทยอยแจ้งความเพิ่ม https://thestandard.co/nanny-teacher-assaulted-kindergarten-child/ Tue, 29 Sep 2020 05:06:25 +0000 https://thestandard.co/?p=402037

วันนี้ (29 กันยายน) อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือ ครูพี่เลี้ยงจ […]

The post ครูพี่เลี้ยงจุ๋มเข้ารับทราบ 2 ข้อหา ปมทำร้ายเด็ก ขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ทยอยแจ้งความเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (29 กันยายน) อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือ ครูพี่เลี้ยงจุ๋ม ผู้ต้องหาที่ทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ตามที่ปรากฏในคลิปวงจรปิด เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจภูธรชัยพฤกษ์ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและไม่ตอบคำถามกับสื่อมวลชน โดยเบื้องต้นตำรวจได้แจ้งใน 2 ข้อหาคือ ทำร้ายร่างกายและความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กมาตรา 26 ว่าด้วยการทารุณกรรมต่อเด็ก 

 

ด้าน พล.ต.ท. อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เดินทางลงพื้นที่มาติดตามความคืบหน้า ระบุว่า จะต้องแบ่งชุดพนักงานสอบสวนในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมด เพื่อตรวจดูพฤติกรรมของครูคนอื่นๆ ที่กระทำความผิด ซึ่งวันนี้จะสอบปากคำเด็กที่ถูกทำร้าย โดยจะร่วมกับนักสหวิชาชีพและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากการสอบปากคำหรือภาพที่ปรากฏในคลิปโยงถึงครูคนใดก็จะเรียกมาสอบปากคำทุกคน

 

ขณะที่ตั้งแต่ช่วงเช้าก็มีผู้ปกครองทยอยเดินทางมาแจ้งความและขอไฟล์คลิปวงจรปิดภายในห้องเรียน เช่น ครอบครัวของ นณรงค์ ศรีฟ้า บิดาของน้องเก้า ห้อง ABP 1/1  ที่ถูกครูประจำชั้นทำร้ายเช่นกัน โดยนณรงค์กล่าวว่า ลูกสาวเคยบ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียนแต่ไม่ได้บอกเหตุผล ตนจึงนึกว่าลูกอาจจะปรับตัวไม่ทัน แต่พบเจอเหตุการณ์กรณีครูพี่เลี้ยงจุ๋มจึงขอมาดูคลิป ปรากฏว่าลูกของตนก็โดนทำร้าย ส่วนหลังจากนี้จะย้ายโรงเรียนหรือไม่ต้องดูการดำเนินคดีหรือการหารือกับทางโรงเรียนก่อนเพราะเป็นช่วงกลางเทอม

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ครูพี่เลี้ยงจุ๋มเข้ารับทราบ 2 ข้อหา ปมทำร้ายเด็ก ขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ทยอยแจ้งความเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดความเห็นหลากมุมมอง สู่การยกระดับเมืองหลวง บนเวที ‘รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ’ https://thestandard.co/bangkok-evolving-opinion/ Mon, 28 Sep 2020 13:52:36 +0000 https://thestandard.co/?p=401912 รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ

วันนี้ (28 กันยายน) คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตาม […]

The post เปิดความเห็นหลากมุมมอง สู่การยกระดับเมืองหลวง บนเวที ‘รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ

วันนี้ (28 กันยายน) คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร จัดเวที ‘ผ่าตัดงบประมาณ รวมพลังสร้าง กทม.’ ระหว่างวันที่ 27-29 กันยายน โดยวันนี้เป็นวันที่ 2 ของการจัดงาน มีการสัมมนาหัวข้อ ‘รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ’ ที่ชั้น 5 โชว์รูมเบนซ์ ทองหล่อ

 

เริ่มต้นที่ ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการศึกษาที่เท่าเทียมใน 2 ประเด็น คือ โรงเรียนที่ดีและการศึกษาที่ดี โดยเห็นว่าโรงเรียนที่ดี ต้องอยู่ใกล้บ้าน มีอุปกรณ์การเรียนเพียงพอเพื่อประสิทธิภาพการเรียนการสอน ส่วนการศึกษาที่ดีนั้นต้องสามารถดึงศักยภาพของนักเรียนที่แตกต่างกันออกมาได้อย่างเต็มที่ มีหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และต้องทำให้นักเรียนเป็นพลเมืองอย่างสมบูรณ์ มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกด้วย 

 

 

ขณะที่ กทม. มี 437 โรงเรียน มีนักเรียนกว่า 4 แสนคน งบประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่มากกว่า 50% เป็นงบประมาณสำหรับบุคลากรหรือค่าจ้างครู ซึ่งถือเป็นการลงทุนทางการศึกษา แต่ไม่ได้ลงไปถึงนักเรียน หรือไม่ได้นำไปยกระดับคุณภาพการศึกษาให้นักเรียน ซึ่งการรวมศูนย์อำนาจ ยังเป็นอุปสรรคทางการศึกษาที่ทางโรงเรียนยังไม่ได้มีอิสระในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง ดังนั้นการกระจายอำนาจจึงสำคัญในการสร้างการศึกษาที่เท่าเทียม

 

“ถ้ายังจัดสรรและใช้งบประมาณด้านการศึกษาอย่างที่ผ่านมาและเป็นอยู่ จะไม่สามารถเอาชนะการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ลูกหลานไทยก็ยังจะด้อยพัฒนาเหมือนเดิม” ธีรรัตน์กล่าว 

 

ขณะที่ สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย จากบริษัท ช ทวี จำกัด ระบุว่า ปัญหาของประเทศไทยแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี และต้องการเปลี่ยน กทม. เป็นเมืองของ ‘คนที่มีความสุข’ ไม่ใช่เมืองเเห่งความสุข ซึ่งจะทำได้ต้องไม่หวังพึ่งภาครัฐอย่างเดียว แต่คนในพื้นที่ที่มีศักยภาพต้องรวมตัวกัน ลดอีโก้ลง แล้วทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังอะไร 

 

พร้อมได้ยกตัวอย่าง ‘ขอนแก่นโมเดล’ ที่เอกชนร่วมกันคิดและสร้างรถไฟฟ้าเอง โดยตั้งเป็นบริษัท เข้าตลาดหุ้น และแบ่งผลประโยชน์ให้คนจน ตามกองทุนผู้มีรายได้น้อยของ กลต. และผู้ว่า​ราชการจังหวัดนั่งหัวโต๊ะคู่กับเอกชน โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณภาครัฐอย่างเดียว แม้จะมีงบประมาณท้องถิ่น 35% หรือ 28% ก็ไม่มีปัญหา โดยกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนอย่างกระทรวงคมนาคม ช่วยศึกษาความเป็นไปได้ การขออนุญาตต่างๆ ต่อกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินรัฐในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

 

 

ด้าน สรณัญช์ ชูฉัตร จากบริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะจำหน่ายได้ในปีหน้า กล่าวว่า ในฐานะสตาร์ทอัพไม่ใช่แค่จะมาพัฒนา แต่อยากเริ่มกรุงเทพฯ ใหม่ ที่สตาร์ทอัพอยู่ได้และอยากอยู่ และเพื่อให้เป็นเมืองที่ไม่ได้มีแค่การท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่การเติบโตของเศรษฐกิจสามารถเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่างเมืองลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร ที่ลงทุนให้สตาร์ทอัพ เพราะเห็นว่าคือโอกาสที่เมืองจะฟื้นคืน โดยเฉพาะจากผลกระทบของโควิด-19 และการลงทุนกับสตาร์ทอัพให้เติบโตขึ้นแล้ว ภาครัฐก็ยังเก็บภาษีได้อีก 

 

สรณัญช์เสนอ 5 ข้อ เพื่อให้รัฐใช้ประโยชน์หรือสนับสนุนสตาร์ทอัพในการพัฒนากรุงเทพมหานคร คือ 

 

  1. การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐต้องมีการออกแบบให้เหมาะสม เพราะบางทีก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไร
  2. นำปัญหาต่างๆ ออกมาเปิดเผยให้สตาร์ทอัพเข้าใจปัญหา
  3. เปิดเผยกระบวนการและความคืบหน้าให้ประชาชนมีส่วนร่วม
  4. เริ่มให้เล็กๆ ทดลองหลายๆ กระบวนการ ลองผิดลองถูกได้ อาจจะยังไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นโครงการทดลองวิจัยต่างๆ ให้พื้นที่การสนับสนุน เพื่อให้สตาร์ทอัพเข้ามาทำงานได้
  5. เรียนรู้การทำงานร่วมกัน ต่อยอดโอกาสต่างๆ ให้กันและกัน เช่น สตาร์ทอัพนำเทคโนโลยีเข้ามา ส่วนภาครัฐสนับสนุน โดยไม่ต้องแข่งขันกับสตาร์ทอัพ

 

นอกจากนี้สรณัญช์ยังมองว่า รถจักรยานยนต์รับจ้างหรือวินมอเตอร์ไซค์สามารถร่วมมือกับภาครัฐ หรือภาครัฐยกระดับให้การขนส่งสาธารณะมีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ทางสตาร์ทอัพเป็นผู้ผลิต ภาครัฐดำเนินการเชิงนโยบาย

 

 

ในส่วนของ วิชัย อริยรัชโตภาส กรรมการพัฒนาชุมชนตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ระบุว่า การพัฒนาต้องหวังผลระยะยาว ประชาชนมีส่วนร่วม ภาครัฐเติมเต็มส่วนที่ขาด มีความยั่งยืนไม่ทำลายความวิถีชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชุมชน มีกลไกและระบบช่วยประคับประคอง สนับสนุนคนตัวเล็กตัวน้อยให้มีอาชีพ โดยเห็นว่าหน้าที่ของรัฐคือให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้าน ไม่ใช่ออกกฎหมายควบคุม แล้วให้ประชาชนขออนุญาตทุกๆ เรื่อง รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ และสนับสนุนให้ข้าราชการใช้บริการสาธารณะ 

 

นอกจากนี้สวนสาธารณะและสถานที่ต่างๆ ควรออกแบบให้เอื้ออำนวยต่อคนพิการด้วย เพราะผู้พิการไม่ใช่ ‘สปีชีส์’ ที่ภาครัฐต้องนึกถึงเป็นลำดับสุดท้าย แต่คือประชาชนผู้เสียภาษีเช่นกัน 

 

วิชัยกล่าวถึงกรณีผู้สูงอายุ นักศึกษา และผู้ด้อยโอกาส โดยเห็นว่าถ้าไม่เรียนรู้หรือปรับตัว ในอนาคตจะอยู่ยากขึ้น ดังนั้นต้องช่วยให้คนเหล่านี้ไม่ให้ถูกกระแส New Normal กวาดล้างหายไป ต้องมีศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์การเรียนรู้ อบรมพัฒนาอาชีพที่สอดคล้อง และหาพื้นที่ขายหรือตลาดให้ โดย กทม. จัดหาพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทำเป็นพื้นที่ผ่อนผัน ให้ชาวบ้านค้าขายได้โดยไม่ต้องเก็บค่าเช่า ให้แต่ละคนรับผิดชอบความสะอาดพื้นที่ ส่วน กทม. แค่จัดระเบียบ โดยวิธีเอาบทเรียนที่เคยกวาดล้างสตรีทฟู้ดเมื่อหลายปีที่แล้วมาปรับปรุงแก้ไข ให้ได้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันได้ และทำให้กลับมาเป็นเสน่ห์ของ กทม. รวมถึงเป็นจุดเด่นการท่องเที่ยว นำรายได้เข้าประเทศด้วย

 

ขณะที่ เทพวรรณ คณินวรพันธุ์ ซีอีโอ ZAAP Party ธุรกิจด้านการจัดอีเวนต์ กล่าวว่า ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงของวัยรุ่นเพื่อจะบอกว่าจริงๆ กทม. มีอีกหลายมิติ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ดีขึ้นได้ และมองว่าการจำกัดเวลาสถานบันเทิงหรืองานรื่นเริงต่างๆ ไม่เกินเที่ยงคืนหรือตีสองนั้นยังเป็นอุปสรรคและเสียโอกาสทางรายได้ โดยงานอีเวนต์หนึ่งงานไม่ได้มีแค่ส่วนงานเดียว โดยยกตัวอย่าง ‘งานวัด’ ที่มีร้านค้าจำนวนมากเปิดขาย รวมถึงรถจักรยานยนต์รับจ้างและอื่นๆ ได้ประโยชน์ ขณะที่วัยรุ่นมีความคิดสร้างสรรค์สามารถออกแบบงานดึงดูดผู้ร่วมงานได้จำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐไม่เคยสนใจงานลักษณะนี้ มีแต่เอกชนดำเนินการ ส่วนงานเปิดร้านขายของต่างๆ ของภาครัฐ กระจุกตัวทั้งแง่ผู้ค้าและสถานที่ ซึ่งไม่ทั่วถึงและไม่สะดวกในการไปจับจ่ายใช้สอยของผู้ที่สนใจ

 

เทพวรรณระบุด้วยว่า การท่องเที่ยวและศิลปะรูปแบบใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ กทม. ยังไม่มีพื้นที่ให้ พร้อมยืนยันว่า ถ้าภาครัฐจัดที่ให้ งานอีเวนต์สามารถสร้างรายได้ให้ผู้จัดงาน ผู้ค้า ผู้ขาย และนำรายได้เข้าประเทศได้ด้วย แต่ปัจจุบันเงื่อนไขกฎระเบียบต่างๆ จะเป็นอุปสรรค รวมถึงนโยบายของทางภาครัฐที่ไม่ได้ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจัง แม้แต่ผับ บาร์ ของไทยติดระดับท็อป 10 ของเอเชียหลายแห่ง ซึ่งถือว่าประเทศไทยยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในแง่นี้เท่าที่ควรและน่าเสียดายโอกาส พร้อมกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ไม่ควรปิดโอกาสคนกลางคืน เพราะคนใช้ชีวิตกลางคืนมีจำนวนมาก

 

 

ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ซีอีโอ JIB Digital Consult ระบุว่า ทั้ง Facebook Google มีรายได้มหาศาล มีสินทรัพย์ก็คือ ‘ข้อมูล’ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคทั้งรับและให้ข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มด้วย ซึ่งปัจจุบันการใช้ Data หรือข้อมูลในยุคดิจิทัล จะลดการ ‘มโน’ หรือคิดไปเองในการตัดสินใจ และความเร็วกับเรียลไทม์ของ Data สำคัญมาก เพราะทำให้การตัดสินใจตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบเรื่องต่างๆ และพยากรณ์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงแก้ปัญหาต่างๆ ได้ทันท่วงที  

 

ธรรมธีร์พร้อมแนะนำการตัดสินใจทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน 2 ข้อ คือ

 

  1. ถามตัวเองตลอดเวลาว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปตามข้อมูลหรือคิดไปเอง
  2. ข้อมูลรอบด้านหรือไม่ ยิ่งมีข้อมูลรอบด้านหลายมิติ การตัดสินใจก็จะถี่ถ้วนขึ้น

 

ธรรม์ธีร์ระบุด้วยว่า แม้นักการเมืองหรือตัวแทนประชาขนและภาครัฐมีข้อมูลทั้งหมดในการตั้งคำถามและหาคำตอบในเรื่องต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือจะคิดเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาหรือไม่ 

ส่วนตัวอยากเห็นระบบบริหารข้อมูลจริงเพื่อประชาชนทุกคน เป็นระบบที่ช่วยให้ประชาชนสะท้อนปัญหาสู่ภาครัฐ ตรวจสอบการใช้อำนาจ หรือเสนอนโยบายผ่านแพลตฟอร์มได้ จะนำสู่การแก้ปัญหาได้ตรงจุด พร้อมยืนยันว่า การให้ข้อมูลกับประชาชนก็คือการให้พลังกับประชาชน และเมื่อประชาชนมีพลังมากพอ ก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

 

ต่อพงษ์ วงศ์เสถียรชัย จากบริษัทเลิฟอันดามัน ระบุว่า ประเทศไทยสามารถนำความแตกต่างของกรุงเทพฯ ออกมาขายได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบต่างประเทศ โดยเฉพาะสตรีทฟู้ดที่เป็นเสน่ห์การท่องเที่ยว แต่อาจดึงโมเดลต่างประเทศมาไว้เพื่อเตรียมการ เมื่อหมดโควิด-​19 หรือไทยเปิดประเทศ ก็สามารถดำเนินการได้ และหากกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองหลวง ไม่สามารถเป็นแม่แบบได้ เมืองอื่นๆ ก็ไม่สามารถเดินทางตามได้ ในขณะที่เมืองเก่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้ถูกยกระดับให้มีเสน่ห์ได้ ตนจึงอยากเห็นทั้ง 50 เขตใน กทม. กับถนนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ อย่างน้อยต้องฟื้นฟูสตรีทฟู้ดและสร้างสตรีทอาร์ตขึ้นมาประจำแต่ละเขตและอื่นๆ

 

ต่อพงษ์ฝากถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง โดยกล่าวว่า “ถ้าคุณมองทุกอย่างเป็นกฎ 1-2-3-4 แต่ไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชนหรือสร้างโอกาสสร้างรายได้ กฎเหล่านั้นต้องถูกแก้” โดยต้องสร้างกฎใหม่ให้ประชาชนอยู่ได้และต้องมีรายได้ด้วย

 

ที่ผ่านมาแม้ภาครัฐมีหลายนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยว แต่ไม่มี Action Plan หรือไม่นำสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงได้

 

 

และปิดท้ายที่ ศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยมีกฎหมายและเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการไม่เลือกปฏิบัติและสิทธิมนุษยชน แต่ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ 

 

ในส่วน Sex Worker ในไทยมีอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าคน ใน กทม. มี 10,000 กว่าคน ทั้งชาย หญิง และ LGBT สร้างรายได้ให้ประเทศปีละล้านบาท แต่ภาษีเหล่านี้ไม่เคยกลับมาหา Sex Worker เลย พร้อมยืนยันว่า อาชีพ Sex Worker มีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรี และไม่ใช่การค้ามนุษย์ เพราะเป็นการตัดสินใจเลือกของผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว 

 

ศิริศักดิ์เรียกร้องในประเด็นนี้ คือ 

  1. ยกเลิกกฎหมายค้าประเวณี เพราะมีกฎหมายอื่นๆ ทั้ง พ.ร.บ. เด็ก และการค้ามนุษย์ ที่ดูแลได้
  2. คุ้มครองพนักงานบริการ (Sex Worker)​ ตามกฎหมายแรงงาน โดยไม่ต้องให้ลงทะเบียน 
  3. ร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ค้าบริการทางเพศ 

 

ส่วนประเด็น LGBT นั้นสถานบริการบางแห่งไม่ยอมให้กะเทยเข้าใช้บริการ สภากาชาดไม่รับการบริจาคเลือดจากเกย์-กะเทย และมีการเลือกปฏิบัติอีกหลายอย่าง พร้อมเรียกร้องกฎหมายสมรสเท่าเทียม ร่าง พ.ร.บ. รับรองเพศสภาพ ที่ไม่ใช่แค่ชายกับหญิงเท่านั้น การเข้าถึงฮอร์โมนของผู้ต้องขังในเรือนจำที่เป็นคนข้ามเพศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องความสวยความงาม แต่เป็นเรื่องสุขภาพ

 

สำหรับเรื่องการศึกษานั้นเรียกร้องให้ต้องแก้ไขหลักสูตรแกนกลาง ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนข้ามเพศ ยุติการปิดกั้นไม่ให้คนข้ามเพศเข้าทำงาน ต้องมีวันลาหยุดในการผ่าตัดแปลงเพศ ในลักษณะเหมือนกับการลาคลอดบุตร และอยากให้กรุงเทพฯ เป็นต้นแบบของห้องน้ำสำหรับคนทุกเพศสภาพ รองรับกลุ่มหลายทางเพศด้วย รวมทั้งเสนอว่า ไทยต้องมี Thailand Pride โดยจัดที่ กทม. และระบุลงในปฏิทินเป็นเทศกาล ให้สมกับสมญานามว่า ‘สรวงสวรรค์ของ LGBT’ อีกด้วย

 

The post เปิดความเห็นหลากมุมมอง สู่การยกระดับเมืองหลวง บนเวที ‘รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตัวแทนโรงเรียนเครือสารสาสน์ แถลงเตรียมปรับโครงสร้างผู้บริหาร หลังเกิดเหตุพี่เลี้ยงใช้ความรุนแรงลงโทษเด็กเล็ก https://thestandard.co/sarasas-witaed-ratchaphruek-school-representative-re-arrange-managing-team/ Mon, 28 Sep 2020 11:33:36 +0000 https://thestandard.co/?p=401836

จากกรณีที่ อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือครูจุ๋ม พี่เลี้ยงเด็กโร […]

The post ตัวแทนโรงเรียนเครือสารสาสน์ แถลงเตรียมปรับโครงสร้างผู้บริหาร หลังเกิดเหตุพี่เลี้ยงใช้ความรุนแรงลงโทษเด็กเล็ก appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากกรณีที่ อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือครูจุ๋ม พี่เลี้ยงเด็กโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ใช้วิธีลงโทษนักเรียนอนุบาล 1 ด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุ จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากการกระทำดังกล่าวเป็นวงกว้างนั้น 

 

ล่าสุดวันนี้ (28 กันยายน) ตัวแทนคณะผู้บริหารในเครือโรงเรียนสารสาสน์ แถลงข่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์กับการกระทำของพี่เลี้ยงในโรงเรียนว่า หลังเกิดเหตุการณ์ โรงเรียนได้หารือถึงแนวทางที่จะแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อพัฒนาแนวทางบุคลากรของโรงเรียนแผนกปฐมวัย แบ่งเป็น 5 มาตรการประกอบด้วย

 

  1. มาตรการติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบให้เข้มแข็ง โดยติดตามการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิด ด้วยการตรวจนิเทศการสอน เยี่ยมห้องเรียนและร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมมีการชมเชยคุณครูที่ปฏิบัติตัวเป็นตัวอย่างในสิ่งที่ดี และมีบทลงโทษอย่างชัดเจน สำหรับคุณครูที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการให้ผู้บริหารหรือผู้ช่วยผู้บริหารทำการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งในเรื่องประสิทธิภาพของการสอน

 

  1. มาตรการในการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง ลักไก่บ้านไม่ต้องเป็นครู ให้มีการสื่อสารระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจากผู้ปกครอง และจะมีการจัดให้ผู้ปกครองได้สังเกตการสอนในห้องเรียน 

 

  1. การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยที่ให้มีการอบรมและพัฒนาทั้งจากหน่วยงานภายในและภายนอกที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณครูมีประสิทธิภาพการเรียนการสอน คุณธรรม จริยธรรม และการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ และไม่เพิกเฉยต่อพฤติกรรมทำร้ายเด็กของครูในทุกกรณี

 

  1. การคัดเลือกครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะมีการจัดให้ตรวจสอบกระบวนการความรู้ความสามารถของบุคลากร และมุ่งเน้นในการคัดเลือกครูที่มีประสบการณ์ด้านปฐมวัย เข้าใจจิตวิทยาสำหรับการพัฒนาการเด็กปฐมวัย มีความรักเด็ก มีจิตใจที่มั่นคง และสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ 

 

  1. เรื่องการประสานงานกับโรงเรียนอย่างรวดเร็วและคล่องตัว เพื่อให้ผู้ปกครองได้ประสานงานกับโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ มีกระบวนการตรวจสอบและแก้ไขที่รวดเร็ว หากผู้ปกครองเห็นข้อบกพร่องอันใด สามารถแจ้งให้โรงเรียนทราบได้โดยตรงกับหมายเลขโทรศัพท์ของครูในโรงเรียน

 

ทั้งนี้ตัวแทนคณะผู้บริหารโรงเรียนกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางโรงเรียนเชื่อมั่นว่ามาตรการเหล่านี้จะทำให้คุณภาพและประสิทธิภาพ รวมถึงการแก้ไขปัญหา ทำให้ผู้ปกครองกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้งในตัวคุณครูของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์

 

ทางด้าน ดร.วริศนันท์ เดชปานประสงค์ ตัวแทนกองอำนวยการส่วนกลางของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศศึกษา เปิดเผยถึงคำแนะนำถึงผู้ปกครอง หลังเข้ารับฟังการแนะนำจากกระทรวงการศึกษา ระบุว่า ในฐานะตัวแทนสถานศึกษารู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจากการเข้ารับฟังคำแนะนำจากทางราชการ ถึงแนวทางปรับปรุงแก้ไข ได้ข้อสรุปมาเบื้องต้นว่า ต่อไปนี้การบริหารจัดการทาง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะเข้ามาช่วยแนะนำการทำงานต่างๆ ด้วย

 

นอกจากนั้นในการบริหารต่อจากนี้ไป ต้องมีการปรับโครงสร้างของผู้บริหาร ให้เป็นชุดที่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนโยบายในเครือโรงเรียนสารสาสน์มีแนวทางที่ชัดเจน พร้อมยกตัวอย่างหนังสือที่ออกโดยกองอำนวยการโรงเรียนในเครือสารสาสน์ ถึงเรื่องการลงโทษนักเรียน ซึ่งนโยบายตรงนี้ก็จะมีผลบังคับใช้กับทุกโรงเรียนในเครือ โดยใช้การอภิบาลดูแล แต่ไม่ใช้ความรุนแรง การทำโทษในลักษณะอย่างนี้ 

 

แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ก็ย่อมเป็นหนึ่งในความผิดพลาดของผู้บริหารด้วย ฉะนั้นจะต้องมีการปรับในเรื่องตรงนี้ โดยจะมีคณะกรรมการจากส่วนกลางเข้ามาร่วมบริหาร ติดตาม ตรวจสอบทุกระบบ และยินดีรับฟังคำแนะนำจากผู้ปกครองในทุกเรื่องที่ให้ข้อมูลมา โดยจุดไหนที่เป็นปัญหาโรงเรียนพร้อมจะปรับปรุงแก้ไขโดยเร็ว

 

นอกจากนี้ ดร.วริศนันท์ กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์นี้อาจทำให้ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่นและทำให้ผู้ปกครองไม่สบายใจ เกิดความกังวลใจว่าโรงเรียนที่นี่คงจะไว้ใจไม่ได้แล้ว ทางโรงเรียนยินดีที่จะรับผิดชอบในเรื่องของค่าเทอมในที่ผ่านมา จึงเรียนมาเพื่อทราบ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ตัวแทนโรงเรียนเครือสารสาสน์ แถลงเตรียมปรับโครงสร้างผู้บริหาร หลังเกิดเหตุพี่เลี้ยงใช้ความรุนแรงลงโทษเด็กเล็ก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจเร่งสอบสวนคดีครูทำร้ายเด็ก สอบปากคำผู้ปกครองแล้ว 8 ราย เตรียมออกหมายเรียกผู้ต้องหา https://thestandard.co/teacher-nanny-hurts-kindergarten/ Mon, 28 Sep 2020 02:38:37 +0000 https://thestandard.co/?p=401587 ครูทำร้ายเด็ก

วันนี้ (28 กันยายน) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนัก […]

The post ตำรวจเร่งสอบสวนคดีครูทำร้ายเด็ก สอบปากคำผู้ปกครองแล้ว 8 ราย เตรียมออกหมายเรียกผู้ต้องหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครูทำร้ายเด็ก

วันนี้ (28 กันยายน) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีครูพี่เลี้ยงทำร้ายร่างกายเด็กอนุบาลจำนวนหลายรายจนปรากฏเป็นคลิปในสื่อออนไลน์ เหตุเกิดภายโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 

 

โดยได้รับรายงานจากสถานีตำรวจภูธรชัยพฤกษ์ จังหวัดนนทบุรี ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุ เด็กอนุบาลรายแรกได้เล่าให้ผู้ปกครองของตนฟังว่าถูกผู้ต้องหาซึ่งเป็นครูพี่เลี้ยงอยู่ที่โรงเรียนที่เกิดเหตุทุบตีทำร้ายร่างกาย ทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน ผู้ปกครองจึงได้ติดต่อไปยังโรงเรียนเพื่อขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด กระทั่งพบว่าตามวันเวลาเกิดเหตุนั้น ขณะเด็กอนุบาลประมาณ 5 รายเรียนอยู่ในห้องเรียนก็ถูกผู้ต้องหาเข้ามาใช้มือดึงใบหูและทุบทำร้ายร่างกายเด็กจนได้รับบาดเจ็บ ผู้ปกครองของเด็กจึงได้รวมตัวกันมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาให้ได้รับโทษตามกฎหมาย

 

พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์จากผู้ปกครองไว้ดำเนินคดีกับครูพี่เลี้ยงดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นได้ทำการสอบปากคำผู้ปกครองไปแล้ว 8 ปาก ได้ส่งตัวเด็กอนุบาลทั้ง 8 รายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่สืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดย้อนหลังกว่า 10 วัน อยู่ระหว่างทำการตรวจสอบเพิ่มเติมทั้งระดับชั้นเพื่อขยายผลและรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป

 

พ.ต.อ. กฤษณะ กล่าวอีกว่าคดีดังกล่าวพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจะออกหมายเรียกผู้ต้องหาให้มารับทราบข้อกล่าวหาตามกฎหมาย โดยจะมีการประสานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของจังหวัดเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กที่ได้รับผลกระทบ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันประชุมหารือเพื่อวางแผนแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม หากภายหลังตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดหรือเด็กถูกทำร้ายเพิ่มเติมอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ขอให้เคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็กผู้เสียหาย

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ตำรวจเร่งสอบสวนคดีครูทำร้ายเด็ก สอบปากคำผู้ปกครองแล้ว 8 ราย เตรียมออกหมายเรียกผู้ต้องหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: คนรุ่นใหม่กับความท้าทาย 3 มิติ https://thestandard.co/younger-generations-3d-challenges/ Wed, 23 Sep 2020 10:57:42 +0000 https://thestandard.co/?p=400050

คนรุ่นใหม่กับความท้าทาย 3 มิติ   สถานการณ์การระบาด […]

The post ชมคลิป: คนรุ่นใหม่กับความท้าทาย 3 มิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>

คนรุ่นใหม่กับความท้าทาย 3 มิติ

 

สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาในหลายด้าน ทาง Sea (Group) จึงจัดทำการสำรวจคนรุ่นใหม่ทั่วอาเซียนกว่า 7 หมื่นคน และยังเจาะลึกเฉพาะของไทยเพื่อหาคำตอบว่า พวกเขามีปัญหาและความท้าทายอย่างไรบ้าง รวมถึงต้องปรับตัวเพื่อรับมืออย่างไร

 

พร้อมร่วมหาทางออกและสนับสนุนให้กับคนรุ่นใหม่ ด้วยการร่วมมือกันของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างไรบ้าง
 
 

The post ชมคลิป: คนรุ่นใหม่กับความท้าทาย 3 มิติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เด็กสมัยนี้’ คิดอะไร ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เข้าใจ รู้จัก The ‘kids these days’ effect https://thestandard.co/the-kids-these-days-effect/ Tue, 18 Aug 2020 10:03:10 +0000 https://thestandard.co/?p=389574

คุณเคยได้ยินคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ไหมครับ   แล้วคุณเ […]

The post ‘เด็กสมัยนี้’ คิดอะไร ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เข้าใจ รู้จัก The ‘kids these days’ effect appeared first on THE STANDARD.

]]>

คุณเคยได้ยินคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ไหมครับ

 

แล้วคุณเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเราจึงได้ยินผู้ใหญ่หลายท่านใช้คำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ บ่อยๆ เช่น เด็กสมัยนี้ขี้เกียจบ้าง เด็กสมัยนี้ไม่มีความเคารพผู้ใหญ่บ้าง เด็กสมัยนี้ไม่ชอบอ่านหนังสือบ้าง ไม่ฉลาดและคิดด้วยตัวเองไม่เป็นบ้าง ฯลฯ

 

วันนี้ผมจะนำงานวิจัยในเรื่องของ ‘เด็กสมัยนี้’ หรือ ‘Kids these days’ ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Science Advances เมื่อปลายปีที่แล้วมาเขียนเพื่อให้เพื่อนๆ อ่านกันนะครับ

 

ในงานวิจัยชิ้นนี้ซึ่งทำโดย จอห์น พรอตซ์โก และโจนาธาน สกูเลอร์ นักจิตวิทยาสองคนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตา บาร์บารา ทั้งคู่ได้ทำการสำรวจโดยสอบถามคนอเมริกันอายุ 33-51 ปี จำนวน 3,458 คน เกี่ยวกับทัศนคติที่พวกเขามีต่อวัยรุ่นอเมริกันในสมัยนี้

 

พวกเขาพบว่าผู้ใหญ่อเมริกันเหล่านี้มักจะพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า “เด็กสมัยนี้มันแย่กว่าสมัยก่อนเยอะ”

 

แต่สิ่งที่ทั้งพรอตซ์โกและสกูเลอร์ยังพบเจออีกก็คือความรู้สึกที่พวกผู้ใหญ่เหล่านี้มีต่อ ‘เด็กสมัยนี้’ มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพและทัศนคติที่พวกผู้ใหญ่เหล่านี้มีในปัจจุบัน

 

ยังไงน่ะเหรอครับ

คือทั้งคู่พบว่า

 

  1. ผู้ใหญ่ที่มองว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีความเคารพผู้อาวุโสมากที่สุดมักจะเป็นคนที่ทำแบบสอบถามแล้วได้คะแนนในคำถามข้อที่เกี่ยวกับ Authoritarianism หรือความชอบพอในอำนาจเผด็จการสูง 

 

  1. ผู้ใหญ่ที่มองว่าเด็กสมัยนี้โง่เขลามากที่สุดมักจะเป็นคนที่ทำแบบสอบถามแล้วมีผลออกมาว่าเป็นคนที่มีไอคิวสูง

 

  1. ผู้ใหญ่ที่มองว่าเด็กสมัยนี้อ่านหนังสือไม่เป็นมากที่สุดมักจะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออยู่เป็นประจำอยู่แล้ว

 

ทั้งพรอตซ์โกและสกูเลอร์ได้สรุปผลงานวิจัยของเขาเอาไว้อย่างนี้ว่า สาเหตุที่ผู้ใหญ่มักมองว่าเด็กสมัยนี้ไม่ได้เรื่องนั้นเป็นเพราะความทรงจำ (Memory) ของคนเรามักจะถูกความรู้สึกของเราในปัจจุบัน (ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม) เบี่ยงเบน

 

พูดง่ายๆ ก็คือความรู้สึกของผู้ใหญ่ในปัจจุบันทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเด็กสมัยนี้อย่างเป็นกลางได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผู้ใหญ่ในปัจจุบันไม่สามารถมองผ่านเลนส์ของเด็กในสมัยนี้ได้ แต่สาเหตุใหญ่ที่เขาทำไม่ได้นั้นอาจจะมาจากกระบวนการที่เป็น Subconscious หรือจิตใต้สำนึก มากกว่าเป็น Conscious Choice 

 

เราเรียกอคติทางด้านความคิดนี้ว่า Presentism หรือการที่ความทรงจำและจินตนาการของคนมักจะถูกปัจจุบันควบคุมอยู่ข้างหลังอย่างที่เราไม่รู้ตัวอยู่

 

แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่พรอตซ์โกและสกูเลอร์เจอนั่นก็คือขนาดคนที่ไม่ชอบระบบเผด็จการเลย พวกเขาก็ยังคิดว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีความเคารพผู้ใหญ่เท่ากับเด็กสมัยก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่แย่เท่าผู้ใหญ่ที่ชอบอำนาจเผด็จการก็ตาม ทั้งนี้ก็เป็นเพราะอคติทางด้านความคิดอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ End-of-history Bias หรือการที่คนเราในแต่ละรุ่นมักจะคิด (ผิด) ว่าโลกเราเปลี่ยนมาเยอะแล้ว และไม่น่าจะเปลี่ยนอีกในอนาคต และพอเรามองย้อนกลับไปอดีต เราก็มักจะคิดว่าเราได้พัฒนาอะไรต่อมิอะไรมาเยอะในสมัยก่อน แต่ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงไม่ได้พัฒนาได้เร็วเหมือนกับที่เราพัฒนา 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ใหญ่สมัยนี้จะมองเห็นแต่สิ่งที่เกี่ยวข้อง (Relevant) กับการพัฒนาของตนเอง และมองข้ามการพัฒนาอย่างอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองไป แต่กลับเกี่ยวข้องกับเด็กสมัยนี้มากกว่าเยอะ เช่น เด็กสมัยนี้มีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีมากกว่าผู้ใหญ่สมัยนี้เยอะมาก แต่มีโอกาสติดยาน้อยกว่าคนรุ่นก่อนๆ เยอะ    

 

คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งของ The kids these days effect ก็คือคนที่มีอายุน้อยมักจะมองโลกอนาคตด้วยสายตาที่มีความหวังมากกว่า (พูดง่ายๆ ก็คือคนอายุน้อยมักจะคิดกันว่าชีวิตของเขาในอนาคตควรจะต้องดีกว่าชีวิตของเขาในปัจจุบัน) ส่วนคนที่มีอายุเยอะมักจะมองว่าชีวิตของเขาในอนาคตมันไม่น่าจะดีกว่าชีวิตของเขาในอดีต ซึ่งก็ไม่น่าเป็นที่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จึงมองอดีตว่าดีกว่าปัจจุบัน  

 

สรุปก็คือการที่ผู้ใหญ่สมัยนี้มองเด็กสมัยนี้ไม่ได้ต่างจากการที่ผู้ใหญ่สมัยก่อนมองเด็กสมัยก่อนสักเท่าไรนัก และผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า (ซึ่งก็คือเด็กสมัยนี้) ก็คงจะมองเด็กในวันข้างหน้าในสายตาที่คล้ายๆ กันเช่นเดียวกัน เพียงเพราะ Memory Bias ที่เรามีเหมือนกันทุกๆ คน

 

อ่านเพิ่มเติม 

  • Protzko, J. and Schooler, J.W., 2019. Kids these days: Why the youth of today seem lacking. Science advances, 5(10), p.eaav5916.

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ‘เด็กสมัยนี้’ คิดอะไร ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เข้าใจ รู้จัก The ‘kids these days’ effect appeared first on THE STANDARD.

]]>
คืนยุติ-ธรรม เมื่อความไม่สมบูรณ์ของหนังกำลังสะท้อนความไม่สมประกอบของสังคม https://thestandard.co/nemesis-when-movie-imperfection-reflect-society/ Fri, 14 Aug 2020 07:17:26 +0000 https://thestandard.co/?p=388494

“ทุกๆ วันเราพบเจอแต่เรื่องที่มันไม่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา […]

The post คืนยุติ-ธรรม เมื่อความไม่สมบูรณ์ของหนังกำลังสะท้อนความไม่สมประกอบของสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>

“ทุกๆ วันเราพบเจอแต่เรื่องที่มันไม่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา คุณคิดว่ากฎหมายมันสามารถจัดการทุกปัญหาได้เหรอ” 

 

ตั้งแต่ได้ดูตัวอย่างเรื่อง คืนยุติ-ธรรม ครั้งแรก เราพกคำถามนี้ติดตัว เดินเข้าไปโรงภาพยนตร์ด้วยความหวังว่าจะได้ ‘คำตอบ’ อะไรบางอย่าง และพบว่าสุดท้ายเราไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่เดินออกมาพร้อมกับอีกหนึ่งคำถามสำคัญ

 

ความยุติธรรมมีอยู่จริงหรือ?

 

 

คืนยุติ-ธรรม คือภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์นำเสนอประเด็นหนักๆ ที่แทบหาชมได้น้อยมากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในช่วงหลายปีหลัง ว่าด้วยเรื่องของ มานพ (ก๊อต-จิรายุ ตันตระกูล) ชายหนุ่มที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนลงมือฆ่าภรรยาเพราะฤทธิ์ของยาเสพติด ในขณะที่คนร้ายตัวจริงอย่าง สิทธิชน (กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ) พิธีกรชื่อดัง ใช้ชื่อเสียง เงินทอง และอิทธิพลป้ายสีความผิดให้กับมานพ และใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

 

มานพได้พบกับ กานดา (ปูเป้-รามาวดี นาคฉัตรีย์) จิตแพทย์สาวที่อาสาเข้ามาช่วยบำบัดสภาพจิตใจหลังออกจากเรือนจำ พร้อมกับความจริงที่ว่าเมื่อตกกลางคืนมานพจะมีอีกบุคลิกหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการล้างแค้นและทวงคืนความยุติธรรมด้วยตัวเอง 

 

“ตอนกลางคืนที่เขาหลับ ผมออกมาพิพากษาไอ้พวกกากเดนที่เกาะกินสังคมของเราอยู่ ไอ้พวกระยำที่ไม่มีใครคิดจะจัดการกับพวกมัน”

 

 

คืนยุติ-ธรรม แบ่งเรื่องราวออกเป็น 3 พาร์ตหลักๆ คือ ตอนที่มานพถูกใส่ร้าย ช่วงพูดคุยกับกานดาเพื่อไขปริศนาบางอย่าง และช่วงเวลา 12 ชั่วโมงที่อีกบุคลิกหนึ่งของมานพออกไปล้างแค้นในค่ำคืนที่เรียกว่า ‘คืนยุติธรรม’

 

เราสัมผัสได้ถึงการดึงกลิ่นอายจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายๆ เรื่อง ที่ชัดเจนมากๆ อย่างการตามแก้แค้นแบบ John Wick และไฮไลต์จากภาพยนตร์คลาสสิกที่ต้องไปดูกันเองว่าเป็นเรื่องไหน เพราะถ้าบอกไปจะเป็นการสปอยล์ไคลแมกซ์หลายๆ จุดทันที  

 

ในภาพรวมเรารู้สึกว่า คืนยุติ-ธรรม ทำหน้าที่ฐานะภาพยนตร์แอ็กชันเนื้อหาเข้มข้น แปลกใหม่ในประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจ ไม่ใช่ประเด็นเรื่องการนำเสนอ เพราะอย่างที่บอกว่าเราสามารถเห็นประเด็นเหล่านี้ในภาพยนตร์ต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ

 

แต่ที่น่าสนใจและชวนตั้งคำถามคือทำไมการนำเสนอประเด็นความยุติธรรมจึงกลายเป็นเรื่อง ‘น่าตื่นเต้น’ สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไปได้

 

นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ค่อนข้างติดอยู่ในหัวของเราตลอดเวลา คือความรู้สึกไม่สมจริง ไม่สมเหตุสมผล หลายคำถามเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ติดตามการทวงคืนความยุติธรรมของมานพ 

 

เช่น ทำไมภาพกล้องวงจรปิดในออฟฟิศของสิทธิชนที่บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ชัดเจนจึงถูกบิดเบือนทำให้เลือนหายได้ง่ายขนาดนั้น, มานพที่เป็นอดีตนักบัญชีธรรมดาไปฝึกวิชาและหาอาวุธสงครามจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน, ทำไมมานพจึงบุกไปหาศัตรูหลายคนได้ง่ายเหลือเกิน, ทำไมตอนที่ตัวละครหนึ่งอัปโหลดคลิปวิดีโอลงบนโซเชียลมีเดียในช่วงที่กำลังลำบากแล้วไม่มีใครสนใจให้ความช่วยเหลือ และทำไมเมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงมาช้าเหลือเกิน ฯลฯ 

 

 

เราพกคำถามเหล่านั้นติดตัวออกมาจากโรงภาพยนตร์ เริ่มเปิดโทรศัพท์มือถือเพื่ออัปเดตข่าวสาร เราก็ได้คำตอบขึ้นมาว่าบางทีสิ่งที่เห็นใน คืนยุติ-ธรรม อาจสมจริงมากกว่าที่คิด และสมจริงจนน่าขนลุกเมื่อนึกถึงหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศของเรา

 

ทำไมสิทธิชนจะบิดเบือนข้อมูลในกล้องวงจรปิดออฟฟิศตัวเองไม่ได้ ขนาดกล้องวงจรปิดในบ่อนการพนันยังไม่มีความหมาย และยังมีคนเปลี่ยนความเร็วของซูเปอร์คาร์ให้ลดลงไปกว่าครึ่งได้แบบไม่ยากเย็น

 

ทำไมมานพจะหาอาวุธสงครามมาล้างแค้นไม่ได้ ในเมื่อเราเพิ่งเห็นข่าวนายทหารบุกปล้นคลังแสงและรถฮัมวีที่ควรได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดจากกองทัพ และยังเห็นข่าวคนทั่วไปเอาปืนขึ้นมาขู่เพียงเพราะปะทะกันบนท้องถนนอยู่บ่อยๆ 

 

ทำไมคนในภาพยนตร์ต้องสนใจตอนที่ตัวละครหนึ่งอัปโหลดคลิปขอความช่วยเหลือ ในเมื่อในชีวิตจริงหลายคนก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าคอมเมนต์เพื่อความสะใจ ซ้ำร้ายที่สุดคือมีบางคนไปคอมเมนต์คนที่กำลังจะฆ่าตัวตายให้ทำสิ่งนั้นในทันที

 

 

ทำไมตำรวจต้องมาถึงเหตุการณ์เร็วกว่าในภาพยนตร์ ในเมื่อเราเพิ่งเห็นข่าวประชาชนขี่มอเตอร์ไซค์หลายคันตามรถที่เพิ่งแหกด่านออกไปด้วยตัวเอง หรือเวลาที่มีคน ‘ถูกบังคับให้สูญหาย’ หรือถูกทำร้ายเพราะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เราก็แทบไม่มีโอกาสเห็นคดีคืบหน้าไปถึงขั้นจับตัวคนร้ายได้สักครั้ง 

 

ตรงข้ามกับเวลามีการชุมนุมปราศรัย หลายๆ ครั้งที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะกระตือรือร้นเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็วมากเป็นพิเศษ ทำให้เราเห็นว่าจริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจมีศักยภาพ ทำงานได้รวดเร็ว ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบศักยภาพเหล่านั้นขึ้นมาใช้กับเรื่องไหน หรือตาม ‘ใบสั่ง’ ของใครเท่านั้นเอง 

 

 

เมื่อพอจะได้คำตอบเรื่องความ ‘สมจริง’ หรือ ‘ไม่สมจริง’ ของ คืนยุติ-ธรรม ไปแล้ว อีกหนึ่งคำถามของมานพที่เราได้ยินตั้งแต่ตัวอย่างภาพยนตร์ก็ดังขึ้นมาในหัวของเราอีกครั้งอย่างชัดเจน

 

“หมอคิดว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมอยู่ในสังคมเราจริงๆ เหรอ”

 

ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง คืนยุติ-ธรรม 

 

https://www.youtube.com/watch?v=9HJIPFzOIAs

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post คืนยุติ-ธรรม เมื่อความไม่สมบูรณ์ของหนังกำลังสะท้อนความไม่สมประกอบของสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตยออกแถลงการณ์พร้อมแนบท้ายรายชื่อ สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชน https://thestandard.co/arts-and-culture-network-for-democracy-130863/ Fri, 14 Aug 2020 00:34:01 +0000 https://thestandard.co/?p=388320

ต้องเรียกว่ากลายเป็นปรากฏการณ์ขับเคลื่อนทางสังคมและวัฒน […]

The post เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตยออกแถลงการณ์พร้อมแนบท้ายรายชื่อ สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ต้องเรียกว่ากลายเป็นปรากฏการณ์ขับเคลื่อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องจับตามองไปแล้ว หลังคณาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย นักวิชาการ ภาคประชาชน รวมไปถึงศิลปินคนบันเทิง ที่ต่างออกมาเคลื่อนไหวผ่านพื้นที่โซเชียลมีเดียของตนเอง เพื่อเรียกร้องการเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเรียกร้องให้ภาครัฐหยุดคุกคามประชาชน กลายเป็นกระแสแฮชแท็ก #วันนี้ดาราCallOutหรือยัง

 

ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (13 สิงหาคม) ศิลปิน นักเขียน แวดวงวัฒนธรรม ในนามกลุ่มเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วประเทศ โดยการพูดถึงปัญหาของสังคมไทยอย่างเปิดเผยนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 จนกระทั่งล่าสุดคือการเคลื่อนไหวบนเวทีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน ณ ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา พร้อมแนบรายชื่อประกอบแถลงการณ์

 

โดยแถลงการณ์มีใจความดังต่อไปนี้ 

 

สืบเนื่องจากที่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วประเทศ ได้แสดงออกอย่างกล้าหาญในการพูดถึงปัญหาของสังคมไทยอย่างเปิดเผยมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 จนถึงขณะนี้ ในการชุมนุมทุกครั้งได้มีการเสนอข้อเรียกร้องเพื่อแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จนมาถึงข้อเสนอ 10 ประการในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในเวทีชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน การปราศรัยในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รวมทั้งแถลงการณ์ของเยาวชนปลดแอก Free YOUTH และคณะประชาชนปลดแอก ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ (หยุดคุกคามประชาชน, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่, ยุบสภาฯ) 2 จุดยืน (ไม่ยอมรับการทำรัฐประหาร, ไม่ยอมรับรัฐบาลแห่งชาติ) ข้อเสนอ 1 ความฝันที่สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

 

ข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นไปอย่างสุจริตใจ สง่างาม ต่อการหยิบยก นำเสนอปัญหาต่างๆ ของประเทศอย่างมีอารยะ มิได้สร้างความวุ่นวาย ก้าวล่วง จาบจ้วง และใช้ความรุนแรงอย่างที่บางฝ่ายกล่าวหาและไม่สบายใจ หากแต่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกอย่างถูกกฎหมายและชอบธรรม แต่กลับเป็นฝ่ายถูกละเมิด ข่มขู่คุกคาม ถูกบังคับให้ปิดปาก ให้ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเสียเอง ทั้งจากเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล และอำนาจอันธพาลในที่มืดที่ฉวยอ้างใช้ความสงบเรียบร้อย ความดี และศรัทธาเข้ากดปราบประชาชนผู้ส่งเสียงขอมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ

 

การปราศรัยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีการพูดถึงบทบาทและปัญหาของสถาบันกษัตริย์และสังคมไทยอย่างเปิดเผย โดยเสนอให้แก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยและให้รักษาสถานภาพของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เรา ผู้ทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม ต่างมีความเห็นพ้องตรงกับกลุ่มคณาจารย์ที่ได้ออกแถลงการณ์ในกรณีข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของผู้ชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน ว่าการแสดงออกครั้งนี้เป็นการแสดงออกตามครรลองของกฎหมาย บนหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย และเห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ตามข้อเสนอทั้ง 10 ประการของผู้ชุมนุม ข้อเสนอเหล่านี้คือข้อเสนออย่างตรงไปตรงมาในการธำรงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

เรา คนทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม ประสบกับปัญหาดังกล่าวนี้เช่นกัน เมื่อกลุ่มคนในเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมถูกกด ถูกแทรกแซงสามัญสำนึกในการสร้างเนื้อหาเรื่องราว หนทางของการสร้างสรรค์ ซึ่งถูกครอบและจำกัดเสรีภาพทางการแสดงออกผ่านระเบียบแบบแผน ธรรมเนียมประเพณี ซึ่งขยายพื้นที่ล้นเกินจนเป็นอรรถาธิบายหลัก ผ่านการทำงานของรัฐและกระทรวง ผ่านคุณค่าของความดี ความงาม ความจริงของธรรมเนียมปฏิบัติบังคับให้เราไม่อาจส่งเสียง นำเสนอความเห็นต่าง เสรีภาพทางการสร้างสรรค์ถูกบีบบังคับให้เหลือพื้นที่น้อยลงเรื่อยๆ และบังคับให้เราพอใจต่อการถูกขยายขอบเขตล้นเกินไม่จบสิ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนทำงานศิลปะถูกติดตาม ข่มขู่คุกคามเพิ่มขึ้นอีกด้วยในยุคปัจจุบัน หากไม่สร้างงานผ่านอรรถาธิบายหลัก อันตรายถึงชีวิตจึงเกิดได้ทั้งการแทรกแซงทางเนื้อหา การสร้างสรรค์ และชีวิตของผู้ทำงาน

 

การสร้างผลงานศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นภาพสะท้อนมโนทัศน์ของสังคมและจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องธำรงรักษาเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะ และการเข้าถึงข้อเท็จจริงนั้นด้วย เพื่อให้การสร้างสรรค์นั้นมีอิสระ เป็นภาพสะท้อนความคิดเห็นของตนสู่สาธารณะได้อย่างแท้จริง เราส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมการแสวงหาทางออกของปัญหาด้วยการอภิปราย แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่เราควรต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอันท้าทายนี้ด้วยความอดทนอดกลั้น อันเป็นลักษณะที่สำคัญอย่างยิ่งของสังคมประชาธิปไตย ทั้งนี้ การสร้างสรรค์นั้นไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อของบุคคลหรือองค์กรใด ด้วยกรอบของกฎหมายและงบประมาณสาธารณะ

 

เรา คนทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม ขอเรียกร้องให้

 

  1. รัฐบาลและพรรคการเมืองหันหน้ามาเผชิญความจริงของปัญหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งถูกบังคับอยู่ในความเงียบมาตลอด และพิจารณาข้อเสนอ 10 ข้อ เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างจริงจัง
  2. รัฐบาลและพรรคการเมืองยอมรับความคิดเห็นอันแตกต่างหลากหลายเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตย
  3. ไม่ดำเนินคดีหรือใช้วิธีนอกกฎหมายคุกคามผู้ที่เสนอให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญประท้วงรัฐบาล รวมถึงไม่ข่มขู่คุกคามผู้ออกมาประท้วง
  4. เปิดพื้นที่ให้พูดคุยประเด็นต่างๆ ที่มีความแหลมคมอย่างมีอารยะ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
  5. กองทัพต้องไม่ลิดรอนอำนาจประชาชนด้วยการทำรัฐประหารหรือใช้ความรุนแรงใดๆ

 

สำหรับรายนามผู้ร่วมลงชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ สามารถอ่านได้จาก 

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSf6Bb89JTdyEJNRCu3lpXhjgTD-vMklgtSW-ezM7zOXi3vqdQ/viewform?fbclid=IwAR2Ir1DkPbLkbY55lx_63L9m9RB-mKyQd5oNWar0-vWi7SpS54In2PDKuUQ

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล 

The post เครือข่ายศิลปวัฒนธรรมเพื่อประชาธิปไตยออกแถลงการณ์พร้อมแนบท้ายรายชื่อ สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
#วันนี้ดาราCallOutหรือยัง เมื่อคนบันเทิงไทยร่วมแสดงจุดยืนไม่ให้คุกคามประชาชน พร้อมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยได้อย่างปลอดภัย https://thestandard.co/thai-celebrities-standing-up-for-not-threaten-people/ Thu, 13 Aug 2020 12:33:26 +0000 https://thestandard.co/?p=388291

แฮชแท็ก #วันนี้ดาราCallOutหรือยัง คือประเด็นที่กำลังเป็ […]

The post #วันนี้ดาราCallOutหรือยัง เมื่อคนบันเทิงไทยร่วมแสดงจุดยืนไม่ให้คุกคามประชาชน พร้อมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยได้อย่างปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>

แฮชแท็ก #วันนี้ดาราCallOutหรือยัง คือประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง เมื่อมีคนในวงการบันเทิงหลากหลายแขนง ทั้งผู้กำกับ นักแสดง นักดนตรี ศิลปินเพลงไทยจำนวนมาก ร่วมแสดงจุดยืนสนับสนุนการรับฟังความเห็นที่แตกต่างอย่างปลอดภัย และเรียกร้องให้เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเอง

 

นับเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสสังคมที่กำลังเรียกหาการเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน วันนี้ (13 สิงหาคม) จึงมีการเปิดกระบอกเสียงจากบุคคลในวงการบันเทิงจำนวนมากที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนแสดงจุดยืนและร่วมเรียกร้องประเด็นดังกล่าวด้วย จนกลายมาเป็นแฮชแท็ก #วันนี้ดาราCallOutหรือยัง

 

โดยกลุ่มบุคคลในวงการบันเทิงนี้ก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์, ณัฐ ศักดาทร, เจนนี่ ปาหนัน, เก้า สุภัสสรา, แสตมป์ อภิวัชร์, ไอซ์ พาริส, วี วิโอเลต, ใบเฟิร์น อัญชสา, TRINITY, แบงค์ ธิติ, เจเจ กฤษณภูมิ, คริส พีรวัส, วง Serious Bacon, เต ตะวัน, น้ำหนึ่งและฝ้ายจาก BNK48 และอื่นๆ อีกมากมาย โดยหลักๆ แล้วออกมาโพสต์ข้อความเพื่อเรียกร้องต่อรัฐให้เคารพหลักสิทธิมนุษยชน หยุดคุกคามประชาชน และไม่ควรมีใครหายไปเพราะพูดความจริง

 

สิ่งหนึ่งที่ถูกพูดถึงในประเด็นนี้คือการที่บุคลากรที่ออกมาพูดเรื่องนี้ส่วนใหญ่ มีจำนวนมากที่เป็นข้อความจากศิลปินหรือนักแสดงวัยรุ่นที่ล้วนอยากส่งต่อและเป็นหนึ่งพลังให้เกิดการพูดถึงประเด็นดังกล่าวในวงกว้าง และนับเป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ได้ว่ากลุ่มคนที่มีผู้ติดตามจำนวนมากสามารถที่จะเป็นกระบอกเสียงแทนเสียงของคนอื่นได้ดังมากขึ้น เช่น 

 

เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ

“การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วยซ้ำ แต่หากต้องถูกคุกคามจากการที่มีความเห็นแตกต่าง ถือเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์และน่าอายที่สุด”

 

 

ณัฐ ศักดาทร

“สิ่งที่ควรมีเพื่อจะแก้ปัญหาไปด้วยกันได้คือการสร้างพื้นที่ ‘ปลอดภัย’ ในการแสดงความคิดเห็นทั้งในสังคมจริงและออนไลน์ ที่เมื่อใครแสดงความคิดเห็นออกไปก็สามารถวางใจได้ว่าคนอื่นๆ จะอย่างน้อยเคารพสิทธิ์นั้น เห็นต่างก็ถกกันโดยสันติและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช้กำลังหรือวาจาคุกคามทำลายกัน”

 

 

วี-วิโอเลต วอเทียร์

“Freedom of speech is human right. Come on. How many times do we have to say this? Hello?”

 

 

คริส-พีรวัส แสงโพธิรัตน์

“อยู่เคียงข้างประชาชนที่ถูกคุกคาม”

 

 

เต-ตะวัน วิหครัตน์
“สิทธิมนุษยชนคือเรื่องพื้นฐานของประเทศที่เจริญแล้ว ส่วนความรุนแรงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น และควรได้รับการปกป้องจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”

 

 

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post #วันนี้ดาราCallOutหรือยัง เมื่อคนบันเทิงไทยร่วมแสดงจุดยืนไม่ให้คุกคามประชาชน พร้อมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยได้อย่างปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>