ประเทศพัฒนาแล้ว – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 31 Jul 2024 03:07:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ความท้าทายของอินเดีย! หาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ เพื่อก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในอีก 23 ปี https://thestandard.co/indian-economy-transformation-plan/ Wed, 31 Jul 2024 03:07:11 +0000 https://thestandard.co/?p=965286

อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจหลักที่เติบโตเร็วที่สุด […]

The post ความท้าทายของอินเดีย! หาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ เพื่อก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในอีก 23 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจหลักที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และตลาดหุ้นอินเดียยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง รัฐบาลอินเดียมีแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและดิจิทัล และมุ่งมั่นที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2047 

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก JPMorgan มองว่า อินเดียกำลังเผชิญกับปัญหาครั้งสำคัญในการค้นหาตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ตาม

 

อนาคตอันสดใสของอินเดีย และแผน Union Budget ปี 2024

 

กระทรวงการคลังของอินเดียเปิดเผยรายงานงบประมาณประจำปี 2024-2025 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (23 กรกฎาคม) โดย Nirmala Sitharaman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการประชุมงบประมาณว่า รัฐบาลอินเดียจะจัดสรรเงิน 1.52 ล้านล้านรูปี สำหรับภาคเกษตรกรรมและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และจัดสรรเงิน 2.66 ล้านล้านรูปี สำหรับการพัฒนาชนบท 

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นไปที่การจ้างงาน โดยจะจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านรูปี เพื่อสร้างงานในอีก 5 ปีข้างหน้า และจะสร้างแรงจูงใจทั้งแก่พนักงานและนายจ้างในภาคการผลิต 

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า โครงการ Urban 2.0 จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องความต้องการที่อยู่อาศัยของคนจนและชนชั้นกลางในเขตเมืองด้วยการลงทุนประมาณ 10 ล้านล้านรูปี 

 

สำหรับการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานยังคงอยู่ที่ 11.1 ล้านล้านรูปี ซึ่งอยู่ที่ 3.4% ของตัวเลข GDP โดยการจัดสรรเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยให้กับรัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านรูปี นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียจะส่งเสริมการใช้เงินรูปีอินเดียสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ โดยระบุว่ากฎระเบียบสำหรับ EDI จะถูกทำให้ง่ายดายขึ้น

 

อินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจหลักของอินเดีย V. Anantha Nageswaran กล่าวเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจอินเดียคาดว่าจะเติบโตที่ 6.5-7% ในปีงบประมาณ 2025 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) คาดการณ์การเติบโตที่ 7.2% นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจะผลักดันให้อินเดียก้าวขึ้นสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตามหลังเพียงสหรัฐอเมริกาและจีนภายในปี 2027

 

นอกจากนี้ตลาดหุ้นอินเดียยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ร้อนแรงและได้รับความนิยมอย่างมาก  

 

นักวิเคราะห์ JPMorgan มองว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังเจอปัญหาครั้งสำคัญ

 

แม้ว่านักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างมองว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีอนาคตสดใส แต่ Jahangir Aziz นักวิเคราะห์จาก JPMorgan กลับเห็นต่าง โดยมองว่าอินเดียกำลังมีปัญหาในการค้นหาตัวขับเคลื่อนใหม่สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ตาม 

 

Aziz วิเคราะห์ว่า หากย้อนมองไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากการระบาดใหญ่ จะพบว่าการเติบโตที่แข็งแกร่งของอินเดียนั้นมาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะและการส่งออกบริการ ซึ่งรัฐบาลอินเดียมีแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและดิจิทัล และอินเดียมุ่งมั่นที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2047 แต่การส่งออกบริการกำลังอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ได้เติบโตเร็วเหมือนเมื่อ 2-3 ปีก่อน ทำให้เป็นเรื่องยากมากสำหรับอินเดียที่จะคงอัตราการเติบโต 6-7% ไว้ได้ โดยพิจารณาจากโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะและการส่งออกบริการเพียงอย่างเดียว 


คำถามคือ อินเดียจะสามารถขยายปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตไปสู่การบริโภคหรือการลงทุนภาคเอกชนได้หรือไม่ ด้าน Raghuram Rajan ศาสตราจารย์จาก University of Chicago Booth School of Business และอดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย เตือนว่า แม้ว่าประชากรวัยรุ่นจำนวนมากของอินเดียจะผลักดันให้ประเทศนี้ก้าวขึ้นมาเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2027 แต่การบริโภคก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น หากอัตราการว่างงานที่สูงเป็นอุปสรรคอยู่ 

 

เครื่องยนต์ตัวใหม่ของอินเดียคืออะไร แล้วอินเดียจะเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปได้หรือไม่ 

 

บทความของ Paul Gruenwald, Dharmakirti Joshi และ Rajiv Biswas วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า อินเดียจะทำได้ แต่ด้วยเงื่อนไขบางประการ เราคาดว่าอินเดียจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.7% ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2024-2031 ทำให้ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 6.7 ล้านล้านดอลลาร์ จาก 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2023 GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,500 ดอลลาร์

 

แม้ว่าอินเดียจะปรับตัวไปทางการผลิต แต่ภาคบริการจะยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ ประเทศนี้ต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองภาคส่วน เนื่องจากแต่ละภาคมีโอกาสในตลาดในประเทศและการส่งออก 

 

ตลาดผู้บริโภคของอินเดียจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในปี 2031 พุ่งขึ้นเป็น 5.2 ล้านล้านดอลลาร์ จาก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2022 ตามข้อมูลจาก Global Consumer Markets Service ของ S&P Global Market Intelligence การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนถึงประชากรที่เพิ่มขึ้นและรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น 

 

ภาคบริการจะยังคงเป็นเครื่องยนต์การเติบโตของการส่งออกของอินเดีย ส่วนแบ่งของภาคส่วนนี้ในการส่งออกทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 42% ในปีงบประมาณ 2023 จากประมาณ 30% ในปีงบประมาณ 2012 เราคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป โดยสะท้อนให้เห็นนโยบายการค้าล่าสุดของรัฐบาล (2023) ที่ตั้งเป้าเพิ่มการส่งออกโดยรวมเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นกับการทำงานทางไกลทั่วโลกและการเติบโตของศูนย์ความสามารถระดับโลกในอินเดียจะกระตุ้นการส่งออกบริการ

 

โดยภาพรวมอินเดียมีสถิติการเติบโตที่ดี แม้จะไม่สม่ำเสมอในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ความท้าทายในทศวรรษหน้าและต่อๆ ไปคือการสร้างเงื่อนไขสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายนี้น่าจะต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างใน 3 ด้านสำคัญ

 

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง และยกระดับทักษะ
    อินเดียไม่สามารถใช้ประโยชน์จากประชากรวัยทำงานจำนวนมากและกำลังเติบโตได้อย่างเต็มที่ การยกระดับทักษะให้กับคนงานและการเพิ่มจำนวนคนที่มีงานทำจะช่วยเพิ่มการเติบโต การมีส่วนร่วมของแรงงานอยู่ที่เพียง 55.2% ในปี 2022 และในกลุ่มผู้หญิงอยู่ที่ประมาณ 32.8% ตามการสำรวจแรงงานเป็นระยะของรัฐบาล 

 

  1. ยกระดับการลงทุนภาคเอกชนในการผลิต

ตลาดในประเทศของอินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกในแง่ของความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ ซึ่งเปิดโอกาสให้เติบโตในภาคการผลิตของเอกชน อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งการผลิตของ GDP เพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 18% จาก 15% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ส่วนแบ่งบริการได้เพิ่มขึ้นเป็น 55% จาก 45%

 

การผลิตถูกขัดขวางโดยกฎหมายแรงงานที่เข้มงวด โลจิสติกส์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ดี รัฐบาลกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์เพื่อบรรเทาคอขวด กฎหมายแรงงานและกระบวนการได้มาซึ่งที่ดินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเช่นกัน

 

  1. เสริมความสามารถในการแข่งขันภายนอกผ่าน FDI

อินเดียกลายเป็นสถานที่ที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับบริษัทข้ามชาติในหลายอุตสาหกรรม การไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงถึง 8.48 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2022 ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม การไหลเข้าของ FDI ในการผลิตเพิ่มขึ้น 76% เป็นมากกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ การไหลเข้า FDI รวมอยู่ที่เพียง 4.3 พันล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2004 การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีกลายเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญ ภาคซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เป็นกลุ่มที่รับ FDI ที่ใหญ่ที่สุดในปีงบประมาณ 2022

 

ตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันระดับโลกที่ค่อยๆ ดีขึ้น กำลังช่วยให้อินเดียดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประเทศนี้มีตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และการเติบโตก็พร้อมที่จะเหนือกว่าเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ส่วนใหญ่

 

อ้างอิง:

The post ความท้าทายของอินเดีย! หาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ เพื่อก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในอีก 23 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
หากฟองสบู่อสังหาจีนแตก อาจฉุดการเติบโต GDP จีนเหลือ 1% และทำให้สีจิ้นผิงพลาดเป้านำจีนขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว https://thestandard.co/china-real-estate-bubble-pop-make-gdp-1-percents/ Wed, 20 Dec 2023 11:19:13 +0000 https://thestandard.co/?p=879069 ฟองสบู่อสังหาจีน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจญี่ปุ่น (Japan Center for Economic Re […]

The post หากฟองสบู่อสังหาจีนแตก อาจฉุดการเติบโต GDP จีนเหลือ 1% และทำให้สีจิ้นผิงพลาดเป้านำจีนขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟองสบู่อสังหาจีน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจญี่ปุ่น (Japan Center for Economic Research: JCER) เตือนว่า หากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของจีนแตกจนทำให้เกิดวิกฤตการเงิน การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะโตอยู่เพียงประมาณ 1% เท่านั้น และทำให้เป้าหมายขนาดเศรษฐกิจ (Nominal GDP) เป็น 2 เท่าภายในปี 2035 ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเป็นไปได้ยากขึ้น

 

ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ธันวาคม) JCER ได้จำลองฉากทัศน์ต่างๆ โดยให้ภาวะฟองสบู่ด้านอสังหาริมทรัพย์แตก (A Real Estate Bubble Burst) เป็นหนึ่งในสถานการณ์ความเสี่ยงที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2027 ซึ่งเป็นปีที่สิ้นสุดของการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 3 ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง 

 

โดย JCER คาดว่าโครงสร้างพื้นฐานและภาคการลงทุนอื่นๆ มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการชำระหนี้คืน ทำให้เงินทุนไหลออกอย่างรวดเร็ว และจะทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงจากอัตราปัจจุบันที่ราว 7.1 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ระดับ 9 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ

 

ภายใต้สถานการณ์นี้ อัตราการเติบโตที่แท้จริง (Real Growth Rate) ของจีนจะเป็นศูนย์ในปี 2027 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติที่การเติบโตจะอยู่ที่ 3.2% และหลังจากปี 2029 การเติบโตจะอยู่ที่ต่ำกว่า 1.5%

 

การชะลอตัวของจีนนั้นยังส่งผลต่อการเติบโตในประเทศอื่นๆ มีการค้าที่ซบเซาลง อัตราการเติบโตที่แท้จริงของ 17 ประเทศและภูมิภาคนอกจีนในปี 2027 จะต่ำกว่าสถานการณ์ปกติประมาณ 0.7-0.9%

 

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงตั้งเป้าว่า ภายในปี 2035 จะเพิ่ม Nominal GDP ของจีนเป็น 2 เท่า และเพิ่ม GDP ต่อหัวให้อยู่ในระดับประเทศที่พัฒนาแล้วในระดับปานกลาง (Moderately Developed Countries) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 20,000-30,000 ดอลลาร์

 

ในรายงานประมาณการว่า ในกรณีของวิกฤตการณ์ทางการเงินขนาดใหญ่ Nominal GDP ของจีนในรูปสกุลเงินหยวนในปี 2035 จะอยู่ที่ 1.9 เท่าของปี 2020 เท่านั้น (ไม่ถึง 2 เท่า) โดยรายได้ต่อหัว (Per Capita GDP) จะสูงกว่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

โดยแม้แต่ในสถานการณ์ปกติ ซึ่งไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตที่แท้จริงของจีนก็จะยังคงชะลอตัวลงต่อไป โดยลดลงต่ำกว่า 3% ในปี 2029 และต่ำกว่า 2% ในปี 2035

 

อ้างอิง: 

The post หากฟองสบู่อสังหาจีนแตก อาจฉุดการเติบโต GDP จีนเหลือ 1% และทำให้สีจิ้นผิงพลาดเป้านำจีนขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. ไฟเขียวร่างยุทธศาสตร์การศึกษา และนวัตกรรม ตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2580 https://thestandard.co/prawit-wongsuwan-131265-2/ Tue, 13 Dec 2022 10:04:56 +0000 https://thestandard.co/?p=723211 ประวิตร วงษ์สุวรรณ

วันนี้ (13 ธันวาคม) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนาย […]

The post ครม. ไฟเขียวร่างยุทธศาสตร์การศึกษา และนวัตกรรม ตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2580 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประวิตร วงษ์สุวรรณ

วันนี้ (13 ธันวาคม) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธานการประชุมในวันนี้ว่า ครม. เห็นชอบร่างกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ส่งเสริมให้ประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายใน พ.ศ. 2580

 

พร้อมทั้งเห็นชอบร่างแผนระยะ 5 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้ร่างกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ จำนวน 2 ฉบับ คือ ร่างแผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 และร่างแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

ฉบับแรก ร่างกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 เป็นการกำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สานพลังการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย พลิกโฉมให้ประเทศมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า และพร้อมก้าวสู่อนาคต’ โดยมีเป้าประสงค์หลักคือ 

 

  1. คนไทยมีสมรรถนะและทักษะสูงเพียงพอ

 

  1. เศรษฐกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์

 

  1. สังคมไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก

 

ร่างกรอบนโยบายนี้จะขับเคลื่อนภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาเศรษฐกิจไทยด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ให้มีความสามารถในการแข่งขันและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมสู่อนาคต แผนงานที่สำคัญ เช่น พัฒนาระบบเศรษฐกิจ BCG พัฒนาและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ พัฒนาระบบโลจิสติกส์และระบบราง 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน สามารถแก้ไขปัญหาท้าทายและปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก แผนงานที่สำคัญ เช่น พัฒนาเมืองน่าอยู่ มุ่งเน้นการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรมระดับขั้นแนวหน้าที่ก้าวหน้าล้ำยุค เพื่อสร้างโอกาสใหม่และความพร้อมของประเทศในอนาคต แผนงานที่สำคัญ เช่น พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและบริการแห่งอนาคต 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคน สถาบันอุดมศึกษา และสถาบันวิจัย ให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน แผนงานที่สำคัญ เช่น พลิกโฉมระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต พลิกโฉมมหาวิทยาลัยให้เป็นเลิศตามบทบาทการสร้างกำลังคน ยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกำลังคนระดับสูง (Hub of Talent)

 

ฉบับที่ 2 คือร่างแผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 มีวิสัยทัศน์ คือ ‘อุดมศึกษาสร้างคน สร้างปัญญา ปลูกฝังคุณธรรมเพื่อพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน’ ดำเนินการภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาศักยภาพคน (Capacity Building) ประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 1. การจัดการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต 2. ยกระดับคุณภาพการศึกษาและสมรรถนะของกำลังคน 3. การสร้างเสริมบุคลากรคุณภาพสูง 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมระบบนิเวศวิจัยอุดมศึกษา (Research Ecosystem Building) ประกอบด้วย 2 แนวทาง ได้แก่ 1. การวิจัย นวัตกรรม และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือปัจจัยเอื้อภายในสถาบันอุดมศึกษาที่ส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 จัดระบบอุดมศึกษาใหม่ (Higher Education Transformation) ประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ 1. การบริหารจัดการและธรรมาภิบาล 2. การพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาตามอัตลักษณ์ที่หลากหลาย 3. ส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินในระบบอุดมศึกษา 4. ส่งเสริมการอุดมศึกษาดิจิทัล 

 

นอกจากนี้ยังมีแผนเร่งด่วนภายใน 3 ปี ที่กำหนดเป็น 7 นโยบายหลัก เช่น 1. นโยบายด้านกำลังคนสมรรถนะและศักยภาพสูง ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG และอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2. นโยบายด้านวิสาหกิจชุมชน ระบบเศรษฐกิจฐานราก และเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม รวมถึง SMEs ธุรกิจ ฐานนวัตกรรม และ Start-up 3. การรองรับสังคมสูงวัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยสมบูรณ์

 

ฉบับที่ 3 คือ ร่างแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 มีวิสัยทัศน์ ‘พลิกโฉมประเทศให้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว และพร้อมสำหรับโลกอนาคต โดยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างมูลค่าและคุณค่าด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย โดยการสานพลังหน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม’

 

ดำเนินการภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาเศรษฐกิจไทยด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า แผนงาน เช่น พัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาการผลิตและการส่งออกอาหาร ผลไม้ไทย และสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน แผนงาน เช่น พัฒนาผู้สูงอายุในภาคชนบทและเมือง เพิ่มโอกาสและลดช่องว่างของการเข้าถึงการพัฒนาอาชีพ การศึกษาเรียนรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรมระดับขั้นแนวหน้าที่ก้าวหน้าล้ำยุค แผนงาน เช่น พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าสู่อนาคต อวกาศ รวมทั้งดาวเทียม 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แผนงาน เช่น พัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย พัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และนวัตกรที่มีทักษะสูงให้มีจำนวนมากขึ้น และตรงกับความต้องการของประเทศ

 

รัชดากล่าวด้วยว่า กรอบนโยบายที่กำหนดครั้งนี้ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่จะพลิกโฉมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยบูรณาการทุกภาคส่วน รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับเอกชนและภาคี ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีในระดับสากล และกำลังคนของประเทศมีผลิตภาพและศักยภาพที่สูงขึ้น

 

The post ครม. ไฟเขียวร่างยุทธศาสตร์การศึกษา และนวัตกรรม ตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2580 appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘โมดี’ เผย อินเดียตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 25 ปี กระตุ้นเยาวชนทุ่มเทเพื่อประเทศ https://thestandard.co/modi-says-india-aims-become-developed-nation/ Mon, 15 Aug 2022 07:14:45 +0000 https://thestandard.co/?p=667132 นเรนทรา โมดี

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย แถลงต่อประชาชนในวันฉลอ […]

The post ‘โมดี’ เผย อินเดียตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 25 ปี กระตุ้นเยาวชนทุ่มเทเพื่อประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นเรนทรา โมดี

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย แถลงต่อประชาชนในวันฉลองครบรอบ 75 ปี การประกาศเอกราชจากอังกฤษในวันนี้ (15 สิงหาคม) โดยประกาศว่า อินเดียตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในอีก 25 ปีข้างหน้า ด้วยนโยบายส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ทั้งด้านพลังงาน การป้องกันประเทศและเทคโนโลยีดิจิทัล

 

โดยในการแถลงซึ่งมีขึ้นที่ป้อมแดงที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 โมดีได้ส่งข้อความถึงเยาวชนทั่วประเทศ ว่าให้ตั้งเป้าหมายใหญ่ และทุ่มเทให้ที่ดีที่สุดเพื่อประเทศ

 

“เราต้องเปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีก 25 ปีข้างหน้า ในช่วงชีวิตของเรา มันเป็นปณิธานที่ใหญ่ยิ่ง และเราควรพยายามอย่างเต็มที่” เขากล่าว

 

ปัจจุบัน ธนาคารโลกจัดให้อินเดียอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ทางเศรษฐกิจระดับปานกลางถึงต่ำ ซึ่งหมายถึงประเทศที่มีรายได้รวมประชาชาติต่อหัวระหว่าง 1,086 ถึง 4,255 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนประเทศที่มีรายได้สูง เช่น สหรัฐฯ มีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 13,205 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า

 

ขณะที่อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 7% ในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งถือเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่

 

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า เศรษฐกิจของอินเดียสามารถขยายไปถึงอันดับ 3 ของโลกได้ภายในปี 2050 หรืออีก 28 ปีข้างหน้า โดยเป็นรองสหรัฐฯ และจีน แม้ว่ารายได้ของประชากรต่อหัว ณ ปัจจุบันจะอยู่ที่ราว 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ

 

โดยอินเดียมีจำนวนประชากรทั้งหมดประมาณ 1.4 พันล้านคน และคาดว่าอาจแซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1.45 พันล้านคน ได้ในปีหน้า

 

ภาพ: Photo by Alastair Grant – Pool / Getty Images

อ้างอิง:

The post ‘โมดี’ เผย อินเดียตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 25 ปี กระตุ้นเยาวชนทุ่มเทเพื่อประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เหลื่อมล้ำ’ ระหว่างประเทศสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด ‘IMF’ เพิ่มคาดการณ์ GDP ประเทศพัฒนาแล้ว แต่หั่นประมาณการกลุ่มอาเซียน เหตุกระจายวัคซีนล่าช้า https://thestandard.co/imf-predict-international-relation-inequality-from-covid-and-gdp-by-developed-asia-country/ Wed, 28 Jul 2021 11:29:06 +0000 https://thestandard.co/?p=518549

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับตัวเลขการคาดการ […]

The post ‘เหลื่อมล้ำ’ ระหว่างประเทศสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด ‘IMF’ เพิ่มคาดการณ์ GDP ประเทศพัฒนาแล้ว แต่หั่นประมาณการกลุ่มอาเซียน เหตุกระจายวัคซีนล่าช้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับตัวเลขการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร หลังจากที่ประเทศเหล่านั้นเร่งการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้กับประชากรและเริ่มเปิดภาคธุรกิจอีกครั้ง 

 

ในทางตรงกันข้าม IMF ได้ลดประมาณการเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากหลายประเทศกระจายวัคซีนได้ล่าช้าและไม่เพียงพอ ทำให้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่ม ซึ่งสะท้อนภาพช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศกำลังพัฒนาที่ห่างกันมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน IMF ยังคงประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2564 ขยายตัว 6%

 

แถลงการณ์ล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ จะฟื้นตัวแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศสามารถกระจายวัคซีนโควิดได้ดีเพียงใด 

 

IMF มองเห็นโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเกือบ 40% ของประชากรได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว แม้ว่าจะมีความท้าทายจากโควิดสายพันธุ์ใหม่ก็ตาม 

 

ในขณะที่ประเทศเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่ามาก จะเผชิญกับความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิดซ้ำและจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากขึ้น

 

“การเข้าถึงวัคซีนได้กลายเป็นเส้นแบ่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกออกเป็น 2 กลุ่ม” IMF กล่าวในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกประจำปีล่าสุด

 

IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตที่ระดับ 6% ซึ่งเท่ากับตัวเลขเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดจากระดับ -3.2% เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

โดยได้เพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วขึ้น 0.5% เป็น 5.6% สาเหตุหลักมาจากการเร่งฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฟื้นตัว

 

ผู้นำด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจครั้งนี้คือ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวจะเติบโต 7% ในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 0.6% และ 1.7%ตามลำดับ จากประมาณการเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งจะนับได้ว่าเป็นปีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1984 และเป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับสหราชอาณาจักรนับจากปี 1980

 

ในทางตรงกันข้าม IMF ได้ลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาลง 0.4% เป็น 6.3% เนื่องจากหลายประเทศสำคัญได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อาทิ เศรษฐกิจอินเดียได้รับความเสียหายจากโควิดสายพันธุ์เดลตาและกำลังระบาดอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ IMF ยังลดการคาดการณ์สำหรับเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด โดย IMF คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 4.3% ลดลง 0.6% จากการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว

 

ขณะเดียวกัน ได้ปรับลดแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนลง 0.3% เป็น 8.1% เนื่องจากจีนลดขนาดแผนการลงทุนสาธารณะบางส่วน

 

IMF ระบุว่า การแพร่ระบาดที่คาดเดาไม่ได้ของโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ทำให้การคาดการณ์ครั้งนี้ยังไม่แน่นอน 

 

กีตา โกปินาธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าวว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะไม่สามารถยืนยันได้จนกว่าการระบาดใหญ่ทั่วโลกจะหายไป โดยการกระจายวัคซีนคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้แต่ละประเทศมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน และอยากให้ประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มการบริจาควัคซีนโควิดให้แก่ประเทศยากจน

 

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา IMF ได้เข้าร่วมกับองค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก และองค์การการค้าโลก เพื่อจัดตั้งกองทุนที่ผลักดันให้มีการประสานงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพื่อแจกจ่ายวัคซีน โดยเสนอให้ประเทศร่ำรวยบริจาคเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับประชากรโลกราว 60% ภายในระยะเวลา 1 ปี

 

“การกำหนดนโยบายที่ดีสามารถสร้างความแตกต่างได้ว่าจะทำให้เกิดการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนสำหรับทุกประเทศหรือจะทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หลายประเทศกำลังต่อสู้กับวิกฤตการณ์ทางสาธารณสุขครั้งใหญ่ บางประเทศก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติกันแล้ว” IMF ระบุในรายงาน 

 

ด้านอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า เช่น ไม้แปรรูป รถยนต์ใช้แล้ว และการเดินทางทางอากาศ มีแนวโน้มจะลดลงเหลือ 2.1% ในปี 2565 จาก 2.4% ในปี 2564 เนื่องจากอุปทานหยุดชะงักจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะคงนโยบายทางการเงินในการประชุมสัปดาห์นี้ 

 

IMF คงประมาณการ GDP โลกนี้ไว้ที่ 6% เท่ากับคาดการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เพิ่มคาดการณ์ GDP ประเทศพัฒนาแล้วขึ้นเป็น 5.6% จากปัจจัยสำคัญคือการเร่งกระจายวัคซีน

IMF

 

อ้างอิง:

The post ‘เหลื่อมล้ำ’ ระหว่างประเทศสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด ‘IMF’ เพิ่มคาดการณ์ GDP ประเทศพัฒนาแล้ว แต่หั่นประมาณการกลุ่มอาเซียน เหตุกระจายวัคซีนล่าช้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก กับภาวะการเปิดเมืองที่แตกต่างกัน https://thestandard.co/economic-outlook-and-global-asset-investment-with-different-city-opening-conditions/ Fri, 09 Jul 2021 07:39:03 +0000 https://thestandard.co/?p=510489 การเปิดเมือง

ในช่วงไตรมาสที่ 3/2021 SCBS Chief Investment Office (CI […]

The post แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก กับภาวะการเปิดเมืองที่แตกต่างกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
การเปิดเมือง

ในช่วงไตรมาสที่ 3/2021 SCBS Chief Investment Office (CIO) วิเคราะห์ 3 ประเด็นหลักที่มีผลต่อแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก (Global Asset Allocation) ประกอบด้วย 1. ความเร็วในการเปิดเมืองยังมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้การฟื้นตัวมีความแตกต่างกันตามไปด้วย 2. นโยบายภาครัฐโดยเฉพาะในสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายน้อยลง และ 3. หุ้นกลุ่ม Growth at Reasonable Price (GARP) มีความน่าสนใจมากขึ้น

 

SCBS CIO ประเมินว่าแนวโน้มสำคัญของเศรษฐกิจโลกประกอบไปด้วย การเปิดเมืองที่ยังมีความแตกต่างกัน เศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ผ่านจุดเติบโตสูงสุด ในขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นเริ่มฟื้นชัด และนโยบายภาครัฐเริ่มผ่อนคลายลดลง  

 

โดยในรายละเอียดการเปิดเมืองยังมีความแตกต่างกันตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีน ซึ่งเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ผ่านจุดเติบโตสูงสุด ในขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง 

 

ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMs) ยังแตกต่างกันมาก ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลงหลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชะลอลง และท่าทีของ Fed ที่มีแนวโน้มพร้อมปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าคาด (Hawkish) โดยตัวเลขตลาดแรงงานและการสื่อสารของ Fed จะมีความสำคัญต่อตลาดมากขึ้น เราคงมุมมอง Fed ส่งสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไปในการทำ QE Taper ในช่วงปลายไตรมาส 3/2021F และขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกปี 2023F 

 

นอกจากนั้น แรงกระตุ้นทางการคลังเริ่มแผ่วลงในกลุ่มประเทศพัฒนา (DMs) แล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ขนาดของโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่เล็กกว่าคาดจะทำให้การขึ้นภาษีเพื่อโครงการเหล่านั้นน้อยกว่าคาดด้วย โดยปัจจัยเสี่ยงหลักในไตรมาสที่ 3/2021 ประกอบด้วย 1. Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด 2. ความเสี่ยงด้านนโยบายต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ 3. การกลับมาของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน

 

สำหรับแนวโน้มตลาดการเงินโลก SCBS CIO ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้นอย่างช้าๆ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัว และราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มชะลอลงจากอุปทานที่ฟื้นตัว โดยจากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่กำลังจะผ่านจุดเติบโตสูงสุด และสัญญาณการปรับนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไปของ Fed น่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ซึ่งจะทำให้ Yield Curve ของสหรัฐฯ มีลักษณะแบน Flattening ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัว อย่างน้อยจนกว่า ECB จะปรับท่าทีแบบผ่อนคลายนโยบายน้อยลง โดยจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ฟื้นตัวบวกกับอุปทานที่ฟื้นตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะเริ่มชะลอลง ยกเว้นสินค้าที่ต้องใช้เวลาในการเพิ่มอุปทาน เช่น Semiconductors  

 

สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก (Asset Allocation Portfolio Strategy) SCBS CIO คงมุมมองบวกต่อหุ้นพัฒนาแล้ว ปรับน้ำหนักหุ้นกลุ่ม Value/Growth เป็น 60/40 เน้นกลุ่ม GARP: ปรับน้ำมันเป็น Neutral และ ปรับทองคำเป็น Negative โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

 

  • ด้วยอัตราเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนที่ยังปรับขึ้นแม้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เรายังคงชอบหุ้นมากกว่าพันธบัตรและเงินสด 

 

  • เรายังคงเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ และปรับน้ำหนักหุ้นกลุ่ม Value/Growth เป็น 40/60 (จากเดิม 80/20) โดยเน้นหุ้นกลุ่ม Growth at Reasonable Price (GARP หุ้นกลุ่มเติบโตที่มีมูลค่าสมเหตุสมผล) 

 

  • ความกังวลเรื่อง QE Taper อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นในกลุ่ม EMs โดยเฉพาะประเทศที่มีการขาดดุลการคลังและดุลบัญชีเดินสะพัดสูง (Large Twin Deficit)

 

  • คงมุมมอง Slightly Positive จากมูลค่าที่น่าสนใจต่อหุ้นจีนและญี่ปุ่น นอกจากนั้นเราเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนได้มีการ Priced-in ความเสี่ยงด้านนโยบายไปบ้างแล้ว ส่วนการฟื้นตัวของหุ้นญี่ปุ่นน่าจะเริ่มชัดเจนขึ้นตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีนที่กำลังดีขึ้น 

 

  • คงมุมมองเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุนที่สุดในอาเซียน เราปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น Slightly Positive จากมูลค่าหุ้นที่กลับมาน่าสนใจ เน้นกลยุทธ์ Selective Buy 

 

  • จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มฟื้นตัว และอุปทานที่เริ่มกลับมา เราปรับมุมมองน้ำมันเป็น Neutral และจาก Bond Yield ที่มีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่ม เราปรับมุมมองต่อทองคำเป็น Negative 

 

  • ก่อนหน้านี้เรามีการปรับมุมมองต่อ DM REITs เป็น Slightly Negative เนื่องจากมูลค่าที่ตึงตัวและความกังวลการกลับมาขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดของ Fed อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมอง Slightly Positive กับ Asian REITs  จากความคืบหน้าในการเปิดเมืองในช่วงครึ่งหลังปี 2021F มูลค่าที่ยังน่าสนใจ และการขึ้นดอกเบี้ยที่น่าจะช้ากว่าในกรณีของประเทศ DMs

The post แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก กับภาวะการเปิดเมืองที่แตกต่างกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใกล้เผยโฉม ตั้งเป้าพาไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว แต่ไม่เห็นวิธีการ https://thestandard.co/thailand-20-year-strategic-plan-and-reforms-will-complete/ https://thestandard.co/thailand-20-year-strategic-plan-and-reforms-will-complete/#respond Mon, 09 Apr 2018 04:18:53 +0000 https://thestandard.co/?p=82809

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2561 เป็นวันที่ร่างยุทธศาสตร์ชาติ […]

The post ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใกล้เผยโฉม ตั้งเป้าพาไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว แต่ไม่เห็นวิธีการ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2561 เป็นวันที่ร่างยุทธศาสตร์ชาติทั้งหกด้านที่จัดทำโดยคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตามปฏิทินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 

โดยร่างที่แก้ไขเพิ่มเติมเสร็จแล้วทั้ง 6 ด้านจะถูกนำเสนอต่อให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน รับไปพิจารณา ซึ่งเท่ากับเลยช่วงเวลาการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อนำไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใดๆ แล้ว

 

ด้าน ณรงค์ศักดิ์ เนียมสอน เจ้าหน้าที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ ซึ่งได้ติดตามประเด็นนี้มาโดยตลอด เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า

 

“ร่างยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้านจัดทำเสร็จสิ้นตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2561 และถูกนำไปจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นสี่จังหวัดในสี่ภูมิภาค คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา แม้จะมีการเปิดฟังความคิดเห็นจากช่องทางอื่นด้วย เช่น เปิดให้ส่งความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของสภาพัฒน์ฯ แต่ประชาชนส่วนใหญ่แทบจะไม่ทราบข่าวสารและช่องทางการแสดงความคิดเห็นเหล่านี้เลย จึงไม่อาจเข้าร่วมแสดงความเห็นได้ทัน”

 

สำหรับเนื้อหาร่างยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำลังจะถูกเสนอให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาในวันจันทร์ที่ 9 เมษายนนี้มีจุดร่วมคล้ายกัน คือ การวาดภาพฝันของประเทศไทยในระยะ 20 ปีหลังจากนี้ไป ซึ่งเป้าหมายหลายอย่างอาจจะเป็นเรื่องที่ดี น้อยคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็น่าตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้จริง เช่น เป้าหมายให้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นร้อยละ 40 ขณะที่ข้อมูลปัจจุบัน ระบุว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ร้อยละ 7.10 หรือเป้าหมายการนำประเทศไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ปีนี้ที่ประชาชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 7,800 บาทต่อคนต่อปีไปจนถึงปี 2579 หรือการตั้งเป้าให้ประเทศไทยติดหนึ่งในสิบของโลกตามดัชนีชี้วัดความสุขของประชากร ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศแคนาดากับออสเตรเลีย เหล่านี้เป็นเพียงเป้าหมายลอยๆ ที่ร่างยุทธศาสตร์ชาติเองก็ไม่ได้กำหนดวิธีการทำงานเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย

 

“ความน่ากังวลคือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังจากนี้จะมีหน้าที่ต้องทำตามยุทธศาสตร์ชาติ ต้องแถลงนโยบายและเสนองบประมาณให้สอดคล้องกัน โดยมี ส.ว. ที่ คสช. เลือกเอาไว้เป็นคนติดตาม กำกับการทำตามยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อเป้าหมายแต่ละด้านตั้งไว้สูง โดยไม่ได้เขียนวิธีการไว้ หากรัฐบาลชุดหน้าทำไม่สำเร็จ ก็อาจจะกลายเป็นประเด็นปัญหาต่อไปได้

 

“น่าดีใจที่หลายพรรคการเมืองประกาศว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติของ คสช. อย่างไรก็ตาม หากร่างฉบับนี้ถูกประกาศใช้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับพรรคการเมืองที่จะยกเลิก เพราะต้องผ่านด่านคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ กับ ส.ว. แต่งตั้ง 250 คน เป็นอย่างน้อย ดังนั้น ช่วงเวลานี้พรรคการเมืองหรือประชาชนที่มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการปฏิรูปด้านต่างๆ จึงควรช่วยกันติดตามร่างยุทธศาสตร์ชาติของ คสช. เพื่อเตรียมความพร้อมกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น หรือเพื่อปรับเปลี่ยนและเสนอให้ยกเลิก บรรดาสิ่งที่เขียนไว้แล้วแต่เป็นไปไม่ได้” ณรงค์ศักดิ์ กล่าว     

 

เมื่อคณะกรรมยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาร่างยุทธศาสตร์ชาติทุกด้านเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปร่างทุกด้านจะถูกส่งไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา (สนช.) เห็นชอบตามลำดับ ทั้งนี้หาก ครม. ขอแก้ไข ร่างก็จะถูกส่งกลับไปให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้ง แต่หาก สนช. ไม่เห็นชอบ ก็ต้องเริ่มกระบวนการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติใหม่ซึ่งจะใช้เวลาอีกประมาณ 9 เดือนหลังจากวันที่พิจารณาไม่เห็นชอบ แต่หากทุกขั้นตอนผ่านฉลุย ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีจะนำร่างยุทธศาสตร์ชาติที่ สนช. ให้ความเห็นชอบขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ต่อไป

The post ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใกล้เผยโฉม ตั้งเป้าพาไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว แต่ไม่เห็นวิธีการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/thailand-20-year-strategic-plan-and-reforms-will-complete/feed/ 0