ปตท. – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 23 Jul 2025 08:21:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 “ไฮโดรเจน” พลังงานทางเลือกที่กำลังก้าวสู่การเป็นเสาหลักใหม่ของระบบพลังงานไทย [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/hydrogen-new-pillar-thai-energy/ Fri, 25 Jul 2025 07:00:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1095978

โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ของพลังงานอย่างรวดเร็ว […]

The post “ไฮโดรเจน” พลังงานทางเลือกที่กำลังก้าวสู่การเป็นเสาหลักใหม่ของระบบพลังงานไทย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ของพลังงานอย่างรวดเร็ว

 

วิกฤตสภาพภูมิอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ น้ำท่วมรุนแรงในหลายประเทศ ได้กลายเป็นแรงกดดันระดับโลกที่ผลักให้ทุกภาคส่วน “เร่งเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบพลังงานสะอาด” อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงความมั่นคงทางพลังงาน และการปรับตัวต่อกฎเกมเศรษฐกิจใหม่ เช่น คาร์บอนเครดิต และภาษีคาร์บอน

 

ในกระแสนี้ พลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมนั้นถูกผลักดันอย่างจริงจังในหลายประเทศแต่เบื้องหลัง “อีกหนึ่งพลังงานสำคัญ” ที่กำลังค่อยๆ เติบโต และได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั่วโลก คือ พลังงานไฮโดรเจน

 

ไฮโดรเจนกำลังขยับจากการเป็น “พลังงานสำรอง” ไปสู่การเป็น “รากฐาน” สำคัญของระบบพลังงานใหม่ทั่วโลก แล้วประเทศไทยพร้อมหรือยัง?

 

ทำความรู้จัก “พลังงานไฮโดรเจน”

 

ไฮโดรเจน (Hydrogen – H₂) อาจฟังดูเหมือนคำที่อยู่ในห้องทดลองมากกว่าเวทีนโยบายพลังงาน แต่ในความเป็นจริง พลังงานไฮโดรเจนกำลังกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศชั้นนำทั่วโลก ไม่ใช่แค่เพราะเป็นพลังงานสะอาด แต่เพราะมีความยืดหยุ่นสูง และสามารถเชื่อมโยงพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบพลังงานที่เสถียรได้

 

 

ไฮโดรเจนไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ปล่อย CO₂ เมื่อเผาไหม้ และมีค่าพลังงานต่อหน่วยมวลสูง

 

สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นคือความสามารถในการประยุกต์ใช้ในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่โรงไฟฟ้า รถบรรทุก ไปจนถึงระบบสำรองไฟในพื้นที่ห่างไกล

 

การผลิตไฮโดรเจนมีหลายวิธี ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน จึงมีการจัดประเภทตาม “สี” ดังนี้

 

  • สีเทา 

ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ (Steam Methane Reforming: SMR) โดยไม่มีการจัดการกับ CO₂ ที่เกิดขึ้น

 

  • สีฟ้า

ผลิตจากกระบวนการเดียวกับสีเทา แต่มีเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บ CO₂ (Carbon Capture and Storage: CCS)

 

  • สีเขียว

ผลิตโดยการแยกไฮโดรเจนจากน้ำด้วยไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลม โดยไม่ปล่อย CO₂ — ถือเป็นรูปแบบที่สะอาดที่สุด

 

ทำไมไฮโดรเจนถึงเป็นคำตอบของระบบพลังงานยุคใหม่

 

ไฮโดรเจนถูกนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมานาน โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี แต่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในยุค Net Zero คือ โลกต้องการพลังงานที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งสำรองพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลมได้ในระยะยาว ประเทศต่าง ๆ จึงเริ่มวางแผนพัฒนาไฮโดรเจนให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น

 

  • เยอรมนี เปิดตัวรถไฟพลังงานไฮโดรเจนที่วิ่งได้มากกว่า 1,000 กม. ต่อการเติมหนึ่งถัง
  • ญี่ปุ่น มีการพัฒนารถบรรทุก Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) และทดลองใช้ไฮโดรเจนใน Data Center
  • ฝรั่งเศส มีการใช้เรือและจักรยานพลังงานไฮโดรเจนในเชิงพาณิชย์

 

หลายประเทศมุ่งเป้าไปที่ “ไฮโดรเจนสีเขียว” เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายภาคส่วน

 

  • ภาคอุตสาหกรรม: ใช้แทนเชื้อเพลิงในโรงงานที่ต้องใช้ความร้อนสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี
  • ภาคพลังงาน: ใช้ผลิตไฟฟ้าโดยตรง หรือเก็บพลังงานส่วนเกินจากพลังงานแสงอาทิตย์/ลมไว้ใช้ช่วงที่ไม่มีแหล่งจ่าย
  • ภาคขนส่ง: โดยเฉพาะรถขนส่งระยะไกล เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือเรือขนาดใหญ่
  • ระบบสำรองไฟฟ้า: สำหรับพื้นที่ห่างไกล ระบบ Off-grid หรือโครงข่ายที่ต้องการพลังงานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน

 

ไฮโดรเจนกำลังมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพลังงานไทยในอนาคต แม้ประเทศไทยยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลักทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง แต่ในระดับนโยบาย พลังงานสะอาดเริ่มถูกยกระดับให้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065

 

ในพิมพ์เขียวพลังงานฉบับล่าสุด ไฮโดรเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดอนาคตอีกต่อไป แต่ถูกกำหนดให้เป็น “องค์ประกอบสำคัญ” ของการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศ

 

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้กำหนดแนวทางพัฒนาไฮโดรเจนไว้ใน 3 ระยะ ได้แก่

 

  • ระยะสั้น (ค.ศ. 2025-2030)

เป็นการเตรียมความพร้อม เช่น โครงการนำร่อง กำหนดมาตรฐานความปลอดภัย วางแผนและศึกษาโมเดลธุรกิจใหม่ ทดสอบระบบจัดเก็บและขนส่งไฮโดรเจน

 

  • ระยะกลาง (ค.ศ. 2031–2040) 

ระยะในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของไฮโดรเจนในภาคพลังงาน รวมถึงการผสมไฮโดรเจน 5-10% ในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า การส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าสีเขียวเพื่อรองรับไฮโดรเจนสีเขียวและการขยายสถานีไฮโดรเจน รวมถึงการติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

 

  • ระยะยาว (ค.ศ. 2041–2050) 

เดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผสมไฮโดรเจน 10-20% ในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า พัฒนากลไกการตรวจสอบ ประเมิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แก้ไขภาษีคาร์บอนในโครงสร้างราคา สร้างแพลตฟอร์มและการซื้อขายคาร์บอน กำหนดมาตรฐานสำหรับรถ Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) และสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน

 

 

นั่นหมายความว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า ไฮโดรเจนจะไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดในห้องทดลองอีกต่อไป แต่จะเริ่มถูกนำมาใช้งานจริงในระบบพลังงานของประเทศไทย

 

การนำไฮโดรเจนเข้าสู่ระบบพลังงาน ไม่ใช่มีเป้าหมายเพียงเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายระดับชาติอื่น ๆ เช่น

 

  • เสริมความมั่นคงด้านพลังงาน เพราะไฮโดรเจนสามารถผลิตได้ในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

 

  • ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สนับสนุนการพัฒนา Supply chain พลังงานสะอาด ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงอุตสาหกรรมเคมี

 

  • ส่งเสริมนวัตกรรมไทย เปิดโอกาสให้นักวิจัย สตาร์ทอัป และภาคการศึกษาร่วมพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในระบบพลังงานแห่งอนาคต

 

เส้นทางของ กลุ่ม ปตท. สู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน

 

ไม่เพียงแต่ความพยายามของภาครัฐเพียงเท่านั้น แต่ความพยายามของภาคเอกชนอย่าง กลุ่ม ปตท. ซึ่งมีพันธกิจในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุลก็กำลังขับเคลื่อนเรื่องไฮโดรเจนอย่างจริงจังโดยเริ่มวางรากฐานเพื่อพัฒนาไฮโดรเจนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

 

ปี 2562 กลุ่ม ปตท. เริ่มต้นจากการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ด้วยการจัดตั้ง Hydrogen Thailand Club ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความพร้อมด้านเทคโนโลยีไฮโดรเจน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 80 องค์กรจากทั่วประเทศ

 

 ปี 2565 ความร่วมมือดังกล่าวทำให้เกิดสถานีนำร่องแห่งแรกของไทย จากความร่วมมือระหว่าง OR TOYOTA และ BIG ในการ

 

  • ติดตั้งสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนต้นแบบที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
  • ทดลองวิ่งรถยนต์FCEV ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น Mirai เพื่อทดสอบระบบจริง

 

ถัดมาในปี 2566 กลุ่ม ปตท. ก็ได้ก้าวสู่เวทีนานาชาติเต็มตัวจากชัยชนะของ ปตท.สผ. ในการประมูลพัฒนาโครงการ Green Hydrogen ที่ประเทศโอมาน นอกจากนี้ ปตท. ก็ได้ร่วมกับ RINA ศึกษาด้านเทคนิคในการผสมไฮโดรเจนในระบบก๊าซธรรมชาติ  และสถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อรองรับการวิจัยและการทดสอบเชิงเทคนิคด้านการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงด้วย

 

 ในปีที่แล้ว หรือปี 2567 เครือข่าย Hydrogen Thailand Club ถูกยกระดับให้เป็น สมาคมไฮโดรเจนแห่งประเทศไทย (Hydrogen Thailand Association) เพื่อทำหน้าที่กำหนดทิศทางและวางกรอบการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนในระดับประเทศ

 

 

กลุ่ม ปตท. กับบทบาทผู้นำการสร้าง Ecosystem ไฮโดรเจนไทย

 

และปีนี้ คือปี 2568 กลุ่ม ปตท. ได้เชื่อมกลยุทธ์สู่ธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในกลุ่ม ปตท. เพื่อขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในเชิงพาณิชย์ ภายใต้เป้าหมายสู่ Net Zero

 

สิ่งที่ทำให้การเคลื่อนตัวของ กลุ่ม ปตท. น่าสนใจ คือการ มองเกมระยะยาวและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้ง “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ” วางโครงข่ายทั้งหมดนี้ไปพร้อม ๆ กัน จากผู้นำด้านพลังงาน เป็นผู้สร้างระบบนิเวศพลังงานใหม่

 

  • เสนอให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.น้ำมันเชื้อเพลิง
  • ร่วมจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิตและจัดเก็บไฮโดรเจน
  • ศึกษาผลกระทบเชิงเทคนิคของการผสมไฮโดรเจนในระบบก๊าซธรรมชาติ
  • เตรียมประยุกต์ใช้ไฮโดรเจนในหน่วยงานภายในของ กลุ่ม ปตท. เพื่อสร้างต้นแบบเชิงพาณิชย์

 

ไฮโดรเจน = แต้มต่อเศรษฐกิจ + ความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ

 

แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้ไฮโดรเจนได้รับความสนใจในการต่อยอดสู่การเป็นแต้มต่อเศรษฐกิจ และยกระดับให้เป็นความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ?

 

1. ไฮโดรเจนเปิดตลาดอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศไทย

 

ประเทศไทยมีรากฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ และการผลิตอาหาร การนำไฮโดรเจนเข้ามาเชื่อมกับอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเปิดทางให้เกิด Supply chain ใหม่ ยกระดับเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกในอนาคต เช่น

 

  • การผลิตแอมโมเนียสีเขียว (Green Ammonia) ใช้ในปุ๋ย อุตสาหกรรม หรือเป็นเชื้อเพลิงเรือ
  • การผลิตเมทานอลสะอาด (Green Methanol) ใช้ในพลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสังเคราะห์
  • การผลิตเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เปิดโอกาสให้ไทยเป็นฐานผลิตเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อการส่งออก

 

2. สร้างความมั่นคงทางพลังงานรูปแบบใหม่

 

ทุกวันนี้ ประเทศไทยยังพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิลในปริมาณมหาศาล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน

 

แต่ไฮโดรเจน โดยเฉพาะไฮโดรเจนสีเขียว สามารถผลิตได้ภายในประเทศ ด้วยพลังงานหมุนเวียนที่เรามีอยู่แล้วในประเทศ เช่น

 

 

  • พลังงานแสงอาทิตย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • พลังงานลมในชายฝั่งภาคใต้
  • ระบบไฟฟ้าทดแทนในภาคอุตสาหกรรม

 

พลังงานเหล่านี้สามารถป้อนเข้าสู่ระบบผลิตไฮโดรเจนได้โดยตรง และช่วย “ลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์” เพราะยิ่งผลิตเองได้มากเท่าไร ประเทศยิ่งมีอิสระและมีเสถียรภาพทางพลังงานมากขึ้น

 

3. ตอบโจทย์การสำรองพลังงานระยะยาวที่แบตเตอรี่ยังทำไม่ได้

 

ระบบแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) เหมาะสำหรับการกักเก็บไฟฟ้าในช่วงเวลาสั้น เช่น ชาร์จไฟในแบตเตอรี่ตอนกลางวันเพื่อใช้ตอนกลางคืน แต่หากต้องการกักเก็บพลังงานไว้ “ข้ามฤดู” หรือใช้ในพื้นที่ห่างไกลจากโครงข่ายไฟฟ้า (off-grid) ไฮโดรเจนคือคำตอบที่เหมาะสมกว่า

 

เนื่องจากไฮโดรเจนไม่มีการคายประจุแม้เก็บไว้เป็นเวลานาน จึงสามารถสำรองไฟได้นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เหมาะกับการใช้ในโรงพยาบาล Data Center ชุมชนห่างไกล หรือเกาะกลางทะเล

 

 

4. เตรียมพร้อมสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในเวทีโลก

 

นอกจากประโยชน์ภายในประเทศ โลกกำลังเดินหน้าวางกฎเกมใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลไก ภาษีคาร์บอนนำเข้า (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป

 

หากประเทศไทยต้องการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่บังคับใช้ CBAM การมีระบบพลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจนจะช่วยให้ภาคการผลิตสามารถแข่งขันได้ ทั้งช่วยลดต้นทุนคาร์บอน ได้เครดิต ESG ตอบโจทย์ลูกค้าระดับโลก

 

เส้นทางสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจนของประเทศไทย

 

แม้ความเชื่อในด้านพลังงานอาจสั่นคลอนจากสถานการณ์โลกที่ผ่านมา แต่ความจำเป็นของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืนยังคงเป็นเป้าหมายที่ไม่อาจเลี่ยง นั่นคือเหตุผลว่า ไฮโดรเจนจะเป็นเสาหลักพลังงานและเสาหลักเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้

 

เพื่อให้ไฮโดรเจนกลายเป็นเสาหลักใหม่ของพลังงานไทยได้จริง ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนา 4 สิ่งสำคัญ ได้แก่

 

1. “โครงสร้างรองรับ” ต้องสร้างโครงสร้างที่แข็งแรงพอจะรองรับการเปลี่ยนผ่านในระดับประเทศเริ่มต้นจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ระบบจัดเก็บและขนส่งที่ปลอดภัย และการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าสีเขียวที่สามารถจ่ายพลังงานให้กระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การมีโครงการนำร่องที่จับต้องได้ จะช่วยให้สังคมไทยเห็นภาพการใช้งานไฮโดรเจนแบบครบวงจร และสร้างความเชื่อมั่นในระบบพลังงานใหม่นี้

 

 

2. “สร้างกลไกจูงใจ” เพื่อสนับสนุนการลงทุนและการเปลี่ยนผ่าน เช่น การลดหย่อนภาษีหรือจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงการเปิดระบบคาร์บอนเครดิตในประเทศ เพื่อให้การใช้ไฮโดรเจนสามารถแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริง

 

3. “พัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรในห่วงโซ่อุปทาน” ตั้งแต่การวิจัย การออกแบบระบบ ไปจนถึงแรงงานด้านเทคนิค ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย สถาบันอาชีวศึกษา และภาคเอกชน เพื่อวางรากฐานให้ไทยสามารถก้าวสู่การเป็นทั้งผู้พัฒนาและผู้ใช้งานเทคโนโลยีไฮโดรเจนอย่างยั่งยืน

 

4. “การทำงานเชิงรุกร่วมกัน” ไฮโดรเจนจะไม่มีวันเป็นระบบพลังงานที่ใช้ได้จริง หากขาดการประสานของทุกภาคส่วน ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุกกับภาคเอกชน ด้วยการตั้งกลไกร่วมวางแผน เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้ใช้ และเปิดพื้นที่ทดสอบจริงทั้งในนิคมอุตสาหกรรมและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถทดลอง เรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน จนเกิดเป็นระบบนิเวศไฮโดรเจนของไทยที่แข็งแรงและยั่งยืน

 

ไฮโดรเจนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือรากฐานใหม่ของพลังงานไทย

 

ไฮโดรเจนไม่ใช่เพียงความหวัง แต่เป็นระบบพลังงานแห่งอนาคตที่ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังให้ความสนใจ กลุ่ม ปตท. ได้เริ่มวางรากฐานทางด้านเทคโนโลยี, สร้างความร่วมมือ และพัฒนาธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุนในวันนี้จะเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

 

ความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน  และสถาบันการศึกษา จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ให้ไฮโดรเจนกลายเป็นระบบพลังงานใหม่ที่เป็นจริงได้ในประเทศไทย ด้วยความมุ่งมั่นและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน จะนำไปสู่การสร้างประเทศไทยที่ยั่งยืนและมั่นคงทางพลังงานมากยิ่งขึ้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

The post “ไฮโดรเจน” พลังงานทางเลือกที่กำลังก้าวสู่การเป็นเสาหลักใหม่ของระบบพลังงานไทย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบื้องลึก ปตท. ยอมถอย! ยกเลิกธุรกิจหน้ากากอนามัย-ชุดกาวน์ คาดยังมีธุรกิจที่ไม่ได้ไปต่อเตรียมปิดเพิ่มอีก https://thestandard.co/wealth-in-depth-ptt-imd/ Wed, 11 Jun 2025 11:15:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1084148

ในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจาก […]

The post เบื้องลึก ปตท. ยอมถอย! ยกเลิกธุรกิจหน้ากากอนามัย-ชุดกาวน์ คาดยังมีธุรกิจที่ไม่ได้ไปต่อเตรียมปิดเพิ่มอีก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจากประเด็นสงครามการค้า (Trade War) ขณะที่การค้าและเศรษฐโลกมีความเสี่ยงชะลอตัว ส่งผลให้แม้กระทั่งบิ๊กคอร์ปพลังงานอย่าง บมจ.ปตท. หรือ PTT ต้องยอมถอยออกมาจากธุรกิจที่เคยมองว่าจะเป็นอนาคต เพราะต้องปรับกลยุทธ์หันไปให้ความสำคัญในธุรกิจที่มีความถนัด

 

วานนี้ (10 มิถุนายน) ภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด (IMD) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ได้มีมติอนุมัติให้เลิกกิจการ ของ IMD ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท.ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ร่วมกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ที่ถือหุ้นใน สัดส่วน 60% โดยมีทุนจดทะเบียน 282 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการ แล้วเสร็จภายในปี 2568 ทั้งนี้ การเลิกกิจการของ IMD เป็นไปตามนโยบายของ ปตท.ในการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ 

 

ด้านเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในประเด็นดังกล่าวมีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ ปตท. ระบุไว้ข้างต้น

 

ทำความรู้จัก ‘อินโนโพลีเมด’ ที่กำลังจะยกเลิกกิจการ

 

บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2564 ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง IRPC และ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นทั้งหมด) มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ที่ขึ้นรูปด้วยวิธี Melt Blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น นับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบ เพิ่มเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ไทยให้ทัดเทียมกับสากล คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 4/2564 ซึ่งช่วงนั้นกำลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 

 

บรรยากาศผู้บริหารกลุ่ม ปตท. ในงานเปิดโรงงานผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (non-woven fabric) ของ อินโนโพลีเมด ณ เขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซี จ.ระยอง เมื่อปี 2565

 

โดยสอดคล้องกลยุทธ์ของธุรกิจกลุ่ม ปตท.ในตอนนั้นที่มี อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในช่วงปี 2563-2567 ที่มีวิสัยทัศน์สำคัญ คือ ‘Powering Life with Future Energy and Beyond’ โดยต้องการรุกเดินหน้าการลงทุนธุรกิจ Life Science ของกลุ่ม ปตท. โดยผสานความรู้ด้านวัสดุศาสตร์กับความรู้ด้านการแพทย์และสุขภาพของทั้งสองบริษัทมารวมกัน ขับเคลื่อนธุรกิจการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 กลุ่มธุรกิจใหม่ในด้าน Life Science ของ ปตท. ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญของการลงทุนครั้งนี้ คือ การสร้าง Product Champion ที่สามารถต่อยอดเป็นวัสดุและชิ้นส่วนประกอบที่สำคัญในอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพอื่นๆ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และส่งเสริมนโยบายการพัฒนา New S-Curve ทางด้าน Medical Technology ของประเทศไทย

 

‘คงกระพัน’ ซีอีโอคนใหม่ ปตท. ปรับกลยุทธ์ตัดธุรกิจที่ไม่สำเร็จ

 

หลังจาก ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง มารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการคนที่ 11 ของ PTT ในปี 2567 ได้ออกมาสื่อสารแผนธุรกิจในกลุ่ม ปตท. จากนี้จะต้องมองการ ‘สร้างกำไรในระยะยาว’ ขณะที่การลงทุนของจะเน้นความคล่องตัว ต้องเน้นความเร็วและการตัดสินใจที่ไว ขณะเดียวกันเราก็ต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน นำทรัพยากรที่มีมาใช้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม 

 

หมายถึงธุรกิจไหนดีต้องต่อยอด ถ้าธุรกิจไหนที่เคยดีแต่ตอนนี้ไม่ดี ก็ต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยนและทบทวนได้เร็ว โดยจากนี้ไปปตท.จะต้องปรับตัว และกลับมาทำเรื่องที่บริษัทถนัด นั่นคือ พลังงานเพื่อความมั่นคงทาง เพื่อรองรับการเติบโต และจะลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น 

 

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง มารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปตท.

 

โดย ปตท. จะไม่เน้นลงทุนจำนวนมากในเรื่องที่ไม่ถนัดและไม่เชี่ยวชาญ และหากธุรกิจใดที่ทดลองทำไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็จะปรับลด โดยอาจจะทยอยตัดขายธุรกิจนั้นๆ ออกไป จึงเริ่มเห็นการขยับถอยออกจากธุรกิจที่ไม่ถนัดหรือ ไม่ใช่ Core Business ของ ปตท.ในยุคของ ดร.คงกระพัน

 

ลดส่วนหุ้น JV ส่งสัญญาณถอยผลิตรถยนต์ EV 

 

ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2567 เริ่มเห็นสัญญาณการถอยออกของ ปตท. มาแล้วจากธุรกิจใหม่ที่อาจไม่ถนัด คือ การผลิต EV หลังจากช่วงต้นปี 2568 ปตท. เดินหน้าปรับโครงสร้างถือหุ้นใน Horizon Plus ให้บริษัทย่อย Arun Plus ถือหุ้นลดลงเหลือ 40% จาก 60% ส่งผลให้ Lin Yin บริษัทลูก ฟอกซ์คอนน์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน

 

โดยบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) ได้มีมติอนุมัติการ ปรับโครงสร้างการถือหุ้น Horizon Plus ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท. และบริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด (Lin Yin)ในสัดส่วนการถือหุ้น 60% และ 40% ตามลำดับ

 

โดยให้ Horizon Plus ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว เป็นจำนวนเงินประมาณ 5,100 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลดทุนจดทะเบียน Arun Plus และ Lin Yin จะมีสัดส่วน การถือหุ้นใน Horizon Plus 40% และ 60% ตามลำดับ และมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว คงเหลือจำนวน ประมาณ 5,400 ล้านบาท ซึ่งการลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของ Horizon Plus เป็นไปตามนโยบายการปรับโครงสร้าง การดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของ ปตท.

 

ตัวอย่างโมเดลรถ EV ที่ผลิตจากโรงงาน Horizon Plus

ตัวอย่างโมเดลรถ EV ที่ผลิตจากโรงงาน Horizon Plus

 

สำหรับตัดใจลงทุน JV ของ ปตท. ตั้งบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) เกิดขึ้นในช่วงปี 2565 ร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการร่วมทุนประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในยุคของ ซีอีโอ ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ ตั้งใจวางโพสิชันของ ARUN PLUS เป็น EV Flagship ซึ่ง Horizon Plus มีเป้าหมายที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตรถ EV บนพื้นที่กว่า 350 ไร่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งเดิมมีกำหนดแล้วเสร็จและสามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 4 ล้อ หรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ออกสู่ตลาดได้ภายในปี 2567 มีกำลังการผลิตที่ 50,000 คันต่อปีในเฟสแรก และจะขยายกำลังการผลิตไปถึง 150,000 คันต่อปีภายในปี 2567 

 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปตท. PTT 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปตท. (PTT) 

 

แต่จนถึงปัจจุบันโรงงาน JV ดังกล่าวยังไม่ได้ก่อสร้าง เพราะถูกผลกระทบจากการผลิตรถ EV ในประเทศของจีนมีปัญหาการผลิตที่เกินกับความต้องการ หรือ Oversupply ประกอบกับปัจจัยเศรษฐกิจภายในของจีนที่ยังชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ผลิตรถ EV จีนต้องเร่งส่งออกระบายรถออกมายังตลาดต่างประเทศในลักษณะทุ่มตลาด ส่งผลให้รถ EV ที่ส่งออกจากจีนมีราคาถูกหรือตกต่ำกระจายไปขายในทั่วโลก และยังสร้างปัญหาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมรถ EV ทั่วโลก จนทำให้ Horizon Plus ต้องชะลอการสร้างโรงงานผลิต EV ในไทยต่อไป 

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปรับโครางการการถือหุ้น Horizon Plus ส่งผลให้ Lin Yin กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Horizon Plus ด้วยสัดส่วนหุ้น 60% ทำให้ Lin Yin จึงกุมอำนาจในการตัดสินใจต่างๆ แทน ปตท. ที่ถอยออกมาลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 40% 

 

จ่อปิดที่ไม่ใช่ Core Business เพิ่ม

 

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจาก ปตท. เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาการยกหรือปิดกิจการในธุรกิจอื่นๆ ที่บริษัทฯ ไม่มีความถนัด หรือไม่ใช่ Core Business และไม่ทำกำไรซึ่งจะทยอยทำอย่างต่อเนื่องซึ่งจะทยอยเห็นความชัดเจนออกมาอย่างต่อเนื่องอีกในอนาคต 

 

ดังนั้น การถอยหรือตัดสินใจยกเลิกธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ชื่อ ชื่อบริษัท อินโนโพลีเมด ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับนโยบายของซีอีโอ ‘คงกระพัน’ ที่ประกาศว่าจะกลับมาทำในเรื่องที่บริษัทถนัด

The post เบื้องลึก ปตท. ยอมถอย! ยกเลิกธุรกิจหน้ากากอนามัย-ชุดกาวน์ คาดยังมีธุรกิจที่ไม่ได้ไปต่อเตรียมปิดเพิ่มอีก appeared first on THE STANDARD.

]]>
GC ฝ่าวิกฤตขาลงปิโตรเคมี ลุยปรับกลยุทธ์ หั่นต้นทุนดัน EBITDA โตหมื่นล้านใน 5 ปี เผย ปตท. เปิดทางพาร์ตเนอร์ต่างชาติร่วมลงทุน หวังฟื้นภาวะขาดทุน https://thestandard.co/gc-petrochemical-downturn-strategy-ebitda-growth/ Mon, 03 Mar 2025 14:47:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1048083 GC

GC ลุยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี หวังพลิกฟ […]

The post GC ฝ่าวิกฤตขาลงปิโตรเคมี ลุยปรับกลยุทธ์ หั่นต้นทุนดัน EBITDA โตหมื่นล้านใน 5 ปี เผย ปตท. เปิดทางพาร์ตเนอร์ต่างชาติร่วมลงทุน หวังฟื้นภาวะขาดทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
GC

GC ลุยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี หวังพลิกฟื้นจากภาวะขาดทุน เดินหน้าดัน EBITDA โต 1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 พร้อมลุยลงทุน allnex SEA Hub คาดชัดเจนภายในปี 68 ซีอีโอยืนยันธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นยังเป็นธุรกิจหลักของ ปตท. ชี้บริษัทแม่ ปตท. เปิดทางพาร์ตเนอร์ร่วมลงทุนหวังเสริมแกร่งธุรกิจ แผนปรับกลยุทธ์ไม่กระทบการดำเนินการของ GC แน่นอน

 

ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุตสาหกรรมในภาพรวมกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นโยบายสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนแปลง และภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ธุรกิจปิโตรเคมี ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทปี 2567 ขาดทุนสุทธิที่ 29,810.55 ล้านบาท จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 999.13 ล้านบาท

 

ขณะที่ในปี 2568 GC ยังเดินหน้าพลิกธุรกิจ “หยุดภาวะขาดทุน” และมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ขยายธุรกิจมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ (High Value & Low Carbon Business) เพื่อเร่งนำธุรกิจกลับสู่สถานการณ์ปกติท่ามกลางจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรม

 

โดยตั้งเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี และตั้งเป้าให้มีกำไร ก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา(EBITDA) ได้กว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี หรือปี 2573  ผ่านการประหยัดค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มี และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยมาตรการระยะกลางผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง และการเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน 

 

GC บริษัทไทยรายแรกที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐ

โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จะต้องสร้างความมั่นคงในระยะสั้น GC ได้ดำเนิน มาตรการเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ โดยบรรลุข้อตกลงการจัดหาอีเทนกับ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทรายแรกที่นำเข้าจากสหรัฐ โดยคาดว่าจะได้รับการจัดสรรปริมาณอีเทนเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปี 2567

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังใช้บริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capex) รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต

 

ส่วนการเสริมความมั่นคงด้านวัตถุดิบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนในระยะยาว GC จะที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนวัตถุดิบอื่นๆ โดยได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับ ปตท. และพันธมิตรระดับโลก ได้แก่ บริษัทย่อยใน Enterprise Products Partners บริษัท เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด และบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด เพื่อจัดหาและขนส่งอีเทนคุณภาพสูง 400,000 ตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี

 

“GC สามารถนำอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบได้โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับอีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการในปี 2572 การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง”

 

เพิ่มกำลังผลิตโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในจีน-อินเดีย

ขณะเดียวกัน GC ยังเดินหน้า allnex SEA Hub ในระยอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในเฟสแรก และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้น Waterborne Coatings และ Coating Resins ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ผลักดัน allnex ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยในปี 2567 allnex ได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โครงการนี้ช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในตลาดที่มีการเติบโตสูง

 

“ด้วยเป้าหมาย 4,500 ล้านบาทที่ตั้งไว้ จะทำให้บริษัทกลับมาเป็นบวกตามสถานการณ์ดีขึ้น และมีการบริหารต้นทุนที่ดี แต่หากสถานการณ์แย่กว่านี้ GC ก็ต้องมีแผนรองรับ แต่มั่นใจว่าเมื่อมีการบริหารต้นทุนที่ดีแล้ว จะไม่สร้างผลกระทบให้กับบริษัทไปมากกว่านี้”

 

ยันธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นยังเป็นธุรกิจหลักของ ปตท.

ณะรงค์ศักดิ์ กล่าวถึงการเปิดโอกาสให้พาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมลงทุน ตามนโยบายของคงกระพัน อินทรแจ้ง ซีอีโอ ปตท. ที่ระบุว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมของกลุ่มธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) คือกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาลง (Downcycle) นั้น

 

”ยืนยันว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นยังเป็นธุรกิจหลักของ ปตท. อย่างไรก็ตาม การที่ปตท.หาพาร์ตเนอร์เข้ามานั้นก็เป็นการคัดสรรให้บริษัทลูกแข็งแรงมากขึ้น ขณะเดียวกันเราต้องดูสินทรัพย์ของเราทุกตัว ว่าตัวไหนมีโอกาสที่จะเติบโต ขณะที่การปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ ยืนยันว่าจะไม่กระทบการดำเนินการของ GC แน่นอน เรายังเดินหน้าลดต้นทุน เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง” ณะรงค์ศักดิ์กล่าว

The post GC ฝ่าวิกฤตขาลงปิโตรเคมี ลุยปรับกลยุทธ์ หั่นต้นทุนดัน EBITDA โตหมื่นล้านใน 5 ปี เผย ปตท. เปิดทางพาร์ตเนอร์ต่างชาติร่วมลงทุน หวังฟื้นภาวะขาดทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท. รับมือปิโตรเคมีขาลง ศึกษาปรับพอร์ตกิจการ PTTGC-TOP-IRPC พร้อมศึกษาลดสัดส่วนแบ่งขายหุ้นทั้ง 3 บริษัทให้พาร์ตเนอร์ต่างชาติ คาดว่าจะมีความชัดเจนปลาย 2Q68 https://thestandard.co/ptt-strategic-plan/ Fri, 14 Feb 2025 02:10:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1041660 ปตท.

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของโลกกำลังอยู่ในภาวะวัฏจักรขาลง ลาม […]

The post ปตท. รับมือปิโตรเคมีขาลง ศึกษาปรับพอร์ตกิจการ PTTGC-TOP-IRPC พร้อมศึกษาลดสัดส่วนแบ่งขายหุ้นทั้ง 3 บริษัทให้พาร์ตเนอร์ต่างชาติ คาดว่าจะมีความชัดเจนปลาย 2Q68 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของโลกกำลังอยู่ในภาวะวัฏจักรขาลง ลามมาถึงกลุ่ม ปตท. เองก็โดนผลกระทบในรอบนี้ จึงจำเป็นต้องขยับตัวเพื่อนำพาธุรกิจให้รอดจากสถานการณ์นี้ หนึ่งในแนวทางที่กำลังศึกษาคือปรับพอร์ตกิจการบริษัทลูกนั่นคือ PTTGC, TOP และ IRPC

 

แหล่งข่าวระดับสูงจากอุตสาหกรรมพลังงานใหม่สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า บมจ.ปตท. หรือ PTT ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC, บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP และ บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC ซึ่งทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจในธุรกิจกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี โดยปัจจุบันทีมผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. อยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาและปรับโครงสร้างของทั้ง 3 บริษัท เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการรับมือกับภาพอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของทั่วโลกที่กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาลง (Downcycle) มาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากผลการกระทบที่โรงงานปิโตรเคมีของจีนที่มีสถานการณ์กำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) จำนวนมาก ส่งผลให้มีการผลิตสินค้ากลุ่มปิโตรเคมีออกมาล้นตลาด กดดันให้ราคาปิโตรเคมีทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ PTT อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับโครงสร้างทั้ง 3 บริษัทในเครือ ปัจจุบันมีการศึกษาอยู่ในหลายแนวทาง ดังนี้

 

แนวทางที่ 1 ศึกษาแนวการควบรวมกิจการของทั้ง 3 บริษัท คือ PTTGC, TOP และ IRPC ซึ่งปัจจุบัน ปตท. มีการถือหุ้นอยู่ในแต่ละบริษัทอยู่ที่ประมาณ 45% เพื่อรวมเป็นบริษัทเดียวกัน เพื่อสร้างประโยชน์ร่วม (Synergy) โดยใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัททำงานร่วมกันให้กลุ่มธุรกิจ เพราะปัจจุบันในแต่ละบริษัทยังมีธุรกิจที่ยังไม่ครบ Value Chain

 

“แนวคิดการควบรวมกิจการของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะคล้ายกับในอดีตที่ ปตท. ใช้ควบรวมกิจการธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเดิมก่อนหน้านี้ธุรกิจไฟฟ้าจะแยกไปอยู่กับบริษัทต่างๆ ในเครือ ปตท. แต่มีการปรับโครงสร้างใหม่ โดยนำธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้บริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นบริษัทแฟลกชิปธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. ปัจจุบันคือ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC และในอดีต ปตท. ก็เคยควบรวมกิจการของ PTTCH กับ PTTAR มาแล้วคือ PTTGC ในปัจจุบัน” แหล่งข่าวกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH 

 

โรงกลั่นของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC

 

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าการควบรวม PTTGC, TOP และ IRPC จะมีความซับซ้อนมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับของกรณีที่เคยควบรวมกิจการไฟฟ้าในเครือ ปตท. เพราะปรับโครงสร้างโดยการนำสินทรัพย์คือธุรกิจไฟฟ้าที่แยกอยู่กับแต่บริษัทในเครือ โดยนำสินทรัพย์นำมารวมกันอยู่ภายใต้บริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่คือ GPSC 

 

ขณะที่การควบรวม PTTGC, TOP และ IRPC จะเป็นการควบรวมบริษัทเดิมที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งทุกบริษัทยังเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 

 

อีกทั้งหากมีการควบรวมกิจการสำเร็จ ในลำดับถัดไปอาจมีการศึกษาเรื่องการขายหุ้นของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวให้กับ Strategic Partner ต่างประเทศ เพื่อเข้ามาช่วยสร้าง Synergy รวมทั้งเสริมศักยภาพการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจรับมือกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่กำลังอยู่ในช่วง Downcycle

 

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากปตท. ทำให้การศึกษาแนวทางที่ 1 ต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง ยังไม่สามารถนำไปพิจารณาต่อได้ 

 

เล็งแบ่งขายหุ้น PTTGC-TOP-IRPC เพื่อลดสัดส่วนถือหุ้น

 

แนวทางที่ 2 ศึกษาแนวทางการขายหุ้นเพื่อลดสัดส่วนถือหุ้นในทั้ง 3 บริษัท คือ PTTGC, TOP และ IRPC โดย ปตท. จะพิจารณาขายหุ้นเป็นรายบริษัท เพื่อลดสัดส่วนให้ต่ำกว่าปัจจุบันที่ถือ 45% โดยมีแนวคิดที่จะขายหุ้นให้ Strategic Partner ต่างประเทศเช่นกัน เป้าหมายหลักคือบริษัทพลังงานและปิโตรเคมีในตะวันออกกลาง รวมถึงเปิดกว้างกับพาร์ตเนอร์ต่างชาติรายอื่นๆ ที่มีความสนใจและมีศักยภาพในการลงทุนเพื่อขยายพอร์ตธุรกิจ ในการนำมาช่วยสร้าง Synergy ให้ทั้ง 3 บริษัทในเครือดังกล่าว

“โจทย์สำคัญในการขายหุ้นลดสัดส่วนในทั้ง 3 บริษัทนี้ ปตท. จะต้องไม่สูญเสียอำนาจในการบริหารจัดควบการบริหารงานด้วย” แหล่งข่าวกล่าว

 

นอกจากนี้อาจมีการพิจารณาแนวทางอื่นๆ ที่เหมาะสมเพิ่มเติมควบคู่ไปด้วย รวมทั้งมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ให้มีการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีด้วย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของแนวทางการปรับโครงสร้างธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีออกมาในช่วงปลายไตรมาส 2/68

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ Bloomberg รายงานว่า ปตท. ได้ตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง และยูบีเอส กรุ๊ป เอจี เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการศึกษาการปรับโครงสร้างในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีของบริษัทในเครือ ปตท.

 

วงการวาณิชธนกิจคาด ปตท. อยากแบ่งขายหุ้นปิโตรเคมี

 

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการวาณิชธนกิจให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ที่ผ่านมากลุ่ม ปตท. มีความพยายามในการเจรจาเพื่อลดสัดส่วนด้วยการขายหุ้นของบริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นปิโตรเคมีให้กับ Strategic Partner ต่างประเทศ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีกำลังเผชิญกับภาวะ Downcycle ส่งผลให้ไม่ได้รับความไว้ใจในการเข้าลงทุนจาก Strategic Partner ต่างประเทศ

 

โครงการ LSP ในประเทศเวียดนามของ SCGC มูลค่าลงทุนราว 1.7 แสนล้านบาท 

 

“ต้องยอมรับภาวะ Downcycle ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกตอนนี้มีผลกระทบบิ๊กคอร์ปที่อยู่ใน Sector นี้ของไทยหลายแห่ง เพราะก่อนหน้านี้ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC บริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย ก็เลื่อนแผนขายหุ้น IPO มาแล้ว โดย SCGC มีโครงการ Long Son Petrochemicals หรือ LSP ในประเทศเวียดนาม มูลค่าลงทุนราว 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งสร้างเสร็จในช่วง Downcycle ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตชั่วคราว เพราะราคาปิโตรเคมีที่กำลังตกต่ำทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ระหว่างหาพาร์ตเนอร์ที่สนใจ เพื่อแบ่งขายหุ้นในโครงการ LSP ให้ แต่ก็ยังไม่สามารถขายได้เช่นกัน” แหล่งข่าวกล่าว

 

The post ปตท. รับมือปิโตรเคมีขาลง ศึกษาปรับพอร์ตกิจการ PTTGC-TOP-IRPC พร้อมศึกษาลดสัดส่วนแบ่งขายหุ้นทั้ง 3 บริษัทให้พาร์ตเนอร์ต่างชาติ คาดว่าจะมีความชัดเจนปลาย 2Q68 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ CEO คนใหม่ของ OR https://thestandard.co/get-to-know-peekthong-thongyai/ Mon, 02 Dec 2024 08:10:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1015136 รู้จัก ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ CEO คนใหม่ของ OR

เปิดโปรไฟล์ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ หลังบอร์ด OR ไฟเขียวให้ด […]

The post รู้จัก ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ CEO คนใหม่ของ OR appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ CEO คนใหม่ของ OR

เปิดโปรไฟล์ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ หลังบอร์ด OR ไฟเขียวให้ดำรงตำแหน่งซีอีโอคนใหม่แทน ดิษทัต ปันยารชุน ที่จะเกษียณอายุครบ 60 ปีในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ 

 

โดยการเข้ามารับไม้ต่อในเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาอันท้าทาย ซึ่งขณะนี้ OR อยู่ระหว่างทบทวน Portfolio เพื่อให้สอดคล้องกับการแข่งขันทางธุรกิจ ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Global ที่อ่อนตัวจากราคาน้ำมันตลาดโลก

 

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 มีมติเห็นชอบให้ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษครั้งที่ 5/2567 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 มีมติเห็นชอบกำหนดค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์อื่น และร่างสัญญาจ้างผู้บริหารในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท และจะเสนอต่อกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเห็นชอบค่าจ้าง ผลประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ทั้งนี้ เมื่อกระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการลงนามสัญญาจ้างผู้บริหารในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท และดำเนินกระบวนการแต่งตั้ง ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ ตามลำดับต่อไป

 

สำหรับ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ อายุ 57 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT 

 

ประวัติการศึกษา

 

  • ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การเงิน) สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

  • ปริญญาตรี Bachelor of Science (Petroleum Engineering), The University of Texas at Austin, USA

 

ประวัติการทำงาน

 

  • 21 ตุลาคม 2567 – ปัจจุบัน กรรมการและกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

 

  • ปี 2565 – 9 ตุลาคม 2567 กรรมการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)

 

  • ปี 2564- 2565 รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

 

  • ปี 2559-2564 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปฏิบัติงาน Secondment ในตำแหน่งรักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด

 

จับตาภารกิจพลังงานท้าทายซีอีโอป้ายแดง

 

สำหรับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2567 กำไรสุทธิ 4,651 ล้านบาท ลดลง 57.3% จากสภาพการแข่งขันของตลาดที่สูงและแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง

 

แม้สวนทางกับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่ยังคงแข็งแกร่ง แต่มี EBITDA ลดลง 31.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจากกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global ที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ คาดว่าไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจตามเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ OR ต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ยังคงยึด 3 ธุรกิจหลัก คือ Mobility, Lifestyle และ Global Market โดยล่าสุดงัดกลยุทธ์ด้วยการเปิดตัวแผนปฏิรูปดิจิทัล ‘Digital Transformation Journey’ 

 

ปัจจุบัน OR อยู่ระหว่างการประเมินทบทวนความเหมาะสมของ Investment Portfolio เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

The post รู้จัก ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ CEO คนใหม่ของ OR appeared first on THE STANDARD.

]]>
DSI ชี้แจงกรณีข่าว DSI สรุปสำนวน PTT-OR ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวน หลังมีผู้ถือหุ้นขอตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ https://thestandard.co/dsi-ptt-or-investigation/ Fri, 29 Nov 2024 11:30:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1014342

วันนี้ (29 พฤศจิกายน) DSI ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีกระแสข่ […]

The post DSI ชี้แจงกรณีข่าว DSI สรุปสำนวน PTT-OR ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวน หลังมีผู้ถือหุ้นขอตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (29 พฤศจิกายน) DSI ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีกระแสข่าวเกี่ยวกับการสืบสวน PTT กับ OR หลังมีผู้ถือหุ้นร้องเรียนให้ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของบริษัท ล่าสุดรับเรื่องดังกล่าวไว้สืบสวน ทั้งนี้ ได้ประสานข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำที่เข้าลักษณะเป็นคดีพิเศษ

 

ตามที่ปรากฏภาพข่าวอินโฟกราฟิกตรากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุข้อความว่า “DSI สรุปสำนวน เชื่อว่าผู้ว่า ปตท. และ CEO OR พัวพันทุจริต ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน” โดยมีภาพประกอบเป็นเอกสารหนังสือระบุเป็นของ DSI และต่อมาปรากฏข่าวผ่านช่องทางสื่อต่างๆ นำเสนอภาพเอกสารราชการ รวมทั้งนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องนั้น

 

พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วและขอชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน ดังนี้

 

  1. DSI ได้รับการร้องทุกข์จากผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ขอให้ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของ PTT และบริษัทในเครือ กรณีว่าอาจมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเนื่องจากความผิดตามกฎหมายดังกล่าวมีประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กำหนดไว้ DSI จึงรับเรื่องดังกล่าวไว้สืบสวน ทั้งนี้ ได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำที่เข้าลักษณะเป็นคดีพิเศษ

 

  1. ระหว่างสืบสวนตามข้อ 1 มีผู้เสียหายยื่นฟ้องผู้บริหารในกลุ่ม PTT ต่อศาลอาญาเกี่ยวกับเรื่องเดียวกัน และศาลอาญามีหมายเรียกมายังหัวหน้าหน่วยงานที่ทำหน้าที่สืบสวนเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ส่งเอกสารสรุปข้อเท็จจริง บันทึกถ้อยคำพยานบุคคล และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ประกอบการพิจารณาของศาลอาญา ซึ่งผู้ครอบครองข้อมูลส่งเฉพาะสรุปพยานหลักฐาน เนื่องจากยังเป็นชั้นสืบสวนและยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น รวมทั้งได้ไปเบิกความประกอบเอกสารตามหมายเรียกของศาลเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

  1. เอกสารภาพข่าวอินโฟกราฟิกและภาพหนังสือราชการที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ เป็นเรื่องของคู่ความหรือบุคคลภายนอก มิใช่เอกสารหรือภาพข่าวที่ DSI เผยแพร่แต่อย่างใด

 

อนึ่ง DSI เป็นหน่วยงานมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญาที่สำคัญและเป็นหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่สืบสวนสอบสวนต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและพยานหลักฐาน จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

 

DSI ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีข่าว DSI สรุปสำนวน PTT-OR ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวน

The post DSI ชี้แจงกรณีข่าว DSI สรุปสำนวน PTT-OR ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวน หลังมีผู้ถือหุ้นขอตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท. ชี้แจงข่าวลือ ปม DSI สรุปสำนวนชี้ว่าผู้บริหาร PTT กับ OR เข้าข่ายทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตรวจสอบแล้วพบเป็นข้อมูลเท็จ https://thestandard.co/thailand-ptt-or-legal-investigation-update/ Fri, 29 Nov 2024 00:48:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1014007 ปตท.

ภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. […]

The post ปตท. ชี้แจงข่าวลือ ปม DSI สรุปสำนวนชี้ว่าผู้บริหาร PTT กับ OR เข้าข่ายทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตรวจสอบแล้วพบเป็นข้อมูลเท็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.

ภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะกล่าวอ้างว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ‘สรุปสำนวนเชื่อว่า’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเผยแพร่ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ปตท. ขอชี้แจงดังนี้

 

  1. ข่าวดังกล่าวมีที่มาจากการที่มีตัวแทนของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต โดยเข้ามาถือหุ้นในบริษัทในเครือของ ปตท. เพียง 100 หุ้น เพื่อใช้เป็นฐานในการยื่นฟ้องคดีผู้บริหารฯ ต่อศาล โดยใช้ข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูลความจริง และมีเจตนาสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของ ปตท. บริษัทในเครือ ปตท. และผู้บริหารฯ

 

  1. ข่าวดังกล่าวมีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นเป็นเพียงเอกสารที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปัจจุบันศาลยังไม่ได้รับคำฟ้องดังกล่าว และกรมสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้สรุปสำนวนตามที่กล่าวอ้างในข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด

 

  1. ปตท. เชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นความพยายามของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริต ซึ่งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพยายามกล่าวหาและโจมตีผู้บริหารฯ มาโดยตลอด โดยกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตดังกล่าวยื่นเรื่องตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อ ปตท. ให้ ปตท. ตรวจสอบในปี 2566 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบของ ปตท. และคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียนในเครือ ปตท. ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่า วันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ข้อกล่าวหาดังกล่าวปราศจากมูลความจริง ธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจตามปกติ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้ง OR และบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)

 

  1. การกระทำของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาไม่สุจริตในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีลักษณะเป็นการกระทำที่มีเป้าประสงค์เพื่อบ่อนทำลายชื่อเสียงของ ปตท. กลุ่มบริษัทในเครือของ ปตท. และผู้บริหารฯ ผ่านกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสและเจตนาแอบแฝง เช่น การเริ่มต้นเผยแพร่หรือแชร์เอกสารผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็น ‘บัญชีอวตาร’ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบัญชีปลอมหรือไม่สามารถระบุตัวตนผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังใช้ลิงก์จากต่างประเทศเพื่อให้ดาวน์โหลดหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบและการดำเนินการทางกฎหมาย

 

  1. ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของกลุ่ม ปตท. ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ และหลีกเลี่ยงการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลที่อาจบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความเสียหายต่อกลุ่ม ปตท. และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับผลกระทบด้านลบ นักลงทุนจึงควรตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน

 

ปตท. ขอยืนยันในความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

 

The post ปตท. ชี้แจงข่าวลือ ปม DSI สรุปสำนวนชี้ว่าผู้บริหาร PTT กับ OR เข้าข่ายทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตรวจสอบแล้วพบเป็นข้อมูลเท็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดเบื้องลึก ปตท. จ่อถอนลงทุนโรงงานร่วมทุนผลิตรถ EV มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หลังโดนวิกฤต Oversupply รถ EV จีนลามหนัก https://thestandard.co/wealth-in-depth-horizon-plus/ Wed, 20 Nov 2024 09:54:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1010807 ปตท. EV

สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวกับปัญหา Oversupply […]

The post เปิดเบื้องลึก ปตท. จ่อถอนลงทุนโรงงานร่วมทุนผลิตรถ EV มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หลังโดนวิกฤต Oversupply รถ EV จีนลามหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท. EV

สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวกับปัญหา Oversupply ตลาดรถ EV ในขณะนี้สะเทือนมายังผู้ประกอบการพลังงานรายใหญ่ของไทยแล้ว ส่งผลให้ บมจ.ปตท. (PTT) อาจจำเป็นต้องตัดสินใจถอนการลงทุนในโครงการร่วมทุนมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท กับกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถ EV ในไทย เบื้องลึกของเหตุผลคืออะไร

 

แหล่งข่าวระดับสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า คาดว่า ปตท. ตัดสินใจยุติการลงทุนโครงการร่วมทุน (JV) ก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยมาสักระยะแล้ว โดยเป็นโครงการที่ ปตท. เซ็นสัญญาร่วมทุนในปี 2022 กับบริษัท หลินยิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด (Lin Yin International Investment) ในกลุ่มของบริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด (Hon Hai Precision Industry) หรือฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ร่วมกันจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus)

 

โดยที่ ARUN PLUS ถือหุ้น 60% และหลินยิ่งถือหุ้นอีก 40% ตามแผนความร่วมมือด้านการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการร่วมทุนประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท

 

ขณะที่ตามแผนดำเนินงานเดิมกลุ่ม ปตท. ตั้งใจวางโพสิชันของ ARUN PLUS เป็น EV Flagship ซึ่ง Horizon Plus มีเป้าหมายที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตรถ EV บนพื้นที่กว่า 350 ไร่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งเดิมมีกำหนดแล้วเสร็จและสามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 4 ล้อ หรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ออกสู่ตลาดได้ภายในปี 2024 มีกำลังการผลิตที่ 50,000 คันต่อปีในเฟสแรก และจะขยายกำลังการผลิตไปถึง 150,000 คันต่อปีภายในปี 2030 เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้รถ EV ทั้งภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับการตัดใจลงทุน JV ของ ปตท. ในการสร้างโรงงานที่เกิดขึ้นในปี 2022 ซึ่งมี อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. ที่เพิ่งครบวาระในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้น ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง เข้ารับไม้ต่อเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่

 

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมรถ EV ของโลกกับไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจาก ช่วงปี 2022 ซึ่งไทยยังไม่มีโรงงานผลิตรถ EV ในประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลในยุคนั้นที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายสนับสนุนให้ ปตท. ดำเนินการลงทุนในโรงงานผลิตรถ EV ในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยมีสัดส่วนการผลิตรถ EV เพิ่มเป็น 30% หรือประมาณ 700,000 คันต่อปีภายในปี 2030 จากกำลังผลิตรถยนต์รวมของทั้งประเทศอยู่ที่ราว 2,000,000 คันต่อปี เพิ่มจากปัจจุบันที่มีการผลิตรถ EV ในไทยที่น้อยมากอยู่ที่ราว 10,000 คันต่อปี จากยอดรถยนต์รวมที่ 1,600,000-1,700,000 คันต่อปี

 

เปิดปมเหตุกลุ่ม ปตท. ถอนลงทุนโรงงานผลิตรถ EV

 

แหล่งข่าวกล่าวถึงสาเหตุสำคัญที่ ปตท. จะถอนการลงทุนร่วมทุนในโรงงานผลิตรถ EV ว่ามาจาก 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

 

  1. ผลกระทบจากการผลิตรถ EV ในประเทศของจีนมีปัญหา Oversupply ประกอบกับปัจจัยเศรษฐกิจภายในของจีนที่ยังชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ผลิตรถ EV จีนต้องเร่งส่งออกระบายรถออกมายังตลาดต่างประเทศในลักษณะทุ่มตลาด ส่งผลให้รถ EV ที่ส่งออกจากจีนมีราคาถูก ซึ่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมรถ EV ทั่วโลก

 

  1. ต้องยอมรับว่าจุดเริ่มต้นของดีลร่วมทุนของโรงงานผลิตรถ EV นั้นเพื่อเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ให้กับผู้ผลิตค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถ EV

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันค่ายผลิตรถยนต์จำนวนมากประกาศแผนลงทุนและเริ่มทยอยลงทุนในไทยแล้ว ทั้งกลุ่ม Great Wall Motor, NETA, MG, BYD, GAC AION และ CHANGAN ซึ่งโรงงานจะทยอยเสร็จและเริ่มผลิตรถ EV ตั้งแต่ปีนี้และต่อเนื่องถึงปี 2025 ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้โรงงาน OEM อีกต่อไป

 

“โรงงานร่วมทุนผลิตรถ EV ระหว่าง ปตท. กับฟ็อกซ์คอนน์แห่งนี้ ตอนนี้หยุดการก่อสร้างไว้ชั่วคราว เพราะอยู่ระหว่างการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะฝั่ง ปตท. คงถอนการลงทุนจากโครงการนี้ รวมทั้งคงต้องปิดบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ที่ร่วมทุนในโครงการนี้ เดิมตั้งใจให้อรุณ พลัส เป็น EV Flagship ของกลุ่ม ปตท. จากนั้นคาดว่า ปตท. จะโอนย้ายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานีชาร์จรถ EV ทั้งหมดที่เคยอยู่กับอรุณ พลัส ไปรวมไว้ภายใต้ บมจ.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ส่วนโรงงานผลิตรถ EV แห่งนี้จะเดินหน้าต่อหรือไม่นั้นก็ขึ้นกับการตัดสินใจของกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์”

 

โมเดลรถ EV ของโรงงาน Horizon Plus

โมเดลรถ EV ของโรงงาน Horizon Plus

 

ซีอีโอ ปตท. ยอมรับหยุดก่อสร้างโรงงานรถ EV ชั่วคราว

 

ขณะที่เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ดร.คงกระพัน กล่าวในงานแถลงข่าวผลการดำเนินงานของ ปตท. ในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกประจำปี 2024 ว่า ความคืบหน้าในโครงการโรงงานผลิตรถยนต์ที่บริษัทร่วมมือกับฟ็อกซ์คอนน์จากไต้หวัน เพื่อผลิตรถ EV ในไทย ปัจจุบันหยุดการก่อสร้างไว้ชั่วคราว โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ตเนอร์คือฟ็อกซ์คอนน์ เนื่องจากต้องการให้ฟ็อกซ์คอนน์เป็นผู้ดำเนินการหลักของโครงการนี้ เพราะมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจรถ EV มากกว่ากลุ่ม ปตท. โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนออกมาในปีหน้า

 

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.

 

สำหรับการพิจารณาดำเนินการธุรกิจรถ EV ต้องพิจารณาให้ดี เพราะที่ผ่านมาอุตสาหกรรมดังกล่าวเผชิญกับภาวะการแข่งขันสูงของราคารถ EV จากจีน รวมทั้งยังมีผลต่อราคาขายรถ EV ที่ลดลง แม้กระทั่ง Tesla ก็ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้ลดราคาลง ดังนั้นต้องพิจารณาโครงการที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ อย่างเช่นการลงทุนจุดชาร์จรถ EV มองว่าเป็นโอกาสมากกว่า หรือแม้แต่ไฮโดรเจนที่มีความสำคัญสำหรับการใช้ในอุตสาหกรรม

 

ปตท. ลงทุน OCA หากรัฐบาลเจรจากับกัมพูชาได้สำเร็จ

 

ขณะที่กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา หากสามารถดำเนินการและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ กลุ่ม ปตท. มีความพร้อมในการเข้าไปการแข่งขันและมีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนาในพื้นที่ OCA เพราะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจขุดเจาะสำรวจ รวมทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน และจะช่วยให้ไทยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใช้ในราคาที่ถูกลง

 

“ปตท.สผ. มีความพร้อม เพราะทำธุรกิจก๊าซธรรมชาติมาต่ออย่างต่อเนื่อง โดยมีธุรกิจที่ทำอยู่ทั่วโลก รวมทั้ง ปตท. ก็มีความเชี่ยวชาญ เป็นบริษัทของคนไทย ซึ่งแหล่ง OCA อยู่ใกล้กับเรา ดังนั้นต้องมีความพร้อม ขณะที่ ปตท.สผ. ก็มีแท่นขุดเจาะอยู่ใกล้กับพื้นที่ OCA มีระยะห่างเพียง 50-60 กิโลเมตร หากรัฐบาลสามารถตกลงกันได้สำเร็จก็จะทำเราได้ก๊าซธรรมชาติมาใช้ได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ใช้เวลาถึง 10 ปีอาจลดลงเหลือ 5-6 ปี ซึ่งมีข้อดีคือทำให้ไทยมีก๊าซทำธรรมชาติใช้ในราคาที่ถูกลง ทำให้ค่าไฟฟ้าของไทยถูกลงด้วย” ดร.คงกระพัน กล่าว

 

แผนที่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA)

แผนที่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA)

 

ชูแผนกลยุทธ์ธุรกิจ เน้นธุรกิจก๊าซธรรมชาติ-ไฮโดรเจน

 

ขณะที่แผนกลยุทธ์ธุรกิจปี 2025 และแผนธุรกิจระยะ 5 ปี (ปี 2025-2029) บริษัทจะมีการประชุม STS (Strategic Thinking Session) ช่วงกลางปีนี้ และคาดว่าจะเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาได้ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้

 

สำหรับกลยุทธ์หลักจะมุ่งเน้นการเติบโตของกำไรและรายได้ โดยกลยุทธ์ระยะสั้นจะเร่งผลักดันธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) และธุรกิจไฮโดรเจน โดยจะเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิตของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. 

 

อีกทั้งจะมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ เพื่อรองรับการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติม และมีเป้าหมายนำไฮโดรเจนเข้ามาผสมกับเชื้อเพลิงหลัก เพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในอนาคต รวมถึงธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (LNG) โดยจะมุ่งเน้นการนำเข้า LNG เพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก

 

สำหรับมุมมองภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีในปี 2025 คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีทิศทางเติบโตขึ้น และคาดว่าในปีหน้ามีการตั้งด้อยค่าน้อยลง ส่วนธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเคมีภายใต้ ปตท.สผ. คาดว่าปริมาณการผลิตและขายจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ

 

ขณะที่ ปตท.จะยังมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operational Expenditures) อย่างต่อเนื่อง หลังจากปีนี้สามารถลดลงได้ราว 8% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

สำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนของกลุ่ม ปตท. โดยเฉพาะธุรกิจหลักเดิมคือปิโตรเคมีและโรงกลั่น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง โดยแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วย คาดว่าจะมีความคืบหน้าในปี 2025 อีกทั้งยังหาพันธมิตรในธุรกิจ Life Science ซึ่งดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยคือบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2025 เช่นกัน

 

ส่วนปัญหาของ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เกี่ยวกับผู้รับเหมาช่วงโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ที่ชุมนุมบริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื่องจากไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากผู้รับเหมาหลัก บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ มีทีมเข้าไปให้คำแนะนำ เพราะถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดย TOP เป็นธุรกิจที่มีกำไรและเม็ดเงินลงทุนในโครงการเพียงพอ ดังนั้นการก่อสร้างโรงงานจะต้องเดินหน้าต่อไป

The post เปิดเบื้องลึก ปตท. จ่อถอนลงทุนโรงงานร่วมทุนผลิตรถ EV มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หลังโดนวิกฤต Oversupply รถ EV จีนลามหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท. ปรับกลยุทธ์ใหม่ ควบรวมแบรนด์ EV ดันแผนแหล่งก๊าซพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา OCA https://thestandard.co/ptt-ev-thailand-cambodia-oca/ Tue, 20 Aug 2024 12:39:58 +0000 https://thestandard.co/?p=973259

‘คงกระพัน’ ซีอีโอ ปตท. ปรับทัพ! ประกาศแผนกลยุทธ์ใหม่ เข […]

The post ปตท. ปรับกลยุทธ์ใหม่ ควบรวมแบรนด์ EV ดันแผนแหล่งก๊าซพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา OCA appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘คงกระพัน’ ซีอีโอ ปตท. ปรับทัพ! ประกาศแผนกลยุทธ์ใหม่ เขย่าธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ควบรวมแบรนด์ EV เน้นธุรกิจสถานีชาร์จ ผลักดันพัฒนาพื้นที่แหล่งก๊าซพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (Overlapping Claims Area: OCA) พร้อมส่งบริษัทลูก ‘อินโนบิก’ หาพาร์ตเนอร์ร่วมทุน ลุ้นเข้า IPO

 

คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท. ว่า ปัจจุบัน ปตท. มีธุรกิจ 2 ส่วนหลัก คือ ธุรกิจ Hydrocarbon และธุรกิจ Non-Hydrocarbon เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็น Core Business ของ ปตท.

 

คงกระพันย้ำว่า “แม้ทำได้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก และต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว”

 

โดยธุรกิจ Upstream and Power จะต้องเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิตร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่มีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ส่วนธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าต้องสร้างความน่าเชื่อถือและลดคาร์บอนให้กับกลุ่ม ปตท. ด้านธุรกิจ Downstream ต้องปรับตัวและสร้างความเข้มแข็งร่วมกับพาร์ตเนอร์ ขณะที่ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกนั้นจะมุ่งหน้าเป็น Mobility Partner ของคนไทย รักษาการเป็นผู้นำตลาด Non-Oil ควบคู่ไปกับ Non-Hydrocarbon

 

คงกระพันฉายภาพว่า ธุรกิจ Non-Hydrocarbon จะประเมินการลงทุนใน 2 มุม คือ

 

  1. ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ
  2. ต้องมีจุดแข็ง (Right to Play) ต่อยอดได้ และมีพาร์ตเนอร์ที่แข็งแรง

 

โดยได้วางแนวทางการลงทุน 3 กลุ่ม ดังนี้

 

  1. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV โดย ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และจะมีการควบรวมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. (บริษัท อรุณ พลัส จำกัด, บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด และบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด) และนำเอา OR Ecosystem ที่เป็นจุดแข็งที่มีอยู่ทั่วประเทศมาใช้ให้เป็นประโยชน์

 

  1. ธุรกิจโลจิสติกส์ โดย ปตท. จะเน้นธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ Core Business ของ ปตท. และมีความต้องการใช้

 

  1. ธุรกิจ Life Science โดย ปตท. จะต้องพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด จะหาพาร์ตเนอร์เพื่อต่อยอดธุรกิจ ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้จะเข้าตลาด (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

 

“เนื่องจากโลกเปลี่ยน เราต้องดูธุรกิจไหนที่เป็นจุดแข็งของ ปตท. ที่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากการแข่งขันสูง ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนผ่านพลังงาน กฎระเบียบข้อบังคับพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีล้นตลาด

 

“ดังนั้นปี 2024 จะเน้น Refocus จุดแข็ง มุ่งธุรกิจที่เป็น Hydrocarbon และลดสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลกำไร” คงกระพันกล่าว

 

นอกจากนี้ ปตท. มีแผนการสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับองค์กร ควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero โดยจะผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน และการดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS)

 

โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน และมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัทในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมี ปตท. ดูภาพรวม

 

“ส่วนวงเงินลงทุนตามกลยุทธ์ใหม่ในช่วง 1-5 ปี (2568-2572) จะมีการสรุปอย่างเป็นทางการในสิ้นปีนี้ โดยจะมีความชัดเจนของงบลงทุนในแต่ละธุรกิจ ขณะที่ปีนี้งบลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาทยังเดินตามแผน ส่วนกำไรจะถึง 100,000 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมาหรือไม่ต้องขอติดตามอีกครั้ง” คงกระพันกล่าว

 

ครึ่งปีโกยกำไร 60,000 ล้าน

 

สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 64,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,475 ล้านบาท หรือ 34.4% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 จากผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยจากธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จากกำไรสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยปรับลดลง ประกอบกับมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและการจำหน่ายสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. มุ่งสู่การเติบโตขององค์กรระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยเป็นกำไรจากธุรกิจ Hydrocarbon 92% และธุรกิจ Non-Hydrocarbon 8%

 

โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับภาษีเงินได้ ปตท. และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตด้านราคาพลังงานตั้งแต่ปี 2563 ในวงเงินกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

The post ปตท. ปรับกลยุทธ์ใหม่ ควบรวมแบรนด์ EV ดันแผนแหล่งก๊าซพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา OCA appeared first on THE STANDARD.

]]>
รำลึกพระบรมราโชบายด้านสายน้ำ ผ่านกิจกรรมริมคลองบางลำพู ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/royal-water-management-legacy/ Fri, 02 Aug 2024 12:37:15 +0000 https://thestandard.co/?p=977220

สายน้ำคือเส้นทางชีวิตของคนไทยมาช้านาน ตั้งแต่โบราณกาลยา […]

The post รำลึกพระบรมราโชบายด้านสายน้ำ ผ่านกิจกรรมริมคลองบางลำพู ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

สายน้ำคือเส้นทางชีวิตของคนไทยมาช้านาน ตั้งแต่โบราณกาลยาวนานมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะพสกนิกรคนไทยที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคและเดินทาง หรือองค์พระมหากษัตริย์ที่บริหารจัดการภายในเมือง และเป็นปราการธรรมชาติในการปกป้องพระนคร

 

เมื่อวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2567 ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ จึงจัดขึ้นโดยกลุ่ม ปตท. ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 มีพระราชดำริจัดตั้งโครงการพระบรมราโชบายในการพัฒนาคูคลองรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนรอบคลอง

 

 

งาน ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ จัดขึ้น ณ สวนสันติชัยปราการ (ป้อมพระสุเมรุ) ริมคลองบางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมากด้วยกิจกรรมสุดประทับใจในวิถีชีวิตริมสายน้ำแห่งพระนคร

 

ล่องสายน้ำ ชมวิถีชีวิตริมคลองบางลำพู

 

 

กิจกรรมล่องเรือชมวิถีชีวิตคลองบางลำพูได้พาเราไปสัมผัสกับวิถีชีวิตริมสายน้ำ ตลอดกิจกรรมบรรยายโดยมัคคุเทศก์ที่พาเราไปรู้จักวิถีชีวิตริมสายน้ำตั้งแต่โบราณกาล จนมาถึงการพัฒนาสายน้ำควบคู่กับการพัฒนาชุมชนตามพระบรมราโชบาย จนคลองบางลำพูกลายเป็นสัญลักษณ์ในหลายมิติของประเทศ ทั้งทางวัฒนธรรมของชุมชน การค้า แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และสถานที่ท่องเที่ยวของเกาะรัตนโกสินทร์

 

หนังสั้นเฉลิมพระเกียรติ กับสายน้ำที่เปลี่ยนไปตามพระประสงค์

 

ภายในงานยังมีการฉายหนังสั้น 2 เรื่อง นั่นคือ คาเฟ่ และ รูปวาดจากอนาคต โดยทั้ง 2 เรื่องเป็นการสะท้อนพระวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการจัดการสายน้ำ ดังเช่นพระปณิธานของพระมหากษัตริย์ไทยในทุกยุคทุกสมัย

 

เรื่อง คาเฟ่ สะท้อนให้เห็นพระเนตรอันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำริให้พัฒนาสายน้ำ อันเป็นผลทำให้คาเฟ่ต่างๆ รอบคลองบางลำพูสร้างโอกาสและวิถีชีวิตให้กับตนเองได้ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับการสืบสาน รักษา ต่อยอด พระปณิธานของพระมหากษัตริย์ไทยในการดูแลทรัพยากรน้ำ

 

เรื่อง รูปวาดจากอนาคต ถ่ายทอดภาพความฝันของเด็กสาวริมคลองบางลำพูคนหนึ่ง ที่กลับบ้านจากแดนไกลและได้เห็นชุมชนริมคลองที่พัฒนาไปดั่งที่เธอเคยฝันไว้ เหมือนดั่งทรงทอดพระเนตร ‘เห็น’ ความฝันของประชาชนด้วยตัวของพระองค์เอง

 

 

นอกจากนี้ยังมีการแสดงแสง สี เสียง และ 3D Mapping ‘พรจากสายน้ำ’ ซึ่งเป็นไฮไลต์ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ด้วยเทคนิคการนำเสนอที่ทันสมัย ผสมผสานกับเนื้อหาที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริ

 

ร้อยเรียงพระบรมราโชบายด้านสายน้ำ

 

พระปณิธานและพระวิสัยทัศน์ในการพัฒนาสายน้ำคู่คุณภาพชีวิตและชุมชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทั่วประเทศ เพื่อแก้ปัญหาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทำให้ ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ จึงจัดนิทรรศการเพื่อให้ทุกคนได้น้อมรำลึกถึงพระบรมราโชบายเกี่ยวกับสายน้ำที่สำคัญทั่วประเทศ

 

 

โครงการพัฒนาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่: ฟื้นฟูคลองสำคัญของเมืองให้กลับมาสมบูรณ์

 

โครงการพัฒนาบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร: แก้ปัญหาสิ่งปฏิกูลและการตื้นเขิน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ

 

โครงการพัฒนาบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์: แก้ภัยแล้ง เพิ่มน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค

 

โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์: ฟื้นฟูพื้นที่เพื่อการเกษตรและการใช้น้ำอย่างยั่งยืน

 

โครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร: ฟื้นฟูลำคลองและพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนโดยรอบ

 

โครงการพัฒนาถนนวิภาวดีรังสิต: แก้ปัญหาน้ำท่วมขังด้วยระบบระบายน้ำที่ทันสมัย

 

โครงการพัฒนาคูคลองเกาะรัตนโกสินทร์และคลองแสนแสบ: ปรับปรุงระบบน้ำและสภาพแวดล้อมชุมชน

 

โครงการพัฒนาที่ดินหุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี: พัฒนาชุมชนแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน

 

โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่: แก้ภัยแล้งด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ

 

โครงการพัฒนาเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี: ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนบนเกาะ

 

กิจกรรมและการมีส่วนร่วมในวิถีชีวิตและวัฒนธรรม

 

นอกจากการจัดแสดงเฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมที่สร้างความมีส่วนร่วมให้กับผู้เข้าร่วมงานก็มีรองรับให้มากมาย เพื่อให้ซึมซับและชื่นชมวิถีริมคลองอันงดงาม

 

 

เริ่มจากกิจกรรม ‘ศิลปะเฉลิมพระเกียรติฯ บนผืนผ้าใบ’ โดยนำหนังสั้น รูปวาดจากอนาคต มาถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบขนาดยาว 10 เมตร สูง 3 เมตร ซึ่งเป็นกิจกรรมเวิร์กช็อปที่เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมรังสรรค์ภาพวาดแห่งอนาคตร่วมกัน

 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปอีกมากมายให้ทำร่วมกัน ทั้งกิจกรรม The Giver อาสาส่งสุข ที่ให้เราร่วมกันทำตุ๊กตาผ้า ‘คุณช้างจับมือ’ เพื่อส่งให้ผู้ป่วยที่มีอาการเกร็งกำมือแน่น หรือการสร้างศิลปะบนถุงผ้าใส่ยาส่งต่อให้กับผู้ป่วย รวมถึงกิจกรรมทำขนมไทยหากินยาก และทำเรซินลานดอกไม้

 

 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมต่างๆ อีกมากมาย ทั้งการแสดงกลองสะบัดชัย รำโคมประทีป รำกลองยาว รำสี่ภาค และระบำเทพบันเทิง รวมถึงการแสดงอีกมากมาย พร้อมด้วยการเดินเล่นชมเมืองเก่า พร้อมช้อปสินค้าชุมชน ชิมอาหารสตรีทฟู้ดระดับมิชลินไกด์ที่ผ่านการคัดสรรแล้วว่าโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังมีร้านอาหารเด็ดย่านบางลำพู

 

 

กิจกรรม ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ โดยกลุ่ม ปตท. เป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ และรำลึกถึงพระบรมราโชบายด้านสายน้ำได้อย่างแท้จริง ด้วยการผสานวิถีชีวิตริมคลองที่เกิดขึ้นจริง รังสรรค์ออกมาผ่านกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม และได้สัมผัสสายน้ำและประวัติศาสตร์อันยาวนานของสายน้ำ อันเป็นท่อน้ำเลี้ยงชีวิตให้กับปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด

 

 

ร่วมชมหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติได้ที่:

คาเฟ่ https://www.youtube.com/watch?v=4mr_flEGeu8

รูปวาดจากอนาคต https://www.youtube.com/watch?v=3LosHzq4Yxs

The post รำลึกพระบรมราโชบายด้านสายน้ำ ผ่านกิจกรรมริมคลองบางลำพู ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>