บิว-อรพรรณ อาจสมรรถ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 23 Mar 2020 06:00:17 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Experience Design ประสบการณ์สำคัญอย่างไร ผ่านมุมมองของ Eyedropper Fill https://thestandard.co/camp-g-academy-experience-design-eyedropper-fill/ Tue, 06 Aug 2019 12:05:03 +0000 https://thestandard.co/?p=276774 Experience Design Eyedropper Fill

ทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง แต่สื่อต่างๆ พร้อมจะแย […]

The post Experience Design ประสบการณ์สำคัญอย่างไร ผ่านมุมมองของ Eyedropper Fill appeared first on THE STANDARD.

]]>
Experience Design Eyedropper Fill

ทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง แต่สื่อต่างๆ พร้อมจะแย่งความสนใจจากเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันที่แย่งสายตาของเราไปมากแล้ว เพลงที่ฟัง หนังที่ดู ซีรีส์ที่กำลังติดงอมแงม

 

ถ้าอย่างนั้นในฐานะผู้สร้างสื่อ จะทำอย่างไรให้เป็นที่ต้องตาท่ามกลางสื่อหมู่มาก

 

และในฐานะผู้เสพ เรื่องราวแบบไหนที่จะยื้อสายตาเราไว้ได้ เพราะแม้ในขณะที่คุณอ่านบทความนี้ ในเสี้ยววินาทีข้างหน้าสายตาของคุณอาจเจอกับสิ่งที่น่าสนใจใหม่ๆ เข้าอีกแล้ว

 

ดังนั้นวิธีคิดทางการตลาดในปัจจุบันจึงเปลี่ยนไป

 

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

 

นี่คือคลาส Experience Design หนึ่งในคลาสจาก Camp G The X Gen 2019 ที่บอกเล่าประสบการณ์ว่าพวกเขาออกแบบ ‘ประสบการณ์’ ในงานต่างๆ อย่างไร โดย เบสท์-วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย และนัท-นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล ผู้ก่อตั้ง Eyedropper Fill บริษัทที่ทำงานด้านมัลติมีเดียดีไซน์ โด่งดังจากการทำวิชวลในคอนเสิร์ต อีเวนต์ งานออนกราวด์ทั้งหลายที่ผสมผสานการใช้เทคโนโลยีเข้าไปด้วย 

 

วิชาแรกพาเราไปเรียนรู้จุดเริ่มต้นของทุกประสบการณ์ นั่นคือ Sense 5 ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ 

 

จุดเริ่มต้นของประสบการณ์ทั้งหลายก็จะผ่านประสาทสัมผัสของเรานี่ล่ะ จากงานวิจัยบอกว่าเราใช้ตา 83% หู 11% จมูก 3.5% สัมผัส 1.5% ลิ้น 1%

 

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

 

ระหว่างการเรียนก็มีการทำความรู้จักประสาทสัมผัสของเราให้ดียิ่งขึ้น เช่น ให้ลองใช้หูฟังเสียง แต่เล่าออกมาในรูปแบบของภาพ เช่น ฟังแล้วเห็นทุ่งหญ้าแห้งที่มีลมพัด หรือฟังเสียงนี้แล้วเหมือนมีคนขับรถแท็กซี่ยืนหายใจรดต้นคออยู่ เป็นต้น 

 

แบบฝึกหัดต่อมาให้ลองฝึกฝนจมูกของเรา โดยลองดมกลิ่นต่างๆ ที่อยู่ในกล่องทึบ แต่ให้ลองจินตนาการว่าเมื่อดมแล้วนึกถึงอะไร น่าสนใจว่าแม้จมูกจะทำงานแค่ 3.5% แต่กลิ่นเป็นผัสสะที่เรียกความทรงจำได้ดีที่สุด เช่น กลิ่นลูกเหม็นมักจะทำให้นึกถึงห้องน้ำ หรือกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มบางแบรนด์อาจทำให้นึกถึงคุณยายที่บ้านก็ได้

 

การที่ประสาทสัมผัสนี้ก้าวข้ามเขตแดนของมันที่เรียกว่า Synesthesia ซึ่งในสมองมนุษย์มันทำงานประสานกันอย่างกลมเกลียวโดยที่เราไม่ต้องออกแรง แต่เมื่อชำแหละออกมาแล้ว เครื่องมือเหล่านี้ล่ะที่จะเอาไปใช้ในการ ‘ออกแบบความรู้สึก’ อย่างที่แต่ละแบรนด์ต้องการสื่อสาร

 

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

 

แล้วการออกแบบประสบการณ์ทำอย่างไร 

 

การตลาดแบบที่เราคุ้นเคยกันดีคือ One-way Communication ที่บอกเล่าจากแบรนด์เพียงทางเดียว เช่น โทรทัศน์ TVC บิลบอร์ด วิทยุ ใบปลิว นับเป็นการตลาดแบบทางเดียวทั้งสิ้น ซึ่งเน้นไปที่การโน้มน้าวให้คนเชื่อถือในผลิตภัณฑ์หรือบริการ และตัดสินใจยอมควักเงินจากความเชื่อนั้น การตลาดประเภทนี้ยังคงมีอิทธิพลในปัจจุบัน เพราะเป็นระดับ Mass Communication หรือสามารถเข้าถึงได้เร็วและเป็นวงกว้าง 

 

แต่ในยุคสมัยแห่งโซเชียลมีเดียนี้ ยุคที่ผู้คนเริ่มร้องยี้กับความฮาร์ดเซลแบบเก่าๆ และไม่พร้อมเชื่ออะไรง่ายๆ อีกต่อไป ทำให้เกิดเป็นการตลาดแบบใหม่ การสื่อสารแบบใหม่ที่แบรนด์ต้องการบอกว่าฉันรับฟัง/มองเห็นผู้ซื้อ และบอกว่าฉันเป็นมากกว่าแบรนด์ เกิดการปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น (Two-way Communication) และหนึ่งในนั้นก็คือ Experience Marketing ซึ่งมัดใจผู้ซื้อด้วยประสบการณ์และความประทับใจที่ผู้ซื้อมีต่อแบรนด์ และในบางครั้งก็มองจุดยืนของแบรนด์มากกว่าตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการเสียเอง

 

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

 

Eyedropper Fill พาเราไปสำรวจโฆษณาหลายตัวจากทั่วโลกว่าการสร้างประสบการณ์มันออกนอกกรอบได้มากเพียงใด

 

หนึ่งในตัวอย่างที่ Eyedropper Fill หยิบขึ้นมาและสร้างความประทับใจให้กับเราก็คือ Ben & Jerry’s ซึ่งหากใครติดตามอาจจะทราบว่าเป็นแบรนด์ที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง แล้วไอศกรีมจะเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศได้อย่างไร 

 

 

ในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ จะเกิดความความรุนแรงกลางเมืองขึ้นทุกปี เพราะมีการเผาทำลายประติมากรรมรูปสายรุ้งขนาดใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ ซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับของชาวโปแลนด์ Ben & Jerry’s จึงผุดแคมเปญชื่อ The Unbreakable Rainbow ซึ่งเป็นสายรุ้งขนาดใหญ่แบบเดียวกับของเดิม เพียงแต่มันสร้างจากน้ำ ทั้งเย็นชุ่มฉ่ำและเผาไม่ได้ งานนี้ Ben & Jerry’s ได้รับพื้นที่สื่อไปกว่า 37.6 ล้านรีช (Reach) และมีคนกดเลิฟกว่า 3.55 แสนครั้ง นี่คงแสดงให้เห็นแล้วว่าฉันเป็นมากกว่าไอศกรีม แต่ฉันยังเป็นไอศกรีมที่ใส่ใจความหลากหลายทางเพศอีกด้วย 

 

เมื่อความคิดผสมโรงกับเทคโนโลยีที่ก้าวไกลในปัจจุบันแล้ว มันจะช่วยสร้างประสบการณ์ให้ความเป็นรูปธรรมสามารถเกิดขึ้นจริงได้

 

ลองนึกถึงสวนสนุกที่ให้เราใส่แว่น VR แล้วนั่งรถไฟเหาะ หรือแค่เล่นเกมมือถือแล้วมันสั่นตามเกมที่เกิดขึ้นสิ นี่คือประสบการณ์ส่วนน้อยที่ใส่เข้าไปแล้วทำให้สิ่งเดิมๆ เหล่านี้แตกต่าง และที่สำคัญคือมันทำให้คุณยังจำได้  

 

https://www.youtube.com/watch?v=7W53mxlzW5s

 

โฆษณาจาก Ikea ตัวนี้เกิดจากฟีดแบ็กที่ทางแบรนด์ได้รับจากการสำรวจความรู้สึกของคนส่วนมากที่รู้สึกต่อเฟอร์นิเจอร์ของ Ikea ว่าไม่ว่าจะว่างที่ไหนมันก็ช่างอิเกี๊ย อิเกีย 

 

Ikea จึงอยากทำลายความเชื่อนั้นโดยการสร้าง Experience Marketing โดยนำเฟอร์นิเจอร์ไปวางตามมุมต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ยุควิกตอเรียอย่างแนบเนียน แล้วให้คนทั่วไปเข้าไปจับผิดว่ามีเฟอร์นิเจอร์ Ikea อยู่ตรงไหนบ้าง โดยใช้เทคโนโลยีจากกล้องจับความรู้สึกว่าสายตาแต่ละคู่นั้นจับจ้อง มองเผินๆ หรือกระทั่งมองข้ามไปเลย แม้ว่าจะดูเป็นการตลาดที่เสี่ยงและคาดเดาไม่ได้ แต่ผลที่ได้นั้นก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เพราะแทบจะ 100% ของผู้เข้าชมที่เดาไม่ออกว่าชิ้นไหนกันที่มันอิเกี๊ย อิเกีย อย่างที่ว่า

 

ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พัด Experience ที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวไปสู่ Mass Communication ได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการแชร์บนโลกออนไลน์ผ่านวิดีโอตัวนี้ โดยโหมไปกว่า 9 ล้านรีช

 

วิชาที่สองคือการคิดงานแบบ Eyedropper Fill ที่บอกเล่าประสบการณ์ในการทำงานหลายโปรเจกต์ คุยกันตั้งแต่รับบรีฟ การแตกไอเดียเป็น My Mapping ที่เจ๋งมากๆ คือการเผยเคล็ดลับวิธีการทำงานจริงๆ ของทีมที่สนุกและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จากลานเบียร์กลายเป็นเอ็กซิบิชัน งานคอนเสิร์ตริมทะเล หรืองานเปิดตัวโครงการบ้านที่ก็หยิบ Sense 5 ที่เราเรียนไปมาใช้ในทุกกระบวนการ

 

 

 

 

อีกบทบาทหนึ่งของ Eyedropper Fill คือการเป็นนักออกแบบ ซึ่งเขาใช้ประสบการณ์นี้เป็นเกณฑ์ในการทำงาน อย่างการทำงาน Bangkok Design Week ที่ผ่านมา เราได้ร่วมฟังไอเดียการคิดที่ไม่ใช่แค่การทำงานศิลปะตามใจฉัน แต่ยังลงไปทำสารคดีและลงพื้นที่สอบถามความต้องการของชุมชนที่ท้าทายขึ้น 

 

 

วิชาที่สามคือเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยขยายขอบเขตจินตนาการของทีมให้เป็นไปได้ เราได้เรียนรู้ถึงเทคโนโลยีมากมายที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันเพื่อมาสร้างประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมมากๆ และวิชาสุดท้ายเราได้ Q&A กับทีมงานแบบเต็มรูปแบบ ไขข้อสงสัยทั้งหมดใน 2 วันที่ผ่านมาได้อย่างสมบูรณ์

 

แม้ Experience Design จะจบไปแล้ว แต่คลาสจาก Camp G The X Gen 2019 ก็มีอีกหลายคลาสที่น่าสนใจ ดังนี้ 

 

  • คลาส The Acting Effect โดย ครูร่ม-ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ (แอ็กติ้งโค้ช ผู้ก่อตั้ง Spark Drama Studio), ครูบิว-อรพรรณ อาจสมรรถ (แอ็กติ้งโค้ช ผู้ก่อตั้ง Bew’s Act-Things Studio) และครูกุ๊กไก่-รังสิมา อิทธิพรวณิชย์ (แอ็กติ้งโค้ช ผู้ก่อตั้ง ActionPlay) 
  • และปลายปีกับคลาสนิเวศวิทยาการสร้างสรรค์งาน โดย เต๋อ-นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ (ผู้กำกับ ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย..ห้ามพัก..ห้ามรักหมอ)

 

Camp G The X Gen 2019

Camp G The X Gen 2019

 

ผู้สนใจสามารถเข้าไปทำความรู้จักกับทุกคลาสของ Camp G Academy ตลอดปีนี้ได้ที่ CampG

 

 

 

และเช็กตารางเรียนพร้อมจองคลาสที่ชอบได้ทาง www.ticketmelon.com/campg/campgthexgen

 

ภาพ: G Village

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post Experience Design ประสบการณ์สำคัญอย่างไร ผ่านมุมมองของ Eyedropper Fill appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Acting Effect ลงลึกถึงศาสตร์การแสดง เพื่อเรียนรู้ตัวเอง ค้นหาพื้นที่ปลอดภัย และแบกมันไปด้วยทุกที่ https://thestandard.co/the-acting-effect/ Tue, 25 Jun 2019 13:51:46 +0000 https://thestandard.co/?p=265410

อย่ามาแสดง!    ภาพของนักแสดงที่โดดเด่น โลดแล่ […]

The post The Acting Effect ลงลึกถึงศาสตร์การแสดง เพื่อเรียนรู้ตัวเอง ค้นหาพื้นที่ปลอดภัย และแบกมันไปด้วยทุกที่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

อย่ามาแสดง! 

 

ภาพของนักแสดงที่โดดเด่น โลดแล่นตามบทบาทที่ได้รับ ที่ถูกฉายอยู่บนจอภาพยนตร์, โทรทัศน์, หน้าจอสมาร์ทโฟน ไปจนถึงความคลุมเครือของนิยามคำว่า ‘แสดง’ ที่ทำให้หลายครั้งประโยคข้างต้นถูกหยิบไปใช้ในเชิงต่อว่า กระแนะกระแหนเมื่อเห็นใครคนใดคนหนึ่งแสดงพฤติกรรมที่น่าสงสัยหรือไม่พึงใจขึ้นมา 

 

ทั้งที่ในความเป็นจริง ‘การแสดง’ ก็ไม่ต่างจากศาสตร์อื่นๆ ที่แทรกซึมอยู่กับทุกๆ อิริยาบถในชีวิตประจำวัน หลายครั้งก็แนบชิดมากเสียจนเราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทั้งวัจนะและอวัจนภาษาที่สื่อสารออกมาล้วนผ่านกระการที่เรียกว่า ‘การแสดง’ ด้วยกันทั้งนั้น 

 

THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับ ร่ม-ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ (ผู้ก่อตั้ง Spark Drama), บิว-อรพรรณ อาจสมรรถ (ผู้ก่อตั้ง Bew’s Act-Things), กุ๊กไก่-รังสิมา อิทธิพรวณิชย์ (ผู้ก่อตั้ง ActionPlay) 3 แอ็กติ้งโค้ช และครูสอนการแสดงจาก 3 สถาบันชื่อดัง ที่กำลังจะร่วมกันส่งผ่านความสำคัญของ ‘ศาสตร์’ การแสดงใน The Acting Effect ในโปรเจกต์ Camp G The X Gen

 

ในฐานะศาสตร์ที่ดูเหมือนไกลแต่ใกล้ตัวที่สุด ศาสตร์ที่จะพาทุกคนลงลึกไปทำความเข้าใจตัวเอง ยอมรับทั้งด้านดีและร้าย มองเห็นมุมที่แตกต่างของคนอื่น ศาสตร์ที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวตน และแบกพื้นที่นั้นไปด้วยทุกที่ 

 

ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปเราอาจเปลี่ยนการใช้คำว่า ‘อย่ามาแสดง’ ในบริบทต่อว่า เป็นการชื่นชมใครสักคนหนึ่งที่สามารถ ‘แสดง’ ออกซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสมในแต่ละบริบทและสถานการณ์ก็ได้ 

 

วิดีโอโปรเจกต์ Camp G The X Gen

 

 

จากซ้ายไปขวา ร่ม ร่มฉัตร, บิว อรพรรณ และกุ๊กไก่ รังสิมา

 

คลาส The Acting Effect คืออะไร ถ้าไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ จะเข้ามาเรียนคลาสนี้ได้หรือเปล่า

บิว: คอร์ส The Acting Effect เหมาะสำหรับคนที่สนใจเรื่องการแสดง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงอยู่แล้ว หรือคนทั่วไปที่อยากค้นหาว่าจริงๆ แล้วศาสตร์การแสดงคืออะไร ซึ่งเรา 3 คนจะสอนเน้นเรื่องการเข้าใจตัวเองก่อน เพื่อนำไปสู่การเข้าใจคนอื่น และสื่อสารความเข้าใจนั้นออกไป เพราะจริงๆ แล้วศาสตร์การแสดงก็คือศาสตร์ของความเป็นมนุษย์ ทั้ง 3 คนก็จะมีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสร้างการสื่อสารกับตัวเองและคนอื่นอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดด้วยศาสตร์การแสดง 

 

ในช่วงท้ายคอร์สของเรา 3 คน จะมีให้ทำ Scene Work นักเรียนทุกคนจะได้ทดลองทำการแสดงในสถานการณ์ต่างๆ โดยมีครูคอยเป็นไกด์ในการแสดง และจะได้คำคอมเมนต์และฟีดแบ็ก 3 มุมมองจากพวกเราทั้ง 3 คน 

 

 

ศาสตร์ของการแสดงจริงๆ แล้วคือคุณต้องจริงกับตัวเองที่สุด คุณถึงจะทำการแสดงได้

 

เราจะเข้าใจตัวเองจากศาสตร์การแสดงได้อย่างไร ในยุคที่หลายๆ คนมักจะแซวกันว่า ‘อย่ามาแอ็กติ้ง’ หรือ ‘อย่ามาแสดง’ กันจนเป็นเรื่องปกติ 

บิว: เรารู้สึกว่าคนเข้าใจคอนเซปต์ของการแสดงผิดว่าการแสดงคือการเสแสร้ง แต่ในศาสตร์ของการแสดงจริงๆ แล้วคือคุณต้องจริงกับตัวเองที่สุด คุณถึงจะทำการแสดงได้ เพียงแค่เราจริงที่สุดในสถานการณ์จำลองเท่านั้น เพราะฉะนั้นการแสดงของเรามันเลยเพียวมาก จริงใจมาก ไม่ใช่การ Fake หรือแกล้งทำ  

 

กุ๊กไก่: แบบฝึกหัดแรกๆ ที่เราต้องทำเลยคือการเรียนรู้จากตัวเองว่าเราตอบสนองกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบกับเราอย่างไร มันคือการเข้าไปค้นหาความรู้สึกต่างๆ ในตัวเรา เป็นกระบวนการแรกที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น 

 

บิว: มันเหมือนกระบวนการทำ Self Analyze นะ เคยเป็นไหมที่อยู่ๆ รู้สึกโกรธขึ้นมา แต่หาตัวเองไม่เจอว่าเราโกรธเรื่องอะไรวะ แต่พอเรียนการแสดง เราจะพาย้อนกลับไปจนเจอว่า อ๋อ โกรธเพราะเมื่อกี้ที่คนขับรถตัดหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ เห็นภาพความโกรธต่อเนื่องมา โดยที่ปกติอาจจะแค่โกรธ แต่ต้องมาคำนึงว่าโกรธเพราะอะไร ความรู้นี้เกิดขึ้น ณ วินาทีไหนของการใช้ชีวิต 

 

กุ๊กไก่: ไม่อย่างนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจกระบวนการนี้ เวลาอ่านบทแล้วบอกว่าโกรธ มันจะโกรธแค่แบบเดียว เพราะทุกคนก็จะนึกถึงภาพโกรธแบบ Clichés ที่เห็นกันอยู่ทั่วไปว่าแบบนี้คือโกรธ แต่พอเรียนการแสดงจริงๆ มันคือการดูในมุมมองของการเป็นมนุษย์ว่าแต่ละคนมีวิธีการรีแอ็กกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร บางคนอาจจะโกรธ บางคนอาจจะทำนิ่งๆ แล้วเบือนหน้าหนี หรือบางคนก็อาจจะออกไปด่าเลย

 

ร่ม: เวลาใช้คำว่า ‘อย่ามาแสดง’ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปดูจากสื่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการแสดงออกด้านลบ แล้วถูกแปะป้ายกลายเป็นว่า เฮ้ย อย่ามาแสดงสิ่งที่ไม่ดีใส่ ซึ่งถ้าไปดูในตัวสื่อหลายๆ เรื่องที่เป็นการแสดงที่ดีก็มีนะ แต่ไม่ถูกนำมาใช้ ไม่มีคนบอกว่า เฮ้ย สิ่งที่เธอแสดงออกมาดีเนอะ 

 

ทุกอย่างมันมีทั้งด้านดีและไม่ดี ในชีวิตมนุษย์ไม่มีใครสามารถเลือกขาวหรือดำได้เสียทีเดียว การแสดงก็เหมือนกัน เพียงแค่การแสดงถูกติดฉลากในทางลบมากกว่าทางบวก เพราะถูกคนที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ เอาไปเรียกมากกว่า 

 

 

จริงๆ แล้วคำว่า ‘แสดง’ ควรถูกใช้เป็นคำชม เมื่อมีใครสักคนหนึ่งแสดงออกบางอย่างด้วยความเข้าใจและเหมาะสม มากกว่าใช้เป็นคำด่าด้วยหรือเปล่า

ร่ม: อันนี้ยาก 

 

บิว: ในความเป็นบุคคลทั่วไปจะสงสัยว่าเรียนแอ็กติ้งไปทำไมในเมื่อไม่ต้องไปแคสติ้งหรือเข้าสู่วงการที่ต้องแสดงบทบาทอะไร แต่เรากำลังจะบอกว่า เดี๋ยวก่อน การแคสติ้งจริงๆ ก็คือการมีคนมาดู และเลือกว่าเรามีดีหรือเหมาะสมกับสิ่งที่เขาจะทำหรือเปล่า 

 

ถ้ามองในมุมกลับไป การแคสติ้งเกิดขึ้นในการสมัครงาน เพราะเราต้องพรีเซนต์ตัวเองว่าเรารู้สึกอะไร มีข้อดีอะไร ความต้องการของเราตรงกับความต้องการของคุณไหม ชีวิตเราถูกคัดเลือกจากคนที่มองเข้ามาอีกเยอะแยะมากมายในสถานการณ์ต่างๆ เต็มไปหมดเลย 

 

ร่ม: ที่บอกว่ายาก เพราะเราคิดว่าไม่เสมอไปถ้าจะบอกว่าการแสดงควรจะออกมาเป็นแง่บวกอย่างเดียว เพราะ Objective หรือวัตถุประสงค์ของมนุษย์เรานี่ล่ะที่เป็นความอันตรายบางอย่างนะ ที่พอรู้วัตถุประสงค์ของตัวเองชัดเจน เช่น จะทำเพื่อให้เขายอมเราให้ได้ กลายเป็นอาการร้องไห้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ขึ้นมา เวลาพูดถึงการแสดงเรามองเป็นกลางมากเลยนะ มนุษย์เราไม่ได้สวยงาม มีบวก มีลบ มีดาร์กไซด์ที่สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าคุณนำสิ่งที่เรียนไปใช้ในทางที่ถูกหรือผิด

 

แต่พูดให้ลึกกว่านั้น เราว่ามันผิดประเด็นไปเหมือนกันที่ต้องหาคำตอบว่าการเรียนแอ็กติ้งแล้วต้องเป็นบวกลบ หรือดีไม่ดี เพราะจุดประสงค์จริงๆ ของการแสดงมันคืออย่างที่บอกแต่แรกว่า ให้เริ่มจากทำความเข้าใจตัวเอง ซึ่งในตัวเรามันซับซ้อนกว่านั้นมาก และถ้าเข้าใจหรือค้นพบด้านที่ลบของตัวเอง ก็เรียนรู้ว่าจะอยู่กับสิ่งที่เป็นด้านลบในตัวเองอย่างไร นี่คือประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจก่อน เพราะว่าเราไม่ได้โลกสวย 

 

ฟังดูแล้วการเข้าใจตัวเองผ่านศาสตร์การแสดงเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลามากพอสมควร แต่ในคอร์สนี้ที่อาจจะมีเวลาไม่มากขนาดนั้น แต่สิ่งที่คนเรียกจะได้กลับไปแน่ๆ คืออะไร 

ร่ม: ทั้งหมดเหมือนเรากำลังพูดถึงสิ่งที่อยู่บนจุดสูงสุด ทำให้ฟังดูเหมือนกระบวนการพวกนี้เกิดขึ้นได้ยาก แต่จริงๆ แล้ว Objective มีตั้งแต่ตื่นมาแปรงฟัน แต่งตัวไปทำงาน

 

บิว: หรือหิวข้าวเดินไปตู้เย็น อ้าว ในตู้เย็นไม่มีข้าว จะทำอย่างไรต่อไป เดินออกไปซื้อ โทรสั่ง LINE MAN นี่คือกระบวนการที่มนุษย์คนหนึ่งทำเพื่อให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ 

 

 

ในฐานะแอ็กติ้งโค้ช เคยใช้ทักษะทางการแสดงร้องไห้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่างบ้างไหม 

กุ๊กไก่: อาจจะเป็นบางครั้ง ยังไงในความหมายของความเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถรู้ตัวได้ตลอดหรอกว่ากำลังใช้สิ่งนี้อยู่ 

 

ร่ม: หรือเราอาจจะไม่ได้ในโมเมนต์นั้น เรากำลังใช้การแสดงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างอยู่ แต่พอทำไปแล้วค่อยมานั่งคิดได้ว่า อ๋อ ที่เราเลือกแบบนี้เพราะอะไร มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิด แต่ผ่านจิตใต้สำนึกที่ทำไปแล้ว ด้วยอาชีพทำให้เราจะมีความระมัดระวังตัวสูง และต้องกลับมาวิเคราะห์ตัวเอง

 

กุ๊กไก่: พอทำงานไปเรื่อยๆ ระหว่างทำงานเราก็ต้องดูเด็ก ดูนักแสดงว่า เฮ้ย มันเป็นยังไง รู้สึกยังไง ต้องการอะไรบ้าง แล้วก็มีติดตัวออกไปบ้างในบางที 

 

ร่ม: กลับมาที่ 3 เรื่องที่คุยกันตั้งแต่แรก คือเราต้องเข้าใจตัวเองก่อน สิ่งที่ต้องเรียนแน่ๆ คือรู้ว่าถ้าทำอะไรแต่ละอย่างในชีวิต คุณทำสิ่งนั้นไปเพราะอะไร ต้องเรียนรู้ Objective ก่อน เพราะมันเป็นประเด็นหลักของการเรียนรู้ศาสตร์การแสดงแน่ๆ 

 

 

คอร์สการแสดงเหมือนเป็นการเริ่มสเตปที่หนึ่งที่ทำให้เขายอมรับตัวเองให้ได้ก่อน แล้วนำไปสู่สเตปต่อมาว่า เขาอยากดีขึ้นกว่านี้ไหม

 

 

มีเคสของนักเรียนคนไหนบ้างไหมที่ยกเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนได้ว่าเรียนการแสดงแล้วนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ 

บิว: มีเคสหนึ่งประทับใจมาก นักเรียน ม.6 เก็บเงินมาเรียนเอง เป็นคนที่ขี้กลัวมากๆ เหมือนคาแรกเตอร์ในหนังหรือการ์ตูนที่ทำผมปิดหน้า พยายามทำตัวเองให้เล็กที่สุด ถึงขนาดเดินชนกำแพงยังยกมือขอโทษกำแพงเลย เขารู้ตัวว่าไม่ได้มีความมั่นใจมากพอที่จะไปเจอคน ไปมีเพื่อน หรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนเก่ง มีไอเดียที่ดี เพราะมีความกลัวเป็นกำแพงอยู่ เขาก็เลือกมาเรียนการแสดง เพราะรู้ว่าถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังเป็นแบบนี้ เขาเข้ากับเพื่อนไม่ได้แน่ๆ 

 

พอเรียนจบเราก็แอบตามอินสตาแกรมเขา กลายเป็นสาวสวยคนหนึ่งที่มั่นใจ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปตัวเอง แล้วก็เป็นหัวหน้าชมรม หรือเคยเจออัยการมาเรียนเพราะว่าเคยว่าความไปก้มหน้าไป ไม่กล้าอายคอนแท็กกับใคร สุดท้ายก็เฉิดฉาย 

 

ร่ม: คอร์สการแสดงเหมือนเป็นการเริ่มสเตปที่หนึ่งที่ทำให้เขายอมรับตัวเองให้ได้ก่อน แล้วนำไปสู่สเตปต่อมาว่า เขาอยากดีขึ้นกว่านี้ไหม ถ้าอยากดีขึ้นแล้วเป็นแบบนี้ เวลาอยู่กับคนอื่นฉันต้องสวมหมวกหรือสวมคาแรกเตอร์บางอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างเพื่อนใหม่ หรือดีลกับอะไรก็แล้วแต่ 

 

กุ๊กไก่: พอยอมรับตัวเองได้ เราจะมีเทคนิคบางอย่างที่นักแสดงมืออาชีพใช้ เพื่อให้เขาปลดล็อกอะไรบางอย่าง ทั้งทางร่ายกายหรือจิตใจ ซึ่งมันเป็นการทำงานร่วมกันนะ เราบังคับเขาไม่ได้ ต้องคุยกันว่าเขาอยากไปต่อไหม ถ้าเขาแฮปปี้เราก็จะปล่อย เพราะไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องดูมีความมั่นใจเสมอไป ถ้ายอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่แล้วแฮปปี้ ให้เป็นแบบนั้นไปก็ได้  

 

บิว: ในคลาสการแสดงเราจะไม่บังคับให้เขาต้องทำอย่างนี้ แต่อาจจะเหมือนค่อยๆ หลอกล่อให้เขาเจอตัวเอง เราเป็นแค่ไกด์ที่นำเสนอเครื่องมือบางอย่างให้เขา 

 

กุ๊กไก่: มีตัวอย่างเคสหนึ่งที่ง่ายมาก เป็นน้องนักศึกษาที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่สวยตลอดเวลา โจทย์ที่เราให้ก็คือ เขาต้องแต่งตัว แต่งหน้าที่คิดว่าตัวเองสวยที่สุดมาเรียนทุกครั้ง เป็นวิธีแบบ Outside-In เปลี่ยนจากข้างนอกก่อน แล้วนางก็แต่งตัว แต่งหน้าสวยมาเรียน ทุกวันนี้ก็สวยและมั่นใจมากว่า หนูสวยค่ะ (หัวเราะ) 

 

 

 

จริงๆ แล้วเขาอาจไม่ต้องมาเข้าเรียนด้วยซ้ำ ถ้ามีความมั่นใจมากพอ 

ร่ม: คนบางคนต้องการแค่แรงซัพพอร์ต ซึ่งจริงๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ที่บ้าน แต่หลายครั้งปัญหาก็เกิดจากการที่ที่บ้านไม่ยอมคุยกัน ไม่ซัพพอร์ตกัน เขาเลยต้องมาตามหาสิ่งนี้ในคลาสแอ็กติ้ง บางทีเราก็เป็นเหมือนแม่ที่คอยซัพพอร์ตให้เขานะ (หัวเราะ) 

 

บิว: หรือบางทีที่บ้านก็ซัพพอร์ตนะ แต่เป็นเขาเองไม่เปิดใจที่จะฟัง เขาอยากฟังเสียงของคนอื่น พออยู่ในคลาสการแสดง เราจะเปิดให้มีการพูดคุย แชร์ความคิด แชร์ความรู้สึกกันเยอะมาก เขาจะรับรู้ความคิด ความรู้สึกทั้งจากครูผู้สอนและเพื่อนๆ ในคลาส เป็นการสะท้อนภาพซึ่งกันและกัน เป็นกลุ่มที่มีความเปิดใจคุยกัน แต่ก็มีความปิด มีความสบายใจบางอย่าง ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ

 

ร่ม: การสร้างพื้นที่ปลอดภัยนี้ขึ้นมาให้ได้คือโจทย์หลักของคลาสการแสดง คุณจะเป็นอะไรก็ได้ เพี้ยนที่สุด โรคจิตที่สุด ตัดสินคนอื่นที่สุด ลงไปให้ลึกถึงแง่ลบที่สุดของตัวเอง เพื่อให้เห็นว่านี่คือตัวตนของคุณนะ แล้วคนอื่นช่วยสะท้อนให้เห็นภาพว่า เมื่อคุณเป็นแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ใช่การตัดสินว่าผิดหรือถูกนะ เราแค่สะท้อนภาพซึ่งกันและกันออกมา 

 

กุ๊กไก่: เวลาเราให้แสดงสถานการณ์จำลองบางอย่าง เขาจะได้เห็นว่าในแต่ละสถานการณ์ เช่น โทรศัพท์หาแม่ ทำไมเขาใช้รีแอ็กชันอย่างหนึ่ง แล้วทำไมเพื่อนอีกคนใช้รีแอ็กชันอีกอย่างหนึ่ง ก็จะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ทำให้เขาเข้าใจคนรอบข้างด้วย จากที่ก่อนหน้านี้เคยแต่ตัดสินคนอื่นว่าทำไมถึงทำแบบนี้วะ ได้เห็นที่มาว่าทำไมปลายทางของเราและเขาถึงเป็นแบบนี้ ใต้ภูเขาน้ำแข็งยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกเยอะมาก 

 

บิว: เราเคยเจอคนคนหนึ่งที่สงสัยว่าทำไมคนถึงไม่ชอบเขา พอได้ใช้เวลาเรียนรู้อยู่ด้วยกันทำให้รู้ว่า อ๋อ เพราะเวลาเขาตกใจ กลัว หรือทำตัวไม่ถูก เขาจะรีแอ็กชันออกมาด้วยการหัวเราะ แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เวลาเพื่อนคุยซีเรียสก็จะหัวเราะออกมา ซึ่งทำให้คนอื่นมองเข้าไปแล้วตีความว่าเขาไม่เคารพคนอื่น 

 

ถ้าไม่ได้อยู่ในคลาสการแสดง เราจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองขึ้นมาจากที่ไหนได้บ้าง 

ร่ม: ในความเป็นจริงแล้วมันควรจะเริ่มต้นจากที่บ้านเลยนะ เป็นเรื่องที่มีคนพูดเกี่ยวกับลูกเราเยอะที่สุดว่า เพราะแม่เป็นแอ็กติ้งโค้ช ลูกเลยดัดจริต กล้าแสดงออกทุกอย่าง เหมือนถูกด่าเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่เราไม่โกรธนะ 

 

เพราะรู้สึกว่าถ้าเราสร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้านขึ้นมาได้ว่า อยากเป็นอะไร เป็นไปเลย อายุ 3 ขวบ อยากกระโดดโลดเต้นแบบ BLACKPINK ซึ่งคนก็จะตัดสินว่าดัดจริตเกินวัยไปหรือเปล่า แต่สำหรับเรากับแฟนรู้สึกว่า มันจะโอเคกว่าหรือเปล่าที่เขาจะออกไปทำที่อื่น เพราะรู้สึกว่าที่บ้านไม่ปลอดภัย

 

บิว: จริงๆ คนที่ควรมาเรียนคลาสแอ็กติ้งต้องเป็นพ่อแม่ด้วยนะ (หัวเราะ) กว่า 99.99% ปมของแทบทุกคนมาจากครอบครัว มักจะมีพ่อแม่เดินเข้ามาบอกเราว่า ครูคะ ช่วยดูให้หน่อย ลูกไม่กล้าแสดงออกเลย เรียนก็ไม่เก่ง ทำอันนี้ก็ไม่ดี แล้วก็จะพยายามโค้ชลูกใหญ่เลยว่าให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ 

 

 

 

มีวิธีการอย่างไรให้ทุกคนรักษาพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถทำอะไรก็ได้เอาไว้ได้ตลอด โดยไม่ถูกรุกรานหรือโจมตีจากคนอื่นๆ เพราะบางคนอาจจะมีพื้นที่ปลอดภัยในการเต้น วาดรูป การอ่านการ์ตูน ฯลฯ แต่พอทำแบบนั้นในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่บ้าน แล้วถูกคนอื่นๆ มองว่าบ้าหรือไม่ปกติ 

ร่ม: หลังผ่านสเตปแรกในการทำความเข้าใจตัวเอง ค้นพบแล้วว่าพื้นที่ปลอดภัยของเราคืออะไร สเตปที่สองก็คือการแสดงออกหรือสื่อสารข้อความบางอย่าง ผ่านวิธีการมากมาย เพื่อสร้างเส้น สร้างประตู เพื่อแจ้งให้ทราบว่านี่คือพื้นที่ปลอดภัยของฉัน

 

บิว: จริงๆ วิธีที่ดีที่สุดต้องเริ่มจากสเตปแรกที่ทำความเข้าใจตัวเองก่อนจริงๆ ถ้าเรารู้สึกมั่นคงกับตัวเองมากพอ รู้ว่าเราทำสิ่งนี้ แสดงออกแบบนี้ด้วยเหตุผลอะไร ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรุกล้ำพื้นที่ของเราได้ 

 

ร่ม: นอกจากสร้างพื้นที่ปลอดภัยในตัวเองขึ้นมาได้แล้ว สิ่งที่ได้จากแอ็กติ้งคลาสก็คือการแบกพื้นที่นั่นออกไปด้วยในทุกๆ ที่ คล้ายๆ กับเวลานักแสดงมืออาชีพที่เราแอบรู้สึกว่าเขาจะแสดงได้ดีก็ต่อเมื่อเขารู้สึกรีแล็กซ์ และได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ถึงแม้ว่าในกองถ่ายจะมีอีกหลายคนและอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันก็ตาม 

 

บิว: เราชอบพูดกับนักแสดงว่า ถ้าคุณจะเป็นนักแสดงจริงๆ ต้องเปลือยหมด เหมือนนึกภาพว่าเราไปยืนแก้ผ้าอยู่บนเวที แก้ผ้าอยู่หน้ากล้อง ต้องเปลือยความรู้สึกออกมาให้ได้มากขนาดนั้น 

 

กุ๊กไก่: ในคลาสการแสดงของเมืองนอก ถึงขนาดว่าต้องนอนแก้ผ้าแล้วนอนทับกันไปเรื่อยๆ เลยนะ 

 

 

 

คลาสแอ็กติ้งของนักแสดงมืออาชีพกับคลาสสำหรับคนทั่วไปแตกต่างกันอย่างไรบ้าง 

บิว: พื้นฐานที่สุดเหมือนกัน คือย้อนไปที่เรื่องการเข้าใจตัวเอง เพราะถ้านักแสดงไม่รู้จักตัวเอง เขาจะแกว่งเวลาไปเป็นตัวละครอื่น เลยมีหลายคนที่พอเข้าบทบาทแล้วออกจากตัวละครนั้นๆ ไม่ได้ เขาต้องเข้าใจตัวเองในสเตปแรกให้มากๆ ก่อนเข้าสู่สเตปต่อมาคือ การสังเกตคาแรกเตอร์ที่แตกต่างจากบุคคลอื่นๆ ถ้าฉันทำแบบนี้ คนอื่นทำยังไง เปรียบเทียบตัวละคร เริ่มปรับมุมมอง ถ่ายเทพฤติกรรมของตัวเองเข้าหาตัวละครนั้น 

 

ร่ม: กระบวนการแสดงของนักแสดงมืออาชีพเลยต้องใช้เวลาในการศึกษาที่นานมากๆ และสะท้อนกลับมาที่เดิมว่า ยิ่งเป็นตัวละครที่แตกต่างกับตัวเองมากๆ คุณยิ่งต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น 

 

เคยคุยกับนักแสดงบางคนที่บอกว่า ต้องพาตัวเองไปเข้าคลาสแอ็กติ้งทุกๆ 3 หรือ 6 เดือน อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าการแสดงนอกจากเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลานาน แล้วยังเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย 

บิว: เหมือนการออกกำลังการเพื่อสร้างกล้ามเนื้อทางความรู้สึก สิ่งสำคัญของการเรียนแอ็กติ้งคือการเปิดประสาทสัมผัส ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองเซนสิทีฟที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่หยุดใช้ ความแหลมคมของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ก็จะเหี่ยวไปด้วย 

 

ร่ม: แต่จะมีความแตกต่างตรงที่ สมมติฝึกซ้อมว่ายน้ำมาตลอด วันหนึ่งคุณหยุด กลับมาอีกที พอกระโดดลงน้ำยังว่ายได้อยู่ แต่ถ้าคุณฝึกการแสดง ฝึกประสาทสัมผัสมาตลอดแล้วหยุดไปนาน พอกลับมาเหมือนกล้ามเนื้อฝ่อ มันจะทำอะไรไม่ถูกเลย 

 

 

 

ตามปกติเวลาที่เราทำงาน หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลานาน จะเกิดภาวะเริ่มไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งนั้นเท่าไร กับศาสตร์การแสดงที่ต้องอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก ต้องฝึกประสาทสัมผัสให้แหลมคมตลอดเวลา เคยทำให้พวกคุณรู้สึกเฉยชากับการทำสิ่งนี้ซ้ำๆ บ้างไหม 

ตอบพร้อมกัน: ตรงกันข้ามเลย (หัวเราะ) 

 

ร่ม: มีแต่ยิ่งเซนสิทีฟแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปัญหาเหมือนกันนะ คือพอรู้สึกเยอะ เราต้องเรียนรู้เพื่อปิดความรู้สึกให้ได้ด้วย บางทีแค่เปิดพัดลม มีแอร์เย็นๆ พัดมาก็ร้องไห้ มันทรมานไปหมด 

 

กุ๊กไก่: อีกหนึ่งสิ่งที่นักแสดงต้องเรียนก็คือการคัตความรู้สึกพวกนี้เวลามีมากเกินไปให้ได้ 

 

ร่ม: อันนี้คือเรื่องของการใช้ความรู้สึก ที่มีแต่จะเซนสิทีฟมากขึ้น แต่ถ้าพูดเฉพาะเรื่องการเรียนการสอนแอ็กติ้งนี่มีนะ เราเพิ่งคุยประเด็นนี้เป๊ะเลย คือเริ่มสอนแล้วรู้สึกไม่ค่อยอิน ไม่สนุก คือข้างนอกยังเซนสิทีฟ แต่พอไปในคลาสมันเป็นอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์อย่างเดียว ซึ่งแต่ละคนก็มีเครื่องมือจัดการแตกต่างกันไป 

 

กุ๊กไก่: วิธีที่เวิร์กกับตัวเราคือ ตั้งสติก่อนเข้าไปสอน ตรงนี้ล่ะที่ศาสตร์แสดงช่วยเราได้ คือพอรู้สึกว่าเริ่มไม่อิน เริ่มไม่สนุก สร้างบริบทให้เกิดความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้นมาได้ เช่น พอสร้างบริบทขึ้นมาใหม่เลยว่า นี่คือนักเรียนหน้าใหม่ทั้งหมดนะ เขาต้องได้รับสิ่งใหม่ๆ จากเรา เหมือนทำ Scene Work ที่ช่วยให้เรารีเซตความรู้สึกในตัวเองได้ 

 

บิว: ใกล้เคียงกับกุ๊กไก่เลย แต่เราจะเซตที่ Objective เป็นหลัก เช่น ถ้าจะเข้าสอน ก็เริ่มที่วัตถุประสงค์ว่าเราอยากให้เด็กได้ผลลัพธ์อะไรจากคลาสนี้ เปลี่ยนจากโฟกัสที่อารมณ์ของเราที่กำลังรู้สึกไม่สนุก ไปโฟกัสที่สิ่งที่เรากำลังจะทำเป็นหลัก แล้วก็สวมบทบาทพาตัวเองแล้วก็เด็กๆ ไปถึงจุดนั้นให้ได้ 

 

ร่ม: ของเราคือการพาตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซน คนที่มาเรียนเขาก็พาตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซนมาอยู่ในคลาสการแสดง เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่เราจัดไปให้ เขาตื่นเต้นทั้งหมดอยู่แล้ว ที่สำคัญคือตัวเรานี่ล่ะ ที่จะต้องพาตัวเองออกนอกคอมฟอร์ตโซนในพื้นที่แบบเดิมให้ได้ เราจะมองตัวเองเหมือนเป็นนักแสดงว่า เราจะทำยังไงให้บริบท คลาส หรือแบบฝึกให้เหมือนเดิม ให้ไม่เหมือนเดิม ให้มันสนุก พยายามหาอะไรใหม่ๆ อะไรที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น เพราะสำหรับเรา 2 สิ่งนี้สำคัญมาก  

 

จะเห็นว่าใน 1 ปัญหา มีวิธีการคิด และกระบวนการการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่ละคนมีเงื่อนไข ในสถานการณ์ ลักษณะนิสัย และบริบทที่แตกต่างกันไปหมด เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่คลาสการแสดงมอบให้ได้ เหมือนเป็นการเพิ่มเครื่องมือในการทำความเข้าใจตัวเอง เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนอีกมากมาย ที่แต่ละคนก็จะเลือกใช้เครื่องมือและวิธีการที่แตกต่างกันไป

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post The Acting Effect ลงลึกถึงศาสตร์การแสดง เพื่อเรียนรู้ตัวเอง ค้นหาพื้นที่ปลอดภัย และแบกมันไปด้วยทุกที่ appeared first on THE STANDARD.

]]>