บล.เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 21 Aug 2024 09:19:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าจัดงาน Thailand Focus 2024 นำกว่า 113 บจ. ให้ข้อมูลนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ https://thestandard.co/set-organizes-thailand-focus-2024/ Wed, 21 Aug 2024 09:19:37 +0000 https://thestandard.co/?p=973598

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จับมือภาครัฐและภาคเอ […]

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าจัดงาน Thailand Focus 2024 นำกว่า 113 บจ. ให้ข้อมูลนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จับมือภาครัฐและภาคเอกชน จัดงาน Thailand Focus 2024 โดยมีผู้บริหารทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ตลาดเงิน และตลาดทุน ร่วมให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างชาติ อีกทั้งมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวนกว่า 113 บริษัท มานำเสนอข้อมูลการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2567 ที่โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก

 

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เปิดเผยว่า Thailand Focus เป็นงาน Flagship ประจำปีที่จัดขึ้นเพื่อเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนในไทยให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 18 ภายใต้แนวคิด Adapting to a Changing World นำเสนอความพร้อมและศักยภาพของภาคเอกชน ตลาดทุน และเศรษฐกิจไทย ที่เผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โลกที่พลิกผันอย่างรวดเร็ว

 

โดยงานในครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสถาบันได้เห็นถึงการปรับตัวและก้าวไปข้างหน้าของภาครัฐ ภาคตลาดทุน รวมถึงภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทย และการคว้าโอกาสจากบริบทใหม่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมดิจิทัล กระแสการย้ายฐานการลงทุน และความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม

 

“งาน Thailand Focus 2024 จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างชาติ โดยได้รับเกียรติจากหน่วยงานภาครัฐร่วมกล่าวถึงนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้สภาพแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลง พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงในวงการธุรกิจและตลาดทุนที่จะมาให้ข้อมูลถึงการปรับตัวของตลาดทุนไทย ทิศทางการเติบโตจากการขยายฐานการลงทุนของต่างชาติมายังไทยที่กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่และการปรับเปลี่ยนในโครงสร้างเศรษฐกิจ

 

“การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ การปฏิรูปห่วงโซ่อุปทานธุรกิจด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนความท้าทายภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเตรียมความพร้อมของธุรกิจไทย นอกจากนี้ Thailand Focus 2024 ยังมีผู้บริหารระดับสูงจาก บจ. 113 แห่งจากทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ร่วมให้ข้อมูลศักยภาพธุรกิจและทิศทางการเติบโตแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกอีกด้วย” ภากรกล่าว

 

ทั้งนี้ งาน Thailand Focus 2024 จะมี ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาร่วมปาฐกถาฉายภาพของเศรษฐกิจ และมีอีกหลายเซสชันที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนทั้งไทยและต่างประเทศสนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูลในงานรวมประมาณ 170 แห่ง แบ่งเป็นกองทุนไทย 120 แห่ง และกองทุนต่างประเทศอีก 50 แห่ง

 

Thailand Focus 2024 จัดโดย ตลท. ร่วมกับ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย), บล.เกียรตินาคินภัทร ร่วมด้วย Bank of America Securities และ บล.ทิสโก้ ร่วมด้วย Jefferies ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2567 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถรับชมการถ่ายทอดสดงานสัมมนาวันแรก 28 สิงหาคม เวลา 09.00-16.00 น. ผ่านช่องทางออนไลน์ของ ตลท. ไม่ว่าจะเป็น SET Website และ Facebook & YouTube: SET Thailand

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าจัดงาน Thailand Focus 2024 นำกว่า 113 บจ. ให้ข้อมูลนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลท. เตือนผู้ลงทุนระวังลงทุนในกองทุนรวม URBNPF เสี่ยงถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่า-เลิกกองทุนมูลค่าทรัพย์สินเหลือศูนย์ https://thestandard.co/set-warned-investor-urbnpf/ Mon, 18 Mar 2024 09:33:05 +0000 https://thestandard.co/?p=912458 URBNPF

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ออกแถลงการณ์ เรื่ […]

The post ตลท. เตือนผู้ลงทุนระวังลงทุนในกองทุนรวม URBNPF เสี่ยงถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่า-เลิกกองทุนมูลค่าทรัพย์สินเหลือศูนย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
URBNPF

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูล URBNPF ด้วยความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีกองทุนอาจมีเหตุถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่าและเลิกกองทุนรวม

 

ตามที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เออร์บานา (URBNPF) แจ้งอาจถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ผู้ให้เช่า) ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเลิกกองทุน

 

สาเหตุเนื่องจากกองทุนรวมได้รับหนังสือแจ้งยุติการชำระค่าเช่าจากบริษัท เออร์บานาเอสเตท จำกัด (ผู้เช่าช่วง) ซึ่งอาจส่งผลให้กองทุนไม่สามารถชำระค่าเช่าให้กับผู้ให้เช่าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดคือ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และอาจถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่า ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเลิกกองทุน โดย ณ วันที่กองทุนรวมถูกบอกเลิกสัญญาเช่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนจะเท่ากับศูนย์

 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ URBNPF และศึกษาข้อมูลของ URBNPF รวมถึงติดตามการชำระค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าในวันที่ 31 มีนาคม 2567 อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

รายชื่อผู้ถือหุ้น URBNPF ใน 10 อันดับแรก มีดังนี้ 

 

  1. สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 30%
  2. ธีระพล หวังมนตรี ถือหุ้น 11.68%
  3. โอภาพรรณ หวังมนตรี ถือหุ้น 11.26%
  4. ยง อารีเจริญเลิศ ถือหุ้น 4.17%
  5. จีรศักดิ์ เล้าวงษ์ ถือหุ้น 3.37%
  6. Mr.Alexander Eck ถือหุ้น 2.92%
  7. ณรงค์ศักดิ์ ไมตรีพจน์ ถือหุ้น 2.79%
  8. สุพจน์ เกณฑ์พิทักษ์ ถือหุ้น 2.24%
  9. บัณฑิต บัณฑุชัย ถือหุ้น 1.40%
  10. บริษัท ศุภกิจโปรดักส์ จำกัด ถือหุ้น 1.39%

The post ตลท. เตือนผู้ลงทุนระวังลงทุนในกองทุนรวม URBNPF เสี่ยงถูกบอกเลิกสัญญาสิทธิการเช่า-เลิกกองทุนมูลค่าทรัพย์สินเหลือศูนย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
มองผ่านเลนส์ผู้เชี่ยวชาญ ทำไมตราสารหนี้จึงสร้างผลตอบแทนได้ไม่น้อยหน้าตราสารทุนในปี 2024 https://thestandard.co/why-do-debt-instruments-generate-good-returns/ Tue, 23 Jan 2024 07:31:47 +0000 https://thestandard.co/?p=891036 ตราสารหนี้

“Now we are in a period where you do not have to take c […]

The post มองผ่านเลนส์ผู้เชี่ยวชาญ ทำไมตราสารหนี้จึงสร้างผลตอบแทนได้ไม่น้อยหน้าตราสารทุนในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตราสารหนี้

“Now we are in a period where you do not have to take crazy risks to get reasonable returns.”

 

คำพูดข้างต้นเป็นของเดวิด โรเซนเบิร์ก Managing Director and Co-Portfolio Manager ประจำบริษัทจัดการกองทุน Oaktree Capital Management ภายในงานสัมมนา KKP Year Ahead 2024 ที่กำลังบอกว่าสภาวะการลงทุนในปัจจุบันเป็นภาพที่นักลงทุนนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความเสี่ยงที่เกินตัวเพื่อแลกมากับผลตอบแทนที่น่าพอใจ 

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ส่งผลให้ทิศทางการแบ่งสัดส่วนสินทรัพย์การลงทุนเปลี่ยนไป เพราะว่า ณ ตอนนี้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับสินทรัพย์อย่างหุ้นได้จาก ‘ตราสารหนี้’ ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่า

 

จากปัจจัยข้างต้น ดอกเบี้ยจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนในปีนี้ โดยตอนนี้ดอกเบี้ยนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาคงตัวอยู่ในระดับ 5.25-5.5% และมีแนวโน้มที่จะลดต่ำลงในปีนี้ประมาณ 75-100 bp (Basis Points) จากเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลง โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) คาดว่าการหั่นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ตามคาดการณ์ของ Bank of America

 

ถามว่าทำไมตราสารหนี้ถึงน่าลงทุนในปีนี้? 

 

THE STANDARD WEALTH ได้สัมภาษณ์พิเศษ ทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวไว้ว่า หนึ่งในปัจจัยบวกต่อตราสารหนี้เป็นเรื่องของกำไรส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) ในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยลดลง พร้อมทั้งราคาของสินทรัพย์ในปัจจุบันได้สะท้อนถึงข้อมูลที่การคาดการณ์ปรับลดดอกเบี้ยที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะเกิดในอนาคตแล้ว ทำให้อัตราผลตอบแทน (Yield) อาจจะไม่ลดลงไปมากกว่านี้อีกหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยตามที่นักลงทุนคาด และถึงแม้ว่าความผันผวนอาจยังมีให้เห็น แต่การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ จะเด้งกลับไปที่ระดับ 5% นั้นมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ยากจากการวิเคราะห์ของ KKP

 

ดังนั้นทวีศักดิ์จึงแนะนำตราสารหนี้ทั่วโลกที่ผสมหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรับมือ “ข้อดีของตราสารหนี้นั้นคือตัวของ ‘รายได้’ ที่เข้ามาอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ซึ่งในตอนนี้รายได้อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบสิบกว่าปี ฉะนั้นถึงแม้ว่าระหว่างทางจะยังมีความผันผวนบ้าง แต่ถ้าเรายิ่งถือยาว ผลตอบแทนรายได้ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับราคาที่ผันผวน”

 

สำหรับมุมมองความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ทวีศักดิ์แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น โดยตัวแรกที่สำคัญในปีนี้คือเงินเฟ้อที่เป็นหนึ่งในข้อควรระวังและจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของดอกเบี้ย เพราะประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันตอนนี้คือเงินเฟ้อจะสามารถลงมาที่เป้าหมาย 2% ได้หรือไม่? แต่ KKP ยังเชื่อว่าเงินเฟ้อจะค่อยๆ ลดลงมาในระดับนั้นได้

 

ส่วนประเด็นที่ 2 ที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อนั่นก็คือความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ เพราะหากเงินเฟ้อสูงจนทำให้ดอกเบี้ยไม่สามารถลดลงได้ บางธุรกิจที่ระดับเครดิตไม่ดีอาจไม่สามารถทนสภาพการเงินที่ตึงตัวขนาดนั้นไหวและเสี่ยงต่อการล้มละลาย แต่ถ้าเงินเฟ้อลงได้ ซึ่งเป็นเคสที่ทาง KKP เชื่อ ความเสี่ยงนี้ก็จะมีไม่มาก

 

ต่อเนื่องจากประเด็นความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ ฝั่งของโรเซนเบิร์กมองว่าบริษัทต่างๆ ที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรงนั้นถูกขจัดออกไปจากตลาดพอสมควรแล้วนับตั้งแต่โควิด แต่ความท้าทายสำคัญที่เขามองต่อจากนี้สำหรับธุรกิจก็คือการเติบโตที่อาจทำได้ยากขึ้น เนื่องจากยุคต้นทุนทางการเงินต่ำที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ปี 2008 จนถึงช่วงปี 2022 ได้หมดไปแล้ว

 

ดังนั้นเขาจึงมองว่าในฐานะนักลงทุน การเป็น ‘คนให้กู้’ จะได้เปรียบกว่า “เหตุผลที่ทำให้ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนนั้นคือเหตุผลเดียวกันว่าทำไมตราสารทุนจะเติบโตได้ยากลำบากในปีนี้ นั่นเป็นเพราะต้นทุนทางการเงินแพงขึ้น ดังนั้นการอยู่ในฐานะผู้ให้กู้จะเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างได้เปรียบกว่า” โรเซนเบิร์กกล่าวทิ้งท้าย ชวนให้คิดถึงความน่าสนใจในการลงทุนตราสารหนี้

The post มองผ่านเลนส์ผู้เชี่ยวชาญ ทำไมตราสารหนี้จึงสร้างผลตอบแทนได้ไม่น้อยหน้าตราสารทุนในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกียรตินาคินเผย ศักยภาพการหากำไรของ บจ. ลดลงเกือบครึ่ง ทำต่างชาติเทขายหุ้นไทย 7 แสนล้านบาท ช่วง 8 ปีที่ผ่านมา https://thestandard.co/profit-potential-of-the-listed-company-has-decreased/ Wed, 06 Sep 2023 01:14:31 +0000 https://thestandard.co/?p=837940 ณชา อนันต์โชติกุล และ พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยข้อมูลเก […]

The post เกียรตินาคินเผย ศักยภาพการหากำไรของ บจ. ลดลงเกือบครึ่ง ทำต่างชาติเทขายหุ้นไทย 7 แสนล้านบาท ช่วง 8 ปีที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณชา อนันต์โชติกุล และ พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของตลาดทุนไทยที่เปลี่ยนไปในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญและเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นมีเสน่ห์ลดลงคือ บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) มีความสามารถในการทำกำไรลดลง โดยค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของ บจ.ไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ลดลงจาก 16.5% มาเหลือเพียง 8.3% 

 

ณชา อนันต์โชติกุล ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่าย KKP Research บล.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ROE โดยเฉลี่ยของ บจ.ไทยค่อยๆ ลดลงจาก 16.5% ช่วงปี 2546-2551 มาเหลือประมาณ 11-12.7% ในระหว่างปี 2552-2561 ก่อนที่ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงมาเหลือ 8.3% ในช่วงปี 2562-2565 

 

ด้วยความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ราว 7 แสนล้านบาท 

 

“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติออกจากหุ้นไทย เพราะมีทางเลือกใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น เช่น ตลาดหุ้นจีนที่เติบโตหลังการเปิดประเทศ รวมทั้งตลาดหุ้นในประเทศเอเชียเหนือที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเปรียบเทียบแล้วทำให้ต่างชาติมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า”​ ณชากล่าว

 

ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงนี้เป็นผลจากโครงสร้างธุรกิจในตลาดหุ้นไทยที่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน Old Economy โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกของไทยในปัจจุบัน สะท้อนว่าบริษัทไทยไม่ได้ปรับตัวเร็วนักเมื่อเทียบกับเทรนด์ของโลก 

 

ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับผลตอบแทนรวม (Total Return) ของตลาดหุ้นในกลุ่มพัฒนาแล้ว (MSCI World) โดย 10 ปีที่ผ่านมา SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี เทียบกับ MSCI World ที่ 14% ต่อปี และ 5 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1% ต่อปี เทียบกับ 10% ต่อปี 

 

“หากเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้น ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หากเราลงทุนในหุ้นไทย 100 บาท เงินดังกล่าวจะกลายเป็น 135 บาท แต่ถ้าลงทุนใน MSCI World จะกลายเป็น 217 บาท” 

 

อย่างไรก็ตาม หากมองภาพระยะยาว 20 ปี จะเห็นว่า SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 22% ต่อปี สูงกว่า MSCI World ที่ 19% ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่หุ้นไทยเพิ่งจะผ่านวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ดัชนีเริ่มต้นจากฐานที่ค่อนข้างต่ำ 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้การทำกำไรจากหุ้นไทยจำเป็นต้องอาศัยการเลือก (Selective) มากขึ้น โดยบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงเติบโตได้ค่อนข้างดี เช่น กลุ่มการแพทย์ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น หรือบางธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงเมื่อเทียบกับบริษัทต่างประเทศ

 

ด้าน พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บล.เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า การพัฒนาตลาดทุนไทยต่อจากนี้เป็นโจทย์เดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งต้องอาศัยการแก้ไขเชิงโครงสร้าง แรงต้านที่สำคัญต่อการพัฒนาของไทยคือโครงสร้างประชากรวัยทำงานที่กำลังลดลง 

 

“โจทย์สำคัญคือเราจะทำอย่างไรเพื่อเพิ่ม Productivity ของคนให้มากขึ้น การคิดว่าจะดึงการลงทุนแบบใดเข้ามาเพื่อให้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโต รวมทั้งทบทวนเรื่องนโยบายการเปิดรับคน ทุกวันนี้เราเห็นแรงงานทั่วไปเข้ามาเยอะมาก แต่กลับกีดกันไม่ให้แรงงานทักษะสูงเข้ามา” 

 

อย่างไรก็ดี ตลาดทุนไทยยังมีจุดแข็งในเรื่องมูลค่าซื้อขายและสภาพคล่องที่ยังสูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน แม้ว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติจะลดลงจากกว่า 30% มาเหลือ 28% แต่สัดส่วนการซื้อขายของต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50% ของทั้งตลาด 

 

“สภาพคล่องที่สูงอาจเป็นมรดกจากในอดีตที่ตลาดหุ้นไทยเกิดมาก่อนหลายตลาดในภูมิภาค และมีบริษัทที่หลากหลาย แต่ระยะหลังเราเสียความน่าสนใจไปมาก เพราะไม่มีของใหม่มากนัก” 

 

พิพัฒน์กล่าวต่อว่า หากตลาดทุนจะดีได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ 1. สภาพคล่องสูง-ต้นทุนต่ำ และ 2. บริษัทที่เติบโต ซึ่งปัจจุบันเราจำเป็นจะต้องหาหุ้นใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ต้องผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต และต้องทำให้ตลาดมีความน่าเชื่อถือ

 

“ในอดีตนักลงทุนไทยอาจจะมี Home Bias หรือชอบลงทุนกับหุ้นในประเทศ แต่ด้วยผลตอบแทนของหุ้นไทยกับต่างประเทศที่ต่างกันมากขึ้น ทำให้นักลงทุนเริ่มออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” 

 

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงไปคือ เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ปัจจุบันการส่งคำสั่งซื้อขายโดยใช้ Algo Trading เพิ่มขึ้นจาก 23% เมื่อปี 2562 มาเป็น 38% ในปีนี้ 

 

ที่ผ่านมาเรามักได้ยินถึงความกังวลที่ว่า Algo Trading จะกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วการเข้ามาของ Algo Trading ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด และช่วยลดความผันผวนในระยะสั้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ คือ ทำให้ราคาของแต่ละสินทรัพย์เคลื่อนไปตามจุดที่เหมาะสม

 

ส่วนนักลงทุนที่อาจจะได้รับผลกระทบคือ กลุ่มที่ใช้กลยุทธ์เดียวกันกับ Algo Trading แต่อาจจะไม่สามารถทำได้เร็วหรือมีประสิทธิภาพมากในระดับเดียวกัน 

 

สำหรับเทรนด์ของการใช้ Algo Trading มาช่วยในการส่งคำสั่งซื้อขายน่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามเทรนด์โลก และการที่นักลงทุนหันมาลงทุนกับ Passive Fund มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้กองทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) ต่างใช้โปรแกรมมาช่วยส่งคำสั่งแทนคน เนื่องจากทำได้เร็วกว่า ถูกต้องมากกว่า และต้นทุนต่ำกว่า

The post เกียรตินาคินเผย ศักยภาพการหากำไรของ บจ. ลดลงเกือบครึ่ง ทำต่างชาติเทขายหุ้นไทย 7 แสนล้านบาท ช่วง 8 ปีที่ผ่านมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุป 3 ปัจจัยสร้างจุดเปลี่ยน ดึงฟันด์โฟลวกลับลำซื้อหุ้นไทย หลังเทขายไปแล้ว 1.3 แสนล้านบาทตั้งแต่ต้นปี https://thestandard.co/3-factors-fund-flow-thai-stocks/ Thu, 24 Aug 2023 04:24:00 +0000 https://thestandard.co/?p=833197

ผู้บริหารโบรกเกอร์ใหญ่ ทั้ง บล.เกียรตินาคินภัทร, บล.ดีบ […]

The post สรุป 3 ปัจจัยสร้างจุดเปลี่ยน ดึงฟันด์โฟลวกลับลำซื้อหุ้นไทย หลังเทขายไปแล้ว 1.3 แสนล้านบาทตั้งแต่ต้นปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผู้บริหารโบรกเกอร์ใหญ่ ทั้ง บล.เกียรตินาคินภัทร, บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส, บล.ทิสโก้ และ Jefferies ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 รายล่าสุด พากันประสานเสียง หากอยากดึงนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย การเมืองต้องมีเสถียรภาพ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชัด และต้องพับแผนภาษีขายหุ้น

 

ศุภโชค ศุภบัณฑิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร ในฐานะพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง และถือหุ้นไทยอยู่ในสัดส่วนไม่มาก แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจและรอจังหวะเข้าซื้อตลาดหุ้นไทย

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

ประกอบกับปัจจัยการเมืองของไทยมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากมีการเลือกนายกรัฐมนตรีและมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มตอบรับในเชิงบวกไปบ้างแล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติยังรอติดตามความคืบหน้าต่อไปถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร 

 

อย่างไรก็ดี ประเมินว่ารูปแบบของนักลงทุนต่างชาติจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยลงทุนในดัชนี แต่จะเปลี่ยนเป็นการลงทุนแบบเลือก (Selective) ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่จะออกมา ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีและราคาหุ้นยังค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต คือ กลุ่มโรงแรม โรงพยาบาล และค้าปลีก 

 

รัฐบาลต้องพับแผนเก็บภาษีขายหุ้น

 

นริศรา วิเศษโกสิน Head of Thailand Institutional Business บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ในฐานะพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 เป็นครั้งแรก กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าที่เป็นนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและกังวลประเด็นทางการเมืองของไทย โดยปัจจุบันได้มีความชัดเจนมากขึ้นในเชิงบวก หลังการเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว

 

ทั้งนี้ มองว่าจุดเปลี่ยนที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจและกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะมีการกระตุ้นและเป็นประโยชน์ต่อภาคการลงทุนมากหรือน้อยอย่างไร

 

นอกจากนี้ยังมองว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) เพราะจะมีผลกระทบให้ความสามารถการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยลดลง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศในภูมิภาค และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มหยุดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยประเด็นดังกล่าวจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ

 

ด้าน ฐาปน พานิช รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ ร่วมด้วย Jefferies ในฐานะพาร์ตเนอร์งาน Thailand Focus 2023 เป็นครั้งแรก กล่าวว่า ความชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุน นักลงทุนต่างชาติต่างติดตามความคืบหน้าระยะถัดไปหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นว่า ความร่วมมือในการทำงานของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์ จะประสานการทำงานด้านการเมืองกับทีมรัฐบาลอย่างไร และรัฐบาลที่มีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 14 พรรค จะมีเสถียรภาพมากหรือน้อยอย่างไรในการบริหารประเทศ

 

นอกจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์การลงทุนของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียที่ค่อนข้างได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ และสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้ที่ผ่านมามีฟันด์โฟลวไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่หาก Valuation ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับสูงและตลาดหุ้นเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ประเมินว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลวจะโยกย้ายเข้ามายังตลาดหุ้นไทย

 

ทั้งนี้ รายงานข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2023 ถึงปัจจุบัน (YTD) กระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Non-Resident Net Flows) ไหลออกตลาดตราสารหนี้ไทยสุทธิ 1.11 แสนล้านบาท ขณะที่ตามข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ระบุว่า ฟันด์โฟลวขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1.31 แสนล้านบาท รวมเป็น 2.42 แสนล้านบาท

The post สรุป 3 ปัจจัยสร้างจุดเปลี่ยน ดึงฟันด์โฟลวกลับลำซื้อหุ้นไทย หลังเทขายไปแล้ว 1.3 แสนล้านบาทตั้งแต่ต้นปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บล.เกียรตินาคินภัทร’ ประเมินกรณี SVB ปิดกิจการไม่ลามเป็นวิกฤตการเงิน คาด Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนนี้ https://thestandard.co/kkps-evaluate-svb-case/ Mon, 13 Mar 2023 09:02:54 +0000 https://thestandard.co/?p=762303 Silicon Valley Bank

บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมินกรณี SVB ปิดกิจการทำความเสี่ […]

The post ‘บล.เกียรตินาคินภัทร’ ประเมินกรณี SVB ปิดกิจการไม่ลามเป็นวิกฤตการเงิน คาด Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Silicon Valley Bank

บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมินกรณี SVB ปิดกิจการทำความเสี่ยงระบบธนาคารสูงขึ้น แต่ไม่น่าจะลุกลามเป็นวิกฤตการเงิน คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะไม่หยุดทำ QT และเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนนี้ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เลี่ยงหุ้นกลุ่ม Long-duration และ Hyper Growth 

 

ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) ของ บล.เกียรตินาคินภัทร ออกบทวิเคราะห์กรณีธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) และธนาคาร Silvergate ถูกทางการสั่งปิดกิจการว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความเสี่ยงของระบบธนาคารสูงขึ้น แต่ไม่น่าจะลุกลามเป็นวิกฤตการเงิน และยังอยู่ในวิสัยที่ทางการจัดการได้จากปัจจัยดังนี้


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  1. ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่น่าจะลามเป็นวิกฤตการเงิน เพราะ Silvergate เป็นธนาคารขนาดเล็กมากและมีสินทรัพย์ประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน SVB มีสินทรัพย์ประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  1. ธนาคารทั้งสองไม่ได้มีปัญหาเรื่องคุณภาพเครดิตของสินทรัพย์ แต่ปัญหาคือมีผลขาดทุนที่ยังไม่รับรู้จากพอร์ตตราสารหนี้คุณภาพสูง หลังจากดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น เมื่อมีการไถ่ถอนเงินฝากในปริมาณมากจึงต้องถูกบีบให้รับรู้ผลขาดทุน

 

  1. SVB มีปัจจัยค่อนข้างเฉพาะ จากการเน้นรับเงินฝากจากรายใหญ่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกไถ่ถอนเป็นจำนวนมากในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังมีสัดส่วนเงินฝากที่เกินวงเงินคุ้มครองอยู่เป็นจำนวนมาก ในขณะที่เงินฝากจากลูกค้ารายย่อยมีไม่ถึง 10% อีกทั้งผู้ฝากที่เป็นกลุ่มรายใหญ่กระจุกตัวในกลุ่มบริษัท Venture Capital / Start-up ซึ่งในระยะหลังมีสภาพคล่องลดลง และมีการไถ่ถอนเงินฝากมากขึ้น

 

  1. SVB ลงทุนในตราสารหนี้ถึง 55% ของสินทรัพย์รวม และมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนในระดับสูงมากถ้าดอกเบี้ยปรับขึ้น เนื่องจากได้เพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้เป็นจำนวนมากในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำและเงินฝากไหลเข้ามามากในช่วงหลังโควิดระบาดจนถึงต้นปี 2022 JPMAM ประเมินว่า ถ้า SVB ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดในทันที ณ ปลายปี 2022 จะทำให้ Common Equity Tier 1 ลดลงจาก 12% เหลือเกือบ 0% อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารอื่นในสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ ถึงแม้จะประเมินแบบเดียวกันก็จะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ลดลง แต่จะไม่รุนแรงถึงขั้นวิกฤตเหมือนกับ SVB

 

นอกจากนี้ยังมองว่าวิกฤตรอบนี้ไม่มีประเด็น Credit Derivatives ที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบธนาคาร ซึ่งต่างจากวิกฤตในปี 2008 

 

  1. Stablecoin USDC ที่มีเงินฝาก 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับ SVB (จากสำรอง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ย่อลงมาที่ 0.88 แต่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการสะท้อนความเชื่อมั่นว่า Recovery Rate จากเงินฝากดังกล่าวจะอยู่ในระดับสูง

 

  1. ในภาพรวมปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาด้านสภาพคล่องมากกว่าเป็นปัญหาเรื่องเครดิต หากสถานการณ์แย่ลงทางการสหรัฐฯ ก็สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ง่ายกว่า

 

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นปัญหาที่จัดการได้ แต่ก็มีความเสี่ยงหลัก 2 ประการที่ต้องติดตาม ได้แก่

 

  1. ผู้ฝากเงินทั้งระบบจะสูญเสียความเชื่อมั่นในวงกว้างหรือไม่?

 

  1. ถ้าใช่ การจัดการของทางการมีประสิทธิภาพหรือไม่? 

 

ซึ่งในประเด็นนี้มีสัญญาณที่ดีคือ

 

  • ในวันอาทิตย์ Fed ประกาศเพิ่มช่องทางใหม่ในการให้สภาพคล่องกับธนาคารเรียกว่า Bank Term Funding Program (BTFP) เป็นการกู้ยืมอายุ 1 ปี ใช้พันธบัตรรัฐบาลและ Agency Debt and MBS เป็นหลักประกันตามมูลค่าหน้าตั๋ว (ไม่ถูกลดมูลค่าตามราคาตลาด)

 

  • FDIC (หน่วยงานประกันเงินฝาก) จะปิดธนาคาร SVB และ Signature Bank (อีกธนาคารที่ถูกปิดเพิ่มเติม) ในลักษณะที่ผู้ฝากเงินทั้งมีประกันและไม่มีประกันเงินฝากได้รับเงินคืนเต็มจำนวน

 

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ยังเชื่อว่า Fed จะไม่หยุดทำ QT เพราะปัญหาสภาพคล่องที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเฉพาะจุด ไม่ได้เกิดกับตลาดพันธบัตรเหมือนที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร และคาดว่า Fed จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อหากปัญหาไม่บานปลาย แต่โอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนมีนาคมน่าจะเป็น 25 bps มากกว่า 50 bps

 

ขณะเดียวกัน เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลออย่างชัดเจนและโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกระยะหนึ่ง จากผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมาและที่กำลังจะปรับขึ้นต่อความเสี่ยง นอกเหนือจาก Base Case จะเอียงไปทางด้าน Mild Recession มากกว่า No Landing

 

ถึงแม้ Money Base ยังอยู่ในระดับสูงมากจากมาตรการ QE หลังโควิด และทำให้ Bank Reserve สูงมากเช่นเดียวกัน แต่ด้วยโมเมนตัมของสินเชื่อที่ช้าลง Lending Standard ที่เข้มงวดขึ้น และเหตุการณ์ธนาคารล้มที่เกิดขึ้น ทำให้เชื่อว่า Potential Liquidity จาก Bank Reserve จะหมุนเข้ามาในระบบเศรษฐกิจช้าลง และดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระดับต่ำก่อนหน้านี้คงต้องปรับให้สูงขึ้นเพื่อแข่งกับ Money Market Fund ปัจจัยทั้งหมดนี้จะทำให้สภาพคล่องของระบบการเงินโดยรวมแย่ลง และเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ทั้งนี้ บล.เกียรตินาคินภัทร ยังคง Overweight สินทรัพย์ปลอดภัย Investment Grade Bond ทองคำและเงินสด แต่หากตลาดยังตกใจและทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) 10 ปีสหรัฐฯ ร่วงลงต่อจนไปต่ำกว่า 3.7% แนะนำให้หยุดการเข้าซื้อชั่วคราว โดยยังคง Underweight หุ้นและ High Yield bond 

 

สำหรับตลาดหุ้นโลกในภาพรวม ยังคงมีมุมมองระมัดระวังและคงน้ำหนัก Underweight โดยเหตุการณ์นี้เป็นการตอกย้ำถึงความเปราะบางของตลาดเงินจากดอกเบี้ยที่สูง ซึ่งสนับสนุนมุมมองของเราเรื่องการตัดขาดจากกัน (Disconnect) ใน 2 ส่วน คือ

 

  1. เศรษฐกิจ vs. ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน

 

  1. หุ้น vs. พันธบัตร ที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นโลกมีความเสี่ยงที่จะปรับลงมากกว่าปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้นนี้ หากตลาดหุ้นปรับลงต่อตามที่เราคาด (เช่น ดัชนี S&P 500 ลดลงไปต่ำกว่า 3,800 หรือ Valuation มีการ Reset ที่ดีขึ้น)

 

โดยยังคงแผนที่จะเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นโลกเพื่อลดการ Underweight และคงแผนที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองผ่านการลงทุนรายภูมิภาค / รายกลุ่มธุรกิจ

 

นอกจากนี้ยังประเมินว่าหุ้นกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ จะถูกกดดันจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

 

  1. ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่จะได้รับผลกระทบจากโอกาสที่จะต้องปรับดอกเบี้ยเงินฝากให้สูงเร็วกว่าที่คาด

 

  1. การเติบโตที่จะช้าลงจากคาดการณ์ก่อนหน้าเนื่องจากความมั่นใจที่ลดลง

 

  1. Credit Quality ที่นักลงทุนอาจจะใช้ความระมัดระวังจากการที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงปลายของวัฏจักร และผลกระทบจากดอกเบี้ยในระบบที่สูง

 

บล.เกียรตินาคินภัทร แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่ม Long-duration / Hyper Growth (รวมถึงลดสถานะการลงทุน หากนักลงทุนมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในพอร์ตเป็นจำนวนมาก) ด้วยเหตุผลเดิมคือ ภาวะดอกเบี้ยสูงจะกดดันหุ้นที่มูลค่าแพง กำไรไม่มี คุณภาพต่ำ โอกาสที่จะ Outperform เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่สภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว

The post ‘บล.เกียรตินาคินภัทร’ ประเมินกรณี SVB ปิดกิจการไม่ลามเป็นวิกฤตการเงิน คาด Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กูรูเตือน ไทยฟื้นตัวท่ามกลางพายุถาโถม ห่วงสงครามเงินเฟ้อไม่จบ ฉุดโลกชะลอ ทำส่งออกติดลบ https://thestandard.co/thailand-growth-among-inflation-storm/ Wed, 01 Feb 2023 01:22:16 +0000 https://thestandard.co/?p=744465 สงครามเงินเฟ้อ

นักเศรษฐศาสตร์มองไทยฟื้นตัวท่ามกลางพายุถาโถม ห่วงสงคราม […]

The post กูรูเตือน ไทยฟื้นตัวท่ามกลางพายุถาโถม ห่วงสงครามเงินเฟ้อไม่จบ ฉุดโลกชะลอ ทำส่งออกติดลบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามเงินเฟ้อ

นักเศรษฐศาสตร์มองไทยฟื้นตัวท่ามกลางพายุถาโถม ห่วงสงครามเงินเฟ้อไม่จบ ฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอ มองส่งออกเสี่ยงติดลบ 1.8% ขณะที่ภาคท่องเที่ยวฟื้นแบบไม่ทั่วถึง เตือนบาทแข็งเร็ว-เคลื่อนไหวผันผวน

 

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ แม้จะมีความหวังฟื้นตัวจากภาคท่องเที่ยวและการเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าที่คาด แต่อีกด้านหนึ่งจะเป็นการฟื้นตัวท่ามกลางพายุเศรษฐกิจโลกที่ถาโถมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว จนทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้อาจไม่ทั่วถึง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


พิพัฒน์ระบุว่า แม้ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะมีการปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP โลกในปีนี้เพิ่มขึ้น 0.2% แต่ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็ยังชะลอตัวลงจากปีก่อนอยู่ดี ขณะที่หลายเศรษฐกิจขนาดใหญ่ก็มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ด้วยปัญหาเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารกลางไม่สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินช่วยพยุงเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะกระทบกับภาคการส่งออกของไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก

 

“ตัวเลขการส่งออกของไทยซึ่งเป็นเครื่องจักรหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาภาคส่งออกเริ่มหดตัวและมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่สูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นจึงยากที่จะเติบโตในระดับสูงต่อไปในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยคาดว่าการส่งออกในปีนี้จะหดตัวอย่างน้อยในครึ่งปีแรก ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเมื่อเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว และการส่งออกทั้งปีจะติดลบ 1.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน” พิพัฒน์กล่าว

 

ทั้งนี้ KKP Research ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จาก 2.8% เป็น 3.6% โดยมีแรงส่งจากภาคท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว และการเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดของจีน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้จะไปแตะระดับ 25 ล้านคน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 19 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ด้วยการกระจุกตัวของภาคท่องเที่ยวไทยและห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ยาวเหมือนกับภาคการผลิต จะทำให้มีเพียงบางจังหวัดหรือบางภาคเศรษฐกิจเท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวนี้

 

ในภาพรวมความเสี่ยงเศรษฐกิจที่ต้องติดตามในปีนี้ ได้แก่

 

  1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะมาถึงเร็วและรุนแรงแค่ไหน และกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไร

 

  1. เงินเฟ้อโลกและเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงจะสามารถกลับมาสู่ระดับปกติได้เร็วเพียงใด

 

  1. การเปิดเมืองของจีนจะราบรื่นตลอดทั้งปีหรือไม่ รวมไปถึงความเสี่ยงจากการระบาดของโควิดที่ยังไม่สามารถมองข้ามได้

 

นอกจากนั้นปีนี้ยังเป็นปีที่ประเทศไทยมีการเลือกตั้ง ซึ่งอาจเพิ่มตัวแปรที่กระทบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน

 

โลกเติบโตภายใต้ความเสี่ยงสูง

ด้าน บุรินทร์ อดุลวัฒนะ Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย​ ระบุว่า ภาพของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มดูเป็นเชิงบวกมากขึ้นในช่วงนี้ หลักๆ แล้วเป็นผลมาจากการเปิดประเทศของจีนและราคาพลังงานในตลาดโลกที่ลดต่ำลง อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวยังมองว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะยังเติบโตภายใต้ความเสี่ยงในหลายด้าน ทั้งจากเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น และภาวะสงครามที่ต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา

 

“ความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะปรับสูงขึ้นหลังจีนเปิดประเทศ รวมไปถึงกรณีที่สงครามยังไม่จบยังมีอยู่ ทำให้เงินเฟ้อในหลายประเทศอาจไม่ได้ลงเร็วและมีโอกาสปรับขึ้นได้ในช่วงปลายปี เมื่อสงครามเงินเฟ้อยังไม่จบ ธนาคารกลางต่างๆ ก็ต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงต่อไป ดอกเบี้ยที่สูงก็ย่อมฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ” บุรินทร์กล่าว

 

บุรินทร์กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงหลายๆ ด้านในปีนี้อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย อย่างไรก็ดี แนวโน้มของภาคท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจขยายตัวได้สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ 3.7-3.8%

 

บาทแข็งส่อซ้ำเติมส่งออก

ขณะที่ รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า นอกจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว การแข็งค่าของเงินบาทจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันการส่งออกไทยในปีนี้ โดยประเมินว่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน แต่ระหว่างทางจะมีความผันผวนจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ

 

“นับจากต้นปีเงินบาทแข็งค่ามาแล้วราว 5% สูงที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมจะไม่เท่ากัน โดยอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลักจะถูกกระทบจากค่าเงินหนักกว่าอุตสาหกรรมที่นำเข้าชิ้นส่วนมาจากต่างประเทศเพื่อนำมาผลิต แต่ในภาพรวมยังเชื่อว่าการส่งออกไทยในปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 0-0.5% เท่านั้น” รุ่งกล่าว

 

รุ่งกล่าวต่อว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทคือท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยขณะนี้ตลาดมองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ 0.50% แบ่งเป็น 0.25% ในเดือนกุมภาพันธ์ และอีก 0.25% ในเดือนมีนาคม ก่อนจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5% โดยมีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีหากเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับลดลงมาได้เร็ว

 

“หากการประชุมของ Fed ส่งสัญญาณออกมาตามนี้อาจทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า แต่เงินบาทก็จะมีหนุนจากการท่องเที่ยวที่จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนเช่นกัน โดยมีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปีนี้อาจสูงถึง 28 ล้านคน ทำให้ไทยจะเกินดุลต่อเนื่อง เราจึงมองว่าการเคลื่อนไหวของเงินบาทในปีนี้จะมีความผันผวน” รุ่งกล่าว

The post กูรูเตือน ไทยฟื้นตัวท่ามกลางพายุถาโถม ห่วงสงครามเงินเฟ้อไม่จบ ฉุดโลกชะลอ ทำส่งออกติดลบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
KKP Research ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้เพิ่มเป็น 3.6% คาดจีนเปิดเมืองเร็วหนุนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งทะลุ 25 ล้านคน https://thestandard.co/kkp-research-forecast-gdp-increase/ Wed, 18 Jan 2023 10:02:08 +0000 https://thestandard.co/?p=738930

KKP Research ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2023 จาก 2.8% เป็น […]

The post KKP Research ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้เพิ่มเป็น 3.6% คาดจีนเปิดเมืองเร็วหนุนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งทะลุ 25 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>

KKP Research ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2023 จาก 2.8% เป็น 3.6% คาดจีนเปิดเมืองเร็วกว่าคาดหนุนไทยฟื้นตัวผ่านภาคท่องเที่ยว แต่ส่งออกยังเสี่ยงติดลบตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

 

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า การเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาดของจีนจะส่งผลบวกค่อนข้างมากต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2023 จากภาคการท่องเที่ยวที่จะกลับมาฟื้นตัว แม้ว่าในระยะสั้นจีนจะยังเจอความท้าทายจากการระบาดของเชื้อโควิดที่เกิดขึ้นอย่างหนักและรวดเร็ว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่หากการระบาดเกิดขึ้นและจบเร็วตามคาด อาจนำไปสู่การฟื้นตัวที่ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมายังไม่ฟื้นกลับสู่ระดับปกติจากนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาเพียงประมาณ 11 ล้านคนในปี 2022 เทียบกับระดับ 40 ล้านคนในปี 2019 ส่วนสำคัญเกิดจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีสัดส่วนประมาณ 25% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในช่วงก่อนโควิดยังไม่กลับมา 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


การเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าคาด จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยตรงผ่านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนโควิด ทำให้แม้สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศหลักของโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว และกระทบกับการส่งออกไทย แต่เศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะยังสามารถขยายตัวได้ค่อนข้างดี 

 

ล่าสุด KKP Research ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2023 จากการเติบโตที่ 2.8% เป็นเติบโต 3.6% โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะสามารถเข้ามาได้ 25.1 ล้านคน จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 19.2 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลบวกเพิ่มเติมต่อการบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังเติบโตอย่างแตกต่างกันมากในแต่ละภาคเศรษฐกิจ โดยภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาคการผลิตและการส่งออกอาจหดตัวจากอุปสงค์ของโลกที่อ่อนแอลง ในภาพรวมการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจทำให้ KKP Research ยังคงประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับเกินกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย และทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังต้องปรับขึ้นอีก 100 bps ในปีนี้ 

 

นักท่องเที่ยวจีนกลับมาไทยเร็วแค่ไหน? 

จากประสบการณ์ในฮ่องกงและญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 2022 การระบาดของโควิดในรอบล่าสุดใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน กว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง ในขณะที่สถานการณ์ในจีนอาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อย และอาจมีการระบาดมากกว่าหนึ่งระลอก จากจำนวนคนฉีดวัคซีนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ KKP Research ประเมินว่า การเปิดเมืองของจีนจะเริ่มเห็นผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 และเริ่มเห็นผลเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 

 

โดยเศรษฐกิจไทยจะเป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับประโยชน์เป็นหลักจากโครงสร้างการท่องเที่ยวที่พึ่งพาจีนสูง และเป็นประเทศที่จีนเข้ามาเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวหลังการเปิดประเทศของจีน จากจำนวนเที่ยวบินจากจีนแผ่นดินใหญ่มายังไทยในเดือนมกราคม มีประมาณ 50 เที่ยวบินต่อวัน หรือ 1,500 เที่ยวบินต่อเดือน คิดเป็นจำนวนคนเดินทางประมาณ 230,000 คนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากประมาณ 50,000 คนต่อเดือน ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2022 

 

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์ 

เมื่อย้อนดูตัวเลขการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนในปี 2019 จะพบว่าธุรกิจที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า อาหารและเครื่องดื่ม การเดินทาง สันทนาการ เมื่อพิจารณาในภาพรวมจะพบว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะยังคงค่อนข้างกระจุกตัวในบางธุรกิจ และบางพื้นที่ท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งจังหวัดใหญ่เพียง 6 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา เป็นที่มาของการท่องเที่ยวไปกว่า 90% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด ทำให้ตัวเลข GDP ที่ปรับดีขึ้นในปี 2023 จะเป็นตัวเลขที่อาจไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ดีนัก 

 

การส่งออกไทยในระยะสั้นยังน่ากังวล 

แม้การเปิดประเทศของจีนจะส่งผลบวกบ้างต่อภาคการส่งออกไทย แต่อาจยังไม่เพียงพอชดเชยการชะลอตัวของภาคการผลิตในประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากไทยมีการส่งออกไปยังประเทศกลุ่มนี้รวมกันมากกว่าจีน KKP Research ยังคงประเมินว่า ปริมาณการส่งออกของไทยจะยังเติบโตติดลบ 1.8% ในปี 2023 และการส่งออกในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสหดตัวรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี จากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ก่อนที่อาจจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 

 

ความไม่แน่นอน 3 ประการที่ต้องติดตามในปี 2023 

แม้ว่าในภาพรวมการเปิดประเทศที่เร็วขึ้นของจีนจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่งก็เพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจไทย คือ 

 

  1. ค่าเงินบาทที่มีความผันผวนสูงจะกระทบผู้ส่งออกและนำเข้า ในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปมาก จากการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ และดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลมากที่สุดในรอบหลายปี ในปี 2023 แม้ว่าเงินบาทจะเริ่มแข็งค่าขึ้น แต่สถานการณ์ค่าเงินบาทยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากดุลการค้าที่ยังมีความเสี่ยงขาดดุลในปีหน้า โดยตัวเลขดุลการค้าในไตรมาส 3/22 พลิกเป็นขาดดุลเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งเกิดจากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวขึ้นเร็วกว่าการส่งออกตามราคาสินค้านำเข้าจากที่ปรับสูงขึ้น 

 

  1. หากนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเร็ว อาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อในภาคบริการ แม้ว่าการท่องเที่ยวจะส่งผลบวกต่อรายได้ของคนในประเทศ แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อราคาสินค้าในประเทศ ซึ่งสามารถเกิดได้จากสองส่วน คือ 1) ราคาสินค้าในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นตามกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น 2) ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเศรษฐกิจหลัก ภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีแรงงานจำนวนมากย้ายออกจากภาคบริการ และผู้ประกอบการไม่สามารถดึงคนกลับมาทำงานได้ 

 

  1. อัตราเงินเฟ้อโลกยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้มากกว่าคาด และทำให้อัตราดอกเบี้ยยังเป็นทิศทางขาขึ้น ในปี 2023 หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปัญหาเงินเฟ้อจะเริ่มคลี่คลายลง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่จำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเหมือนปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีโอกาสปรับดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปี แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง จากทั้งภาวะทางการเงินที่ยังไม่ตึงตัวมาก ตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง จีนที่กลับมาเปิดประเทศ และการคาดการณ์เงินเฟ้อของคนที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้งการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นเร็วจะทำให้เงินเฟ้อในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นได้ สร้างความท้าทายต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในภาวะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง 

The post KKP Research ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้เพิ่มเป็น 3.6% คาดจีนเปิดเมืองเร็วหนุนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งทะลุ 25 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 66 หนักกว่า 65 จะกระทบไทยไหม? โดย ดร.พิพัฒน์ https://thestandard.co/thestandardnow04012023/ Wed, 04 Jan 2023 02:34:24 +0000 https://thestandard.co/?p=732543 IMF

IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 66 หนักกว่า 65 จะกระทบไทยไหม? โดย […]

The post ชมคลิป: IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 66 หนักกว่า 65 จะกระทบไทยไหม? โดย ดร.พิพัฒน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF

IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 66 หนักกว่า 65 จะกระทบไทยไหม? โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ รองหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เกียรตินาคินภัทร

The post ชมคลิป: IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 66 หนักกว่า 65 จะกระทบไทยไหม? โดย ดร.พิพัฒน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
KKP Research คาดสิ้นปี ‘คนไทย’ ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเพียง 35% ชี้อาจต้องล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือน https://thestandard.co/kkp-research-believe-thai-vaccinate-second-dose-35-percents/ Thu, 29 Jul 2021 08:26:47 +0000 https://thestandard.co/?p=518890 KKP Research

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Resear […]

The post KKP Research คาดสิ้นปี ‘คนไทย’ ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเพียง 35% ชี้อาจต้องล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
KKP Research

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บล.เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยการฉีดวัคซีนที่เริ่มต้นช้าและปริมาณวัคซีนที่จัดหาได้มีน้อยกว่าที่คาด ทำให้สัดส่วนของประชากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสในปัจจุบันมีเพียง 5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ามาก ดังนั้นภายในสิ้นปีคาดว่าจะมีประชากรเพียงประมาณ 35% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส ทำให้การแพร่ระบาดและมาตรการล็อกดาวน์อาจจะมีต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน

 

ในกรณีฐาน ได้ปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2564 เหลือ 0.5% ส่วนในกรณีที่การระบาดรุนแรงกว่า การล็อกดาวน์อาจยาวนานและรุนแรงกว่าที่คาด หรือต้องมีการปรับความเข้มข้นของมาตรการล็อกดาวน์จนกระทบต่อภาคการผลิต และการส่งออกที่เป็นความหวังสำคัญ เศรษฐกิจอาจหดตัวได้ถึง 0.8% ทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งได้

 

การหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและยาวนานกว่าการระบาด 2 ครั้งแรกจะส่งผลอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิต การจ้างงาน กระแสเงินสด ฐานะทางการเงิน และความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ดังนั้นรัฐบาลควรต้อง 

 

  1. มีการวางแผนการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่รอบคอบ สอดคล้องกับสถานการณ์และระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุข และสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส 

 

  1. การเพิ่มศักยภาพในการตรวจ สอบสวนโรค และรักษา และเร่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิผลเพื่อเพิ่มสัดส่วนของประชากรที่มีภูมิคุ้มกัน 

 

  1. ออกมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือที่เพียงพอและเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อลดผลกระทบและป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นถาวรทางเศรษฐกิจ 

 

  1. เตรียมการเพื่อกระตุ้นและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังโควิด 

 

  1. รักษาความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของระบบการเงิน

 

ทั้งนี้แม้ปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะต่อรายได้ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใกล้เพดานวินัยทางคลังที่ 60% และคาดว่าจะเกินระดับดังกล่าวในปี 2565 แต่ด้วยระดับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง รัฐบาลยังมีศักยภาพในการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นได้หากมีความจำเป็น อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องมีแผนในการปรับลดการขาดดุลในอนาคตเพื่อรักษาวินัยทางการคลังและความเชื่อมั่น และต้องมีการจัดลำดับของการใช้จ่ายในปัจจุบันให้สอดคล้องกับความจำเป็นของสถานการณ์

The post KKP Research คาดสิ้นปี ‘คนไทย’ ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเพียง 35% ชี้อาจต้องล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>