บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 21 May 2025 10:47:53 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ซีอีโอ ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ จับตาสงครามการค้าใกล้ชิด ยอมรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงรอบนี้รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ พร้อมปรับแผนธุรกิจรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว https://thestandard.co/scgc-trade-war-petrochemical-downturn/ Wed, 21 May 2025 10:47:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1076794

เอสซีจี เคมิคอลส์ จับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนอย่างใกล้ช […]

The post ซีอีโอ ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ จับตาสงครามการค้าใกล้ชิด ยอมรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงรอบนี้รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ พร้อมปรับแผนธุรกิจรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>

เอสซีจี เคมิคอลส์ จับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนอย่างใกล้ชิด หวั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา หลังมีผู้ผลิตหลายรายหั่นกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง

 

ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เผยว่า ภาพรวมตลาดปิโตรเคมีปัจจุบันอยู่ในภาวะทรงตัว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 จนถึงไตรมาส 1/2568 โดยสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลบวกในช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง 

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ผลิตหลายรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ไม่ลดต่ำไปกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว

 

“สำหรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้ถือว่ารุนแรงและยาวนานกว่าปกติ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ สถานการณ์โควิด ความผันผวนของราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผู้เล่นบางรายได้ผันตัวจากการเป็นประเทศนำเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออก” ศักดิ์ชัยกล่าว 

 

อย่างไรก็ตาม SCGC สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 

 

  1. การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 

 

  1. เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 

 

  1. เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน

 

สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA นั้น ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของ SCGC โดยมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และการใช้งานของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พอลิเมอร์สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ งานโครงสร้างและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้อยู่ในช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงก็ตาม แต่กลุ่มสินค้า HVA ยังได้รับการตอบรับจากตลาดในภูมิภาคเป็นอย่างดี

 

นอกจากนี้ SCGC ยังเร่งพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ SCGC Green Polymer ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก GRS (Global Recycled Standard) โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง พร้อมกับการพัฒนาสูตรเฉพาะ (Formulation) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่นสำหรับบรรจุภัณฑ์ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดย SCGC ได้ขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยูนิลีเวอร์ ไลอ้อน คาโอ เจบีพี และโฮมโปร”

 

ศักดิ์ชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า SCGC ยังได้ขยายธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น อาทิ ธุรกิจ “Industrial Service Solutions” โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลเครื่องจักร ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่พัฒนาโซลูชัน“DRS by REPCO NEX” (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก โดยดูแลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร (Asset Performance Management) เช่น การซ่อมบำรุงอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

 

สำหรับความคืบหน้าของโครงการคืบหน้าโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP หรือ ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSPE) นั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าโครงการฯ โดยดำเนินการ 3 ภารกิจหลักได้สำเร็จ ได้แก่ 

 

  1. การลงนามในสัญญาระยะยาวซื้อขายก๊าซอีเทนและท่าเรือส่งออก  

 

  1. การลงนามในสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (VLECs) จำนวน 5 ลำ และ 

 

  1. การลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหาและก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน  ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียดตามแผนที่วางไว้ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2570

The post ซีอีโอ ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ จับตาสงครามการค้าใกล้ชิด ยอมรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงรอบนี้รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ พร้อมปรับแผนธุรกิจรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี’ เตรียมรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ คุมเข้มระมัดระวังการลงทุน-หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร พร้อมงัด 4 กลยุทธ์ สู้ศึกสงครามการค้า https://thestandard.co/scg-trump-tariff-4-strategies/ Fri, 02 May 2025 03:11:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1070402

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) หรือ ชื่อหุ้น SCC  แจ้ […]

The post ‘เอสซีจี’ เตรียมรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ คุมเข้มระมัดระวังการลงทุน-หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร พร้อมงัด 4 กลยุทธ์ สู้ศึกสงครามการค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) หรือ ชื่อหุ้น SCC  แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2568 มีรายได้จากการขาย 124,392 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 1,099 ล้านบาท ลดลง 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 1/2567 บริษัทย่อย คือ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) มีผลการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประกอบกับมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของ SCGC ที่ลดลง 

 

อีกทั้งค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าเสื่อมราคาและ ดอกเบี้ยของโรงงานปิโตรเคมีในเวียดนาม (LSP) และผลการดำเนินงานของ บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGC) ที่ลดลง

 

อย่างไรก็ดี กำไรไตรมาส 1/2568 เพิ่มขึ้น 1,611 ล้านบาท เมื่อเปรียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลการขาดทุนสุทธิจำนวน 512 ล้านบาท  เป็นผลจากการบริหารจัดการภายใน และการปรับปรุง ประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ รวมถึงจากความต้องการตามฤดูกาลปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และ การก่อสร้าง ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจาก SCGC และ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP)

 

ภาพ: ข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ที่สำคัญ ของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย 

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ระบุว่า กำไรในไตรมาส 1/2568 ของเอสซีจีที่ออกมาในระดับที่ดี เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือที่มีความสามารถและมีมาตรการในการปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

 

ในช่วงไตรมาส 1/2568 บริษัทสามารถในการสร้างกระแสเงินสดหรือกำไรก่อนภาษี, ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย  (EBITDA) ออกมาในระดับที่ดี 12,889 ล้านบาท ในภาวะปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูงจากผลกระทบของสงครามทางค้าถือว่ากระแสเงินสดมีความสำคัญมากกว่ากำไรสุทธิ 

 

สำหรับสาเหตุที่กำไรและกระเงินสดของบริษัทที่ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจมาจากปัจจัยสนับสนุนของมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องก่อน มีการเร่งยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ 

 

รวมทั้งการ Restructuring ของทุกธุรกิจ มีการขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมาตรการทั้งหมดที่ทำเริ่มออกผลลัพธ์ที่เป็นบวก ประกอบกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง มีความต้องการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลก่อสร้างและงบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายต่อเนื่อง 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย จะมีการปรับลดเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 2568 ที่เคยตั้งเป้าหมายตั้งเติบโตขึ้น 3-5% จากปีก่อนหรือไม่ หลังจากที่รายได้ไตรมาส 1/2568 ออกมาทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ธรรมศักดิ์ ระบุว่า สำหรับเป้าหมายรายได้จากการขายในปีนี้ ด้วยสถานการณ์ (Scenario) ปัจจุบันที่มีความวุ่นวายจากประเด็นของสถานการณ์สงครามการค้าโลก (Trade War) จากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่รุนแรง บริษัทยังคงต้องติดตามความชัดเจนในกรณีดังกล่าวอีกครั้งว่าจะมีข้อสรุปออกมาอย่างไร จึงจะนำมาประกอบในการพิจารณาทบทวนเป้าหมายรายได้จากการขายในปีนี้อีกครั้ง



“ตอนนี้มองว่ารายได้ในไตรมาส 1 กับ 2 ปีนี้ น่าจะยังสบายๆ แต่ไตรมาส 3 กับ 4 เราต้องเตรียมตัวรับมือผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่เปรียบเทียบเป็นคลื่นสึนามิที่สูง 10 เมตร แต่ถ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามาแค่ 3 เมตร เราก็จะอยู่รอดแบบสบายๆ เพราะเราเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว”

 

ภาพ: ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย 

 

งัด  4 กลยุทธ์ สู้ศึก Trade War 

 

สำหรับสถานการณ์ Trade War จากการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8% ปัจจัยสำคัญมาจากการลดประมาณการ GDP ลงเกือบทุกประเทศ สำหรับ GDP ประเทศไทย ปรับลดลงเหลือ 1.8%

 

โดยเอสซีจี ได้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากสงครามการค้าโลกไว้ดังนี้

 

  1. ผลกระทบทางตรงต่อเอสซีจี มีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวมของกลุ่มเอสซีจี 

 

  1. ผลกระทบทางอ้อม หากพ้นระยะที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน กลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บอัตราภาษีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% ตามที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568 จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและโลกจะชะลอตัวรุนแรง การส่งออกระหว่างประเทศ รวมถึงการทะลักของสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย จะส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้เอสซีจีเตรียมดำเนินการเพิ่มใน 4 กลยุทธ์ เพื่อใช้รับมือสงครามการค้าโลกที่กำลังเกิด สำหรับทุกธุรกิจในกลุ่ม ดังนี้

 

  1. ลดต้นทุนเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกโดยเฉพาะจีน เพื่อรับมือสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นที่อาจเข้ามาแข่งขัน ด้วยวิธีการดังนี้

 

  • ลดต้นทุนการผลิต (Operation Cost) โดยควบรวมไลน์การผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดขั้นตอน โดยเพิ่มการใช้ Robotic Automation เช่น เอสซีจี ไฮม์ ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะประกอบบ้านโมดูลาร์ทนแผ่นดินไหวอย่างแม่นยำ

 

  • ลดต้นทุนการบริหารจัดการ (Admin Cost) โดยเพิ่มการใช้ AI ปรับปรุงประสิทธิภาพในทั้งองค์กรของเอสซีจี เช่น ใช้ AI คาดการณ์ความผิดปกติของเครื่องจักรก่อนเกิดความเสียหาย (Predictive Maintenance)

 

  • ปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital)  ส่งผลให้สามารถลดหนี้สินสุทธิ ลงเหลือ 290,504 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 และเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ

 

  • เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เพิ่มสัดส่วนการ ใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) และพลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) ในกระบวนการผลิต 

 

  1. ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ

 

  • พัฒนากลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงและสินค้ากรีน (HVA Products & Green Products) ให้ตอบโจทย์ตลาด  เช่น กระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่, ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ 

 

  • การเพิ่มสินค้าคุณภาพที่มีราคาจับต้องได้ (Quality Affordable Products) ซึ่งมีดีมานด์ของสินค้าที่สูง สามารถทำกำไรทันที เช่น เอสซีจี โซลาร์รูฟ ที่ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ และมีหลายแพ็กเกจราคาให้เลือก

 

  1. ขยายไปบุกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง โดยขยายการส่งออกสินค้า เช่น ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ กระเบื้องคอนกรีต สมาร์ทบอร์ด กระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและความต้องการ 

 

  1. สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน โดยสลับฐานการผลิตและส่งออกจากประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า ฐานการผลิตที่หลากหลายซึ่งเป็นจุดแข็งของเอสซีจีจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที เช่น บรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีพี ที่มีฐานการผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทย เวียดนาม, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ และกระเบื้อง เกรซพอร์ซเลน สามารถผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทย และเวียดนาม

 

ภาพ: 4 กลยุทธ์ในการสู้ศึกสงครามการค้าของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย

 

แนะตั้งวอร์รูมระดมสมองรับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ

 

ธรรมศักดิ์ ยังมีคำแนะนำถึงภาคธุรกิจเอสเอ็มในการรับมือของสถานการณ์สงครามการค้าโลก เนื่องจากหากสหรัฐฯ บังคับใช้อัตราภาษีสินค้านำเข้าจากไทยตามที่เคยประกาศอัตรา 36% มีโอกาสส่งออกสินค้าจากไทยโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีไปยังสหรัฐฯ อาจหายไปทั้งหมด ส่งผลให้การใช้กำลังผลิตลดลง 

 

อีกทั้งจะเผชิญการแข่งขันที่มีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจจึงมีความจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเป็นระบบให้รวดเร็ว ด้วยการเน้นการลดต้นทุนเพื่อทำธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้แบบยั่งยืน โดยการใช้พลังสะอาด การ Robotic Automation ที่ปัจจุบันเริ่มมีราคาที่ถูกลงนำมาใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อช่วยต้นทุน

 

นอกจากนี้ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีของโลกและไทยในปี 2568 ลง อีกทั้งล่าสุด Moody ประกาศปรับลดแนวโน้ม (Outlook) อันดับความน่าเชื่อประเทศไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) สะท้อนว่าเศรษฐกิจของไทยยังมีความเปราะบาง และมีสัญญาณอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วง

 

ดังนั้นการปรับตัวเพื่อแก้ปัญหารับมือสถานการณ์สงครามการค้าจึงมีความสำคัญอย่างมาก มีความเห็นว่าภาครัฐกับเอกชนของไทยควรมีการประสานการทำงานเจรจากับสหรัฐฯ โดยการตั้งวอร์รูมระดมสมองหาแนวทางรับมือร่วมกัน โดยนำผู้ที่เกี่ยวทั้งหมดในระดับประเทศเพื่อทำงานร่วมพิจารณาตัดสินใจร่วมกันในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และจีน หาแนวทางร่วมกัน เมื่อทุกฝ่ายได้รับข้อมูลครบถ้วน จะทำให้แก้ปัญหาได้ตรงจุด​และรวดเร็ว​ ส่งผลให้​เศรษฐกิจ​ไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น​และสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาได้

 

ระวังการลงทุน-หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร

 

ด้าน จันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า บริษัทมีการดำเนินการแผนลด Working Capital ลงอย่างต่อเนื่อง โดยนับจากช่วงกลางปี 2567 ถึงสิ้นปี 2567 สามารถลด Working Capital ลงได้แล้วประมาณ 16,000 ล้านบาท  ขณะที่สิ้นไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ลด Working Capital ได้อีกประมาณ 3,600 ล้านบาท

 

อีกทั้งมีการปรับโครงสร้างของธุรกิจภายในบริษัทมีการหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรที่ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

 

ภาพ: จันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย 

 

 นอกจากนี้จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภาษีของสหรัฐฯ ทำให้มีความระมัดระวังการลงทุนการเพิ่มมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/2568 บริษัทมีการใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 6,100 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 50% ของงบลงทุนดังกล่าวเป็นใช้จ่ายสำหรับซ่อมบำรุงปรับปรุงเครื่องจักร

 

โดยทั้งปีนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

อีกทั้งสามารถในไตรมาส 1/2568 บริษัทสามารถลดหนี้สินสุทธิลงมาอีกประมาณ 4,600 ล้านบาท จากไตรมาส 4/2567  รวมทั้ง ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 มีเงินสดคงเหลือภายในบริษัทอยู่ที่ประมาณ 43,000 ล้านบาท สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่มีความเข้มแข็งของเอสซีจี

 

‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ กังวลอุตสาหกรรมฟื้นช้ากว่าที่เคยคาด

 

ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ กล่าวว่า การตั้งกำแพงภาษีสินค้าในระดับสูงของสหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่อดีมานด์สินค้าให้ลดลง ประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้มีความเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือเกิดภาวะ เศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ (Stagflation)

 

ขณะที่ประเมินว่าแม้สถานการณ์การตั้งกำแพงภาษีสินค้าในระดับสูงของสหรัฐฯ จะลากยาวต่อไป แต่คาดว่าส่วนต่างราคาขาย (สเปรด) ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะไม่ลดลงไปจากระดับปัจจุบันซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุด (Bottom) หลังจากในช่วงไตรมาส 1/2568 ซัพพลายใหม่เข้ามาสู่ตลาดโลกจำนวนมาก แต่ดีมานด์ยังอ่อนแอ

 

อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเริ่มมีการปรับตัว หากแนวโน้มของสเปรดเริ่มไปจากปัจจุบันผู้ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็จะเริ่มลดกำลังการผลิตลง 

 

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ในระยะสั้นก็มีข้อดี เพราะเริ่มเห็นกำลังผลิตปิโตรเคมีในจีน, ตะวันออกกลาง, แคนาดา รวมทั้งในหลายภูมิภาค เริ่มทยอยเลื่อนแผนหรือยกเลิกแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ที่เคยวางไว้ในปี 2027-2028 จะทำให้ในอนาคตซัพพลายของปิโตรเคมีจะเริ่มลดลง”

 

ภาพ: ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์

 

อีกทั้งประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งเดิมคาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นการฟื้นตัวในปี 2569 จากปัจจุบันที่อยู่ในวัฏจักรของจุดต่ำอาจลากยาวนานออกไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้บ้าง

 

“แต่ระยะยาวเดิมเคยคิดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จะต้องฝ่าฟันกันจนเลือดหมดตัวแบบยาวนาน ตอนนี้จะมีเวลาดังกล่าวที่สั้นลง เพราะกำลังผลิตใหม่ในอนาคตจะเริ่มทยอยลดลงหรือเลิกไป”

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าโครงการปิโตรเคมีลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals: LSP) ในเวียดนามที่มีมูลค่าการลงทุน 5.2 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.70 แสนล้านบาท มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.35 ล้านตันต่อปี และพอลิโอเลฟินส์ 1.4 ล้านตันต่อปี ที่ปัจจุบันโครงการดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว แต่มีการหยุดการผลิตไว้ชั่วคราวตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2567 มีแผนในการหาพาร์ตเนอร์มาร่วมถือหุ้นในโครงการ LSP หรือไม่นั้น 

 

โครงการ LSP พร้อมเปิดกว้างรับพาร์ตเนอร์

 

ศักดิ์ชัย ระบุว่า เชื่อว่ามีผู้ที่สนใจการเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ในโครงการ LSP เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่ดี แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างในช่วงของการปรับตัวในด้านวัตถุดิบเพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยบริษัทมีแผนการกลับมาเปิดการผลิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพาร์ตเนอร์



“ถ้ามีพาร์ตเนอร์ที่สนใจลงทุนใน LSP แล้วถ้าคุยกับเขาแล้วคิดว่าสามารถอยู่ด้วยกันได้สนับสนุนให้ LSP แข็งแกร่งขึ้นไปอีกก็พร้อมพูดคุย แต่ปัจจุบันยังไม่มีการพูดคุยกับพาร์ตเนอร์ที่หมั้นหมายแต่งงานกันตอนนี้ยังไม่มี”

 

ขณะที่แผนในการนำ SCGC เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนี้ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันยังคงเลื่อนแผนออกไปแบบไม่มีกำหนด

The post ‘เอสซีจี’ เตรียมรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ คุมเข้มระมัดระวังการลงทุน-หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร พร้อมงัด 4 กลยุทธ์ สู้ศึกสงครามการค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปูนซิเมนต์ไทยครึ่งแรกของปี 67 กำไรร่วงหนัก 75% เหลือ 6.1 พันล้านบาท เหตุส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ดิ่ง โดนค่าใช้จ่ายพุ่ง และตลาดก่อสร้างในประเทศอ่อนแอ https://thestandard.co/scg-profits-plunge-75-percent/ Thu, 25 Jul 2024 04:01:21 +0000 https://thestandard.co/?p=962627

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ SCG แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ รา […]

The post ปูนซิเมนต์ไทยครึ่งแรกของปี 67 กำไรร่วงหนัก 75% เหลือ 6.1 พันล้านบาท เหตุส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ดิ่ง โดนค่าใช้จ่ายพุ่ง และตลาดก่อสร้างในประเทศอ่อนแอ appeared first on THE STANDARD.

]]>

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ SCG แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานผลการดำเนินงาน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,133 ล้านบาท ลดลง 75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

ขณะที่ในไตรมาสที่ 2/67 SCG มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,708 ล้านบาท ลดลง 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 2/66 SCG มีการบันทึกกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในธุรกิจอื่น 2,866 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2/67 ไม่มีการรับรู้รายการดังกล่าวเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/66

 

ประกอบกับบริษัทย่อยคือ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC มีผลการดำเนินงานลดลง เป็นผลมาจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายของโรงงานปิโตรเคมีที่เวียดนาม (LSP Complex) รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ของบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด และส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง

 

โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 SCGC มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 4,081 ล้านบาท ลดลง 607 ล้านบาท หรือ 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมใน SCGC คิดเป็น 29% ของทั้งหมด หรือ 1,187 ล้านบาท ลดลง 626 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจอื่นคิดเป็น 71% ของทั้งหมด หรือ 2,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย SCG มีเงินปันผลรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เท่ากับ 5,796 ล้านบาท ลดลง 2,062 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับรายได้จากการขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ 2.52 แสนล้านบาท ลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาสที่ 2/67 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

โดยสาเหตุหลักจากรายได้จากการขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง เนื่องจากสถานการณ์ตลาดในไทยที่อ่อนตัวลงตามฤดูกาล แม้ว่าจะมีปริมาณขายของ SCGC และ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เพิ่มขึ้น อีกทั้งส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์และเงินปันผลที่ลดลงของ SCGC ด้วย 

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 23 สิงหาคม 2567 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 8 สิงหาคม 2567

The post ปูนซิเมนต์ไทยครึ่งแรกของปี 67 กำไรร่วงหนัก 75% เหลือ 6.1 พันล้านบาท เหตุส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ดิ่ง โดนค่าใช้จ่ายพุ่ง และตลาดก่อสร้างในประเทศอ่อนแอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี’ รัดเข็มขัด ลดงบลงทุนปี 67 เหลือใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท เตรียมรับมือหลายความเสี่ยง https://thestandard.co/scg-reduces-investment-budget-for-2024/ Fri, 26 Jan 2024 04:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=892411

กลุ่ม ‘เอสซีจี’ เพิ่งแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือซ […]

The post ‘เอสซีจี’ รัดเข็มขัด ลดงบลงทุนปี 67 เหลือใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท เตรียมรับมือหลายความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลุ่ม ‘เอสซีจี’ เพิ่งแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือซีอีโอคนใหม่ แทน ‘รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส’ ที่เกษียณอายุ มีผลวันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เดินแผนเร่งคืนหนี้ก่อนกำหนด 30,000 ล้านบาท ช่วยลดดอกเบี้ยได้ 1,000 ล้านบาท

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ ‘เอสซีจี’ ได้แถลงแผนธุรกิจปี 2567 โดยระบุว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 40,000 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจกรีนหรือนวัตกรรมรักษ์โลก รวมทั้งในธุรกิจพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะมีความต้องการและโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต

 

อย่างไรก็ดี งบลงทุนในปี 2567 ถือว่าบริษัทมีการปรับใช้งบลงทุนรวมต่ำกว่าภาวะปกติที่บริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นแผนการรับมือปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตาในปีนี้ที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจ ทั้งตลาดดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับลดลง, ความผันผวนของราคาน้ำมันกับค่าขนส่งสินค้า (Freight), การชะลอตัวของเศรษฐกิจ, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) รวมถึงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีอยู่ในขณะนี้ โดยบริษัทเตรียมแผนรับมือไว้ โดยจะไม่เข้าไปทำธุรกิจในจุดศูนย์กลางที่มีปัญหา เน้นหันไปลงทุนทำธุรกิจในพื้นที่ที่มีโอกาสเติบโตสูง

 

สำหรับปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายรวม ซึ่งจะเติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปี 2566 ที่ทำได้ 499,646 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals) ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะแล้วเสร็จการเดินเครื่องจักรและทดสอบประสิทธิภาพการเดินโรงงานทั้งระบบในช่วงไตรมาส 1/67

 

เลื่อนแผน IPO ธุรกิจ ‘เคมิคอลส์’

 

ขณะที่ความคืบหน้าแผนการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทคาดว่าต้องชะลอแผนระดมทุนในช่วง 2 ปี หรือปี 2567-2568 ไปก่อน เนื่องจากวัฏจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2567 ยังอยู่ในช่วงขาลง ส่วนปี 2568 มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังไม่เต็มที่ อีกทั้งการเร่งรีบเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชน (IPO) อาจยังไม่สร้างประโยชน์เต็มที่ให้กับบริษัท

 

โดยบริษัทจะปรับกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มไปสู่กระบวนการผลิตที่เป็น Green Polymer ให้มากขึ้น ขณะที่ตลาดปิโตรเคมีคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและอุปทานที่ลดลง

 

สำหรับธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ล่าสุดขยายการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำเจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกอีก 5% ขณะที่ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล เร่งขยายความแข็งแกร่งสู่ตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างภูมิภาค SAMEA ได้แก่ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

 

โดย SCG International ตั้งสำนักงานในกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย อย่างเป็นทางการ พร้อมเป็น International Supply Chain Partner บริหารจัดการตั้งแต่การหาแหล่งผลิตสินค้าจนถึงการสร้างตลาดให้คู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก

 

ขณะที่ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ พลังงานสะอาดครบวงจร ล่าสุดติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายพื้นที่ เช่น กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง, นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เตรียมขยายไปยังตลาดอาเซียน ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในปี 2567

 

ส่วนธุรกิจแพ็กเกจจิ้งของ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ในช่วงไตรมาส 4/66 ความต้องการภาคบริโภคในเวียดนามและอินโดนีเซียเริ่มฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสินค้าส่งออก โดยเฉพาะอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ในปี 2567 อุตสาหกรรมแพ็กเกจจิ้งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวและส่งออก ดังนั้นจึงเน้นในด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งขยายกำลังการผลิตและ M&P (Merger & Partnership) ในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์, บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์และเติบโตสูง

 

รายได้ปี 2566 ร่วง 12% ดีมานด์ปูนหด-ราคาเคมีภัณฑ์ทรุด

 

สำหรับผลประกอบการในปี 2566 บริษัทมีรายได้ 499,646 ล้านบาท ลดลง 12% จากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics ขณะที่กำไร 25,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากกำไรของการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566

 

ขณะที่ไตรมาส 4/66 มีรายได้ 120,618 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ 502 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/66 บริษัทมีผลขาดทุนสำหรับงวด 1,134 ล้านบาท เนื่องจากมีรายการพิเศษการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา และรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมีลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals: LSP)

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 6 บาท รวมเป็นเงิน 7,200 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของกำไรไม่รวมรายการพิเศษ ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.5 บาท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 3.5 บาท

 

เร่งคืนหนี้แบงก์ลดภาระดอกเบี้ย

 

จันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน SCC กล่าวว่า บริษัทมีวงเงินหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปีนี้ประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อมาชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดก้อนแรกในเดือนเมษายน 2567 วงเงิน 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการออกหุ้นชุดใหม่ของบริษัทวงเงิน 20,000 ล้านบาท และวงเงินหุ้นกู้จากบริษัทย่อยอีกวงเงิน 5,000 ล้านบาท และสำหรับวงเงินส่วนที่เหลือจะครบในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ราว 10,000 ล้านบาท และช่วงปลายปีนี้อีกวงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรอพิจารณาความจำเป็นและความต้องการการใช้เงินและกระแสเงินสดของบริษัทอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีเงินสดคงเหลือ 68,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงภาวะปกติที่บริษัทจะรักษาเงินสดภายในไว้ที่ระดับ 1 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้แบ่งนำเงินสดไปชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดธนาคารพาณิชย์จำนวน 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี

The post ‘เอสซีจี’ รัดเข็มขัด ลดงบลงทุนปี 67 เหลือใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท เตรียมรับมือหลายความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอสซีจีเคาะเลื่อนขาย IPO ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ อย่างไร้กำหนด เหตุตลาดหุ้น-เศรษฐกิจไม่เอื้อ พร้อมตั้ง ‘ธรรมศักดิ์’ เป็นซีอีโอคนใหม่ของเอสซีจี https://thestandard.co/scgc-postpone-ipo/ Mon, 28 Aug 2023 06:27:02 +0000 https://thestandard.co/?p=834511 IPO เอสซีจี เคมิคอลส์

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ยอมรับ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ข […]

The post เอสซีจีเคาะเลื่อนขาย IPO ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ อย่างไร้กำหนด เหตุตลาดหุ้น-เศรษฐกิจไม่เอื้อ พร้อมตั้ง ‘ธรรมศักดิ์’ เป็นซีอีโอคนใหม่ของเอสซีจี appeared first on THE STANDARD.

]]>
IPO เอสซีจี เคมิคอลส์

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ยอมรับ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ขาย IPO ไม่ทันภายในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ ตาม ก.ล.ต. กำหนด หลังตลาดหุ้นในและต่างประเทศ-เศรษฐกิจไม่เอื้อ รอยื่นไฟลิ่งใหม่อีกครั้งหากสถานการณ์เอื้ออำนวย พร้อมตั้ง ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม เป็นซีอีโอคนใหม่ มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2567

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่บริษัทได้เปิดเผยสารสนเทศ เรื่อง ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ไปแล้วนั้น โดย SCGC ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ให้ขยายระยะเวลาการอนุญาตให้เสนอขายหุ้น IPO ออกไปถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2566 และไม่สามารถขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปได้อีก ซึ่งเป็นไปตามที่ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่เกี่ยวข้องกำหนด 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 


 

ทั้งนี้ บริษัทได้พิจารณาถึงความเหมาะสมในการเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นของ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ความพร้อมของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่จะรองรับ IPO ขนาดใหญ่จากบริษัทไทยในขณะนี้ รวมถึงสถานการณ์ภายนอก เช่น ด้านเศรษฐกิจและวิกฤตราคาพลังงาน เป็นต้น บริษัทเห็นว่ายังไม่สามารถที่จะดำเนินการ IPO ในช่วงเวลานี้

          

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเชื่อมั่นในศักยภาพของ SCGC ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน และความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายธุรกิจและการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก

 

บริษัทมีความตั้งใจจะดำเนินการ IPO ของ SCGC อีกครั้งเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย รวมถึงการยื่นคำขออนุญาตการเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ใหม่อีกครั้ง โดยจะรายงานความคืบหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายทราบต่อไป

 

ตั้ง ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีคนใหม่

 

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย มีมติแต่งตั้ง ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ คนใหม่ แทน รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ที่กำลังจะครบเกษียณอายุ โดยมีผลวันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป และแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิเมนต์ไทยโฮลดิ้ง จำกัด อีกตำแหน่งหนึ่ง 

 

พร้อมทั้งมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ดังนี้

มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป 

สุรชัย นิ่มละออ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 

 

มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป 

  1. วิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลิฟวิ่ง และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล
  2. สุรชัย นิ่มละออ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน
  3. ปรเมศวร์ นิสากรเสน เป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี

 

ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูง 4 คน เกษียณอายุตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ดังนี้ 

  1. รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส
  2. ยุทธนา เจียมตระการ
  3. อารีย์ ชวลิตชีวินกุล
  4. นิธิ ภัทรโชค

 

The post เอสซีจีเคาะเลื่อนขาย IPO ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ อย่างไร้กำหนด เหตุตลาดหุ้น-เศรษฐกิจไม่เอื้อ พร้อมตั้ง ‘ธรรมศักดิ์’ เป็นซีอีโอคนใหม่ของเอสซีจี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี’ หั่นทุกเป้า! ยอมรับรายได้ปี 66 ต่ำกว่าปีก่อน พิษเศรษฐกิจชะลอทำดีมานด์สินค้าหด พร้อมรัดเข็มขัดลดงบลงทุนเหลือ 4 หมื่นล้านบาท https://thestandard.co/scg-accepts-2023-income-is-lower-than-2022/ Thu, 27 Jul 2023 11:41:33 +0000 https://thestandard.co/?p=822916 รายได้ SCG 2023

พิษเศรษฐกิจชะลอกระทบ ‘เอสซีจี’ ปรับลดเป้าหมายรายได้ปี 2 […]

The post ‘เอสซีจี’ หั่นทุกเป้า! ยอมรับรายได้ปี 66 ต่ำกว่าปีก่อน พิษเศรษฐกิจชะลอทำดีมานด์สินค้าหด พร้อมรัดเข็มขัดลดงบลงทุนเหลือ 4 หมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายได้ SCG 2023

พิษเศรษฐกิจชะลอกระทบ ‘เอสซีจี’ ปรับลดเป้าหมายรายได้ปี 2566 ลงจากเดิมตั้งเป้าโต 10% เป็นเหลือรายได้ปีนี้ต่ำกว่าปี 2565 หลังดีมานด์สินค้าตลาดหลักหดตัวหนัก ผนวกธุรกิจปิโตรเคมีคอลเกิดโอเวอร์ซัพพลายฉุดราคาขายร่วง จ่อนัดบอร์ดถกทบทวนแผนไอพีโอ SCGC ในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้บริษัทในปี 2566 ลงมา โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะต่ำกว่าปี 2565 จากเดิมที่คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 10% จากปี 2565 ที่มีรายได้ประมาณ 5.82 แสนล้านบาท หลังจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2.53 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อีกทั้งยังถูกผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประเด็น ประเด็นแรกคือดีมานด์ตลาดวัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนที่หดตัวลง โดยในบางประเทศตลาดมีการหดตัวมากถึง 10-20% ถือว่ามีผลกระทบกับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 45% ของรายได้รวม ซึ่งฐานหลักมาจากตลาดภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

 

ส่วนประเด็นกดดันที่สองคือดีมานด์ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคอาเซียนก็หดตัวลงประมาณ 10-20% และประเด็นที่สามคือกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีคอลที่มีราคาขายเฉลี่ยลดลงประมาณ 10-20% จากผลกระทบของการเกิดโอเวอร์ซัพพลายตลาดโลกที่มีกำลังผลิตใหม่ออกมาเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยสถานการณ์ทั้งหมดดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และคาดว่าจะยังเกิดขึ้นกดดันต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อไป

 

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของจีนถือว่ายังฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ประเมินไว้ รวมทั้งกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างยุโรปและสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูง จึงมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวเพิ่มสูง รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ถือเป็นตลาดที่สำคัญของบริษัทก็ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้

 

ขณะที่เศรษฐกิจของไทยเริ่มมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้สินค้าที่มีความเกี่ยวข้องมียอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ดี มีความกังวลว่าหากสถานการณ์การเมืองในประเทศเกิดกรณีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้ายืดเยื้อต่อไป อาจส่งผลกระทบให้การลงทุนในโครงการภาครัฐใหม่ๆ มีความล่าช้าตามไปด้วย รวมถึงปัญหาภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตาม

 

นอกจากนี้บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนรวมในปีนี้ลงจากแผนเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท มาเหลือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจปัจจุบัน โดยงบลงทุนหลักของปีนี้จะเน้นการลงทุนโครงการต่อเนื่องให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีโครงการลงทุนหลักคือโครงการปิโตรเคมีครบวงจรที่เวียดนาม (LSP) ขนาดกำลังผลิต 1.50 ล้านตันต่อปี ให้แล้วเสร็จและทดสอบโครงการได้ภายในปีนี้

 

“สถานการณ์แบบนี้บริษัทต้องมีความระมัดระวังค่อนข้างมากในการลงทุน เราให้น้ำหนักความกังวลทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคยังมีความท้าทายมาก มีความเสี่ยงที่มีผลกระทบเยอะ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยแสดงให้เห็นว่าประเด็นเงินเฟ้อยังต้องสู้ต่อไป ประเด็นต่อมาคือความเสี่ยงในเรื่องของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกจะมีมากขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจต้องระวังมากขึ้นด้วย ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีการรัดเข็มขัด”

 

สำหรับความคืบหน้าของแผนการนำเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย คณะกรรมการ (บอร์ด) ของทั้ง SCC และ SCGC มีการประชุมในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ เพื่อพิจารณาทบทวนแผนการทำ IPO ของ SCGC ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีการเลื่อนแผนการขาย IPO ออกไปจากกำหนดการเดิมหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ดทั้ง 2 บริษัท

 

“กรณีหาก SCGC ไม่สามารถขาย IPO ได้ตามแผนในเดือนตุลาคมปีนี้ และเข้าซื้อขายได้ทันในไตรมาส 4/66 ก็จะต้องมีการยื่นไฟลิ่งเพื่อขออนุญาตขอขาย IPO ใหม่อีกครั้ง แต่คงต้องเว้นระยะเวลาไปสักพักหนึ่งก่อนถึงจะกลับมายื่นไฟลิ่งใหม่อีกครั้งได้”

 

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/66 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 8,082 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวของปีก่อน และลดลง 51% จากไตรมาสก่อน เป็นไปตามรายได้จากการขายลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจ

 

สำหรับกำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 24,608 ล้านบาท มาจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/66 ขณะที่กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit Excluding Extra Items) อยู่ที่ 9,786 ล้านบาท แต่ลดลง 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2566 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566

 

ด้านการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น SCC จากต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ขึ้นไป ทำจุดสูงสุดที่ 360 บาท เพิ่มขึ้น 16 บาท หรือ 4.65% จากราคาปิดสิ้นปี 2565 ที่ 344 บาท จากนั้นในวันที่ 25 เมษายน 2566 ราคาร่วงไปทำจุดต่ำสุดที่ 300 บาท ลดลง 44 บาท หรือ 12.8% จากราคาปิดสิ้นปี 2565 โดยล่าสุดวันนี้ (27 กรกฎาคม) ราคา SCC ปิดการซื้อ-ขายที่ 322 บาท ลดลง 22 บาท หรือ 6.4% จากราคาปิดสิ้นปี 2565

The post ‘เอสซีจี’ หั่นทุกเป้า! ยอมรับรายได้ปี 66 ต่ำกว่าปีก่อน พิษเศรษฐกิจชะลอทำดีมานด์สินค้าหด พร้อมรัดเข็มขัดลดงบลงทุนเหลือ 4 หมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
EXCLUSIVE: ต่างชาติผวาการเมืองวุ่น-ธุรกิจยังอยู่ในช่วงขาลง กดดัน ‘SCGC’ เลื่อนแผนขายหุ้น IPO มูลค่าแสนล้านบาท จากเดิมปักหมุดปีนี้ https://thestandard.co/scgc-postpone-ipo-plan/ Wed, 26 Jul 2023 11:33:21 +0000 https://thestandard.co/?p=822470 SCGC เลื่อน IPO

‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ จ่อเลื่อนขาย IPO มูลค่าแสนล้านบาท ห […]

The post EXCLUSIVE: ต่างชาติผวาการเมืองวุ่น-ธุรกิจยังอยู่ในช่วงขาลง กดดัน ‘SCGC’ เลื่อนแผนขายหุ้น IPO มูลค่าแสนล้านบาท จากเดิมปักหมุดปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCGC เลื่อน IPO

‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ จ่อเลื่อนขาย IPO มูลค่าแสนล้านบาท หลังหลายปัจจัยไม่เอื้อ ทั้งการเมืองในประเทศยังไม่แน่นอน การตั้งรัฐบาลใหม่ กดดัน Fund Flow หนี ผนวกกับธุรกิจปิโตรเคมิคอลส์ยังเป็นขาลง จนอาจกระทบต่อการกำหนดราคาหุ้น

 

แหล่งข่าวที่ปรึกษาทางเงิน (FA) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า คาดว่าแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่ว (IPO) ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ได้เลื่อนกำหนดการขายหุ้น IPO จากเดิมที่กำหนดไว้ภายในวันที่ 4 ตุลาคม 2566 ซึ่งครบกำหนดตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. หลังจาก SCGC ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 แต่ไม่ได้ทำการขาย IPO ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนดตามเกณฑ์

 

ทั้งนี้ ส่งผลให้หลังครบกำหนดดังกล่าว SCGC จะต้องยื่นไฟลิ่งใหม่อีกครั้ง เบื้องต้นคาดว่าจะมีการยื่นไฟลิ่งใหม่ในปี 2567 เพื่อขออนุญาตขาย IPO ในปีหน้า หรือการพิจารณาถึงความเหมาะสมในปัจจัยภาวะแวดล้อม ทั้ง ภาวะเศรษฐกิจโลก ธุรกิจ และการเมือง รวมถึงภาพรวมของตลาดหุ้นด้วยว่าจะมีความเหมาะสมเอื้อต่อการระดมทุนได้หรือไม่


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

“IPO ของ SCGC คงขายไม่ทันปีนี้ เพราะภาพรวมของธุรกิจปิโตรเคมิคอลส์เอง ปัจจุบันอยู่ใน Down Cycle ภาพรวมของโลกก็ยังล้นตลาดอยู่ ดีมานด์ก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวได้เร็ว ทำให้สเปรด (ส่วนต่างราคาขาย) ยังไม่ได้ฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยเองตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวย จากปัจจัยการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งการตั้งรัฐบาลยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อใด กดดัน Sentiment ตลาดหุ้นไทยผันผวน ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลัว สะท้อนจาก Fund Flow ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ถึงปัจจุบันที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท เพราะดีล IPO ถือเป็นดีลใหญ่ที่ต้องพึ่งนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นคงต้องเลื่อนการ IPO ออกไปก่อน”

 

ก่อนหน้านี้คาดว่าดีลขาย IPO ของ SCGC จะมีมูลค่าเสนอขาย IPO อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท และมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปถึงประมาณ 2-3 แสนล้านบาท

 

ทั้งนี้ SCGC แต่งตั้ง FA ไทย คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง, บล.กสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และมีที่ปรึกษาทางการเงินและร่วมจัดจำหน่ายเป็นสถาบันการเงินต่างประเทศ ได้แก่ มอร์แกน สแตนลีย์, ยูบีเอส และเจพีมอร์แกน

 

ด้านแหล่งข่าวระดับสูง บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สถานการณ์ปัจจุบันคาดว่าจะต้องเลื่อนแผนการทำ IPO หุ้น SCGC ออกไปจากแผนเดิมที่จะขายให้ทันภายในปี 2566 เนื่องจากพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วไม่เอื้ออำนวย เพราะปัจจุบันธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมิคอลส์ที่ SCGC ทำอยู่ยังอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้มูลค่าการระดมทุนจากการขาย IPO ของ SCGC ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้



“ตอนนี้กำลังรอว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SCGC คือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เป็นผู้ตัดสินใจแบบเป็นทางการ แต่ด้วยภาวะตลาดหุ้นปัจจุบันที่ผันผวนคงต้องเลื่อนแผน IPO ออกจากปีนี้ไปก่อน”

The post EXCLUSIVE: ต่างชาติผวาการเมืองวุ่น-ธุรกิจยังอยู่ในช่วงขาลง กดดัน ‘SCGC’ เลื่อนแผนขายหุ้น IPO มูลค่าแสนล้านบาท จากเดิมปักหมุดปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โบรกไร้กังวลบิ๊กคอร์ปผลประกอบการทรุดฉุดกำไร บจ. ไตรมาส 1/66 คาดทั้งปีนี้โตกว่า 10% ลุ้น Fund Flow ไหลกลับเข้าหุ้นไทย https://thestandard.co/scc-q1-earnings-2023/ Fri, 28 Apr 2023 02:30:40 +0000 https://thestandard.co/?p=782466 เอสซีจี กำไร

ผู้บริหารกลุ่มเอสซีจีเล็งหั่นเป้ารายได้ปี 2566 หลังกำไร […]

The post โบรกไร้กังวลบิ๊กคอร์ปผลประกอบการทรุดฉุดกำไร บจ. ไตรมาส 1/66 คาดทั้งปีนี้โตกว่า 10% ลุ้น Fund Flow ไหลกลับเข้าหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอสซีจี กำไร

ผู้บริหารกลุ่มเอสซีจีเล็งหั่นเป้ารายได้ปี 2566 หลังกำไรจากการดำเนินงานไตรมาสแรกทรุดกว่า 40% ด้านโบรกยันไม่น่ากังวล พร้อมมองภาพรวมกำไร บจ. ปีนี้โตมากกว่า 10% จากหลายปัจจัยหนุน อีกทั้งยังมีลุ้นดึง Fund Flow กลับเข้าหุ้นไทย  

 

จากกรณีที่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 มีรายได้จากการขาย 1.29 แสนล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน  

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

ขณะที่แม้กำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากในไตรมาส 1/66 มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนจากการรวมกิจการระหว่าง บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และ บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ หรือ SJWD จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท

 

แต่กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit Excluding Extra Items) หรือกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ประมาณ 4.5 พันล้านบาท ลดลง 42% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณขายและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ รวมทั้งต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี กล่าวว่า ในช่วงกลางปีนี้บริษัทเตรียมทบทวนเป้าหมายตัวเลขการเติบโตของรายได้ในปี 2566 จากเดิมในช่วงต้นปีที่ตั้งเป้าหมายรายได้จะเติบโตขึ้นประมาณ 10% เนื่องจากมองว่าการฟื้นตัวตลาดอาเซียนยังไม่ได้มีความชัดเจน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้ชะลอลง ด้านเศรษฐกิจโลกมองว่ายังคงเปราะบาง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกากับยุโรปซึ่งมีปัญหาเงินเฟ้อในระดับสูง ส่งผลให้มีการเร่งดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และความผันผวนของราคาพลังงาน

 

“เป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่เคยตั้งไว้ 10% ตอนนี้คิดว่ายาก เพราะดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/66 เพราะตลาดธุรกิจที่อยู่นอกประเทศดูแล้วค่อนข้างเหนื่อย แต่ยังต้องติดตามดู เพราะปัจจุบันธุรกิจของบริษัทมีรายได้ที่มาจากต่างประเทศสัดส่วนประมาณ 40%”

 

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็นกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัท ปัจจุบันอยู่ในวัฏจักรขาลง (Down Cycle) ซึ่งคาดว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ในปีนี้ จากนั้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2-3 ปีในการฟื้นตัว อีกทั้งกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงจะถูกผลกระทบปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศคือกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี เนื่องจากตลาดขายสินค้าหลักจะอยู่ในต่างประเทศ รวมถึงราคาสินค้าจะกำหนดโดยตลาดต่างประเทศ ดังนั้นจึงต้องปรับการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นผลิตในกลุ่มสินค้าที่ตลาดมีความต้องการ และลดการผลิตในสินค้าที่มีดีมานด์ต่ำ

 

อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็น Down Cycle บริษัทจึงตัดสินใจขอขยายระยะเวลาทำ IPO ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC และได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ให้ขยายระยะเวลา IPO ออกไปถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2566 

          

สำหรับความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม ได้เริ่มทดลองเดินเครื่องในส่วนโพลีโอเลฟินส์ (PP, HDPE, LLDPE) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดเวียดนาม ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว คาดจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปีนี้ 

 

2 โบรกฟันธงกำไร บจ. ปี 2566 โตเกิน 10%

 

ภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวนประมาณ 20 บริษัทในตลาดหุ้นไทยประกาศผลการประกอบการไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นราว 77% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นประมาณ 21% จากช่วงเดียวของปีก่อน อีกทั้งยังออกมาดีกว่าความเห็นของนักวิเคราะห์ (Consensus) ถึง 15%

 

ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยบวกจากกรณีที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ที่กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนจากการรวมกิจการระหว่างบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และ บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) เข้ามาจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท โดยหากตัดรายการพิเศษดังกล่าวออกมา จะมีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 ที่ประมาณ 4 พันล้านบาท ลดลงประมาณ 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับที่ บล.เอเซีย พลัส คาดไว้ แต่ถือว่าเป็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากไตรมาส 4/65 ที่กำไรจากดำเนินงานในระดับหลักไม่กี่ร้อยล้านบาท

 

อย่างไรก็ดี หากไม่นับรวมผลประกอบการของ SCC ภาพรวมกำไร บจ. ในช่วงไตรมาส 1/66 ที่ทยอยออกมาถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ดังนั้นมีมุมมองว่าราคาหุ้น SCC ที่ลดลงมาในระดับปัจจุบันใกล้ระดับ 300 บาท ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบเข้าไปในราคาหุ้นแล้ว จึงมองเป็นโอกาส ‘ซื้อ’

 

สำหรับทั้งปี 2566 บล.เอเซีย พลัสประเมินกำไรของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำบทวิเคราะห์ครอบคลุมสัดส่วนประมาณ 40% ของมาร์เก็ตจะอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 12.6% โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share: EPS) ที่ 91.80 บาท 

 

โดยปัจจัยสนับสนุนให้กำไร บจ. ปีนี้จะเติบโตขึ้นค่อนข้างดี เพราะเปรียบเทียบจากฐานกำไรที่ต่ำในปี 2565 เพราะบริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายรายการพิเศษที่มีผลกระทบต่อกำไร ประกอบกับปัจจัยการเปิดประเทศที่สนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอัตราการขยายตัวของ GDP ปีนี้ที่ยังอยู่ในระดับที่ดี 3.6% ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่กระทรวงการคลังปรับลดประมาณการลงมา อีกทั้งคาดว่าจากประเด็นดังกล่าวจะเห็นภาพการเติบโตที่ต่อเนื่องของกำไร บจ. ในไตรมาส 2/66 

 

“ปกติตลาดมักจะมองภาพการเติบโตกำไรของ บจ. เปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ก็จะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นขึ้นได้หลังตัวเลขกำไรไตรมาส 1/66 ประกาศออกมาครบในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ Fund Flow จะมีโอกาสกลับมาเข้ามา มีโอกาสเห็นการ Buy on Fact เพราะตอนนี้ดัชนีฯ ย่อมาที่ 1,530 ถือว่ามีมูลค่าที่น่าสนใจ โดยในปีนี้เอเซีย พลัสให้เป้าหมาย SET Index ตามปัจจัยพื้นฐานที่ 1,610 จุด แต่ Fund Flow ไหลกลับมาซื้อ หุ้นไทยก็มีโอกาสวิ่งไปถึงที่ระดับ 1,670 จุด”

 

ด้านฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ภาพรวมของกำไร บจ. ไตรมาส 1/66 ที่ทยอยออกมาทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์และการเงินถือว่าออกมาดีกว่า หรือบางส่วนใกล้เคียงกับ Consensus โดยมีเพียง บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 3,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% แต่ต่ำกว่า Consensus

 

โดยภาพรวมของกำไรไตรมาส 1/66 บจ. ที่ทยอยประกาศออกมาเติบโตทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสและช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ประเมินว่า บจ. ที่เหลือยังไม่ได้ประกาศผลดำเนินงานอีกจำนวน 103 บริษัท คาดว่าจะมีกำไร 1.36 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 37% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส และเติบโตขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ดังนั้นประเมินว่ากำไรของ บจ. รวมในไตรมาส 1/66 จะออกมาที่ราว 2.25 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 49.9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส และเติบโตขึ้น 22.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ของ SCC ออกมาดีกว่าที่คาด เพราะมีกำไรจากรายการพิเศษจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หากตัดกำไรส่วนดังกล่าวออกแล้ว กำไรจากการดำเนินงานของ SCC และภาพรวมของกำไร บจ. ที่ออกมาก็ยังเป็นไปตาม Consensus คาด 

 

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/66 ของ SCC ในธุรกิจหลักกลุ่มปิโตรเคมีจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวจากดีมานด์ของสินค้าที่มีโอกาสเติบโตขึ้นตามการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน รวมถึงดีมานด์ในภูมิภาคที่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในช่วงเทศกาลรอมฎอน ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์จะฟื้นตัวชัดเจนตามเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว รวมถึงธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์เอกชนจะมีการลงทุนมากขึ้นหลังการเลือกตั้ง จึงแนะนำ ‘ซื้อ’ 380 บาท

 

สำหรับ EPS ทั้งปี 2566 ประเมินไว้ที่ 101.5 บาท เติบโตขึ้นประมาณ 18% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวที่มีกำไรฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจในต่างประเทศยังคาดว่าจะยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยประเทศจีน ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประเมินว่าจะเป็นลักษณะเศรษฐกิจ Soft Landing 

The post โบรกไร้กังวลบิ๊กคอร์ปผลประกอบการทรุดฉุดกำไร บจ. ไตรมาส 1/66 คาดทั้งปีนี้โตกว่า 10% ลุ้น Fund Flow ไหลกลับเข้าหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
IPO ‘SCGC’ ส่อเลื่อนยาวไปปีหน้า หลังบอร์ดยังนิ่ง ขอรอดูงบครึ่งแรกปีนี้ – ภาวะตลาดหุ้นก่อนตัดสินใจ https://thestandard.co/ipo-scgc-maybe-next-year/ Sun, 29 Jan 2023 09:16:58 +0000 https://thestandard.co/?p=743303

แผนขายหุ้น IPO ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ เสี่ยงเลื่อนขายจากปี […]

The post IPO ‘SCGC’ ส่อเลื่อนยาวไปปีหน้า หลังบอร์ดยังนิ่ง ขอรอดูงบครึ่งแรกปีนี้ – ภาวะตลาดหุ้นก่อนตัดสินใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

แผนขายหุ้น IPO ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ เสี่ยงเลื่อนขายจากปีนี้ไปเป็นปีหน้าแทน บอร์ดระบุขอรอดูงบครึ่งแรกของปีนี้ก่อนตัดสินใจ หลังปี 65 กำไรทรุดหนัก 80% หวั่นกดดันราคาขาย IPO 

 

แหล่งข่าวที่ปรึกษาทางเงิน (FA) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า แผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่ว (IPO) ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC มีโอกาสที่จะเลื่อนแผนการขาย IPO จากเดิมที่กำหนดไว้ภายในปีนี้ไปเป็นปีหน้าแทน โดย SCGC แต่งตั้ง FA ไทย คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง, บล.กสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และมีที่ปรึกษาทางการเงินและร่วมจัดจำหน่ายเป็นสถาบันการเงินต่างประเทศ ได้แก่ มอร์แกน สแตนลีย์, ยูบีเอส และเจพีมอร์แกน

 

สาเหตุที่ SCGC จะเลื่อนแผนการขาย IPO ออกไปนั้น เนื่องจากเห็นว่าภาวะภาพรวมในตลาดยังอยู่ในภาวะชะลอตัว รวมถึงในธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีที่ SCGC ดำเนินธุรกิจอยู่นั้น โดยภาพรวมในปีนี้ยังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาลงจากซัพพลายใหม่ของโรงงานทั่วโลกที่ทยอยออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ กับยุโรปที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ส่งผลกระทบให้วัฏจักรราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในปัจจุบันยังเป็นขาลงจากดีมานด์ที่ลดลง 

 

ดังนั้นจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของ SCGC ในปีนี้ให้ออกมาไม่ดีด้วย และยังมีผลต่อเนื่องให้การระดมทุนขาย IPO ได้ราคาหุ้นต่ำกว่าแผนงานที่กำหนดไว้

 

ทั้งนี้ ในปี 2565 SCGC มีรายได้ 2.37 แสนล้านบาท ลดลง 1% จากปีก่อน เนื่องจากราคาและปริมาณขายสินค้าที่ลดลง โดยมีกำไรอยู่ที่ 5.90 พันล้านบาท ลดลง 80% จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ส่วนไตรมาส 4/65 มีรายได้จากการขาย 4.33 หมื่นล้านบาท ลดลง 25% จากไตรมาสก่อน และลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายสินค้าปรับตัวลดลง โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 1,052 ล้านบาท สาเหตุจากส่วนต่างราคาขายสินค้าลดลง  

 

ด้านแหล่งข่าวระดับสูง บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันคณะกรรมการของบริษัท (บอร์ด) อยู่ระหว่างรอดูงบการเงินช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ของบริษัทให้ออกมา รวมถึงภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่จะระดมทุนด้วย เพื่อนำมาประกอบการตัดใจในการพิจารณาการขายหุ้น IPO 

 

ทั้งนี้ หากประเมินสถานการณ์ภาวะตลาดแล้วไม่เอื้ออำนวย มีความเสี่ยงที่จะได้ราคาขาย IPO ที่ต่ำกว่าแผนที่วางไว้ ก็มีโอกาสที่จะเลื่อนแผนการขาย IPO ที่เดิมวางไว้ในปีนี้เลื่อนไปในปีหน้าแทน

 

สำหรับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ของ SCGC เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ซึ่งบริษัทมีระยะเวลา 1 ปีในการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ ขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่หากไม่สามารถ IPO ได้ทันตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จะต้องยื่นไฟลิ่งใหม่ โดยบริษัทสามารถอัปเดตข้อมูลของบการเงินเพิ่มเติมเท่านั้น ส่วนข้อมูลด้านอื่นๆ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญ เนื่องจากทั้งบริษัทและ FA ทำข้อมูลเตรียมพร้อมไว้ครบแล้ว 

 

“ตอนนี้แผนการ IPO บอร์ดของ SCGC ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต้องขาย IPO ในปีนี้หรือไม่ ยังขอรอดูงบการเงินครึ่งแรกของปีนี้ออกมาก่อน รวมถึงภาวะตลาดหุ้น เพราะถ้าขาย IPO ไม่ได้ราคาตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องขายในปีนี้ เลื่อนไปขาย IPO ปีหน้าแทนได้เพื่อรอให้ผลประกอบการของบริษัทออกมาดูดีขึ้น รวมถึงภาวะตลาดหุ้นที่ดีขึ้นเพื่อให้สามารถกำหนดราคา IPO ได้ตามแผน” แหล่งข่าวกล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

The post IPO ‘SCGC’ ส่อเลื่อนยาวไปปีหน้า หลังบอร์ดยังนิ่ง ขอรอดูงบครึ่งแรกปีนี้ – ภาวะตลาดหุ้นก่อนตัดสินใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ ร่วมทุน ‘Denka’ พันธมิตรจากญี่ปุ่น รุกธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนยานยนต์ไฟฟ้า จ่อสรุปผลลงทุนขั้นสุดท้ายปี 66 https://thestandard.co/scg-chemicals-denka-lithium-ev/ Thu, 20 Oct 2022 04:35:24 +0000 https://thestandard.co/?p=697631

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ส่งบริษัทย่อย เอสซีจี เคมิคอ […]

The post ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ ร่วมทุน ‘Denka’ พันธมิตรจากญี่ปุ่น รุกธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนยานยนต์ไฟฟ้า จ่อสรุปผลลงทุนขั้นสุดท้ายปี 66 appeared first on THE STANDARD.

]]>

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ส่งบริษัทย่อย เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท Denka Company Limited จากประเทศญี่ปุ่น ลุยธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก พร้อมก้าวเข้าสู่ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า คาดจะสรุปผลการลงทุนขั้นสุดท้ายปี 2566

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้าร่วมลงทุนตามสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Denka Company Limited (หรือ Denka) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อจัดตั้งบริษัทสำหรับธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) (บริษัทร่วมทุน)


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


โดยทาง Denka จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 60% และส่วนที่เหลือจำนวน 40% จะถือหุ้นโดย SCGC 

 

โครงการนี้จัดตั้งขึ้นในจังหวัดระยอง ประเทศไทย มีกำลังการผลิตประมาณ 11,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการผลิตได้ภายในต้นปี 2568 ทั้งนี้ รายละเอียดการลงทุนจะเป็นไปตามการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในต้นปี 2566

 

Denka เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตอะเซทิลีนแบล็ก ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า EV เป็นหลัก รวมถึงสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุสำหรับผลิตสายส่งไฟฟ้าแรงสูง โดยวัตถุดิบที่ได้จาก SCGC (เอทิลีน, อะเซทิลีนและ อีเทน) นั้นจะจัดหาโดยโรงงาน Olefins ของ SCGC ในการผลิตอะเซทิลีนแบล็กของ Denka (DENKA BLACK) ซึ่งเป็นคาร์บอนแบล็กชนิดพิเศษ มีคุณสมบัติที่มีความบริสุทธิ์สูง และนำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม

 

การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนนี้จะส่งเสริมให้ SCGC สามารถก้าวเข้าสู่ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ที่มีแนวโน้มความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCGC ในการยกระดับธุรกิจสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added: HVA) และเสริมสร้างการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อรองรับเมกะเทรนด์ การร่วมทุนกับ Denka จะช่วยเน้นย้ำจุดยืนของ SCGC ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์ด้วยความสำเร็จมาแล้วหลายทศวรรษกับพันธมิตรระดับโลก

 

Denka เป็นบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี โดยมีแผนธุรกิจในระยะกลางที่มุ่งเน้นความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม พลังงาน และสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเฉพาะในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ Denka ยังให้ความสำคัญกับการบริหารงานด้าน ESG เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้งนี้ ในปี 2564 Denka มีรายได้สุทธิประมาณ 1.13 แสนล้านบาท กำไรสุทธิประมาณ 7.7 พันล้านบาท และสินทรัพย์รวมประมาณ 1.64 แสนล้านบาท

 

ขณะที่ SCGC เป็นบริษัทผู้นำด้านธุรกิจเคมิคอลส์ในภูมิภาคอาเซียน ประกอบธุรกิจในประเทศไทยอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยมี 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1. ผู้นำด้านเคมีภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน 2. มุ่งขยายและสร้างความแข็งแกร่งเพื่อเป็นผู้ประกอบธุรกิจไวนิล (Vinyl) ครบวงจร 3. เป็นผู้นำการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และ 4. พัฒนาและเร่งการเติบโตของสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ทั้งนี้ การลงทุนของ SCGC มีการพิจารณาผลตอบแทนของทุกโครงการตลอดช่วงระยะวัฏจักรของปิโตรเคมี (Over the Cycle)

The post ‘เอสซีจี เคมิคอลส์’ ร่วมทุน ‘Denka’ พันธมิตรจากญี่ปุ่น รุกธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนยานยนต์ไฟฟ้า จ่อสรุปผลลงทุนขั้นสุดท้ายปี 66 appeared first on THE STANDARD.

]]>