บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 20 Apr 2023 04:55:45 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 อุปกิต เข้ารายงานตัวคณะสอบสวนคดีฟอกเงิน พร้อมยื่นให้ตรวจสอบอีก 112 บริษัท ที่อาจรับเงินยาเสพติด เตรียมฟ้องกลับทุกคนที่ปรักปรำ https://thestandard.co/upakit-ago-money-laundering/ Thu, 20 Apr 2023 04:55:45 +0000 https://thestandard.co/?p=778884 อุปกิต ฟอกเงิน

วันนี้ (20 เมษายน) ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการส […]

The post อุปกิต เข้ารายงานตัวคณะสอบสวนคดีฟอกเงิน พร้อมยื่นให้ตรวจสอบอีก 112 บริษัท ที่อาจรับเงินยาเสพติด เตรียมฟ้องกลับทุกคนที่ปรักปรำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อุปกิต ฟอกเงิน

วันนี้ (20 เมษายน) ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พร้อมด้วย พ.ต.ท. ธนัท แสงอรุณ ทนายความและที่ปรึกษาทางกฎหมาย เข้าพบคณะทำงานสอบสวน และพนักงานอัยการ จากที่ก่อนหน้านี้ได้มอบหมายให้ทนายความยื่นหนังสือแจ้งขอเลื่อนในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา 

 

อุปกิตกล่าวว่า วันนี้มารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนทั้งฝ่ายตำรวจและพนักงานอัยการ เนื่องจากจริงๆ แล้วกำหนดการเดิมคือวันที่ 18 เมษายน แต่ติดภารกิจเลยเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน นอกจากนี้ ยังได้นำข้อมูลให้การเพิ่มเติม โดยจากเดิมตนเคยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นรายชื่อบริษัท 86 แห่ง แต่ตอนนี้พบว่ามีอีก 26 บริษัท รวมเป็น 112 บริษัท 

 

ตนต้องขอขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งบริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจอยู่ในประเทศเมียนมาเช่นเดียวกับ บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด โดยเป็นการโอนเงินผ่านเอ็มซี (ระบบชำระเงินออนไลน์) และไม่ทราบได้ว่าเอ็มซีใช้บัญชีใดโอนไป ซึ่งต่างจากบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด เพราะบริษัท อัลลัวร์  กรุ๊ป จำกัด เอ็มซีจะโอนไปที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามใบเสร็จ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่บริษัท 112 แห่งนี้ โอนเงินจากบัญชียาเสพติดตรงเข้าบริษัท ตรงนี้เราคิดว่าเพื่อความเสมอภาค เพื่อความเป็นธรรม เพื่อให้กฎหมายไม่เลือกปฏิบัติ จะต้องไม่ใช่การดำเนินคดีแค่บริษัท อัลลัวร์  กรุ๊ป จำกัด ถ้าให้เป็นธรรมต้องไปสอบสวนทั้ง 112 บริษัท 

 

อุปกิตกล่าวต่อไปว่า ตนขอฝากไปถึงผู้อภิปรายที่ทำให้ตนเสียหายเป็นอย่างมาก ที่กล่าวพาดพิงว่าตนไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งตนไม่เกี่ยวข้องเลย จะเห็นได้ว่าประเด็นที่เอามาอภิปราย เป็นการคุยกันระหว่างตนกับทุนมินลัตที่ผ่านมานานกว่า 10 ปี และเป็นการคุยธุรกิจ ไม่มีคุยเกี่ยวกับยาเสพติด 

 

“กรณีที่บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด โอนเงินเข้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ ไม่ได้เป็นกรรมการ ไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรกับทางบริษัททั้งสิ้น ดังนั้น การที่มีคนมาปรักปรำผมเรื่องยาเสพติด ผมจะขอดำเนินคดีถึงที่สุด โดยเฉพาะพวกเด็กเลี้ยงแกะ อีกทั้งที่สำนักงานการสอบสวนที่นี่ จากครั้งสุดท้ายได้กล่าวหาผมเพียง 2 ข้อหา แต่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลย และในวันนี้ผมเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม จากนั้นทางอัยการจะนัดหมายเพื่อฟังคำสั่งคดีอีกครั้ง” อุปกิตกล่าว

 

อุปกิตกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ตนได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทางอัยการสูงสุดไปก่อนหน้านี้ เพียงเพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าผู้ดำเนินธุรกิจในประเทศเมียนมา ช่วงที่ด่านปิดจะต้องโอนเงินผ่านเอ็มซี ดังนั้นถ้าบริษัทเหล่านี้ทั้ง 112 แห่งไม่ผิด บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด ก็ไม่ควรผิด ต้องไม่เลือกปฏิบัติ บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด จะถูกดำเนินคดีอยู่บริษัทเดียวไม่ถูกต้อง เพราะบริษัทอื่นๆ ตนไม่เห็นมีการออกหมายเรียก ไม่ถูกตรวจสอบ

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การยื่นรายชื่อบริษัททั้ง 112 แห่งเป็นการประวิงเวลาคดีหรือไม่ อุปกิตชี้แจงว่า ตนไม่ต้องการประวิงเวลาอะไร เพราะไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ทางพนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมความผิดและความบริสุทธิ์ ซึ่งการยื่นรายชื่อบริษัทเหล่านั้นเป็นสิทธิ์ของเรา ส่วนบริษัททั้งหมดนี้ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ ประกอบการค้านานาชนิด ทั้งบริษัทที่ขายของปลีก วัสดุก่อสร้าง เครื่องดื่ม เหล็ก เป็นต้น และบริษัทเหล่านี้ล้วนโอนเงินจากบัญชียาเสพติดทั้งสิ้น รวมถึงตนไม่หวาดหวั่นกับการยื่นรายชื่อบริษัท เพราะเป็นรายชื่อที่ตนได้ไปคัดเอกสารมาจากศาล คัดมาอย่างถูกต้องซึ่งเป็นสิทธิ์ของเรา

 

อุปกิตยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ในกรณีที่ พ.ต.ท. มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีตสารวัตร กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีการเซ็นรับทราบทุกหน้า และยังมีการแปลผิด โดยตั้งใจที่จะทำให้ตนเสียหาย จนศาลออกหมายจับได้ในคราวนั้น แต่จริงๆ ต้องขอออกหมายเรียกก่อน และตามกระบวนการก็ผิดมาตลอด เพราะผู้บังคับบัญชาไม่รับทราบ และทางศาลก็ไม่ได้แจ้งผู้พิพากษาว่าผู้ถูกออกหมายจับเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งการที่มีกฎระเบียบเหล่านี้ก็เพื่อไม่ให้เป็นการกลั่นแกล้ง ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าจะฟ้องคนอื่นเพิ่มเติมแน่นอนในส่วนของคนที่ใส่ร้ายปรักปรำตนในเรื่องยาเสพติด ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

The post อุปกิต เข้ารายงานตัวคณะสอบสวนคดีฟอกเงิน พร้อมยื่นให้ตรวจสอบอีก 112 บริษัท ที่อาจรับเงินยาเสพติด เตรียมฟ้องกลับทุกคนที่ปรักปรำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสิมันต์เปิดหลักฐาน ส.ว. อุปกิต ปกปิดการถือหุ้น เตรียมร้อง ป.ป.ช. เอาผิดปมยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ https://thestandard.co/rangsiman-reveals-evidence-upakit/ Mon, 20 Feb 2023 07:44:38 +0000 https://thestandard.co/?p=752830

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์) รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนรา […]

The post รังสิมันต์เปิดหลักฐาน ส.ว. อุปกิต ปกปิดการถือหุ้น เตรียมร้อง ป.ป.ช. เอาผิดปมยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์) รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวเปิดหลักฐานเพิ่มเติมสืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กรณี ‘ไทยดำ-จีนเทา’ ซึ่งพาดพิง อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จนรังสิมันต์ถูกอุปกิตฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท เรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท

 

รังสิมันต์กล่าวว่า จากการอภิปรายของตนระบุว่าอุปกิตเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการของบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด (Allure Group) ซึ่งถูกเชื่อมโยงว่าเป็นบริษัทเพื่อฟอกเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายของ ‘ตุน มิน ลัต’ (Tun Min Latt) นักธุรกิจชาวเมียนมา

 

แต่ต่อมาเมื่อมีการจับกุม ตุน มิน ลัต อุปกิตก็รีบออกมาชี้แจงว่าได้ขายหุ้นและลาออกจากตำแหน่งกรรมการของ Allure Group และ Myanmar Allure แล้วในปี 2562 ก่อนรับตำแหน่ง ส.ว. รวมถึงโรงแรม Allure Resort ก็ขายไปแล้ว และยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียบร้อย แต่ครั้งนี้ตนจะมาพูดถึงการขายหุ้นขายโรงแรมที่อุปกิตอ้างว่าทำไปแล้วก่อนมาเป็น ส.ว. ว่าจริงเท็จอย่างไร

 

เนื่องจากหนึ่งในเอกสารที่อุปกิตยื่นประกอบบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. คือเอกสารสัญญาซื้อขายอาคารและกิจการโรงแรม ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เนื้อหาสัญญาระบุว่า อุปกิต ซึ่งเป็นผู้ขาย ทำสัญญากับ ชาคริส กาจกำจรเดช ผู้ซื้อ ว่าตกลงซื้อขายอาคารตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง ห้องพักจำนวน 78 ห้อง และกิจการโรงแรม Allure Resort และสิทธิการใช้ประโยชน์บนที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารดังกล่าว ในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ชำระเงินในเดือนสิงหาคม 2562 และตกลงกันว่าจะส่งมอบและรับมอบการครอบครองอาคารดังกล่าวในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญา

 

นอกจากนี้อุปกิตยังแนบสำเนาหนังสือรับรองจากธนาคาร B.I.C (Cambodia) Bank Plc. ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2562 รับรองบัญชีธนาคารดังกล่าวว่ามีเงินฝากจำนวน 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ข้อสังเกตต่อเอกสารสัญญาฉบับนี้คือสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับโรงแรม Allure Resort ตามสัญญา BOT ที่ทำกับกรมการโรงแรมฯ เมียนมานั้นต้องเป็นของบริษัท Allure Group หรือ Myanmar Allure ดังนั้นถ้าจะมีการขายโรงแรม Allure Resort ให้ผู้อื่นจริงๆ ก็ควรเป็นการที่อุปกิตขายหุ้นของตัวเองใน Allure Group หรือ Myanmar Allure ที่ถือสิทธิและหน้าที่ในโรงแรมให้กับชาคริส หรือไม่ถ้าเป็นกรณีที่ Allure Group หรือ Myanmar Allure จะขายสิทธิและหน้าที่ในโรงแรมที่บริษัทถืออยู่ให้กับชาคริส ก็ควรต้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นในนามของบริษัทนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ตนไม่แน่ใจว่ากรณีนี้ทำได้หรือไม่ เพราะสัญญา BOT กำหนดว่ากรมการโรงแรมฯ ต้องยินยอมด้วย

 

แต่ปรากฏว่าสัญญาฉบับนี้กลับมีลักษณะเป็นสัญญาในนามบุคคลธรรมดา 2 คน ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่ได้เป็นสัญญาเพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัทใดๆ แต่เป็นการซื้อตึกโรงแรม กิจการโรงแรม และสิทธิใช้ประโยชน์บนที่ดินโรงแรม หมายความว่าตามสัญญานี้สิทธิในโรงแรม Allure Resort จะต้องตกเป็นของบุคคลธรรมดาที่ชื่อชาคริสคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไปดูเนื้อหาหนังสือรับรองของ B.I.C (Cambodia) Bank Plc. แม้จะระบุว่าบัญชีธนาคารที่อุปกิตอ้างว่ามีเงินฝาก 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ จริง แต่ก็ไม่มีตรงไหนระบุว่าเป็นการจ่ายมาจากชาคริสจริงหรือไม่ นี่คือข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลของการขายโรงแรมที่อุปกิตอ้างต่อ ป.ป.ช.

 

ที่สำคัญหลังจากนั้นเมื่อมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดและการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องไปถึงพนักงานของ Allure Group มีการเรียกชาคริสไปให้การเมื่อเดือนเมษายน 2565 ตามบันทึกคำให้การช่วงหนึ่ง ชาคริสให้การว่าตนถือหุ้น 15% ของโรงแรม Allure Resort มาตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งประมาณปลายปี 2562 ตนเคยทำการตกลงซื้อกิจการโรงแรม Allure Resort จากอุปกิตในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 251,572,000 บาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายกันจริงแต่อย่างใด เนื่องจากตนไม่มีเงินซื้อกิจการดังกล่าว ไม่รู้จะไปหามาจากไหนตั้ง 250 กว่าล้านบาท และยังให้การอีกว่าต่อมาอีก 1 ปีให้หลัง ประมาณเดือนกรกฎาคม 2563 อุปกิตได้ตกลงขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคาประมาณ 300 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายแล้วคงเหลือ 265 ล้านบาท ตนได้รับส่วนแบ่งตามจำนวนที่ถือหุ้น 15% เป็นเงินจำนวน 39,750,000 บาท

 

“เนื้อหาคำให้การของชาคริสครั้งนี้เป็นการบอกว่าสัญญาซื้อขายโรงแรมที่อุปกิตทำกับชาคริสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 และยื่นต่อ ป.ป.ช. นั้นเป็นสัญญาปลอม นอกจากนี้คำให้การยังบอกในทางอ้อมด้วยว่าไม่ได้มีการขายหุ้นบริษัทให้ชาคริสเพิ่มแต่อย่างใด เพราะชาคริสยังคงมีหุ้น 15% เท่าเดิม ถามว่าชาคริสให้การเท็จต่อตำรวจหรือไม่ ผมคิดว่าถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นจริงก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาโกหกว่าไม่ได้ซื้อ” รังสิมันต์กล่าว

 

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ยิ่งเมื่อไปดูสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ Allure Group เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ก่อนวันทำสัญญา 9 พฤษภาคม 2562 แค่ 9 วัน ชาคริสถือหุ้นอยู่ 1,500 หุ้น 15% ตามที่ให้การไว้จริง ต่อมาอีกฉบับ 30 มิถุนายน 2562 ชาคริสก็ยังถือหุ้นอยู่ 1,500 หุ้นเท่าเดิม เป็นหลักฐานชัดๆ ว่าไม่เคยมีการขายหุ้น Allure Group ไปที่ผู้ขอสิทธิบริหารจัดการโรงแรม Allure Resort เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว

 

นอกจากนี้ตามที่ชาคริสให้การว่าอุปกิตไปขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคา 300 ล้านบาท เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 การขายกิจการที่ว่าคือสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท Allure Group ระหว่าง ‘ดีน ยัง จุลธุระ’ ผู้ขาย ลูกเขยของอุปกิต กับผู้ซื้อคือ พันณรงค์ ขุนพิทักษ์ 1 ใน 3 เจ้าพ่อพนันออนไลน์รายใหญ่ของไทย โดยมีอุปกิตลงนามเป็นพยานการซื้อขายครั้งนี้ด้วย

 

ในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าบริษัท Allure Group ที่ซื้อขายหุ้นกันตามสัญญานี้ เป็นบริษัทที่ได้รับสิทธิในการบริหารและจัดการโรงแรม Allure Resort และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นสามัญจำนวน 6,691 หุ้นของ Myanmar Allure ซึ่งมีสิทธิครอบครองในทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจของ Allure Group นี่แสดงให้เห็นว่าสิทธิและหน้าที่ในโรงแรม Allure Resort ไม่เคยไปเป็นของชาคริสในฐานะบุคคลธรรมดา ตามที่จะต้องเป็นตามสัญญาระหว่างอุปกิตกับชาคริสเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เลย

 

รังสิมันต์ตั้งคำถามว่า ตามข้อมูลนี้หมายความว่าหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างอุปกิตกับชาคริสเป็นเอกสารเท็จ สัญญาซื้อขายไม่ได้เกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่ รายได้ที่เข้าบัญชีกัมพูชาของอุปกิตกว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากไหน เป็นเงินจากใคร และได้มาจากเรื่องอะไรกันแน่ การกระทำเช่นนี้เป็นการจงใจยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่

 

และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้หรือไม่ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาที่แท้จริงของทรัพย์สินคือเงิน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐว่ามาจากที่ไหน ซึ่งจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 167 และในมาตรา 114 ประกอบมาตรา 81 ยังกำหนดให้ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยด้วย หากวินิจฉัยว่าผิดจริง อุปกิตจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ว. ถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสูงสุด 10 ปี โดยภายในสัปดาห์นี้ ตนจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ต่อไป

 

รังสิมันต์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ขอตั้งคำถามไปถึงหน่วยงานตำรวจ 3 ข้อ ข้อแรกคือเนื่องจากในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นวันปิดสมัยประชุมสภาฯ ทำให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันของ ส.ส. และ ส.ว. หมดไป จึงขอถามผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะพนักงานสอบสวนระดับสูงสุด ว่าหลังจากตนเปิดหลักฐานไปหมดแล้ว ตำรวจจะดำเนินการอย่างไรต่ออุปกิต เรื่องนี้ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้

 

คำถามที่ 2 ถ้าข้อเท็จจริงชี้ว่าทรัพย์สินต่างๆ ของอุปกิตได้มาจากการฟอกเงิน หรือยังไม่มีความชัดเจนว่าอาจได้มาโดยผิดกฎหมาย จะต้องมีการยึดอายัดทรัพย์สินเหล่านั้นตามหลักปฏิบัติหรือไม่ ตำรวจจะกล้ายึดอาคารและที่ดินที่วันนี้เป็นที่ตั้งของพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ และคำถามที่ 3 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุปกิต แต่ตอนนี้ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจ ตนขอตั้งคำถามว่าทำไมตำรวจที่รับผิดชอบคดีจับกุม ตุน มิน ลัต จึงถูกย้าย เป็นเพราะ พล.อ. ประยุทธ์ รู้ใช่หรือไม่ว่าตัวเองอาจหนีความรับผิดชอบไม่ได้

The post รังสิมันต์เปิดหลักฐาน ส.ว. อุปกิต ปกปิดการถือหุ้น เตรียมร้อง ป.ป.ช. เอาผิดปมยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>