บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 24 Sep 2025 14:37:20 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 โอกาสการลงทุนที่มั่นคง เติบโตไปพร้อมทุกการเดินทาง กับหุ้นกู้ BTS Group [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/bts-group-debenture-investment/ Thu, 25 Sep 2025 02:50:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1122190

นักลงทุนระดับโลกอย่าง Peter Lynch เคยกล่าวไว้ว่าจุดเริ่ […]

The post โอกาสการลงทุนที่มั่นคง เติบโตไปพร้อมทุกการเดินทาง กับหุ้นกู้ BTS Group [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักลงทุนระดับโลกอย่าง Peter Lynch เคยกล่าวไว้ว่าจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจซึ่งสำหรับหลายคนแล้ว ระบบขนส่งมวลชน BTS คือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยและใช้บริการอยู่เสมอ แล้วเคยจินตนาการไหมว่า การลงทุนเพื่อสร้างอนาคตนั้นก็สามารถเริ่มต้นได้จากการเดินทางที่คุณคุ้นเคย?

 

จากบทบาทของผู้ใช้บริการรายวัน สู่การเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS Group กำลังจะมอบให้กับทุกคนผ่านการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งใหม่ เป็นการเปิดประตูให้เงินลงทุนได้ร่วมเดินทางและเติบโตไปพร้อมกับระบบที่นักลงทุนเชื่อมั่นและใช้งานจริง

 

โดยหัวใจของ BTS Group คือธุรกิจผู้ให้บริการการเดินทางแบบครบวงจร ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ครอบคลุมถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู, สายสีเหลือง และสายสีทอง รวมถึงโครงการคมนาคมสำคัญของประเทศ อย่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (M6, M81) 

 

ผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2568/69 BTS Group มีรายได้รวมกว่า 7,248 ล้านบาท พร้อมตอกย้ำความสำเร็จในฐานะบริษัทด้านการคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืนอันดับ 1 ของโลก อีกทั้งยังคงความเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่ 61% ของจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าทั้งหมดในกรุงเทพฯ

 

หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Investment Grade ‘BBB+’ และมีแนวโน้มอันดับเครดิต ‘คงที่’ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายที่ยืนยันถึงความมั่นคงและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของ BTS Group ได้เป็นอย่างดี

 

โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีให้เลือกลงทุน 2 ชุด คือ หุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2570  และหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 ซึ่งจะมีการจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เปรียบเสมือนการได้รับผลตอบแทนคืนจากการเดินทางที่คุ้นเคยนั่นเอง


สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ BTS Group เปิดจองซื้อในวันที่ 29-30 กันยายน และ 1 ตุลาคม 2568 นี้ จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนได้ที่ www.sec.or.th  หรือ สอบถามผ่านผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้

 

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1111 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อผ่านเว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อผ่านแอป SCB EASY สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย (ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์)
  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ CIMB Thai สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
  • บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อผ่านแอปฯ Dime! สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร)
  • บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
  • บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-0098351-56
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
  • บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร 02-658-8888
  • บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร 02-695-5555

 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

 

หมายเหตุ: การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

 

หุ้น BTS Group

The post โอกาสการลงทุนที่มั่นคง เติบโตไปพร้อมทุกการเดินทาง กับหุ้นกู้ BTS Group [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุริยะเตรียมเสนอ ครม. จ่ายชดเชย BTS และ ขสมก. 185.54 ล้านบาท ส่วน รฟม. ใช้งบของตัวเองไปก่อน https://thestandard.co/suriya-proposes-compensation-bts-bmta/ Tue, 28 Jan 2025 08:11:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1035380 สุริยะ

วันนี้ (28 มกราคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล สุริยะ จึงรุ่งเรือง […]

The post สุริยะเตรียมเสนอ ครม. จ่ายชดเชย BTS และ ขสมก. 185.54 ล้านบาท ส่วน รฟม. ใช้งบของตัวเองไปก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุริยะ

วันนี้ (28 มกราคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอขยายวงเงินชดเชยให้ผู้ประกอบการรถไฟฟ้าภายหลังให้ประชาชนใช้ฟรี 7 วัน เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 จากเดิมตั้งงบประมาณไว้ 140 ล้านบาท เพิ่มเป็น 329 ล้านบาท 

 

สุริยะอธิบายว่า กระทรวงคมนาคมพิจารณาจ่ายชดเชยให้กับกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS จำนวน 133.84 ล้านบาท และชดเชยให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. 51.7 ล้านบาท รวมเป็น 185.54 ล้านบาท 

 

ส่วนบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เห็นว่ามีรายได้เป็นของตัวเอง จึงจะให้ใช้งบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการ ซึ่งตามปกติแล้ว หากรัฐบาลต้องการลดค่าใช้จ่าย หน่วยงานไหนที่มีงบประมาณของตัวเองก็จะต้องใช้งบประมาณของตัวเองเป็นอันดับแรก ในครั้งนี้จึงให้ รฟม. รับภาระไป

 

สุริยะยังเปิดเผยว่า ต่อรองกับผู้ประกอบการ BTS ว่ารัฐจะไม่ชดเชยในส่วนของจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5 แสนคน ซึ่งเขาก็รับหลักการ จำนวนเงินที่ BTS ขอมา 200 ล้านบาท น่าจะคิดตามจำนวนผู้เข้าใช้บริการจริง ขึ้นเท่าไรก็จะเก็บเท่านั้น แต่ส่วนนั้นเป็นส่วนเกินที่รัฐบาลให้ขึ้นฟรี เราจะไม่ชดเชยให้ โดยมีการส่งหนังสือแจ้งไปยัง ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะกำกับดูแล รฟม. ซึ่งหน่วยงานที่ใช้งบประมาณของตัวเองจะไม่สามารถยื่นขอต่อรองเรื่องงบประมาณได้อีก

 

พร้อมกันนี้ สุริยะยังกล่าวถึงตัวเลขการใช้รถยนต์ในกรุงเทพฯ ที่ลดลงกว่า 5 แสนคัน ในช่วงให้ใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรีว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเช็กจากกล้องวงจรปิดในกรุงเทพฯ เพื่อตรวจสอบสถิติการใช้รถ พบว่ามีประมาณ 10 ล้านคัน และประมาณการว่าเป็นรถส่วนบุคคล 5 ล้านคัน จึงคาดการณ์ว่าในช่วงให้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้าฟรีจะลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลได้ประมาณ 5 แสนคันต่อวัน

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าวันนี้กระทรวงคมนาคมยังไม่ได้เสนอมาตรการนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

 

The post สุริยะเตรียมเสนอ ครม. จ่ายชดเชย BTS และ ขสมก. 185.54 ล้านบาท ส่วน รฟม. ใช้งบของตัวเองไปก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภา กทม. เห็นชอบให้ใช้งบกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จ่ายหนี้ BTS ก่อนสิ้นปี 67 https://thestandard.co/bangkok-4-billion-bts-debt-payment/ Fri, 22 Nov 2024 10:32:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1011717

วันนี้ (22 พฤศจิกายน) สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภา […]

The post สภา กทม. เห็นชอบให้ใช้งบกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จ่ายหนี้ BTS ก่อนสิ้นปี 67 appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (22 พฤศจิกายน) สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 1) ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร, ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, คณะผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม 

 

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เสนอร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. เนื่องจากกรุงเทพมหานครมีความประสงค์ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามความจำเป็นที่หน่วยงานเสนอ 

 

เป็นค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจ่ายขาดจากเงินสะสมของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานครต้องชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถฯ ภายใน 180 วัน และขณะนี้ระยะเวลาได้ผ่านล่วงมาแล้ว มีผลให้กรุงเทพมหานครต้องชำระดอกเบี้ยอันเกิดจากความล่าช้าในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาล เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับกรุงเทพมหานคร จึงเห็นควรเสนอร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. ….

 

ซึ่งบรรยากาศในการประชุมพิจารณาญัตติดังกล่าว สมาชิกสภา กทม. ได้ผลัดเปลี่ยนกันอภิปรายและโต้แย้ง ทั้งในเรื่องการชี้มูลความผิดของ ปปช. และคำพิพากษาของศาลปกครองที่ถือว่าสิ้นสุดแล้ว รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยรายวันกว่า 2.7 ล้านบาท ซึ่งหลายฝ่ายสนับสนุนให้ กทม. เร่งชำระหนี้ เพื่อไม่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หากดำเนินการล่าช้าเกรงว่าจะมีความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

 

วิรัตน์ มีนชัยนันท์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี ให้ข้อสังเกตว่า ขอชื่นชมฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานคร ที่ได้ยื่นเรื่องต่างๆ เข้ามาให้สภากรุงเทพมหานครพิจารณาตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ และในอนาคตหากมีการพิจารณาโดยพูดถึงบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้เดินรถ BTS ก็ขอให้สภากรุงเทพมหานครพิจารณาอย่างรอบคอบในเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลที่ส่งผลกระทบกับบุคคลภายนอกดังกล่าวด้วย

 

ชัชชาติกล่าวว่า ในส่วนของสำนวนที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ส่งมาให้ กทม. นั้น ห้ามมิให้เปิดเผยสำนวนการไต่สวน โดยเฉพาะชื่อผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแส และผู้ซึ่งเป็นพยาน หรือการกระทำใดๆ อันให้ทราบถึงรายละเอียด ตามมาตรา 36 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 

 

ดังนั้น กทม. จึงยังไม่สามารถส่งสำนวนให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาได้ เนื่องจาก ป.ป.ช. ยังไม่อนุญาต แต่ข้อกังวลเรื่องนี้ก็ตกไป เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว จนนำมาซึ่งการมีคำสั่งให้ กทม. จ่ายเงินชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถฯ 14,549,503,800 บาท ดังนั้นในส่วนของการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางวินัยและอาญาจึงไม่สามารถเปิดเผยได้ตามคำสั่งของ ป.ป.ช.

 

สุทธิชัย วีรกุลสุนทร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตจอมทอง กล่าวว่า คณะกรรมการวิสามัญฯ พิจารณาเรื่องการชำระหนี้ BTS หลายครั้ง โดยให้คำแนะนำผู้บริหารกรุงเทพมหานครในการยื่นเรื่องสอบถามข้อกฎหมายจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการชำระหนี้ให้ BTS ซึ่งอยากจะให้สภากรุงเทพมหานครแห่งนี้เร่งพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากส่งผลกับดอกเบี้ยรายวันที่ส่งผลกระทบกับงบประมาณของกรุงเทพมหานคร

 


 

สำหรับยอดหนี้ที่ กทม. จะต้องแบ่งชำระให้ BTS มี 4 ส่วน ดังนี้

 

  1. ยอดหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ให้ กทม. และกรุงเทพธนาคม ร่วมกันชำระให้กับ BTS เป็นเงินจำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท

 

  1. ยอดหนี้ที่ BTS ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ให้ กทม. และกรุงเทพธนาคม ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงให้กับ BTS ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเงินจำนวนกว่า 11,811 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง

 

  1. ยอดหนี้ค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงเดือนมิถุนายน 2567 ที่ยังค้างชำระเป็นเงินจำนวนกว่า 13,513 ล้านบาท

 

  1. ค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในอนาคต ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงสิ้นสุดสัมปทานปี 2585 ที่จะหมดอายุสัญญาสัมปทาน

 

ชัชชาติกล่าวต่อว่า ขณะนี้เรามองไปถึงอนาคตที่ยังมีหนี้อีก 1 ก้อน ซึ่งอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครอง รวมถึงสัมปทานที่ให้เอกชนดำเนินการเดินรถฯ ที่จะหมดลงในปี 2572 ทำให้การเดินรถ BTS ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ระยะทางรวม 23.5 กิโลเมตร 24 สถานี จะกลับมาเป็นของ กทม. ทั้งหมด ทั้งส่วนของรายได้และตัวโครงสร้าง กทม. จึงต้องเตรียมวางแผนเรื่องจ้างที่ปรึกษาฯ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนต่อไป โดยต้องผ่านกระบวนการคิดร่วมกับสภากรุงเทพมหานครให้รอบคอบตามประเด็นข้อบัญญัติต่างๆ ของกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคดีความต่อไปในอนาคต

 

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครและบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ยื่นคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 คดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.725/2567 มีผลพิจารณาคดี ดังนี้

 

  1. ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 หนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ พม. 76/2567 คดีหมายเลขแดงที่ พน. 92/2567 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 และหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ พม. 81/2567 คดีหมายเลขแดงที่ ผม. 93/2567 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567

 

  1. สำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ พบ. 81/2567 คดีหมายเลขแดงที่ พม. 93/2567 ดังกล่าว ชอบด้วยเหตุผลตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว จึงควรไม่อุทธรณ์ หนังสือด่วนที่สุด ที่ อส 0042.2/2064 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง แจ้งคำสั่งของศาลปกครอง

 

  1. สำนักงานกฎหมายและคดี เห็นควรไม่อุทธรณ์ตามความเห็นของสำนักการจราจรและขนส่ง ซึ่งไม่มีความเห็นใดที่จะมาขัดหรือแย้งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดได้ ประกอบกับต้องเร่งรัดชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เพื่อมิให้เกิดภาระดอกเบี้ย ตามหนังสือด่วนที่สุด ที่ กท 0405/6695 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง รายงานผลคดี ขออนุมัติไม่อุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางฯ

 

โดยวันนี้ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบรับหลักการแห่งร่างข้อบัญญัตินี้ และได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. 24 ท่าน โดยกำหนดระยะเวลาการแปรญัตติ 10 วันทำการ และกำหนดเวลาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

The post สภา กทม. เห็นชอบให้ใช้งบกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จ่ายหนี้ BTS ก่อนสิ้นปี 67 appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS ปรับโครงสร้างรอบใหญ่ ให้ VGI เพิ่มทุน PP ให้ 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศตั้งโต๊ะซื้อหุ้น RABBIT กับ ROCTEC ที่มี ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ร่วมถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 https://thestandard.co/bts-restructure-vgi-increases-pp-capital/ Fri, 02 Aug 2024 08:57:27 +0000 https://thestandard.co/?p=966549

บอร์ด BTS ประกาศตั้งโต๊ะซื้อหุ้น RABBIT และ ROCTEC ที่ม […]

The post BTS ปรับโครงสร้างรอบใหญ่ ให้ VGI เพิ่มทุน PP ให้ 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศตั้งโต๊ะซื้อหุ้น RABBIT กับ ROCTEC ที่มี ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ร่วมถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 appeared first on THE STANDARD.

]]>

บอร์ด BTS ประกาศตั้งโต๊ะซื้อหุ้น RABBIT และ ROCTEC ที่มี ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ร่วมถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 พร้อมอนุมัติให้ VGI เพิ่มทุน PP ให้ 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท 

 

คงชิเคือง กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม โดยมีมติที่สำคัญ ดังนี้

 

บอร์ด BTS อนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน บมจ.วีจีไอ หรือ VGI โดยมีมติอนุมัติให้ VGI ออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) จำนวนไม่เกิน 8,805,480,334 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็น 44.03% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ VGI ภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.50 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 13,208,220,501 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนจำนวน 4 ราย ดังนี้

 

  1. กองทุน CAI Optimum Fund VCC บริหารจัดการโดย Capital Asia Investments Ptd. Ltd. จำนวน 2,900 ล้านหุ้น หรือ 14.50% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ VGI ภายหลังการเพิ่มทุน

 

  1. กองทุน Si Suk Alley Limited บริหารจัดการโดย Argyle Street Management Limited จำนวน 2,805.48 ล้านหุ้น หรือ 14.03%

 

  1. กองทุน Opus-Chartered Issuances S.A. บริหารจัดการโดย Eyal Agmoni, Andrea Bartelloni, Daniel Maier, Nicola Melizzi, Paolo Perin, Tobias Wenkel จำนวน 2,200 ล้านหุ้น หรือ 11%

 

  1. กองทุน Asean Bounty ซึ่งอยู่ระหว่างจัดตั้ง บริหารจัดการโดย Finansia Investment Management จำนวน 900 ล้านหุ้น หรือ 4.50%

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การถือหุ้นของกองทุน Si Suk Alley Limited และกองทุน Asean Bounty ไม่ขัดต่อข้อจำกัดการถือหุ้นของคนต่างด้าวของ VGI จะจัดสรรหุ้นบางส่วนให้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อหลักทรัพย์เบื้องต้น (Initial Purchaser) และบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อหลักทรัพย์เบื้องต้น จะดำเนินการขายหรือโอนหุ้นดังกล่าวให้กับกองทุน Si Suk Alley Limited เพื่อให้กองทุน Si Suk Alley Limited ถือหุ้นดังกล่าวในรูปของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR)

 

ทั้งนี้ ราคาเสนอขาย 1.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นส่วนลดจากราคาตลาด 4.63% ซึ่งเป็นส่วนลดไม่เกินร้อยละ 10 จากราคาตลาด โดยคำนวณจากราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญของ VGI ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้อนหลัง 7 วันทำการติดต่อกัน ก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทของ VGI จะมีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้พิจารณาและอนุมัติในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเท่ากับ 1.57 บาทต่อหุ้น 

 

การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) ข้างต้น จะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ ใน VGI ลดลงจาก 61.13% เหลือเท่ากับ 34.23%

 

โครงสร้างผู้ถือหุ้นก่อนเพิ่มทุน

 

โครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังเพิ่มทุน 

 

นอกจากนี้ยังมีมติอนุมัติให้ VGI ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ครั้งที่ 4 (VGI-W4) จำนวนไม่เกิน 1,119,451,967 หน่วย ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ VGI ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) โดยไม่คิดมูลค่า

 

ทำคำเสนอซื้อหุ้น ROCTEC-RABBIT ทั้งหมด

 

บอร์ด BTS อนุมัติการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ บมจ.ร็อคเทค โกลบอล หรือ ROCTEC โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดโดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) โดยบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัดส่วน 100% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทย่อย โดยหลักทรัพย์ที่จะเสนอซื้อ ได้แก่ หุ้นสามัญทั้งหมดของ ROCTEC จำนวน 6,716 ล้านหุ้น (ไม่รวมหุ้นสามัญที่บริษัทฯ ถืออยู่) คิดเป็น 82.74% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ROCTEC ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 6,716 ล้านบาท

 

ปัจจุบัน ROCTEC (เดิมคือ MACO ทำสื่อโฆษณากลางแจ้ง) เป็นผู้ให้บริการด้านการวางงานระบบครบวงจรที่มุ่งเน้นในหลากหลายภาคส่วน โดยมีความเชี่ยวชาญในการนำเสนอโซลูชันที่นำสมัย ได้แก่ ระบบการสื่อสารในอุตสาหกรรมรถราง ระบบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ฮาร์ดแวร์และระบบจอดิจิทัลแสดงผล และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมขอบเขตการบริการทั้งหมด ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบ การจัดหา การวางระบบแผนงาน การติดตั้ง ไปจนถึงการซ่อมบำรุง

 

ทั้งนี้ จากการรายงานของเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานว่า สารัชถ์ รัตนาวะดี ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 ใน ROCTEC ด้วยสัดส่วนหุ้น 4.89% 

 

 

พร้อมทั้งอนุมัติการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของ บมจ.แรบบิท โฮลดิ้งส์ หรือ RABBIT โดยการทำ Conditional Voluntary Tender Offer โดยบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย โดยหลักทรัพย์ที่จะเสนอซื้อ ได้แก่

 

  1. หุ้นสามัญทั้งหมดของ RABBIT จำนวน 5,481,004,623 หุ้น (ไม่รวมหุ้นสามัญที่บริษัทฯ ถืออยู่) คิดเป็น 17.23% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ RABBIT

 

  1. หุ้นบุริมสิทธิทั้งหมดของ RABBIT จำนวน 8,109,121,267 หุ้น (ไม่รวมหุ้นบุริมสิทธิที่บริษัทฯ และบุคคลที่แสดงเจตนาไม่ขายหุ้นบุริมสิทธิในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ถืออยู่) คิดเป็น 25.49% ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 0.60 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8,154,075,534 บาท

 

โดย RABBIT ประกอบธุรกิจพัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจประกันชีวิต บริหารสินทรัพย์ และหลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมทั้งลงทุนในกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

 

โดยมูลค่าของหุ้นของ ROCTEC และ RABBIT ที่จะได้มาจากธุรกรรมครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงสุดไม่เกินประมาณ 14,870.60 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย มูลค่าของสิ่งตอบแทนจากธุรกรรม ROCTEC ไม่เกินประมาณ 6,716.52 ล้านบาท และมูลค่าของสิ่งตอบแทนจากธุรกรรม RABBIT ไม่เกินประมาณ 8,154.07 ล้านบาท

 

บริษัทฯ คาดว่าธุรกรรม ROCTEC แล RABBIT จะทำให้บริษัทฯ มีอำนาจควบคุม ROCTEC ซึ่งจะทำให้ ROCTEC สนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทฯ ส่วนธุรกิจของ RABBIT บริษัทมองว่าจะเป็นธุรกิจที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนให้แก่บริษัทฯ ในระยะยาวได้

 

โดยบริษัทฯ จะใช้แหล่งเงินทุนจากวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินในการชำระค่าหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROCTEC และ RABBIT ที่ตอบรับคำเสนอซื้อ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนที่จะนำเงินเพิ่มทุนที่ได้จากการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ไปชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน

 

เพิ่มทุน RO ขาย 2,926 ล้านหุ้น ราคา 4.50 บาท 

 

BTS อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวน 2,926.14 ล้านหุ้น ในอัตราการจัดสรร 4.5 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 4.50 บาท และกำหนดระยะเวลาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในวันที่ 17-18 ตุลาคม 2567, 21-22 ตุลาคม 2567 และ 24 ตุลาคม 2567 (รวม 5 วันทำการ) โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ในวันที่ 16 สิงหาคม 2567

 

โดยบริษัทฯ จะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ไปใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ROCTEC และ RABBIT และเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย

The post BTS ปรับโครงสร้างรอบใหญ่ ให้ VGI เพิ่มทุน PP ให้ 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศตั้งโต๊ะซื้อหุ้น RABBIT กับ ROCTEC ที่มี ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ร่วมถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น EA ดิ่งแรงกว่า 7% หลัง BTS ชี้แจง ไม่มีแผนลงทุนใน ‘ไทย สมายล์ บัส’ ส่วน GULF ไร้แผนเทกโอเวอร์ EA https://thestandard.co/ea-stocks-fell-bts-thai-smile-bus/ Fri, 26 Jul 2024 08:41:52 +0000 https://thestandard.co/?p=963308

ราคาหุ้น EA วันนี้ (26 กรกฎาคม) เปิดการซื้อ-ขาย ที่ระดั […]

The post หุ้น EA ดิ่งแรงกว่า 7% หลัง BTS ชี้แจง ไม่มีแผนลงทุนใน ‘ไทย สมายล์ บัส’ ส่วน GULF ไร้แผนเทกโอเวอร์ EA appeared first on THE STANDARD.

]]>

ราคาหุ้น EA วันนี้ (26 กรกฎาคม) เปิดการซื้อ-ขาย ที่ระดับ 4.20 บาท ติดลบ 0.94% โดยระหว่างการซื้อ-ขายร่วงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 3.94 บาท ติดลบกว่า 7% ส่วนราคาสูงสุดอยู่ที่ 4.32 บาท บวก 1.89% จากราคาปิดวันก่อนหน้า หลังจากที่ทั้ง GULF กับ BTS ออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าไม่มีแผนจะลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ EA

 

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากรณีก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวลืออย่างต่อเนื่องในตลาดทุนว่า บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF มีแผนจะเข้าซื้อหุ้นเทกโอเวอร์ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA เนื่องจาก EA กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง

 

อีกทั้งยังมีกระแสข่าวลือว่า บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS จะซื้อหุ้นบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ EA 

 

ก่อนหน้านี้ กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ออกมาชี้แจงว่า กระแสข่าวที่ EA อยู่ระหว่างเจรจาขายหุ้น บริษัท ไทย สมายล์ บัส ให้กับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ว่า ข่าวดังกล่าวไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตนเองในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TSB ซึ่งถืออยู่ 51% ยังไม่ได้รับข้อมูลเรื่องนี้ ร่วมกับ บล.บียอนด์ (BYD) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 49% ก็ไม่ได้รับข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน

 

GULF ไร้แผนลงทุนใน บจ.อื่น ขอเดินหน้าควบ INTUCH ให้เสร็จตามแผน

 

ล่าสุดวันนี้ (26 กรกฎาคม) ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของ GULF แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ชี้แจงจากกระแสข่าวว่า GULF พิจารณาเข้าลงทุนในบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อื่น นอกเหนือจากที่ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบถึงธุรกรรมควบรวมกิจการระหว่างบริษัทและ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ไปแล้วนั้น

 

ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการควบรวมเพื่อให้สำเร็จตามแผน ซึ่งมีหลายขั้นตอนตามที่บริษัทต้องดำเนินการ ดังนั้นบริษัทจึงไม่มีการพิจารณาการลงทุนในบริษัทอื่นใดเพิ่มเติมตามที่ปรากฏในข่าว

 

ทั้งนี้ บริษัทมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาลงทุนที่รอบคอบและระมัดระวัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งหมดเป็นสำคัญ

 

BTS ยันไม่มีแผนลงทุน ‘ไทย สมายล์ บัส’ 

 

ด้าน คงชิเคือง กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTS แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับความสนใจเข้าลงทุนในธุรกิจรถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้าไทย สมายล์ บัสนั้น บริษัทขอเรียนชี้แจงว่า กลุ่มบริษัทไม่มีแผนหรือความสนใจในการเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแต่อย่างใด

The post หุ้น EA ดิ่งแรงกว่า 7% หลัง BTS ชี้แจง ไม่มีแผนลงทุนใน ‘ไทย สมายล์ บัส’ ส่วน GULF ไร้แผนเทกโอเวอร์ EA appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS ขาดทุน 5.2 พันล้านบาท ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็น ‘บีทีเอส กรุ๊ป’ https://thestandard.co/bts-group-first-loss-after-rename/ Fri, 31 May 2024 07:36:47 +0000 https://thestandard.co/?p=939764 BTS ขาดทุน ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อ

BTS ขาดทุน 5.2 พันล้านบาท ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อ […]

The post BTS ขาดทุน 5.2 พันล้านบาท ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็น ‘บีทีเอส กรุ๊ป’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS ขาดทุน ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อ

BTS ขาดทุน 5.2 พันล้านบาท ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็น ‘บีทีเอส กรุ๊ป’

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ธนายงซื้อหุ้นบีทีเอสซีในสัดส่วน 94.6% และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ก่อนที่บริษัทจะเริ่มเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทในปี 2555 และเริ่มเปิดให้บริการบัตรแรบบิทเป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน

 

ผลประกอบการของ BTS นับแต่ปี 2553/2554 มีกำไรสุทธิมาต่อเนื่องตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่ในปี 2566/2567 BTS จะรายงานผลขาดทุนสุทธิเป็นครั้งแรก 5,241 ล้านบาท

 

การขาดทุนที่เกิดขึ้นล่าสุดมีสาเหตุสำคัญจากการที่บริษัทขายหุ้นของบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นรวมลดลงจาก 21.2% เหลือ 3% คิดเป็นผลขาดทุน 4,363 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากการบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมส่วนใหญ่มาจากแรบบิท โฮลดิ้งส์ ควบคู่กับส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

 

จากผลขาดทุนที่รายงานออกมาในวันนี้ (31 พฤษภาคม)​ ทำให้หุ้น BTS ถูกเทขายอย่างหนักจนราคาร่วงลงมาแตะ 5.05 บาทในช่วงครึ่งวันแรก​ ลดลงราว 12% จากวันก่อนหน้า ขณะที่ราคาหุ้น BTS ในปีนี้เคยลดลงไปต่ำสุดที่ 4.92 บาท ต่ำสุดในรอบ 12 ปี

 

ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานรวมของ BTS ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 17,966 ล้านบาท ลดลง 0.6% ส่วนใหญ่เกิดจากระบบขนส่งมวลชนทางราง (MOVE) ประมาณ 67% ส่วนธุรกิจสื่อโฆษณาและดิจิทัล (MIX) คิดเป็นสัดส่วนราว 28%

 

ทั้งนี้ผู้บริหารของ BTS ระบุว่า แนวโน้มรายได้ของธุรกิจ MOVE ในปี 2567/2568 น่าจะลดลง เนื่องจากการให้บริการรับเหมาก่อสร้างที่ลดลง หลังโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองแล้วเสร็จ

 

ส่วนธุรกิจ MIX คาดว่ารายได้ รวมทั้งกำไรก่อนค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (EBITDA) และกำไรสุทธิ จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI จะมีรายได้ 6,000-6,500 ล้านบาท

The post BTS ขาดทุน 5.2 พันล้านบาท ครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็น ‘บีทีเอส กรุ๊ป’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรบบิทแคช ชูแคมเปญ ‘Rabbit Cash Sustainability หัวใจแห่งความยั่งยืน เริ่มที่คุณ’ ดัน ‘สินเชื่อสวัสดิการ’ ช่วยพนักงานก้าวข้ามอุปสรรคทางการเงิน https://thestandard.co/rabbit-cash-sustainability-campaign/ Thu, 30 May 2024 07:30:56 +0000 https://thestandard.co/?p=938597

‘แรบบิทแคช’ (Rabbit Cash) ผู้ให้บริการด้านสินเชื่อออนไล […]

The post แรบบิทแคช ชูแคมเปญ ‘Rabbit Cash Sustainability หัวใจแห่งความยั่งยืน เริ่มที่คุณ’ ดัน ‘สินเชื่อสวัสดิการ’ ช่วยพนักงานก้าวข้ามอุปสรรคทางการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘แรบบิทแคช’ (Rabbit Cash) ผู้ให้บริการด้านสินเชื่อออนไลน์ในเครือบีทีเอส กรุ๊ป ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด ‘Rabbit Cash Sustainability หัวใจแห่งความยั่งยืน เริ่มที่คุณ’

 

โดย แรบบิทแคช เชื่อว่า ทุกองค์กรจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน พนักงานขององค์กรมีส่วนสำคัญอย่างมาก ดังนั้นการเข้าใจ การดูแลช่วยเหลือ และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีจะมีส่วนช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงนำไปสู่การผลักดันโครงการ ‘สินเชื่อสวัสดิการแรบบิทแคช’ เพื่อให้องค์กรใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือพนักงานทางด้านการเงิน พร้อมป้องกันและยับยั้งการเข้าสู่วงจรกู้หนี้นอกระบบ 

 

 

แรบบิทแคช กับแนวคิดเรื่องความยั่งยืน

 

รัชนี แสนศิลป์ชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แรบบิท แคช จำกัด ระบุว่า ปัจจุบันนี้ ‘แนวคิด ESG’ เป็นสิ่งที่ทุกองค์กร รวมถึง แรบบิทแคช ต่างให้ความสำคัญ เนื่องจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่บรรดานักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งหลายจะนำมาพิจารณา เพื่อหาแนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

 

แรบบิทแคช ยังดูแลพนักงานในด้านต่างๆ ผ่านแคมเปญ ‘Rabbit Cash Sustainability’ ไม่ว่าจะเป็น การให้ความรู้เรื่องการวางแผนทางการเงิน, การพัฒนาบุคลากรในองค์กร ผ่านการจัดอบรมและเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับพนักงานและคนในครอบครัวผ่านการผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพในอัตราดอกเบี้ย 0% และที่สำคัญ แรบบิทแคช มีสินเชื่อสวัสดิการพนักงานที่สามารถเข้าถึงสวัสดิการทางการเงินยามฉุกเฉินได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยวงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม โดยไม่เช็กเครดิตบูโร และไม่ต้องมีคนค้ำ

 

ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อนี้ มีองค์กรชั้นนำมากกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ และมีพนักงานกว่า 100,000 คน สามารถเข้าถึงสวัสดิการเงินกู้ฉุกเฉินนี้ได้ 

 

หนึ่งในนั้นคือ พนักงานของโรงพยาบาลพระรามเก้า โดย ภาคิน ภู่ประเสริฐ Head of Strategy Department โรงพยาบาลพระรามเก้า เผยว่า โรงพยาบาลพระรามเก้ากำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัล พร้อมมุ่งช่วยเหลือพนักงานให้มีสภาวะจิตใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงบรรเทาปัญหาทางการเงินแบบฉุกเฉิน ทางโรงพยาบาลจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับ แรบบิทแคช ในครั้งนี้ 

 

 

สินเชื่อสวัสดิการ แรบบิทแคช

 

สินเชื่อที่อยู่ในรูปแบบของ ‘เงินก้อนฉุกเฉิน’ สำหรับพนักงาน จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พนักงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน โดยได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานแต่ละบุคคล

 

จุดเด่นที่สำคัญของสินเชื่อสวัสดิการ แรบบิทแคช อยู่ที่ ‘เงื่อนไขที่ยืดหยุ่นและแตกต่าง’ ไม่เช็กเครดิตบูโร, ไม่ต้องมีบุคคลหรือสินทรัพย์มาค้ำประกัน, ไม่ต้องยื่นเอกสารใดๆ ประกอบการกู้ยืม, วงเงินกู้ขึ้นอยู่กับความสามารถและระยะเวลาจ่ายชำระหนี้ของแต่ละบุคคล และสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมกับพนักงานในแต่ละองค์กร 

 

นอกจากนี้ยังมี ‘ขั้นตอนที่ง่ายและสะดวก’ โดยสามารถยื่นกู้เงินผ่าน LINE และแอปพลิเคชัน แรบบิทแคช และรับเงินเข้าบัญชีทันที ทั้งยังกู้และสามารถจ่ายชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ที่สำคัญเมื่อจ่ายชำระหนี้ครบแล้ว สามารถกู้ใหม่ได้ทันที และ ‘ไม่มีภาระค่าใช้จ่าย หรือความเสี่ยงใดๆ ต่อตัวองค์กร’ อีกด้วย

 

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร, กรรมการ และผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ MOVE บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในเครือบีทีเอสคืองานบริการ พนักงานจึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก เมื่อมีสินเชื่อสวัสดิการนี้ไว้รองรับ จะมีส่วนทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถเข้าถึงเงินก้อนฉุกเฉินได้ทันที มีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มมากขึ้น

 

 

แรบบิทแคช ยังมีกิจกรรมให้ทุกคนได้ร่วมสนุกเพื่อลุ้นบัตรโดยสาร BTS ที่สามารถเดินทางได้ฟรีถึง 1 ปี เพียงถ่ายรูปคู่กับ ‘พี่ต่ายสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน’ ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบโดยศิลปินสตรีทอาร์ตชื่อดังอย่าง ‘รักกิจ สถาพรวจนา’ (Rukkit) ตามสถานที่ต่างๆ ที่คุณพบเห็น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า, After You สาขาตึกเดอะยูนิคอร์น พญาไท รวมถึงบอลลูนพี่ต่ายที่ Victory Hub พร้อมติดแฮชแท็ก #RabbitCashSustainability #หัวใจแห่งความยั่งยืนเริ่มที่คุณ และโพสต์ลง Facebook ส่วนตัวของคุณแบบเปิดสาธารณะ (Public) โดยร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2567

 

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และติดตามข้อมูลข่าวสารของ Rabbit Cash ได้ทั้งทางเว็บไซต์: https://www.rabbitcash.co.th/sustainability, Facebook: www.facebook.com/rabbitcash และ LINE Official พร้อมรับชม MV เพลงใหม่ ‘แค่จับมือกันไว้’ จาก ซาร่าห์ ซาโรลา ผ่านช่องทาง YouTube ของ Rabbit Cash:

 

 

เพราะเราเชื่อว่า ‘หัวใจแห่งความยั่งยืน เริ่มที่คุณ’

The post แรบบิทแคช ชูแคมเปญ ‘Rabbit Cash Sustainability หัวใจแห่งความยั่งยืน เริ่มที่คุณ’ ดัน ‘สินเชื่อสวัสดิการ’ ช่วยพนักงานก้าวข้ามอุปสรรคทางการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS – ยังคงมองหาจุดต่ำสุด https://thestandard.co/market-focus-bts-6/ Tue, 20 Feb 2024 10:59:44 +0000 https://thestandard.co/?p=902246 BTS

เกิดอะไรขึ้น:   เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา […]

The post BTS – ยังคงมองหาจุดต่ำสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS

เกิดอะไรขึ้น:

 

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) รายงานขาดทุนสุทธิ 4.8 พันล้านบาทใน 3QFY67 (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2566) เทียบกับกำไรสุทธิ 257 ล้านบาทใน 2QFY67 และกำไรสุทธิ 1 พันล้านบาทใน 3QFY66 โดยใน 3QFY67 BTS บันทึกรายการพิเศษหลายรายการด้วยกัน 

 

โดยรายการที่สำคัญคือ ขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนใน KEX และ SINGER หากตัดรายการเหล่านี้ออกไปกำไรปกติอยู่ที่ 144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 335.7%QoQ แต่ลดลง 87.7%YoY กำไรปกติที่เติบโต QoQ ได้แรงหนุนจากธุรกิจสื่อโฆษณาที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่กำไรปกติที่ลดลง YoY เกิดจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

 

InnovestX Research มีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์ที่ BTS จัดขึ้นหลังการรายงานผลประกอบ โดยผู้บริหารกล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะขายหุ้น KEX ผ่านการทำ Tender Offer หรือไม่ บริษัทจะตัดสินใจครั้งสุดท้ายในเดือนมีนาคม โดยมีเหตุผลหลักๆ คือ เพื่อไม่ให้ KEX เป็นตัวถ่วงงบกำไรขาดทุนของบริษัทต่อไปหลังจากนี้ ดังนั้นคาดว่าจะเห็นการขายหุ้น KEX ออกไปบางส่วน เนื่องจากต้นทุนหุ้น KEX หลังบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าอยู่ที่ 5.5 บาทต่อหุ้น ทำให้ในกรณีที่ BTS ตัดสินใจขายหุ้น KEX ออกไปจริงจะไม่เห็นการบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย 

 

นอกจากนี้ BTS ยังชี้แจงว่า หนี้ที่ กทม. เตรียมที่จะจ่ายค่า E&M กว่า 2.3 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินอุดหนุนสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ได้จากรัฐบาลนั้น บริษัทจะไม่มีการบันทึกเงินส่วนนี้เข้าไปที่งบกำไรขาดทุน สำหรับจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า BTS นั้น บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงระดับก่อนเกิดโควิดในปี 2568 สอดคล้องกับที่ได้คาดการณ์

 

กระทบอย่างไร:

 

หลังรายงานผลประกอบการวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ราคาหุ้น BTS ปรับลง 6.67% สู่ระดับ 5.60 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.16% สู่ระดับ 1,387.33 จุด 

 

แนวโน้มผลประกอบการ FY2567:

 

แม้กำไรสุทธิน่าจะปรับตัวดีขึ้น QoQ แต่เชื่อว่ากำไรปกติยังไม่น่าจะถึงจุดต่ำสุด โดยใน 4QFY67 คาดว่าต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูจะสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินงานปกติ เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนมีนาคม

 

อย่างไรก็ดี InnovestX Research ปรับประมาณการปี FY2567 ลดลงสู่ขาดทุน 5.5 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนขาดทุนจากการด้อยค่าและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ต่ำกว่าคาด ก่อนหน้านี้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารของทั้งสองสายที่ 75,000 เที่ยวคนต่อวัน แต่จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย YTD สำหรับสายสีชมพูอยู่ที่ 50,000 เที่ยวคนต่อวัน และสายสีเหลืองอยู่ที่ 35,000 เที่ยวคนต่อวัน 

 

ดังนั้นจึงปรับสมมติฐานลดลงให้สอดคล้องกับตัวเลขเหล่านี้ โดยคาดว่าผลประกอบการปี FY2568 จะพลิกกลับมามีกำไรได้ที่ 252 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีขาดทุนจาก KEX และธุรกิจหลักปรับตัวดีขึ้น

 

ทั้งนี้ แม้ราคาหุ้น BTS ปรับตัวลดลงมาแล้ว 22.8%YTD แต่กลยุทธ์การลงทุนยังคงคำแนะนำ NEUTRAL โดยปรับราคาเป้าหมายลดลงสู่ 9.6 บาทต่อหุ้น (จาก 11.2 บาท) เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการผลประกอบการลดลงและมูลค่าเงินลงทุนใน VGI และ RABBIT ที่ลดลง และมองว่าราคาหุ้น BTS ยังขาดปัจจัยกระตุ้น เนื่องจากกำไรปกติยังไม่ถึงจุดต่ำสุด 

 

ส่วนราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 6 บาทต่อหุ้น หากตัดมูลค่าการต่อสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไป ทั้งนี้ การที่ กทม. จะจ่ายหนี้สัญญา E&M อาจทำให้สมมติฐานการต่อสัมปทานใช้ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะต้องมีการเจรจาสัญญากันใหม่

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ประเด็น Overhang เกี่ยวกับการต่อสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและการชำระหนี้งาน O&M จาก กทม. ความเสี่ยงด้าน ESG สำหรับ BTS คือความน่าเชื่อถือในการให้บริการ

 

The post BTS – ยังคงมองหาจุดต่ำสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น BTS บวกกว่า 1% หลัง กทม. เล็งชงสภาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวบางส่วนคืนให้ พร้อมช่วยทวงหนี้ต่อกับรัฐบาล https://thestandard.co/bts-stock-rose-more-than-1-percent/ Mon, 12 Jun 2023 08:44:48 +0000 https://thestandard.co/?p=802154

ราคาหุ้น บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS ระหว่างซื […]

The post หุ้น BTS บวกกว่า 1% หลัง กทม. เล็งชงสภาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวบางส่วนคืนให้ พร้อมช่วยทวงหนี้ต่อกับรัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

]]>

ราคาหุ้น บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS ระหว่างซื้อ-ขายภาคบ่ายวันนี้ (12 มิถุนายน) บวกขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 7.45 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.36% หลัง กทม. มีแผนเสนอสภา กทม. ให้จ่ายหนี้บางส่วนให้ BTS

 

หลังจากเช้าวันนี้ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ BTS และคณะผู้บริหาร ได้เข้าพบหารือร่วมกับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. พร้อมกับ วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการ กทม. ร่วมหารือกับแนวทางหาทางออกปัญหา เรื่อง ภาระหนี้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว   

 

ชัชชาติระบุว่า วันนี้ BTS เข้ามาหารือ เรื่อง กรณีปัญหาค่าจ้างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ที่ผ่านมา กทม. ได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งมีขั้นตอนในการดำเนินการทั้งหมด 2 ขั้นตอนที่ต้องทำ ได้แก่ 

         

  1. เรื่องที่บริษัทกรุงเทพธนาคม (KT) จ้าง BTS เดินรถ ซึ่งขณะนั้น กทม. มอบหมายให้ KT เป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นขั้นตอนต่อไปที่จะดำเนินการได้คือ ต้องให้สภา กทม. อนุมัติก่อน

 

  1. หากจะชำระเงินก็ต้องใช้เงินที่เป็นเงินสะสมมาจ่ายขาด ซึ่งในสภา กทม. ต้องพิจารณา 

 

สำหรับทั้งสองเรื่องคือเรื่องที่ต้องนำเข้าสภา กทม. ที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเรื่องนี้ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ หากเปิดสภา กทม. สมัยหน้า ก็สามารถนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภา กทม. ได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรในการชำระเงินส่วนนี้ 

 

โดยในวันนี้ กทม. ได้อธิบายกระบวนการให้ BTS เข้าใจ เนื่องจากฝ่ายบริหารไม่ได้มีอำนาจในการอนุมัติได้เองโดยตรง โดยต้องมีการพูดคุยกับสภา กทม. ทั้งเรื่องสัญญาที่ก่อหนี้ผูกพันและเงินคงเหลือของ กทม. มาจ่ายหนี้ ซึ่งการดำเนินการต่อจากนี้จะนำเรื่องเข้าสภา กทม. และดูว่ามีความเห็นอย่างไร

 

ทั้งนี้ กทม. จะดำเนินการพร้อมกัน 2 ทาง คือ 

 

  1. นำเรื่องเข้าสภา กทม. เกี่ยวกับการชำระหนี้ คาดว่าสมัยการประชุมนี้น่าจะพร้อม เนื่องจากศึกษากันมาพอสมควร

 

  1. ติดตามเร่งรัดทางรัฐบาลอีกทางหนึ่ง ซึ่ง กทม. ได้ทำหนังสือไปถึงกระทรวงมหาดไทยในหลายประเด็น

 

ปัจจุบันหนี้ทั้งหมดของรถไฟฟ้าสายสีเขียวอยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมหนี้โครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลด้วยทั้ง E&M และรับจ้างเดินรถ-พัฒนาระบบรถไฟฟ้า (O&M) โดยหนี้ในส่วนโครงสร้างพื้นฐานได้ขอให้รัฐบาลช่วย เพราะรถไฟฟ้าทุกสายรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ซึ่งยังไม่มีการตอบรับจากทางรัฐบาล

       

ด้านคีรีกล่าวว่า ขอให้มีความเห็นใจบริษัทที่ กทม. มีหนี้ค้างจ่ายกับบริษัท โดยในวันนี้ได้ทำความเข้าใจกับ กทม. ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

 

  1. E&M ที่รับเหมาไปและถึงเวลาจ่ายหนี้ โดย E&M ได้ติดตั้งใช้งาน ซึ่ง กทม. ได้เซ็นรับเรียบร้อย และถึงเวลาต้องชำระหนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในส่วนนี้ กทม. จะนำเข้าสภา กทม. ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้

 

  1. O&M รับจ้างเดินรถ-พัฒนาระบบรถไฟฟ้า อยู่ใน ม.44 ในคณะรัฐมนตรี ซึ่งไม่ทราบว่ารัฐบาลรักษาการจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง

The post หุ้น BTS บวกกว่า 1% หลัง กทม. เล็งชงสภาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวบางส่วนคืนให้ พร้อมช่วยทวงหนี้ต่อกับรัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
บีทีเอสหารือ กทม. นัดแรก มั่นใจผู้ว่าฯ ยื่นเรื่องเข้าสภา จ่ายหนี้ 2 หมื่นล้านบาทได้ต้นเดือน ก.ค. พร้อมขอบคุณที่เข้าใจภาระเอกชน https://thestandard.co/bts-confer-chadchart-submit-petition-to-council/ Mon, 12 Jun 2023 06:11:19 +0000 https://thestandard.co/?p=802040

วันนี้ (12 มิถุนายน) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิง […]

The post บีทีเอสหารือ กทม. นัดแรก มั่นใจผู้ว่าฯ ยื่นเรื่องเข้าสภา จ่ายหนี้ 2 หมื่นล้านบาทได้ต้นเดือน ก.ค. พร้อมขอบคุณที่เข้าใจภาระเอกชน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (12 มิถุนายน) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท ผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าสายสีเขียว 

 

มีรายงานว่าสาระสำคัญการหารือวันนี้ เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อแนวปฏิบัติว่าจะมีความเป็นไปได้ทางไหนบ้างเกี่ยวกับการใช้หนี้ประมาณหมื่นล้านบาทที่สะสมมาจากการบริหารจัดการเดินรถของบีทีเอส  

 

สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทางผู้บริหารกรุงเทพมหานครย้ำชัดเจนก่อนหน้านี้ว่า เรื่องหนี้สินถึงอย่างไรก็ต้องรอให้รัฐบาลตัดสินใจ เพราะคำสั่งเดิมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ยังมีผลบังคับใช้ และ กทม. เคยทำหนังสือสอบถามไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี 2565 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน 

 

ส่วนอีกประเด็นที่เกี่ยวโยงคือ การต่อสัญญาส่วนต่อขยายที่ 2 เส้นทางช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นการต่อสัญญาที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ผ่านสภา กทม. โดยตอนนี้สภา กทม. ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

 

ภายหลังการหารือร่วมกันครั้งแรกประมาณ 30 นาที ชัชชาติกล่าวว่า วันนี้เป็นการหารือเรื่องค่าจ้างงานระบบรถไฟฟ้า และเรื่องการเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) กทม. เตรียมแผนไว้แล้วมี 2 ขั้นตอน ขณะนี้รอให้สภา กทม. อนุมัติการใช้จ่ายเงินสะสม ซึ่งการเบิกจ่ายต้องนำประเด็นเข้าสภา กทม. พิจารณาและตั้งคณะกรรมการวิสามัญ ที่ผ่านมาประชุมแล้ว 5 ครั้ง

 

ทุกคนเห็นว่าการดำเนินการติดตั้งแล้ว เหลือเพียงทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนตัวเห็นใจเอกชน เพราะมีภาระหนี้สินจำนวนมาก แต่ทั้งนี้ขอให้เข้าใจว่าทุกอย่างมีระเบียบปฏิบัติ มีคณะทำงาน สภา กทม. ต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมซึ่งศึกษามาแล้วระยะหนึ่ง และคาดว่าสมัยที่ตนเป็นผู้ว่าฯ กทม. น่าจะพร้อมที่จะจัดการแล้ว

 

จากนี้ กทม. จะติดตามในส่วนของรัฐบาลประกอบการพิจารณา รวมไปถึงขอการสนับสนุนงบประมาณส่วนโครงสร้างพื้นฐาน 

 

ด้านคีรีกล่าวว่า ขอขอบคุณท่านผู้ว่าฯ กทม. ที่ให้เข้ามาพูดคุยด้วย แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกแต่ก็เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจกันมากขึ้น ขอบคุณที่เข้าใจถึงเอกชนที่มีภาระแบกรับมาตลอด วันนี้เราเข้าใจกันแล้วว่าระบบการเดินรถทั้งหมดเป็นเรื่องที่ติดตั้งเรียบร้อยและได้ใช้ไปแล้ว กทม. ก็ได้เซ็นอนุมัติ ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องชำระ 

 

ขอบคุณผู้ว่าฯ กทม. ที่พยายามจะนำประเด็นนี้เข้าสภา กทม. เพื่อจะผลักดันเรื่องให้มีการใช้จ่าย ส่วนตัวเข้าใจว่าในต้นเดือนกรกฎาคมนี้จะมีการเปิดสภา กทม. และเรื่องนี้ทางผู้บริหาร กทม. จะไปขอให้สภา กทม. เข้าใจและอนุมัติในที่สุด 

 

คีรีกล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าเราจะมีเงินก้อนนี้ที่เป็นส่วน E&M หรือค่างานติดตั้งไฟฟ้าและเครื่องกล เข้ามาในบริษัทได้ ซึ่งถ้าถึงวันนั้นตนเชื่อว่าเงินประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาทจะได้รับการชำระถูกต้อง

 

ในส่วนงบค่าใช้จ่าย O&M หรือค่าเดินรถและซ่อมบำรุงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ที่อยู่ในคำสั่งเดิมของ คสช. ตามมาตรา 44 ตนยอมรับว่าไม่ทราบว่าทาง ครม. รักษาการนี้จะทำอะไรได้บ้าง เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ได้ผ่านในชุดรัฐบาลที่แล้ว แม้จะมีการนำเรื่องเข้า-ออกการประชุม ครม. ประมาณ 3-4 ครั้ง 

 

ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลที่ผ่านมาอาจจะไม่เข้าใจดีถึงปัญหาดังกล่าว แต่หากรัฐบาลรักษาการจะทำให้เรื่องนี้จบได้ ซึ่งเป็นเงินจำนวนใหญ่สำหรับบริษัทอีกประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าทำได้ก็ทำ แต่ถ้ารัฐบาลหน้าจะทำก็ได้ 

 

คีรีกล่าวต่อว่า วันนี้ไม่มีอะไรติดใจ แต่มาขอให้ทาง กทม. โดยเฉพาะผู้ว่าฯ ให้เห็นใจ หนี้สินก้อนนี้สิ่งที่เรามีส่วนด้วยวันนี้มันเกิน 5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น E&M คือการติดตั้งระบบ 2 หมื่นล้านบาท อีกส่วนคือ O&M วันนี้ ซึ่งตัวเลขที่พูดคุยเป็นตัวเลขเท็จจริงทั้ง 2 ส่วน วันนี้ผมเชื่อว่าเราได้เข้าใจกันแล้ว ซึ่งท่านผู้ว่าฯ ได้กรุณาจะเอาเข้าสภาเพื่อเห็นชอบและอนุมัติ พร้อมได้รับการยืนยันว่าจะพยายามทำให้เร็วที่สุด 

 

วันนี้ผมบริหารการเดินรถนี้อย่างสุดความสามารถ จากตัวเลขต่างๆ รางวัลต่างๆ ที่ได้จากทั่วโลก ยืนยันได้ว่าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจบริการผู้โดยสารอย่างดีที่สุด แต่เวลานี้ซึ่งการเงินที่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นความจริงว่าเงินก้อนมันโตจนบริษัทสภาพไม่คล่อง

 

ชัชชาติกล่าวเสริมว่า การอนุมัติเรื่องสัญญาที่ก่อหนี้ผูกพันต้องมีสภา กทม. เป็นผู้อนุมัติ การเอาเงินคงเหลือของ กทม. มาจ่ายอะไรต้องให้สภา กทม. อนุมัติทุกอย่าง เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจว่าสภา กทม. เองก็มีภารกิจหลายเรื่องนอกจากเรื่องรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องออกกฎหมายมากมาย ถึงวันนี้การมีคณะกรรมาธิการที่ดำเนินงานมาหลายเดือนก็ทำให้มีความเข้าใจที่มากขึ้น 

 

ในส่วนของค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน ถ้ารัฐบาลสามารถช่วยเหลือ กทม. ได้ก็จะง่ายขึ้น ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ต้องพิจารณาขั้นที่ 1 คือจะให้กรุงเทพธนาคม หรือ เคที ตรวจสอบก่อนว่ามีสัญญาผูกพันจำนวนเท่าไร อย่างไร และประเด็นที่สองคือนำเงินสะสม กทม. ออกมาใช้ ซึ่งต้องผ่านกรรมการสภาพิจารณา ทั้งนี้ต้องมีการดูหลายมิติ

 

The post บีทีเอสหารือ กทม. นัดแรก มั่นใจผู้ว่าฯ ยื่นเรื่องเข้าสภา จ่ายหนี้ 2 หมื่นล้านบาทได้ต้นเดือน ก.ค. พร้อมขอบคุณที่เข้าใจภาระเอกชน appeared first on THE STANDARD.

]]>