น้อย วงพรู – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 19 Nov 2022 07:16:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 13 เกมสยอง (2549) สำรวจธาตุแท้ของมนุษย์ผ่านเกมวัดศีลธรรมชีวิตที่สะท้อนว่า ‘ลึกลงไปในตัวเราทุกคนต่างก็มีปีศาจในแบบของตัวเอง’ https://thestandard.co/13-beloved/ Wed, 06 Jul 2022 06:11:18 +0000 https://thestandard.co/?p=650708 13 เกมสยอง

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง 13 […]

The post 13 เกมสยอง (2549) สำรวจธาตุแท้ของมนุษย์ผ่านเกมวัดศีลธรรมชีวิตที่สะท้อนว่า ‘ลึกลงไปในตัวเราทุกคนต่างก็มีปีศาจในแบบของตัวเอง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
13 เกมสยอง

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง 13 เกมสยอง

 

หากให้นึกชื่อภาพยนตร์ไทยที่ทั้งดีและมากไปด้วยคุณภาพแบบเร็วๆ มั่นใจได้ว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีภาพยนตร์เรื่อง 13 เกมสยอง อย่างแน่นอน เพราะด้วยเนื้อหาที่จะพาเราออกสำรวจถึงธาตุแท้ของมนุษย์อย่างหนักหน่วง ผ่านการเล่นเกมวัดศีลธรรมชีวิตที่มาพร้อมกับการเสียดสีกฎหมายอย่างเจ็บแสบ และตอนจบสุดหักมุม สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ 13 เกมสยอง กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คนมาจนถึงปัจจุบัน

 

13 เกมสยอง คือ หนึ่งในผลงานภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับมาสเตอร์พีซของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่ดัดแปลงมาจากเรื่อง 13th Quiz Show ตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูน รวมเรื่องสั้นจิตหลุด (My Mania) ของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ โดยภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งในแง่เสียงชื่นชมและรายได้ กระทั่งในเวลาต่อมา ด้วยเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ จำนวนมาก จึงได้มีการสร้างภาพยนตร์สั้นที่บอกเล่าเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์ โดยใช้ชื่อว่า 11 หรือ Earthcore และ 12 Begin ตามลำดับ นอกจากนี้ 13 เกมสยอง ยังเคยถูกซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดโดยใช้ชื่อว่า 13 Sins อีกด้วย

 

13 เกมสยอง

 

13 เกมสยอง บอกเล่าเรื่องราวของ ภูชิต พึ่งนาทอง (น้อย วงพรู) เซลส์แมนขายเครื่องดนตรีคนหนึ่ง ที่กำลังถูกบริษัทบีบให้ลาออกจากการเป็นพนักงานหลังจากที่ไม่สามารถทำรายได้ได้ตามเป้า อีกทั้งยังประสบปัญหาหนี้สินรุมเร้า แฟนทิ้งไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่ แถมยังต้องส่งเสียน้องสาว รวมไปถึงแม่ที่เลี้ยงดูเขาและน้องเพียงลำพังมาตั้งแต่เด็ก สมบัติชิ้นสุดท้ายของเขาอย่างรถยนต์ที่ขาดส่งไป 3 เดือนก็ยังมาถูกยึดไปต่อหน้าต่อตาอีก 

 

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น และเสียงปลายสายลึกลับได้ดึงเขาเข้าสู่ ‘13 Beloved’ เกมท้าทายชีวิตที่มีโจทย์อยู่ด้วยกัน 13 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อก็ยั่วยวนให้เขาค้นหาคำตอบและเล่น โดยมีผลตอบแทนที่ดึงดูดใจอย่าง ‘เงิน’ ที่เมื่อผ่านโจทย์ในแต่ละข้อเขาก็จะได้เงินสะสมทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ และจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่เขาสามารถตรวจสอบได้ทันที และถ้าเขาเล่นเกมครบ 13 ข้อก็จะได้เงินรางวัลสะสมสูงถึง 100 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดเล่นเงินสะสมทั้งหมดจะถูกยกเลิก หากบอกต่อให้คนอื่นรู้เกมจะถือว่าเป็นโมฆะ และหากพยายามติดต่อกลับหมายเลขดังกล่าวถือว่าเกมสิ้นสุดลงทันที 

 

13 เกมสยอง

 

หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจของ 13 เกมสยอง คือ ‘มนุษย์จะละทิ้งศีลธรรมของตัวเองได้มากแค่ไหนเมื่อถึงเวลาที่ตนอับจนหนทาง’ เราจะเห็นได้จากการที่ชีวิตของภูชิตนั้นล้มเหลวในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ครอบครัว การเงิน หรือความรัก ซึ่งทุกปัญหานั้นล้วนเกิดจากตัวของเขาเองแทบจะทั้งสิ้น 

 

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบจากปีศาจที่มีชื่อว่า 13 ยื่นข้อเสนอมาให้กับเขาว่า หากเขายอมรับเงื่อนไขของตน ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ทั้งหมดจะหายไปในทันที คำถามก็คือ หากคนดูภาพยนตร์อย่างเราเป็นภูชิต เราจะยอมเซ็นสัญญากับปีศาจไหม? 

 

แน่นอนว่าถ้ามองในมุมของคนดูเราก็คงตอบว่า ‘ไม่’ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้ามองในมุมของภูชิตผู้ที่ล้มเหลวในทุกๆ ด้านของชีวิตล่ะ? เขาจะต้องเอื้อมมือไปหาปีศาจอย่างแน่นอน เพราะมนุษย์นั้นมีความต้องการอยู่เสมอ และเมื่ออับจนหนทางปีศาจก็จะใช้ความอ่อนแอเหล่านั้นมาล่อลวงเราได้อย่างง่ายดาย ต่อให้สิ่งนั้นมันจะทำให้ชีวิตของเขาพังทลายย่อยยับลงก็ตาม เขาก็เลือกที่จะจับมือกับปีศาจอยู่ดี

 

แต่หากมองในมุมกลับกัน ปีศาจที่ชื่อว่า 13 ไม่ได้ทำให้ชีวิตของภูชิตย่อยยับ 13 เป็นเพียงแค่ปีศาจที่มายื่นข้อเสนอให้กับเขาเท่านั้น แต่คนที่ตัดสินใจว่าจะ ‘รับ’ หรือ ‘ไม่รับ’ ก็คือตัวของเขาเอง

 

13 เกมสยอง จึงเป็นเหมือนบททดสอบที่ท้าทายระหว่าง ‘กิเลสความต้องการ’ กับ ‘ศีลธรรมในใจ’ ของมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าจะอย่างใดก็ล้วนแต่สะท้อนถึงหลุมดำภายในจิตใจของมนุษย์อยู่ดี

 

13 เกมสยอง

 

ในช่วงแรกของเกมเราจะเห็นได้ว่า โจทย์และเงื่อนไขของเกมนั้นยังไม่ได้มีความรุนแรงและก้าวข้ามเส้นศีลธรรมแต่อย่างใด จนกระทั่งเรื่องราวถูกดำเนินไปเรื่อยๆ ผ่านจำนวนตัวเลขที่มากขึ้นของเกม พร้อมกับความเป็นมนุษย์ที่หลุดลอยหายไปจากตัวของภูชิตมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนตัวเลขที่มากขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าบททดสอบในช่วงแรกนั้นจะเริ่มต้นจากอะไรที่ทำได้ง่ายๆ แต่ในความง่ายเหล่านั้นก็มีการละลายความรู้สึกผิดไปทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว 

 

ตั้งแต่เกมแรกกับภารกิจที่ง่ายแสนง่ายอย่างการฆ่าแมลงวันแค่ตัวเดียว จริงอยู่ที่มันเป็นแค่สัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่งที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ การตายของมันจึงทำให้ภูชิตไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรมากมายขนาดนั้น แต่อย่าลืมว่าในเวลาปกติหากแมลงวันไม่ได้มาตอมหรือสร้างความรำคาญให้กับเรา เราก็คงไม่ลุกขึ้นไปตีมันอย่างแน่นอน

 

13 เกมสยอง

 

จนกระทั่งเกมเริ่มจะพาเราเข้าไปสำรวจในจิตใจของภูชิตมากขึ้น อย่างการที่เขาถูกพ่อทุบตีทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งภาพยนตร์เลือกที่จะนำเสนอออกมาเป็นภาพแฟลชแบ็กช่วงสั้นๆ ให้ผู้ชมได้รับรู้ตีคู่ไปกับการที่เขาจะต้องมาทำสิ่งเดียวกันกับเด็กในโรงเรียน ซึ่งเป็นโจทย์ข้อที่ 3 แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ดูยากอะไรในสายตาของภูชิต แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เกราะที่มีชื่อว่า ‘ศีลธรรม’ ในตัวของเขานั้นค่อยๆ หลุดลอยออกไปทีละนิดแล้ว

 

แต่เกมก็ยังคงเดินหน้าพาเราออกไปสำรวจถึงจุดอ่อนที่เรียกว่า ‘ปมในอดีต’ ที่ฝากรอยแผลเอาไว้ให้กับตัวเขา โดยเฉพาะโจทย์ข้อที่ 5 ที่ปมเหล่านั้นถูกกระตุ้นให้เขากล้าที่จะกินอาหารเพื่อที่จะเอาชนะและคว้าเงินรางวัลมาครอง ปมเหล่านั้นเองที่ถ้าหากเราไม่เคยตระหนักรู้ เราก็มักจะถูกมันกลืนกินและกระตุ้นให้ต้องทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างง่ายดายโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

 

13 เกมสยอง

 

นอกจากนี้ เรื่องราวของโจทย์แต่ละข้อยังสะท้อนไปถึงด้านมืดของสังคมไทยด้วย ตัวอย่างเช่น ปู่ชิว ในโจทย์ข้อที่ 7 ที่ภูชิตจะต้องนำร่างของเขาที่ตายไปแล้วเป็นสิบวันออกมาแทนญาติที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม ซึ่งไม่มีใครเอะใจหรือสงสัยว่าปู่ชิวหายไปไหนเลยสักคน ซึ่งภาพยนตร์พยายามสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของ ‘คนที่ถูกทอดทิ้งจากสังคม’ 

 

ไม่เพียงเท่านั้น โจทย์ในข้อก่อนหน้านี้อย่างข้อที่ 6 ก็สะท้อนให้เราเห็นถึงปัญหาของ ‘กลุ่มคนที่เป็นภัยสังคม’ เราจะเห็นได้จากการที่ภูชิตจะต้องแย่งโทรศัพท์จากกลุ่มเด็กนักเรียนช่างกลด้วยการต่อยตีและทำร้ายร่างกายกันจนปางตาย 

 

มองดูผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากมองดูให้ดี ภูชิตที่ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาดูเหมือนจะห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากช่วงต้นเรื่องที่เขาไม่แม้แต่จะกล้าเข้าไปต่อยหน้ารุ่นพี่ที่บริษัทที่มาแย่งฐานลูกค้าของเขา แต่หลังจากที่เขาได้เซ็นสัญญากับปีศาจ ภูชิตก็แสดงด้านมืดของตัวเองออกมาอย่างไม่ลังเลด้วยการเดินเข้าไปต่อยที่หน้าของรุ่นพี่คนนั้น แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ดูใหญ่โตเท่ากับการตีรันฟันแทงกับเด็กอาชีวะ แต่มันก็เป็นสิ่งยืนยันว่าตัวเขานั้นได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

13 เกมสยอง

 

ในช่วงแรกถึงกลางเรื่อง เกมจะพาเราไปสำรวจถึงเกราะที่เรียกว่า ‘ศีลธรรม’ และปมอดีตในวัยเด็กของภูชิต (ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลเป็นอย่างมากในช่วงท้ายของเรื่อง) แต่เมื่อเกมขึ้นเลข 2 หลักทุกอย่างก็เกินจะควบคุม ภูชิตไม่สามารถที่จะหยุดเล่นเกมนี้ได้อีกต่อไป เพราะเขาได้ก้าวข้ามเส้นอย่างการฆ่ามนุษย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเกมที่ 11 นั่นทำให้จากที่เขาเคยมีทางเลือกที่จะหยุดเล่นเกมเมื่อไรก็ได้ กลายเป็นไม่มีทางเลือกนั้นในทันที และด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้ชีวิตของเขาจะพังทลายย่อยยับและห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากเพียงใด เขาก็ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เขาเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง

 

13 เกมสยอง

 

ปีศาจที่มองเห็นถึงจุดอ่อนนั้นจึงเฉลยว่า ทั้งหมดที่เขากำลังทำอยู่มันคือเกมโชว์ที่มีคนดูอยู่มากมายจากทั่วทุกมุมโลก คำถามก็คือ พวกเขาทุกคนต่างก็เห็นถึงการกระทำอันเลวร้ายของภูชิตมาโดยตลอด แต่กลับไม่มีใครสักคนเลยที่คิดจะห้ามปรามเขา นั่นก็เพราะว่าบางทีลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก เราทุกคนต่างก็มีความต้องการที่จะมองดูสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต แม้มันจะเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างการฆ่าคนก็ตาม และยิ่งคนที่ต้องลงไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตัวของเราเอง เราในฐานะผู้ชมก็คงไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า ‘ศีลธรรม’ และ ‘ความรู้สึก’ ของผู้ที่เป็นคนเล่นเกมมากเท่าไรหรอก เพราะในมุมมองของผู้ชมสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เกมเกมหนึ่งอยู่ดี 

 

หากนึกภาพให้ง่ายขึ้น มันก็เหมือนกับเวลาที่เราดูรายการล่าท้าผีที่ในมุมมองความรู้สึกของคนที่ไปล่าท้าผีนั้นคือ ‘ความกลัว’ แต่สิ่งที่เราคนดูรู้สึกและสัมผัสได้จากพวกเขาก็คือ ‘ความสนุก’ นั่นก็เพราะว่าเราไม่รู้เราจึงอยากดู และพอเราไม่ต้องลงไปสัมผัสด้วยมือของตัวเองเราจึงสนุก ซึ่งบางทีผู้รับชมเกมในภาพยนตร์เรื่องนี้เองก็คงไม่ต่างอะไรกับเราที่เป็นคนดูในโลกแห่งความเป็นจริงสักเท่าไร

 

13 เกมสยอง

จนกระทั่งเกมได้ดำเนินมาถึงโจทย์ข้อสุดท้ายที่ชี้เป็นชี้ตายกับตัวของภูชิตว่าเขาจะยอมหันหลังให้กับศีลธรรมอย่างเต็มตัว หรือจะก้าวออกมาจากเส้นทางแห่งความมืดที่ตัวเขาเป็นคนเลือกเดิน แต่แล้วภาพยนตร์ก็ไม่ได้หยิบยื่นโอกาสที่แสนจะใจดีแบบนั้นให้กับเขา เมื่อทุกอย่างถูกเฉลยว่าเรื่องราวในอดีตทั้งหมดของภูชิตนั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมมาตั้งแต่แรก และคนที่เล่นเกมนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพ่อของเขา ที่ทั้งภาพความทรงจำการทำร้ายร่างกาย การฆ่าสุนัข หรือแม้กระทั่งภาพอุจจาระ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงขนานกันไปกับสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอด 

 

และในโจทย์ข้อที่ 13 อย่างการที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งจะต้องฆ่าคนที่พวกเขารัก ซึ่งเป็นโจทย์ที่วัด ‘ความเป็นมนุษย์’ มากที่สุด นอกจากนี้มันยังแสดงให้เห็นว่า ‘ด้านมืด’ ของมนุษย์นั้นน่ากลัวเพียงใด เมื่อผู้เป็นพ่อเลือกที่จะแทงลูกชายเพียงคนเดียวของตนอย่างไม่ลังเลเพื่อเงินรางวัล 100 ล้านบาท 

 

ในทางกลับกัน ลูกชายของเขาอย่างภูชิตกลับเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งเดียวกับที่พ่อของเขาทำ เพราะถึงแม้ตัวของเขาจะชโลมไปด้วยเลือดและบาปจากสิ่งที่เขาเป็นคนก่อมากเพียงใด เขาก็ยังตระหนักได้ในวินาทีสุดท้ายว่า ท่ามกลางเส้นทางที่มืดมิดมาโดยตลอดของเขา ชีวิตของเขานั้นยังคงมีแสงสว่างดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งคอยส่องนำทางให้กับตัวเขาอยู่เสมอ แม้ในวันที่เขาหลงทางมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับก็ตาม และแสงสว่างนั้นก็คือ ‘ความเป็นมนุษย์’

 

ความเป็นมนุษย์ของเขาก็ถูกนำเสนอออกมาตลอดทั้งเรื่องผ่านการกระทำต่างๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็น การที่เขาขอโทษเด็กนักเรียนคนหนึ่งก่อนที่จะแย่งลูกอม การเลือกที่จะไม่ฆ่าเด็กอาชีวะที่มีเรื่องกับเขาแม้เขาอยากจะทำมันแค่ไหนก็ตาม การเลือกที่จะฆ่าสุนัขมากกว่ารุ่นน้องของตน หรือแม้กระทั่งการพาแฟนใหม่ของแมวผู้เป็นอดีตคนรักไปส่งโรงพยาบาลหลังจากทุบตีเสร็จเพื่อไม่ให้เขาตาย 

 

13 เกมสยอง

แต่ ‘ปีศาจ’ ที่ 13 เกมสยอง ตั้งใจจะนำเสนอจริงๆ อาจไม่ใช่เกมที่มีชื่อว่า 13 Beloved เพราะปีศาจในความหมายที่แท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะหมายถึง ‘ด้านมืดในตัวของมนุษย์ทุกคน’ เพราะจากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ 13 Beloved ที่เป็นปีศาจเพียงตนเดียว ทั้งภูชิต คนรอบข้าง รวมไปถึงสังคมบางส่วนต่างก็เป็นปีศาจเช่นเดียวกัน แต่แค่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นเป็นปีศาจในรูปแบบที่เรามองไม่เห็น หรือเลือกที่จะไม่มองเท่านั้นเอง

 

13 เกมสยอง

 

ด้วยการแสดงของ น้อย ที่รับบทเป็น ภูชิต ได้ราวกับเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกเข้าถึงตัวละครนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น ต้องชมคนที่เลือกเขามารับบทนี้ เพราะแค่เห็นและแค่พูด ความเก็บกดอดกลั้นก่อนที่มันจะระเบิดออกมาก็แทบจะทำให้คนดูเชื่อไปกับการแสดงที่ดูจริงใจเสมือนถ่ายทอดอารมณ์ออกมาจากตัวตนของเขาจริงๆ 

 

และด้วยฝีมือการแสดงเหล่านั้นเอง ส่งผลให้เมื่อถึงฤดูกาลแจกรางวัล น้อยสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก 2 สถาบันสำคัญของประเทศคือ รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 16 และ ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 1 ไปครองได้สำเร็จ

 

13 เกมสยอง

 

จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ด้วยเนื้อหาที่สอดแทรกประเด็นทางสังคม และการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นมนุษย์อย่างหนักหน่วง ผ่านลูกล่อลูกชนที่ชวนให้น่าติดตาม พร้อมกับทีมนักแสดงมากความสามารถที่มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึกของตัวละครให้ออกมาอย่างสมจริง และลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง ส่วนประกอบเหล่านี้เองที่ทำให้ 13 เกมสยอง กลายเป็นมากกว่าภาพยนตร์ระทึกขวัญที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไป และนั่นคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนชื่นชอบ และมักจะแนะนำให้ผู้อื่นได้รับชมถึงความยอดเยี่ยมเหล่านั้นอยู่เสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายจวบจนถึงทุกวันนี้

 

สามารถรับชม 13 เกมสยอง ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

The post 13 เกมสยอง (2549) สำรวจธาตุแท้ของมนุษย์ผ่านเกมวัดศีลธรรมชีวิตที่สะท้อนว่า ‘ลึกลงไปในตัวเราทุกคนต่างก็มีปีศาจในแบบของตัวเอง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
20 เพลงไทยแห่งปี 2018 https://thestandard.co/20-thai-song-2018/ https://thestandard.co/20-thai-song-2018/#respond Fri, 21 Dec 2018 18:15:08 +0000 https://thestandard.co/?p=168810

เป็นอีกปีที่น่ายินดีกับเพลงไทย มีให้ฟังเยอะมากตั้งแต่ต้ […]

The post 20 เพลงไทยแห่งปี 2018 appeared first on THE STANDARD.

]]>

เป็นอีกปีที่น่ายินดีกับเพลงไทย มีให้ฟังเยอะมากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี เรียกได้ว่าถาโถมโรมรันกันเข้ามา ยังอินกับเพลงใหม่อยู่ก็มีเพลงใหม่กว่าออกมาอีก วงดนตรีก็พัฒนาขึ้น ศิลปินเดิมๆ ก็ยังทำเพลงออกมาเรื่อยๆ ศิลปินใหม่หลายรายก็เฉียบ มีทุกแนวเพลง การที่จะต้องเลือกเพียงแค่ 20 เพลงเป็นสิ่งที่ยากสุดๆ ลองฟังกันดูครับว่ามีกี่เพลงที่ตรงใจกันบ้าง

 

เพราะคุณ เราเขียน – PLOT

ซิงเกิลสุดท้ายก่อนที่ทางวงจะประกาศพักวงแล้วไปเรียนต่อต่างประเทศ การเขียนเพลงของวง PLOT มีเสน่ห์แบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะคุณ เราเขียน เล่าถึงเวลาที่ศิลปินร้าวรานใจสลายแล้วกลั่นเหตุการณ์ตรงนั้นออกมาเป็นเพลง เหตุผลเดียวที่ทำอย่างนั้นก็เพื่อคนฟัง กลองสับรัว เบสกับกีตาร์พัวพันกันอย่างดี มีท่อนที่สลับกันเล่นสอดประสาน ท่อนจบกีตาร์ใส่ความชดช้อย แล้วตัดเข้าโซโลร็อกกรีดกรายอย่างสุดมัน ฝีมือดีอย่างนี้ เรียนจบแล้วรีบกลับมาทำอัลบั้มเต็มเถิดนะ

 

 

 

ซ่อนกลิ่น – ปาล์มมี่

บทเพลงที่มากับมิวสิกวิดีโอแห่งปี ซ่อนอะไรเอาไว้มากมายตั้งแต่รูปดอกซ่อนกลิ่นไปจนถึงแฟนใหม่ของพระเอก ตัวเพลงก็ดีไม่แพ้กัน แจ๊ป The Richman Toy เป็นคนแต่ง เป็นเพลงที่ฟังแล้วชวนนึกถึงอดีตรักที่ไม่เคยหวนมา หลับตายังนึกถึง กลิ่นที่คุ้นยังระลึกได้ ความคลุ้งของอดีต เหมือนเพลง นาฬิกาเรือนเก่า ของปาล์มมี่ในชุดที่แล้ว เสียงเบสและจังหวะชวนนึกถึง Everytime You Go Away ของพอล ยัง เครื่องดนตรีที่ใช้หลายตัวโยนมาจากยุค 80s ย้อนไว้เหมือนตั้งใจ

 

 

 

Drive – วิโอเลต วอเทียร์

ฟังแล้วนึกถึงเพลง Chasing Cars ของ Snow Patrol เนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยความโหยหา พร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งเพื่อความรัก การเปรียบเทียบกับการขับรถคือความอึดอัดที่หาทางออกไม่ได้ เสียงของ วี วิโอเลต ยังคงจิก มีพลังทำลายล้างสูงมาก ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงร้องปลายประโยคด้วยเสียงหวานและเบา เป็นสำเนียงที่มีเสน่ห์อย่างรุนแรง คำว่า High ของเธอคือ High จริงๆ และมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ก็อย่างโหด ขอให้ดู

 

 

 

ลมที่ลา – YEW

กีตาร์เพลงนี้เหมือนลม มันคือบริตป๊อปที่สมบูรณ์แบบ ใส กังวาน และล่องลอย เหมือน Travis เหมือน Suede เหมือน Radiohead ยุคแรก เหมือน Starsailor มีความเหงาในแต่ละโน้ต แต่ชื่อเพลงก็บอกไว้ ลมแบบนี้เป็นลมที่ลา นำพาความเศร้าที่สมบูรณ์แบบมาด้วย เนื้อเพลงว่า “แต่เธอรู้ไหม มีใครบางคน ที่ยังคงทำกับชีวิตเหมือนลมที่พัด ตามกาลเวลา ยังเดินทาง เหมือนว่ายังมีเธอ” แล้วเราจะบอกลาความเศร้าได้อย่างไร

 

 

 

ถ้าฉันหายไป – เอิ๊ต ภัทรวี

เพลงของเอิ๊ตมีความขี้เหงา เง้างอน หงุงหงิง และตัดพ้อ มันมีสายตาของความเว้าวอนอยู่ เพลงนี้มีความเป็นผู้หญิงม้ากมาก (ลากเสียงให้สูง) ฟังแล้วนึกถึง Stoondio และเพลงช้าๆ ของลุลา เป็นป๊อปกีตาร์สับคอร์ดไปกับเสียงร้องที่ในบางท่อนปล่อยยาวๆ เหมือนว่าพร้อมที่จะหายไปในทุกเมื่อ และท่อนจบก็ตัดจบแบบหายไปจริงๆ

 

 

ขี้แพ้ – UrboyTJ

ขึ้นเพลงด้วยเปียโนกังวาน ตามด้วยเสียงกีตาร์เฉือน เนื้อเพลงบอกเล่าเรื่องของคนขี้แพ้ คนที่พ่ายแก่ความรัก ท่อนสร้อยติดหูง่าย ท่อนแรปมีความอ่อนแอปนกับความเกรี้ยวกราดที่โยนความผิดไว้ที่ตัวเอง ในขณะที่กีตาร์มีความดุกร่อนลึกเข้าไปถึงหัวใจ ปีที่แล้ว UrboyTJ ก็เขียนเพลงอย่าง รังเกียจกันไหม เพลงนี้เหมือนเป็นภาคต่อที่มีบทสรุปอันโหดร้ายต่อความรักที่มี

 

 

 

วัฏจักร – Stoic

เชลโลมาก่อนเลย สี่โน้ตที่ตรึงเอาอยู่ ทำให้บรรยากาศเพลงหม่นลงไปอีก กีตาร์สับคอร์ดอย่างช้าๆ กลองเนิบขึ้น เนื้อเพลงบอกถึงความเศร้าที่มี ฟังแล้วนึกถึง เดเมียน ไรซ์ ชัดๆ “เมื่อทางของชีวิตเป็นเส้นตรง อาจเป็นคู่ขนานในวันหนึ่ง” เพลงค่อยๆ พีกขึ้น กีตาร์ลอยๆ ขึ้นมาพร้อมกันกับเสียงร้องลาลาลา โหมโรงแล้วทิ้งไว้ให้พีก

 

 

 

เพียงฤดู – t_047

เพียงฤดู เป็นเพลงรักเพลงหนึ่ง เป็นความรักที่อาจจะยังไม่ค่อยแน่ใจ มีความกังวลอยู่ทั้งๆ ที่ตื่นมาก็นอนอยู่ข้างกัน เพลงโฟล์กป๊อปที่มีท่อนสร้อยที่เพราะมาก คอรัสก็ดี “โอ้ลมหนาว ฉันรู้ว่าคงต้องมา แล้ววันหนึ่งก็ลา เมื่อลมพัดพาจางหาย ไม่ต่างกับเธอ” เป็นเพลงที่เอาไว้เปิดรับลมหนาวของปีก่อนที่มันจะจางไป

 

 

 

18+ – ชนุดม (feat. ดา เอ็นโดรฟิน)

นานๆ จะมีคนเขียนเพลงแบบนี้ขึ้นมา เพลงอธิบายการร่วมรักโดยที่ไม่ต้องใช้คำตรงๆ เหมือนกับที่สมัยก่อนมีเพลง เพราะรัก ของดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ ชื่อเพลงนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าคือ 18+ นอกจากนี้ตัวเพลงยังสามารถจินตนาการเป็นชายกับชายหรือชายกับหญิงก็ได้ ตัวเพลงเป็นร็อกแถมกีตาร์ริฟฟ์แสบเสียว เสียงแรปของ ดา เอ็นโดรฟิน มาได้จังหวะ เธอเขียนท่อนนี้เองด้วย

 

 

 

ประเทศกูมี – Rap Against Dictatorship

คือขึ้นว่า “ประเทศเหี้ยนี้แม่งมีอะไร” แค่นี้ก็รู้แล้วว่าพวกเขากล้าขนาดไหนในยุคที่ประเทศเดินมา 4 ปีแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นมา ทุกคนรู้กันอยู่ ไม่มีใครโง่ มีแต่คนไม่กล้าพูด แล้วเด็กพวกนี้ก็โผล่ขึ้นมา พวกเขาอาจจะได้แรงบันดาลใจจาก Bomb at Track ที่ทำเพลงอย่างโจรในเครื่องแบบในปีที่แล้ว ตัวเพลงไม่หนักเท่า แต่เนื้อเพลงตรงประเด็นเป็นที่สุด ตอกหมุดไว้ว่าให้เป็นหลักฐานปฐมภูมิทางเสียงเพลงว่าประเทศเราเคยเสียเวลากับอะไรมาบ้าง จงกลับไปที่ประโยคแรก

 

 

 

ช่วงเวลา – Zweed n’ Roll

บางคนบอกว่า Zweed n’ Roll คือ Radiohead ในยุคก่อน OK Computer วงนี้ชอบทำเพลงหม่นๆ เนิบช้า และโหยหาความรัก ช่วงเวลา มีกีตาร์เคลิ้มๆ และเสียงร้องที่สะกดทุกโสตสัมผัสให้หยุดนิ่ง มีความโอดครวญ มีความเศร้าสร้อย และมันเป็นเพลงที่ทำให้จมอยู่กับตัวเองได้เป็นวันๆ ฤาความเศร้าจะอยู่กับเราชั่วนิรันดร์

 

 

 

ลำพัง – Penguin Villa

ลำปางไม่หนาวเท่าลำพัง ใครคนนั้นที่ไม่สำคัญเท่าไรได้กล่าวไว้ ความเหน็บหนาวดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ดูโหดร้ายต่อคนที่อยู่โดยลำพัง โดยเฉพาะเมื่อมีคนแต่งเพลงเกี่ยวกับสองสิ่งนี้ขึ้นมา แถมยังใส่โซโลกีตาร์กรีดเข้าไปอีก บาดลึกแทบขาดใจ นี่จะทำร้ายคนเหงาไปถึงไหนนะเจ เป็นเพลงที่หวนกลับไปเป็นวงพราวอีกครั้ง

 

 

 

O-O (Ooh) – TELEx TELEXs

การเขียนเพลงของ TELEx TELEXs ไม่เหมือนใคร พวกเขาหยิบยกความรักของวัยรุ่นมาเขียนแล้วใช้คำให้เหมือนวัยรุ่นคุยกัน มีคำปลอบโยน มีเรื่องราว มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ไว้ วางไว้บนซินธ์ป๊อปที่สวยงาม เพลงนี้ก็เช่นกัน มันคือเพลงเพื่อนรักเพื่อนชัดๆ แต่ที่เฉียบกว่านั้นคือการตั้งชื่อเพลง มันมาจากประโยคหนึ่งในเพลง “จดจำแววตาของเขาตอนจะเดินจากเธอไปได้ไหม ในตอนนั้น เธอก็รู้ว่ามันไม่มีเธอ” เพลงเพื่อนรักเพื่อนที่เอาไปเปิดต่อกับเพลงของ Polycat ได้เลย

 

 

 

อาวรณ์ – Polycat

ยังคงเป็นวงดนตรีที่เขียนเนื้อได้ดีสม่ำเสมอ ปีนี้ Polycat มีเพลงใหม่ 2 เพลง ดูดีทั้ง 2 เพลง แต่ขอเลือกเพลงนี้ตรงที่การเล่นคำ ประโยคที่ว่า “ฉันยังอาวรณ์อยู่” คล้องจองกับที่ว่า “Baby, I want you” น่าทึ่งมาก เนื้อเพลงโยนไปหาวันเกิดของคนเคยรัก มันคงเป็นวันที่เจ็บปวดที่สุดหากไม่ได้รักกันแล้ว แถม Polycat ยังขยี้ด้วยการใส่โน้ต Happy Birthday To You แทรกลงไปอีก แสบมาก

 

 

 

The Cabin – Plastic Plastic

งานของสองพี่น้อง ปกป้อง-ต้องตา ยังคงน่ารักเสมอ The Cabin เป็นป๊อปสดใสที่มีเสียงร้องวางสลับกับคีย์บอร์ดเหมือนวิธีการเดินเพลงในยุค 80s เนื้อเพลงคือการก้าวสู่โลกกว้างออกจากกระท่อมเล็กๆ เป็นเพลงสนุกสนานที่ฟังแล้วนึกถึงวง Saint Etienne มากกว่าใครเพื่อน แต่ความไพเราะแบบสุดๆ ของเพลงนี้อยู่ตรงเครื่องสายที่ปล่อยมาในตอนหลัง งดงาม โอ่อ่า และตราตรึง เปรียบเหมือนโลกกว้างอย่างแท้จริง

 

 

 

Clean – Clutch-Type Pencil

Clutch-Type Pencil เป็นวงเฉพาะกิจจากการรวมตัวของ บิว Lemon Soup และรัฐ Tattoo Colour เพลงจึงอยู่ตรงกลางระหว่างวงทั้งสอง เนื้อเพลงมีความเป็นรัฐ การเรียบเรียงเพลงมีความเป็นบิว เป็น Lemon Soup แต่ได้เสียงรัฐ และเป็นเนื้อเพลงแบบ Tattoo Colour แต่ให้ความรู้สึกแบบ Lemon Soup (งงไหม) Clean เป็นเพลงที่ยังไม่เคยมีใครเขียนในมุมนี้ สิ่งของสิ่งหนึ่งที่บังเอิญถูกค้นเจอโดยคนปัจจุบันแล้วเกิดมีคำถามถึงคนในอดีต เนื้อเพลงเลยตัดพ้อเล็กๆ ว่าจะต้อง Clean กันแค่ไหนนะ ถึงจะเชื่อใจกันจริงๆ และมีความเป็นพ่อบ้านใจกล้าโยนทิ้งไปเลยอยู่ (ฮา)

 

 

 

แด่ศาลที่เคารพ – น้อย พรู

มีคนบอกว่าชีวิตนี้ขอให้ดูคอนเสิร์ตของ น้อย วงพรู สักครั้งหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีพลังเท่าไรก็ใส่หมดในทุกครั้ง แถมยังส่งพลังกลับไปที่คนดู ฮึกเหิมและกรรโชกแรง เพลงนี้ก็เช่นกัน มันเปี่ยมไปด้วยพลัง แม้ว่ามันจะพูดถึงการพิพากษ์ของโซเชียลในสมัยนี้ที่หากผิดครั้งหนึ่งก็เหมือนทุกอย่างถล่มทลายไปต่อหน้า แต่ก็ควรจะต้องลุกขึ้นและกลับมาใหม่ให้ได้ เป็นเพลงที่ชวนนึกถึงสมัยที่ เบอร์นาร์ด บัตเลอร์ ทำเพลงอย่าง Not Alone ทุกสิ่งทุกอย่างจงระเบิดมันออกมา

 

 

 

ทนต์ – เดอะชราภาพ

เดอะชราภาพเป็นวงเฉพาะกิจที่ทำเพลงเฉพาะแบบ เพลงของพวกเขาเป็นตัวแทนของคนชรามาตลอด เนื้อเพลงของวงนี้มีความกวนตีน ประชดประชัน หยิบยกประเด็นที่สำคัญของคนแก่มาพูดถึง หากเปิดให้คนแก่ฟังจริงๆ จะไม่มีใครอยากฟัง มันมีโลกแห่งความเป็นจริงอยู่มากเกินไป แถมหดหู่ด้วย ทนต์ เป็นซิงเกิลที่ 6 แล้ว ความชรา เอ้ย! ความเก๋าของเพลงนี้คือการนำ ตู้ ดิเรก ศิลปินระดับรุ่นใหญ่ไฟกะพริบแห่งยุค 80s มาร้องท่อนสร้อย ไม่ธรรมดา แรปซะไฟแลบ

 

 

 

ถ้าหาก – Yented

ถ้าหาก เป็นเพลงเย็นๆ เป็นนีโอโซล มีกีตาร์พลิ้วๆ คีย์บอร์ดสวยๆ เป็นฉากหลัง และจังหวะมีความโจ๊ะโยก จะว่าเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ก็ได้ เหมือนที่ได้รู้จัก Honne และทอม มิชช์ เพลงมีความแน่ใจในความไม่แน่ใจอยู่เยอะ ความรักที่รู้ตอนจบอยู่แล้ว แต่เหมือนว่าจะดันทุรังทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฟังแล้วนึกถึงวง Mild ในยุคแรก เป็นวงที่อนาคตไปได้อีกไกลนะ

 

ลาลาลอย (100%) – The TOYS

ลาลาลอย (100%) มีเนื้อเพลงที่ไม่เหมือนใคร คือฟังแล้วไม่เข้าใจว่าคุยเรื่องอะไร หรือแม้แต่อย่าได้สงสัยว่าทำไมต้อง 100% และนั่นคือเสน่ห์ของเพลง มันใหม่ มันใส และมันแหวกว่ายไปในอวกาศ เครื่องดนตรีมีความลึก มีเสียงฟิ้วฟ้าวเหมือนลอยอยู่จริงๆ และมีท่อนร้องรัวของทอยที่เป็นเอกลักษณ์ สมแล้วกับการเป็นศิลปินแห่งปี

 

 

 

Apple Music: MixTapes 20 Thai Songs of 2018

 

Spotify: MixTapes 20 Thai Songs of 2018

 

  1. เพราะคุณ เราเขียน – PLOT
  2. ซ่อนกลิ่น – ปาล์มมี่
  3. Drive – วี วิโอเลต
  4. ลมที่ลา – YEW
  5. ถ้าฉันหายไป – เอิ๊ต ภัทรวี
  6. ขี้แพ้ – UrboyTJ
  7. วัฏจักร – Stoic
  8. เพียงฤดู – t_047
  9. 18+ /– ชนุดม
  10. ประเทศกูมี – Rap Against Dictatorship
  11. ช่วงเวลา – Zweed n’ Roll
  12. ลำพัง – Penguin Villa
  13. O-O (Ooh) – TELEx TELEXs
  14. อาวรณ์ – Polycat
  15. The Cabin – Plastic Plastic
  16. Clean – Clutch-Type Pencil
  17. แด่ศาลที่เคารพ – น้อย พรู
  18. ทนต์ – เดอะชราภาพ
  19. ถ้าหาก – Yented
  20. ลาลาลอย (100%) – The TOYS

 

เลเล่เล้ 16/12/18

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post 20 เพลงไทยแห่งปี 2018 appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/20-thai-song-2018/feed/ 0
Noi Pru ‘ดาวเคราะห์น้อย’ ที่ใช้เวลา 12 ปีเพื่อเดินทางเข้าใกล้แฟนเพลง https://thestandard.co/noi-pru/ https://thestandard.co/noi-pru/#respond Sat, 18 Aug 2018 13:22:35 +0000 https://thestandard.co/?p=114439

จะว่าไป การได้พูดคุยกับ ‘น้อย วงพรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป […]

The post Noi Pru ‘ดาวเคราะห์น้อย’ ที่ใช้เวลา 12 ปีเพื่อเดินทางเข้าใกล้แฟนเพลง appeared first on THE STANDARD.

]]>

จะว่าไป การได้พูดคุยกับ ‘น้อย วงพรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เกี่ยวกับผลงานอัลบั้มเดี่ยวซึ่งใช้เวลาทำยาวนานกว่า 12 ปีนั้นแอบได้อารมณ์คล้ายๆ การหมุนวนกลับมาเจอกันอีกครั้งของ ‘ดวงดาว’ ที่กำลังโคจรเข้าใกล้โลกหลังออกเดินทางไกลไปหลายร้อยปีแสง ซึ่งย่อมต้องมีเรื่องราวหลากหลายให้ได้ถามไถ่อัปเดต

 

แม้เนื้อหนังริ้วรอยบนใบหน้าของน้อย วงพรู ในระยะใกล้จะมีมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นชายวัย 47 ปีที่ดูดีไม่ต่างจากภาพจำบนเวทีในฐานะนักร้องนำวงพรูเมื่อกว่า 12 ปีก่อน

 

ความน่าสนใจคือหลังจากน้อย วงพรู กลับมาพร้อมกับเปิดตัวด้วยซิงเกิลแรก แด่ศาลที่เคารพ ผู้ชายที่มักจะบอกเสมอว่า ‘ตนเองเกิดผิดยุค’ เพราะแทบไม่อินกับเทคโนโลยี (น้อยเป็นนักสะสมของเก่า เขาเพิ่งจะมีสมาร์ทโฟนใช้เป็นเครื่องแรกเมื่อ 2 ปีก่อน และเพิ่งจะสร้างแฟนเพจของตัวเองบนเฟซบุ๊กได้ไม่กี่เดือน) จะดีลกับหลากเรื่องหลายราวในวงการเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปนี้อย่างไร

 

THE STANDARD ไม่รอช้า เรากำลังจะก้าวขาสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อสำรวจตัวตนและความคิดความอ่านอีกครั้ง ก่อนที่ ‘ดาวเคราะห์น้อย’ ดวงนี้จะปล่อยอีก 2-3 ซิงเกิล พร้อมอัลบั้มเต็มอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า

 

 

หลังจากใช้เวลาทำอัลบั้มเดียวมานานกว่า 12 ปี ล่าสุดคุณปล่อยซิงเกิลแรก แด่ศาลที่เคารพ ออกมาแล้ว เรื่องน่าสนใจคือการเดินทางที่ใช้ระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี หรือเท่ากับ 1 รอบชีวิตคน ชีวิตและความคิดของคุณเหมือนหรือแตกต่างกับวันแรกที่เริ่มต้นงานอัลบั้มนี้อย่างไรบ้าง

ใช่ๆ อัลบั้มชุดนี้ผ่านมาแล้ว 12 ปี (ยิ้ม) ช่วงเวลานั้นเราก็เป็นคุณพ่อนะ อย่างเรื่องความรักหรือมุมมองบางอย่างกับตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย เราเรียนรู้มากขึ้น บางทีเราก็รู้สึกว่าฉลาดขึ้น ยอมรับหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ยังรู้สึกเป็นเด็ก ยังพลาดได้ หรือบางทีเจออะไรมากระทบมันก็ยังเจ็บเหมือนเดิม

 

ถ้าพูดเรื่องของงานเพลง ความหวังที่อยากให้เพลงเกิด อยากให้เพลงคอนเน็กต์กับคนฟัง มันก็ยังไม่ต่างจากยุคที่ปล่อยอัลบั้มแรก แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีความคอนฟลิกต์ เพราะน้อยรู้สึกว่าการเป็นศิลปินเดี่ยว เราก็ต้องมองตัวเองเป็นคนใหม่ เราต้องพยายาม ต้องเล่นเยอะๆ เพื่อสร้างคอนเน็กชันกับคนดู พยายามให้เหมือนกับว่าเขาไม่เคยรู้จักเราด้วยซ้ำ แล้วความจริงคนฟังเพลงเจเนอเรชันใหม่เขาก็ไม่รู้จักน้อยนะ เพราะฉะนั้นความพยายามมันก็เลยเท่ากับสมัยก่อน เพียงแต่นักดนตรีบางคนอาจจะมองเราว่าเป็นศิลปินรุ่นพี่ เป็นศิลปินเก่าแก่ เขารู้ว่าเรามีประสบการณ์มาในระดับหนึ่งแล้ว มันก็เลยเป็นคอนฟลิกต์กับเรานิดหน่อย

 

อีกอย่างคือหลังจากปล่อยงานเพลงออกไป ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าคุณกลับมาอยู่ในสปอตไลต์พร้อมสถานะศิลปินเพลงแบบเต็มตัวแล้ว ซึ่งบรรยากาศในวันนี้ก็แตกต่างกันยุคสมัยก่อนพอสมควร ทั้งรูปแบบการโปรโมตหรือรูปแบบการเสพงานดนตรีก็แตกต่างไปมาก คุณได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากความเปลี่ยนแปลงไปของมันบ้าง

สมัยก่อนเวลาจะรอฟังผลงานตัวเองเมื่อออกไปสู่สาธารณะ เราจะรอฟังทางคลื่นวิทยุ ดูรายการ Channel V Thailand หรือ MTV ว่าวีกนี้เพลงไปถึงอันดับที่เท่าไรแล้ว มันจะขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งหรือยัง (หัวเราะ) แต่ตอนนี้น่าจะต้องรอดูจากยูทูบว่าจะมีคนมากดกี่ไลก์ ถ้าเกิดไม่ถึงล้านไลก์มันก็เห็นชัด… เพราะฉะนั้นการรับรู้ว่าอะไรไปต่อได้หรือไปต่อไม่ได้มันก็อาจจะต่างกัน น้อยก็รู้อยู่แล้วว่าเราต้องอย่าไปคิดเรื่องตรงนั้น แต่เราเป็นมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติที่ศิลปินทุกคนก็อยากจะรู้ว่าผลงานเพลงไปถึงไหนแล้ว (หัวเราะ)

 

น้อยเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่มีความฝัน แต่บางทีมันก็ต้องใช้เวลา ต้องขยัน ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ความฝันนั้นมันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันไม่ได้เกี่ยวกับโชคชะตาอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับคุณด้วยว่าจะพยายามมากแค่ไหน อย่างอัลบั้มชุดนี้ ถ้าน้อยต้องทำอะไรเพื่อให้เพลงสามารถจะคอนเน็กต์กับคนฟังได้ น้อยก็ยินดี

 

 

อย่างซิงเกิลแรก ‘แด่ศาลที่เคารพ’ ที่เพิ่งปล่อยออกไป คุณต้องการจะสื่อสาร ต้องการจะคอนเน็กต์อะไรกับแฟนเพลง

แด่ศาลที่เคารพ เป็นเพลงเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งน้อยว่าพวกเราทุกคนต่างก็อยากจะมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ เวลาพูดว่า ‘เริ่มต้นใหม่’ ความจริงมันยากกว่าที่คิดนะ แล้วถ้าเกิดเรามองในมุมมองของคนที่เคยอยู่ในคุกมาก่อน การที่เขาจะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่นี่ โอ้โห ยากกว่าเราร้อยเท่าครับ

 

เนื้อหาในมิวสิกวิดีโอเราก็เลยเข้าไปถ่ายทำกันในคุกจริงๆ (ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี คาดว่าจะได้ดูมิวสิกวิดีโอกันภายในเดือนสิงหาคมนี้) น้อยได้คุยกับคนที่เคยผ่านชีวิตในนั้นมาจริงๆ ซึ่งเท่าที่ได้คุยกับน้องๆ ที่เขาออกมาจากคุก หลายคนก็หางานไม่ได้ เพราะมันก็ต้องอยู่ในประวัติเวลาเขาจะไปสมัครงาน จะหลอกก็ไม่ดี จะพูดความจริงก็ไม่ได้งาน จะหาแฟนก็ยาก หลายคนก็เลยต้องกลับไปที่คุก เพราะคนไม่ยอมรับเขา ไม่ให้โอกาสเขา

 

ผมพยายามร้องในมุมมองของน้องๆ เหล่านี้ที่บางคนชีวิตเขาลำบากจริงๆ อาจจะมีบางคนนะครับที่เขากลับมาได้ ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่บางคนก็ทำไม่ได้ ทุกคนล้วนแต่ต้องการโอกาส จะจนหรือรวย ทุกคนก็เคยผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นการให้อภัย การที่คนจะยอมรับในตัวเราอีกครั้งมันยากมากๆ เนื้อหาเพลงมันเลยขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วที่จะให้โอกาสพวกเขาไหม

 

(คิด) แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนควรจะมีโอกาสอีกครั้งนะครับ คุณต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าฉันเปลี่ยนไปแล้วนะ ก่อนคนอื่นจะยอมรับคุณ ก่อนที่น้อยจะคิดถึงจุดนี้ น้อยรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถสร้างอินสไปเรชันให้กับคนได้หรอก เพราะน้อยเกิดมาโชคดี อินสไปเรชันที่สุดยอดมันควรจะเริ่มจากคนที่เคยผิดพลาดจริงๆ แล้วสุดท้ายเขาได้เจอกับแสงสว่าง เหมือนอย่างคนที่เคยติดคุกแล้วสุดท้ายเขาพาชีวิตตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง นั่นก็เลยเป็นวิญญาณของเพลง แด่ศาลที่เคารพ It’s a good message. น้อยว่านะ

 

 

ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกไว้ว่าธีมในอัลบั้มชุดนี้มีหลายเพลงที่เกี่ยวกับการ redemption หมายถึงการให้โอกาส หรือการขอโอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ตรงกับคอนเซปต์เพลงแรกเหมือนกัน ทำไมคุณจึงสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ    

บางทีน้อยจะรู้สึกอ่อนแอ รู้สึกมีปมด้อย เพราะน้อยไม่ live in the real world น้อยรู้สึกว่าน้อยเกิดมามีโอกาส น้อยได้พบกับความรัก ได้เดินทาง ได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำ เป็นคนที่โชคดีมาก ซึ่งนั่นมันดูเหมือนว่าน้อยไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง ไม่เหมือนอย่างคนที่เขาต้องต่อสู้ คนที่ชีวิตเขาต้องลำบากทุกวัน ซึ่งน้อยว่าชีวิตแบบนั้นมันเป็นชีวิตที่อินสไปร์คนได้จริงๆ

 

น้อยหวังว่าน้อยจะสามารถสร้างเพลงที่อินสไปร์ให้คนลุกขึ้น make you feel good ได้จริงๆ ช่วยคนได้จริงๆ หลายอย่างในอัลบั้มชุดนี้มันเลยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เช่น การพูดถึงคนที่เคยทำผิดพลาด คนที่เคยลำบากแล้วกลับมาชนะ ได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้ง ความตั้งใจก็คือถึงแม้ในชีวิตจริงตัวน้อยจะให้อินสไปเรชันไม่ได้ แต่อย่างน้อยคนที่น้อยเล่าในเนื้อหาเพลงเขาสามารถจะทำได้  

 

 

ล่าสุดเห็นน้อย วงพรู เพิ่งมีโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเอง นี่ก็น่าจะเป็นการปรับตัวสู่โลกบันเทิงสมัยใหม่ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนด้วยเหมือนกัน

ใช่ๆ วงการเพลงมันก็เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้มีทั้งคนที่รู้จักเราและคนที่ไม่รู้จักเรา อย่างการเรียนรู้เรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์ก I was so stupid. คือน้อยลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้น้อยเคยมีไอพอดนาโนก่อนหน้าที่น้อยจะมีสมาร์ทโฟน แล้วเพลงน้อยก็อยู่ในไอพอดเสมอ ล่าสุดมันเริ่มพัง น้อยก็เลยจะไปซื้ออันใหม่ พอไปถึงที่ร้าน เขาก็บอกว่าเราไม่ขายไอพอดแล้วพี่น้อย

 

น้อยก็เลยถามว่าแล้วผมจะโหลดเพลงยังไง น้องเขาบอกว่าก็โหลดใส่ในโทรศัพท์มือถือของพี่ไง ในนั้นมันจะมีแอปพลิเคชันไว้ใช้ฟังเพลง (หัวเราะ) แล้วพี่ฟังแค่จากในนั้นก็พอ อ๋อ จริงเหรอ ทำไมน้อยไม่เคยคิดถึงวิธีนี้เลย This is a true story. (หัวเราะ) ของพวกนี้แหละที่น้อยลืมคิด

 

แล้ววันนี้พอต้องกลับมาสู่ขั้นตอนโปรโมตงานเพลง สองอย่างที่น้อยได้เรียนรู้คือคนฟังเพลงจากสตรีมมิงแล้วนะ JOOX คืออะไร และถ้ามันคือแพลตฟอร์มฮิตที่สุดในเมืองไทยตอนนี้ เราก็อาจจะต้องเข้าไปคุย marketing package กับ JOOX หน่อยว่าเขาจะมีแบนเนอร์ให้คนฟังเพลงเราได้หรือเปล่า (หัวเราะ) หรืออย่างการปล่อยเพลงลงไปในยูทูบ เรื่องพวกนี้เราก็ต้องทำการบ้านหน่อย

 

พอเรียนรู้แล้วสนุกกับมันไหม

ความจริงมันก็เป็นสิ่งที่ไม่สนุกสำหรับศิลปินเลยนะ แต่เราก็อยากให้อัลบั้มมันเวิร์ก อุตส่าห์ใช้เวลาทำเพลงมาตั้งสิบกว่าปี เราก็จำเป็นต้องเรียนรู้ในจุดนี้หน่อย

 

หรืออย่างเรื่องมี ‘แฟนเพจ’ ความจริงน้อยทราบมาตั้งนานแล้ว แต่น้อยนึกไม่ถึงว่าจะต้องทำจริงๆ (ยิ้ม) ก็ภูมิใจนะ อย่างเมื่อก่อนน้อยไม่เคยมีสมาร์ทโฟน เพิ่งจะมีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คนก็จะบอกว่าพี่เท่จะตายที่ไม่มีสมาร์ทโฟน พี่ซื้อมาใช้ทำไม

 

วันนี้พอมีแฟนเพจ พี่มีแฟนเพจด้วยเหรอ โธ่ พี่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เท่เหมือนแต่ก่อน (หัวเราะ) แต่น้อยจำเป็นต้องมีไง เพราะถ้ายูจะมีอัลบั้ม มันก็ต้องมีเงินทำมิวสิกวิดีโอ ยูก็ต้องไปหาสปอนเซอร์ ซึ่งเขาก็บอกว่าถ้าคุณไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีอินสตาแกรม เราก็ไม่เป็นสปอนเซอร์ให้คุณนะ มันเลยทำให้เราต้องมีเพื่อให้เพลงเกิด เพื่อให้อัลบั้มมีขาเดินหน้าต่อไปได้ ในเวลาเดียวกัน พอเราทำในสิ่งนี้ ชีวิตส่วนตัวมันก็อาจหายไปบ้าง

 

พูดง่ายๆ น้อยไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ แต่น้อยทำเพื่อเพลงและทำเพื่อแฟนเพลง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเพลง ไม่ใช่ศิลปิน น้อยมักจะพูดเสมอว่าอีกสักประมาณ 30 ปีน้อยก็คงตายแล้ว แต่ถ้าเราทำผลงานได้ดี ผลงานมันจะอยู่ได้นานกว่าเรา ทุกเพลงมันก็เหมือนลูกของเรา น้อยก็เลยอยากจะดูแลและทำเพื่อเขาให้มากที่สุด  

 

 

ถึงจุดนี้แล้วคิดว่าคุ้มค่าไหมกับการเดินทางตลอด 12 ปีที่ผ่านมา

มันก็เหมือนที่เขาพูดกันว่า Enjoy the journey, not just the destination. มีความสุขกับการเดินทางมันสำคัญมากกว่าเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้น้อยก็แฮปปี้นะ น้อยก็ทำได้ดีที่สุดแล้วกับ 12 เพลงนี้ที่ส่วนมากต้องทำเองจริงๆ ก็ต้องขอบคุณคนที่มาช่วยน้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็น โหน่ง (วิชญ์ วัฒนศัพท์) วง The Photo Sticker Machine ที่เป็นโค-โปรดิวเซอร์ให้กับน้อย รวมไปถึงนักดนตรีอีกหลายคน ซึ่งน้อยก็ภูมิใจกับลูกน้อยทุกเพลง ส่วนคนจะรักเขาหรือไม่รักก็ขอให้ลองฟังดูก่อน But I did my best. (ยิ้ม)

 

แล้วลูกแท้ๆ สองคนของคุณล่ะ เขามีฟีดแบ็กอย่างไรกับงานของพ่อบ้าง เคยฟังเพลงที่พ่อร้องไหม คุณเคยพาลูกไปดูโชว์ของคุณบ้างหรือเปล่า

ครั้งแรกที่เขาเห็นน้อยขึ้นเวที เวลาเราร้องเพลงเศร้าๆ อย่าง ทุกสิ่ง ซึ่งมันจะมีช่วงที่น้อยอาจจะอิมโพรไวส์ “น่าาาา น๊าาาาา” (ร้องให้ฟัง) พอเห็นเราร้องแบบนั้นเขาก็ร้องไห้ เพราะตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจ นึกว่าพ่อกำลังเจ็บปวด แต่ตอนนี้เขาก็เข้าใจว่าพ่อเป็นนักร้อง เป็นนักแสดง แต่หนังน้อยส่วนมากที่แรงๆ เขาก็จะดูไม่ได้ (หัวเราะ) หรืออย่างเวลาออกไปข้างนอกแล้วมีคนมาถ่ายภาพด้วย น้อยก็จะบอกเขาว่า “Daddy is a little bit famous, only people.”

 

ความจริงมันไม่ใช่แค่ลูกนะฮะ แต่รวมถึงภรรยาของเราด้วย จริงๆ ภรรยาเขาเข้าใจน้อยอยู่แล้ว ล่าสุดน้อยเพิ่งได้ดูบทสัมภาษณ์นักแสดงที่เขาพูดถึงหนังต่างประเทศ เนื้อหาเกี่ยวกับคู่สามี-ภรรยาที่เวลาไปออกงานที่ไหนสามีก็มักจะได้ซีนไปหมด เพราะเขาแต่งงานกับคนดัง ในหนังมันจะมีไดอะล็อกที่เขาพูดว่า “I feel invisible when I’m with you sometimes.” ซึ่งบางทีน้อยก็ต้องเป็นห่วง อย่าลืมภรรยาเราด้วยเวลาไปไหน แต่ส่วนมากเขาเข้าใจอยู่แล้ว ก็ถ่ายภาพไปเถอะ แต่น้อยว่าก็ต้องนิดหน่อย เพราะเราไม่อยากให้ครอบครัวรู้สึก invisible อย่างลูกสาวน้อยเขาไม่อยากถ่ายภาพ (หัวเราะ) เพราะเขาเป็นคนที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก เขาค่อนข้างแข็งแกร่งเหมือนคุณแม่

 

 

สรุปว่าภรรยาเข้าใจเราใช่ไหม

ภรรยาเขาเข้าใจน้อยฮะ เพราะเขาอยู่กับน้อยมาตั้งแต่ก่อนออกอัลบั้มชุดแรกด้วยซ้ำ เขาก็เห็นการเติบโตของเราในวงการนี้ เขารู้ว่าปมด้อยเราคืออะไร ความอ่อนแอของเราคือตรงไหน เขาก็จะคอยเป็น support system ให้กับเรา เขาคงเห็นจนชินแล้วมั้ง เวลาเราเล่นคอนเสิร์ตไม่ดีแล้วก็กลับมาเศร้า เสร็จแล้วเขาก็จะคอยปลอบว่าอย่าไปคิดมาก (หัวเราะ) จริงๆ น้อยก็เริ่มเบื่อตัวเองเหมือนกันนะกับการที่ยังชอบคิดมากอยู่

 

เหมือนอย่างที่คุณเคยบอกภรรยาไว้ว่า “ต้องเตรียมตัวนะ เพราะถ้าอัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จ คุณคงจะเศร้าไปอีกสัก 2-3 เดือน”

ใช่ๆ (หัวเราะ) น้อยบอกว่ายูต้องเตรียมตัว ภรรยาน้อยเขาเป็นคนโพสิทีฟนะ เขาก็จะบอกว่า “No, it will work you try so hard.” เขาก็ลุ้นไปกับเราอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะไม่เวิร์ก แต่น้อยก็ยังมีงานทำ น้อยยังมีโรงแรมต้องบริหาร น้อยยังมีครอบครัว

 

(คิด) ถึงแม้ว่าช่วงเวลาทำงานของน้อยอาจจะไม่เหมือนคนอื่น บางทีก่อนออกจากบ้าน ถ้าเป็นช่วงกลางคืนที่ต้องไปเล่นโชว์ น้อยก็บอกกับลูก “พ่อจะไปทำงานแล้วนะ” บางทีน้อยก็แต่งหน้าตัวเองก่อนขึ้นไปโชว์ ตอนอยู่หน้ากระจกบางทีน้อยก็ไม่อยากให้ลูกชายเข้าใจผิด (หัวเราะ) น้อยว่าศิลปินทุกคนไม่ว่าจะน้อยหรือแบรด พิตต์ ที่ก่อนจะออกจากบ้านไปขึ้นโชว์มันก็ต้องซับหน้ากันหน่อย (หัวเราะ)

 

บางทีซับหน้าไป น้อยก็หันไปถามเขาว่า Do I look good? หรือแต่งหน้าแบบนี้มันเยอะไปหรือเปล่า เขาก็จะบอกกลับมาว่า It’s okay, that’s cool. แล้วก่อนออกจากบ้านเราก็จะบอกเขา Good night ส่วนเราก็เตรียมตัวออกไปร็อก (หัวเราะ) น้อยว่าตัวเองโชคดีนะที่มีงานแบบนี้

 

 

ตอนนี้ลูกชายโตพอสมควรแล้ว เขาน่าจะได้เห็นคุณโชว์แบบร็อกๆ สักครั้งนะ

ก็ควรไปสักครั้ง แต่บางทีก็ไม่อยาก เพราะน้อยจะตื่นเต้น จริงๆ น้อยไม่ชอบให้ครอบครัว พี่น้อง หรือคุณแม่มาดู แฟนก็ไม่ชอบให้มาดู เพราะกลัวว่าเขาจะตำหนิทีหลัง (หัวเราะ) ชอบคิดว่าถ้าเขามาดูแล้วเราจะต้องทำให้ดี มันยิ่งสร้างความกดดันให้กับตัวเอง

 

เขาเคยตำหนินะ แล้วน้อยก็เจ็บมากเลย จำได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตหนึ่งที่น้อยซึ้งมาก แล้วพอโชว์เสร็จเขาก็พูดประมาณว่า I don’t like it when you cry. It’s too much. น้อยก็แบบ What!

 

ภรรยาเขาก็บอกกลับมาว่ายูชอบร้องไห้ แค่ครึ่งเพลงยูร้องไห้แล้ว ซึ่งน้อยก็เข้าใจนะ สำหรับบางคนเราอาจจะดูเยอะ เพราะทุกอย่างมันต้องกำลังดี แต่ตอนนั้น I very failed. It’s too much. ถ้างั้นยูไม่ต้องมาดูแล้ว เพราะได้ยินแล้วมันเจ็บ (หัวเราะ)  

 

ขอจบแบบนี้แล้วกัน หลังจากผ่านงานทำอัลบั้มเดียวของตัวเองมา 12 ปี คุณคิดว่าการทำเพลงกับการทำโรงแรม อย่างไหนง่ายหรือยากกว่ากัน  

การเป็นศิลปินมันยากตรงที่เราก็เป็นมนุษย์ เป็นโปรดักต์หนึ่งที่คนจะตัดสินเรา ตรงจุดนั้นมันยากเหมือนกันสำหรับการเป็นศิลปินที่เซนสิทีฟ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วทุกอย่างมันง่าย หน้าที่เรามันง่ายมาก เราแค่ซ้อมดนตรีในห้องซ้อม มีงานในผับ หรือเวลาเล่นคอนเสิร์ตก็มีคนรับเราไปขึ้นรถ พอโชว์เสร็จก็มีคนมาให้เงินเรากลับบ้าน

 

แต่การทำโรงแรมทุนมันมหาศาล เหมือนอย่างที่น้อยเคยบอกว่าพอสร้างโรงแรมเสร็จมันจะอยู่ไปตลอดกาล มันเป็น structure ที่อยู่ตลอดชีวิต แล้วเราก็สร้างเพื่อครอบครัวด้วย มันมีความรับผิดชอบอย่างสูง ต้องบริหาร ต้องแก้ปัญหา ต้องดูแลพนักงาน ต้องดีลกับความรู้สึกคนเยอะมาก ซึ่งตรงนั้นน้อยไม่ค่อยชินสักเท่าไร การทำธุรกิจโรงแรมสำหรับน้อยมันเลยจะยากกว่าหน่อย

 

แต่สิ่งที่ใกล้เคียงกันและเป็นแพสชันที่น้อยอยากทำให้มันเกิดขึ้นคือการสร้างอารมณ์ความรู้สึก เช่น เวลาเราเดินเข้าไปในโรงแรมที่ดีหรือร้านอาหารที่ดี เราจะรู้สึกชอบ รู้สึกดี รู้สึกว่าโรงแรมนี้มันมีจิตวิญญาณอะไรบางอย่าง น้อยคิดว่าสิ่งเหล่านี้น้อยทำมันได้ดี นั่นคือเราสร้างวิญญาณให้กับสถานที่นั้นได้

 

เช่นเดียวกับการสร้างวิญญาณในบทเพลง การสร้างอารมณ์ในคอนเสิร์ต มันก็เป็นการสร้างที่ยาก เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แล้วมันไม่ได้ไม่หมายความว่าจะเวิร์กทุกครั้งด้วยนะ แต่ถ้าคุณตั้งใจและทำมันออกมาได้ดี ผลงานชิ้นนั้นก็จะ timeless จะอยู่ได้นาน จะไม่ล้าสมัย เหมือนอย่างที่น้อยพูดเสมอว่าผลงานที่ดีมันจะอยู่ได้นานกว่าชีวิตเราเสมอ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post Noi Pru ‘ดาวเคราะห์น้อย’ ที่ใช้เวลา 12 ปีเพื่อเดินทางเข้าใกล้แฟนเพลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/noi-pru/feed/ 0
‘แด่ศาลที่เคารพ’ เปิดตัวซิงเกิล พร้อม MV เพลงแรกของ ‘น้อย วงพรู’ สิงหาคมนี้ https://thestandard.co/noi-pru-release-new-single-and-mv-this-august/ https://thestandard.co/noi-pru-release-new-single-and-mv-this-august/#respond Fri, 03 Aug 2018 01:38:26 +0000 https://thestandard.co/?p=111409

น้อย วงพรู (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) เพิ่งเปิดบ้านชวนแฟนๆ ม […]

The post ‘แด่ศาลที่เคารพ’ เปิดตัวซิงเกิล พร้อม MV เพลงแรกของ ‘น้อย วงพรู’ สิงหาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

น้อย วงพรู (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) เพิ่งเปิดบ้านชวนแฟนๆ มาร่วมนั่งฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกไปเมื่อไม่นานมานี้ อัปเดตล่าสุดสิงหาคมนี้ได้เวลาแล้วที่แฟนเพลงทั้งใหม่และเก่าจะได้ฟัง ‘ซิงเกิลแรก’ ชื่อ ‘แด่ศาลที่เคารพ’ พร้อมรับชมมิวสิกวิดีโอไปพร้อมกันทั่วประเทศ

 

นักร้องนำอดีตสมาชิกคนสำคัญของวงพรู มีแผนจะขึ้นเวทีเพื่อโชว์เพลงใหม่แบบสดๆ เป็นครั้งแรกในคอนเสิร์ต BOYdKO50th #2 Simplified The Concert วันเสาร์ที่ 4 และวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคมนี้ แล้วหลังจากนั้นจึงจะปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง ‘แด่ศาลที่เคารพ’ ลงสู่โซเชียลมีเดียภายในต้นเดือนสิงหาคม และนั่นเท่ากับว่าเป็นการเริ่มต้น ‘อัลบั้มใหม่’ อย่างเป็นทางการ หลังจากน้อยใช้เวลาทำงานเพลงอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองมานานกว่า 12 ปี นับตั้งแต่สมาชิก ‘วงพรู’ ตัดสินใจยุติการทำวงไปในราวปี 2550

 

ทุกคนล้วนแต่ต้องการโอกาสนะครับ จะจนหรือรวย ทุกคนก็เคยผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นการให้อภัย การที่คนจะยอมรับในตัวเราอีกครั้งมันยากมากๆ เนื้อหาเพลงมันเลยขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วที่จะให้โอกาสพวกเขาไหม

‘แด่ศาลที่เคารพ’ เป็นเพลงเร็ว ความหมายดีที่จะทำให้แฟนเพลงย้อนกลับไปนึกถึง ‘Original Song’ ตามแบบฉบับ ‘พรู’ ได้อย่างเต็มที่ น้อยพูดถึงผลงานซิงเกิลแรกในรอบ 12 ปีของตัวเองกับ THE STANDARD ว่า…

 

“มันเป็นเพลงเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งน้อยว่าพวกเราทุกคนต่างก็อยากมีโอกาสจะได้เริ่มต้นใหม่ เวลาพูดว่า ‘เริ่มต้นใหม่’ ความจริงมันยากกว่าที่คิดนะ แล้วถ้าเกิดเรามองในมุมมองของคนที่เคยอยู่ในคุกมาก่อน การที่เขาจะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่นี่ โอ้โห ยากกว่าเราร้อยเท่าครับ

 

“เนื้อหาในมิวสิกวิดีโอ เราก็เลยเข้าไปถ่ายทำกันในคุกจริงๆ น้อยได้คุยกับคนที่เคยผ่านชีวิตในนั้นมาจริงๆ ซึ่งเท่าที่ได้คุยกับน้องๆ เขาออกมาจากคุก หลายคนเขาก็หางานไม่ได้ เพราะมันก็ต้องอยู่ในประวัติเวลาเขาจะไปสมัครงาน จะหลอกก็ไม่ดี จะพูดความจริงก็ไม่ได้งาน จะหาแฟนก็ยาก หลายคนก็เลยต้องกลับไปที่คุก เพราะคนไม่ยอมรับเขา ไม่ให้โอกาสเขา

 

“ผมพยายามร้องในมุมมองของน้องๆ เหล่านี้ ที่บางคนชีวิตเขาลำบากจริงๆ อาจจะมีบางคนนะครับที่เขากลับมาได้ ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่บางคนก็ทำไม่ได้

 

 

“ทุกคนล้วนแต่ต้องการโอกาสนะครับ จะจนหรือรวย ทุกคนก็เคยผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นการให้อภัย การที่คนจะยอมรับในตัวเราอีกครั้งมันยากมากๆ เนื้อหาเพลงมันเลยขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วที่จะให้โอกาสพวกเขาไหม”

 

ขณะเดียวกันแฟนเพลงที่กำลังรอคอย ‘อัลบั้มเต็ม’ ผลงานเดี่ยวชุดแรกของ น้อย วงพรู จะมีทั้งหมด 12 เพลง ซึ่งเขามีส่วนร่วมในแทบทุกกระบวนการ โดยเป็นทั้งผู้สร้างสรรค์ภาคดนตรีและเนื้อร้องภาคภาษาอังกฤษ ก่อนที่แต่ละบทเพลงจะถูกเรียบเรียงใหม่อีกครั้งเป็นเนื้อเพลงภาษาไทย ผ่านฝีมือของศิลปินและนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง บอย โกสิยพงษ์, บอย-ตรัย ภูมิรัตน, แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และ อภิชา สุขแสงเพ็ชร (ต๋อง The Begins) ซึ่งคาดว่าจะออกวางจำหน่ายภายในปีนี้

The post ‘แด่ศาลที่เคารพ’ เปิดตัวซิงเกิล พร้อม MV เพลงแรกของ ‘น้อย วงพรู’ สิงหาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/noi-pru-release-new-single-and-mv-this-august/feed/ 0
รวมบรรยากาศ ‘น้อย วงพรู’ เปิดบ้านจัด Private Party ชวนแฟนเพลงฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวในรอบ 12 ปี! https://thestandard.co/private-party-life-after-pru/ https://thestandard.co/private-party-life-after-pru/#respond Sat, 23 Jun 2018 13:46:58 +0000 https://thestandard.co/?p=100356

ผ่านไปแล้วอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง เต็มไปด้วยโมเมนต์น่าประ […]

The post รวมบรรยากาศ ‘น้อย วงพรู’ เปิดบ้านจัด Private Party ชวนแฟนเพลงฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวในรอบ 12 ปี! appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผ่านไปแล้วอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง เต็มไปด้วยโมเมนต์น่าประทับใจ หลังจาก ‘น้อย วงพรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เปิดบ้านจัด Private Party ‘LIFE AFTER PRU’ #noiisback ชวนแฟนเพลงมาร่วมนั่งฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวที่ซุ่มทำงานมานานเกือบ 12 ปี เมื่อช่วงบ่าย

 

ภายในงานนอกจากแฟนเพลงจะได้ฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวเป็นกลุ่มแรก สลับกับการพูดคุย เปิดอก เปิดใจแบบได้ซึ้ง ได้ขำ ได้สนุก ถึงที่มาที่ไปของบทแต่ละเพลง โดยมี บอย โกสิยพงษ์ และ สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์ พี่ชายแท้ๆ และอดีตสมาชิกวงพรู มาร่วมพูดคุยอยู่ข้างเวที มี เปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์ รับหน้าที่พิธีกร

 

 

THE STANDARD มีโอกาสเข้าร่วมในบรรยากาศและฟังเพลงใหม่ บอกเลยว่ามันเป็น 12 เพลงที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะเพลง Empty (ในเวลานี้ยังไม่มีชื่อภาษาไทยเป็นทางการ) ที่เชื่อเหลือเกินว่าหลังจากนี้แฟนเพลงจะหลงรักอย่างแน่นอน  

 

น้อย วงพรู เคยพูดถึงบทเพลงนี้ไว้กับ THE STANDARD ว่านี่คือหนึ่งในเพลงที่เขารักมากที่สุด

 

“มีอยู่เพลงหนึ่งที่น้อยเขียน มันเป็นเพลงที่น้อยรักมาก ตอนนี้เพลงยังไม่มีชื่อภาษาไทย มีแต่ชื่อภาษาอังกฤษว่า Empty เนื้อหาเกี่ยวกับความผิดหวังของคนที่เดินไปบนเส้นทางของตัวเองแล้วชีวิตไม่เวิร์ก… แต่สิ่งที่เขาพูดในช่วงสุดท้ายของเพลงก็คือ ‘แม้ว่ามันจะไม่เวิร์ก แต่ว่าอย่างน้อยฉันก็เดินบนเส้นทางของฉัน’ ฉะนั้นศิลปินที่อยากจะมีอัลบั้ม ในเมื่ออยากทำ ก็ต้องทำในสิ่งที่เป็นเรา เพราะอย่างน้อยเราก็ภูมิใจในความเป็นเรา เลือกแล้วบนเส้นทางของเรา เพราะสำหรับน้อย เมื่อทำแล้วผลออกมามันจะเวิร์กหรือไม่เวิร์กก็แล้วแต่… อัลบั้มโซโล่ชุดนี้มันก็คือ 12 เพลงที่ใช่สำหรับน้อย”

 

นอกจาก Private Party ภายในงานยังมีนิทรรศการย่อมๆ ซึ่งจัดแสดง ‘วัตถุความทรงจำ’ ในยุคที่ พรู (Pru) วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่แห่งยุค 90s กำลังโด่งดังอย่างที่สุด กับผลงานสตูดิโออัลบั้ม Pru (2544) ต่อเนื่องไปถึงอัลบั้ม Zero (2547) อาทิ แผ่นเสียง ซีดีอัลบั้ม ภาพถ่าย โปสเตอร์ อัลบั้มและคอนเสิร์ต เสื้อผ้า และนิตยสาร ฯลฯ ที่งานนี้ทำให้แฟนเพลงและศิลปินได้ย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดร่วมกัน

 

สำหรับใครที่กำลังรอคอยละรอลุ้นเพลงใหม่ โปรดอดใจรออีกนิด เพราะอัลบั้มเต็มและซิงเกิลโปรโมตกำลังจะถูกปล่อยออกมาในเร็ววันนี้

 

 

The post รวมบรรยากาศ ‘น้อย วงพรู’ เปิดบ้านจัด Private Party ชวนแฟนเพลงฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวในรอบ 12 ปี! appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/private-party-life-after-pru/feed/ 0
น้อย-สุกี้ สุโกศล แคลปป์ สองพี่น้องที่ยังวัยรุ่นอยู่เสมอ https://thestandard.co/sukosol-brother/ https://thestandard.co/sukosol-brother/#respond Fri, 11 May 2018 05:54:32 +0000 https://thestandard.co/?p=90016

Sukosol Brother   ครั้งแรกในรอบ 14 ปีของสองพี่น้อง […]

The post น้อย-สุกี้ สุโกศล แคลปป์ สองพี่น้องที่ยังวัยรุ่นอยู่เสมอ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Sukosol Brother

 

ครั้งแรกในรอบ 14 ปีของสองพี่น้องสุกี้น้อย สุโกศล แคลปป์กับมุมมองซนๆ บนแพสชันที่แตกต่าง ร่วมค้นหาตัวตนของตัวจริง Genuine People แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้ที่นี่

 

ขอเพียงแค่คุณได้รู้

 

Only Who Knows The Genuine.

The post น้อย-สุกี้ สุโกศล แคลปป์ สองพี่น้องที่ยังวัยรุ่นอยู่เสมอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/sukosol-brother/feed/ 0
THE STANDARD Calendar: กิจกรรมน่าทำระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2561 https://thestandard.co/calendar-17-23-march-2561/ https://thestandard.co/calendar-17-23-march-2561/#respond Thu, 15 Mar 2018 11:16:22 +0000 https://thestandard.co/?p=77469

หากนั่งแกร่วอยู่บ้านจนเบื่อเต็มที ชวนเพื่อนฝูง คนรัก หร […]

The post THE STANDARD Calendar: กิจกรรมน่าทำระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2561 appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากนั่งแกร่วอยู่บ้านจนเบื่อเต็มที ชวนเพื่อนฝูง คนรัก หรือครอบครัว ไปทำกิจกรรมสนุกๆ กันดีกว่า วันที่ 17-23 มีนาคมนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง มาเช็กกัน

 

 

นิทรรศการภาพถ่าย ‘ไม่รู้สิ แต่ผมชอบ’

What: กล้องฟิล์มมีเสน่ห์แบบที่กล้องดิจิทัลให้ไม่ได้ แต่ภาพที่เราจะได้เห็นในงานนี้กลับเป็นภาพจากกล้องฟิล์มที่มีเสน่ห์และแปลกไปจากเดิม เพราะไม่ได้ถูกล้างด้วยน้ำยาตามปกติ แต่เกิดจากการใช้น้ำยากัดสีผ้าและน้ำส้มสายชูที่ทำให้ภาพเหล่านี้มีเรื่องราวและความหมายต่างออกไป

When: วันนี้ถึง 28 เมษายน 2561

Where: Kathmandu Photo Gallery ถนนปั้น แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ

Why: ภาพที่เราจะได้เห็นให้ความรู้สึกว่าแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ คนรักการถ่ายภาพต้องไปชมให้เห็นกับตา

How: www.facebook.com/events/484058941996436

Stop: BTS สถานีสุรศักดิ์ หรือสถานีช่องนนทรี

 

 

ละครเวที 4 Seasons (White Breath)

What: เรื่องราวของคน 6 คน ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัยที่ตัดสินใจจะไม่กลับแผ่นดินเกิด แต่ปัญหามากมายอาจทำให้ไม่เป็นจริง ชีวิตต่างแดนของพวกเขาจะสุขหรือทุกข์ ร่วมรับชมการแสดงนี้ผ่าน 3 ภาษา (มีซับไตเติลให้ทุกภาษา)

When: วันนี้ถึง 18 มีนาคม 2561

Where: Buffalo Bridge Gallery ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ

Why: นอกจากจะได้ชมละครเวทีแล้วยังได้เลือกชิมขนม 4 ฤดูที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อการแสดงนี้โดยเฉพาะ หาวันไปดูให้ได้ล่ะ

How: www.facebook.com/events/150442715613954

Stop: BTS สถานีสะพานควาย

 

 

บุพกาลี (God of Carnage)

What: เรื่องราวที่เริ่มต้นจากการทะเลาะกันของเด็ก 2 คน จนผู้ปกครองของทั้งสองต้องนัดเจรจากันอย่างคนมีอารยะ ดัดแปลงมาจากบทละครเรื่อง God of Carnage โดยนักประพันธ์หญิงชาวฝรั่งเศสซึ่งได้รับรางวัลมากมาย เคยนำไปจัดแสดงมาแล้ว 5 ประเทศ ถึงคราวของประเทศไทย อยากรู้จริงๆ ว่าในเวอร์ชันบ้านเราจะเป็นอย่างไร

When: วันนี้ถึง 9 เมษายน 2561 (ยกเว้นวันอังคารและพุธ)

Where: Thong Lor Art Space ซอยสุขุมวิท 55 กรุงเทพฯ

Why: การประชันฝีปากกันอย่างมีอารยะจะเป็นอย่างไร มาร่วมชมร่วมฟังกันได้ รีบจับจองที่นั่งแบบชิดขอบสนามได้ที่นี่

How: www.facebook.com/events/188631958386899

Stop: BTS สถานีทองหล่อ

 

 

Confest 2018

What: นี่คือเทศกาลดนตรีที่มี 17 วงดนตรีตัวแทนจาก 17 เขตของกรุงเทพฯ มาเล่นคอนเสิร์ตสุดสนุกให้เราเพลินกันตั้งแต่บ่าย 3 โมงไปจนถึงตี 1 โดยแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน 4 ฤดู มีส่วนบริการอาหารให้หายห่วงหากหมดแรง คนรักเสียงเพลงต้องไม่พลาด

When: 17 มีนาคม 2561

Where: About Studio ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา กรุงเทพฯ

Why: ไปสนุกกับหลากศิลปินจากหลากเขตของกรุงเทพฯ กัน รีบหาเพื่อนแล้วจองบัตรได้ที่นี่ มีจำนวนจำกัดนะ

How: www.facebook.com/events/2064283877137556/

Stop: BTS สถานีเอกมัย หรือ MRT สถานีลาดพร้าว หรือสถานีพระราม 9

 

 

Exhibition Talk: ความเป็นอีสานอยู่ตรงไหนในสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลง

What: ส่วนหนึ่งของโครงการรายงานอีสานร่วมสมัยที่ต้องการเสนอวิถีชีวิต การเติบโต และการปรับตัวของคนอีสานต่อสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับวิทยากรได้ที่งานนี้

When: 17 มีนาคม 2561

Where: ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กรุงเทพฯ

Why: งานพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด จะเดินชมก่อนฟังหรือจะฟังก่อนชมนิทรรศการก็ได้ มีงานน่าสนใจจัดแสดงมากมาย

How: www.facebook.com/events/347205765773390

Stop: BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ

 

 

Workshop Making Music โดย แป๋ง Yellow Fang

What: ศิลปินจากวงอินดี้หญิงล้วนมากฝีมือ แป๋ง-พิมพ์พร เมธชนัน มือกีตาร์จากวง Yellow Fang จะมาจัดเวิร์กช็อปสอนทำเพลงให้คนที่สนใจอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เป็นโอกาสดีสำหรับหลายคนที่อยากทำเพลง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน หรืออยากหาแรงบันดาลใจ ก็ลองมาร่วมเวิร์กช็อปครั้งนี้ได้

When: 17 มีนาคม 2561

Where: YELO House ซอยเกษมสันต์ 1 ถนนพระราม 1 กรุงเทพฯ

Why: กิจกรรมนี้เราจะได้เรียนรู้การเขียนเพลงเป็นของตัวเอง โดยมีหญิงเก่งอย่างแป๋งคอยให้คำแนะนำแบบส่วนตัวเชียวนะ

How: www.facebook.com/events/184469278977541  

Stop: BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ

 

 

Circle of Poison

What: SVN Film #1: Circle of Poison หนังสารคดีที่จะทำให้เรามองเห็นสิ่งที่อยู่ในอาหารทุกมื้อชัดเจนขึ้น สารเคมีอันตรายและฆ่าเราได้ แต่ทำไมเรายังใช้มัน และเพราะอะไรชาติมหาอำนาจถึงพยายามส่งออกสารเคมีเหล่านี้ไปให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย เราจะทำอะไรได้บ้างกับสิ่งที่จะปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่เรากำลังบริโภค

When: 17 มีนาคม 2561

Where: หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กรุงเทพฯ

Why: สารเคมีในการเกษตรน่ากลัวและใกล้ตัวเราอย่างรู้สึกได้ แต่ทำไมเรายังกินและใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่อาจฆ่าเราได้อยู่ หาคำตอบได้ที่งานนี้

How: www.facebook.com/events/637853843229452

Stop: BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ

 

 

Workshop หัวโขน: จากมงกุฎยอดสู่ปากขบ

What: กิจกรรมเวิร์กช็อปศิลปะไทย เราจะได้ออกแบบและลงสีหัวโขนในแบบของเราเอง กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ ‘ถอดรหัสไทย’ ที่จะทำให้เรารู้จักศิลปะและความเป็นไทยมากขึ้น แถมยังได้ช่วยอนุรักษ์และทำให้ศิลปะไทยยังคงอยู่ด้วยการร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์และสนุกๆ แบบนี้

When: 17-18 มีนาคม 2561

Where: มิวเซียมสยาม ท่าเตียน กรุงเทพฯ

Why: มาช่วยกันอนุรักษ์ศิลปะและเอกลักษณ์ของไทยในวิธีสร้างสรรค์และสนุก

How: สำรองที่นั่งหรือสอบถามที่ 0 2225 2777 ต่อ 409 หรือทาง facebook และ www.museumsiam.org/event-detail.php?MID=12&CID=60&SID=130&CONID=2729

Stop: BTS สถานีสะพานตากสิน ต่อเรือด่วนเจ้าพระยาขึ้นท่าราชินีหรือท่าเตียน หรือรถขนส่งสาธารณะ สาย 3, 6, 9, 12, 47, 53, 82, 524

 

 

Workshop 4 มือปั้นซูชิ

What: เวิร์กช็อปทำซูชิที่อร่อยและสนุก แถมยังได้ใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัว เพราะต้องจับมือเป็นคู่เด็กกับผู้ใหญ่ช่วยกันปั้นซูชิเท่านั้น จะเป็นคู่ตาหลานหรือแม่ลูกก็ได้ งานนี้สอนโดย เชฟโอม-อรรถพล ทองสิมา กรรมการคนดังจากรายการ เชฟกระทะเหล็ก และอาจารย์สอนทําอาหารญี่ปุ่น 7 สถาบัน เราจะได้เรียนตั้งแต่การหุงข้าวไปจนถึงตกแต่งจานเลยทีเดียว

When: 18 มีนาคม 2561

Where: ช่างชุ่ย ถนนสิรินธร เขตบางพลัด กรุงเทพฯ

Why: มาทำกิจกรรมและใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัวในสุดสัปดาห์นี้ดีกว่า สามารถสมัครได้ที่นี่

How: www.facebook.com/events/1715619428498481

Stop: ยานพาหนะส่วนตัว หรือแท็กซี่ หรือ BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อรถประจำทางสาย ปอ. 515 หรือ ปอ. 539 ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี  

 

 

WTF Bangkok

What: What the Food Bangkok เทศกาลอาหารสำหรับคนรักการกิน ความพิเศษของงานนี้คือทุกเมนู 30 บาทเท่านั้น! แต่ร้านค้าและเมนูเด็ดมีให้เลือกละลานตา ตามด้วยฟรีคอนเสิร์ตตบท้ายให้ครบทั้งอร่อยและสนุก ศิลปินที่จะได้เจอคือ BNK48, นิว-จิ๋ว, มาเรียม B5, ต้น ธนษิต และแสตมป์ อภิวัชร์

When: 18 มีนาคม 2561

Where: ลานกิจกรรม แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีมักกะสัน กรุงเทพฯ

Why: นอกจากเมนูเด็ด 30 บาทแล้วยังได้ชมคอนเสิร์ตฟรีอีก แต่โซนเวทีจำกัดคนเข้างานนะ รีบจองได้ที่นี่

How: www.facebook.com/events/154336611917988

Stop: MRT สถานีเพชรบุรี ทางออก 1, 3 และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีมักกะสัน

 

 

น้อย วงพรู Live at Nineteens up

What: หลายคนต้องรู้จักเขาคนนี้ ‘น้อย วงพรู’ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมันสุดติ่งทุกครั้งที่ขึ้นแสดง ใครเป็นแฟนคลับหรืออยากลองสัมผัสบรรยากาศความสนุกในแบบฉบับของน้อย วงพรู ที่เป็นเอกลักษณ์ต้องไม่พลาด

When: 20 มีนาคม 2561

Where: Nineteens Up โครงการบ้านสีลม 19 ปากซอยสีลม 19 กรุงเทพฯ

Why: คอนเสิร์ตจากศิลปินสุดเจ๋งระดับประเทศแบบนี้จะพลาดได้อย่างไร รีบจองบัตรก่อนจะอดสนุกนะ

How: www.facebook.com/events/137100470443142

Stop: BTS สถานีสุรศักดิ์

 

 

มื้อค่ำติดดาว

What: ดินเนอร์สุดหรูโดยเชฟระดับหนึ่งดาวมิชลิน เชฟลูโดวิค ตูรัค (Ludovic Turac) ที่จะมาทำอาหารฝรั่งเศสรสชาติดีให้คุณได้รับประทาน เช่น ปลาตาเดียวสไตล์บลังเกตต์, เนื้อลูกวัว สตูว์ผัก และผักเคี่ยว หรือซุปปลาบุยยาเบสใส่สุดยอดเครื่องเทศในสไตล์ของเชฟลูโดวิค พร้อมของหวานและอีกหลากเมนูให้เลือกรับประทาน

When: 20-24 มีนาคม 2561

Where: ห้องอาหาร The Reflexions โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก กรุงเทพฯ

Why: หากยังไม่รู้จะพาคนใกล้ตัวไปดินเนอร์ที่ไหน ลองพาไปละเลียดมื้อค่ำจากเชฟฝีมือดี พร้อมจิบไวน์ในบรรยากาศสุดหรูได้ที่นี่

How: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่ง 0 2650 8800 ต่อ 4333

Stop: BTS สถานีเพลินจิต

 

 

Rooftop Sunset Yoga

What: เบื่อโยคะในสตูดิโอแบบเดิมๆ แล้วหรือยัง เราขอชวนคุณมาโยคะบนชั้นดาดฟ้าพร้อมชมวิวยามเย็นย่านทองหล่อ หากต้องการผ่อนคลายจากการทำงานที่เหนื่อยล้า หรืออยากหาเพื่อนเล่นโยคะก็มาที่นี่ได้ ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีครูโยคะคอยนำสอน และถ้าใครไม่สะดวกแบกเสื่อโยคะมาเองก็มีให้เช่าด้วย

When: 23 มีนาคม 2561

Where: The Hive Thonglor ซอยสุขุมวิท 49 กรุงเทพฯ

Why: มายืดเส้นสายผ่อนคลายจากสัปดาห์ที่เหน็ดเหนื่อย พร้อมบรรยากาศกลางเมืองและวิวยามเย็น ลงชื่อได้ที่นี่

How: www.facebook.com/events/280434299153858

Stop: BTS สถานีทองหล่อ หรือสถานีพร้อมพงษ์

 

 

นิทรรศการ Side Reel ร่อนเรื่อง

What: นิทรรศการภาพยนตร์จัดวางที่จะพาเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์จากความทรงจำร่วมของศิลปิน นอกจากนั้นเราจะได้สำรวจพื้นที่ของภาพยนตร์และอุปกรณ์ฉายที่ไม่ยังไม่เคยถูกพบเห็นผ่านจอ

When: วันนี้ถึง 25 มีนาคม 2561

Where: หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

Why: เราจะได้เห็นอะไรมากกว่าภาพหนังที่ถูกฉายลงบนจอ ได้สำรวจและตีความด้วยตัวเราเอง

How: www.facebook.com/events/599592893721779

Stop: BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ

 

 

นิทรรศการ ทลายกำแพงศิลป์: Breakin’ the Walls

What: นิทรรศการศิลปะกราฟฟิตี้ที่มีศิลปินชื่อดังมากฝีมือกว่า 20 คนมาโชว์ผลงานกันในที่แห่งนี้ เช่น Bigdel, Graffiti Holiday, Jecks, Basid, Joker, Bonus TMC และอีกหลายศิลปิน พร้อมชมผลงานของศิลปินร่วมสมัย Ayino บนพื้นที่กว่า 480 ตารางเมตร

When: วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2561

Where: หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร กรุงเทพฯ

Why: ถ้าคุณเป็นคนชอบงานกราฟฟิตี้ งานนี้จะได้ชมผลงานของศิลปินกราฟฟิตี้หลากสไตล์ได้จุใจ พร้อมงานพูดคุยแบบคนรักงานศิลปะ

How:  www.facebook.com/events/191963471414346  

Stop: BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วต่อรถประจำทาง (ดูสายรถประจำทางได้ที่นี่)

The post THE STANDARD Calendar: กิจกรรมน่าทำระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2561 appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/calendar-17-23-march-2561/feed/ 0
10 เหตุผลที่ Rhythm & Boyd คืออัลบั้มเพลงไทยที่ดีที่สุด https://thestandard.co/rhythm-and-boyd-thai-best-albums-ever/ https://thestandard.co/rhythm-and-boyd-thai-best-albums-ever/#respond Fri, 22 Dec 2017 10:18:24 +0000 https://thestandard.co/?p=57378

เนื้อเพลงของพี่บอยมีความอบอุ่น เพราะพี่บอยเป็นคนอบอุ่น […]

The post 10 เหตุผลที่ Rhythm & Boyd คืออัลบั้มเพลงไทยที่ดีที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

เนื้อเพลงของพี่บอยมีความอบอุ่น เพราะพี่บอยเป็นคนอบอุ่น สังเกตว่าคำนี้มีทั้ง ‘อบ’ และ ‘อุ่น’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อค่ายเบเกอรี่ มิวสิค และนี่คือ 10 เหตุผลที่ Rhythm & Boyd คืออัลบั้มเพลงไทยที่ดีที่สุด!

 

ประการที่ 1 อัลบั้มนี้เปลี่ยนแปลงวงการเพลงไทยในขณะนั้น จากที่วงการเพลงไทยมีค่ายแกรมมี่ อาร์เอส และคีตา และทั้ง 3 ค่ายล้วนแต่ทำเพลงด้วยวิธีเอาดารามาร้องเพลง ทำเพลงป๊อปแบบฟังง่ายๆ เพลงที่ทำมาให้ใครก็ได้ร้อง ซึ่งมันเหลือตัวตนของศิลปินจริงๆ อยู่ไม่กี่ราย และเหมือนดูถูกคนฟังอยู่พอสมควร Rhythm & Boyd มาถูกที่ถูกเวลาเพียงเพื่อที่จะบอกว่าเพลงไทยดีๆ ก็มีเหมือนกันนะ

 

ประการที่ 2 ก่อนที่อัลบั้มนี้จะเกิด ไม่มีเพลงไทยประเภทอาร์แอนด์บีเลย อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกของเมืองไทยที่สร้างรากฐานเพลงป๊อปผสมอาร์แอนด์บีไว้จนถึงทุกวันนี้ ศิลปินที่เกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็น ตู่ ภพธร, Room39, เป๊ก ผลิตโชค, Mild ฯลฯ ล้วนได้รับอิทธิพลจากอัลบั้มนี้ทั้งนั้น

 

ประการที่ 3 อัลบั้มนี้บันทึกเสียงถึงต่างประเทศ ซึ่งในยุคนั้นก็มีแล้ว แต่มีไม่มาก มันเป็นยุคหลังจากยุคซินธิไซเซอร์ ในขณะที่ค่ายอื่นใช้กลองโปรแกรมและเสียงจอมปลอม อัลบั้มนี้ใช้เครื่องดนตรีจริงในการอัด เสน่ห์ของมันมีทั้งเครื่องเป่าและเครื่องสายหลายชิ้น แม้แต่กลอง กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด ล้วนแต่มีความเป็นกรู๊ฟ ฟังละมุน นักดนตรีที่เล่นเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด

 

ประการที่ 4 เนื้อเพลงในแบบบอย โกสิยพงษ์ ไม่เหมือนใครในโลก เขาหยิบสิ่งที่มีอยู่แล้วรอบตัวมาร้อยเป็นเพลงรัก ดวงดาว ฤดูกาล กลิ่นดอกไม้ ความฝัน ทางคดเคี้ยว กาลเวลา แล้วเขียนออกมาด้วยคำง่ายๆ แต่มีความอบอุ่นและจริงใจ

 

ประการที่ 5 เป็นอัลบั้มแจ้งเกิดศิลปินมากมาย ซึ่งต่อมาได้เป็นศิลปินของค่ายเบเกอรี่ มิวสิค และโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น นภ พรชำนิ, น้อย วงพรู, รัดเกล้า อามระดิษ ไม่นับป๊อด ซึ่งตอนนั้นเริ่มจะมีชื่อเสียงจากวงโมเดิร์นด็อก และหากมองเข้าไปถึงตัวเพลง พวกเขาเหล่านี้ร้องสไตล์อาร์แอนด์บี ซึ่งร้องยากมาก แถมแต่ละเพลงเสียงสูงปรี๊ด รวมทั้งแทบไม่มีจังหวะให้เว้นหายใจ

 

ประการที่ 6 อัลบั้มมีการออกแบบที่สวยงามมาก ทำให้ย้อนนึกถึงวงการเพลงไทยสมัยนั้น ปกอัลบั้มในยุคนั้นโดยทั่วไปคือการจับศิลปินมาถ่ายรูป มันไม่มีความอาร์ตเลยแม้แต่น้อย แต่อัลบั้มนี้กลับทำปกสวยงาม และถ้าใครที่ซื้อซีดีจะได้กล่องกระดาษสีเลือดหมูที่ภายในนอกจากจะมีกล่องซีดีแล้ว ยังมี booklet อธิบายประวัติของเพลง แนวรึทึมแอนด์บลูส์ และเนื้อเพลงในอัลบั้มพร้อมรายละเอียด รวมทั้งรูปภาพขาว-ดำที่ถ่ายแต่ละรูปได้สวยงามมาก

 

 

ประการที่ 7 อัลบั้มนี้เป็นคอนเซปต์อัลบั้ม มีการใส่ Interlude (เพลงคั่น) ตอนต้นอัลบั้ม ช่วงกลาง และตอนจบ (แต่ใส่ไว้ก่อนเพลงสุดท้าย)

 

ประการที่ 8 เป็นอัลบั้มที่ใช้เงินลงทุนถึง 3 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงมากในสมัยนั้น และผ่านอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่เทปกิน ไปจนถึงโดนทุบรถเอามาสเตอร์ไปหมด อัลบั้มที่ฟังกันอยู่นี้เป็นอัลบั้มที่บอย โกสิยพงษ์ ทำใหม่เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นที่มาของเพลง ฤดูที่แตกต่าง ด้วยการโทรหาพระมารดาแล้วได้รับการปลอบใจว่าชีวิตมันก็เหมือนฤดู หากผ่านฤดูฝนไปได้ ฟ้าหลังฝนมักจะงดงามเสมอ

 

ประการที่ 9 แต่ละเพลงในอัลบั้มยังไม่เชยเลยจนถึงทุกวันนี้  

 

ประการที่ 10 และนี่คือความสุดยอดของแต่ละเพลงในอัลบั้ม

 

รักคุณเข้าแล้ว เป็นการนำเอาเพลงสมัยเก่าของสุเทพ วงศ์กำแหง มาทำใหม่ในสไตล์อาร์แอนด์บี โดยการแนะนำของสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ (Z-Myx) เนื่องจากเพลงนี้เป็นเพลงเก่าเลยผ่านการทำมาหลายเวอร์ชันแล้ว ชะชะช่า หรือควิกวอลต์ซก็มี แต่ยังไม่เคยมีแนวนี้ บอยใส่เนื้อร้องเพิ่มได้อย่างละมุนละไม เพลงรักที่ไม่มีอินโทร ป๊อด โมเดิร์นด็อก ร้องแบบโซล ลากยาวๆ ประสานเสียงสวยๆ

 

คืนนี้ เป็นเพลงที่บรรยายถึงความอึดอัดของคืนที่คนรักได้หายไป ในยุคสมัยที่ไม่มีมือถือหรือสิ่งติดตามตัวใดๆ เมื่อติดต่อไม่ได้ก็มีแต่ความกังวลใจ บอยเขียนความกังวลใจว่ามันเป็นคืนที่ยาวนานที่สุด เพลงนี้ร้องโดยน้อย วงพรู และบอยให้เสียงพูด

 

ฤดูที่แตกต่าง คือเพลงที่ให้กำลังใจชีวิตที่ดีที่สุดในขณะนั้น และจวบจนถึงทุกวันนี้มันกลายเป็นเพลงอมตะนิรันดร์กาลของประเทศไทยไปแล้ว เครื่องเป่าประสานเสียงกันเหมือนแตรจากฟากฟ้าให้มีกำลังใจให้สู้ต่อ เสียงของนภ พรชำนิ สูงมาก และหาช่องหายใจแทบไม่มี

 

     บอกกับตัวเองเอาไว้

     ความเจ็บต้องมีวันหาย

     ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู

 

คลั่ง เป็นเพลงหน้าบีของซิงเกิล รักคุณเข้าแล้ว ที่ถูกปล่อยออกมาก่อนอัลบั้มนี้ เป็นความฉลาดเลือกที่ได้ ฮาร์ท จากเบิร์ดกะฮาร์ท มาร้องเพลงนี้ เพราะนอกจากได้ภาพลักษณ์ของความเป็นศิลปินจบนอกแล้ว ชื่อเสียงของฮาร์ททำให้คนทำความรู้จักกับเพลงของบอย โกสิยพงษ์ ได้ง่ายขึ้น เพลงนี้ดึงเบสสนุก จังหวะสนุก มีเสียงบอยแรปอยู่หลังฉาก

 

เก็บดาว คือเพลงคู่ที่สุดจะหวาน มีการรับส่งกันอย่างดีระหว่างชายและหญิง โชว์พลังเสียงดิวา คีย์บอร์ดเดินเหมือนดาวที่รออยู่เต็มท้องฟ้าข้างบน เป็นเพลงที่มีความอบอุ่นมากเพลงหนึ่ง

 

เจ้าหญิง เป็นเพลงบอกรักได้ดี การที่เรียงเพลงนี้ต่อจาก เก็บดาว ทำให้มีความโรแมนติก แต่สมัยก่อนเพลงนี้จะเป็นเพลงแรกหน้าบีในม้วนเทป ดังนั้นการวางเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่เพราะมาก ซึ่งจะทำให้คนฟังกรอฟังง่ายและบ่อย ท่อนแรปที่เป็นเพลงฝรั่งไม่ใช่เสียงพี่บอย

 

     ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา

     อยู่เคียงใต้แสงดาว

     และมีความรักให้กันและกัน

 

เพลงต่อมา ลมหายใจ เป็นการเอาเพลงที่บอยเขียนให้กับ Z-Myx หนึ่งปีก่อนหน้านี้มาร้องโดยป๊อด และเป็นเพลงดัง แต่เวอร์ชันแรกเป็นเพลงแดนซ์ ซึ่งบอยเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดให้เป็นอาร์แอนด์บี และให้รัดเกล้า อามระดิษ เป็นคนร้องแทน คีย์บอร์ดยังคงไหลลื่น โดยมีบอยแรปช่วงแรก

 

ดอกไม้ เป็นเหมือนเพลงคั่นที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีอยู่ในอัลบั้ม เพราะมันทำให้อัลบั้มนี้มีความสดใสเหมือนดอกไม้

 

ข่าวของเธอ เพลงเศร้าเพลงเดียวในอัลบั้ม แต่ถึงจะเป็นเพลงเศร้าก็ยังเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยของคนที่เคยรักกันและจากกันไปแล้ว เพลงนี้ใช้เครื่องดนตรี Mute Trumpet เป็นเสียงแหลมๆ ฟังแล้วเสียดแทงหัวใจมาก และการที่ย้ำเนื้อว่า รู้ ฉันรู้ ฉันรู้ คือก็รู้จริงๆ นะ ซึ่งมันก็เศร้ามากเลย

 

     รู้ ฉันรู้ ฉันรู้และเข้าใจ

     เรื่องราวของเรามันจบ

     จบลงไปแล้ว แต่ใจในยังเฝ้าคิด

     ฉันเพ้อ ฉันเพ้อคิดถึงเธอ

 

จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ เป็นเพลงที่เล่นด้วยกีตาร์ และเป็นเพลงเดียวที่ร้องโดยบอย โกสิยพงษ์ เพลงที่ว่าด้วยเรื่องของความห่างไกล ความคิดถึง และการรอคอย

 

     จะนานสักเพียงไหน ยาวนานสักเพียงไหน

     จะนาน นานเท่าไร

     ยังคงเก็บเธอไว้ จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ

 

ไม่มีอัลบั้มไหนที่อบอุ่นได้เท่าอัลบั้มนี้อีกเลยนับแต่นั้นมา

The post 10 เหตุผลที่ Rhythm & Boyd คืออัลบั้มเพลงไทยที่ดีที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/rhythm-and-boyd-thai-best-albums-ever/feed/ 0
ทำความรู้จักกับโซโลอัลบั้มของ ‘น้อย วงพรู’ มากกว่า ‘เพลงป๊อป’ คือเชื่อมโยงกับผู้คน https://thestandard.co/culture-music-interview-noi-pru-3/ https://thestandard.co/culture-music-interview-noi-pru-3/#respond Sat, 12 Aug 2017 15:27:21 +0000 https://thestandard.co/?p=20237

     เดินเข้าไปในตึกเก่าย่านภูเขาทอง ประ […]

The post ทำความรู้จักกับโซโลอัลบั้มของ ‘น้อย วงพรู’ มากกว่า ‘เพลงป๊อป’ คือเชื่อมโยงกับผู้คน appeared first on THE STANDARD.

]]>

     เดินเข้าไปในตึกเก่าย่านภูเขาทอง ประเมินจากสายตาน่าจะอายุเกินกว่า 50 ปี ตอนนี้มันถูกบูรณะเสียใหม่จนกลับมาสวยงามและแข็งแรงอีกครั้ง นี่คือบ้านที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของ น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ซึ่งเขาใช้อยู่อาศัยมากว่า 5 ปีแล้ว ขณะที่ด้านในของอาคารก็เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านสไตล์ ‘แอนทีก’ ในแบบที่เต็มไปด้วยสไตล์เฉพาะตัว

     ใครที่พอจะรู้จักกับน้อยสักหน่อยจะทราบว่าเขาชื่นชอบ ‘ของเก่า’ ของโบราณร่วมสมัยเอามากๆ และเขามักจะให้สัมภาษณ์ตามสื่ออยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองเกิดมาในช่วงเวลาที่ผิดพลาด

     “น้อยน่าจะเกิดมาเมื่อสักร้อยปีที่แล้วมากกว่า น้อยอยากมีชีวิตแบบในสมัยก่อน ไม่ใช่ในสมัยนี้ มันก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งให้น้อยอยากสร้างโรงแรมในย่านเมืองเก่า แล้วก็ย้ายจากสาทรมาอยู่ในแถบภูเขาทอง ในเมื่อมันยังไม่มีไทม์แมชชีน ถ้าอย่างนั้นน้อยก็ต้องใช้จินตนาการของตัวเอง และพาครอบครัวมาอยู่ในตึกร้อยปีแบบนี้” เขายิ้มบอกอย่างอารมณ์ดี

     “เหมือนเวลาทำหนังน่ะครับ แม้แต่สวิตช์ไฟก็ต้องใช่ บ้านเราใช้ ‘แชนเดอเลียร์’ น้อยอยากอยู่เหมือนกับคนในสมัยก่อน ในบ้านไม่มีไฟนีออนฝังตรงไหนสักที่เลย แต่ไม่ว่าเราจะอดทนยังไง อยากให้เหมือนสมัยก่อนยังไง แต่ก็ต้องมีแอร์นะ ไม่อย่างนั้นก็ร้อนตาย แต่เราก็พยายามสร้างอีกโลกหนึ่งสำหรับเรา โลกที่เราแฮปปี้ที่จะอยู่กับมัน” น้อยเล่าถึงอีกด้านของชีวิตในวันที่เขาเลือกจะนัดคุยกับ THE STANDARD (อีกครั้ง) ที่บ้านของตัวเอง ในขณะที่เขาเล่าถึงเรื่องความฝันและวิถีความเป็นอยู่ อีกเรื่องที่เราต้องคุยกับน้อยต่อคือความฝันทางด้านดนตรี ซึ่งอัลบั้มเดี่ยวที่ซุ่มทำมานานใกล้จะได้เวลาคลอดเต็มที ความจริงเขาคุยเรื่องงานดนตรีอัลบั้มใหม่กับเรามาหลายครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งน้อยเคยทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่แน่เขาอาจจะใช้โถงชั้นล่างของบ้านทำเป็นคอนเสิร์ตเปิดตัวโซโลอัลบั้มของตัวเองในอนาคตก็เป็นได้ ซึ่งถ้าเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกตาอย่างแน่นอน

 

     (อ่านบทสัมภาษณ์ ตอนที่ 1 และ 2 ของน้อย วงพรู ได้ตรงนี้)

 

ตอนที่คุณเริ่มต้นคิดจะทำงานอัลบั้มเดี่ยว มันเริ่มต้นขึ้นตอนไหน นับตั้งแต่ตอนที่วงพรูคิดจะแยกวงเลยหรือเปล่า เพราะอย่างที่รู้ว่าตอนนั้นคุณมีเพลงอย่าง Empty แล้ว (อยู่ในอัลบั้มใหม่)

     คิดเลยฮะ เพราะน้อยรู้สึกว่ายังมีเพลงดีที่อยากให้คนฟัง เรายังมีอะไรที่อยากมอบให้แฟนเพลงมากกว่านี้ สิ่งที่น้อยพอจะมีพรสวรรค์คือการทำเพลงกับการดีไซน์ อย่างที่น้อยสร้างโรงแรม The Siam และกับงานแสดงบางอย่าง นอกนั้นน้อยก็ไม่เก่งอะไรอีกแล้ว น้อยคิดว่ามันน่าเสียดายมากถ้าเรามีพรสวรรค์ในเรื่องไหนแล้วไม่ยอมใช้ ซึ่งมันก็แล้วแต่คนคิดนะ บางคนอาจจะคิดว่าเราไม่เก่งก็ได้ (หัวเราะ) แต่อย่างน้อยเรายังรู้สึกว่าตัวเองมีสิ่งที่ชอบทำ แล้วเราก็ทำมันได้โอเคในระดับหนึ่ง (คิด) แล้วเราก็มี ‘แฟนเบส’ ด้วย (fanbase) การมีแฟนเบสนี่มันยากนะฮะ

     การเป็นศิลปิน การไม่เหมือนใครเลยมันไม่ยากหรอก คือใครๆ ก็อาจจะสามารถหยิบกีตาร์มาร้องเพลงได้ แต่การดีดกีตาร์ ร้องเพลง ทำเพลงออกมาแล้วสามารถสร้าง fanbase หรือ follower ได้ มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากจริงๆ น้อยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีตรงนี้ แล้วถ้าเกิดน้อยยังมีเพลงที่ดีในจิตใจ น้อยก็ยังอยากทำเพลงออกมาให้พวกเขาฟัง

     ฉะนั้นตั้งแต่ตอนที่วงพรูคุยกันเมื่อสิบปีก่อนว่าจะยุบวง ตอนนั้นน้อยก็คิดทันทีนะว่า ถ้าอย่างนั้นน้อยก็คงต้องเป็นนักร้องโซโลแล้ว (ศิลปินเดี่ยว) ซึ่งมันก็ยากด้วยนะฮะ

     อีกอย่างน้อยก็เข้าใจนะ เวลามีคนถามว่าพี่จะออกอัลบั้มอีกหรือเปล่า พอบอกว่า มีครับ แต่จะออกเป็นอัลบั้มเดี่ยว ก็จะมีคนบอกกลับว่า โธ่เอ๊ย ไม่ได้ออกอัลบั้มกับวงพรูแล้วเหรอ น่าเสียดายนะ (หัวเราะ)

     แต่ความจริงเพลงใหม่ในอัลบั้มโซโลก็ไม่ได้ต่างจากเพลงในสมัยเป็นวงพรูสักเท่าไรนะฮะ คือดนตรีอาจจะเปลี่ยนนิดหน่อย ส่วนเนื้อหาอาจจะผู้ใหญ่ขึ้น เพราะตอนนี้เราก็เป็นคุณพ่อแล้ว เรามีประสบการณ์มากขึ้น แต่อารมณ์ของเพลงมันก็ยังร้าวๆ เหมือนเดิม คือเพลงที่พูดเกี่ยวกับชีวิต การให้กำลังใจ การจะต้องหนี (escape) การมีความฝันที่จะหนีไปในที่ที่สวยงาม อัลบั้มนี้ก็มีหลายเพลงที่เกี่ยวกับตรงจุดนั้นนะฮะ

     แต่สิ่งที่มันยากและไม่สามารถจะทำได้เหมือนสมัยก่อนก็คือ การที่นักร้องเดี่ยวไม่สามารถจะสร้างพลังเหมือนร็อกแบนด์ได้เวลาอยู่บนเวที ผมว่าตรงนั้นมันยาก เคมีของคน 4 คนที่ต้องอยู่ด้วยกัน เล่นดนตรีด้วยกัน มีไฟแรงเท่ากันทุกเวที สิ่งเหล่านี้มันพิเศษจริงๆ และนานๆ ทีถึงจะได้เห็นศิลปินทำได้

     แต่การกลับมาร้องใหม่ น้อยก็มีวงใหม่ของน้อย ซึ่งวงเราในตอนนี้ก็พยายามกันที่สุดนะฮะ แต่เคมีเวลาเล่นดนตรีด้วยกันมันเป็นสิ่งที่อธิบายยาก แต่ในเวลาเดียวกันกับวงใหม่ เวลาที่เราเล่นเพลงฮิตๆ ของวงพรู น้อยก็ไม่ได้บอกนะว่าคุณจะต้องเล่นให้เหมือนสมัยก่อน เพราะการเล่นดนตรีมันไม่ควรจะเป็นการพยายามก๊อบปี้ให้เหมือนต้นฉบับ กีตาร์ก็ต้องเล่นให้เหมือนสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) ไลน์เบสก็ต้องให้เหมือนยอด (ยอดเถา ยอดยิ่ง) กลองให้เหมือนคณิณ (คณิณญาณ จันทรสมา) ทุกวันนี้น้อยก็ชอบที่เห็นพวกเขาใส่อะไรใหม่ๆ ลงไปในเสียงเพลง… แต่เขาก็ยังต้องรักษาวิญญาณของมันนะ ดนตรีมันก็สามารถเล่นออกมาได้หลายแบบ เพียงแต่วิญญาณของเพลงนั้นจะต้องไม่หายไป… ซึ่งน้อยก็สนุกกับวงมากในตอนนี้

 

คุณมักจะเล่าเรื่องการแต่งเพลงด้วยตัวเอง ในเมื่อเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็น แล้วคุณมีวิธีการแต่งเพลงอย่างไร

     เมื่อก่อนมันง่ายกว่าตอนนี้เยอะเลย เพราะเมื่อก่อนน้อยมีเพื่อนร่วมวงอีก 3 คน หน้าที่ของน้อยคือแค่คิดทำนองแล้วร้องให้สุกี้กับยอดฟัง แล้วเขาก็เอากีตาร์มาหาคอร์ด มาใส่ในทำนอง จากนั้นก็ซ้อมวงด้วยกัน ช่วยกันคิดว่าจะอะเรนจ์เพลงออกมายังไง เข้าห้องอัด พออัลบั้มออก น้อยก็เต็มที่กับการเพอร์ฟอร์ม

     แต่คราวนี้กับอัลบั้มโซโล น้อยต้องคิดเอง ต้องอะเรนจ์เองหมดเลย ซึ่งไม่ใช่แค่คิดทำนอง ความต่างอีกอย่างคือในอัลบั้มนี้มีเพลงออร์เคสตราเยอะมาก โดยเฉพาะเพลงที่น้อยร้องกับแม่ (กมลา สุโกศล) น้อยต้องคิดทั้งทำนอง โน้ตของไวโอลิน ทรอมโบน เชลโล ฯลฯ แยกเป็นชิ้นเลย อารมณ์เหมือนกับวาทยากรที่ออกแบบโครงสร้างทั้งหมดของเพลงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือกับเพลงร็อก น้อยก็ต้องมีไอเดียว่าริฟฟ์กีตาร์จะเป็นประมาณไหน ทุกอย่างน้อยก็ต้องเริ่มต้นคิดด้วยตัวเองหมด ซึ่งก็ยากเหมือนกัน

     ช่วงแรกๆ น้อยพยายามมองหาโค-โปรดิวเซอร์ที่มีทฤษฎีดนตรี เพราะน้อยทำดนตรีเองไม่ได้ คือน้อยไม่ยอมหัดเล่นกีตาร์ (หัวเราะ) เราขี้เกียจไง เลยไม่ยอมหัดเล่นดนตรี

 

 

คนไม่ยอมหัดเล่นดนตรีนี่คิดไลน์ต่างๆ ของดนตรีออกมาอย่างไร เล่าให้เห็นภาพหน่อยได้ไหม

     คือเรามีไอเดียอยู่ในหัวหมดแล้วทั้งทำนอง เสียงกีตาร์ ไวโอลิน เชลโล ทรอมโบน ทรัมเป็ต ฯลฯ เพียงแต่เราเล่นดนตรีไม่ค่อยได้ (หัวเราะ) ส่วนมากน้อยเลยจะมีเครื่องอัดเทปคาสเซตต์ไว้อัดทำนอง แล้วถ้าน้อยเกิดมีไอเดีย เสียงเชลโลควรจะเป็นแบบไหน น้อยก็จะกดปุ่มอัดเสียงแล้วร้องเป็นเสียงเครื่องดนตรีชิ้นนั้น (น้อยสาธิตวิธีทำเสียงของทรัมเป็ต ไวโอลิน เป็นตัวอย่างให้ฟัง) คือแทนที่จะเล่นดนตรี แต่น้อยจะใช้วิธีอัดเสียงเก็บเอาไว้หมด

     น้อยได้รับอิทธิพลจากนักดนตรีที่ทำสกอร์ประกอบภาพยนตร์ ซึ่งคนที่ทำสกอร์ระดับสุดยอดอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ (ผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ เช่น Jaws,  Jurassic Park, E.T. the Extra-Terrestrial, Schindler’s List, Saving Private Ryan, Seven Years in Tibet, Star Wars, Superman, Harry Potter ฯลฯ) หรือ เอนนิโอ มอร์ริโคเน (นักประพันธ์เพลงชาวอิตาลี มีผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์โด่งดังมากกว่า 500 เรื่อง เช่น Cinema Paradiso, Once Upon a Time in the West, Once Upon a Time in America, The Mission, The Untouchables, The Good, the Bad and the Ugly, The Thing และงานหนังของ เควนติน ตารันติโน ทั้ง Kill Bill 1-2, Inglourious Basterds, Django Unchained) คนพวกนี้เขาเหมือนกับโมสาร์ตสมัยนี้นะฮะ ที่คอยเป็นคอนดักเตอร์คิดไลน์ดนตรีให้กับวงออร์เคสตรา เพียงแต่คนพวกนี้เขาเขียนโน้ตได้ แต่น้อยเขียนไม่ได้ (หัวเราะ) ซึ่งน้อยจะเคารพคนพวกนี้มาก

     คอนดักเตอร์เก่งๆ พวกนี้ เวลาจะแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ เขาก็จะเริ่มต้นจากดูภาพหนังที่ผู้กำกับถ่ายมาให้ จากนั้นเขาก็จะเริ่มเขียนสกอร์เพลงให้เข้ากับภาพหรือเนื้อหาของหนัง ซึ่งก็คล้ายกับน้อยที่ทำดนตรีจากสตอรีของเพลง อย่างเพลงส่วนมากของวงพรูเองก็มักจะเป็นสตอรีเกี่ยวกับคนโน้นคนนี้ พอเรารู้เนื้อหาของเพลง เราก็จะนึกไอเดียดนตรี เอาเพลงประกอบใส่เข้าไปในนิทานหรือเนื้อหาที่น้อยคิดอยู่ในหัว

     แต่ในเมื่อน้อยเล่นดนตรีไม่ได้ เสียงทุกอย่างมันรวมกันอยู่ในเทปคาสเซตต์ ฉะนั้นก็ต้องมีใครสักคนมาช่วยน้อยในเรื่องดนตรีจริงๆ  

     ช่วงแรกๆ น้อยก็เลยพยายามมองหาโค-โปรดิวเซอร์ที่เล่นเครื่องดนตรีได้ทุกอย่าง เล่นเบสได้ เล่นกลองได้ เล่นคีย์บอร์ดได้ ซึ่งช่วงที่น้อยไปโชว์ที่นิวยอร์กในงาน ‘รามเกียรติ์ ตอน นางลอย นาฏกรรมแห่งรักแอนด์โรล’ ที่น้อยชกกับเสก (เสก โลโซ-เสกสรรค์ ศุขพิมาย) คนหนึ่งที่มาแจมในงานนั้นก็คือ โหน่ง-วิชญ วัฒนศัพท์ แห่ง The Photo Sticker Machine ซึ่งงานประจำของโหน่งในตอนนี้เขาก็ทำสกอร์หนังให้ค่าย GDH ให้ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง สำคัญที่สุดคือเขาสามารถเล่นเครื่องดนตรีทุกอย่างได้ (หัวเราะ)

     น้อยโชคดีมาก เพราะถ้าไม่มีโหน่ง น้อยคงไม่สามารถทำเพลงในอัลบั้มใหม่ให้ออกมาได้อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

 

ตอนนี้เสร็จหมดแล้วใช่ไหม รู้สึกจะเหลือแค่มิกซ์เสียง

     มันใกล้เสร็จแล้วฮะ หลังจากผ่านขั้นตอนต่างๆ ซึ่งกินระยะเวลามากกว่าสิบปี คือนานมาก ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนมิกซ์อัลบั้ม ซึ่งเสร็จไปบ้างแล้ว

     ล่าสุดน้อยเพิ่งเดินทางไปต่างประเทศมาสองอาทิตย์ เป็นช่วงที่น้อยทำมิกซ์แรกเสร็จไปแล้ว ไปอยู่ที่นั่นน้อยจะได้นั่งท่ามกลางอากาศหนาว ฟังเพลง ดื่มไวน์ อินกับผลงานตัวเอง (หัวเราะ) ก่อนที่มันจะแป้ก หรือไม่ก็สำเร็จ

     การทำเพลงมันก็สนุกตรงนี้นะ อย่างเวลาบางคนถามว่าทำมาตั้ง 7 ปี 10 ปี ไม่เบื่อบ้างเหรอ

     น้อยว่ามันเป็นช่วงที่มีความสุข เพราะว่าอัลบั้มมันยังไม่ออก ถ้าอัลบั้มปล่อยออกมาแล้วมันไม่เวิร์ก น้อยอาจจะเศร้า ฉะนั้นช่วงนี้น้อยยังลุ้นกับผลงานตัวเองอยู่ งั้นก็ฟังงานของตัวเองไป เพราะน้อยว่ามันก็เป็นเพลงที่เพราะดี (หัวเราะ) แต่ในเวลาเดียวกันตอนที่นั่งฟัง น้อยก็เริ่มโน้ตเก็บไว้เหมือนกันว่าตรงไหนที่ดี ตรงไหนยังไม่ใช่ หรือยังไม่เหมือนกับที่เราคิด แล้วหลังจากที่น้อยกลับมา น้อยก็เพิ่มเริ่มไฟนอลมิกซ์กันไปเมื่อช่วงตอนเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา”

 

 

รูปแบบการทำงานนี้นี่ทำได้เฉพาะน้อย วงพรู เลยหรือเปล่า เพราะการจะทำงานอะไรแบบนี้ได้ คนที่ทำงานด้วยต้องเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจกันพอสมควรเลยนะ

     ศิลปินเดี่ยวมันมีหลายรูปแบบนะฮะ เหมือนอย่างที่น้อยรู้สึกกับการเป็นศิลปินว่าน้อยชอบร้องเพลงที่ตัวเองเขียน เพราะเวลาร้อง น้อยจะอินกับมันมาก ยิ่งเป็นวงร็อก น้อยรู้สึกว่าคุณต้องเขียนเพลงของคุณเอง แต่กับศิลปินเดี่ยว น้อยรู้สึกว่าคุณไม่จำเป็นต้องเขียนเพลงของตัวเองก็ได้ อย่างพวกจัสติน ทิมเบอร์เลก หรือริฮานน่า ก็มีคนเขียนเพลงระดับโลกช่วยเขียนเพลงส่งมาให้ แล้วคุณก็จะเลือกเพลงที่ใช่จาก 100 เพลง จากนั้นก็จะมีโปรดิวเซอร์ระดับโลกทำเพลงให้คุณ มีคนเลือกหรือออกแบบเครื่องแต่งกายที่เก่งสุดยอดให้คุณ มีคนทำเอ็มวีที่เก่ง เพราะในระดับโลก ทุกอย่างมันเป็นเหมือนเครื่องยนต์ของรถเฟอร์รารีที่เฟอร์เฟกต์มาก มันไม่ควรที่จะพลาด แต่ในบ้านเรายังไม่ถึงระดับนั้น สำหรับน้อย น้อยค่อนข้างลุยเองมากกว่า เขียนเพลงเอง อะเรนจ์เพลงเอง เอ็มวีก็พยายามคิดไอเดียเอง การแต่งตัวก็แต่งในแบบที่น้อยอยากแต่ง (หัวเราะ) พอทุกอย่างมันออกมาจากหัวเราเกือบหมด โอกาสพลาดมันก็มีนะฮะ

     ส่วนที่ถามว่าสไตล์การทำงานแบบน้อยมีหรือเปล่า …I don’t know แต่มันก็เป็นเพราะว่าน้อยขี้เกียจด้วยแหละที่ไม่ยอมหัดเล่นดนตรี เพราะถ้าเป็นศิลปินคนอื่น เขาเล่นดนตรีเป็น รู้ทฤษฎีดนตรี เขาก็คงใช้คงใช้คอมพิวเตอร์ทำกันเองได้จากในห้องนอน แต่น้อยก็มัวแต่ขี้เกียจ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อะไรก็ตาม ถ้าเกิดน้อยไม่อิน น้อยทำไม่ได้จริงๆ

 

ทำไมถึงไม่หัดเล่นกีตาร์ล่ะ

     ใช่ บางคนเขาก็บอกน้อยว่า ถ้ามีเพลงหนึ่งในอัลบั้มใหม่ ยกตัวอย่างเพลง ยังรอคอยเธอเสมอ ถ้าเอามาทำใหม่ เปลี่ยนจากเสียงกีตาร์เป็นเสียงเปียโนกับเสียงร้องของพี่แทน พอถึงเวลาพี่ก็ขึ้นเวทีแล้วแค่ร้องกับเปียโน โอ้โห มันจะเป็นลุคใหม่ของพี่ แล้วคนจะอินมาก มันจะต้องดูมีความเป็นศิลปินแท้ๆ หรือบางเพลงนะ ถ้าพี่ถือกีตาร์ขึ้นไปเล่นบนเวที มันจะเป็นอีกลุคหนึ่งที่สร้างการยอมรับไปอีกระดับเลยนะพี่! ซึ่งน้อยก็แบบ… กูก็รู้แหละว่ามันน่าจะดูเท่ และมันคงจะดูเป็นศิลปินมากเลย แต่ไม่เอาอะ (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกัน พอหยิบกีตาร์หรือนั่งเล่นเปียโนทีไร น้อยก็จะเริ่มง่วงนอน มันไม่อิน ไม่ชอบ มันไม่สนุก

 

ในเมื่อไม่มีทักษะด้านดนตรี ถ้าอย่างนั้นข้อมูลหรือแรงบันดาลใจด้านดนตรีต่างๆ ที่อยู่ในหัวคุณเอามาจากไหนบ้าง

     นักดนตรีคนอื่นเขาก็เขียนทำนองกันนะฮะ แค่เขาหัดเล่นกีตาร์ เขาก็เลยทำได้เอง (หัวเราะ) คือไม่ใช่พยายามจะปกป้องตัวเอง แต่ความจริงมีศิลปินที่เป็นแบบน้อยอยู่เหมือนกันนะฮะ อย่างคนที่เขียนสกอร์ให้กับการ์ตูนหรือแอนิเมชันของวอลต์ ดิสนีย์ …มีอยู่คนหนึ่งที่ร้องอย่างเดียวแล้วมีคนมาคอยกดดนตรีให้ รู้สึกจะชื่อ อลัน เมนเคน (ตัวอย่างผลงานประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ การ์ตูน และแอนิเมชันอย่าง The Little Mermaid, Beauty and the Beast, Aladdin, Newsies, Pocahontas, The Hunchback of Notre Dame, Hercules และล่าสุดเขาประพันธ์เพลงประกอบหนัง Beauty and the Beast เวอร์ชันเอ็มมา วัตสัน ด้วย)

     แต่ส่วนตัวน้อยมองว่าหนังเศร้าหรือให้กำลังใจมันจะมีพาวเวอร์มากกว่า อาจเป็นเพราะปกติน้อยเองก็ไม่ค่อยชอบดูหนังคอเมดีหรือหนังการ์ตูนสักเท่าไร

     น้อยว่าเวลาดูหนังแล้วร้องไห้ตามไปกับหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง มันรู้สึกพาวเวอร์ฟูลนะฮะ น้อยถึงชอบเขียนเพลงช้า เขียนเพลงที่เศร้า เพลงที่ซึ้ง น้อยไม่ชอบเขียนเพลงเร็ว หลายเพลงในอัลบั้มโซโลเลยออกไปทางออร์เคสตราเยอะ ซึ่งถ้าถามว่าอัลบั้มนี้โดดเด่นตรงไหน น้อยว่ามันคือเสียงออร์เคสตราและเสียงของสตริง

     ในอัลบั้มนี้มีอยู่ 4 เพลงที่น้อยจ้างนักดนตรีต่างประเทศเล่นให้ ซึ่งเขาเล่นได้ดีจริงๆ คือเล่นแบบควอร์เตตต์ (Quartette หมายถึงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 4 อย่าง 4 เสียง หรือมีผู้เล่น 4 คน) คือน้อยแต่งแค่เมนเมโลดี้ แล้วนักดนตรีเขาก็จะเริ่มแต่งฮาร์โมนีแต่ละอย่าง ซึ่งเพลงออกมาซึ้งจริงๆ แล้วเวลาเขามาร่วมตัวเล่นกัน ผมว่าในบ้านเรา เรื่องของสตริงเรายังสู้เขาไม่ได้ สตริงควอร์เต็ต (String Quartet ประกอบไปด้วยไวโอลิน 2 คัน วิโอลา 1 คัน และเชลโล 1 คัน) ซึ่ง 4 เพลงในอัลบั้มนี้ที่ทำออกมา น้อยก็คิดว่ามันไพเราะจริงๆ

 

 

คุณบอกว่าอยากทำอัลบั้มนี้ให้เป็นเพลงป๊อปที่มีคุณภาพ ตอนนี้คิดว่าได้อย่างใจแล้วขนาดไหน

     น้อยรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นศิลปินแจ๊ซ ร็อก อัลเทอร์เนทีฟ ฯลฯ พวกคนที่เป็นนักร้อง นักดนตรีที่เก่ง เขามักจะมีเซนส์ของความเป็น ‘ป๊อป’ นะฮะ ยกตัวอย่างวง Radiohead ผมว่าทอม ยอร์ก (ร้องนำ, กีตาร์ริทึม, เปียโน, อิเล็กทรอนิกส์) เขารู้ว่าตัวเองเขียนเพลงป๊อปเก่งมาก เขามีเซนส์ของป๊อป ซึ่งวงอัลเทอร์เนทีฟวงอื่นมักจะไม่มี นั่นเป็นสาเหตุที่ Radiohead ไปต่อได้ไกล เพราะเขาสามารถเขียนเพลงป๊อปที่เพราะและคนจับต้องได้ แต่กับอัลบั้มใหม่ๆ อาจจะฟังอยากหน่อย (หัวเราะ) น้อยเองก็พยายามให้ตัวเองมีเซนส์ของความเป็นป๊อป พยายามจะเขียนเพลงป๊อปที่ดี ที่ลึกหน่อย แต่ต้องไม่ให้มันหลอนไป ถึงแม้น้อยจะชอบเพลงหลอนนะฮะ ซึ่งเคยทำมาแล้ว แต่มันไม่ค่อยเวิร์ก

     น้อยมองว่าตอนนี้เพลงของน้อย mature ขึ้น มันมีบางเพลงที่ร้องแล้วเชื่อว่าคนสามารถยอมรับได้ อาจจะเพราะว่าน้อยอายุมากขึ้น มันก็ไม่ต่างกับที่แม่น้อยร้อง Live and Learn ที่ควรจะเป็นคนที่ผ่านชีวิตมาแล้วถึงจะร้องเพลงอะไรแบบนี้ได้ น้อยว่าเพลงในอัลบั้มนี้ก็เหมือนกันที่มีบางเพลงที่ลึกขึ้น คือตอนนี้น้อยเป็นแมนแล้ว ไม่ได้เป็นบอย แล้วน้อยว่าวิญญาณในตัวน้อยมันก็เปลี่ยนไป เพราะน้อยอายุมากขึ้น น้อยร้องเพลงดีขึ้นกว่าสมัยพรูชุดแรกด้วย

 

ในวันที่อายุมากขึ้น อัลบั้มนี้คุณต้องการจะบอกอะไร จะเล่าอะไรกับแฟนเบสของน้อย วงพรู

     ส่วนมากเพลงในอัลบั้มนี้ ธีมมันจะเกี่ยวกับคนคนหนึ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Redemption หมายถึงคนที่เคยพลาดในชีวิตมาก่อนแล้วอยากได้รับโอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง น้อยชอบคอนเซปต์นี้เพราะมันให้แรงบันดาลใจ ซึ่งส่วนมากพลังของแรงบันดาลใจที่มันแรงที่สุด มีพลังที่สุด มักจะเกิดขึ้นจากเรื่องราวของคนที่เคยล้มเหลวในชีวิต

     เขาอาจจะเคยพลาด เคยเป็นคนไม่ดีมาก่อน แต่เขากลับมาเป็นคนดี อยากฉุดตัวเองขึ้นมา ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนมากสังคมมักจะไม่ให้โอกาสกับเขาสักเท่าไร แม้แต่น้อยเองก็เคยพลาด …เวลาเราเห็นใครในอิมเมจหนึ่ง ภาพนั้นก็จะติดตัวไปตลอดเลย เรามักจะไม่ได้ให้คนที่พลาดกลับมามีที่ยืนได้ง่ายๆ ซึ่งมีอยู่หลายเพลงที่คนเขียนขึ้นมาจากมุมมองนั้น เกือบครึ่งอัลบั้ม

     คนเรามันก็ลำบากกับชีวิตในหลายรูปแบบนะครับ แต่รูปแบบนี้น้อยว่ามันเกี่ยวกับอะไรหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ครอบครัวเขา แต่มันเกี่ยวกับเพื่อน เกี่ยวกับสังคม ความจริงมันก็เชื่อมโยงได้กับคอนเซปต์เพลงที่น้อยเขียนมาตลอดกับพรู นั่นคือการ escape ที่จะหาอีกโลกหนึ่งที่คนยอมรับเรา ซึ่งก็สามารถเขียนถึงได้ในหลายรูปแบบนะครับ ทั้งความรัก ความผิดหวัง ความเศร้า การที่เราอยากจะอยู่อีกโลกหนึ่ง การเริ่มต้นใหม่ น้อยว่าเราทุกคนต่างก็เคยผ่านในชีวิต น้อยเองก็เคยอยากไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งน้อยสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วก็กลับเป็นคนใหม่ได้ น้อยว่าหลายคนก็เคยพลาดแล้วรู้สึกว่าอยากไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลย แล้วก็เริ่มต้นใหม่ …เรื่องราวที่อยากจะ ‘escape’ มันคือสิ่งที่ทัชชิ่งกับน้อยจริงๆ  

 

 

คุณลงทุนกับอัลบั้มนี้ด้วยเงินของตัวเองไปเยอะมากในหลักล้านบาทแล้ว การลงทุนให้กับผลงานและสิ่งที่ตัวเองรักอย่างนี้ คุณมองจุดของคุ้มค่าด้านการลงทุนในมุมไหนบ้าง สรุปแล้วเมื่ออัลบั้มปล่อยออกมา คุณคาดหวังอะไรจากมันบ้าง อะไรคือกำไร อะไรคือจุดที่จะขาดทุน

     คิดสิ มันก็กลับไปเรื่องตัวเพลงนะฮะ น้อยหวังอย่างเดียวคือขอให้เพลงมันคอนเนกต์กับคนได้ และขอให้คนคอนเนกต์กับเพลงของเราได้ (คิด) และในอีกแง่ ถ้าเพลงในอัลบั้มใหม่มันเริ่มรันต่อไปได้ เริ่มมีโชว์เข้ามา ในแง่ความคุ้มค่า น้อยก็อยากมีเวทีให้ปลดปล่อยอารมณ์ และยังสนุกกับงานตรงนี้ที่น้อยคิดถึง เพราะน้อยไม่ได้เล่น คอนเสิร์ตใหญ่ๆ มานานแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมา 7-8 ปี น้อยก็ไปเป็นแขกรับเชิญให้คนโน้นคนนี้บ้าง แต่ถ้าร้องรวดเดียว 12 เพลงแบบนี้ไม่ค่อยมีสักเท่าไรเลย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนถามนะฮะว่าพี่น้อยรับโชว์หรือยัง แต่สมัยนั้นน้อยยังไม่อยากรับ เพราะมันยังไม่มีอะไรใหม่มานำเสนอกับคนดู เลยไม่รู้จะเล่นไปทำไม

     แต่กับช่วงนี้ที่น้อยกลับมาเล่น เพราะน้อยรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรใหม่ให้กับคนฟัง ถึงแม้จะเข้าใจว่าหลายคนก็อยากฟังเพลงเก่าของพรู (หัวเราะ) แค่อย่างน้อยกับตัวเราเอง เรายังรู้สึกมีค่ามากกว่าที่เรากำลังนำเสนออะไรใหม่อยู่ในโชว์นั้นด้วย ตอนนี้น้อยเลยอยากมีโอกาสที่จะได้โชว์มากขึ้น แต่คงไม่ได้รับงานขนาดทุกอาทิตย์ แบบนั้นร่างกายน้อยคงไม่ไหว (หัวเราะ) ตอนนี้แค่สองโชว์ต่อหนึ่งอาทิตย์น้อยก็แฮปปี้แล้วฮะ

 

สมมติว่าถ้ามีคนถามว่ายังจะเล่นดนตรี ทำไมยังต้องออกไปโชว์ ทำไมยังรับงานแสดง ในเมื่อก็มีธุรกิจโรงแรมเป็นของตัวเองแล้ว และการทำงานดนตรีในยุคนี้ก็มองหาจุดที่คุ้มค่ากับเงิน แรงกาย และแรงใจที่เสียไปได้ยากเหลือเกิน

     คือน้อยรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนนะฮะ น้อยรู้จักศิลปินหลายคนที่เขาต้องทำสิ่งนี้สิ่งเดียว หมายถึงเล่นดนตรีเป็นอาชีพ แล้วพอมันมาถึงยุคที่ขายอัลบั้มไม่ค่อยได้ ไม่มีทางออก นักดนตรีก็ตกงานกัน น้อยรู้ว่าเขาก็เหนื่อย น้อยเข้าใจว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มีธุรกิจส่วนตัว แต่ที่ยังออกไปแสดงหนังบ้าง ยังทำงานเพลงอย่างตอนนี้บ้าง โอเค น้อยยอมรับว่าเวลามีเงินเข้ามันก็ดี เพียงแต่สิ่งที่ทำมันไม่ใช่เรื่องที่น้อยอยากจะเมกมันนี่หรอก

     อีกอย่าง น้อยค่อนข้างมุ่งมั่นตั้งใจกับอัลบั้มของตัวเองนะฮะ แล้วก็ยังอยากจะออกไปโชว์ เพราะมันก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่น้อยอยากค้นหา สิ่งแรกคือเหมือนน้อยได้ outlet หรือได้ระบายออก อย่างช่วงที่ไม่มีงานอัลบั้ม น้อยก็รับงานแสดง งานน้อยมันอาจจะไม่เยอะ ปีละเรื่องบ้าง หรือสองปีเรื่อง แต่อย่างน้อยมันก็มี outlet ให้เราได้ระบายออก มีที่ทางให้ได้ระบายอารมณ์ ซึ่งน้อยกลัวเหมือนกันนะว่าพออายุมากขึ้นแล้วจะไม่มีงานแสดงติดต่อเข้ามา เพราะก็ต้องยอมรับนะครับว่าเมืองไทยคือ it’s a young man’s game

 

 

คุณชอบทุกมุม ชอบทุกพาร์ตของตัวเองไหม

     จริงๆ น้อยโยงกับที่เมื่อกี้ถามว่าทำไมถึงยังต้องเล่นดนตรี ต้องรับงานแสดง ทั้งที่น้อยมีธุรกิจส่วนตัวที่มั่นคงแล้ว คือนอกจากการมีที่ทางไว้ปลดปล่อยอารมณ์ อย่างที่สองคือน้อยมองว่า ก็ตัวเรามีพรสวรรค์อยู่ตรงนี้ เวลาเกิดมา น้อยก็พยายามมองดูว่าพรสวรรค์ของตัวเองมีอะไรบ้างวะ น้อยไม่ใช่คนฉลาดพอที่จะเป็น businessman เรื่องตัวเลขน้อยไม่เก่งจริงๆ น้อยพูดไม่เก่งเลยด้วยซ้ำ พรสวรรค์น้อยอยู่ตรงด้านดีไซน์ น้อยว่าตัวเองเลือกของโบราณได้ค่อนข้างดีทีเดียว น้อยพอจะมีพรสวรรค์ด้านการทำเพลงและด้านการแสดงอยู่บ้าง เมื่อรู้ว่าพรสววรค์ของตัวเองอยู่ตรงไหน มันก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์

     แต่ถึงรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ตรงไหนก็ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วทุกคนจะชอบเรานะครับ มันก็ต้องใช้เวลากว่าจะพิสูจน์ตัวเองในด้านเหล่านี้ อย่างน้อยอยากทำอัลบั้มใหม่ น้อยรู้ว่ายังมีเพลงที่อยู่ในใจ น้อยคิดว่าตัวเองยังเขียนเพลงได้ดี น้อยก็ต้องทำให้มันเกิดขึ้น น้อยไม่รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงไหม แต่ในเมื่อมีสิ่งที่พระเจ้าหรือพ่อแม่ให้เรามา ถ้าเราไม่ใช้ มันก็เหมือน a waste of talent, a waste of… ซึ่งมันก็น่าเสียดาย

     แต่น้อยก็รู้ด้วยนะครับว่ามันยาก บางทีมันเป็นเรื่องของจิตใจหรือการมีคนสนับสนุน แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณมีพลังจริง ถ้าคุณมีไฟจริงๆ ไม่ว่าทำอะไร คุณก็ทำได้ อย่างน้อยอยากทำอัลบั้ม แล้วคุณเองก็โชคดีด้วยที่ยังพอมีแฟนเบสที่รอคอยผลงานของคุณ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำสิวะ

     สุดท้ายแล้วนะ ที่น้อยยังอยากแสดงหนัง อยากทำงานเพลง เพราะมันเป็นวิถีทางเดียวที่จะสามารถคอนเนกต์กับคนไทยได้ เพราะความจริงน้อยเองก็เป็นลูกครึ่ง เติบโตมากับสังคมเด็กอินเตอร์ ในยุคหนึ่งน้อยมีแต่เพื่อนฝรั่ง เพื่อนคนไทยก็ไม่มี ทั้งที่น้อยรู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นคนไทยมากกว่าคนอเมริกัน น้อยเลยไม่รู้จะคอนเนกต์กับคนตามท้องถนนยังไง ก็เลยรู้สึกผิดติดตัวมาเสมอว่าน้อยเป็นเด็กที่ครอบครัวมีสตางค์…

     อย่างตอนที่เริ่มต้นกับวงพรู น้อยก็โดนด่าตรงนี้เยอะเหมือนกันนะว่าเป็นเด็กบ้านมีสตางค์ เป็นเด็กไฮโซมาร้องเพลง เต้นบัลเลต์บนเวที ทุเรศฉิบหาย (หัวเราะ) สมัยนั้นโดนเยอะมาก โดนเขียนว่าร็อกมันต้องเป็นคนจากท้องถนน พวกนายไม่ใช่ร็อกจริงหรอก พอเจอแบบนั้นน้อยก็เจ็บนะ แต่ก็มองว่าร็อกมันเกี่ยวกับจิตใจมากกว่า เพียงแต่มุมของของคนในบ้านเราเขามองคนเป็นชั้นโน้นชั้นนี้มากเกินไป แต่โอเค ไม่เป็นไร น้อยก็แค่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าน้อยมีความรู้สึก และน้อยอินกับสิ่งที่ตัวเองทำจริงๆ แล้วพอเวลามันผ่านไป การที่น้อยยังไม่ได้หายสาบสูญไปไหน มันก็น่าจะเป็นการพิสูจน์ตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว

     ทุกวันนี้เวลาที่น้อยร้องเพลงหรือไปแสดงหนังตามต่างจังหวัดเนี่ย กลายเป็นว่าคาแรกเตอร์ในหนังที่แสดงมันดังกว่าตัวน้อยอีก อย่างคาแรกเตอร์จากหนังเรื่อง อันธพาล บางคนเขาก็จะเรียกว่า ‘จ๊อด’ (จ๊อด เฮาดี้) ไม่ค่อยมีใครเรียกว่าน้อยสักเท่าไร แล้วบางคนเขาก็ชอบมาก อยากกอด นึกว่าน้อยเป็นจ๊อด ทั้งที่ความจริงน้อยก็ยิงใครไม่เป็นหรอก (หัวเราะ) แต่มันรู้สึกดี เหมือนเราเป็นเด็กแล้วอยากได้การยอมรับ

 

สุดท้ายกลายเป็นว่าเราคอนเนกต์กับผู้คนด้วยผลงาน

     ใช่ครับ กลายเป็นว่างานตรงนี้ที่ทำให้น้อยสามารถคอนเนกต์กับคนได้ เพราะถ้าไม่มีที่ทางตรงนี้ น้อยก็คงอยู่ที่ในโลกของการทำโรงแรม อยู่กับความลักซูรี ซึ่งน้อยจะไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีทางคอนเนกต์กับผู้คนบนท้องถนนได้เลย

The post ทำความรู้จักกับโซโลอัลบั้มของ ‘น้อย วงพรู’ มากกว่า ‘เพลงป๊อป’ คือเชื่อมโยงกับผู้คน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/culture-music-interview-noi-pru-3/feed/ 0
ดนตรีและตัวตนบนความอ่อนไหวของ ‘น้อย วงพรู’ https://thestandard.co/culture-music-interview-noi-pru-2/ https://thestandard.co/culture-music-interview-noi-pru-2/#respond Sat, 15 Jul 2017 02:42:39 +0000 https://thestandard.co/?p=14143

     หลังเกิด ‘แผ่นดินไหว’ มักจะตามมาด้ว […]

The post ดนตรีและตัวตนบนความอ่อนไหวของ ‘น้อย วงพรู’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     หลังเกิด ‘แผ่นดินไหว’ มักจะตามมาด้วย ‘อาฟเตอร์ช็อก’ โชว์ของ ‘น้อย วงพรู’ ก็ให้ความรู้สึกอะไรในแบบนั้น บนเวทีเราเห็นเขาใส่พลังไปสุดเหวี่ยงสุดตัว เพลงเร็วเต็มไปด้วยลีลา พอถึงเพลงช้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์ แต่โชว์จบเหมือนไม่จบ เพราะเมื่อก้าวลงจากเวที ดูเหมือนแรงสั่นสะเทือนในใจเขาจะยังอยู่  

     น้อยบอกเองว่า ‘บนเวที’ ที่ดูเหมือนกำลังสื่อสารกับผู้คน แต่หลายต่อหลายครั้งกลับเป็นเขาเองที่กำลังต่อสู้กับ ‘ด้านใน’ ของตัวเอง แพ้บ้าง ชนะบ้าง ซึ่งก็สาสมใจ คุ้มค่าดีแล้วในฐานะศิลปินเพลง

     ‘ไม่ใช่ว่าเพิ่งเป็น’ แต่เขาเป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยกระโดดโลดเต้นในฐานะ ‘ฟรอนต์แมน’ ของวงพรูเมื่อเกือบสิบปีก่อน จนถึงวันนี้ในวัยที่เพิ่มมากขึ้น ในวันคืนที่เริ่มกลับมาบ่มตัวเองอีกครั้งสำหรับอัลบั้มเดี่ยวในอนาคต เขาก็ยังคงต้องต่อสู้กับตัวเองไม่เคยเปลี่ยน

     ‘คืนนี้ก็เช่นกัน’ ท่ามกลางแสงไฟสาดไปมา เสียงคนผู้ดังจอแจจนแทบจะกลบเสียงดนตรี

     สำหรับ THE STANDARD มันเป็นคืนสำคัญ เพราะระหว่างทางทั้งก่อนและหลังจากการแสดงสดของหนึ่งในศิลปินเพลงที่โดดเด่นที่สุดของยุค 90s จบลง ‘น้อย วงพรู’ จะยังนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะพาไปทำความเข้าใจกับบางแง่บางมุมในใจที่ ‘ซ่อมยังไงก็ไม่เสร็จ’ เสียที เช่นเดียวกับอีกไม่กี่วันถัดมาในช่วงบ่ายวันกายภาพบำบัดแข้งขาที่โรงพยาบาล เราก็ได้เห็นสังขารและ ‘ตัวตน’ อีกหนึ่งด้านของเพอร์ฟอร์เมอร์ในตำนานตอนช่วงวัย 46 ที่กำลังต่อสู้กับอีกบททดสอบของร่างกายอยู่เช่นกัน

 

     ย้อนอ่านตอนแรก – สัญญาณแรกของ ‘น้อย วงพรู’ การเตรียมตัวก่อนกลับสู่เส้นทาง ‘ดนตรี’

 

1.

Before

     “ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือในวันนี้ที่กำลังเตรียมตัวสำหรับอัลบั้มใหม่ น้อยก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วว่ะ ทุกอย่างที่โชว์ น้อยก็ยังอยากทำให้ออกมาดีที่สุด อยากให้คนยอมรับเรา” น้อยและนักดนตรีร่วมวงน่าจะมาถึงที่ร้านก่อนผมหลายชั่วโมง ผมเดินตามมานั่งคุยกับน้อย หลังจากเราเจอกันโดยบังเอิญในห้องน้ำชาย เจ้าของโรงแรม The Siam ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายิ้มบอกแข่งกับเสียงผู้คนและดนตรีว่ายังพอมีเวลาก่อนจะขึ้นโชว์ เริ่มต้นคุยกันไปสักพัก เขาเตือนว่าอาจจะต้องเรียบเรียงคำพูดให้ดีหน่อย เพราะก่อนคุยกัน น้อยดื่มเบียร์ไปหลายแก้วแล้ว

 

 

     “ตื่นเต้นไหม” – ผมถาม

     “ไม่หรอกฮะ เพราะไม่ว่าจะสมัยเล่นกับวงพรูหรือเล่นกับใคร น้อยก็ตื่นเต้นเสมอไม่เคยเปลี่ยน เพราะไม่รู้ว่าแต่ละโชว์จะออกมาเป็นยังไง บางทีคนอาจจะมาไม่เยอะมากก็ได้

     “เวลาเรากลับมาเล่นใหม่ เราก็ต้องทำตัวเหมือนเป็นศิลปินที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วก็ทำโชว์นั้นๆ ให้ออกมาดีที่สุด เต็มที่ที่สุด น้อยพยายามจะคิดแบบนั้นนะฮะ

 

     “คือบางทีน้อยก็ยังเศร้า กลัวบางคนจะหมั่นไส้ว่าน้อยเต็มที่แบบโอเวอร์เกินไปหรือเปล่า แม้แต่ตอนนี้ที่น้อยอายุมากแล้วก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่นะฮะ ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กเลย

     “ย้อนกลับไปสมัยที่เริ่มต้นกับวงพรู ในตอนนั้นน้อยเป็นคนคิดมาก คิดมากแบบทุเรศเลยครับ สมัยนั้นทุกทีที่เล่นคอนเสิร์ต น้อยจะกลับบ้านไปเศร้าเสมอ เศร้าจริงๆ นะฮะ ไปถามใครในวงดูก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์ – กีตาร์), ยอด (ยอดเถา ยอดยิ่ง – เบส) หรือคณิน (คณินญาน จันทรสมา – กลอง) ว่าน้อยเศร้าบ่อยมากจนสุกี้ต้องบอกว่า เฮ้ย ยูไม่ต้องเป็นนักร้องดีกว่าไหม เพราะยูดูเศร้าเสมอเลยเวลาเล่นคอนเสิร์ต (หัวเราะ) แต่ ณ ตอนนี้พออายุมากขึ้น น้อยก็เข้าใจมากขึ้นนะฮะ เต็มที่เล่นไป 4-5 โชว์ อาจจะมีสักครั้งหรือสองครั้งที่กลับมาเศร้า

     “จำได้ว่าเมื่อ 5 เดือนที่แล้วมีโชว์ที่น้อยเล่นแล้วแบบ… ร้องไห้เลยฮะ เพราะน้อยทำมันออกมาได้ไม่ดี น้อยเริ่มคิดมากเกินไป ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาจากคนดู แต่มันเป็นปัญหาส่วนตัวของเราเอง จากนั้นน้อยก็เริ่มร้องไห้ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นโชว์ที่ไม่เวิร์ก  

     “น้อยพยายามจะไม่เป็นศิลปินที่เวอร์ แต่มันก็มาของมันเอง

     “แต่ 5-6 โชว์หลังมานี้ น้อยรู้สึกว่าตัวเองปรับตัวได้มากขึ้น ปัจจุบันนี้ก็เศร้าน้อยลงมาก พออายุมากขึ้น น้อยก็เริ่มคอนโทรลมันได้มากขึ้น ถึงจะไม่มีทางคอนโทรลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ดีฮะ ดีที่น้อยสามารถพัฒนาจิตใจตัวเอง”

 

 

คุณเศร้าอะไร เศร้าที่โชว์ออกมาไม่เฟอร์เฟกต์อย่างที่ตั้งใจเหรอ

     “มันเศร้าว่าแบบ… (คิด) มันตอบยากนะฮะ มันเป็นปัญหาส่วนตัวของน้อยเอง เช่น คนดูเขาอยากให้เราร้องออกมาให้เต็มที่และเอ็นเตอร์เทน คือเราอยากทำให้เขาแฮปปี้ แต่ถ้าวันนั้นน้อยเกิดคิดมากเกินไป น้อยก็จะเพอร์ฟอร์มไม่ได้ เราจะรู้สึกเลยว่ามันไม่เป็นธรรมชาติแล้ว หรือโชว์มันไม่โฟลวแล้ว

     “ความจริงคนดูเขาอาจจะไม่รู้สึกนะฮะ แต่เพื่อนในวงจะรู้สึกและเห็นเลยว่าโชว์นี้พัง

     “มันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ซึ่งน้อยก็ไม่แน่ใจ อย่างโชว์ในคืนนี้มันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นนะฮะ (หัวเราะ) น้อยยอมรับว่ามันมีแง่ลบเยอะที่เรา emotional แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องพยายามมองมันในแง่บวก”

 

 

เข้าใจถูกไหมว่าพลังที่น้อย วงพรู โชว์บนเวที ทั้งที่เห็นคุณร้อง คุณเต้น คุณกระโดด พลังเพอร์ฟอร์มเหล่านี้มันออกมาจากพลังลบบางอย่างที่อยู่ข้างใน

     “พลังลบรึเปล่าเหรอ…” เขาคิดนาน “พูดจริงๆ ว่าไม่ใช่แค่น้อยหรอก”  

     “น้อยว่าศิลปินทุกคนมันเริ่มต้นมาจากสิ่งที่เป็นเรื่องลบจากข้างในตัวเรานะฮะ ไม่ว่าเขาจะเกิดมาจากครอบครัวที่จนหรือรวย ศิลปินทุกคนล้วนมีปมด้อย มีสิ่งที่เขารู้สึกไม่แน่นอนกับชีวิต หรือมีมุมลบในตัวเอง แต่เขาสามารถซ่อมตรงนั้นได้ หรือปลดปล่อยมันออกมาได้ผ่านทางเสียงเพลง

     “อย่างตัวน้อยเอง น้อยก็สารภาพว่าเกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะ แต่น้อยก็มีปัญหาในจิตใจที่ซ่อมไม่ได้ แต่สามารถปลดปล่อยมันได้เวลาที่ขึ้นเวที ไม่ว่าจะเป็นเวทีคอนเสิร์ต หรือเวทีการแสดงที่อยู่ในหนัง การร้องเพลงในคืนนี้ ในผับขนาดเล็ก หรือคอนเสิร์ตในฮอลล์ใหญ่ๆ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ดีและสนุกที่สุดกับชีวิตคือความไม่แน่นอน คือโชว์ครั้งนี้มันอาจจะออกมาดีหรือแย่ก็ได้ และถ้าออกมาแย่ เราอาจจะเศร้า แต่เดี๋ยวเราก็จะลุกขึ้นแล้วกลับมาใหม่

     “หมายความว่าน้อยต้องสู้กับตัวเองแล้วกลับมาให้ได้

     “มันก็เหมือนกับนักฟุตบอลอาชีพ คือกว่าเขาจะชนะได้แชมเปี้ยนลีกเนี่ย เขาก็ต้องลงสนามไปแพ้บ้าง ชนะบ้าง พลาดบ้าง บาดเจ็บบ้าง แต่นั่นมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าต้องลุกขึ้นสู้ ซึ่งสำหรับน้อยเอง สารภาพว่าถ้าน้อยไม่มีเวทีให้ได้ร้องเพลง น้อยก็คงรู้สึก lost เหมือนกันนะฮะ”

     จังหวะพูดของน้อยมักจะติดขัด ทวนซ้ำคำเดิมอยู่ตลอด ลองเดาใจดู ผมคิดว่าเขากำลังปะติดปะต่อความคิด ความรู้สึกเพื่อสื่อสารมันออกมา บอกไปแบบนี้เหมือนจะสื่อว่าเขาน่ารำคาญ แต่ความจริงเปล่าเลย ‘น้อย วงพรู’ เป็นผู้ชายประเภทที่ถึงไม่พูดอะไรด้วยเลย แต่คุณก็ยังอยากจะเข้าใกล้เขาอยู่ดีนั่นแหละ  

     คืนนั้นน้อยเริ่มต้นโชว์ด้วยเพลง รักคุณ จากอัลบั้ม Zero ของวงพรู ตามติดมาด้วยเพลง แค่, โปรด, Atta (เพลงใหม่ในอัลบั้มเดี่ยว), ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ (อพาร์ตเมนต์คุณป้า), โรมิโอ แอนด์ จูเลียต, ยังรอคอยเธอเสมอ, ทุกสิ่ง, Empty (เพลงใหม่ในอัลบั้มเดี่ยว) ปิดท้ายโชว์ในคืนนั้นด้วย Live and Learn บอกเลยว่ามันเป็นโชว์ที่ดี โดยเฉพาะดนตรีและเนื้อเพลง แค่ จากอัลบั้มแรกของวงพรู ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่เหมาะกับความคิด ความเชื่อของเขาในช่วงเวลานี้อย่างที่สุด

 

     …ตอกย้ำ กดดัน บีบคั้น หวั่นไหว

     ก็อยากจะทำอะไรให้ดี ไม่เหมือนที่เธอหวั่นไหว

 

     ก็เหมือนเดิมทุกที ไม่ว่าฉันจะทุ่มเทเท่าไร

     ไม่เห็น จะเป็น เหมือนใจ

 

     ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันนั้นจะทำต่อไป

     ขอแค่เธอยังเชื่อมั่นไม่หวั่นไหว ฉันนั้นจะทำต่อไป

     ไม่ว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นเช่นไร ขอแค่เธอยังอยู่ไม่ไปไหน

     ฉันนั้นจะทำต่อไป… (เพลง แค่ อัลบั้ม Pru, 2544)

 

 

2.

And after

     ไลฟ์โชว์จบแล้ว แต่สิ้นเสียงปรบมือจากแฟนเพลง ชีวิตยังไม่จบ น้อยกลับมานั่งที่โต๊ะรับรองด้านในสุดของร้านร่วมกับเพื่อนร่วมวง ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้เขาดื่มเบียร์ไปแล้วกี่แก้ว แต่ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่าเขายังมีสติพอจะทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นบนเวทีได้

     “มันอาจจะเป็นโชว์ที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะฮะ มันอาจจะมีช่วงที่น้อยเริ่มหลุด เริ่มเสียเซลฟ์ ซึ่งโชว์อาจจะพังได้เลย แต่ก็รู้สึกดีที่น้อยพยายามสู้และสามารถพาตัวเองกลับมาได้”

 

พาตัวเองกลับมาได้นี่หมายถึงในแง่ไหนเหรอ

     “น้อยไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นหรือเปล่านะ แต่ประมาณเพลงที่ 3-4 น้อยเริ่มมีปัญหา เหมือนน้อยเริ่มจะเสียเซลฟ์ เพราะคิดมากเกินไป น้อยเริ่มลังเล เริ่มกลัว เริ่มไม่มั่นใจ แต่พยายามจะสู้กับมัน ปลุกใจตัวเองว่าทุกคนเขาต้องการมาดูยูนะเว้ย ฉะนั้นยูต้องอย่าเห็นแก่ตัวมากเกินไป อย่าเอาแต่คิดถึงตัวเองมากเกินไป

     “ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดขึ้นตอนอายุ 20 หรือตอนที่อายุ 40 น้อยก็ยังเหมือนเดิม คือยังเป็นเด็กที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ในท้ายที่สุดเราต้องโปรเฟสชันนัล และไปยืนทำหน้าที่นั้นต่อหน้าแฟนเพลงให้ดีที่สุด

     “ดนตรีมันทำให้เราไม่รู้สึกเหมือนเดิม เพราะทุกโชว์มีความต่าง มันมีอารมณ์ขึ้น-ลง และมีปัจจัยต่างๆ เต็มไปหมดที่ทำให้ทุกโชว์ออกมาไม่เหมือนกัน น้อยก็เลยได้เห็นหลายโชว์ที่ดี และอีกหลายโชว์ที่ออกมาล้มเหลว โชว์ของเราในครั้งนี้อาจจะเฟลและทำให้เศร้า แต่ในเวลาเดียวกันเราก็มีความหวัง เพราะโชว์ครั้งต่อไปมันอาจจะออกมาดีก็ได้ น้อยว่าดนตรีมันสนุกตรงนี้แหละฮะ”

 

3.

19 / 06 / 2560

16.00 น. โรงพยาบาลพญาไท 2

     ที่ชั้น 16 เขานั่งรออยู่ก่อนแล้วเหมือนเคย ช่วงนี้น้อยต้องเข้ามาที่โรงพยาบาลประมาณ 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์ เพราะเขากำลังมีปัญหากับแข้งขาของตัวเอง มันอาจจะน่าหงุดหงิดอยู่บ้างเมื่อคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เริ่มต้นกลับมารับโชว์อีกครั้งของ ‘น้อย วงพรู’ ครั้นถ้ามองโลกมุมบวก อย่างน้อยการบำบัดรักษาร่างกายให้ดีเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็น่าจะทำให้เขาสบายใจขึ้นเมื่อถึงเวลาที่อัลบั้มเดี่ยวของเขาจะถูกโปรโมต ถึงวันนั้นงานของเขาน่าจะเยอะ รวมถึงคอนเสิร์ตต่างๆ ก็ยิ่งต้องใช้พลังมากขึ้นกว่าโชว์ของเขาในตอนนี้ไปอีกระดับ  

 

 

วันที่คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ มากายภาพบำบัด?

     “น้อยมากายภาพบำบัดฮะ” เขาส่ายหัว ยิ้มติดเศร้านิดหน่อยที่มุมปาก  

     “น้อยรู้สึกว่าทุกครั้งเวลาจะทำอะไรที่สำคัญ ร่างกายมักจะบาดเจ็บเสมอ ครั้งแรกตอนคอนเสิร์ต Pru & Modern Dog – ทุกสิ่ง (For Fat Live Pru & Modern Dog) ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดของวงพรูที่น้อยเคยเล่นมานะครับ ถ้าไม่นับคอนเสิร์ต B.Day (B.Day Bakery Music Independent Day, 2547) ที่เล่นในสนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งศิลปินของเบเกอรี่ทุกคนก็มาเล่นกันหมด แต่กับที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ในตอนนั้นมันคือคอนเสิร์ตปิดอัลบั้มซึ่งใหญ่มาก แล้วน้อยก็ตื่นเต้นมาก แต่ปรากฏว่าแค่อีกหนึ่งเดือนก่อนขึ้นคอนเสิร์ต น้อยพลาดไปตกเวทีตอนโชว์ น้อยก็เลยเต็มที่บนคอนเสิร์ตได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

     “ครั้งที่สองคือตอนกำลังจะปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 น้อยไปเล่นกีฬาแล้วหัวเข่าหักจนต้องใส่เฝือก ตอนโปรโมตอัลบั้มนั้นช่วงแรกๆ ก็เลยเต้นอะไรไม่ได้ ต้องใส่เฝือกแล้วนั่งร้องเพลง ทุเรศเหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วพอถึงคราวนี้ พอกะว่าจะปล่อยอัลบั้มโซโล่แรกเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว น้อยนอนหลับท่าไหนไม่ทราบเหมือนกัน แต่ตื่นขึ้นมามันยกเท้าไม่ได้ รู้สึกชาไปหมด

     “ตอนแรกที่เป็น น้อยคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวมันคงดีขึ้น ปรากฏว่าผ่านไปเรื่อยๆ มันก็ยังไม่ดีขึ้น ยังยกเท้าไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต

     “หมอบอกว่ามันเกี่ยวกับเส้นประสาทที่อักเสบ ซึ่งต้องฟื้นฟูและบำบัดอย่างเดียว 90 เปอร์เซ็นต์น่าจะหายอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาประมาณ 4 เดือนกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ น้อยก็เลยต้องให้เวลากับมัน แล้วใจเย็นๆ

      “แต่มันก็รำคาญนะฮะ เพราะตอนนี้มันยังทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำไม่ได้ คนดูอาจจะไม่ค่อยสังเกตว่าเรามีปัญหาอะไรกับร่างกาย

     “เราก็เริ่มอยู่กับมันแล้วก็เข้าใจมันแทน ขาข้างขวายังรับน้ำหนักมากไม่ได้ งั้นเราก็เปลี่ยนไปลงน้ำหนักที่ขาซ้ายแทน… ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่ามันจะหายร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนที่อัลบั้มโซโล่จะเปิดตัว”

 

 

ที่ผ่านมา โชว์ของ ‘น้อย วงพรู’ เต็มที่มาตลอด ทั้งร้อง กระโดดโลดเต้น ถ้าทำอัลบั้มเดี่ยว ร่างกายน่าจะต้องพร้อมพอสมควร กังวลบ้างไหมกับอาการพวกนี้

     “ใช่ๆ น้อยก็รำคาญ โมโหด้วยนะฮะ กลุ้มใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าน้อยเป็นเพราะสาเหตุอื่นก็ยังพอเข้าใจ เช่น ระหว่างโชว์แล้วน้อยกระโดดลงมา แบบนั้นค่อยน่าจะบาดเจ็บหน่อย แต่แบบนี้มันโง่มากว่าระหว่างหลับมันเกิดเรื่องขนาดนี้ขึ้นได้ยังไง (หัวเราะ) แล้วมันยังต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาถึง 4 เดือน

     “ส่วนเรื่องการเพอร์ฟอร์ม น้อยว่าสปิริตของเรามันก็ยังเหมือนเดิมนะ นักร้องหรือร็อกเกอร์ทุกคนในใจก็ยังเหมือนเด็กนะฮะ เปรียบเหมือนนักกีฬา อย่างคริสเตียโน โรนัลโด ที่สมัยก่อนก็อาจจะวิ่งขึ้น-ลงสนามได้สบาย แต่พอถึงวันที่อายุ 32 แล้ว เขาก็อาจจะต้องเริ่มวิ่งชะลออยู่หน้าประตู แล้วก็รอจังหวะดีๆ เพื่อยิงประตูมากขึ้น

     “แต่ความจริงน้อยแก่กว่าโรนัลโดเยอะนะ (หัวเราะ) อย่างสมัยก่อนที่น้อยเริ่มต้นในวงการ ตอนนั้นอายุ 31 ซึ่งก็ถือว่าอายุมากแล้วนะ แต่น้อยก็ยังฟิตพอที่จะเล่นบนเวทีรวดเดียว 15 เพลง”

 

คุณเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบในโชว์ขนาดไหน เพราะคุณพูดเรื่องโชว์ที่ไม่ค่อยเวิร์กอยู่บ่อยๆ น่าคิดเหมือนกันนะว่าในช่วงที่ร่างกายยังไม่สมบูรณ์เต็มที่แบบนี้ มันก็ง่ายเหมือนกันที่คุณจะเศร้า

     “น้อยว่ามันแล้วแต่คนนะครับ บางคนเขามั่นใจมาก เขาก็ไม่คิดมาก… (คิดนาน) มันเหมือนกับนักกีฬาที่บางวันเขาเล่นได้อย่างไหลลื่น ทำอะไรก็ออกมาดีไปหมด ถ้าเป็นนักฟุตบอลก็เลี้ยงลูกเข้าไปยิงประตูได้อย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเดียวกันกับที่น้อยอยากไปถึง และถ้าไปถึงตรงนั้น คือทุกเพลงมันก็จะออกมาเป็นเพอร์เฟกต์โชว์ เหมือนทุกเม็ดของดนตรีมันเข้ามาอยู่ในใจแล้ว น้อยเคลื่อนไหวไปพร้อมกับมันอย่างสวยงาม โน้ตบางคีย์ที่สูงๆ ก็ร้องได้หมด ซึ่งถ้าไปถึงได้ น้อยจะรู้สึกดีมาก

     “เมื่อก่อนน้อยจะคิดมากเรื่องคนดูด้วย อย่างเวลาเล่นโชว์ ถ้าเห็นใครเดินออกจากโชว์ก็จะเริ่มเศร้า แต่บางทีอย่างเวลาน้อยไปดูบียอนเซแล้วปวดท้องฉี่ พอถึงเพลงไหนที่เขาร้องแล้วน้อยไม่รู้จัก งั้นไปก่อนละ ขอออกไปฉี่ช่วงนี้แล้วกัน (หัวเราะ) ถ้างั้นเราก็อย่าคิดมากเกินไป เพราะที่คนเดินออกไป ความจริงเขาอาจจะแค่เดินออกไปฉี่ หรือไม่ก็ต้องทำความเข้าใจคนดูด้วยว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เขาเป็นแฟนเพลงของคุณ แต่เขาอาจจะตามเพื่อนเข้ามาดูเราก็ได้”

 

 

ความจริงการขึ้นโชว์ของคุณก็เหมือนการบำบัดจิตใจของตัวเองด้วยเหมือนกันนะ

     “ใช่ฮะ มันเหมือนการบำบัด ซึ่งมันอาจจะออกมาไม่ดีก็ได้ ซึ่งน้อยก็เศร้านะ แต่เวลาที่โชว์มันออกมาดี น้อยก็รู้สึกดีมากเลย เพราะว่าสำหรับน้อย สิ่งที่เราต้องการและพยายามจะไปถึงคือ the perfect show ซึ่งมันยากมากที่เราจะอินกับมันเต็มที่ทุกเพลง คือบางทีไอ้ตัวไม่ดี ไอ้ตัวที่เป็นปีศาจในหัว มันก็เริ่มจะมาแล้ว ซึ่งน้อยก็ต้องเริ่มสู้กับมัน”

 

โชว์ของน้อย วงพรู ที่ไม่ค่อยดีนี่มันเป็นยังไงเหรอ เพราะเท่าที่เคยดู ผมว่ามันก็ออกมาดีทีเดียวนะ

     “บางทีคนดูไม่รู้นะ แต่น้อยกับคนรอบข้างจะรู้ อย่างสมัยยังเป็นวงพรู อีก 3 คนจะรู้เลยถ้าน้อยเริ่มไปแล้ว สมาธิจะเริ่มหลุด สายตาเริ่มไม่โฟกัส เริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะเต้นไม่พลิ้ว แข้งขาเริ่มไม่ไป (หัวเราะ) พอมันเริ่มมา บางทีน้อยก็คิดนะว่าจะออกจากความทุกข์ในใจยังไงดีวะ น้อยเลยจะเปิดตาแล้วร้องเพลง หรือบางทีก็เต้นให้มันเยอะๆ ไปเลยดีกว่า คือเราพยายามทำอะไรสักอย่างให้ไอ้ตัวปีศาจนี้มันออกไป ซึ่งอย่างที่บอกว่าคนดูอาจจะไม่รู้ นึกว่าเป็นฟีล แต่ความจริงเรากำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ (หัวเราะ) แล้วช่วงที่ต่อสู้มันก็แย่ เพราะตอนนั้นเราจะไม่อินกับเพลงสักเท่าไร โคตรซวยเลย”

 

ความจริงการที่ศิลปินขึ้นไปร้องเพลงดูเป็นเรื่องที่น่าจะสร้างความสุข แต่กับคุณ หลายครั้งพอลงจากเวทีมันนำพามาด้วยเรื่องเศร้าๆ ถ้างั้นในวัยแบบนี้ ตกลงคุณต้องการอะไรในการทำอัลบั้มหรือออกไปเพอร์ฟอร์มบนเวที  

     “น้อยว่ามันคุ้มค่าเหลือเกินเวลาที่เราเจอกับ 2 ใน 10 โชว์ที่ออกมาเฟอร์เฟกต์จริงๆ เวลาที่เรารู้สึกว่าได้คอนเน็กต์กับคนดูร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคุ้มค่ามากกับการต่อสู้เพื่อโชว์นั้น คนดูอาจจะไม่รู้ว่าเวลาที่ไปถึงจุดนั้นได้มันรู้สึกสุดยอดจริงๆ เหมือนเราก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง วิญญาณเรามันก็ fly… เหมือนเราอยู่ใน nirvana (นิพพาน) สำหรับศิลปินหลายคน น้อยมองว่าที่เขาอยากขึ้นเวทีกันก็เพราะอยากเจอประสบการณ์แบบนี้ น้อยก็เลยมักจะค้นหาความรู้สึกนั้นบนเวทีอยู่เสมอ

     “แต่ในเวลาเดียวกัน การทำงานศิลปะ หรืออย่างเวลาเล่นคอนเสิร์ต มันก็ต้องมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะทุกคนก็ต้องทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นน้อย ศิลปินระดับมาดอนน่า หรือจัสติน บีเบอร์ อีกอย่างแม้แต่ศิลปินระดับโลก เดี๋ยวนี้เงินที่เขาได้ส่วนใหญ่มันก็มาจากการแสดงคอนเสิร์ตนะฮะ นี่เลยเป็นสาเหตุที่แม้แต่ Guns N’ Roses ยังกลับมาเล่นด้วยกัน (หัวเราะ) ทั้งที่ Slash กับ Axl Rose ก็ไม่ชอบกันเลย หรืออีกวงอย่าง The Police ซึ่ง Sting กับเพื่อนร่วมวงอีก 3 คนเขาก็ไม่ได้ชอบกันเท่าไร แต่ว่าเพื่อเงินก็ยังต้องกลับมา

     แต่พูดแบบนี้เดี๋ยวคนอาจจะเข้าใจผิดหาว่าน้อยกลับมาทำอัลบั้มเพื่อเงิน เพราะบางคนอาจจะรู้ว่าน้อยมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะหน่อย ตรงนี้แล้วแต่คนจะมองนะ แต่คนอาจจะลืมไปว่าน้อยเป็นลูกครึ่งอเมริกันที่แบบ.. พ่อก็ไม่ได้มีสตางค์อะไร แล้วเขาก็สั่งสอนมาว่าเราทุกคนต้องทำงานเพื่อตัวเอง และต้องทำงานด้วยความสนุก น้อยว่าคงเหมือนกับพี่แอ๊ด คาราบาว (ยืนยง โอภากุล) ที่ตอนนี้เขาเป็นเศรษฐีแล้ว แต่ก็ยังเล่นดนตรีเพื่อคนอื่น เพื่อให้คนในวงของเขายังอยู่ได้

     “ฉะนั้นในแง่ของศิลปินกับธุรกิจ เราก็ต้องทำให้มันวิน-วิน มีครั้งหนึ่งที่น้อยเล่นโชว์ไปแล้วก็บอกกับเจ้าของร้านว่าไม่เอาสตางค์ เพราะโชว์นี้น้อยเล่นไม่ดีเลย ซึ่งถ้าเราเป็นนักดนตรีมืออาชีพ ในเมื่อเขาให้เงินคุณมาแสดง แต่ถ้างานออกมาไม่ดี ถ้างั้นน้อยไม่เอาเงินคุณดีกว่า ซึ่งนั่นก็โยงไปถึงปัญหาส่วนตัวของน้อยที่คิดมากว่าคนเขาอุตส่าห์จ่ายเงิน ยูก็ต้องโชว์ให้เต็มที่สิวะ ยูจะมัวคิดถึงแต่ปัญหาส่วนตัวทำไม ทุเรศฉิบหาย”

 

พออัลบั้มเดี่ยวปล่อยออกมา คอนเสิร์ตในระดับที่ใหญ่ขึ้นก็น่าจะตามมาด้วย อีกนานไหมกว่าร่างกายและจิตใจของคุณจะพร้อมสำหรับโชว์ในระดับนั้น

     “ใช่ น้อยกลัวที่สุดเรื่องคอนเสิร์ตนะฮะ (คิด) สมัยก่อนกับ ‘วงพรู’ น้อยไม่รู้สึกกดดันเท่านี้ เพราะในวงน้อยยังมีเพื่อนอีก 3 คน โดยเฉพาะสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) ที่เขาเหมือนเป็นหัวหน้าวง เขาเป็นคนพูดเก่งที่สุด เวลาไปสัมภาษณ์ที่ไหน สุกี้ก็มักจะพูดมากกว่าน้อย บนเวที สุกี้ก็พูดมากกว่าน้อย เพราะเขาเป็นผู้นำที่ดี แต่ตอนนี้พอปล่อยงานอัลบั้มโซโล่ออกมา มันก็ขึ้นอยู่กับน้อยแล้ว…”

 

ตรงนี้น่าจะเป็นอีกเรื่องที่ต้องเตรียมตัว

     “ใช่ฮะ มันเป็นอีกความกดดัน เพราะน้อยพูดไม่เก่ง แต่คิดว่าน่าจะไหวนะฮะ คนที่มาดูเขาเข้าใจคาแรกเตอร์เราว่าพูดไม่เก่ง บางทีก็พูดมั่ว แต่เขาก็เข้าใจ เราแค่ต้องไม่ไปคิดมาก อย่าไปเห็นแก่ตัว น้อยอยากมีคอนเสิร์ตที่ดี

     “ถามว่าตอนนี้พร้อมไหม น้อยยังไม่พร้อมนะ กับวงเราเองตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวน้อยเองก็ยังไม่เต็มร้อย ร่างกายก็ยังไม่พร้อม เสียงร้องก็ยังไม่ดีพอสำหรับโชว์ขนาดใหญ่ เหมือนนักบอลที่หายไปนานแล้วเตรียมตัวกลับมาเล่นใหม่ โค้ชคงยังไม่ให้ยูลงไปเตะเต็มเวลา หรือไม่ยูอาจจะต้องลงไปเล่นกับทีมสำรองก่อน”

 

 

งั้นถ้าพรุ่งนี้คือวันเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยว  

     “น้อยคงกลัว คงเป็นอาการเดียวกับเวลาผู้กำกับลุ้นหนังเข้าฉายอาทิตย์แรกนะฮะ อาจจะต่างกันตรงที่ถ้าเป็นหนัง มันตูมเดียวรู้เรื่องในอาทิตย์แรกเลย ส่วนอัลบั้มเพลงยังใช้เวลาปูทางได้ในระดับหนึ่ง คือเราก็เป็นมนุษย์เนอะ ในเมื่อทำงานออกมาแล้วก็ได้แต่หวังว่ามันจะเวิร์ก แต่ก็อย่างที่น้อยพูดบ่อยๆ ว่าถ้าปล่อยออกมาแล้วแป้ก ไม่มีเพลงไหนเวิร์กเลย น้อยก็คงเศร้าแบบมโหฬาร “อะไรวะ กูจะไม่ทำเพลงแล้วว่ะ” พูดจริงๆ นะว่าน้อยก็ไม่รู้ว่า… น้อยจะเขียนเพลงต่อไปทำไม เพราะ ‘ไอ’ ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

     “น้อยคิดว่าอัลบั้มนี้น้อยทำดีที่สุดแล้วสำหรับตลาดในบ้านเรา เพราะน้อยไม่ได้พยายามจะทำเพลงเหมือนในอัลบั้มชุดที่ 2 ของวงพรูที่ฟังยาก แต่อัลบั้มนี้น้อยพยายามจะทำเพลงป๊อปคุณภาพที่คนในบ้านเราน่าจะคอนเน็กต์กับมันได้ ซึ่งถ้าออกมาแล้วเกิดไม่เวิร์กจริงๆ น้อยก็ไม่รู้จะเขียนเพลงยังไงแล้ว เพราะถ้าต้องไปร้องเพลงที่คนอื่นทำให้ มันคงไม่สนุก แล้วน้อยก็ไม่ชอบ เพราะน้อยรู้สึกเหมือนไม่ได้คอนเน็กต์กับมัน”

 

คุณคิดว่าใครคือแฟนเพลงที่กำลังรอคอยอัลบั้มเดี่ยวของ ‘น้อย วงพรู’ หลังจากคุณหายจากงานสตูดิโออัลบั้มไปนานเกือบจะสิบปี  

     “แฟนเพลงวงพรูสิที่คาดหวัง คนเจเนอเรชันใหม่น้อยไม่ได้คาดหวังมาก แต่เหมือนที่เพิ่งบอกแหละฮะ คือไม่ว่าศิลปินจะอินดี้หรือไม่อินดี้ เวลาทำเพลงในอัลบั้ม เราอยากทำเพื่อกลุ่มแฟนเพลงที่เขาน่าจะรอฟัง แต่เมื่อไรก็ตามที่มันครอสโอเวอร์ไปคอนเน็กต์กับอีกกลุ่มได้ ตรงนั่นคือความโชคดีมาก เพราะน้อยอยากให้เพลงคอนเน็กต์กับคนได้ แล้วถ้ามันทำได้มากกว่าเพลงหนึ่งก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะลงท้ายแล้วน้อยไม่ได้เป็น one hit wonder นะ แต่น้อยรู้สึกว่าตัวเองเป็น one album hit wonder หมายถึงอัลบั้มชุดแรกที่มันมีเพลงฮิต หรือมีหลายเพลงที่คนฟังชอบ มันเลยทำให้น้อยอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้

 

ถึงผ่านเวลาไปนานแล้ว แต่ ‘วงพรู’ น่าจะยังมีความหมายกับคุณมาก

     “วงพรูเป็นตำนานสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วน้อยเองก็เข้าใจและเคารพว่าถ้าไม่มีเพื่อนร่วมวงอีก 3 คน น้อยคงไม่สามารถแจ้งเกิดและมาถึงจุดนี้ได้ อีกอย่างบางคนอาจจะคิดว่านักดนตรีเวลายุบวงแล้วมาทำอัลบั้มเดี่ยวต่อมักจะไม่เวิร์ก มันเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่น้อยไม่คิดอย่างนั้นนะ เพราะมันก็มีทั้งคนที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับเพลงของคุณว่าดีหรือไม่ดี   

     “การทำอัลบั้ม ไม่ว่ายังไงตัวเพลงก็สำคัญที่สุด

     “ในเวลาเดียวกัน น้อยก็ยังอยากเป็น ‘น้อย วงพรู’ เวลาที่ไปเล่นแต่ละงาน เขาก็ต้องทำโปสเตอร์โปรโมต ซึ่งน้อยไม่อยากเป็น ‘น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์’ หรือ ‘น้อย กฤษดา’ …น้อยว่ามันแปลกๆ น้อยไม่ชอบ น้อยชอบความเป็น ‘น้อย วงพรู’

     “โชคดีที่สมาชิกวงอีก 3 คนเขาไม่มีปัญหา ถ้าจะใช้ชื่อว่า ‘น้อย วงพรู’  ผมหมายถึงไม่ใช่ใช้ชื่อ ‘พรู’ อย่างเดียวนะครับ แต่ต้องเป็น ‘น้อย วงพรู’ (หัวเราะ) ส่วนชื่อที่จะใช้ตอนอัลบั้มเดี่ยว ตอนนี้ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะใช้ชื่อแค่ว่า ‘น้อย’ แล้วตามด้วยอะไรบางอย่าง ชื่ออัลบั้มยังไม่รู้อีกเหมือนกันฮะว่าจะมีหรือเปล่า ยังคิดไม่ออก (ยิ้ม) ส่วนโปรโมตตอนเล่นโชว์ ถ้าใครจะใช้ชื่อว่า ‘น้อย พรู’ น้อยก็แฮปปี้กับตรงนั้น เพราะเราก็เกิดมาจากวงพรู”

 

     (ติดตามตอน 3 เร็วๆนี้)

The post ดนตรีและตัวตนบนความอ่อนไหวของ ‘น้อย วงพรู’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/culture-music-interview-noi-pru-2/feed/ 0