ถ้าคุณยังไม่คุ้นกับชื่อ อาดุต อาเคช เราว่ามันถึงเวลาแล้วที่คุณต้องลองทำความรู้จักเธอคนนี้และรีบตามไปกดฟอลโลว์เธอในอินสตาแกรม @adutakech ด่วนๆ เพราะอาดุตกำลังจะเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่คิวแน่นที่สุดในยุคนี้

อาดุตได้ไปเดินบนรันเวย์โชว์ของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำหลากหลายตั้งแต่ Chanel, Saint Laurent, Chloé และอีกมากมายจนกลายเป็นขวัญใจของวงการแฟชั่น ทั้งบทความที่พูดถึงเกี่ยวกับประวัติชีวิตของเธอ วิดีโอแนะนำตัว วิธีดูแลตัวเองตามแบบฉบับของอาดุต ไปจนถึงการที่สำนักข่าว CNN ถึงกับบอกว่าเธอกำลังจะเป็นนางแบบผู้สร้างประวัติศาสตร์แฟชั่นเลยทีเดียว

ทำไมทุกคนจึงให้ความสนใจอาดุตขนาดนั้น นั่นก็เป็นเพราะเธอไม่ใช่นางแบบทั่วไปที่เราเห็นบนรันเวย์ ไม่ใช่ทั้งด้วยลุคของเธอและความเป็นตัวเธอ เอ็ดเวิร์ด เอ็นนินฟูล บรรณาธิการบริหารของ British Vogue เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “อาดุตไม่เหมือนใคร ไม่ใช่แค่เธอเป็นคนที่สวยอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เธอยังมีความอ่อนหวานที่ส่งผ่านภาพถ่ายออกมาได้ ถ้านาโอมิ แคมป์เบลล์ กับอเล็ก เว็ก มีลูกก็น่าจะออกมาเป็นอาดุตนี่แหละ”

อาดุต อาเคช เป็นนางแบบหน้าใหม่ วัย 18 ปี เธอเป็นลูกครึ่งซูดาน-ออสเตรเลีย ทำให้เธอมีลุคที่โดดเด่นจากนางแบบส่วนมาก ทั้งผิวสีเข้ม ริมฝีปากหนา และฟันห่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ อาดุตโตมาในค่ายผู้ลี้ภัยที่ประเทศเซาท์ซูดาน และด้วยเหตุการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศทำให้เธอต้องย้ายไปอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยคาคูม่าในเคนยา ภายหลังเธอและแม่พร้อมทั้งญาติอีก 5 คนตัดสินใจย้ายไปอาศัยในเมืองแอดิแลด ประเทศออสเตรเลีย

อาดุตเข้าโรงเรียนใหม่ในออสเตรเลีย ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสัญชาติและที่มาของเธอที่แตกต่างจากคนอื่นทำให้อาดุตเจอกับปัญหามากมาย ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการที่เธอต้องเปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่ตอน 6 ขวบจากอาดุตเป็นแมรี่ เพราะครูที่โรงเรียนไม่สามารถอ่านชื่อเธอได้ ไปจนถึงการโดนล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์ที่แปลกตาสำหรับเพื่อนคนอื่น ถึงอย่างนั้นเธอก็เคยผ่านงานถ่ายปกนิตยสารของออสเตรเลียมาก่อน ซึ่งในครั้งนั้นเธอยังโดนพนักงานในสำนักพิมพ์พูดถึงว่า “หน้าตาของเธอไม่ดึงดูดผู้อ่าน”

ปี 2017 อาดุตในวัย 17 ปีก็สามารถจุดประเด็นความสนใจในวงการแฟชั่นเมื่อเธอไปเดินแบบให้กับ Saint Laurent ในงาน Paris Fashion Week ซึ่งเธอถูกเลือกให้เป็นนางแบบที่เดินปิดรันเวย์เป็นคนสุดท้ายของโชว์ โดยก่อนหน้าโชว์ในครั้งนี้อาดุตเพิ่งเซ็นสัญญากับโมเดลลิ่งไปได้ราว 1 ปี และกลายเป็นนางแบบที่ทุกแบรนด์จองตัว ผลปรากฏว่าเธอเดินแบบไปถึง 16 โชว์ภายหลังการเซ็นสัญญาแค่ 1 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อาดุตก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ถึงฉันจะกลายเป็นนางแบบที่รวยที่สุดในโลก ฉันก็ยังคงเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ดี เพราะฉันคือผู้ลี้ภัย”

ล่าสุดในโชว์ Chanel Haute Couture Fall 2018 ที่ปารีส อาดุตก็ถูกสื่อจับตามองอีกครั้ง เมื่อเธอได้เป็นนางแบบผิวสีคนที่สองที่มีโอกาสได้เดินปิดโชว์ให้กับ Chanel Couture โดยนางแบบผิวสีคนแรกคือ อเล็ก เว็ก นางแบบหน้าเก๋สัญชาติซูดานที่ได้เดินปิดโชว์ Chanel Couture ไปเมื่อปี 2004 และเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นอกจากนี้อาดุตยังติดอันดับ Business of Fashion’s (BoF) Annual 500 List บุคคลสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวงการแฟชั่นอีกด้วย

อาดุต อาเคช ที่งาน Met Gala 2018 (Photo: www.pinterest.com)

อาดุตเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในวงการแฟชั่นตอนนี้ วงการแฟชั่นไม่ได้ต้องการนางแบบที่เป็นเหมือนไม้แขวนเสื้อหน้าตาเหมือนกันเสมอไป แต่เรากำลังอยู่ในยุคที่ความแตกต่างและความหลากหลายทั้งทางสัญชาติ รูปร่าง หน้าตา เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องถูกพูดถึงบนรันเวย์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการตลาดหรืออะไรก็ตาม แต่เทรนด์ที่เปิดกว้างครั้งนี้ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นนางแบบนายแบบที่สวยงามในแบบที่พวกเขาเป็นจริงๆ และนั่นก็เป็นผลดีต่อค่านิยมในสังคมที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย

อาดุตให้สัมภาษณ์ว่า “มันต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ แต่มันก็ทำให้ฉันภูมิใจที่ได้เป็นนางแบบในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่ฉันมีส่วนในการเปลี่ยนแปลง”

นอกจากความเก๋ของเธอแล้ว ถ้าคุณได้รู้จักอาดุตตามบทสัมภาษณ์และวิดีโอ จะเห็นว่าเธอเป็นคนที่น่ารักจากภายในและดูเข้าถึงง่ายเหมือนที่เธอเคยให้สัมภาษณ์จริงๆ

นอกจากนี้เธอยังตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้มากกว่าแค่การเป็นนางแบบแฟชั่น แต่เธออยากเรียนธุรกิจ เปิดโรงเรียนในซูดาน เป็นนักข่าว และสนับสนุนให้ผู้หญิงกล้าลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ

“ฉันอยากบอกผู้หญิงทุกคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับฉันและผู้หญิงที่ไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองว่า แทนที่คุณจะเกลียดรูปลักษณ์ของตัวเองและพยายามที่จะปกปิดมัน คุณควรจะน้อมรับและภูมิใจในสิ่งที่คุณเป็น อย่ายอมให้คนอื่นมาตัดสินความเป็นคุณ”

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post Adut Akech นางแบบผู้ลี้ภัยที่ให้นิยามความงามแบบใหม่ในวงการแฟชั่น appeared first on THE STANDARD.