นวัตกรรม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 18 Jan 2025 06:30:56 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 SkinGPT นวัตกรรมใหม่ปฏิวัติวงการสกินแคร์ด้วย AI https://thestandard.co/life/skingpt-ai-skincare Sat, 18 Jan 2025 06:30:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1031648 การจำลองผลลัพธ์สกินแคร์ด้วย SkinGPT

Haut.AI บริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโซลูชัน […]

The post SkinGPT นวัตกรรมใหม่ปฏิวัติวงการสกินแคร์ด้วย AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
การจำลองผลลัพธ์สกินแคร์ด้วย SkinGPT

Haut.AI บริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโซลูชัน AI สำหรับอุตสาหกรรมความงามและสกินแคร์ เปิดตัว SkinGPT เทคโนโลยี AI ที่จะมาเปลี่ยนโฉมวงการสกินแคร์ด้วยการพิสูจน์ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการหลักฐานยืนยันก่อนตัดสินใจซื้อ โดยจุดเด่นของ SkinGPT คือ

 

  • สามารถจำลองผลการใช้ผลิตภัณฑ์บนผิวได้อย่างแม่นยำ ทั้งด้านริ้วรอย สิว และจุดด่างดำ
  • รองรับการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แบบเสมือนจริงผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
  • ช่วยแบรนด์พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ก่อนทำการทดลองทางคลินิก
  • สร้างภาพก่อน-หลังใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว

 

Anastasia Georgievskaya CEO ของ Haut.AI เผยว่า SkinGPT ใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงในการจำลองผลลัพธ์การใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายความละเอียดสูงกว่า 3 ล้านภาพ รวมถึงข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและภาพเซลฟีจากผู้ใช้จริง ยังมีแผนขยายการใช้งานไปสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และกำลังพัฒนาระบบจำลองผลของส่วนผสมต่างๆ เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด เรตินอล รวมถึงการผสมผสานระหว่างคาเฟอีนและวิตามินเค เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมมากขึ้นด้วย

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง

The post SkinGPT นวัตกรรมใหม่ปฏิวัติวงการสกินแคร์ด้วย AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
CHANEL เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ Red Camellia Cream สู่ผิวอิ่มเอิบ มาพร้อมอุปกรณ์นวดผิวสุดปังที่น่าลอง https://thestandard.co/chanel-red-camellia-cream-launch/ Wed, 08 Jan 2025 04:21:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1028131 CHANEL

CHANEL ยกระดับการดูแลผิวด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในคอ […]

The post CHANEL เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ Red Camellia Cream สู่ผิวอิ่มเอิบ มาพร้อมอุปกรณ์นวดผิวสุดปังที่น่าลอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
CHANEL

CHANEL ยกระดับการดูแลผิวด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในคอลเล็กชัน N°1 DE CHANEL โดยนำเสนอครีมสูตรพิเศษเพื่อสร้างผิวที่อิ่มเอิบและอุปกรณ์นวดหน้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมความงามที่ผสานพลังธรรมชาติ จากการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยเวียนนายาวนานถึง 12 ปี ทีมนักวิจัยของ CHANEL ค้นพบประสิทธิภาพอันทรงพลังของสารสกัดจากดอกคาเมลเลียสีแดง ที่ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาของเซลล์ได้ถึง 67% พร้อมเสริมการทำงานของกลไกธรรมชาติในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้ถึง 63% ช่วยต้านการเกิดภาวะชราภาพของผิวตั้งแต่ระดับเซลล์

 

ไฮไลต์สำคัญในครั้งนี้คือ N°1 DE CHANEL Red Camellia Cream ครีมสูตรใหม่ที่อุดมด้วยสารสกัดจากดอกคาเมลเลียสีแดงและเซราไมด์ มอบความชุ่มชื้นและเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ด้วยเนื้อครีมเบาสบายที่ซึมซาบรวดเร็ว ใช้คู่กับ Revitalizing Serum เซรั่มเข้มข้นที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสและลดเลือนริ้วรอย

 

นอกจากนี้ CHANEL ยังแนะนำอุปกรณ์นวดหน้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติกว่า 85% ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมผลิตภัณฑ์และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต พร้อมเปิดตัวเซ็ตลิมิเต็ดเอดิชันที่รวมอายเซรั่มและเซรั่มในขนาดพกพา บรรจุในกระเป๋าสุดชิคสำหรับพกพาเพื่อเดินทางโดยเฉพาะ

 

ภาพ: Courtesy of CHANEL Beauty

The post CHANEL เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ Red Camellia Cream สู่ผิวอิ่มเอิบ มาพร้อมอุปกรณ์นวดผิวสุดปังที่น่าลอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
CNN จับตานักวิจัยไทย พลิกโฉมคัดกรองความเครียดด้วย ‘เหงื่อ’ https://thestandard.co/cnn-stress-sweat-thai-researcher/ Mon, 23 Dec 2024 09:32:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1022619

นวัตกรรมการแพทย์ครั้งสำคัญของประเทศไทยได้รับการยอมรับใน […]

The post CNN จับตานักวิจัยไทย พลิกโฉมคัดกรองความเครียดด้วย ‘เหงื่อ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

นวัตกรรมการแพทย์ครั้งสำคัญของประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เมื่อ CNN สื่อระดับโลกให้ความสนใจสัมภาษณ์ รศ. ดร.ชฎิล กุลสิงห์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อ. ดร. พญ.ภัทราวลัย สิรินารา ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้คิดค้นนวัตกรรมที่ตรวจวัดความเครียดจากสารเคมีในเหงื่อ ร่วมกับ อ. ดร. นพ.ชาวิท ตันวีระชัยสกุล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์, ผศ. ดร.สิระ ศรีสวัสดิ์ ฝ่ายวิจัย, Prof. Dr.Michael Maes คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.ณัฐนี ตั้งกิจอนันต์สิน คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

“ปกติการคัดกรองสุขภาพจิตไม่เพียงพอ และการที่ทุกคนจะเข้าถึงและพบจิตแพทย์ก็ยากเนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรด้านจิตเวชในประเทศไทย นอกจากนี้แนวทางการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยด้วยการสัมภาษณ์ยังขึ้นกับดุลพินิจของจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ทำให้ผลการวินิจฉัยอาจแตกต่างกันและไม่อาจสรุปได้อย่างแม่นยำ เราจึงพยายามหาวิธีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพสูง ราคาไม่แพง เพื่อใช้ในการคัดกรองสภาวะทางจิตก่อนพบจิตแพทย์ ซึ่งเราพบว่าวิธีการตรวจหาสารเคมีจากกลิ่นเหงื่อเป็นวิธีที่น่าสนใจ เพราะเป็นวิธีที่ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดให้เจ็บตัว และสามารถวัดผลจากสิ่งที่จับต้องได้จริงๆ มีความคลาดเคลื่อนน้อย” อ. ดร. พญ.ภัทราวลัย กล่าว

 

นวัตกรรมนี้ใช้เพียงก้านสำลีเก็บตัวอย่างเหงื่อจากรักแร้ 15 นาที สามารถตรวจพบสารเคมีที่บ่งชี้ภาวะเครียดได้อย่างแม่นยำสูง แก้ปัญหาการคัดกรองแบบเดิมที่ต้องพึ่งการสังเกตพฤติกรรมและการประเมินจากจิตแพทย์

 

อีกทั้งบริการทางจิตแพทย์ไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทีมวิจัยได้ทดสอบกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 1,000 คน จาก 48 สถานีในกรุงเทพฯ และพยาบาลกว่า 1,000 คนจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ

 

การที่ CNN ให้ความสนใจครั้งนี้ สะท้อนศักยภาพของนักวิจัยไทยในเวทีโลก และความสำคัญของการค้นพบที่จะยกระดับการดูแลสุขภาพจิตของประชากรโลก โดยเฉพาะในยุคที่ปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นับเป็นความภาคภูมิใจของวงการแพทย์ไทยที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก

 

ชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=pIdl0Hyzi5Q&t=19s

 

The post CNN จับตานักวิจัยไทย พลิกโฉมคัดกรองความเครียดด้วย ‘เหงื่อ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
4 เช็กลิสต์ตรวจสอบความยั่งยืนที่ต้องมีสำหรับซีอีโอ https://thestandard.co/ceo-sustainability-checklist-2024/ Thu, 12 Dec 2024 07:50:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1018893

การเปลี่ยนแปลงทั่วโลกสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่เพียงเป็นส […]

The post 4 เช็กลิสต์ตรวจสอบความยั่งยืนที่ต้องมีสำหรับซีอีโอ appeared first on THE STANDARD.

]]>

การเปลี่ยนแปลงทั่วโลกสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่เพียงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ยังเปิดโอกาสสำคัญมากมายให้กับการลงทุน การสร้างนวัตกรรม และการเติบโต โดยข้อมูลจากรายงานผลสำรวจซีอีโอทั่วโลกครั้งล่าสุดของ PwC พบว่า 58% ของซีอีโอเสร็จสิ้นหรือเริ่มดำเนินการโครงการเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ หรือเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และตอบสนองความต้องการของตลาดที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้มากขึ้น

 

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ล่าสุดของ PwC แสดงให้เห็นว่า การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศมีผลในเชิงบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้น เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศอื่นๆ ทั้งในระดับบุคคลและเมื่อวิเคราะห์ในภาพรวม

 

การวิเคราะห์ล่าสุดของ PwC

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของการดำเนินการด้านความยั่งยืน โดยจากรายงานผลสำรวจ Global Investor Survey 2023 ของ PwC พบว่า 69% ของนักลงทุนเต็มใจที่จะเพิ่มการลงทุนในบริษัทที่มีการจัดการด้านความยั่งยืนที่มีผลการดำเนินงานที่ดี อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่ซับซ้อนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและกฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เช่น มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนขององค์กรของสหภาพยุโรป (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD) ยังคงเป็นความท้าทายที่ทำให้ซีอีโอต้องมีความพร้อมในการจัดการ โดยผมจะขอนำบทความ The CEO’s sustainability checklist ของ PwC ที่พูดถึงการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เป็นไปในทิศทางที่ยั่งยืน เริ่มต้นด้วยการดำเนินการสำคัญ 4 ประการ มาแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารและคุณผู้อ่านที่สนใจ ดังต่อไปนี้

 

  1. ประเมินความต้องการด้านพลังงาน

 

เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบการใช้ทรัพยากรและพลังงานขององค์กรอย่างละเอียด โดยพิจารณาใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การจัดหาแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และการลดค่าใช้จ่าย จากนั้นใช้ 4 แนวทางด้านล่างในการพิจารณาปรับเปลี่ยนการจัดการด้านพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วย

  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • ติดตั้งแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
  • ขยายผลไปสู่การซื้อขายพลังงานหรือบริการด้านพลังงาน
  • ปรับเปลี่ยนยานพาหนะต่างๆ ภายในองค์กร เช่น รถยกของให้เป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

 

  1. ตรวจสอบการพึ่งพาที่ซ่อนอยู่และความเสี่ยงแฝงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

แม้ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะกำลังพัฒนาสินค้า บริการ หรือเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีเพียงส่วนน้อยที่เริ่มต้นหรือมีแผนรวมความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการวางแผนทางการเงิน รวมถึงมีแผนป้องกันภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลต่อทรัพย์สินทางกายภาพและพนักงาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบริษัทจำนวนน้อยมากที่ลงทุนในโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นจุดบอดที่สำคัญมาก โดยการศึกษาของ PwC พบว่า 55% ของ GDP โลก (หรือราว 58 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) นั้นพึ่งพาระบบนิเวศทางธรรมชาติ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ, ป่าไม้, มหาสมุทร และชั้นหินอุ้มน้ำ ในระดับปานกลางหรือสูง ซึ่งนั่นหมายความว่า การหยุดชะงักในระบบนิเวศอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้

 

นอกจากนี้ ภัยคุกคามด้านสภาพภูมิอากาศต่อสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พืชอาหาร โลหะสำคัญ และแร่ธาตุที่จำเป็น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังเพิ่มอัตราการเกิดความเครียดจากความร้อนและภัยแล้งในฟาร์มและเหมืองทั่วโลก ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจซ่อนเร้น ซึ่งหากผู้บริหารขาดการมีมุมมองที่ครอบคลุมและข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับกิจกรรมด้านความยั่งยืนของบริษัท ก็จะทำให้ไม่สามารถระบุความเสี่ยงที่เกิดจากธรรมชาติในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนได้

 

  1. ค้นหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรม

 

เราคงต้องยอมรับว่ายังมีซีอีโอบางรายที่เชื่อว่าการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมของบริษัทนั้นต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายสูง แต่จากการศึกษาของ PwC แสดงให้เห็นว่า การดำเนินการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถมีผลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานทางการเงินได้ ด้วยเหตุนี้ซีอีโอควรต้องแสวงหาโอกาสในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน ในยุคที่เศรษฐกิจจะยิ่งเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่มีคาร์บอนต่ำมากขึ้น

 

  1. บูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล

 

การขาดความพร้อมใช้งานและคุณภาพของข้อมูลถือเป็นอุปสรรคสำคัญของซีอีโอในการจัดทำรายงานความยั่งยืน โดยข้อมูลจาก Global Investor Survey 2023 ของ PwC พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 94% กล่าวว่า ตนไม่ได้รับข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัท ซึ่งการขาดข้อมูลที่ละเอียด ตรวจสอบได้ หรือไม่ได้ถูกรวบรวมอย่างเป็นระเบียบตามห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท จะทำให้การคำนวณการปล่อยมลพิษ การใช้พลังงาน การลดทรัพยากร และผลกระทบอื่นๆ เกิดความคลาดเคลื่อน และยังเป็นเหตุผลที่บริษัทไม่สามารถบรรลุการลดก๊าซคาร์บอนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ ผู้บริหารควรต้องมีแผนเพื่อบูรณาการระบบ กระบวนการตรวจสอบ และโครงสร้างทีมใหม่ โดยบางบริษัทอาจเพิ่มศักยภาพของระบบที่กำลังใช้งานสำหรับข้อมูลทางการเงิน ขณะที่บริษัทอื่นๆ ควรพิจารณาการสร้างคลังข้อมูลกลาง (Data Lake) ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงกิจกรรมการจัดหาข้อมูล การจัดการ และการรายงานเข้าด้วยกัน

 

คุณผู้อ่านจะเห็นว่า กรอบความคิด (Mindset) ของการเปลี่ยนไปสู่รูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนนั้น ควรเริ่มต้นไม่ใช่ด้วย ‘ภารกิจที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด’ แต่ด้วย ‘การดำเนินการที่เป็นรูปธรรม’ 4 ประการอย่างที่กล่าวไปข้างต้น โดยถึงแม้ว่าซีอีโอจะต้องเผชิญกับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและกฎระเบียบใหม่ๆ ที่เข้มข้นขึ้น ผมก็หวังว่าเช็กลิสต์นี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้ประโยชน์ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั่วทั้งธุรกิจ รวมถึงสร้างความมั่นใจถึงความยั่งยืนของบริษัทในอนาคตและของโลกได้มากขึ้น

 

ภาพ: meeboonstudio / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post 4 เช็กลิสต์ตรวจสอบความยั่งยืนที่ต้องมีสำหรับซีอีโอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ส่องงาน re:Invent 2024 ของ Amazon Web Services นวัตกรรมใหม่มีอะไรบ้าง | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-08122024/ Sun, 08 Dec 2024 02:00:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1016622 AWS re:Invent 2024

THE STANDARD พาไปชมงาน re:lnvent 2024 ของ Amazon Web Se […]

The post ชมคลิป: ส่องงาน re:Invent 2024 ของ Amazon Web Services นวัตกรรมใหม่มีอะไรบ้าง | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
AWS re:Invent 2024

THE STANDARD พาไปชมงาน re:lnvent 2024 ของ Amazon Web Services บริษัทในเครือ Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ไฮไลต์สำคัญจะมีอะไรบ้าง

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ส่องงาน re:Invent 2024 ของ Amazon Web Services นวัตกรรมใหม่มีอะไรบ้าง | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
Microsoft เปิดตัวนวัตกรรม AI ใหม่กว่า 80 รายการ ในงาน Microsoft Ignite 2024 https://thestandard.co/microsoft-ignite-2024-ai-innovations/ Tue, 19 Nov 2024 14:58:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1010562 Microsoft Ignite

Microsoft เปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่กว่า 80 รายการ […]

The post Microsoft เปิดตัวนวัตกรรม AI ใหม่กว่า 80 รายการ ในงาน Microsoft Ignite 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Microsoft Ignite

Microsoft เปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่กว่า 80 รายการ รวมถึงความสามารถใหม่ๆ ใน Microsoft 365 Copilot, Copilot + AI Stack และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ในงาน Microsoft Ignite 2024 ท่ามกลางโลกของ AI ที่กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และเทรนด์ที่ลูกค้าหลายแสนรายกำลังใช้เทคโนโลยี AI ของ Microsoft 

 

Microsoft 365 Copilot คือผู้ช่วย AI ในการทำงานที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีบริษัทใน Fortune 500 ประมาณ 70% ที่ใช้งาน Microsoft 365 Copilot สะท้อนให้เห็นความต้องการในตลาด

 

ผลการศึกษาของ IDC ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Generative AI เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2024 กลุ่มบริษัทมีอัตราการใช้งานถึง 75% อีกทั้งบริษัทที่ใช้งาน AI อยู่ระบุว่า ในเงินทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนกับ Generative AI บริษัทได้รับประโยชน์กลับมามากถึง 3.70 ดอลลาร์ กระทั่งมีผู้นำองค์กรหลายรายระบุว่าได้รับประโยชน์สูงถึง 10 ดอลลาร์

 

เมื่อเร็วๆ นี้ Microsoft นำเสนอกรณีศึกษาการใช้ AI เพื่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วย Copilot เช่น บริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ที่กำลังพัฒนา Agent เพื่อย่นระยะเวลาในกระบวนการเพิ่มลูกค้าเข้าสู่ระบบ ซึ่งช่วยลดเวลาดำเนินการลงได้ถึง 90% และลดเวลาการทำงานเอกสารลง 30% โดย Agent จะเดินหน้าจัดการงานให้โดยอัตโนมัติ เช่น ระบุผู้เชี่ยวชาญและจัดทีมงานให้กับลูกค้า ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับทีมงานในการสอบถามและติดตามผล ช่วยให้พนักงานประหยัดเวลา และเอาเวลาที่ได้คืนมาไปดูแลลูกค้าให้ใกล้ชิดมากขึ้น

 

นอกจากนี้ Microsoft ยังเดินหน้าพัฒนาความสามารถใหม่ๆ ใน Microsoft 365 Copilot อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดความซับซ้อนของภาระงานในแต่ละวัน

 

Copilot Actions (ปัจจุบันอยู่ในช่วงพรีวิวการทดลองใช้งานเฉพาะกลุ่ม) ช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานประจำวันแบบอัตโนมัติได้ง่ายๆ เพียงแค่กรอกคำสั่งในช่องว่าง ไม่ว่าจะเป็นการสรุปการประชุมแบบรายวันใน Microsoft Teams การรวบรวมรายงานประจำสัปดาห์ หรือสรุปการประชุม การพูดคุย และอีเมลต่างๆ เมื่อกลับจากวันหยุดพักร้อน

 

ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า Actions ได้ในแอปพลิเคชัน Microsoft 365 และใช้เวลาไปกับงานที่สำคัญกว่า เพื่อช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพ

 

Agent ใหม่ใน Microsoft 365 ออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งาน และยกระดับการทำงานให้กับธุรกิจ โดยสิ่งที่ Microsoft จะเปิดตัวในงาน Ignite ครั้งนี้ ได้แก่

 

  • Agent in SharePoint: ผู้ช่วย AI ที่มีศักยภาพใช้ภาษาธรรมชาติ ซึ่งจะทำงานโดยใช้ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ ไฟล์ และโฟลเดอร์ SharePoint ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ใช้งานหาคำตอบจากเนื้อหาเหล่านั้นได้ง่ายและตัดสินใจได้เร็วขึ้น ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว โดยทุกๆ ไซต์ของ SharePoint จะมี Agent ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับเนื้อหานั้นๆ ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง Agent ที่กำหนดเองได้โดยเลือกไฟล์ โฟลเดอร์ หรือไซต์ SharePoint ที่ต้องการได้ง่ายๆ ด้วยการคลิกแค่ครั้งเดียว
  • Interpreter: ฟีเจอร์ผู้ช่วยใน Teams เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกข้อจำกัดด้านภาษาได้ด้วยการแปลคำพูดภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งแบบเรียลไทม์ระหว่างการประชุม โดยจะเปิดให้บริการเวอร์ชันพรีวิวสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในช่วงต้นปี 2025 และยังสามารถเลือกเสียงที่แปลออกมาให้เป็นเสียงของตนเองได้อีกด้วย
  • The Employee Self-Service Agent: ผู้ช่วยนี้อยู่ในระหว่างการทดลองใช้งานบน Business Chat เพื่อให้ตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ได้เร็วขึ้น และลดความซับซ้อนในการทำงานของฝ่ายทรัพยากรบุคคลและไอที เช่น การอธิบายสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้พนักงาน ฟีเจอร์นี้สามารถปรับแต่งได้ใน Copilot Studio เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร
  • ผู้ช่วยอื่นๆ ในเวอร์ชันที่เปิดพรีวิวสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป มีทั้งฟังก์ชันจดบันทึกการประชุมแบบเรียลไทม์ใน Teams และการจัดการโครงการแบบอัตโนมัติได้ตั้งแต่ต้นจนจบใน Planner

 

Copilot + AI Stack  

 

Copilot Stack ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการทำงาน โดย Microsoft สร้าง Azure AI Foundry เพื่อให้ลูกค้าออกแบบ ปรับแต่ง และจัดการระบบ AI ได้อย่างสะดวก พร้อมทั้งสามารถใช้บริการเครื่องมือต่างๆ ของ Azure AI ที่มีอยู่เดิม รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเพิ่มเข้ามา ได้แก่

 

  • Azure AI Foundry SDK: เวอร์ชันทดลองที่เพิ่งเปิดตัว เป็นชุดเครื่องมือครบวงจรสำหรับองค์กรที่ช่วยให้ออกแบบและปรับแต่งแอปพลิเคชันและผู้ช่วย AI ได้ตามต้องการ สามารถจัดการระบบ AI ได้ และควบคุมการทำงานได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ Foundry ยังมีแอปพลิเคชันสำเร็จรูป 25 แบบให้เลือกใช้ ทำให้การเขียนโค้ดทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถเข้าถึงได้จากเครื่องมือที่นักพัฒนาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น GitHub, Visual Studio และ Copilot Studio
  • Azure AI Foundry Portal (เดิมชื่อ Azure AI Studio): เปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันทดลองกับอินเตอร์เฟซการใช้งานแบบภาพกราฟิกที่ครอบคลุม เพื่อช่วยให้นักพัฒนาค้นหาโมเดล AI บริการและเครื่องมือต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้นจากการมีแดชบอร์ดศูนย์กลางที่รวมข้อมูลสำคัญทั้งหมดไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับทีมไอที ทีมปฏิบัติการ และทีมกำกับดูแล ในการจัดการแอปพลิเคชัน AI ขององค์กรขนาดใหญ่
  • Azure AI Foundry Agent Service: เป็นบริการใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวเวอร์ชันทดลองเร็วๆ นี้ บริการนี้จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานธุรกิจ โดยใช้ผู้ช่วย AI ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถจัดการ ติดตั้ง และปรับขยายการทำงานได้ตามต้องการ

 

Microsoft ยังคงพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้ AI ที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย โดยเปิดตัวระบบรายงาน AI และระบบประเมินความเสี่ยงสำหรับรูปภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎระเบียบ ซึ่งระบบรายงาน AI จะช่วยให้องค์กรสามารถติดตาม ร่วมมือ และควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชัน AI รวมถึงโมเดลที่ได้รับการปรับแต่งได้ดียิ่งขึ้น 

 

 

The post Microsoft เปิดตัวนวัตกรรม AI ใหม่กว่า 80 รายการ ในงาน Microsoft Ignite 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Disrupt Health Impact Fund ปิดดีลแรก ลงทุน DiaMonTech สตาร์ทอัพผู้พัฒนานวัตกรรมวัดระดับกลูโคสแบบแม่นยำโดยไม่ต้องเจาะเลือด https://thestandard.co/disrupt-fund-diamontech-glucose-innovation/ Wed, 13 Nov 2024 02:52:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1008008 Disrupt Health Impact Fund

Disrupt Technology Venture หรือ Disrupt เดินหน้ายกระดับ […]

The post Disrupt Health Impact Fund ปิดดีลแรก ลงทุน DiaMonTech สตาร์ทอัพผู้พัฒนานวัตกรรมวัดระดับกลูโคสแบบแม่นยำโดยไม่ต้องเจาะเลือด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Disrupt Health Impact Fund

Disrupt Technology Venture หรือ Disrupt เดินหน้ายกระดับระบบนิเวศเฮลท์แคร์ หลังเปิดตัวกองทุน Disrupt Health Impact Fund เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งล่าสุดประกาศเข้าลงทุนในบริษัท DiaMonTech สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด

 

ด้านพันธมิตรร่วมลงทุนกองทุน Disrupt Health Impact Fund เผยว่ามีนักลงทุนร่วมเพิ่มจาก 4 เป็น 7 ราย และยังคงเปิดรับพันธมิตรเพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบดูแลรักษาสุขภาพ (Healthcare) ของเมืองไทยให้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) ด้านการดูแลสุขภาพระดับโลก พร้อมมองหาโอกาสลงทุนในบริษัท DeepTech ด้านเฮลท์แคร์ในไทยและต่างประเทศให้ครบ 15 บริษัทตามแผนภายใน 3-5 ปีจากนี้ โดยย้ำว่า HealthTech เป็นโอกาสทั้งจากสัดส่วนประชากรที่กำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยและแนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยพลเมืองโลกที่มีอายุยืนขึ้น

 

เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund, กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures คาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจโลกในปี 2586 จะเติบโตถึง 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,379 ล้านล้านบาท โดยมีเฮลท์แคร์เป็น 1 ใน 3 ตัวขับเคลื่อนหลัก ด้วยแนวโน้มสังคมสูงวัย ผนวกกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่นำไปสู่การพลิกโฉมทางการแพทย์

 

นอกจากนี้ ตลาดการดูแลตัวเองหรือ Self-Care เป็นตลาดที่ต้องจับตา ทั้งการผลักดันแนวคิดการดูแลสุขภาพที่เน้นคุณค่าของหน่วยงานรัฐทั่วโลกกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ตลาด Self-Care Medical Device ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตจาก 24,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 825,000 ล้านบาทในปี 2566 เพิ่มเป็น 42,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,440,000 ล้านบาทในปี 2575

 

จากแนวโน้มการขยายตัวของตลาด การลงทุนใน DiaMonTech จึงเป็นโอกาสสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ เพราะการตรวจวัดค่าน้ำตาลเป็นที่ต้องการมากในตลาด และมีมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยและกลุ่มคนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็นโซลูชันที่ขยายได้ทั่วโลก

 

จันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ Disrupt Technology Venture และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า “เรายินดีกับโอกาสในการเข้าลงทุน DiaMonTech ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด เพียงวางนิ้วมือบนเครื่อง 30 วินาทีก็สามารถวัดค่าได้ ทำให้วัดได้บ่อยและสะดวก เหมาะกับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก เพราะเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษาและอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ โดยประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของ DiaMonTech จะช่วยให้การดูแลตัวเองเป็นเรื่องง่ายและยังได้ข้อมูลให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน”

 

ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกระบวนการวิเคราะห์คัดเลือกบริษัทในการเข้าไปลงทุนว่า กองทุน Disrupt Health Impact Fund เฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย และคัดเพียง 97 รายที่ตรงกับเกณฑ์ ก่อนคัดเหลือ 49 รายและนำไปวิเคราะห์เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการลงทุน ซึ่งมี DiaMonTech เพียงรายเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนมากของทั้งผู้บริหารกองทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์และวิศวกรรมจากทางมหาวิทยาลัยมหิดล

 

ธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech กล่าวว่า เครื่องวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด หรือ D-pocket ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนนำออกสู่ตลาด การได้รับเงินลงทุนและความร่วมมือจากกองทุน Disrupt Health Impact Fund ครั้งนี้เป็นโอกาสและจังหวะที่ดีสำหรับ DiaMonTech ในการขยายและเชื่อมต่อโอกาสให้กับกลุ่มผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการดูแลระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งในประเทศไทย เพราะกองทุนไม่เพียงแต่ให้เงินลงทุน แต่ยังมีเครือข่ายที่เชี่ยวชาญด้านเฮลท์แคร์ทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งแพลตฟอร์มระบบนิเวศของ Disrupt ที่จะช่วยให้ DiaMonTech สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวเข้าไปสู่ผู้คนได้มากและเร็วขึ้น

 

กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีเป้าหมายลงทุนระยะแรกราว 17-50 ล้านบาทต่อ 1 บริษัท โดย 3-5 ปีจากนี้มีแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้านเฮลท์แคร์ทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยนโยบายลงทุน 5 ด้านคือ การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง (Self-Care), เวชศาสตร์ป้องกันโรค (Preventive Care), ผู้สูงวัย (Silver Age), การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) และโรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) โดยเฟ้นหานวัตกรรมระดับโลกออกสู่ตลาดแล้ว (Commercialized) หรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อขอการรับรองจาก FDA

The post Disrupt Health Impact Fund ปิดดีลแรก ลงทุน DiaMonTech สตาร์ทอัพผู้พัฒนานวัตกรรมวัดระดับกลูโคสแบบแม่นยำโดยไม่ต้องเจาะเลือด appeared first on THE STANDARD.

]]>
แพทองธารยืนยันบนเวทีอนุภูมิภาค GMS ครั้งที่ 8 แนวทางพัฒนาไทยด้วยนวัตกรรมต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย้ำต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีหลักเชื่อมโยงประชาคมลุ่มน้ำโขง https://thestandard.co/paetongtarn-8th-gms-sub-regional-forum-thailand-innovation-environmentally/ Thu, 07 Nov 2024 05:33:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1005698 แพทองธารยืนยันบนเวทีอนุภูมิภาค GMS ครั้งที่ 8

วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ที่นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน […]

The post แพทองธารยืนยันบนเวทีอนุภูมิภาค GMS ครั้งที่ 8 แนวทางพัฒนาไทยด้วยนวัตกรรมต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย้ำต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีหลักเชื่อมโยงประชาคมลุ่มน้ำโขง appeared first on THE STANDARD.

]]>
แพทองธารยืนยันบนเวทีอนุภูมิภาค GMS ครั้งที่ 8

วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ที่นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในการประชุมระดับสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ 8 แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) ภายใต้หัวข้อ ‘การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของไทย’ (Innovation-driven Development) โดยมีนายกรัฐมนตรีจากสาธารณรัฐประชาชนจีน, ราชอาณาจักรกัมพูชา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมถึงประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เข้าร่วมด้วย

 

นายกฯ กล่าวยกย่อง 4 ยอดสิ่งประดิษฐ์ของจีน ได้แก่ เข็มทิศ, ดินปืน, กระดาษ และการพิมพ์ เป็นนวัตกรรมในการพัฒนามนุษย์และสร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติในอดีต จนมาถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เทคโนโลยีจากโลกเสมือนจริงผสมผสานกับโลกจริง รวมถึงการเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหัวข้อหลักของการประชุมที่มุ่งพัฒนาด้วยนวัตกรรมเพื่อนำไปสู่การสร้างประชาคมที่ดีกว่าเดิมถือเป็นหัวใจหลักของแผนงาน GMS ตั้งแต่แรกเริ่ม

 

นายกฯ เสนอแนวทางการพัฒนาอนุภูมิภาคในการประชุมครั้งนี้ด้วยหลักการ ‘นวัตกรรมที่ครอบคลุมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ การประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อสร้างสังคมที่มั่นคงและเท่าเทียม และสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ซึ่งการพัฒนาของไทยในช่วงที่ผ่านมามีดังนี้

 

  1. รัฐบาลไทยบูรณาการและส่งเสริมนวัตกรรมในนโยบายและแผนพัฒนาประเทศในทุกระดับ โดยความพยายามสำคัญของรัฐบาลคือการยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัยผ่านแนวคิดตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ นำเทคโนโลยีมาพัฒนารูปแบบการทำเกษตร เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และส่งเสริมราคาพืชผลทางการเกษตรให้มีเสถียรภาพ ยกระดับรายได้ของเกษตรกร

 

  1. นวัตกรรมด้านการเงินของไทย ปัจจุบันไทยประยุกต์ใช้เทคโนโลยียกระดับบริการทางการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและนักลงทุน อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเงินแบบไร้รอยต่อกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้โครงการ ASEAN Payment Connectivity ในการสร้างระบบการชำระเงินระหว่างประเทศผ่าน QR Code เพื่อยกระดับประเทศสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ลดภาระค่าธรรมเนียมและค่าบริการทางการเงินที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาคม GMS ในที่สุด

 

  1. ไทยมุ่งมั่นสนับสนุนการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าเป็นพื้นฐานของการสร้างนวัตกรรมที่จะสร้างเศรษฐกิจและสังคมให้ดีขึ้นต่อไป รัฐบาลไทยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนผ่านมาตรการทั้งทางภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี การพัฒนาทักษะบุคลากรให้เหมาะสมต่อการสร้างและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงสร้างระบบนิเวศในการพัฒนาประเทศที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมบนฐานของนวัตกรรม

 

นายกฯ กล่าวต่อผู้นำประเทศที่เข้าร่วมและประธานธนาคารพัฒนาเอเชียว่า ไทยเชื่อมั่นว่ายุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีเป้าหมายในปี 2573 ซึ่งจะได้รับการรับรองในการประชุมครั้งนี้จะทำให้มีการกำหนดแนวทางและประเด็นสำคัญในการดำเนินการ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

 

ตลอดจนยืนยันความมุ่งมั่นและความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการพัฒนาด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านนวัตกรรม เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ พร้อมยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไป

The post แพทองธารยืนยันบนเวทีอนุภูมิภาค GMS ครั้งที่ 8 แนวทางพัฒนาไทยด้วยนวัตกรรมต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย้ำต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีหลักเชื่อมโยงประชาคมลุ่มน้ำโขง appeared first on THE STANDARD.

]]>
IROYAL ผู้นำธุรกิจด้านโซลูชันพลังงานไฟฟ้าแบบ B2B ที่เติบโตด้วยการนำเสนอนวัตกรรมในพลังงาน และกำลังขยายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/iroyal-interroyal-engineering/ Wed, 16 Oct 2024 07:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=996080

ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เ […]

The post IROYAL ผู้นำธุรกิจด้านโซลูชันพลังงานไฟฟ้าแบบ B2B ที่เติบโตด้วยการนำเสนอนวัตกรรมในพลังงาน และกำลังขยายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพูดถึงการเป็นผู้นำธุรกิจด้านการบริการและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้วยการให้คำปรึกษา ออกแบบ และนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานแบบ B2B ที่พร้อมจะตั้งต้นสู่การเติบโตของนวัตกรรมพลังงานและกำลังขยายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต บริษัทที่ต้องถูกพูดถึงแน่นอนก็คือ IROYAL ด้วยความเชี่ยวชาญที่ล้ำลึกในวงการกว่า 40 ปีที่บริการติดตั้งและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมและพลังงานสะอาด ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุดยั้งที่จะนำเสนอโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและก้าวหน้า ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานอย่างต่อเนื่อง

 

บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL ผู้ให้บริการด้านวิศวกรรมเพื่อจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะ มีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบการผลิตของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตชั้นนำระดับสากล โดยครอบคลุมถึงงานบริการติดตั้งและซ่อมบำรุง ด้วยการออกแบบ ให้คำปรึกษา และนำเสนอโซลูชัน เพื่อตอบสนองตามความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการบริหารสินค้าคงคลังในส่วนที่บริษัทจัดหาและจำหน่าย

 

ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในวงการกว่า 40 ปี บริษัทมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามาอย่างยาวนาน และยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตให้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับสากลกว่า 22 แบรนด์ ถือเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

 

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบเผาไหม้ (Combustion System)
  2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบจัดการของเสียและไอเสีย (Flue Gas Management System)
  3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger System)
  4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบอื่นๆ

 

 

IROYAL ยังให้บริการเชิงบำรุงรักษาตามรอบอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ และบริการเชิงพัฒนาด้วยการเสนออุปกรณ์ใหม่หรืออุปกรณ์เสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของลูกค้า ซึ่งลูกค้าหลักของ IROYAL ได้แก่ กลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัท ไฟฟ้าหงสา จำกัด (โรงไฟฟ้าหงสา สปป.ลาว) และกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

 

ปัจจุบัน IROYAL ได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามากขึ้น อย่างโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมีที่มีระบบการเผาไหม้ กลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล อาคารขนาดใหญ่ ที่จำเป็นต้องใช้ระบบสำรองไฟฟ้าและพลังงาน (Energy Storage) เพื่อให้สอดรับกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานและความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่มากขึ้นของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ

 

นอกจากนี้ IROYAL ยังมุ่งคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงมาให้บริการลูกค้าแบบรอบด้าน (One Stop Service) โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก สร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตเพื่อให้เกิดเสถียรภาพในการทำงานร่วมกัน พัฒนาศักยภาพของบุคลากร รวมถึงบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงในการสูญเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

 

ด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่ยาวนานกว่า 40 ปี IROYAL ได้เสริมสร้างความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในระบบและผลิตภัณฑ์อย่างมีคุณภาพ มุ่งมั่นในการให้บริการที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของกระบวนการ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา จัดหา ติดตั้งผลิตภัณฑ์ รวมถึงตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้า

 

ในปี 2566 บริษัทมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด หรือเพิ่มขึ้น 143.6% จากปีก่อนหน้า โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 40.93% จึงทำให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์

 

ในปี 2567 IROYAL เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการขยายงานใหม่ๆ ของบริษัทในอนาคต และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายอุปกรณ์และระบบวิศวกรรมที่สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก พร้อมมุ่งขับเคลื่อนไปสู่ธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

The post IROYAL ผู้นำธุรกิจด้านโซลูชันพลังงานไฟฟ้าแบบ B2B ที่เติบโตด้วยการนำเสนอนวัตกรรมในพลังงาน และกำลังขยายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
สกสว. จัดงาน TRIUP FAIR 2024 จุดพลังขับเคลื่อนการใช้ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิต https://thestandard.co/triup-fair-2024-2/ Tue, 24 Sep 2024 13:10:14 +0000 https://thestandard.co/?p=987561

วันนี้ (24 กันยายน) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสต […]

The post สกสว. จัดงาน TRIUP FAIR 2024 จุดพลังขับเคลื่อนการใช้ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (24 กันยายน) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับหน่วยบริหารจัดการทุนทั้ง 9 แห่ง และหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 

ร่วมจัดงาน ‘มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมประจำปี 2567 (TRIUP FAIR 2024)’ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 กันยายน 2567 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อผลักดันผลงานวิจัยและนวัตกรรมของไทยให้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และช่วยยกระดับความสามารถของภาคอุตสาหกรรม สร้างรายได้ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ

 

ภายในงานได้รับเกียรติจาก ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยปลัดกระทรวง อว., ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ผู้แทนประธานคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และผู้บริหารหน่วยงาน

 

ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า รัฐบาลสนับสนุนให้มีการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น เพราะการสร้างรากฐานทางความรู้ และความเข้มแข็งในวิทยาการด้านต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวข้ามความท้าทายในยุคปัจจุบัน

 

ในส่วนของกระทรวง อว. มีนโยบาย ‘วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ’ มีหลักการสำคัญคือ ‘เอกชนนำ รัฐสนับสนุน’ โดยให้เอกชนและภาคประชาสังคมร่วมกำหนดทิศทางและโจทย์วิจัย เข้าถึงทุนวิจัยและใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย มีหน่วยงานและมหาวิทยาลัยต่างๆ ของกระทรวง อว. สนับสนุนอย่างเต็มกำลัง

 

จากการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม (TRIUP ACT) ที่ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการเป็นเจ้าของผลงานวิจัย และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมในวงกว้าง

 

ในปี 2567 กองทุน ววน. ภายใต้กำกับของกระทรวง อว. ได้จัดสรรงบประมาณภายใต้กรอบใหม่ที่มุ่งเน้นสนับสนุนกิจกรรมที่ผลักดันให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมถูกใช้ประโยชน์ ซึ่งการจัดงาน TRIUP FAIR 2024 ถือเป็นกลไกที่จะช่วยให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ โดยครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Impact Journey to Ignite Thailand: เส้นทางการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ’ มุ่งเน้นการตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐบาล ได้แก่

 

  1. นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพและบริการทางการแพทย์

 

  1. การยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมเป็นเกษตรทันสมัย

 

  1. นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน

 

  1. การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และการสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

และ 5. การต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)

 

“งาน TRIUP FAIR นี้จะเป็น One Stop Service ที่รวมระบบนิเวศที่ให้บริการกับทุกภาคส่วนตั้งแต่ผู้ผลิตผลงานวิจัยไปจนถึงผู้ใช้ประโยชน์ และเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม ให้มาร่วมกันสร้างผลกระทบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโต และแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป” ศุภมาสกล่าว

 

รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า ในยุคที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างรอบด้าน เช่น ปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร การเข้าสู่สังคมสูงวัย และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ‘วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.)’ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยหาคำตอบเพื่อนำไปสู่การพัฒนาและการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ รัฐบาลปัจจุบันให้การสนับสนุนงบประมาณและส่งเสริมให้เกิดการนำ ววน. ไปใช้ประโยชน์ เพื่อตอบสนองความต้องการและความท้าทายต่างๆ และสร้างรากฐานการพัฒนาประเทศในอนาคต

 

“ดังนั้น เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้เพื่อตอบพันธกิจของหน่วยงาน ตอบนโยบายรัฐบาล และตอบสนองความต้องการของภาคเอกชนและประชาชนทุกระดับ สกสว. พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรภายใต้ 5 กระทรวง ได้แก่ กระทรวง อว., กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัย (PMU) 9 แห่ง, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, มหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัย รวมถึงหน่วยงานที่มีกลไกส่งเสริมภาคธุรกิจรวมกว่า 50 หน่วยงาน จึงร่วมกันจัดงาน TRIUP FAIR 2024 ขึ้น ภายใต้แนวคิด ‘Impact Journey to Ignite Thailand: เส้นทางการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ’ ซึ่งเป็นการจุดพลังและเดินหน้าขับเคลื่อนการนำ ววน. ไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมุ่งมั่นที่จะใช้ ววน. ไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม และพาประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด” ผู้อำนวยการ สกสว. ระบุ

 

สำหรับงาน TRIUP FAIR 2024 จะจัดขึ้น 3 วัน ระหว่างวันที่ 24-26 กันยายน 2567 ภายในงานได้จัดให้มีกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย

 

โซน Innovation Showcase: นำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมพร้อมใช้กว่า 150 ผลงาน ใน 4 ธีม ได้แก่ 1. การแพทย์และสุขภาพ 2. เกษตรและอาหารมูลค่าสูง 3. Net Zero Emissions & PM2.5 และ 4. เทคโนโลยีที่เหมาะสม ตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจ เช่น ระบบบูรณาการปัญญาประดิษฐ์เพื่อการคัดกรองเบาหวานเข้าจอตา, ชุดตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ในตับแบบรวดเร็ว (OV Antigen Rapid Test Kit), เครื่องตรวจสอบไข่มีเชื้อด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์, ไข่ต้มจากพืชไร้สารก่อภูมิแพ้, การใช้เห็ดเผาะเพื่อแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันอย่างยั่งยืน, Arkard ผลิตภัณฑ์กระดาษจากเปลือกข้าวโพด, รถอีแต๋นอเนกประสงค์ไฟฟ้า ฯลฯ

 

โซน Business Matching: พื้นที่เพื่อการสร้างเครือข่ายและจับคู่ทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชน และนักวิจัยเจ้าของผลงาน

 

โซน RU Ecosystem: บริการให้คำปรึกษาเพื่อช่วยแก้ปัญหา หรือลดอุปสรรคในการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์จาก 50 กว่าหน่วยงาน และปีนี้เปิดโซน Voice from Industry เพื่อให้ภาคเอกชนมาแลกเปลี่ยนโจทย์และความต้องการภายในงาน

 

กิจกรรมเวทีกลางและการอบรม: มีเวทีเสวนาและกิจกรรมอบรมให้ความรู้รวมกว่า 20 หัวข้อ และกิจกรรม Audition เพื่อร่วมรายงาน Shark Tank Thailand ซึ่งปีที่แล้วมีผลงานได้รับการลงทุนรวมกว่า 75 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ ยังมีการมอบรางวัลและประกาศเชิดชูเกียรติผลงานวิจัยที่มีผลกระทบสูง ประจำปี 2567 TRIUP Awards 2024: Research Utilization with High Impact เพื่อยกย่องและสร้างความตระหนักในคุณค่าของผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นต้นแบบของผลงานที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์จนสร้างผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยกย่องหน่วยงานหรือนักวิจัย (Inventor) ผู้คิดค้นผลงานที่สร้างผลกระทบสูง หน่วยงานหรือผู้ที่ทำหน้าที่ส่งเสริมขับเคลื่อน (Intermediary) และหน่วยงานผู้ใช้ประโยชน์ (User) ซึ่งทำหน้าที่ผลักดันการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ สำหรับการพัฒนาหรือแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ

 

 

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนและติดตามข้อมูลการจัดงานได้ที่ www.triupfair.net หรือสอบถามได้ที่ [email protected]

The post สกสว. จัดงาน TRIUP FAIR 2024 จุดพลังขับเคลื่อนการใช้ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>