ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 31 Jan 2025 10:22:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชมคลิป: ‘เอสซีจี’ วางเป้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ปี 68 ไม่ต่ำกว่าปี 67 ที่ทำได้ 5.4 หมื่นล้านบาท https://thestandard.co/morning-wealth-31012025-4/ Fri, 31 Jan 2025 11:05:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1036742

งานแถลงข่าวผลประกอบการของเอสซีจี หรือหุ้น SCC ที่ผ่านมา […]

The post ชมคลิป: ‘เอสซีจี’ วางเป้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ปี 68 ไม่ต่ำกว่าปี 67 ที่ทำได้ 5.4 หมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

งานแถลงข่าวผลประกอบการของเอสซีจี หรือหุ้น SCC ที่ผ่านมา (30 มกราคม) ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ตั้งเป้า EBITDA ในปี 2568 ไม่ต่ำกว่าปี 2567 ที่ทำได้ 5.4 หมื่นล้านบาท จากการบริหารต้นทุนต่อเนื่อง และอานิสงส์ราคาน้ำมันลด พร้อมรุกตลาดในอาเซียนและสหรัฐฯ​ ด้วยนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ติดตามรายละเอียดได้ในไฮไลต์นี้

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ‘เอสซีจี’ วางเป้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ปี 68 ไม่ต่ำกว่าปี 67 ที่ทำได้ 5.4 หมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกต้องจำกัดอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่วันนี้กลับขึ้นมาแล้วถึง 1.42 องศาเซลเซียส https://thestandard.co/today-the-world-has-warmed-by-1-point-42-degrees-celsius/ Thu, 17 Oct 2024 11:18:25 +0000 https://thestandard.co/?p=997253

รายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่าโลกจะ […]

The post โลกต้องจำกัดอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่วันนี้กลับขึ้นมาแล้วถึง 1.42 องศาเซลเซียส appeared first on THE STANDARD.

]]>

รายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่าโลกจะร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2027 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งปัจจุบันอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นแล้ว 1.42 องศาเซลเซียส สะท้อนให้เห็นอัตราเร่งของวิกฤตโลกร้อนไปสู่โลกเดือด ขณะที่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ยังดูห่างไกลกว่าวิกฤตที่กำลังเร่งเข้ามา

 

ตัวการหลักของ ‘วิกฤตโลกเดือด’ ยังคงเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งทำให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ร้อนจัด น้ำท่วม และพายุที่ทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในทุกมิติ

 

คำถามคือ ภารกิจสำคัญที่ทุกคนต้องร่วมมือกู้วิกฤตโลกก่อนที่จะสายเกินแก้คืออะไร อะไรคือสิ่งที่เราต้องปลดล็อกเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านให้ทัน

 

ทั่วโลกตั้งเป้าหมายอย่างไร 

 

ในการประชุมระดับโลกว่าด้วยการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 28 (COP28) ผู้นำแต่ละประเทศมีข้อสรุปร่วมกันว่า จะต้องเร่งลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการเพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานทดแทนเป็น 3 เท่าภายในปี 2030 มีการจัดตั้งและดำเนินงานกองทุนชดเชยการสูญเสียและความเสียหาย ทั้งหมดล้วนเพื่อจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

 

เพื่อให้เป้าหมายดังกล่าวสำเร็จ ที่ผ่านมาแต่ละประเทศจึงมีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยประเทศไทยตั้งเป้าบรรลุ Net Zero ในปี 2065 และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) 

ประเทศไทยปรับตัวอย่างไร

 

จากความท้าทายที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกประเทศไม่เพียงแต่ต้องปรับตัวเพื่ออยู่ในโลกที่ร้อนขึ้น (Adaptation) แต่ต้องปรับลดคาร์บอน เพื่อลดโลกร้อน (Mitigation) หรือเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Transition to Low Carbon Economy)

 

โดยประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 372 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2019 เกิดจากภาคพลังงานถึง 70% ตามด้วยเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต และขยะ 15%, 10% และ 5% ตามลำดับ

 

ซึ่งในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มมีเป้าหมายจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) โดยกรมสรรพสามิต ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ส่งผลให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนหรือราคาที่จ่ายเพิ่มขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมการร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจมีการประกาศใช้จริงในปี 2025 

โอกาสที่ไทยจะเร่งแก้วิกฤตอยู่ตรงไหน

 

ในงาน ESG SYMPOSIUM 2024: Driving Inclusive Green Transition ยิ่งเร่งเปลี่ยน ยิ่งเพิ่มโอกาส เวทีที่มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม มีการแชร์ประสบการณ์และตัวอย่างที่หลากหลายในการเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำจากผู้นำระดับโลกและไทย ไม่ว่าจะเป็นจาก UNDP, World Economic Forum หรือจาก SCG และพาร์ตเนอร์ เพื่อ ‘เร่งเปลี่ยน’ ประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

 

หนึ่งในโครงการต้นแบบที่เป็นพื้นที่ทดลองการเปลี่ยนผ่าน คือโมเดล ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ เนื่องจากสระบุรีเป็นจังหวัดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเป็นอันดับ 3 ของไทย และมีแหล่งอุตสาหกรรมตั้งอยู่ โดยโครงการนี้เกิดขึ้นจากการทำงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ที่รวมใจเป็นหนึ่งเดียว เปลี่ยนสระบุรีให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย

 

โดยตัวโครงการมีความคืบหน้าอย่างมาก สามารถยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศ ให้เป็นปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต การพัฒนา Green Infrastructure รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การหาทุนสีเขียว Green Funding จากต่างประเทศมาพัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำ รวมถึงเปลี่ยนผ่านกระบวนอื่นๆ ทั้งในภาคพลังงาน เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถแก้ไขข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน ซึ่งมีโอกาสนำไปสเกลต่อในพื้นที่อื่นของประเทศไทยได้ 

 

 

ในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมานาย ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี จึงมีการยื่นข้อเสนอต่อนาย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อปลดล็อกข้อจำกัด และเร่งให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ได้แก่ 

 

  • ปลดล็อกกฎหมายและข้อกำหนด (Law & Regulations) โดยภาครัฐเร่งเปิดเสรีซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาด จัดทำกฎหมายแม่บทว่าด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน ตลอดจนส่งเสริมนโยบาย Green Priority ให้ความสำคัญกับการใช้สินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 
  • ผลักดันการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) โดยสนับสนุนงบประมาณ และพัฒนาบุคลากรของผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนคาร์บอนที่เป็นมาตรฐานสากล 
  • พัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Technology & Green Infrastructure) โดยรัฐสนับสนุนการใช้และพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานรูปแบบต่างๆ เช่น แบตเตอรี่กักเก็บความร้อน (Heat Battery)
  • สนับสนุนการปรับตัว เสริมศักยภาพการแข่งขัน SMEs พัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดต้นทุน 

 

 

Regenerative Model คือโลกใหม่ของการทำธุรกิจ

 

แน่นอนว่านับจากวันนี้โลกของการทำธุรกิจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 1% ของโลก แต่โลกอาจไม่ต้องการคบค้ากับประเทศไทยหากเรายังทำเหมือนเดิม

 

หนึ่งในโมเดลใหม่ของการทำธุรกิจ คือการยกระดับจากการโฟกัสที่ Profit, People และ Planet ไปสู่ความรับผิดชอบ (Responsibilities), ความยืดหยุ่น (Resilience) และการฟื้นฟู (Regeneration) 

 

นี่คือหนึ่งในหนทางที่จะชุบชีวิตโลกที่เสื่อมสลายไป และลดผลกระทบใหม่ที่จะเกิดขึ้น ทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการเงิน ภาคเอกชน ไปจนถึงผู้บริโภค 

 

ซึ่งต้องติดตามต่อว่าในอนาคต เราทุกคนจะตระหนักถึงความสำคัญ และชุบชีวิตโลกใบนี้ได้หรือไม่ เพราะอำนาจในการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านนั้น ไม่สามารถพึ่งพาเพียงกำลังของใครคนหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากเราทุกคน 

 

The post โลกต้องจำกัดอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่วันนี้กลับขึ้นมาแล้วถึง 1.42 องศาเซลเซียส appeared first on THE STANDARD.

]]>
26 ชั่วโมง เหตุเพลิงไหม้ถังสารเคมีมาบตาพุด จ.ระยอง เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำ-โฟมรักษาอุณหภูมิต่อเนื่อง ด้าน รมว.อุตสาหกรรม-บริษัทเอกชนน้อมขอโทษประชาชน เยียวยาขั้นสูงสุด https://thestandard.co/26-hours-chemical-tank-fire/ Fri, 10 May 2024 09:03:54 +0000 https://thestandard.co/?p=932037

วันนี้ (10 พฤษภาคม) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการก […]

The post 26 ชั่วโมง เหตุเพลิงไหม้ถังสารเคมีมาบตาพุด จ.ระยอง เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำ-โฟมรักษาอุณหภูมิต่อเนื่อง ด้าน รมว.อุตสาหกรรม-บริษัทเอกชนน้อมขอโทษประชาชน เยียวยาขั้นสูงสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (10 พฤษภาคม) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และคณะผู้บริหารบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) ร่วมแถลงข่าวและลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสาร Pyrolysis Gasoline (แก๊สโซลีน) ของบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง

 

วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นเวลาประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 9 พฤษภาคม ในขั้นต้นที่เกิดเหตุทางบริษัทเอกชนได้ปฏิบัติตามแผนความปลอดภัยที่ได้มีการซักซ้อมของตนเอง ซึ่งในส่วนนี้ถ้าโรงงานมีแผนรับมือได้ ทางการนิคมฯ จะให้โรงงานเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมเหตุที่เกิด แต่หากเหตุการณ์ลุกลามเพิ่มขึ้นก็จะมีการดำเนินการลำดับต่อไป ซึ่งจะต้องใช้หน่วยงานทั้งจากทางการนิคมฯ และเจ้าหน้าที่ป้องกันภัยเข้ามาระงับเหตุด้วย

 

ตามรายงานที่ได้รับในช่วงเช้าหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ของบริษัทสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว แต่ด้วยความร้อนในช่วงตอนกลางวันทำให้อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ประกอบกับเพลิงไหม้ครั้งแรกตัวฝาของถังสารเคมีปิดอยู่ ทำให้เกิดปฏิกิริยาด้านในและเกิดการปะทุในรอบที่สอง ทางเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องระดมกำลังเข้าดับเพลิง

 

วีริศกล่าวต่อว่า ระยะเวลาที่มีการควบคุมเพลิงจนถึงปัจจุบันที่ยังอยู่ในขั้นของการเฝ้าระวัง เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามวิธีการอย่างครบถ้วนและเชื่อว่าเป็นการดับไฟที่มีประสิทธิภาพ เพียงแต่ปริมาณสารเคมีมีจำนวนมาก จึงอาจจะสร้างความกังวลต่อชุมชนและสังคมโดยรอบ แต่ขอยืนยันว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยความสามารถของทีมดับเพลิงจากทุกภาคส่วน

 

ขณะนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพยายามควบคุมความร้อน โดยใช้โดรนขึ้นบินในพื้นที่เพื่อวัดอุณหภูมิตลอดเวลาไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มสูง เจ้าหน้าที่ภาคพื้นใช้วิธีการฉีดน้ำหล่อเย็นให้อุณหภูมิต่ำตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เกิดการปะทุ และใช้โฟมฉีดที่ผิวหน้าด้านบนสารเคมีเพื่อให้แน่ใจว่าสารเคมีที่หลงเหลือจะไม่เป็นปัญหา

 

ด้านพิมพ์ภัทรากล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านระบบออนไลน์เพื่อควบคุมสถานการณ์ และได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีให้ดูแลความปลอดภัยของประชาชนให้มากที่สุดและคืนพื้นที่ให้ได้เร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ประเด็นแรกที่ตนอยากจะสื่อสารถึงประชาชนคือ ต้องกราบขอโทษในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตนต้องกราบขอโทษพี่น้องประชาชนที่อยู่รอบบริเวณดังกล่าวและทางจังหวัดระยองที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ เราทุกคนไม่ได้อยากให้เกิด แต่ในเมื่อเกิดเหตุแล้วจากนี้จึงต้องวางแผนรับมือให้ดีทั้งสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคตที่จะต้องเฝ้าระวัง ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสามารถควบคุมเหตุเพลิงไหม้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดทุกอย่าง

 

ทางผู้แทนของบริษัท SCG ได้เข้ามาพูดคุยถึงมาตรการเยียวยาที่เกิดขึ้นทั้งกับผู้ปฏิบัติงานที่บาดเจ็บสาหัส ผู้เสียชีวิต และประชาชนโดยรอบ โดยทางเอกชนยืนยันว่าจะมีการเยียวยาในมาตรการที่สูงที่สุด รวมทั้งจะสนับสนุนการตรวจวัดคุณภาพอากาศหลังจากนี้ไปอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่สภาวะที่ปลอดภัย

 

พิมพ์ภัทรากล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำอีก แต่ขอเวลาให้บริษัทเอกชนได้สรุปประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่าสาเหตุมาจากอะไร เพราะขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราสามารถคืนพื้นที่ให้ประชาชนให้กลับเข้าไปอาศัยในบ้านของตัวเองได้อย่างปลอดภัย

 

ส่วนที่หลายท่านมองว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดแล้ว เกิดอีก เกิดซ้ำซาก ตนขอชี้แจงว่า การเกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่ละครั้งมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป ขอให้ทางเอกชนได้สรุปประเด็นสาเหตุเพื่อตอบสังคมอีกครั้งหนึ่ง

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท SCG กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นต้องชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ที่ขึ้นไปบนถังสารเคมีเพื่อปฏิบัติงานไม่ได้ขึ้นไปเพื่อปิดวาล์วถังสารเคมี แต่เป็นการขึ้นไปด้านบนเพื่อเช็กระดับสารเคมีในถังว่าตัวเลขตรงกันกับเครื่องมือที่ติดตั้งอยู่หรือไม่ ซึ่งต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญการขึ้นไปปฏิบัติงานโดยตรง

 

ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ที่ได้รับอนุญาตทั้งหมดมีความชำนาญและทำงานมาเป็นระยะเวลานาน ขณะนี้ทางบริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงในการเกิดเพลิงไหม้ในถังสารเคมี จนเป็นเหตุให้มีผู้ปฏิบัติงานเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บสาหัส

 

ทางบริษัท SCG จะมีมาตรการชดเชยเยียวยาดูแลผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตขั้นสูงสุด ในส่วนของครอบครัวผู้เสียชีวิต บุตรหลานจะได้รับการศึกษาจนถึงระดับสูงสุดและมีการช่วยเหลือเงินที่จำเป็นในทุกด้าน

 

ส่วนเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในครั้งที่ผ่านมาเกิดในช่วงการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงาน และทางบริษัทได้ส่งผู้รับเหมาเข้าไปทำงาน แต่เกิดความผิดพลาดในส่วนของผู้รับเหมา ตั้งแต่นั้นทางบริษัทจึงเพิ่มมาตรการว่าใครจะเข้าพื้นที่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ส่วนในครั้งนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด ทั้งนี้ต้องขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เกิดผลกระทบจนมีผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และกระทบกับชุมชนทั้งหมด

 

ธรรมศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวถังสารเคมีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้มีความจุอยู่ที่ประมาณ 9,000 ลูกบาศก์เมตร ณ เวลาที่เกิดเหตุมีสารเคมีอยู่ประมาณ 7,000 ลูกบาศก์เมตร ขณะนี้คาดการณ์ว่ามีสารเคมีหลงเหลือไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตร หลังจากที่ควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดแล้ว ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

 

สารเคมีดังกล่าวมีจุดระเหยอยู่ที่ 42 องศาเซลเซียส และมีจุดวาบไฟอยู่ที่ 300 องศาเซลเซียส ฉะนั้นหากปล่อยไว้โดยไม่ฉีดโฟมควบคุมด้านบนสารดังกล่าว อาจจะระเหยออกได้ หรือหากไม่มีการควบคุมอุณหภูมิ อาจจะมีการติดไฟได้ ซึ่งเป็นไปได้ยากแล้วใน ณ ขณะนี้

 

ภายหลังการแถลงข่าวเวลา 12.30 น. ทีมข่าว THE STANDARD ได้ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุถังเก็บสารเคมีเพลิงไหม้ เพื่อสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นร่วมกับทีมคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พบว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยยังคงต้องฉีดน้ำหล่อเลี้ยงรักษาอุณหภูมิของตัวถังที่เกิดเพลิงไหม้และถังใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมีการฉีดโฟมเข้าไปด้านในถัง ซึ่งปัจจุบันฝาถังได้ระเบิดออกไปแล้ว เพื่อให้โฟมอยู่บนผิวหน้าของสารเคมีที่หลงเหลืออยู่ป้องกันการระเหยออก

 

 

The post 26 ชั่วโมง เหตุเพลิงไหม้ถังสารเคมีมาบตาพุด จ.ระยอง เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำ-โฟมรักษาอุณหภูมิต่อเนื่อง ด้าน รมว.อุตสาหกรรม-บริษัทเอกชนน้อมขอโทษประชาชน เยียวยาขั้นสูงสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี’ ไร้แผนลงทุนใหม่ในเมียนมา หลังปิดโครงการใหญ่โรงงานปูนซีเมนต์ หวั่นความไม่สงบกระทบธุรกิจ https://thestandard.co/scg-closure-prompts-investment-freeze-in-myanmar/ Sat, 27 Apr 2024 03:16:09 +0000 https://thestandard.co/?p=927351 SCC

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เปิดแผนรับมือความเสี่ยงราคาพลังงานผัน […]

The post ‘เอสซีจี’ ไร้แผนลงทุนใหม่ในเมียนมา หลังปิดโครงการใหญ่โรงงานปูนซีเมนต์ หวั่นความไม่สงบกระทบธุรกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCC

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เปิดแผนรับมือความเสี่ยงราคาพลังงานผันผวนจากผลกระทบความขัดแย้งในตะวันออกกลาง มองธุรกิจปีนี้ฟื้น คงเป้ายอดขายโต 20%

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กล่าวว่า มองว่าความเสี่ยงหลักของการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 คือปัจจัยพลังงานที่มีผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานรวมถึงค่าขนส่งให้มีความผันผวน ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาและบริหารความเสี่ยงใน 2 เรื่อง ได้แก่

 

  1. แผนการบริหารความเสี่ยงด้านราคา จะต้องบริหารจับคู่ระหว่างการขายกับการซื้อสินค้า โดยกำหนดราคาขายสินค้าให้เหมาะสมกับต้นทุน เพื่อลดความเสี่ยงของบริษัท

 

  1. แผนการบริหารด้านปริมาณ โดยจะมีการกระจายแหล่งที่มาของพลังงาน ไม่พึ่งพิงการนำเข้าด้วยเส้นทางที่ต้องผ่านด่านทางช่องแคบฮอร์มุซเพียงแหล่งเดียว โดยจะมีการนำเข้าพลังงานจากหลายๆ แหล่ง เพื่อป้องกันปัญหาการสะดุด

 

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) อื่นๆ รวมถึงการแยกตัวของห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ทั้งระหว่างจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป จึงต้องมีแผนในการปรับตัวรับมือความเสี่ยงของซัพพลายเชนของบริษัทเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการ Decoupling นี้

 

หยุดลงทุนในเมียนมา

 

ปัจจุบันกลุ่มเอสซีจีมีการลงทุนในเมียนมาน้อยมาก หลังจากในปี 2563 บริษัทได้หยุดการดำเนินการโรงงานปูนซีเมนต์ที่ร่วมทุนในเมียนมา ซึ่งถือเป็นการลงทุนและธุรกิจขนาดใหญ่ของเมียนมาในอดีต ส่งผลให้ปัจจุบันมีการทำธุรกิจหรือทำการค้าขายที่เกี่ยวข้องกับเมียนมาน้อยมาก โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนจากเมียนมาไม่ถึง 1% ของรายได้รวม ซึ่งรูปแบบการทำธุรกิจปัจจุบันจะเป็นการผลิตสินค้าจากในไทยแล้วส่งออกไปยังเมียนมา

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลของ THE STANDARD WEALTH พบว่า ในปี 2557 เอสซีจีได้ประกาศร่วมทุนลงทุนโรงงานปูนซีเมนต์กับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นในเมียนมา มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยจะมีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558 แต่ต้องหยุดการผลิตลงในปี 2563 หลังจากบริษัท Mawlamyine Cement Limited (MCL) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในเมียนมาระหว่างบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด (SCG CEMENT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด และ Pacific Link Cement Industry Ltd. (PLCI) ซึ่งเป็นบริษัทเมียนมา ได้หยุดการผลิต เนื่องจากไม่มีหินปูนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ สาเหตุจากข้อพิพาทระหว่าง SCG CEMENT ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MCL และ PLCI ทำให้ MCL ไม่สามารถเข้าพื้นที่เหมืองหินปูนได้

 

ธรรมศักดิ์กล่าวเพิ่มว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายทั้งปี 2567 ซึ่งจะเติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปี 2566 ที่ทำได้ประมาณ 5 แสนล้านบาท โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ของหลายกลุ่มธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าเป้าหมาย เช่น จากธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภายในฟื้นตัว และการท่องเที่ยวที่เข้ามาสนับสนุนความต้องการใช้แพ็กเกจจิ้ง ขณะที่ในประเทศเริ่มเห็นการลงทุนก่อสร้างมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐ

 

ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาส 1/67 มีรายได้รวมที่ 1.24 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 2,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,559 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 1/66 มีรายการพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics ซึ่งไม่ใช่รายการเงินสด มูลค่า 11,956 ล้านบาท ประกอบกับไตรมาส 1/67 มีผลประกอบการของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง

 

“ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/67 มีแนวโน้มดีขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกผันผวน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในช่วงอ่อนตัว แต่เอสซีจีสามารถบริหารต้นทุนได้ดี”

 

อย่างไรก็ดี ธุรกิจเคมิคอลส์ประเมินว่าอาจเห็นการฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังมีปัจจัยความท้าทายอยู่ และสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น

 

โครงการ LSP เลื่อนผลิตไปไตรมาส 3/67

 

ขณะที่โครงการปิโตรเคมีครบวงจร โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals: LSP) ในประเทศเวียดนาม อยู่ในช่วงการประเมินและตรวจสอบเครื่องจักรอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย คาดว่าจะกลับมาเดินเครื่องจักรทดสอบและพร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/67 ล่าช้ากว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงไตรมาส 1/67 ดังนั้นจะมีผลกระทบต่อกำลังการผลิตและยอดขายหายไปประมาณ 3-4 เดือน

 

ทั้งนี้ โครงการ LSP วางแผนกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.35 ล้านตันต่อปี และโพลีโอเลฟินส์ อย่างโพลีเอทิลีน และโพลีโพรพิลีน 1.4 ล้านตันต่อปี

 

ส่วนความคืบหน้าแผนการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน SCC กล่าวว่า บริษัทยังคงงบลงทุนรวมปีนี้ไว้ที่ 40,000 ล้านบาท โดยเน้นใช้เพิ่มประสิทธิภาพของโครงการต่างๆ ของบริษัท โดยในไตรมาส 1/67 ได้ทยอยใช้งบลงทุนไปแล้วประมาณ 9,400 ล้านบาทตามแผนงานที่วางไว้

The post ‘เอสซีจี’ ไร้แผนลงทุนใหม่ในเมียนมา หลังปิดโครงการใหญ่โรงงานปูนซีเมนต์ หวั่นความไม่สงบกระทบธุรกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี’ รับถูกสหรัฐฯ ปรับเงิน 20 ล้านดอลลาร์ ละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่าน แจงไม่กระทบผลงานปี 67 หลังตั้งสำรองในงบปี 66 แล้ว https://thestandard.co/scg-admit-usa-charged-20-million-usd/ Mon, 22 Apr 2024 06:43:32 +0000 https://thestandard.co/?p=925335 เอสซีจี

เอสซีจี ชี้แจงประเด็น ‘เอสซีจี พลาสติกส์’ บริษัทย่อยถูก […]

The post ‘เอสซีจี’ รับถูกสหรัฐฯ ปรับเงิน 20 ล้านดอลลาร์ ละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่าน แจงไม่กระทบผลงานปี 67 หลังตั้งสำรองในงบปี 66 แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอสซีจี

เอสซีจี ชี้แจงประเด็น ‘เอสซีจี พลาสติกส์’ บริษัทย่อยถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับเงินฐานละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่านจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ มีการตั้งสำรองในงบการเงินปี 2566 ไว้เรียบร้อยแล้ว

 

ด้านการเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ภาคเช้าวันนี้ (22 เมษายน) เปิดการซื้อ-ขายที่ 242 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาปิดวันทำการก่อนหน้า โดยระหว่างการซื้อ-ขายบวกขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 245 บาท บวก 1.24% ส่วนราคาต่ำสุดลดลงไปแตะระดับ 241 บาท ลดลง 0.41% จากนั้นราคามาปิดการซื้อ-ขาย ภาคเช้าที่ 244 บาท บวก 2 บาท หรือ 0.83% จากราคาปิดวันทำการก่อนหน้า

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ตามที่ปรากฏกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สั่งปรับบริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ฐานละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่านจากการโอนเงินดอลลาร์สหรัฐชำระค่าสินค้าที่ผลิตในอิหร่านช่วงปี 2560-2561 นั้น 

          

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ชี้แจงว่า การจ่ายเงินค่าปรับจำนวนดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2567 ของเอสซีจี เนื่องจากตั้งสำรองในงบการเงินสิ้นปี 2566 เรียบร้อยแล้ว ขอเรียนให้ทราบดังนี้ 

          

  1. บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จำกัด (SCG Plastics) เป็นบริษัทย่อยของ SCC (ปัจจุบันอยู่ระหว่างชำระบัญชี) เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ขายเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) ที่ผลิตจากบริษัทที่เอสซีจีร่วมทุนในอิหร่าน ซึ่ง SCG Plastics ขาย PE ที่ผลิตจากบริษัทร่วมทุนนี้มาตั้งแต่ปี 2548 โดยใช้หลายสกุลเงินในการค้าขายตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นการประกอบธุรกิจตามปกติของอุตสาหกรรมนี้ และช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีมาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของอิหร่าน

          

  1. ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 SCG Plastics หยุดการขาย PE ที่ผลิตในอิหร่าน หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศคว่ำบาตรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของอิหร่าน และกลับมาขายอีกครั้งเมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศผ่อนผันการคว่ำบาตรดังกล่าวในปี 2557 จากความไม่แน่นอนในสถานการณ์การคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่าน ตั้งแต่ปี 2561 SCG Plastics ยุติการขาย PE จากบริษัทร่วมทุนอย่างถาวร หลังจากที่บริษัทในเอสซีจีหยุดดำเนินการกับบริษัทร่วมทุนนั้น และสินทรัพย์ดังกล่าวถูกจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ปี 2561 ตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา

         

  1. ต่อมาสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (OFAC) เข้าตรวจสอบการขาย PE ของ SCG Plastics ที่ค้าขายช่วงเดือนเมษายน 2560 ถึง เดือนพฤศจิกายน 2561 ว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรหรือไม่ ซึ่ง SCG Plastics ให้ความร่วมมือกับทางราชการของสหรัฐฯ เป็นอย่างดี เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจสอบ OFAC เห็นว่ามีการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน แม้การขายสินค้าดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลสัญชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการคว่ำบาตร แต่มีการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการขายสินค้าที่ผลิตจากอิหร่านในช่วงดังกล่าว ทำให้สถาบันการเงินซึ่งเป็นบุคคลสหรัฐฯ มีส่วนร่วมในการชำระเงินด้วย ส่วนการค้าขายด้วยสกุลเงินอื่นไม่ได้ละเมิดมาตรการดังกล่าว

          

  1. OFAC เห็นว่า SCG Plastics ให้ความร่วมมือกับ OFAC ในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ รวมถึงออกนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต OFAC จึงเสนอให้ SCG Plastics ทำ Settlement Agreement โดยให้ SCG Plastics จ่ายเงินค่าประนอมยอมความให้กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้ OFAC ยุติการพิจารณาข้อหาดังกล่าว 

 

ทั้งนี้ การจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2567 ของเอสซีจี เนื่องจากได้ตั้งสำรองในงบการเงินสิ้นปี 2566 เรียบร้อยแล้ว

The post ‘เอสซีจี’ รับถูกสหรัฐฯ ปรับเงิน 20 ล้านดอลลาร์ ละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่าน แจงไม่กระทบผลงานปี 67 หลังตั้งสำรองในงบปี 66 แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เอสซีจี’ รัดเข็มขัด ลดงบลงทุนปี 67 เหลือใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท เตรียมรับมือหลายความเสี่ยง https://thestandard.co/scg-reduces-investment-budget-for-2024/ Fri, 26 Jan 2024 04:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=892411

กลุ่ม ‘เอสซีจี’ เพิ่งแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือซ […]

The post ‘เอสซีจี’ รัดเข็มขัด ลดงบลงทุนปี 67 เหลือใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท เตรียมรับมือหลายความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลุ่ม ‘เอสซีจี’ เพิ่งแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือซีอีโอคนใหม่ แทน ‘รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส’ ที่เกษียณอายุ มีผลวันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เดินแผนเร่งคืนหนี้ก่อนกำหนด 30,000 ล้านบาท ช่วยลดดอกเบี้ยได้ 1,000 ล้านบาท

 

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ ‘เอสซีจี’ ได้แถลงแผนธุรกิจปี 2567 โดยระบุว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 40,000 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจกรีนหรือนวัตกรรมรักษ์โลก รวมทั้งในธุรกิจพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะมีความต้องการและโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต

 

อย่างไรก็ดี งบลงทุนในปี 2567 ถือว่าบริษัทมีการปรับใช้งบลงทุนรวมต่ำกว่าภาวะปกติที่บริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นแผนการรับมือปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตาในปีนี้ที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจ ทั้งตลาดดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับลดลง, ความผันผวนของราคาน้ำมันกับค่าขนส่งสินค้า (Freight), การชะลอตัวของเศรษฐกิจ, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) รวมถึงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีอยู่ในขณะนี้ โดยบริษัทเตรียมแผนรับมือไว้ โดยจะไม่เข้าไปทำธุรกิจในจุดศูนย์กลางที่มีปัญหา เน้นหันไปลงทุนทำธุรกิจในพื้นที่ที่มีโอกาสเติบโตสูง

 

สำหรับปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายรวม ซึ่งจะเติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปี 2566 ที่ทำได้ 499,646 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals) ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะแล้วเสร็จการเดินเครื่องจักรและทดสอบประสิทธิภาพการเดินโรงงานทั้งระบบในช่วงไตรมาส 1/67

 

เลื่อนแผน IPO ธุรกิจ ‘เคมิคอลส์’

 

ขณะที่ความคืบหน้าแผนการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทคาดว่าต้องชะลอแผนระดมทุนในช่วง 2 ปี หรือปี 2567-2568 ไปก่อน เนื่องจากวัฏจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2567 ยังอยู่ในช่วงขาลง ส่วนปี 2568 มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังไม่เต็มที่ อีกทั้งการเร่งรีบเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชน (IPO) อาจยังไม่สร้างประโยชน์เต็มที่ให้กับบริษัท

 

โดยบริษัทจะปรับกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มไปสู่กระบวนการผลิตที่เป็น Green Polymer ให้มากขึ้น ขณะที่ตลาดปิโตรเคมีคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและอุปทานที่ลดลง

 

สำหรับธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ล่าสุดขยายการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำเจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกอีก 5% ขณะที่ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล เร่งขยายความแข็งแกร่งสู่ตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างภูมิภาค SAMEA ได้แก่ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

 

โดย SCG International ตั้งสำนักงานในกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย อย่างเป็นทางการ พร้อมเป็น International Supply Chain Partner บริหารจัดการตั้งแต่การหาแหล่งผลิตสินค้าจนถึงการสร้างตลาดให้คู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก

 

ขณะที่ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ พลังงานสะอาดครบวงจร ล่าสุดติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายพื้นที่ เช่น กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง, นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เตรียมขยายไปยังตลาดอาเซียน ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในปี 2567

 

ส่วนธุรกิจแพ็กเกจจิ้งของ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ในช่วงไตรมาส 4/66 ความต้องการภาคบริโภคในเวียดนามและอินโดนีเซียเริ่มฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสินค้าส่งออก โดยเฉพาะอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ในปี 2567 อุตสาหกรรมแพ็กเกจจิ้งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวและส่งออก ดังนั้นจึงเน้นในด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งขยายกำลังการผลิตและ M&P (Merger & Partnership) ในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์, บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์และเติบโตสูง

 

รายได้ปี 2566 ร่วง 12% ดีมานด์ปูนหด-ราคาเคมีภัณฑ์ทรุด

 

สำหรับผลประกอบการในปี 2566 บริษัทมีรายได้ 499,646 ล้านบาท ลดลง 12% จากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics ขณะที่กำไร 25,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากกำไรของการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566

 

ขณะที่ไตรมาส 4/66 มีรายได้ 120,618 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ 502 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/66 บริษัทมีผลขาดทุนสำหรับงวด 1,134 ล้านบาท เนื่องจากมีรายการพิเศษการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา และรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมีลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals: LSP)

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 6 บาท รวมเป็นเงิน 7,200 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของกำไรไม่รวมรายการพิเศษ ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.5 บาท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 3.5 บาท

 

เร่งคืนหนี้แบงก์ลดภาระดอกเบี้ย

 

จันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน SCC กล่าวว่า บริษัทมีวงเงินหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปีนี้ประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อมาชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดก้อนแรกในเดือนเมษายน 2567 วงเงิน 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการออกหุ้นชุดใหม่ของบริษัทวงเงิน 20,000 ล้านบาท และวงเงินหุ้นกู้จากบริษัทย่อยอีกวงเงิน 5,000 ล้านบาท และสำหรับวงเงินส่วนที่เหลือจะครบในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ราว 10,000 ล้านบาท และช่วงปลายปีนี้อีกวงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรอพิจารณาความจำเป็นและความต้องการการใช้เงินและกระแสเงินสดของบริษัทอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีเงินสดคงเหลือ 68,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงภาวะปกติที่บริษัทจะรักษาเงินสดภายในไว้ที่ระดับ 1 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้แบ่งนำเงินสดไปชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดธนาคารพาณิชย์จำนวน 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี

The post ‘เอสซีจี’ รัดเข็มขัด ลดงบลงทุนปี 67 เหลือใช้เงิน 4 หมื่นล้านบาท เตรียมรับมือหลายความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>