วันนี้ (26 สิงหาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. แถลงผลการดำเนินงานตามแผนยุทธการ ‘พิชิตคนพาล อภิบาลคนดี’ ที่มุ่งเป้าระดมกวาดล้างอาชญากรรมเกี่ยวกับอาวุธปืนและจับกุมบุคคลตามหมายจับ ระหว่างวันที่ 15 – 24 สิงหาคมที่ผ่านมา

การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ที่ต้องการปราบปรามอาชญากรรมที่มักใช้อาวุธปืนก่อเหตุ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชน โดยมียุทธการ 10 วัน ที่มีเป้าหมายหลักคือ อาวุธปืน, เครื่องกระสุน, วัตถุระเบิด และการติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่า

ตลอด 10 วันของยุทธการ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำผิดและยึดของกลางได้จำนวนมาก

อาวุธปืนและวัตถุระเบิด :

• คดีความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนรวม 6,338 คดี
• อาวุธปืนทั่วไป 6,218 กระบอก
• อาวุธปืนจากออนไลน์ 293 กระบอก
• เครื่องกระสุนปืน 48,176 นัด
• วัตถุระเบิด 6,360 ลูก (ทั้งแบบมาตรฐานและระเบิดแสวงเครื่อง)

จับกุมผู้ต้องหา :

• ผู้ต้องหาเกี่ยวกับอาวุธปืน 5,261 คน
• ผู้ต้องหาตามหมายจับ 14,639 คน (รวมทั้งหมด 20,030 หมาย)

พล.ต.อ.ธนายุตม์กล่าวว่า ผลการจับกุมในครั้งนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าครั้งก่อน เนื่องจากใช้เวลาปฏิบัติการนานกว่า และฝ่ายสืบสวนได้ทำการบ้านมาอย่างดีก่อนลงพื้นที่ โดยอาวุธปืนที่ยึดได้จะถูกตรวจสอบและทำลายต่อไป นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือประชาชนหากพบเบาะแสอาชญากรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

The post ตร. แถลงผลยุทธการ ‘พิชิตคนพาล อภิบาลคนดี’ กวาดล้างอาวุธปืน-หมายจับ appeared first on THE STANDARD.

วานนี้ (12 พฤษภาคม) พล.ต.อ. ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามและกำกับดูแลคดีกลุ่มสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) พร้อมพวกรวม 7 คน ก่อเหตุรุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ขณะปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้งจนได้รับบาดเจ็บ โดยล่าสุดสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ครบทั้ง 7 รายแล้ว และได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

การลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.ต.อ. ธนายุตม์ ได้ประชุมร่วมกับ พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9), พล.ต.ต. ณรงค์ ธนานันทกุล ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 4 (ผบก.ตชด.ภาค 4), พล.ต.ต. เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา (ผบก.ภ.จว.สงขลา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด และยืนยันว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้

พล.ต.อ. ธนายุตม์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้เร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ เหิมเกริม ท้าทายอำนาจรัฐ และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและประชาชนไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กระทำผิดเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งควรเป็นผู้ที่รู้กฎหมายดี แต่กลับละเมิดกฎหมายเสียเอง

“การดำเนินคดีจะเป็นไปอย่างเฉียบขาด บังคับใช้กฎหมาย 100% ไม่มีการละเว้นหรือเลือกปฏิบัติ ขณะนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 7 รายได้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ก่อเหตุตัวจริง ไม่มีการจับแพะอย่างแน่นอน จากพฤติการณ์พบว่ามีการวางแผนและไตร่ตรองก่อนก่อเหตุ นอกจากนี้ ยังพบว่าบางรายมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งจะมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด หากพบความผิดเดิม จะดำเนินคดีเพิ่มเติมและขอให้ศาลเพิ่มโทษตามกฎหมาย” พล.ต.อ. ธนายุตม์ กล่าว

ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ยังให้คำมั่นว่า กระบวนการสอบสวนจะเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา และขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะไม่มีการปล่อยให้ผู้มีอิทธิพลเข้ามาแทรกแซงหรือมีอำนาจเหนือกฎหมาย หากการสอบสวนขยายผลไปถึงบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงหรือผู้ให้การสนับสนุน จะมีการดำเนินคดีจนถึงที่สุด 

พร้อมกันนี้ได้ประกาศเตรียมการกวาดล้างอิทธิพลครั้งใหญ่ เพื่อขจัดภัยต่อสังคม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อ้างอิง: 

• สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา

The post พล.ต.อ. ธนายุตม์ ลงใต้คุมคดี สจ. ทำร้าย ตชด. เผยจับครบ 7 ราย บังคับใช้กฎหมาย 100% เตรียมกวาดล้างกลุ่มอิทธิพล appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (24 มิถุนายน) พล.ต.ท. ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานหารือบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกจากราชการไว้ก่อน

โดยบันทึกดังกล่าวมีใจความสำคัญ คือ

1. นายกรัฐมนตรีจะต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ข้าราชการตำรวจตำแหน่งรอง ผบ.ตร. รายดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันออกจากราชการไว้ก่อน

2. กรอบระยะเวลาเป็นดุลยพินิจของนายกฯ ที่จะต้องพิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบ ภายในระยะเวลาอันเหมาะสมตามควรแก่กรณีต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ระบุ การฟ้องของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถือเป็นสิทธิ การสั่งออกจากราชการดูจากความร้ายแรงคดี จากนี้ไม่กังวลตายลำพัง
• พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ระบุ การเดินหน้าฟ้องก่อนกลับเข้า ตร. เพื่อคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง ความปรองดองตำรวจขึ้นอยู่กับนายกฯ
• ผู้ช่วย ผบ.ตร. นำหารือปมคำสั่งออกจากราชการ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถูกต้องหรือไม่ ตามคำแนะนำกฤษฎีกา

นอกจากนี้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ‘การสั่งให้ข้าราชการตำรวจรายนี้ออกจากราชการไว้ก่อน หากเป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้น ย่อมจะทำให้การพิจารณาเหตุแห่งการกระทบสิทธิของผู้นั้นและความจำเป็นที่ต้องสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกระบวนการตามกฎหมายและเป็นธรรมแก่ผู้ถูกสอบสวน และการนำความกราบบังคมทูลตามมาตรา 140 วรรคหนึ่ง ย่อมเป็นไปด้วยความชอบธรรม’

โดยมีตัวแทนจากสำนักงานกำลังพล (สกพ.), สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (สง.ก.ตร.) เข้าหารือว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต้องดำเนินการอย่างไร หรือไม่ดำเนินการอย่างไร ตามบันทึกคณะกรรมการกฤษฎีกาบ้าง เพื่อเสนอ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต่อไป

The post ผู้ช่วย ผบ.ตร. นำหารือปมคำสั่งออกจากราชการ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถูกต้องหรือไม่ ตามคำแนะนำกฤษฎีกา appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (11 กันยายน) พล.ต.ท. ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) ได้มีคำสั่งตำรวจภูธรภาค 7 ที่ 626/2566 ให้ พล.ต.ต. จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ พ.ต.อ. ภูภณ ทัพเจริญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 7 โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (งานบริหาร) ที่รับผิดชอบงานศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 7 มอบหมาย

ทั้งนี้ เพื่อให้การสอบสวนคดีเกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพในการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของ พ.ต.ต. ศิวกร สายบัว สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ที่บ้าน ประวีณ จันทร์คล้าย หรือ อดีตกำนันนก จังหวัดนครปฐม

หลังปรากฏภาพ พล.ต.ต. จักรกฤษ และ พ.ต.อ. ภูภณ ไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว จนทำให้ประชาชนเชื่อว่ามีความสนิทสนมและทำให้สังคมขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจภูธรภาค 7

The post สั่งย้ายผู้การฯ นครปฐม-ผู้กำกับ สภ.เมืองนครปฐม หลังมีภาพปรากฏตัวร่วมงานวันเกิดอดีตกำนันนก appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (19 มิถุนายน) พล.ต.ท. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณียูทูเบอร์ เนท My Mate Nate จ้างตำรวจ 50 นาย – คอมมานโด จำลองการไล่ล่าในห้างสรรพสินค้าร้าง โดยโพสต์คลิปภารกิจนี้พร้อมทั้งระบุข้อความว่า ‘จะรอดไหม?!’ จนกลายเป็นกระแสสังคมถึงความเหมาะสมนั้น

พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท. ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) และ พล.ต.ต. ไพโรจน์ คุ้มภัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) กาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุในการถ่ายทำรายการดังกล่าว ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบุคคลที่ปรากฏในคลิปเป็นข้าราชการตำรวจจริงหรือไม่ และได้มีการขออนุญาตถ่ายทำการแสดงในการแต่งกายตำรวจตามระเบียบกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งการใช้อาวุธปืน ยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ถูกต้องหรือไม่ 

หากพบเป็นความผิดให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เบื้องต้นทราบว่ามีข้าราชการตำรวจจริงบางนายที่ร่วมแสดง ส่วนผู้แสดงอื่นๆ กำลังตรวจสอบโดยละเอียดเพิ่มเติม

พล.ต.ท. อาชยน กล่าวว่า กรณีดังกล่าวหากพบว่าเป็นข้าราชการตำรวจที่จะแสดงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ต้องปฏิบัติตามระเบียบตำรวจที่ระบุไว้ชัดเจนว่า การขออนุญาตใช้สถานที่ บุคลากร อุปกรณ์ และยานพาหนะ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมเพื่อประกอบฉากถ่ายทำ เผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน ต้องเสนอบท เนื้อหาตามลำดับชั้น เพื่อให้ผู้บังคับการอนุมัติจึงจะแสดงได้ หากฝ่าฝืนต้องเป็นความผิดทางวินัย 

ส่วนบุคคลที่ไม่ใช่ตำรวจ แต่มารับจ้างแต่งกายเป็นตำรวจ หากไม่มีการขออนุญาตโดยถูกต้อง จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 152 ฐานแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน – 5 ปี และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146 ผู้ที่ไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.ท. อาชยน กล่าวต่อว่า ส่วนยูทูเบอร์ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการแสดง ในกรณีที่จะต้องมีแสดงโดยแต่งกายเป็นตำรวจหรือแต่งกายคล้ายตำรวจที่ประสงค์จะเผยแพร่ต่อสาธารณชน จะต้องแจ้งบท เนื้อหา รายละเอียดเครื่องแบบ และเครื่องแต่งกายที่ต้องใช้แสดง ให้หัวหน้าสถานีตำรวจ ณ ท้องที่ที่จะถ่ายทำไม่น้อยกว่า 5 วันก่อนการถ่ายทำหรือการแสดง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 155 ประกอบกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์การแจ้งให้หัวหน้าสถานที่ตำรวจท้องที่ทราบฯ 

ซึ่งหากไม่มีการขออนุญาตโดยถูกต้อง แล้วไปจ้างบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ตำรวจมาแต่งกายเป็นตำรวจโดยไม่มีสิทธิ จะเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ และเมื่อมีการกระทำความผิดลง มีการแต่งกายตำรวจโดยไม่มีสิทธิ ยูทูเบอร์ผู้นั้นจะต้องรับโทษเสมือนตัวการ 

พล.ต.ท. อาชยน กล่าวอีกว่า ขอฝากถึงยูทูเบอร์หรือผู้ที่จะถ่ายทำการแสดง ละคร ภาพยนตร์ หรือการแสดงอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เพื่อใช้เผยแพร่ออกสู่สาธารณชน หากมีการแต่งกายด้วยเครื่องแบบตำรวจ แต่งกายคล้ายตำรวจ หรือต้องใช้อุปกรณ์ และยานพาหนะ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย เพราะบางครั้งอาจดำเนินการไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ทำให้เสื่อมเสียแก่ข้าราชการตำรวจ และทำให้คนหลงเชื่อว่าเป็นข้าราชการตำรวจจริง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนได้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญา จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนข้าราชการตำรวจต้องปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย และกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ถูกต้อง มีการขออนุญาตตามลำดับชั้นถึงผู้บังคับการ หากฝ่าฝืนจะมีโทษทางวินัย ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสม สมเกียรติแห่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของเครื่องแบบตำรวจ ที่จะปรากฏออกสู่สาธารณชน

ภาพ: My Mate Nate

The post ผบ.ตร. สั่งสอบรายการยูทูบจ้างตำรวจไล่ล่า ขออนุญาต-ทำตามระเบียบกฎหมายหรือไม่ หากมีตำรวจจริงร่วมแสดง จ่อฟันโทษวินัย appeared first on THE STANDARD.