ทุนจีน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 07 Oct 2025 10:13:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ภาคก่อสร้างไทย รับมือให้ไหวกับการเข้ามาของผู้รับเหมาจีน https://thestandard.co/chinese-contractor-thailand-competition-impact/ Tue, 07 Oct 2025 07:38:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1127568 chinese-contractor-thailand-competition-impact

เงินลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยขยายตัวต่อเนื่องใน […]

The post ภาคก่อสร้างไทย รับมือให้ไหวกับการเข้ามาของผู้รับเหมาจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
chinese-contractor-thailand-competition-impact

เงินลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยขยายตัวต่อเนื่องในปี 2020-2024 ที่ 21% CAGR

 

โดยผู้รับเหมาก่อสร้างจีนเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างในไทยเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งนำมาสู่วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่รุนแรงในจีน ส่งผลกระทบต่อภาคก่อสร้างในจีนตามมา ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจีนมองหาโอกาสในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงไทยมากขึ้น ประกอบกับในไทยยังมีการขยายตัวของความเป็นเมือง ที่ทำให้ยังมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ 

 

ประเด็นสำคัญ

 

 

ทั้งนี้ ในปี 2025 ผู้รับเหมาก่อสร้างจีนนิยมเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างรูปแบบการร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการไทย ทั้งกลุ่มงานก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชย์ กลุ่มงานก่อสร้างวิศวกรรมโยธา เช่น ระบบสาธารณูปโภค, การก่อสร้างและการซ่อมเหมืองแร่, กลุ่มงานก่อสร้างถนน สะพาน และอุโมงค์ และกลุ่มงานก่อสร้างทางรถไฟและรถใต้ดิน

 

ผู้รับเหมาไทยมีความเปราะบางอยู่แล้ว และถูกซ้ำเติมจากการเข้ามาของผู้รับเหมาจีน

 

  • ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยมีความเปราะบาง ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องยกระดับ Productivity ไปจนถึงความท้าทาย ทั้งข้อจำกัดด้านรายได้ การรับงานก่อสร้างใหม่ๆ การบริหารจัดการด้านต้นทุน และปัญหาด้านสภาพคล่อง โดยการเข้ามาของผู้รับเหมาก่อสร้างจีน ซ้ำเติมผู้รับเหมาก่อสร้างไทย โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา รวมถึงยังกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใน Supply chain จากการใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตจากจีนเป็นหลัก

 

  • เหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ เมื่อ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา กระทบความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างจีน รวมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างกลุ่มรับงานก่อสร้างภาครัฐเผชิญความเข้มงวดจากผู้ว่าจ้างมากขึ้น ในส่วนของกลุ่มรับงานก่อสร้างภาคเอกชน แม้จะไม่ได้รับผลกระทบด้านความเชื่อมั่นจากผู้ว่าจ้าง แต่ต้องยกระดับความสามารถ
    ในการก่อสร้างให้ตอบโจทย์ด้านการรองรับภัยพิบัติ ขณะที่ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งด้านคุณสมบัติและประสบการณ์ ส่งมอบงานได้ตามคุณภาพ และตรงเวลา รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสมัยใหม่ ที่สามารถรองรับภัยพิบัติต่างๆ จะยังคงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ได้

 

ผู้รับเหมาไทยควรเร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อรับมือกับการเข้ามาของผู้รับเหมาจีน ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมถึงการสร้างพันธมิตรกับผู้รับเหมาต่างชาติอื่นๆ เพื่อเปิดโอกาสในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี

 

  • การนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้าง, เทคโนโลยีก่อสร้างแบบสำเร็จรูป, Building Information Modeling (BIM), 3D Printing, AI, เครื่องจักรก่อสร้างอัตโนมัติ, Drone, Sensor, Smart wearable จะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการเพิ่ม Productivity บริหารจัดการความท้าทาย รวมถึงได้เปรียบในการแข่งขันเข้าประมูลงานก่อสร้าง

 

  • ผู้ว่าจ้างมีแนวโน้มว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีความสามารถ และประสบการณ์ในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่สามารถรองรับภัยพิบัติ ส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยควรขยายพันธมิตรไปสู่การร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น, เยอรมนี และเกาหลีใต้ ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันในการเข้าประมูลงาน สร้างความเชื่อมั่นสำหรับผู้ว่าจ้าง รวมถึงเปิดโอกาสในการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง

 

ภาครัฐต้องสร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้รับเหมาต่างชาติ และการปกป้องผู้รับเหมาไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมขีดความสามารถให้ผู้รับเหมาไทย

 

  • แม้มีการกำหนดสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ รวมถึงภาคก่อสร้างไทยได้ประโยชน์จากการเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการจ้างงาน รวมถึงที่ผ่านมาได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง แต่ภาครัฐจำเป็นต้องพิจารณากำหนดเงื่อนไขที่ปกป้องภาคก่อสร้างไทย เช่น ต้องมีการร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างไทย ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง กำหนดให้ใช้แรงงานไทย และวัสดุก่อสร้างที่ผลิตในประเทศ กำหนดให้บริษัทไทยเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง อีกทั้งเข้มงวดกับการเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ที่ใช้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทย
    เป็นนอมินี (Nominee)

 

  • สำหรับการส่งเสริมขีดความสามารถให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทย อาจอยู่ในรูปแบบการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนเงินทุนสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างที่ลงทุนนำเทคโนโลยีมาใช้ ให้สามารถยกระดับ Productivity และแข่งขันกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติได้มากขึ้น

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม: https://www.scbeic.com/th/detail/product/Chinese-contractors-071025?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=INFOCUS_CHINESE_CONTRACTORS_OCT_2025

The post ภาคก่อสร้างไทย รับมือให้ไหวกับการเข้ามาของผู้รับเหมาจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
NS-SUS ฝ่าวิกฤตเหล็กราคาถูกจากจีน กลยุทธ์ยืนหยัดในสมรภูมิเหล็กโลก https://thestandard.co/thai-steel-industry-crisis-china-imports/ Wed, 24 Sep 2025 03:00:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1120790 thai-steel-industry-crisis-china-imports

‘เหล็ก’ วัสดุที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวถนน เสาอาคาร หรือในโครงรถ […]

The post NS-SUS ฝ่าวิกฤตเหล็กราคาถูกจากจีน กลยุทธ์ยืนหยัดในสมรภูมิเหล็กโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-steel-industry-crisis-china-imports

‘เหล็ก’ วัสดุที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวถนน เสาอาคาร หรือในโครงรถยนต์ แม้ดูธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วคือ ‘อุตสาหกรรมเสาหลัก’ ที่รองรับเศรษฐกิจไทยแทบทุกมิติ ทั้งการก่อสร้าง ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงอาหารกระป๋องที่อยู่ในทุกครัวเรือน

 

อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริง แต่ยังสร้างงานให้กับคนไทยนับแสนชีวิต ทว่าภาพที่เคยมั่นคง กลับถูกสั่นคลอนอย่างหนักจากวิกฤต ‘เหล็กราคาถูกจากจีน’ ที่ไหลทะลักเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงที่ผ่านมา

 

มรสุมเหล็กจีนล้นตลาด

 

จีนครองตำแหน่งผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยสัดส่วนกว่า 50% แต่เมื่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ทำให้อุตสาหกรรมอสังหาฯ หลายส่วนเกิดติดขัด อุปสงค์เหล็กในประเทศลดฮวบลงกะทันหัน เหล็กส่วนเกินมหาศาลจึงต้องถูกระบายออก โดยประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนคือจุดหมายหลัก เพราะขนส่งง่าย ความต้องการสูง 

 

ยิ่งไปกว่านั้น กำลังการผลิตเหล็กในฝั่งตะวันออกยังคงเกินความต้องการ โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี เกิดเป็นการแข่งขันอันดุเดือด และในสมรภูมินั้น ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคยูเรเซียก็นับว่ายืนอยู่ใจกลางเกม เสี่ยงต่อการไหลบ่าของซัพพลายเหล็กจำนวนมาก โดยเฉพาะจากจีน

 

อุตสาหกรรมเหล็กของไทย

 

ไทยอยู่ในจุดเปราะบางกลางสมรภูมิ

 

ประเทศไทยมีความต้องการใช้เหล็กราว 17.3 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตได้จริงเพียง 7.5 ล้านตัน ที่เหลืออีกกว่า 11.5 ล้านตัน หรือราว 66% ต้องพึ่งพาการนำเข้าโดยตรง ช่องว่างนี้ทำให้ไทยกลายเป็นเป้าหมายหลักของเหล็กจีนที่ต้องการหาตลาดใหม่

โดยปกติแล้วซัพพลายเชนเหล็กไทยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ‘กลุ่มกลางน้ำ’ ที่ผลิตเหล็กแแผ่นรีดร้อน และเหล็กแผ่นรีดเย็น กับ ‘กลุ่มปลายน้ำ’ ที่นำเหล็กขั้นกลางมาแปรรูปต่อ ซึ่งทั้งคู่คือ ‘ฟันเฟือง’ สำคัญที่เชื่อมอุตสาหกรรมเหล็กเข้ากับภาคก่อสร้าง ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

อุตสาหกรรมเหล็กของไทย

 

แต่เหล็กจากจีนที่ไหลทะลักจากจีนเข้ามานั้นส่วนใหญ่เป็นสินค้าเหล็กปลายน้ำ เช่น เหล็กเคลือบสังกะสี (Galvanized Steel), เหล็กทาสี (Color-coated Steel) และเหล็กแปรรูปพร้อมใช้งานอื่น ๆ เหล็กเหล่านี้เข้ามาในราคาที่ถูกมาก ทำให้ความต้องการเหล็กรีดร้อนและเหล็กม้วนดำของผู้ผลิตกลางน้ำลดลง ในขณะที่ผู้ผลิตปลายน้ำก็ถูกแซงทั้งในแง่ต้นทุน คุณภาพ และราคาขาย จนต้องปิดตัวลงในที่สุด

 

อุตสาหกรรมเหล็กของไทย

 

NS-SUS กับการยืนหยัดสู้สงครามราคา

 

ท่ามกลางพายุครั้งนี้ มีผู้ผลิตบางรายต้องถอนตัว แต่ก็มีบางรายที่ยังยืนหยัดได้ หนึ่งในนั้นคือ NS-SUS (NS – Siam United Steel) บริษัทผลิตเหล็กรายสำคัญของไทย หรือบริษัทลูกของ Nippon Steel ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับที่ 3 ของโลก

 

ต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติของลูกค้าซื้อเหล็กคือมองว่าเหล็กเป็นสินค้าราคาสูง การกดราคาต่ำไม่ใช่เหตุผลที่จะถูกเลือกเสมอไป NS-SUS จึงยึดมั่นในการวางจุดยืนเป็น ‘พาร์ตเนอร์’ ที่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจความต้องการของลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเหมาะสม

 

ในอุตสาหกรรมยานยนต์ NS-SUS ไม่เพียงส่งมอบเหล็ก แต่ยังถ่ายทอดเทคโนโลยี CAD/CAM (Computer-Aided Design/Computer-Aided Manufacturing) เพื่อช่วยลูกค้าออกแบบและประเมินความแข็งแรงของชิ้นส่วนรถยนต์ตั้งแต่ต้น พร้อมมองเห็นโอกาสจากการที่ไทยมีศักยภาพก้าวสู่ฐานการผลิต EV

 

ในงานก่อสร้าง แม้เหล็กนำเข้าจะราคาถูกกว่า แต่ NS-SUS เสนอจุดแข็งด้านการจัดส่งที่รวดเร็วกว่า ช่วยลูกค้าลดภาระสต็อกและต้นทุนดอกเบี้ย

 

ในผลิตภัณฑ์กระป๋องและเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัทมุ่งเน้นการสร้างความสะดวกและความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทาน พร้อมจับตาโอกาสใหม่จากผู้ผลิตจีนและเกาหลีที่เริ่มเข้ามาลงทุนในไทย

 

อุตสาหกรรมเหล็กของไทย

 

3 เส้นทาง อนาคต NS-SUS

 

แม้สมรภูมิเหล็กจะร้อนแรงจากการแข่งขันระดับโลก แต่ NS-SUS ยังคงมองเห็นโอกาสในประเทศไทยเสมอ เพราะประเทศนี้มีศักยภาพทั้งในฐานะศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรม และจุดยุทธศาสตร์ในการส่งออกไปทั่วภูมิภาค โดยได้มองทางเดินไว้ 3 ทิศใหญ่ๆ ได้แก่

 

1. ขยายกำลังการผลิตให้ใหญ่ขึ้นในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนจะเพิ่มขนาดขององค์กรทั้งในเชิงกำลังการผลิตและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเติบโต

 

2. ลงทุนบนพื้นฐานของความต้องการจริง: NS-SUS จะลงทุนเพิ่มก็ต่อเมื่อลูกค้าส่งสัญญาณว่าต้องการมากขึ้นจริงๆ เท่านั้น เพราะบริษัทมองการลงทุนไม่ใช่การเสี่ยงโชค แต่คือการตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง

 

3. สร้างองค์กรที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นถัดไป เป้าหมายสูงสุดของ NS-SUS ไม่ใช่เพียงการทำกำไร แต่คือการสร้างองค์กรที่พนักงาน คู่ค้า และชุมชนรอบข้างมีความสุขไปด้วยกัน และอยากให้คนรุ่นถัดไปยังคงสนุกกับการทำงานและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกัน

 

อุตสาหกรรมเหล็กของไทย

 

เมื่ออุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกกำลังเผชิญพายุจากภาวะอุปทานล้นตลาด การแข่งขันที่ดุเดือด และแรงกดดันจากสินค้าราคาถูกจากจีน สิ่งที่ NS-SUS ใช้ยืนหยัดกลับไม่ใช่ต้นทุนที่ต่ำที่สุด 

 

เพราะบางครั้ง เหล็กที่แข็งแกร่งที่สุดอาจไม่ได้อยู่ในโรงงาน แต่ซ่อนอยู่ในสายสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้านั่นเอง

 

 

The post NS-SUS ฝ่าวิกฤตเหล็กราคาถูกจากจีน กลยุทธ์ยืนหยัดในสมรภูมิเหล็กโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
บุกทลายโกดังสินค้าทุนจีนผิดกฎหมาย ย่านบางขุนเทียน ลักลอบนำเข้าสินค้าสุขภาพมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท https://thestandard.co/fda-police-raid-illegal-goods/ Tue, 02 Sep 2025 00:51:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1114299

วานนี้ (1 กันยายน) กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมก […]

The post บุกทลายโกดังสินค้าทุนจีนผิดกฎหมาย ย่านบางขุนเทียน ลักลอบนำเข้าสินค้าสุขภาพมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

วานนี้ (1 กันยายน) กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) สนธิกำลังเข้าตรวจค้นโกดังต้องสงสัย 2 แห่งในเขตบางขุนเทียน หลังพบว่าเป็นแหล่งพักและกระจายสินค้าสุขภาพผิดกฎหมายที่ลักลอบนำเข้าจากประเทศจีนเพื่อจำหน่ายทางออนไลน์ สามารถยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท

 

ชัยชนะ เดชเดโช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งปราบปรามขบวนการธุรกิจจีนเทาที่สร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยได้เข้าตรวจค้นโกดังในย่านแสมดำ เขตบางขุนเทียน 

 

ภายหลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและตรวจสอบเส้นทางการจัดส่งสินค้า พบผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายชนิด เช่น ยาจุดกันยุง, น้ำยาฆ่าเชื้อ, ยาย้อมผม, ผ้าอนามัย, ลิปสติก, พุดดิง และน้ำผลไม้ ซึ่งสินค้าทั้งหมดไม่มีเลขทะเบียนหรือเลขจดแจ้ง และไม่มีฉลากภาษาไทย จึงได้ตรวจยึดทั้งหมดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

ด้าน นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีฉลากภาษาไทยและ ตราสัญลักษณ์ อย. ที่แสดงถึงคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย 

 

นอกจากนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลการอนุญาตผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ของ อย. และหากพบเห็นผลิตภัณฑ์ต้องสงสัย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือช่องทางอื่น ๆ 

 

อย. และ ปคบ. บุกทลายโกดัง อย. และ ปคบ. บุกทลายโกดัง อย. และ ปคบ. บุกทลายโกดัง อย. และ ปคบ. บุกทลายโกดัง อย. และ ปคบ. บุกทลายโกดัง อย. และ ปคบ. บุกทลายโกดัง

 

อ้างอิง :

The post บุกทลายโกดังสินค้าทุนจีนผิดกฎหมาย ย่านบางขุนเทียน ลักลอบนำเข้าสินค้าสุขภาพมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
บุกทลายโกดังทุนจีนซุกวัตถุอันตราย-เครื่องสำอางเถื่อน ยึดของกลางกว่า 20 ล้านบาท https://thestandard.co/raid-illegal-hazardous-products/ Tue, 22 Jul 2025 08:02:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1098422 raid-illegal-hazardous-products

วันนี้ (22 กรกฎาคม) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำคว […]

The post บุกทลายโกดังทุนจีนซุกวัตถุอันตราย-เครื่องสำอางเถื่อน ยึดของกลางกว่า 20 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
raid-illegal-hazardous-products

วันนี้ (22 กรกฎาคม) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงผลการบุกทลายโกดังขนาดใหญ่ในเขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ที่ลักลอบซุกซ่อนวัตถุอันตรายใช้ในครัวเรือนและเครื่องสำอางเถื่อนที่นำเข้าจากต่างประเทศผิดกฎหมาย เพื่อจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 

 

พ.ต.อ. อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ รองผู้บังคับการ ปคบ. เปิดเผยว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากการสูดดมก๊าซพิษที่สันนิษฐานว่าเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์แก้ไขการอุดตันของท่อ ทำให้ พล.ต.ต. พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผู้บังคับการ ปคบ. สั่งการให้เร่งสืบสวนจับกุมร้านค้าที่ลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์อันตรายดังกล่าว จนกระทั่งสืบทราบถึงสถานที่จัดเก็บสินค้าผิดกฎหมายนี้

 

จากการนำหมายค้นศาลอาญามีนบุรีเข้าตรวจค้น พบแรงงานต่างด้าวจำนวนหนึ่งกำลังบรรจุสินค้าลงกล่องพัสดุเพื่อเตรียมจัดส่งให้ลูกค้า โดยของกลางที่ตรวจยึดได้ประกอบด้วยวัตถุอันตรายยี่ห้อ SEAWAYS หลายรายการ 

 

อาทิ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า, ทำความสะอาดพื้น, ขจัดคราบสกปรก, ทำความสะอาดอเนกประสงค์, ล้างเครื่องซักผ้า, ขจัดท่ออุดตัน, ทำความสะอาดห้องครัว, ทำความสะอาดห้องน้ำ และกำจัดเชื้อราในครัวเรือน นอกจากนี้ยังพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยี่ห้อ Dr. Leo ได้แก่ ครีมบำรุงผิว และป้องกันแสงแดด

 

พ.ต.อ. วีระพงษ์ คล้ายทอง ผู้กำกับการ 4 บก.ปคบ. กล่าวว่า จากการสอบสวน อุทุมวัลย์ เจ้าของสถานที่ ให้การยอมรับว่าสินค้าทั้งหมดเป็นของนายทุนชาวจีนที่มาเช่าโกดังเพื่อเก็บสินค้าและจ้างแรงงานต่างชาติบรรจุสินค้าส่งให้ลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เมื่อลูกค้าชาวไทยสั่งซื้อ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังร้านค้าในประเทศจีน จากนั้นร้านค้าจะส่งข้อมูลลูกค้าและสถานที่จัดส่งกลับมายังโกดัง พนักงานจะพิมพ์ข้อมูลลูกค้าพร้อมสินค้าบรรจุลงกล่องเพื่อจัดส่ง โดยโกดังไม่ทราบว่ามีร้านค้าใดบ้าง การดำเนินงานเช่นนี้มีมาประมาณ 3 ปี มียอดการส่งสินค้าแต่ละวันประมาณ 7,000 – 9,000 ชิ้น โดยได้ค่าจ้างบรรจุสินค้าชิ้นละ 5 – 7 บาท

 

พ.ต.ท. รุตินันท์ สัตยาชัย สารวัตร กก.4 บก.ปคบ. เสริมว่า จากการตรวจสอบการนำเข้าผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายยี่ห้อ SEAWAYS พบว่ามีทั้งผลิตภัณฑ์ที่ไม่แจ้งข้อเท็จจริง ไม่ขึ้นทะเบียน และบางรายการมีการยื่นคำขอจดทะเบียน แต่ไม่พบข้อมูลการนำเข้าผ่านด่าน อย. แต่อย่างใด ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายเหล่านี้ต้องขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตทั้งการผลิต นำเข้า หรือครอบครอง 

 

เนื่องจากบางชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม ส่วนการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยี่ห้อ Dr. Leo ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ไม่พบข้อมูลการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากบริษัทผู้ขออนุญาตนำเข้าแต่อย่างใด

 

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา มีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายไม่แจ้งข้อเท็จจริง, มีไว้ในครอบครองวัตถุอันตรายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน, ขายวัตถุอันตรายที่ไม่แสดงฉลากภาษาไทยและมีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง, ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีเลขจดแจ้ง, ขายเครื่องสำอางที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง และนำเข้าเพื่อขายเครื่องสำอางโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ ณ ด่านตรวจสอบเครื่องสำอาง

 

ด้าน นพ. รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้กล่าวเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมวัตถุอันตรายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเน้นย้ำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากภาษาไทย มีเลขทะเบียนวัตถุอันตรายอย่างถูกต้อง และเครื่องสำอางต้องมีฉลากภาษาไทยพร้อมเลขจดแจ้ง อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาหรือเห็นแก่สินค้าราคาถูกเกินปกติ เพราะอาจเสี่ยงต่อการได้สินค้าปลอม ไม่มีคุณภาพ หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากสารระเหยได้

The post บุกทลายโกดังทุนจีนซุกวัตถุอันตราย-เครื่องสำอางเถื่อน ยึดของกลางกว่า 20 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านเกม ‘ทุนจีน’ เดจาวู ‘ทุนญี่ปุ่น’ บทเรียนใดที่ทุนไทยควรหยิบใช้ซ้ำ? https://thestandard.co/key-takeaway-chinese-investment/ Tue, 15 Jul 2025 11:30:02 +0000 https://thestandard.co/?p=1096670

การไหลเข้ามาของ ‘ทุนจีน’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น ‘New […]

The post อ่านเกม ‘ทุนจีน’ เดจาวู ‘ทุนญี่ปุ่น’ บทเรียนใดที่ทุนไทยควรหยิบใช้ซ้ำ? appeared first on THE STANDARD.

]]>

การไหลเข้ามาของ ‘ทุนจีน’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น ‘New Normal’ เหมือนอย่างการเข้ามาของทุนญี่ปุ่นเมื่อราว 30 ปีก่อน

 

นี่ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและภูมิทัศน์ทางธุรกิจของไทย แล้วเราควรมองทุนจีนเป็นคู่แข่งที่ต้องขับไล่ หรือเป็นพันธมิตรที่ต้องต้อนรับและเรียนรู้เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน?

 

🟡 โลกาภิวัตน์ บีบจีนกระจายตัว

 

แรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในแดนมังกร และสงครามภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทุนจีนต้องกระจายตัวออกนอกประเทศ

 

เช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทและหลายประเทศ ที่เริ่มหันหาแนวโน้ม ‘ภูมิภาคนิยม’ (regionalization) ซึ่งหมายถึงบริษัทข้ามชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตหรือจัดหาวัตถุดิบให้ใกล้ตลาดปลายทางมากขึ้น

 

ที่เด่นชัดคือ กลยุทธ์ ‘China Plus One’ ซึ่งเป็นการย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศในอาเซียน โอกาสนี้จึงตกอยู่กับประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการดึงดูดการลงทุนจากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกครั้งนี้

 

🟡 ‘ทำความเข้าใจและต่อยอด’ พิชัยยุทธ์ประมือทุนจีน

 

ก่อนอื่น ต้องแยกให้ออกก่อนว่าเรากำลังดีลกับ ‘จีนขาว’ หรือ ‘จีนเทา’ กันแน่

 

สำหรับผู้ประกอบการไทย แทนที่จะมองเพียงการ ‘รับมือ’ ควรเป็นการ ‘ต่อยอด’ จากการเข้ามาของทุนจีน เริ่มจากการทำความเข้าใจผู้มาเยือนให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ในการลงทุน, ประเภทธุรกิจที่เข้ามา, สิ่งที่เขาต้องการ, อุปนิสัยของคนจีนแต่ละมณฑลที่อาจแตกต่างกัน หรือเหตุผลที่พวกเขาไม่ใช้สินค้าไทย

 

หากทุนจีนเข้ามาในฐานะ ‘คู่แข่ง’ ในธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ร้านอาหาร หรือสินค้าทั่วไปที่มีราคาถูก ผู้ประกอบการไทยต้องสร้างคุณค่าที่แตกต่าง เช่น สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า ยกระดับความแตกต่างของสินค้าและบริการ นอกจากนั้น การพิจารณาการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร (Joint Venture) ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

 

🟡 โอกาสของธุรกิจไทยอยู่ตรงไหนในสมการ

 

เมื่อราว 30 ปีก่อน ก็มีกระแสต่อต้านทุนญี่ปุ่นที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย เพราะญี่ปุ่นยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทย และญี่ปุ่นเองก็นำ Supply Chain ของตนเข้ามามาก จนได้ชื่อว่า ‘ญี่ปุ่นศูนย์เหรียญ’ เหมือนอย่างที่เราเรียกทุนจีนทุกวันนี้ แต่ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน จนปัจจุบันเราเห็นบริษัทร่วมทุนระหว่างญี่ปุ่นกับไทยเป็นจำนวนมาก

 

สถานการณ์กับทุนจีนในปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน เราจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา รับมือให้เป็น และฉวยโอกาสดึงทุนจีนที่ดีเข้ามา จึงจะเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง

 

การเข้ามาของทุนจีนนำมาซึ่งความท้าทาย แต่ก็เป็นโอกาสมหาศาลสำหรับประเทศไทยในการดึงดูดทุนและเทคโนโลยี 

 

ธุรกิจไทยต้องเร่งปลุก ‘จิตวิญญาณแห่งผู้ประกอบการ’ กล้าที่จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ เปิดใจรับความเปลี่ยนแปลง ทำความเข้าใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจ และตัดสินใจลงมือทำสิ่งที่จะเกิดประโยชน์อย่างรวดเร็ว

 

เรียนรู้กลยุทธ์คว้าโอกาสจากทุนจีน แบบผู้ประกอบการปีศาจ ได้ที่งาน The Secret Sauce Summit 2025 เทศกาลธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

📍 16-17 September 2025 | UOB LIVE ชั้น 6, EMSPHERE 

ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ ​​https://bit.ly/tsss25KeyCC

 

ชมคลิปสรุป 10 เรื่อง CEO ต้องรู้ ปี 2026 ได้ที่ https://youtu.be/LGN1JcFXBOI

 

The post อ่านเกม ‘ทุนจีน’ เดจาวู ‘ทุนญี่ปุ่น’ บทเรียนใดที่ทุนไทยควรหยิบใช้ซ้ำ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทัวร์จีนหาย ทุนจีนเข้า ร้านอาหารไทยสู้อย่างไรให้ ‘ไม่เจ๊ง’ ภายในปีเดียว https://thestandard.co/restaurant-crisis-thailand/ Fri, 20 Jun 2025 02:27:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1087047 restaurant-crisis-thailand

ปี 2567 ร้านอาหารเกิดใหม่ทยอยเจ๊งกว่า 60% และปิดตัวลงหล […]

The post ทัวร์จีนหาย ทุนจีนเข้า ร้านอาหารไทยสู้อย่างไรให้ ‘ไม่เจ๊ง’ ภายในปีเดียว appeared first on THE STANDARD.

]]>
restaurant-crisis-thailand

ปี 2567 ร้านอาหารเกิดใหม่ทยอยเจ๊งกว่า 60% และปิดตัวลงหลังเปิดร้านได้เพียงปีเดียว


พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เศรษฐกิจแย่ ทุนจีนแทรกแซง นักท่องเที่ยวหาย ศึกนอกหรือศึกในที่ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยต้องโฟกัส จึงจะ ‘ไปรอด’ ในยุคที่วิกฤตเกิดขึ้นทุกมิติ


🟡 ทัวร์จีนหาย ร้านอาหารกำไรหด

 

การท่องเที่ยวไทยเคยสร้างรายได้กว่า 1.76 ล้านล้านบาท เป็นตัวแบก GDP ให้ประเทศถึง 12% โดยมีนักท่องเที่ยวจีนเป็นกำลังหลัก สร้างรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวมจากการท่องเที่ยว

 

แต่ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างน่าใจหาย รายได้ธุรกิจร้านอาหารก็หดตาม โดยมีสาเหตุมาจาก

 

🔸 จากทัวร์จีน กลายเป็น นักท่องเที่ยวอิสระ (Free Independent Traveller) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงที่ไม่ได้มากับกรุ๊ปทัวร์ มองหาการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพบริการ ความปลอดภัย และเอกลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยว

 

🔸 คนจีนหนีไทยซบต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ โดยเฉพาะ เวียดนาม ซึ่ง 4 เดือนแรกของปี 2568 เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนไปถึง 1.95 ล้านคน

 

🟡 ศึกรอบด้านของร้านอาหารไทย

 

ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นปัจจัยหลัก แต่คนไทยเองก็รัดเข็มขัดขึ้น



สมาคมภัตตาคารไทยพบว่าคนไทยลดความถี่ในการกินข้าวนอกบ้านถึง 95% และลดค่าใช้จ่ายในภาคบริการโดยเฉพาะร้านอาหาร มากกว่า 40%


ขณะเดียวกัน การเข้ามาของร้านอาหาร ‘ศูนย์เหรียญ’ จากทุนจีนที่บางครั้งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทย ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรงขึ้น รายได้กว่า 28.37% ของธุรกิจท่องเที่ยวและร้านอาหารไทยก็รั่วไหลออกนอกประเทศ เพราะมีการนำเข้าวัตถุดิบและใช้บริการธุรกิจต่างชาติ


🟡 นักท่องเที่ยวกลุ่ม Long Haul คือโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต

 

ในอีกด้าน เราก็ได้กลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ซึ่งมีกำลังซื้อสูงไม่แพ้กันเข้ามาทดแทน โดยเฉพาะกลุ่ม Long Haul (นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก) ที่มีจำนวน 5.02 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17.28% จากปีก่อน และสร้างรายได้ถึง 3.19 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.43% จากปีก่อน นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดียและรัสเซียที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ

 

ทำให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวไม่ได้ลดลงมากนัก ยังคงทรงตัวและเติบโตได้บ้าง โดยไตรมาสแรกของปีนี้เติบโต 10.47% อยู่ที่ 460,000 ล้านบาท คิดเป็นการฟื้นตัวประมาณ 88% ของระดับก่อนโควิด


🟡 ปลุก ‘จิตวิญญาณแห่งปีศาจ’ ฝ่าวิกฤต

 

เมื่อโลกธุรกิจเต็มไปด้วยอุปสรรครอบด้าน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นจากความหลับใหล กล้าคิด กล้าทำ และกล้าฝ่าทุกขีดจำกัด เพื่อพาธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ด้วย 4 แนวทางสำคัญที่ควรนำไปปรับใช้

 

  1. สินค้าต้องชัด

ต้องรู้ชัดเจนว่าผู้บริโภคต้องการอะไร และเราถนัดอะไร การเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialty) คือหัวใจสำคัญที่จะดึงดูดลูกค้าที่ชอบลองของใหม่ อีกทั้งยังสร้าง ‘คอนเทนต์’ ให้ลูกค้าแชร์ได้ เช่น ร้านที่ขายเฉพาะมัทฉะ หรือร้านที่ขายเฉพาะผัดกะเพรา เพราะการสร้างสินค้าและเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนสามารถสร้างกระแสและทำให้ลูกค้าจดจำได้ง่าย

 

  1. ขยายช่องทางการขาย

อย่ารอให้ลูกค้าเดินเข้าร้าน แต่ต้อง ‘เดินไปหาลูกค้า’ ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Delivery, E-commerce หรือการพัฒนาสินค้าให้นำส่งได้ถึงมือ เช่น ผัดไทยทิพย์สมัย ที่แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ‘ผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป’ เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วโลกสามารถลิ้มรสความอร่อยแบบไทยได้ไม่ว่าที่ไหน

 

  1. ทำ Marketing ให้ถูกจุด

ต้องสื่อสารให้ชัดถึงจุดเด่นของร้าน สร้างกระแสด้วย Influencer Marketing และออกแบบแคมเปญให้ยั่งยืน ไม่ใช่แค่กระแสชั่วครู่ แต่ต้องทำให้ลูกค้ากลับมาอีกครั้ง และบอกต่ออย่างเต็มใจ

 

  1. วางระบบร้านฉบับมืออาชีพ

ระบบที่ดีคือพื้นฐานของการเติบโต สร้าง SOP (Standard Operating Procedure) หรือคู่มือการทำงานให้ชัดเจน เพื่อให้เจ้าของสามารถปลดล็อกเวลาไปโฟกัสที่การพัฒนาธุรกิจ ค้นหาโอกาสใหม่ และขยายเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ช่วงมรสุมนี้ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของผู้ที่กล้าปรับตัว

 

ใครที่พร้อมเปลี่ยน จะคว้าโอกาสได้ก่อน และผู้ที่สามารถปลุกจิตวิญญาณ ‘ผู้ประกอบการตัวจริง’ ขึ้นมาได้ จะเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตในโลกธุรกิจที่ไม่ง่ายเหมือนเดิม

The post ทัวร์จีนหาย ทุนจีนเข้า ร้านอาหารไทยสู้อย่างไรให้ ‘ไม่เจ๊ง’ ภายในปีเดียว appeared first on THE STANDARD.

]]>
CIB บุกทลายโรงไม้ทุนจีนเถื่อน จ.พิษณุโลก พบเลื่อยโซ่ยนต์ผิดกฎหมาย สร้างมลพิษกระทบชุมชน https://thestandard.co/cib-raids-illegal-chinese-sawmill/ Fri, 23 May 2025 12:30:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1077772 โรงไม้ทุนจีนเถื่อน

วันนี้ (23 พฤษภาคม) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โด […]

The post CIB บุกทลายโรงไม้ทุนจีนเถื่อน จ.พิษณุโลก พบเลื่อยโซ่ยนต์ผิดกฎหมาย สร้างมลพิษกระทบชุมชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงไม้ทุนจีนเถื่อน

วันนี้ (23 พฤษภาคม) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) สนธิกำลังเข้าตรวจค้นโรงเลื่อยแห่งหนึ่งในตำบลชัยนาม อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก 

 

หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่าโรงงานดังกล่าวสร้างมลพิษทางอากาศ ส่งกลิ่นและฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย กระทบต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

 

จากการเข้าตรวจค้นตามหมายศาล เจ้าหน้าที่พบ ธนาวุทธ (อายุ 30 ปี), เจียเหมย, เชิงฉี, วันวิสาข์ ซึ่งถูกแจ้งข้อหาในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 ทวิ ฐาน ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 53 ตรี หรือเป็นผู้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในใบอนุญาต หรือข้อกำหนดให้ปฏิบัติเพิ่มเติมตามมาตรา 58 

 

รวมถึงพระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ฐาน ร่วมกันมีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ฐานดำเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

 

ตรวจยึดของกลางและพบพฤติการณ์อำพรางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึด เลื่อยโซ่ยนต์ 5 เครื่อง ซึ่งไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน รวมถึง บัญชีไม้ท่อนหรือไม้ที่ยังมิได้แปรรูป และบัญชีรับและจำหน่ายไม้แปรรูป เล่มที่ 1/67 จากการสืบสวนพบว่าโรงงานดังกล่าวเป็นโรงแปรรูปไม้วีเนียร์ จดทะเบียนโดยธนาวุทธ แต่กลับปล่อยให้นอมินีทุนจีน โดยเฉพาะ เชิงฉี และ เจียเหมย ในนามของบริษัทเข้ามาเช่าและดำเนินกิจการแทน โดยมีการจ่ายค่าเช่ารายเดือน ซึ่งเข้าข่ายการหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยคนต่างด้าวและอาจมีพฤติกรรมแฝงการถือครองกิจการโดยชาวต่างชาติอย่างไม่ถูกต้อง

 

นอกจากการครอบครองเลื่อยโซ่ยนต์ผิดกฎหมายและการดำเนินกิจการที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว โรงงานยังไม่ได้จัดทำบัญชีไม้ตามที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุ

 

หลังการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและส่งมอบของกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป พร้อมยืนยันว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการบังคับข่มขู่หรือกระทำการโดยมิชอบ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการขยายผลเพื่อจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ผิดกฎหมายต่อไป

 

The post CIB บุกทลายโรงไม้ทุนจีนเถื่อน จ.พิษณุโลก พบเลื่อยโซ่ยนต์ผิดกฎหมาย สร้างมลพิษกระทบชุมชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตำรวจบุกโกดังสินค้าปลอมนายทุนจีนย่านสมุทรสาคร ยึดของกลางกว่า 78,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 52 ล้านบาท https://thestandard.co/52m-counterfeit-raid-thailand/ Mon, 19 May 2025 08:26:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1075828

วันนี้ (19 พฤษภาคม) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำคว […]

The post ตำรวจบุกโกดังสินค้าปลอมนายทุนจีนย่านสมุทรสาคร ยึดของกลางกว่า 78,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 52 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (19 พฤษภาคม) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รายงานการบุกเข้าทลายโกดังขนาดใหญ่ในพื้นที่อำเภอพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บและกระจายสินค้าปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ ยึดของกลางได้กว่า 78,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 52 ล้านบาท พร้อมจับกุมผู้ดูแลชาวจีน 2 ราย คาดเชื่อมโยงนายทุนใหญ่ ลักลอบขายผ่านช่องทางออนไลน์ มียอดขายสูงถึงวันละกว่า 2,000 ชิ้น

 

ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปอศ. นำกำลังเข้าตรวจสอบโกดังลักษณะคล้ายอาคารเก็บสินค้า ซึ่งจากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่ามีการดัดแปลงพื้นที่ด้านหลังเพื่อใช้เป็นที่จัดเก็บสินค้าจำนวนมาก ภายในโกดังพบสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้าหลากหลายประเภท ทั้งผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เช่น อาหารเสริม ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง ถุงยางอนามัย ไปจนถึงกระเป๋าแบรนด์เนม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ วิทยุสื่อสาร เป็นจำนวนมาก

 

ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว เซียน อายุ 27 ปี และ หาง อายุ 19 ปี ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลและผู้จัดการสินค้าภายในโกดัง พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางทั้งหมดรวมกว่า 78,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 52 ล้านบาท

 

พล.ต.ต. ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า การทลายโกดังสินค้าปลอมครั้งนี้ เป็นผลมาจากการขยายผลการจับกุมผู้ขายสินค้าปลอมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แกะรอยจนทราบแหล่งที่ตั้งของโกดังแห่งนี้ และขออนุมัติศาลออกหมายค้นเข้าตรวจสอบ พบว่ามีการลักลอบจำหน่ายสินค้าปลอมผ่านช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก โดยมียอดขายสูงถึงกว่า 2,000 ชิ้นต่อวัน

 

พล.ต.ต. ทัศน์ภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสถานการณ์การค้ามีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งสินค้าที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดยสินค้าที่ผิดกฎหมายส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ร่วมกันปราบปรามอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นเป้าหมายไปที่โกดังขนาดใหญ่ที่ใช้จัดเก็บสินค้า จากสถิติในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สามารถตรวจยึดสินค้าปลอมได้แล้วถึง 6 ครั้ง รวมจำนวนกว่า 100,000 รายการ

 

สำหรับสินค้าปลอมที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เชื่อว่าถูกผลิตในประเทศจีน และลักลอบนำเข้ามาพร้อมกับสินค้าที่ถูกกฎหมาย หลังจากนี้ทางตำรวจจะประสานงานกับกรมศุลกากรเพื่อตรวจสอบและขึ้นบัญชีดำบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายต่อไป

 

ด้านตัวแทนผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าปลอม เปิดเผยว่า พบสินค้าของตนเองถูกนำไปจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างน้อย 3 แพลตฟอร์มหลัก ซึ่งที่ผ่านมาได้พยายามแจ้งเรื่องร้องเรียนไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ แต่การดำเนินการค่อนข้างล่าช้า ส่งผลให้สินค้าปลอมยังคงถูกจำหน่ายเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายต่อผู้ประกอบการ และผู้บริโภคที่ได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ โดยสินค้าปลอมมักจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าสินค้าจริง หรือมีการให้ส่วนลดพิเศษ จึงอยากเรียกร้องให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันปิดกั้นช่องทางการขายสินค้าปลอมอย่างจริงจัง

 

ในส่วนของการดำเนินคดี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหามีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก่ผู้ต้องหาชาวจีนทั้งสองคน 

 

โดยพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวและส่งศาลฝากขัง พร้อมเตรียมขยายผลการสอบสวนไปถึงคนไทยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัทหรือเป็นนอมินี รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในขบวนการนี้ต่อไป

 

The post ตำรวจบุกโกดังสินค้าปลอมนายทุนจีนย่านสมุทรสาคร ยึดของกลางกว่า 78,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 52 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนัฏสั่งทีมสุดซอยลุยล้างบาง 3 โรงงานรีไซเคิล นอมินีในชลบุรี อายัดวัตถุอันตรายกว่า 550 ตัน พร้อมฟันโทษอาญาอ่วม https://thestandard.co/chonburi-recycling-factories-busted/ Wed, 14 May 2025 12:53:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1074363

วันนี้ (14 พฤษภาคม) เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกร […]

The post เอกนัฏสั่งทีมสุดซอยลุยล้างบาง 3 โรงงานรีไซเคิล นอมินีในชลบุรี อายัดวัตถุอันตรายกว่า 550 ตัน พร้อมฟันโทษอาญาอ่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (14 พฤษภาคม) เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม (ทีมสุดซอย) พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่ บริษัท เจี๋ยเซ่ง พลาสติก จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 88/2 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองรี อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ประกอบกิจการผลิตเม็ดพลาสติก บด ย่อย พลาสติก ทำผลิตภัณฑ์จากพลาสติก อัดเศษโลหะ อัดกระดาษ ทำยางแผ่น และบริษัท ติงซิ่ง (ไทย-จีน) เมทัล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ประกอบกิจการ บด ล้าง ร่อน จำพวกเศษพลาสติก เศษโลหะ และติดตั้งเครื่องจักร โดยพบว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

 

ฐิติภัสร์กล่าวว่า จากการตรวจสอบโรงงานทั้งสองแห่งเป็นโรงงานของนายทุนจีนถือหุ้นร่วมกับคนไทย โดยพบว่า บริษัท เจี๋ยเซ่งฯ มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แต่ประกอบกิจการไม่ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัย จำนวน 300 ตัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอายัดไว้ รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการบดย่อยโลหะ ส่วนบริษัท ติงซิ่งฯ พบว่าเป็นโรงงานที่ไม่มีใบอนุญาต และพบการลักลอบประกอบกิจการ มีการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้ว รวมกับเศษสิ่งของไม่สามารถระบุชนิดกว่า 250 ตัน และยังพบร่องรอยการนำเศษพลาสติกที่บดย่อยมาถมดินข้างบ่อน้ำภายในโรงงาน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในดินและแหล่งน้ำ อาจเป็นอันตรายกับชาวบ้านและชุมชนใกล้เคียงได้ ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี จึงแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองบริษัท ใน 3 ข้อหาที่ สภ.เมืองชลบุรี ได้แก่ 

 

  1. ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

  1. ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

  1. ครอบครองวัตถุอันตราย โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

เนื่องจากวัตถุอันตรายที่พบมีมากกว่า 250 ตัน ซึ่ง 2 บริษัท มีน้ำหนักรวมกว่า 550 ตัน จึงส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อดำเนินคดีและขยายผลการลักลอบนำเข้าและเครือข่ายนอมินีต่อไป พร้อมเก็บตัวอย่างส่งไปยังศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรอ. เพื่อทำการตรวจพิสูจน์หาส่วนประกอบและสิ่งปนเปื้อนต่อไป 

 

ฐิติภัสร์กล่าวต่ออีกว่า ทีมสุดซอยได้ลงพื้นที่ต่อไปยัง บริษัท ชัยเมธี จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 69 หมู่ 6 ตำบลหนองหงษ์ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ประกอบกิจการคัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย และทำเม็ดพลาสติก พบว่ามีการลักลอบประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำกากตะกรันจากเตาหลอมโลหะ มาบดย่อยและร่อนแยกทองแดงจากกากตะกรัน เพื่อนำทองแดงที่ได้ไปจำหน่ายต่อ ส่วนกากที่เหลือส่งให้บริษัทอื่นไปบดย่อย โดยภายในพื้นที่โรงงานพบกองวัตถุดิบและสิ่งปฏิกูลจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว จึงได้เก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจสอบ 

 

“รัฐมนตรีเอกนัฏได้มีนโยบายให้เร่งรัดจัดการกับโรงงานรีไซเคิลเถื่อนที่ลักลอบประกอบกิจการอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นโลหะหนัก สามารถปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายกับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังพบการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายโรงงานที่มีความผิดและได้ดำเนินการเอาผิดไปแล้ว จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามและขยายผลไปยังบริษัทหรือโรงงานที่คาดว่าจะมีความเกี่ยวพันกัน เพื่อกวาดล้างเอาผิดถึงต้นตอต่อไป” ฐิติภัสร์กล่าว

The post เอกนัฏสั่งทีมสุดซอยลุยล้างบาง 3 โรงงานรีไซเคิล นอมินีในชลบุรี อายัดวัตถุอันตรายกว่า 550 ตัน พร้อมฟันโทษอาญาอ่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมืองบาเวตประเทศกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ใต้เงา ‘ทุนจีน’ https://thestandard.co/bavet-cambodia-chinese-investment/ Mon, 12 May 2025 03:28:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1073336 bavet-cambodia-chinese-investment

ถึงวันนี้ ‘ทุนจีน’ ไม่ได้บุกแค่ไทยเท่านั้น แต่ยังหลั่งไ […]

The post เมืองบาเวตประเทศกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ใต้เงา ‘ทุนจีน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
bavet-cambodia-chinese-investment

ถึงวันนี้ ‘ทุนจีน’ ไม่ได้บุกแค่ไทยเท่านั้น แต่ยังหลั่งไหลไปยังประเทศกัมพูชา ซึ่งในหลายๆ เมืองเต็มไปด้วยธุรกิจจีนที่เข้ามาลงทุน เกิดการก่อสร้างหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองบาเวต ซึ่งถือเป็นนครที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสวายเรียง ประเทศกัมพูชา

 

จากในอดีตที่ผ่านมาเคยเป็นเมืองที่มีอิทธิพลจากวัฒนธรรมเวียดนามอย่างคับคั่ง แต่ปัจจุบันทุกอย่างที่เห็นรอบตัวเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของทุนจีน ทั้งป้ายภาษาจีนและธุรกิจที่ใช้ภาษาจีนอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่ในย่านการค้าใหญ่ๆ แต่แม้แต่ในตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็มีพนักงานที่พูดได้แค่ภาษาจีนเท่านั้น

 

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้จีนได้ลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างสิ่งทอและยางรถยนต์ โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัท Wanli Tire ได้ทุ่มงบ 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานผลิตยางแห่งใหม่ ซึ่งถือเป็นโรงงานแรกของบริษัทที่ตั้งอยู่นอกจีน โดยคาดว่าจะผลิตยางได้มากกว่า 10 ล้านเส้นต่อปี จึงเรียกได้ว่าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) ที่มีการสนับสนุนจากจีนในบริเวณรอบๆ เมืองบาเวตยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา ระบุว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษรอบเมืองบาเวตได้รับการลงทุนจากจีนถึง 80% ขณะที่พื้นที่นี้มีอุตสาหกรรมสำคัญที่เชื่อมโยงกับท่าเรือในเวียดนาม ช่วยให้บริษัทที่มาตั้งโรงงานในกัมพูชาสามารถลดต้นทุนแรงงานและเข้าถึงตลาดได้สะดวก และในปีที่ผ่านมายังมีการอนุมัติสร้าง SEZs ใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง ซึ่งทั้งหมดได้รับเงินทุนจากจีน

 

คเฮ วากาบายาชิ ตัวแทนองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กล่าวว่า ตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้หลายๆ บริษัทย้ายฐานการผลิตมายังกัมพูชาเพิ่มขึ้น เพราะกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากร โดยเมืองบาเวตก็เป็นที่น่าสนใจ เนื่องจากทำเลที่ตั้งสะดวกอยู่ห่างจากท่าเรือนานาชาติใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดน

 

ในขณะที่ทุนจีนกำลังขับเคลื่อนการเติบโตในกัมพูชา ภาครัฐต้องเผชิญกับความท้าทายในการรองรับปัญหาภาคพลังงาน เช่น การขาดแคลนไฟฟ้าในบางเขตเศรษฐกิจพิเศษและปัญหาด้านแรงงานที่มีจำกัดในบางพื้นที่ มีการคาดการณ์ว่าการสร้าง SEZs ใหม่ในเมืองบาเวตจะต้องใช้แรงงานประมาณ 50,000 คน แต่น่าเป็นห่วงว่าจำนวนแรงงานในพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ

 

ซัน ชานโธล รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวว่า แม้ว่าจะมีการยกระดับภาษีสินค้านำเข้าจากกัมพูชาในสหรัฐในปีนี้ แต่การลงทุนจากจีนยังคงไม่ลดลง โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทจีนหลายแห่งยังคงลงทุนในกัมพูชา เช่น การสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกและโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ที่จะช่วยเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค

 

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของทุนจีนในกัมพูชา ทำให้เมืองบาเวตกลายเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนจากต่างชาติ แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องแก้ไขเพื่อให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาวทั้งในด้านพลังงานและการจัดการแรงงานที่เพียงพอ

 

และอีกด้านหนึ่งยังได้สร้างความกังวลให้คนในท้องถิ่น เนื่องจากมีการก่อสร้างคาสิโนและข่าวที่มีการรายงานเหตุการณ์ความรุนแรงที่เชื่อมโยงกับชาวจีน ยิ่งไปกว่านั้นการมาถึงของนักลงทุนจีนในเมืองบาเวต ยังส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการอีกด้วย

 

ภาพ: Irene Suchocki / Shutterstock

อ้างอิง:

 

The post เมืองบาเวตประเทศกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ใต้เงา ‘ทุนจีน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>