ที่ทำงาน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 19 Sep 2024 12:18:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มารยาทในที่ทำงานยังสำคัญ! 31% ของพนักงานรู้สึกว่าที่ทำงานไม่ให้เกียรติมารยาทที่ดี และ 70% พร้อมลาออกหากบริษัทไม่แคร์มารยาทในการทำงาน https://thestandard.co/workplace-etiquette-is-still-important/ Thu, 19 Sep 2024 12:18:37 +0000 https://thestandard.co/?p=985623

ผลสำรวจจาก Monster ชี้ว่า พนักงานเกือบ 1 ใน 3 รู้สึกว่า […]

The post มารยาทในที่ทำงานยังสำคัญ! 31% ของพนักงานรู้สึกว่าที่ทำงานไม่ให้เกียรติมารยาทที่ดี และ 70% พร้อมลาออกหากบริษัทไม่แคร์มารยาทในการทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผลสำรวจจาก Monster ชี้ว่า พนักงานเกือบ 1 ใน 3 รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้ความเคารพและให้คุณค่ากับมารยาทที่ดี

 

แม้ว่ามารยาทในที่ทำงานในปัจจุบันอาจแตกต่างจากในอดีต แต่พนักงานก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่มาก เกือบ 7 ใน 10 ของพนักงานกล่าวว่า พวกเขาจะพิจารณาเรื่องลาออกหากนายจ้างไม่มีนโยบายเกี่ยวกับมารยาทในการทำงาน เช่น การตรงต่อเวลา และการสื่อสาร

 

จากผลสำรวจ พฤติกรรมที่พนักงานมองว่าไม่เหมาะสมที่สุดในที่ทำงาน ได้แก่ ไม่เก็บของหลังใช้งาน นินทา ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม ไม่ตอบกลับข้อความ และมาประชุมสายเป็นประจำ

 

ข้อผิดพลาดบางอย่างอาจดูเหมือนชัดเจน เช่น การมาสายในการสัมภาษณ์งานหรือการประชุมกับเจ้านาย แต่บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตีความ

 

Brandon Smith นักบำบัดและโค้ชด้านอาชีพ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่อาจทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกไม่ดี เช่น คำสแลงของคนรุ่นใหม่ คำเปรียบเทียบเกี่ยวกับกีฬา หรือการอ้างอิงถึงภาพยนตร์และรายการทีวีบางเรื่อง เว้นแต่ว่าจะเป็นที่เข้าใจกันในทีมของคุณ

 

อีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่พบบ่อย คือการไม่ตอบกลับอีเมลและโทรศัพท์ “ในกรณีที่ไม่มีการสื่อสาร ผู้คนมักจะคิดไปในทางที่แย่ที่สุด” Smith กล่าว “หนึ่งในวิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือในที่ทำงานคือการตอบสนอง”

 

Smith แนะนำให้ตอบกลับผู้ที่ติดต่อมาภายใน 24 ชั่วโมง แม้ว่าจะเป็นเพียงการยืนยันว่าได้รับข้อความแล้วก็ตาม “แม้แต่อีเมลยืนยันง่ายๆ ที่แจ้งว่าคุณได้รับข้อความแล้วก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความเคารพต่อเวลาของอีกฝ่าย”

 

Smith มองว่า สาเหตุหลักของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้คือ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่น่าดึงดูดในทุกที่ทำงาน

 

“คุณไม่ควรมีทัศนคติที่ว่า ฉันสำคัญที่สุดและทุกอย่างเกี่ยวกับฉัน” เขากล่าว “แต่คุณควรคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น และทำงานด้วยความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและทำงานร่วมกันเป็นทีม ทัศนคตินี้จะช่วยให้คุณก้าวหน้าในอาชีพได้ไกลกว่า”

 

อ้างอิง:

The post มารยาทในที่ทำงานยังสำคัญ! 31% ของพนักงานรู้สึกว่าที่ทำงานไม่ให้เกียรติมารยาทที่ดี และ 70% พร้อมลาออกหากบริษัทไม่แคร์มารยาทในการทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 สัญญาณเตือน! ที่ทำงานใหม่ Toxic หรือไม่? เช็กก่อนตกหลุมพราง อย่ารีบคว้าโอกาสใหม่จนลืมสังเกต https://thestandard.co/3-warning-signs-toxic-workplace/ Wed, 24 Jul 2024 05:39:30 +0000 https://thestandard.co/?p=962185 ที่ทำงาน Toxic

เมื่อมองหางานใหม่ หลายคนมักตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้ก้าว […]

The post 3 สัญญาณเตือน! ที่ทำงานใหม่ Toxic หรือไม่? เช็กก่อนตกหลุมพราง อย่ารีบคว้าโอกาสใหม่จนลืมสังเกต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ที่ทำงาน Toxic

เมื่อมองหางานใหม่ หลายคนมักตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้ก้าวไปข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกำลังพยายามหนีจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ดี แต่เราอาจมองข้ามสัญญาณเตือนบางอย่างไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งอาจทำให้ต้องกลับไปเผชิญกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เลวร้ายอีกครั้ง

 

จากผลสำรวจของ FlexJobs พบว่า 42% ของพนักงานชาวอเมริกันกำลังพิจารณาลาออกจากงาน และ 20% ได้ลาออกไปแล้ว โดยหนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ ‘วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ’ (Toxic Workplace Culture) ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของพนักงาน

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

 


 

นอกจากนี้ ผลสำรวจของ American Psychological Association ยังพบว่า 22% ของพนักงานรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของพวกเขา และยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าความเครียดสะสมจากการถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพกาย เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง

 

Harvard Business Review ได้แนะนำถึง 3 สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าที่ทำงานแห่งนี้อาจ Toxic!

 

1. กระบวนการสัมภาษณ์งานที่แย่

 

Joel Lalgee ผู้ก่อตั้ง The Realest Recruiter กล่าวว่า “ประสบการณ์การสัมภาษณ์ที่ไม่ดีเป็นหน้าต่างสู่วัฒนธรรมของบริษัท” การสื่อสารที่ไม่ดีจากผู้สรรหา การหายตัวไปเฉยๆ (Ghosting) หรือการสัมภาษณ์หลายรอบแบบไม่รู้จบ ล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าบริษัทอาจมีปัญหาภายใน

 

นอกจากนี้ การขาดความยืดหยุ่นในการนัดหมายสัมภาษณ์ การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดงานอย่างมากในระหว่างกระบวนการ หรือการกดดันให้ผู้สมัครตัดสินใจรับข้อเสนอภายในวันเดียว ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ควรละเลย

 

ระหว่างการสัมภาษณ์ให้สังเกตพฤติกรรมของผู้สัมภาษณ์ เช่น การขัดจังหวะหรือไม่สนใจคำตอบ การพูดมากกว่าการฟัง การมาสายโดยไม่มีคำขอโทษ การเช็กโทรศัพท์ หรือการไม่มีสมาธิ หากผู้สัมภาษณ์แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทมีวัฒนธรรมที่เป็นพิษ

 

2. สิ่งที่พนักงานปัจจุบันพูดและไม่พูด

 

ฟังคำตอบของพนักงานปัจจุบันอย่างระมัดระวังเมื่อคุณถามคำถามเกี่ยวกับบทบาท ทีมที่คุณจะเข้าร่วม และองค์กรโดยรวม บางคนอาจเปิดเผยประสบการณ์ตรงทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่พูดตรงๆ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ

 

ให้สังเกตภาษาที่ใช้ เช่น ‘มีโอกาสมากมายในการเติบโต’ อาจบ่งบอกว่าทีมงานขาดแคลนและทำงานหนักเกินไป หรือ ‘เราเชื่อในความสามารถ’ อาจบ่งบอกว่าองค์กรไม่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการมีส่วนร่วม

 

3. พนักงานลาออกมากกว่าสมัครงาน

 

หากมีตำแหน่งงานเปิดรับจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนกหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจเป็นสัญญาณของอัตราการลาออกที่สูง ซึ่งอาจเกิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ

 

เราสามารถตรวจสอบเว็บไซต์ของบริษัทและ LinkedIn เพื่อดูตำแหน่งงานที่เปิดรับและติดตามว่ามีตำแหน่งใดบ้างที่ถูกโพสต์ซ้ำๆ หากเป็นเช่นนั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนอีกประการหนึ่ง

 

รีวิวใน Glassdoor ก็เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญในการประเมินความเป็นพิษขององค์กร แม้ว่าประสบการณ์ของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่หากมีธีมเดียวกันเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เป็นพิษปรากฏขึ้นซ้ำๆ ก็ควรให้ความสนใจ

 

แม้คุณจะตื่นเต้นที่จะก้าวไปสู่งานใหม่ แต่ก็อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนเหล่านี้ การสังเกตสัญญาณเตือนสามารถช่วยป้องกันไม่ให้คุณเข้าร่วมกับที่ทำงานที่เป็นพิษ และนำคุณไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและสนับสนุนมากกว่า

 

อ้างอิง:

The post 3 สัญญาณเตือน! ที่ทำงานใหม่ Toxic หรือไม่? เช็กก่อนตกหลุมพราง อย่ารีบคว้าโอกาสใหม่จนลืมสังเกต appeared first on THE STANDARD.

]]>
LIFE TIP: แนะวิธีสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกและสร้างสรรค์ในที่ทำงาน https://thestandard.co/life/life-tip-19052023 Fri, 19 May 2023 02:44:14 +0000 https://thestandard.co/?p=792586 ที่ทำงาน

วิธีสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกในที่ทำงานมีประโยชน์ต่อทุกฝ่ […]

The post LIFE TIP: แนะวิธีสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกและสร้างสรรค์ในที่ทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ที่ทำงาน

วิธีสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกในที่ทำงานมีประโยชน์ต่อทุกฝ่ายนั้น สำคัญต่อแนวโน้มของคนทำงานที่จะทุ่มเทเพื่อองค์กร

 

สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรมีความสำคัญต่อบรรยากาศที่ดีโดยรวม รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วย เมื่อเรารู้สึกสบายใจ มีคุณค่า และได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างการเติบโตและทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับองค์กร ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและเป็นกันเองในที่ทำงานที่ LIFE คัดสรรมาฝากผู้อ่านทุกคน 

 

สื่อสารดี

การสื่อสารที่เปิดเผย โปร่งใส และเต็มไปด้วยเจตนาดีที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงแก้ปัญหาให้เข้าใกล้เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นคือสิ่งสำคัญ หากมีการส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดเผยและโปร่งใส จะเป็นรากฐานที่สำคัญของสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร เปิดเผย ติเตียนอย่างมีเหตุผล เพื่อรักษาคัลเจอร์ที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน

 

ปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน

การทำงานร่วมกันจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้ดีกว่าการแยกกันทำงานแบบตัวใครตัวมัน ควรสนับสนุนการทำงานเป็นทีมโดยให้โอกาสตัวเองได้ทำกิจกรรมกลุ่ม ช่วยกันประชุมระดมสมอง แบ่งปันความรู้ เพื่อสร้างความสนิทสนมกันภายในบริษัท

 

ชื่นชมและยอมรับกัน

การเห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมงาน ก็มีส่วนสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร หากเพื่อนทำดีควรยกย่องเพื่อน ให้คำติชมที่สร้างสรรค์ จะช่วยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้อยากทำงานเก่งขึ้น จำไว้ว่าคำว่า ‘ขอบคุณ’ แค่คำง่ายๆ นี้สามารถช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีได้

 

ภาพ: Shutterstock

The post LIFE TIP: แนะวิธีสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกและสร้างสรรค์ในที่ทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Z ‘ไม่กลัว’ ที่จะออกมาพูดต่อต้านความอยุติธรรมในที่ทำงาน แม้สุดท้ายจะ ‘ตกงาน’ ก็ตาม เทรนด์ที่กำลังเขย่าวัฒนธรรมการทำงานของจีน https://thestandard.co/gen-z-not-afraid-to-speak-out/ Fri, 19 May 2023 01:42:11 +0000 https://thestandard.co/?p=792559 Gen Z ไม่กลัว

Melody Yan หญิงสาววัย 22 ปี เพิ่งลาออกจากงานในบริษัทยาน […]

The post Gen Z ‘ไม่กลัว’ ที่จะออกมาพูดต่อต้านความอยุติธรรมในที่ทำงาน แม้สุดท้ายจะ ‘ตกงาน’ ก็ตาม เทรนด์ที่กำลังเขย่าวัฒนธรรมการทำงานของจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Z ไม่กลัว

Melody Yan หญิงสาววัย 22 ปี เพิ่งลาออกจากงานในบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าของจีน ก่อนโบกมือลาเธอตัดสินใจแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาของบริษัทผ่านอีเมลความยาว 2,000 คำถึงผู้บริหารระดับสูง 

 

เธอชี้ให้เห็นประเด็นต่างๆ รวมถึงความไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การขาดการสนับสนุนสำหรับพนักงานใหม่ และแม้กระทั่งข้อกล่าวหาร้ายแรงเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศโดยหัวหน้างานของเธอ

 

การแสดงความเห็นของ Melody อาจดูไม่ปกติสำหรับคนทำงานวัยเก่าๆ แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสความนิยมในหมู่แรงงานหนุ่มสาวของจีน แม้ว่าอัตราการว่างงานของเยาวชนในประเทศจะสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 20.4% ซึ่งหมายความว่าคนหนุ่มสาว 1 ใน 5 คนในจีนไม่มีงานทำ 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

แต่ก็มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เกิดในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่กลัวที่จะออกมาพูดต่อต้านความอยุติธรรมในที่ทำงาน พวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำลายความเงียบที่เพิกเฉยต่อวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นพิษ ซึ่งถูกมองว่าทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าจ้างหรือมากเกินไปเป็นเรื่องปกติ

 

คนหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่กลัวที่จะตกงานหรือเผชิญกับบทลงโทษสำหรับการพูดความคิดของพวกเขา พวกเขามักจะเปลี่ยนงานและไม่กลัวที่จะลาออกหากไม่สามารถตอบสนองความต้องการในสภาพการทำงานที่ดีขึ้นได้ แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฝืดเคืองก็ตาม

 

เหตุผลคือ บุคคลเหล่านี้หลายคนเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว พวกเขามักมีการศึกษาดี และเติบโตในยุคที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนี้พวกเขากำลังเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายที่ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัวเนื่องจากความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ หนี้ที่เพิ่มขึ้น และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้การแข่งขันภายในประเทศเพื่องานที่ดีนั้นรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา

 

Melody ซึ่งตอนนี้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์การลงทุนที่ธนาคารระหว่างประเทศในเซี่ยงไฮ้ เล่าว่าเธอไม่เห็นคุณค่าของการอยู่ในบริษัทที่ไม่เห็นคุณค่าของเธอ ตอนนี้วัฒนธรรมการทำงานที่เข้มงวดน้อยลงของบริษัทปัจจุบันเหมาะกับเธอมากกว่า โดยเธอเชื่อว่าหากการทำงานก่อให้เกิดความทุกข์อย่างมาก ถึงขั้นวิตกกังวลและเบื่ออาหาร ก็ไม่คุ้มที่จะทำงานนั้นต่อไป

 

ความรู้สึกนี้สะท้อนในหมู่พนักงาน Gen Z ของจีนหลายคน พวกเขาให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ โดย Zac Wang ผู้อำนวยการภูมิภาคจีนตอนใต้ของ Randstad บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์กล่าวว่า แม้ว่านายจ้างอาจมองว่าคนรุ่นนี้เป็นคนจู้จี้จุกจิก แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้กำลังพยายามสื่อสารอะไร

 

อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทำให้พนักงาน Gen Z บางคนต้องอดทนต่อการถูกปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมในที่ทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่ามีแนวโน้มที่จะยอมรับได้ หนึ่งในนั้นคือพนักงานการเงินวัย 23 ปี ย้ำว่าคนหนุ่มสาวมักไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก และจำเป็นต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

 

Roselyn Wang วัย 22 ปีที่ทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ได้แชร์ประสบการณ์ที่คล้ายกันนี้ เธอพยายามกำหนดขอบเขตโดยเขียนในประวัติ WeChat ของเธอว่าเธอจะไม่ตอบกลับข้อความหลังเวลา 23.00 น. แต่หัวหน้างานของเธอเพิกเฉยและยังคงติดต่อเธอ บางครั้งถึงกับโทรหาเธอหากเธอไม่ตอบกลับในทันที เธอมักจะต้องทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และไม่ได้รับค่าลาหยุดหรือค่าล่วงเวลาชดเชย

 

ในขณะที่บางคนมองว่า การพูดถึงสิ่งที่คนอื่นไม่อยากแตะต้องของพนักงาน Gen Z นั้นเป็นอันตราย แต่หลายคนกลับมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในวัฒนธรรมการทำงาน ซึ่ง Gen Z กำลังผลักดันให้เกิดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่เป็นบวก น่าอยู่ และดีต่อสุขภาพสำหรับทุกคน

 

อ้างอิง:

The post Gen Z ‘ไม่กลัว’ ที่จะออกมาพูดต่อต้านความอยุติธรรมในที่ทำงาน แม้สุดท้ายจะ ‘ตกงาน’ ก็ตาม เทรนด์ที่กำลังเขย่าวัฒนธรรมการทำงานของจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผู้หญิงเอเชีย’ ยังไร้ความเสมอภาคในที่ทำงาน และอาจใช้เวลาถึง 15 ปี จึงจะเกิดความเท่าเทียมที่แท้จริง https://thestandard.co/asian-women-lack-equality-in-workplace/ Fri, 10 Mar 2023 07:03:50 +0000 https://thestandard.co/?p=761028

ผลการวิเคราะห์จาก MSCI และ BofA Securities แสดงให้เห็นว […]

The post ‘ผู้หญิงเอเชีย’ ยังไร้ความเสมอภาคในที่ทำงาน และอาจใช้เวลาถึง 15 ปี จึงจะเกิดความเท่าเทียมที่แท้จริง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผลการวิเคราะห์จาก MSCI และ BofA Securities แสดงให้เห็นว่าความเสมอภาคของผู้หญิงในมิติของการมีส่วนร่วมในบอร์ดบริหารของภูมิภาคเอเชียกำลังตามหลังคู่แข่งในภูมิภาคอื่นอย่างมาก โดยพบว่าผู้หญิงเอเชียเฉลี่ยเพียง 20% เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมบอร์ดบริหารเพิ่มขึ้นจาก 12 ปีที่แล้วเพียง 7%

 

ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในบอร์ดบริหารยังคงเป็นมาตรวัดสำคัญในการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันทางเพศทั่วโลก

 

กลุ่มนักวิเคราะห์และนักยุทธศาสตร์ของ BofA ระบุในรายงานว่า แม้สถานการณ์ความเสมอภาคของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิกจะมีการเติบโตเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจและมีความโปร่งใสมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคแห่งนี้ก็ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก เพื่อที่จะบรรลุความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

 

รายงานชี้ว่า แม้บริษัทจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในเอเชียเปิดเผยแผนการสนับสนุนการจ้างงานระหว่างชายกับหญิงในสัดส่วนที่สมดุลกัน แต่ช่องว่างด้านค่าจ้าง การจ้างงาน และการเข้าร่วมบอร์ดบริหารระหว่างชายและหญิงยังคงมีอยู่มาก

 

Matty Zhao หนึ่งในนักวิเคราะห์ กล่าวว่า ขณะที่บริษัทต่างๆ เปิดเผยข้อมูลสัดส่วนชายหญิงในทีมผู้บริหารว่ามีผู้หญิงเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนโดยรวมของผู้หญิงในฝ่ายบริหารก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญที่ชัดเจน โดยสัดส่วนของบริษัทที่ลุกขึ้นมาสนับสนุนความหลายหลายทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 67% แต่สัดส่วนของพนักงานหญิงในบริษัทเหล่านี้มีเพียง 35%

 

ด้านรายงาน Women on Boards ฉบับล่าสุดของดัชนี MSCI ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่เอเชียมีความก้าวหน้าในด้านความโปร่งใส แต่ก็มีสถิติอื่นๆ ที่ล้าหลังกว่านานาประเทศในภูมิภาคอื่นๆ โดย Carrie Wang และ Tanya Matanda นักวิเคราะห์ของ MSCI เขียนในรายงานว่า ตลาดเอเชียส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหาในการดึงดูดและรักษาการจ้างงานแรงงานผู้หญิงไว้ในภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้บริหารและผู้อำนวยการ

 

ข้อมูลของ MSCI ยังชี้ว่า ในบรรดาประเทศเอเชียด้วยกันเอง โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่สะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียมสำหรับผู้หญิงที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยสัดส่วนของตำแหน่งกรรมการทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งโดยผู้หญิงในปี 2022 ของเกาหลีใต้อยู่ที่ 12.8% ส่วนญี่ปุ่นอยู่ที่ 15.5% ซึ่งทั้งสองประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI World ที่อยู่ที่ 31.3% อย่างมาก

 

Chitra Hepburn หัวหน้าฝ่าย ESG & Climate เอเชียแปซิฟิกของ MSCI ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงตามหลังคู่แข่งทั่วโลกในการรับเอาหลักการความแตกต่างหลากหลายมาเป็นหลักการสำคัญสำหรับการพัฒนาทุนมนุษย์ แม้จะมีการกำหนดตำแหน่งโควตาสำหรับผู้หญิงไว้แล้วก็ตาม แต่กลายเป็นหลายประเทศที่กำหนดโควตาอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังมีผู้หญิงในบอร์ดบริหารลดลง

 

พร้อมกันนี้ MSCI คาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 15 ปี หรือจนถึงปี 2038 เพื่อให้ผู้หญิงได้เป็นตัวแทนที่เท่าเทียมกันในบอร์ดบริหารมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็มีตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในเอเชียมีผู้หญิงที่ได้รับบทบาทผู้นำในการบริหารจัดการในระดับสูงมากขึ้นแล้ว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง:

The post ‘ผู้หญิงเอเชีย’ ยังไร้ความเสมอภาคในที่ทำงาน และอาจใช้เวลาถึง 15 ปี จึงจะเกิดความเท่าเทียมที่แท้จริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ที่ทำงานเก่าที่โปรด! พฤติกรรม ‘พนักงานบูมเมอแรง’ ที่ลาออกและกลับมาใหม่อีกครั้ง และรับเงินเดือนแบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม https://thestandard.co/boomerang-employee/ Wed, 05 Oct 2022 12:26:02 +0000 https://thestandard.co/?p=691553 พนักงานบูมเมอแรง

ในตอนนี้พนักงานที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนเยอะที่สุด และไ […]

The post ที่ทำงานเก่าที่โปรด! พฤติกรรม ‘พนักงานบูมเมอแรง’ ที่ลาออกและกลับมาใหม่อีกครั้ง และรับเงินเดือนแบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
พนักงานบูมเมอแรง

ในตอนนี้พนักงานที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนเยอะที่สุด และได้รับการปรับตำแหน่งที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่พนักงานที่ลาออกและไปหางานใหม่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพนักงานที่ลาออกไปแล้ว แต่ลาออกจากงานที่ใหม่ และวนกลับมาทำงานที่เก่าอีกครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งชื่อให้กับพนักงานเหล่านี้ว่า ‘พนักงานบูมเมอแรง’

 

ตามข้อมูลของ Visier ที่มีข้อมูลพนักงาน 3 ล้านคนในบริษัท 129 แห่งทั่วโลก ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2022 พบว่า พนักงานบูมเมอแรงจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น 28% หลังจากกลับมาทำงานที่เก่า เมื่อเทียบกับค่าจ้างของพวกเขาในเวลาที่เคยลาออก อัตราการเติบโตของเงินเดือนนั้นพุ่งสูงกว่ากลุ่มพนักงานที่เปลี่ยนงานบ่อยเสียอีก ตามรายงานของ Pew Research Center พนักงานที่เปลี่ยนงานบ่อยนั้นได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นแค่ 10% เท่านั้นเอง 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


พนักงานบูมเมอแรงส่วนใหญ่ลาออกจากที่ทำงานเก่าเพื่อตามหาโอกาสใหม่ แต่เมื่อพวกเขาไม่เห็นโอกาสอะไรเลย ก็ตัดสินใจเหวี่ยงตัวเองกลับมาที่เดิม โดยเฉลี่ยพนักงานบูมเมอแรงมักจะกลับมาทำงานที่เก่าภายใน 13 เดือน หลังจากตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานเก่า

 

Andrea Derler หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Visier กล่าวว่า พนักงานบูมเมอแรงไม่ได้แค่ยกระดับเงินเดือนตัวเองเท่านั้น แต่ยังได้ประโยชน์จากความรู้ที่ได้รับเพิ่มด้วย และยิ่งไปกว่านั้น การลาออกและกลับมาใหม่อีกครั้งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการก้าวกระโดดไปบนพีระมิดของเส้นทางการงานด้วย เพราะ 40% ของพนักงานบูมเมอแรงถูกจ้างกลับมาในตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างตำแหน่งผู้จัดการ แม้ว่าตอนที่พวกเขาลาออกไปจะอยู่ในตำแหน่งพนักงานธรรมดาก็ตาม

 

เหตุผลที่พนักงานบูมเมอแรงตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานเก่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอกาส ไม่ว่าจะเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน หรือบางคนก็แค่อยากมองหาโอกาสใหม่ บางคนก็เป็นเพราะพวกเขามองไม่เห็นโอกาสและอนาคตกับที่นี่อีกต่อไป และยังมีเหตุผลเล็กน้อยอย่างการได้รับเงินเดือนที่น้อยกว่าหน้าที่ หรือการเดินทางไป-กลับออฟฟิศที่เหนื่อยล้าจนเกินไปอีกด้วย

 

ส่วนเหตุผลที่พวกเขาลาออกจากที่ทำงานใหม่ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขาเสียดายที่ลาออกจากที่ทำงานเก่า แทนที่จะรู้สึกตื่นเต้นและพร้อมจะทำงานกับโอกาสใหม่ พวกเขากลับรู้สึกคิดถึงพื้นที่ที่คุ้นเคยมากกว่า หรือบางคนก็เป็นเพราะงานใหม่ไม่ตรงกับที่ใจคิด รวมไปถึงเหตุผลอย่างวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เข้ากับพวกเขา

 

Derler กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับพนักงานเป็นเหตุผลหลักที่พนักงานเหล่านี้จะกลับมาซบอกที่ทำงานเก่าอีกครั้ง มันฟังดูเหมือนเป็นหน้าที่ของแผนกบุคคล แต่แท้จริงแล้วเป็นหน้าที่ของผู้จัดการที่จะคอยดูแลพนักงานเหล่านี้ในช่วงปีแรกของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องงาน เรื่องวัฒนธรรมองค์กร หรือเรื่องสังคมในที่ทำงาน

 

เธอยังเสริมอีกว่า องค์กรต่างๆ ควรให้ผลตอบแทนกับพนักงานที่มีทักษะสูง ถ้าองค์กรต้องการรักษาพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอเงินเดือนเพิ่ม หรือปรับตำแหน่งอย่างน้อยทุก 2 ปี

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

The post ที่ทำงานเก่าที่โปรด! พฤติกรรม ‘พนักงานบูมเมอแรง’ ที่ลาออกและกลับมาใหม่อีกครั้ง และรับเงินเดือนแบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>