ตลาดหุ้น – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 23 Dec 2024 04:27:54 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 KTX ชี้เป้า หุ้นคุณค่าในเอเชียและไทยปี 2568 จะกลายเป็นแหล่งพักเงินสำคัญของโลก หลังมีโอกาสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเติบโตสูง https://thestandard.co/ktx-picks-value-stocks-asia-thailand-2025/ Mon, 23 Dec 2024 04:27:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1022416 ktx-picks-value-stocks-asia-thailand-2025

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX เปิ […]

The post KTX ชี้เป้า หุ้นคุณค่าในเอเชียและไทยปี 2568 จะกลายเป็นแหล่งพักเงินสำคัญของโลก หลังมีโอกาสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเติบโตสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ktx-picks-value-stocks-asia-thailand-2025

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX เปิดเผยมุมมองการลงทุนปี 2568 โดยชูหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) เป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดกระแสเงินทุนต่างชาติ พร้อมย้ำว่าตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะไทยและจีน มีศักยภาพสูงในการรองรับโอกาสการลงทุน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายการคลังและการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง

 

ณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX กล่าวว่า “การบริหารของ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลัง และลดความต้องการในดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลจากโอกาสกีดกันการค้าที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ในระยะกลาง นักลงทุนจึงมองหาตลาดที่มีสัดส่วนหุ้นคุณค่าสูงทดแทนตลาดที่เติบโตสูงดังเช่นสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งตลาดไทยและจีนตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน”

 

หุ้นเด่นในกลุ่มคุณค่าปี 2568 ที่น่าสนใจ

 

– หุ้นกลุ่มบริการและค้าปลีก: BDMS, CPN และ CPALL ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป

 

– หุ้นกลุ่มการเงิน: KBANK, SCB, TTB, KKP และ BLA ที่ได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ

 

ด้วยสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจค้างระดับสูงยาวนาน หุ้นกลุ่มคุณค่าจึงยังมีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่สูงขึ้น (Re-Rating) ได้ดีกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่ต่ำลง (De-Rating) โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งตอบสนองต่อกระแสเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภาคนี้

 

“ตลาดไทยและจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าสนใจด้านมูลค่าและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ณัฐวุฒิกล่าว

 

ภาพ: Hiroshi Watanabe / Getty Images 

The post KTX ชี้เป้า หุ้นคุณค่าในเอเชียและไทยปี 2568 จะกลายเป็นแหล่งพักเงินสำคัญของโลก หลังมีโอกาสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเติบโตสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
สถิติชี้ DELTA มีโอกาสพุ่ง 3-18% หลังหลุดจากมาตรการกำกับการซื้อขาย โบรกคาดดัชนีหุ้นไทยผันผวนมากขึ้น https://thestandard.co/delta-stock-expected-rise-3-18-percent/ Thu, 12 Dec 2024 07:17:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1018883 สถิติชี้ DELTA

ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย (SET) ในช่วงครึ่งวันทำการแรก […]

The post สถิติชี้ DELTA มีโอกาสพุ่ง 3-18% หลังหลุดจากมาตรการกำกับการซื้อขาย โบรกคาดดัชนีหุ้นไทยผันผวนมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
สถิติชี้ DELTA

ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย (SET) ในช่วงครึ่งวันทำการแรกของวันนี้ (12 ธันวาคม) ดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุด 13.87 จุด แตะระดับ 1,456.92 จุด ก่อนจะย่อตัวลงมาอยู่ที่ 1,447.27 จุด ลดช่วงบวกลงมาเหลือ 4.22 จุด 

 

หุ้นที่มีส่วนช่วยให้ดัชนีปรับตัวขึ้นมาที่สุดเช้านี้คือ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่มีส่วนดันดัชนี 7.5 จุด เพราะฉะนั้นหากไม่รวมผลกระทบจาก DELTA เท่ากับว่าหุ้นไทยเช้านี้จะย่อตัวจากวันก่อนหน้า 

 

ก่อนหน้านี้ราคาหุ้น DELTA ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 70% ภายใน 2 เดือน ส่งผลให้หุ้น DELTA เข้าสู่มาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 โดยห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2567

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ดัชนี SET จะเริ่มผันผวนมากขึ้นหลังจากหุ้น DELTA หลุดออกจากมาตรการกำกับการซื้อขาย และกลับมาซื้อขายได้ตามปกติตั้งแต่วันนี้ 

 

ทั้งนี้ หากอิงจากราคาปิดเมื่อวานที่ 151 บาท การเปลี่ยนแปลงของหุ้น DELTA 1% หรือ 1.5 บาท จะส่งผลต่อดัชนี SET 0.11% หรือราว 1.5 จุด และหากดูจากสถิติครั้งล่าสุดเมื่อกลางปีก่อน หลังจากหุ้น DELTA หลุดออกจากมาตรการกำกับการซื้อขาย ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 3% และ 8% ในช่วง 1 และ 2 สัปดาห์แรก ก่อนที่จะขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 18% ในช่วง 3 สัปดาห์หลังจากนั้น

 

อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมของปัจจัยพื้นฐานตามความเห็นของนักวิเคราะห์จาก 16 โบรกเกอร์ ต่างแนะนำให้ขายหรือถือเท่านั้น โดยประเมินราคาเป้าหมายสูงสุด 128 บาท และต่ำสุด 70.68 บาท 

 

ด้าน บล.เคจีไอ ระบุว่า เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มของ DELTA โดยคาดว่าบริษัทจะได้อานิสงส์จากอุปสงค์เซิร์ฟเวอร์ที่เพิ่มขึ้น เพราะยอดขายเซิร์ฟเวอร์คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้รวมของบริษัท ยอดขายยังมี Upside จาก Delta Taiwan เพราะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI 

 

เราคาดว่าคำสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เพิ่มขึ้นจาก Delta Taiwan จะส่งผลบวกต่อ Delta Thailand ไปด้วย โดยภาพรวมแล้ว เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 เล็กน้อย 3% และปี 2569 อีก 4% โดยคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 12% และปี 2569 จะเพิ่มขึ้น 14% 

 

อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงบางประการที่ต้องจับตา ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับค่าธรรมเนียม Royalty Fees และความเสี่ยงจากการที่อัตราภาษีสูงขึ้นตาม Global Minimum Tax Rate Scheme จากปัจจุบันอัตราภาษีของ DELTA อยู่ที่ประมาณ 3-5% เพราะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ซึ่งหากนำ Global Minimum Corporate Tax มาใช้ อัตราภาษีนิติบุคคลของ DELTA จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ซึ่งจะทำให้ประมาณการกำไรปี 2568 มีความเสี่ยงต่ำลงจากประมาณการราว 10%

 

เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 เป็น 111 บาท จากเดิม 102 บาท อิงจาก PER ที่ 58 เท่า แม้เราจะให้พรีเมียมเพื่อสะท้อนสถานะที่ดีของบริษัทแล้ว แต่ราคาปิดล่าสุดยังคงมีความเสี่ยงจะลดลงถึงราคาเป้าหมายของเราอีก 26% ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ ‘ขาย’

 

สำหรับผลประกอบการของ DELTA ล่าสุดในไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 5,910.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.88% จากปีก่อน ส่งผลให้ 9 เดือนแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 16,783.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% จากปีก่อน 

 

The post สถิติชี้ DELTA มีโอกาสพุ่ง 3-18% หลังหลุดจากมาตรการกำกับการซื้อขาย โบรกคาดดัชนีหุ้นไทยผันผวนมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
S&P 500 พุ่ง 30%! ปรากฏการณ์หายาก 100 ปีมีแค่ 2 ครั้ง นักลงทุนเตือนอย่าคาดหวังสูง ปีทองแบบนี้หายาก https://thestandard.co/sp-500-rises-30-percent-2024/ Sat, 07 Dec 2024 05:38:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1016993

ดัชนี S&P 500 พุ่งเกือบ 30% ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนยิ […]

The post S&P 500 พุ่ง 30%! ปรากฏการณ์หายาก 100 ปีมีแค่ 2 ครั้ง นักลงทุนเตือนอย่าคาดหวังสูง ปีทองแบบนี้หายาก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดัชนี S&P 500 พุ่งเกือบ 30% ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนยิ้มกันถ้วนหน้า แต่ Cathy Curtis นักวางแผนการเงินเตือนให้นักลงทุนลดความคาดหวัง และจำไว้ว่าปีแบบนี้หาได้ยาก

 

“นักลงทุนควรทราบว่าตลาดหุ้นมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 10% มาหลายทศวรรษ ปีที่ผ่านมาเติบโตมากกว่าจำนวนนี้ และคงเป็นเรื่องผิดปกติมากหากการเติบโตนี้จะดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี” Curtis กล่าว

 

Morningstar Direct พบว่า ผลตอบแทนของ S&P 500 สูงกว่าปี 2024 เพียง 17 ครั้งจาก 74 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น S&P 500 เพิ่มขึ้นมากกว่า 52% ในปี 1954 และได้ผลตอบแทนประมาณ 31% ในปี 1989

 

บทความของ CNBC ระบุว่า การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญติดต่อกันหลายปียิ่งหายาก

 

Deutsche Bank ระบุว่า S&P 500 เพิ่มขึ้นมากกว่า 24% ในปี 2023 และหากดัชนีเพิ่มขึ้นในปีนี้มากกว่า 20% นั่นจะเป็นเพียงครั้งที่ 3 ที่มีการเติบโตติดต่อกันในระดับดังกล่าวในรอบศตวรรษที่ผ่านมา

 

Curtis กล่าวว่า การที่ผลตอบแทนในตลาดไม่น่าจะสูงเท่าเดิมไม่ได้หมายความว่าคุณควรขายหุ้น “วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนต่อปีคือการอยู่ในตลาด การขึ้นๆ ลงๆ เป็นสัญญาณของตลาดที่แข็งแรง และคุณจะได้รับประโยชน์หากลงทุนต่อไป”

 

ปีเช่นนี้สามารถช่วยชดเชยช่วงเวลาที่ตลาดตกต่ำได้ S&P 500 โดยลดลงมากกว่า 36% ในปี 2008 และลดลงมากกว่า 18% ในปี 2022

 

Allan Roth นักวางแผนการเงินกล่าวว่า “เรามีอคติเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุด ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะคาดหวังว่าผลการดำเนินงานล่าสุดจะดำเนินต่อไป แต่การกลับสู่ค่าเฉลี่ยนั้นมีโอกาสมากกว่าในทางสถิติ”

 

อ้างอิง:

The post S&P 500 พุ่ง 30%! ปรากฏการณ์หายาก 100 ปีมีแค่ 2 ครั้ง นักลงทุนเตือนอย่าคาดหวังสูง ปีทองแบบนี้หายาก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เตรียมรับความท้าทายจากตลาดหุ้นโลก เฟ้นหาโอกาสลงทุนปี 68 ให้ ‘ถูกที่ถูกทาง’ https://thestandard.co/opinion-global-market-challenges/ Fri, 06 Dec 2024 10:00:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1016700

จวนจะหมดปีแล้ว สถานการณ์ลงทุนทั่วโลกยังคงปั่นป่วนไม่จบไ […]

The post เตรียมรับความท้าทายจากตลาดหุ้นโลก เฟ้นหาโอกาสลงทุนปี 68 ให้ ‘ถูกที่ถูกทาง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

จวนจะหมดปีแล้ว สถานการณ์ลงทุนทั่วโลกยังคงปั่นป่วนไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์อย่างหุ้น พันธบัตร ทองคำ รวมถึงคริปโตเคอร์เรนซีที่ราคาขึ้นลงแกว่งอย่างกับรถไฟเหาะ ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อสหรัฐฯ เริ่มวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม 0.75% ดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.50-4.75% จากที่ทรงตัวอยู่ที่ 5.25-5.50% มาหลายปี ตามด้วยจีนตัดสินใจอัดฉีดงบก้อนใหญ่ 10 ล้านล้านหยวน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จนดันหุ้นจีนพุ่งระเบิดระเบ้อในเวลาไม่กี่วัน และทิ้งทวนด้วยข่าวใหญ่ของโลก ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ชัยชนะของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้กลับมานั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เป็นระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตอบรับความชัดเจน พุ่งขึ้นทำนิวไฮไม่หยุด รวมๆ ปีนี้ทั้งปี All Time High กว่า 50 ครั้งแล้วครับ

 

ผมขออัปเดตภาพรวมผลตอบแทนของตลาดในปีนี้ พบว่า 10 เดือนแรกของปี (2 มกราคม – 31 ตุลาคม 2567) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้น +20.30% ดัชนี NASDAQ +22.55% ดัชนี Dow Jones +10.73% ส่วนตลาดหุ้นจีน ​ดัชนี Hang Seng +21.02% ดัชนี CSI 300 +14.90% ขณะที่หุ้นเวียดนาม ดัชนี VN +11.73% และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี TOPIX +13.91%

 

สำหรับปี 2568 ผมจับสัญญาณการลงทุนในปีหน้า บรรยากาศน่าจะตกอยู่ในโลกระส่ำระสาย

 

ปัจจัยเสี่ยงหลักยังอยู่ที่ฝั่งสหรัฐฯ นับตั้งแต่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มกราคม 2568 เขาสามารถทำอะไรที่โลกคาดล่วงหน้าไม่ได้เสมอ ซึ่งสิ่งแรกที่ทั่วโลกวิตกกังวลว่าจะเกิดขึ้นคือการเดินหน้านโยบายภาษีทันที เพราะทำได้เลย ไม่ต้องผ่านสภาคองเกรสอีกแล้ว

 

นโยบายหลักๆ ของสหรัฐฯ ที่จะเห็นผลกระทบชัดๆ ต่อเศรษฐกิจและตลาดลงทุนทั่วโลกในรอบ 1 ปีข้างหน้าคือ

 

ประเด็นแรก การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างจุดเดือดสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบใหม่ โดยนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า 100% ที่ไม่ได้จำกัดแค่จีน แต่ยังลากกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) รวมไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีตลาดเกิดใหม่อย่างเม็กซิโกและเวียดนามด้วย ซึ่งทั่วโลกเฝ้าติดตามรายละเอียดต่างๆ ที่จะออกมากันในต้นปีหน้า แต่แน่นอนว่าผลกระทบย่อมเกิดขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง นำโดยแผงโซลาร์และยานยนต์ไฟฟ้าที่จีนเป็นผู้นำตลาดโลกอยู่ในเวลานี้

 

ประเด็นที่สอง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดการณ์ปี 2568 จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หรือ Soft Landing มีโอกาสที่จะรุนแรงเป็น ‘ภาวะหดตัว หรือ Recession’ ได้ เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่างประเทศจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น กระทบต่อกำลังซื้อของคนอเมริกันที่ลดลง รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อสูงที่อาจกลับมาอีก ขณะที่ปัจจุบันคนอเมริกันมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตสูงขึ้น และตลาดแรงงานที่เริ่มเห็นการปลดพนักงานหลายบริษัทใหญ่

 

ประเด็นที่สาม แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed อาจมีความไม่แน่นอนและกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนต่อเงินไหลเข้าออกในตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างแน่นอน หากภาวะเงินเฟ้อสูงเกินคาดกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้ง Fed อาจไม่สามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อย่างราบรื่น ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายแล้ว ยังกระทบต่อตลาดหุ้นทำให้ไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปต่อได้ด้วย ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าการประชุม Fed รอบเดือนธันวาคมนี้ อาจเห็นการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% และปี 2568 คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1% โดยดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะลดลงมาอยู่ระดับค่ากลาง 3-3.25%

 

ประเด็นสุดท้าย ปัญหาหนี้สาธารณะสูงของสหรัฐฯ ที่จะเป็นข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องติดตามว่าจะปลดล็อกอย่างไร เนื่องจากประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ปักธงเป้าหมาย ‘American First’ เพื่อขับเคลื่อนให้สหรัฐฯ ยังคงความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปีหน้าจะไปต่อไหวหรือไม่ หลังจากที่ปีนี้ร้อนแรงไม่หยุดจนฉุดไม่อยู่

 

ปี 2567 เป็นอีกปีของนักลงทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวร้อนแรงฉุดไม่อยู่เพราะมีปัจจัยหลักที่ค้ำยันไว้ จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่ยังเติบโตในสภาวะเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง และยังมีอีกราว 30 บริษัทที่สามารถทำกำไรนิวไฮอีกด้วย ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับบวกขึ้นมาอีก 40% หลังจากวิกฤตเงินเฟ้อในปี 2565

 

แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีนักลงทุนบางส่วนเริ่มมีการโยกเงินออกจากกลุ่มอุตสาหกรรมหรือหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นไปสูงหรือราคาหุ้นเริ่มอืดแล้วหรือมีแนวโน้มลดลง แม้ผลประกอบการยังเติบโตดีอยู่ แต่ส่วนใหญ่เงินไหลไปยังกลุ่มหุ้นที่ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงและหุ้นที่เก็งกันว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายต่างๆ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ครับ

 

ส่วนใครที่อยากรู้ว่าลงทุนตอนนี้ ปีหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะตกมั้ย และวิกฤตเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรต่อไป? ผมพามาย้อนดูตัวอย่างปีที่เกิดวิกฤตกันดีกว่าครับ

 

ในช่วงปี 2543-2545 ที่เกิดวิกฤต Dot Com ดัชนี S&P 500 ปรับลดลงติดกันถึง 3 ปี

 

แต่เมื่อวิกฤตคลี่คลาย…ก็กลับมาเป็นบวกติดกัน 5 ปีเลยทีเดียวครับ หรืออย่างในช่วงวิกฤตสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ปี 2561 ดัชนี S&P 500 ปรับลง 1 ปี และกลับมาบวกติดกัน 3 ปี

 

ซึ่งในปีนี้​เป็นปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนปีหน้าเป็นปีที่เดินหน้านโยบายตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งยังมีหนึ่งในนโยบายภาษีที่เป็นข่าวดีคือ

 

ตามสถิติแล้วไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง ผลตอบแทนหลังการเลือกตั้งดัชนีส่วนใหญ่มักปรับบวกเสมอ! (ยกเว้นปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤต Dot Com ปี 2544)

 

ผมจึงมองว่าปีหน้ามีแนวโน้มสูงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับบวกเช่นเดียวกันครับ ประกอบกับมีข่าวดี นโยบายการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% จะช่วยผลักดันให้หลายๆ อุตสาหกรรมเติบโตสดใส เนื่องจากการปรับลดภาษีนิติบุคคลจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทต่างๆ ทำให้ Earnings Per Share (EPS) หรือกำไรต่อหุ้นสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม อีคอมเมิร์ซ ฟินเทค คลาวด์ เป็นต้น หรือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed รวมถึงหุ้นขนาดกลางถึงเล็กที่ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปร้อนแรงในปีนี้

 

ผมมั่นใจว่าหากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว โอกาสลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ยังเปิดกว้างอยู่เสมอครับ เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก และเป็นประเทศนวัตกรรม ตราบใดที่โลกยังคงถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้า การลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวหลักที่ควรติดในพอร์ตไว้ครับ แม้ว่าระหว่างทางจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ก็ตาม แต่หากคุณขยันทำการบ้านโดยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและหมั่นทบทวนสุขภาพหุ้นที่ลงทุนมีอนาคตเติบโตต่อเนื่อง หากพบจุดเปลี่ยนที่กระทบพอร์ตลงทุน คุณก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนได้ทัน นับเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีครับ

 

สำหรับตลาดหุ้นจีนยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ เมื่อมีความเสี่ยงจากสงครามการค้ารอบใหม่รออยู่ข้างหน้า

 

หากย้อนดูหุ้นจีนในวันที่สหรัฐฯ รู้ผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่าตลาดฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ดัชนี -2% และตลาดจีน ดัชนี -0.5% เท่านั้น แต่หลังจากวันนั้นปรากฏว่าทั้ง 2 ตลาดก็กลับมาเป็นบวกราว 2% และ 3% ตามลำดับ สะท้อนหุ้นจีนรับรู้ข่าวลบจากทรัมป์ไปแล้ว การปรับตัวขึ้นมาจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่มีการประกาศออกมาดี จะทำให้หุ้นจีนมีแรงหนุนปรับขึ้นได้

 

ผมมองในระยะยาวสำหรับการลงทุนหุ้นจีนยังเป็นบวกอยู่ แม้จะถูกรายล้อมด้วยความเสี่ยงต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เตรียมพร้อมแผนรับมือไว้อย่างดี โดยวิเคราะห์ตลาดหุ้นยังสามารถเติบโตได้อีกมากจาก 4 ปัจจัยสำคัญ

 

  1. การผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ หลังจากที่มีการจัดระเบียบเทคในช่วงหลายปีก่อน ทำให้หุ้นเทคโนโลยีจีนผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ปัจจุบันรัฐบาลจีนมุ่งเน้นผลักดันให้ประเทศก้าวข้ามไปสู่การเป็นฐานการผลิตไปสู่เทคที่เป็นผู้นำของโลก ไม่ว่าอุตสาหกรรมโรโบติกส์ เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีการแพทย์ เฮลท์แคร์

 

  1. การปรับเปลี่ยนแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยหันมามุ่งเน้นสร้างการบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการค้าจากต่างประเทศ และให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานสะอาด ที่ทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกในด้านการปรับตัวเข้าสู่พลังงานสะอาด

 

  1. รัฐบาลจีนออกมาตรการสนับสนุนตลาดทุน เช่น การลดภาษีอากรแสตมป์ การจำกัดการทำธุรกรรมการขายชอร์ต การสนับสนุนให้กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ และพยายามเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนจีนกลับเข้ามาลงทุนตลาดหุ้น

 

  1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง จากแนวโน้มดอกเบี้ยโลกขาลงทำให้จีนยังสามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้อยู่แม้จะต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด และปัญหาวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องใช้เวลาสะสางสต็อกที่ค้างอยู่จำนวนมาก ขณะที่รัฐบาลเพิ่งประกาศแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยงบ 10 ล้านล้านหยวน และในปีหน้าตลาดคาดการณ์จีนอาจจะออกมาตรการเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมาย GDP 5% เนื่องจากรัฐบาลยังสามารถก่อหนี้สาธารณะได้

 

โดยภาพรวมแล้วจีนมีวิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต่างจากสหรัฐฯ โดยจีนค่อยๆ แก้ปัญหา สุดท้ายหุ้นจีนก็จะฟื้นตัวขึ้นมาได้

 

ส่วนตัวผมมองว่าแม้จีนจะมีปัญหาอยู่เยอะ และใช้วิธีค่อยๆ แก้ปัญหา แต่จีนก็ยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนอยู่ เนื่องจาก GDP ของจีนยังคงเติบโต และนักลงทุนจำนวนหนึ่งคาดหวังว่าในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะโตแซงสหรัฐฯ ด้วย และอีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือหุ้นจีนราคายังถูก

 

ข้อมูลบ่งชี้จาก Market Prediction ของ Jitta Wealth เปรียบเทียบอัตราส่วนจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง (P/E) จากหุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นจีน พบว่าจำนวนหุ้นถูกต่อจำนวนหุ้นแพงอยู่ที่ 44:6 คิดเป็นอัตราส่วนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงอยู่ที่ 7.33 เท่า (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567) เรียกได้ว่าเป็นตลาดหุ้นที่ยังมีหุ้นถูกอีกเยอะ 

 

เราอาจจะตอบไม่ได้ว่าอีก 5 ปี จีนหรือสหรัฐฯ จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง แต่เรารู้ว่าไม่ว่าประเทศไหนก็คงไว้ไม่เกินอันดับ 2 ถ้าเอาง่ายๆ เลยก็คือลงทุน 2 ประเทศอย่างละครึ่งก็ได้ ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นเราก็ได้ผลประโยชน์

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น นับเป็นอีกตลาดที่ฟอร์มดีในปีนี้ ดัชนี Nikkei ทำสถิติขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 35 ปีเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

 

สาเหตุที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นมีการเติบโตที่โดดเด่นในปีนี้เนื่องมาจากความเชื่อมั่นของศักยภาพกลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หุ้นญี่ปุ่นได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากจากนักลงทุนชื่อดังระดับโลก ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ โดยบริษัท Berkshire Hathaway ของปู่บัฟเฟตต์เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นญี่ปุ่น

 

อีกปัจจัยมาจากค่าเงินเยนอ่อนตัว ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับทิศทางนโยบายการเงินผ่อนคลายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.25% หลังจากที่ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบมานานจนทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าหาก Fed ปรับลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินเยนตรงๆ เลยครับ

 

และสุดท้าย ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี จากการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกเมื่อปีที่ผ่านมา (Global Innovation Index) ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก และยังเป็นอันดับต้นๆ ในทวีปเอเชียอีกด้วย

 

สำหรับปัจจัยที่น่าติดตามของญี่ปุ่นคือเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างไรในอนาคต?

 

โดย BOJ คาดการณ์ GDP ปีนี้เติบโต 0.6% และปีหน้า 1% ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 39 ล้านล้านเยน (ประมาณ 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคท่ามกลางภาวะราคาสินค้าและบริการที่พุ่งสูงขึ้น อันเนื่องมาจากเงินเยนที่อ่อนค่าลง ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อสูง

 

รัฐบาลญี่ปุ่นคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัวในระดับปานกลาง พร้อมกับเตือนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งแนวโน้มต่างๆ ในเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถส่งผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น และจำเป็นต้องระวังความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุนด้วย

 

ตลาดญี่ปุ่นยังเป็นที่น่าจับตามองของนักลงทุนทั่วโลกที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุน ถึงแม้ว่าอาจจะยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น อัตราเงินเฟ้อ นโยบายของ BOJ และ GDP ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจญี่ปุ่น

 

สำหรับผู้ลงทุนที่กำลังมองหาจังหวะหรือโอกาสการลงทุนในตลาดใหญ่ระดับเอเชีย ซึ่งหุ้นญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งในตลาดที่กระจายการลงทุนติดพอร์ตไว้

 

ทั้ง 3 ตลาดหลักนี้เป็นตลาดที่นักลงทุนต่างประเทศให้น้ำหนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาครับ ปีหน้ากำลังจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงใหญ่ของโลก ‘สงครามการค้ารอบใหม่’ กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเข้มข้น ตลาดเงินตลาดทุนจะเผชิญกับความผันผวนที่หนักกว่าปีนี้ครับ

 

สิ่งที่ผมอยากสื่อสารนักลงทุนระยะยาวว่าวันนี้คุณได้ทบทวนดูแลพอร์ตของตัวเองบ้างหรือยัง ผมเชื่อว่ามีนักลงทุนระยะยาวจำนวนไม่น้อยที่ลงทุนซื้อหุ้นแล้วปล่อยทิ้งไว้คาพอร์ตครับ อาจจะด้วยความเชื่อมั่นว่าเลือกหุ้นดี มีอนาคต เมื่อซื้อหุ้นแล้วรอเวลาให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อยทำกำไรขาย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องครับ

 

เพราะสถานการณ์ต่างๆ มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่อยู่คู่กับความผันผวนตลอด ขณะที่โลกเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เมื่อกฎกติกาโลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผลกระทบต่อหุ้นที่คุณกำลังลงทุนหรือสินทรัพย์ต่างๆ ที่ลงทุนไว้อยู่ก่อน ทำให้บริหารจัดการพอร์ตลงทุนได้ทันการณ์และรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญของนักลงทุนที่จะต้องใส่ใจติดตามดูแลและรักษาพอร์ตให้ยังสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายการลงทุนของเราครับ

 

หากคุณจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุนจริงๆ ก็ต้องทำการบ้าน หาข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนภายใต้ระดับความเสี่ยงที่รับได้ รวมไปถึงการขอคำปรึกษาแนะนำการลงทุนจากบริษัทที่ให้บริการคุณอยู่ครับ

 

ผมขอให้หลักง่ายๆ ไว้ว่า การลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ที่เชื่อว่าดีแล้วนั้นคุณต้องใช้ความอดทน เพราะวัฏจักรของตลาดหุ้นมีขึ้นและมีลงเสมอ ถึงแม้จะมั่นใจได้ว่าเป็นหุ้นที่ดี แต่หากความพร้อมลงทุนหรือจังหวะการเข้าลงทุนของคุณอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นบนยอดดอยก็อาจจะทำให้พอร์ตค้างเติ่ง ใช้เวลานานในการสร้างผลตอบแทนกลับมาเป็นบวก

 

ดังนั้นการเลือกหุ้นพื้นฐานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับวัฏจักรตลาดหุ้นด้วย เคล็ดลับหนึ่งที่ผมค้นพบก็คือการจะดูว่าตลาดหุ้นนั้นๆ ร้อนแรงไปแล้ว ก็คือสัดส่วนหุ้นดีราคาถูกครับ หากตลาดใดที่มีสัดส่วนของหุ้นดีราคาถูกน้อยกว่าหุ้นดีราคาแพง ตลาดนั้นก็อาจจะอยู่ในวัฏจักรที่ยังไม่ควรเข้าลงทุน เพราะอาจต้องใช้เวลาในการสร้างผลตอบแทนที่ยาวนานเกินไป เผลอๆ อาจจะต้องรอตลาดย่อตัวหรือร่วงลงมาก่อน สู้ไปเลือกตลาดที่มีสัดส่วนหุ้นดีราคาถูกมากกว่าหุ้นดีราคาแพง แม้ระยะสั้นอาจจะไม่เร้าใจ แต่ระยะยาวมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้อีกมาก

 

ฟังดูแล้วคุณอาจจะรู้สึกว่ายุ่งยากจัง ไหนจะต้องเลือกหุ้นคุณภาพ พื้นฐานดีราคาถูกแล้ว ยังต้องมาคอยทำการบ้านเพิ่มเพื่อเทียบสัดส่วนหุ้นดีราคาถูกเยอะๆ ผมว่าความสามารถของมนุษย์เราทำได้แน่นอนครับ หากเรามุ่งมั่นตั้งใจในเรื่องนั้นๆ และทุ่มพลังไปเต็มที่ แต่หากคุณไม่ได้มุ่งมั่นขนาดนั้นแต่ก็อยากได้ผลตอบแทนที่ดีและไปใช้ชีวิตในสิ่งที่ตัวเองรักหรือชอบก็ได้ครับ และไม่ใช่เรื่องยากในโลกปัจจุบัน

 

เพราะทุกวันนี้เราต่างเห็นบริษัทมากมายที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมหาศาลบนโลกใบนี้ด้วยเวลาเพียงพริบตามาแล้ว ดังนั้นการลงทุนด้วย AI ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่จะช่วยดูแลและบริหารพอร์ตลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ เท่าทันสถานการณ์ เมื่อตลาดมีความเสี่ยงเกิดขึ้น กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานในสินทรัพย์ที่เราลงทุน ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุน ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่ง Jitta Wealth ก็ไม่หยุดนิ่ง ยังคงการพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน ให้นักลงทุนลงทุนได้อย่างง่ายดายอยู่เสมอเช่นกันครับ

 

เพราะ AI ทำงานอย่างแม่นยำและปราศจากอารมณ์ต่างจากมนุษย์ และนับวันมีแต่จะฉลาดมากขึ้น การใช้ AI ในการบริหารพอร์ตจึงเป็นอีกเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้คุณไปถึงเส้นชัยได้อย่างถูกทิศถูกทาง​ไม่ว่าสถานการณ์ในตลาดโลกจะเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นไหนจะขึ้นจะลง อย่างไร​เราก็สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจครับ

The post เตรียมรับความท้าทายจากตลาดหุ้นโลก เฟ้นหาโอกาสลงทุนปี 68 ให้ ‘ถูกที่ถูกทาง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
HYBE เสียหายหนัก! มูลค่าหุ้นร่วงกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท หลัง NewJeans ประกาศยกเลิกสัญญา ยันไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับใดๆ https://thestandard.co/hybe-huge-loss-newjeans-exit/ Fri, 29 Nov 2024 11:56:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1014351

HYBE ต้นสังกัด K-Pop ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้หุ้นร่วงอย่าง […]

The post HYBE เสียหายหนัก! มูลค่าหุ้นร่วงกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท หลัง NewJeans ประกาศยกเลิกสัญญา ยันไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับใดๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>

HYBE ต้นสังกัด K-Pop ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้หุ้นร่วงอย่างหนักจนสูญเสียมูลค่าตลาดไปกว่า 423 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.45 หมื่นล้านบาท) หลังจาก NewJeans เกิร์ลกรุ๊ปดาวรุ่งประกาศยกเลิกสัญญากับ ADOR ค่ายเพลงในเครือ พร้อมยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับใดๆ

 

การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก ADOR และ HYBE มีข้อพิพาทด้านการจัดการมานานหลายเดือน ส่งผลให้ราคาหุ้น HYBE ร่วงเกือบ 7% ในวันนี้ (29 พฤศจิกายน) ตามรายงานของ CNBC

 

NewJeans ที่เดบิวต์ในปี 2022 ได้แถลงเมื่อวานนี้ว่าพวกเธอจะออกจาก ADOR โดยอ้างว่าทางค่ายละเมิดสัญญา Hanni สมาชิกวงกล่าวว่า “การอยู่ที่นี่เป็นการเสียเวลาและทำให้เจ็บปวดทางใจ เราไม่ได้รับอะไรเลยจากการอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเราทั้ง 5 คนไม่เห็นเหตุผลที่จะอยู่กับ ADOR ต่อไป”

 

2 สัปดาห์ก่อน NewJeans ส่งหนังสือบอกกล่าวทางกฎหมายถึง HYBE โดยเรียกร้องให้ Min Hee Jin อดีตซีอีโอ ADOR กลับมาดำรงตำแหน่ง มิฉะนั้นสมาชิกจะยกเลิกสัญญา ขณะที่ JoongAng Ilbo สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า NewJeans ต้องการให้ HYBE จัดการกับรายงานภายในที่มีใจความว่าให้ “ยุบวง NewJeans แล้วตั้งวงใหม่”

 

Hanni กล่าวหา ADOR ว่ามีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่แค่กับวง แต่กับทีมงานด้วย ทั้งขัดขวาง บิดเบือน สื่อสารผิดพลาด และบงการหลายด้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ Hanni เคยให้การต่อรัฐสภาเกาหลีใต้ว่าเธอถูกคุกคามในที่ทำงาน

 

เมื่อเดือนเมษายน HYBE กล่าวหา Min Hee Jin ว่าพยายามทำให้ ADOR เป็นอิสระ โดย Min Hee Jin ปฏิเสธข้อกล่าวหา และวิพากษ์วิจารณ์ HYBE ว่าลอกเลียนคอนเซปต์ NewJeans ไปใช้กับวงอื่น ซึ่งต่อมา Min Hee Jin ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ ADOR ในเดือนสิงหาคม แต่ยังคงเป็นกรรมการ ก่อนจะลาออกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

NewJeans ประสบความสำเร็จอย่างมากหลังจากเดบิวต์ในปี 2022 คว้ารางวัลมากมาย รวมถึงรางวัล Group of the Year จาก Billboard โดย Billboard ระบุว่า NewJeans ติดชาร์ต Billboard ถึง 10 ชาร์ต

 

กำไรสุทธิของ HYBE ลดลงเกือบ 99% ในไตรมาส 3 ปี 2024 นักวิเคราะห์ระบุว่ายอดขายหดตัวเนื่องจากมีศิลปินและกิจกรรมจำกัดในช่วงโอลิมปิก และต้นทุนที่สูงขึ้นจากการเปิดตัว KATSEYE วงน้องใหม่ในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ราคาหุ้น HYBE ลดลง 15.72% ในปีนี้ สะท้อนภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรม K-Pop โดย Big 4 ต่างเผชิญกับราคาหุ้นที่ร่วงลง

 

อย่างไรก็ตาม The Korea Times รายงานว่า ADOR ยืนยันว่าสัญญาของ NewJeans ยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2029 และจะดูแล NewJeans รวมถึงแผนงานต่างๆ ต่อไป เช่น งานแฟนมีตติ้งในเดือนมีนาคม การออกอัลบั้มใหม่กลางปี 2025 และเวิลด์ทัวร์ในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมทั้งกำลังมองหาโปรดิวเซอร์คนใหม่เพื่อรักษาเอกลักษณ์และความสำเร็จของวง

 

NewJeans ยืนยันการยกเลิกสัญญา โดยอ้างว่า ADOR ละเมิดสัญญาและไม่ตอบสนองต่อหนังสือบอกกล่าว พวกเธอระบุว่าลงนามในเอกสารยกเลิกสัญญาซึ่งมีผลทันที และเน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องต่อศาลหรือจ่ายค่าปรับ เนื่องจากการยกเลิกสัญญาเป็นผลมาจากการละเมิดของ ADOR

 

ภาพ: The Chosunilbo JNS / Imazins via Getty Images

อ้างอิง:

The post HYBE เสียหายหนัก! มูลค่าหุ้นร่วงกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท หลัง NewJeans ประกาศยกเลิกสัญญา ยันไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับใดๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
DELTA บนมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ซื้ออนาคตล่วงหน้าเกือบ 100 ปี https://thestandard.co/delta-2-trillion-buy-future-100-years/ Fri, 29 Nov 2024 02:00:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1013744 delta

ไม่บ่อยครั้งที่เราจะเห็นหุ้นที่มีมูลค่า (Market Capital […]

The post DELTA บนมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ซื้ออนาคตล่วงหน้าเกือบ 100 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
delta

ไม่บ่อยครั้งที่เราจะเห็นหุ้นที่มีมูลค่า (Market Capitalization) มากที่สุดของแต่ละตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นเท่าตัวในแต่ละปี ซึ่งปีนี้เราก็ได้เห็นบริษัทอย่าง NVIDIA ที่เพิ่มขึ้นกว่า 180% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองก็มีหุ้นอย่าง บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่พุ่งขึ้นกว่า 100% ในวันที่ราคาหุ้นพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 173.50 บาท

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกำไรของบริษัทเหล่านี้เติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะหลัง และไม่เพียงแค่ต่อเนื่อง แต่ยังเติบโตได้ค่อนข้างโดดเด่นเมื่อเทียบกับภาพรวมของหุ้นอื่นๆ ในตลาด

 

แต่คำถามสำคัญที่ตามมาในมุมของการลงทุนคือ มูลค่าหรือราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเหมาะสมกับกำไรที่เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

 

ในกรณีของ DELTA แม้ว่ากำไรยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย 9 เดือนแรกกำไรเพิ่มขึ้น 22% มาเป็น 16,783 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 1.09 ล้านล้านบาทเมื่อปลายปี 2023 ไปแตะระดับ 2 ล้านล้านบาท ทำให้มาตรวัดมูลค่าหุ้นในมุมของ P/E Ratio พุ่งขึ้นไปสูงถึง 100 เท่า

 

เท่ากับว่าหากกำไรของ DELTA ไม่เติบโตอีกแล้วถัดจากนี้ นักลงทุนจะต้องใช้เวลาถึง 100 ปีจึงจะคืนทุน หากบริษัทนำกำไรที่ทำได้ทั้งหมดมาจ่ายปันผลคืนให้กับผู้ถือหุ้น

 

หากเปรียบเทียบคร่าวๆ กับเฉพาะหุ้นอย่าง NVIDIA ที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว จะเห็นว่ากำไรสุทธิของ NVIDIA ในช่วง 9 เดือนของปี 2024/2025 ก็เพิ่มขึ้น 190% มาเป็น 50,789 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ P/E ของ  NVIDIA ยังอยู่ที่ราว 53 เท่า

 

ความร้อนแรงของ DELTA ที่ดูเหมือนจะเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศให้ DELTA เป็นหลักทรัพย์เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2024 ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถนำหุ้น DELTA มาคำนวณวงเงินซื้อขาย และนักลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance โดยวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ

 

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า ราคาหุ้น DELTA ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเกินปัจจัยพื้นฐาน โดย ณ วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาราคาปิดที่ระดับสูงสุด (New All Time High) ที่ 173.50 บาท ด้วย P/E และ P/BV ที่ 100.68 เท่า และ 28.03 เท่า ตามลำดับ ขณะที่มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.38 ล้านล้านบาท เป็นประมาณ 2.16 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน หลังประกาศของตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาหุ้น DELTA ร่วงลงทันที 26.5 บาท พร้อมมูลค่าที่หายไปกว่า 3 แสนล้านบาท

 

ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ 16 แห่งตามข้อมูลใน https://www.settrade.com/ ต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ราคาหุ้นของ DELTA ในปัจจุบันเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานไปมาก โดยนักวิเคราะห์ 7 รายแนะนำให้ขาย และอีก 9 รายแนะนำให้ถือ โดยมีนักวิเคราะห์ให้ราคาเหมาะสมไว้สูงสุดที่ 128 บาท ซึ่งยังคงต่ำกว่าราคาปัจจุบันราว 15%

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การประกาศให้ DELTA เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายเป็นการส่งสัญญาณแตะเบรกความร้อนแรงของตลาดหลักทรัพย์ฯ

 

“ปัจจุบัน Forward P/E ของ DELTA อยู่ที่ 73 เท่า ถือว่าร้อนแรงเกินไป อิงจากกำไรของ DELTA ที่คาดว่าจะเติบโต 15% ในปีหน้า จาก 21,000 ล้านบาท เป็น 24,600 ล้านบาท”

 

หรือหากจะมองในมุม PEG ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ใช้พิจารณาหุ้นเติบโตสูง (Growth) ปัจจุบัน PEG ก็อยู่ที่ระดับ 4.6 เท่า สูงกว่าระดับทั่วไปที่ 1 เท่า

 

“แม้ DELTA จะเป็นหุ้น High Growth และมีธุรกิจดี แต่ราคาแพงมาก” ภาดลกล่าว

 

เชื่อว่าการลงทุนกับหุ้นที่เติบโตเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนมองหา แต่การเติบโตเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะต้องเป็นราคาที่เหมาะสมด้วย อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า “It’s far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.” หรือ “การซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมย่อมดีกว่าการซื้อบริษัทธรรมดาในราคาที่น่าดึงดูดใจ”

 

เพราะหากเราซื้อหุ้นในราคาที่สูงจนเกินไป เมื่อการเติบโตช้าลงราคาหุ้นอาจถล่มลงมาก่อนที่เราจะขยับตัวได้ทัน

The post DELTA บนมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ซื้ออนาคตล่วงหน้าเกือบ 100 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ‘นโยบายภาษีทรัมป์ 2.0’ ผลกระทบต่อหุ้นโลก และมุมมองหุ้นไทยปี 2025 | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-26112024-2/ Tue, 26 Nov 2024 05:44:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1012794

‘นโยบายภาษีทรัมป์ 2.0’ กระทบต่อหุ้นโลก-การลงทุนอย่างไร […]

The post ชมคลิป: ‘นโยบายภาษีทรัมป์ 2.0’ ผลกระทบต่อหุ้นโลก และมุมมองหุ้นไทยปี 2025 | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘นโยบายภาษีทรัมป์ 2.0’ กระทบต่อหุ้นโลก-การลงทุนอย่างไร และมุมมองหุ้นไทยปี 2025 เป็นอย่างไร พูดคุยกับ สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

 

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดอ่านหนังสือชี้ชวนและศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ‘นโยบายภาษีทรัมป์ 2.0’ ผลกระทบต่อหุ้นโลก และมุมมองหุ้นไทยปี 2025 | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN https://thestandard.co/opinion-long-us-long-mag7/ Mon, 25 Nov 2024 11:23:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1012611

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ […]

The post LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช่แล้วครับ ทรัมป์…เขาคนนั้นจะกลับมาพร้อมกับระลอกใหม่ของสงครามการค้า กำแพงภาษี นโยบายแรงงาน และความผันผวนจากการโพสต์ผ่าน X 

 

ในบทความนี้ผมจึงอยากชวนคุยในประเด็นนโยบายของทรัมป์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 พร้อมกับการปรับพอร์ตสินทรัพย์การลงทุนกันครับ

 

นโยบายการคลังของทรัมป์เป็นไปได้สูงว่าจะยังคงดำเนินมาตรการคงหรือลดภาษีนิติบุคคลที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 หรือกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) และอาจปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% เพิ่มเติมอีกด้วย

 

‘นโยบายการค้า’ ของทรัมป์จะจัดเก็บภาษีนำเข้า 10-20% กับทุกประเทศทั่วโลก และภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีน

 

‘นโยบายแรงงาน’ ของทรัมป์ยังคงความชาตินิยมและสนับสนุน America First โดยจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้สัญชาติอเมริกัน 

 

‘นโยบายพลังงาน’ ของทรัมป์ จากความเชื่อในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซภายในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการยกเลิก Inflation Reduction Act (IRA) ของ โจ ไบเดน ที่โฟกัสพลังงานสะอาดหรือข้อตกลงปารีส

 

‘นโยบายการเงิน’ ของทรัมป์จะส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลในทุกด้าน ทั้งการทำให้สหรัฐฯ เป็น ‘เมืองหลวงของโลกด้าน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี’ และข้อเสนอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Reserves) รวมถึงประเด็นที่ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน หรือเปลี่ยนตัว เจอโรม พาวเวลล์

 

‘นโยบายด้านความมั่นคง’ ของทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องสันติ ซึ่งอาจนำไปสู่การสนับสนุนให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และโน้มน้าวอิสราเอลให้สงบศึกกับฮามาส

 

นโยบายอื่นๆ ของทรัมป์ เช่น สนับสนุนสิทธิในการพกอาวุธ การไม่ลงนามในกฎหมายห้ามทำแท้ง และแต่ละรัฐควรกำหนดนโยบายการทำแท้งของตนเอง 

 

ผลกระทบต่อการลงทุนที่ผมมองเห็นอย่างชัดเจนมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่

 

ประการที่ 1 คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์จะเติบโตต่อ จากมาตรการช่วยเหลือการลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ โดยตลาดคาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0-1.5% รวมถึง S&P 500 และ Nasdaq ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.4-1.0%

 

ประการที่ 2 คือ น้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดหมีในขณะที่เงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้ ทั้งการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตหรืออุปทานของน้ำมันโลกก็เยอะมากอยู่แล้ว รวมไปถึงการเจรจาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ หากสำเร็จราคาน้ำมันดิบคงไม่สวยแน่สำหรับปี 2025

 

ประการที่ 3 คือ ความผันผวนคือสิ่งที่แน่นอนในปี 2025 แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลง แต่นั่นไม่อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงตาม เพราะราคาสินค้าและบริการจะแพงขึ้นทั่วโลก รวมถึงมาตรการแรงงานที่เน้นคนอเมริกัน เราอาจจะเห็นเงินเฟ้อจากที่ส่งผ่านค่าแรงอีกระลอกก็เป็นได้ ด้วยความคลุมเครือนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงยังต้อง ‘Data Dependent’ กันต่ออีกปี รวมถึงความเสี่ยงเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

ผมจึงอยากนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนกองทุน SSF RMF ต้อนรับปี 2025 กันครับ การลงทุนในสหรัฐฯ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBRS2000(SSF) ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ตามดัชนี Russell 2000 และสำหรับ RMF ผมแนะนำ KUS500XRMF ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ตามดัชนี S&P 500 (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน)

 

ส่วนการลงทุนในคริปโตและหุ้นเทคโนโลยี สำหรับ SSF ผมแนะนำ TNEXTGEN-SSF ซึ่งลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet และสำหรับ RMF ผมแนะนำ TISCONEXTGENRMF-A

 

การลงทุนป้องกันเงินเฟ้อ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBGOLDH-SSF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) และสำหรับ RMF ผมแนะนำ SCBGOLDHRMF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) เพราะเงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้

 

อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุนรับปี 2025 และลดหย่อนภาษีกันนะครับ 

 

นโยบายของทรัมป์และผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ 

 

อ้างอิง: 

  • CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro & Wealth Research, CGSI Quantitative Team, Bloomberg)

The post LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่อง 15 หุ้นที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกถือครองมากที่สุดในปี 2024 https://thestandard.co/top-15-hedge-fund-stocks-2024/ Fri, 22 Nov 2024 09:38:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1011662

‘หุ้น’ หนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนต่างสนใจลงทุน ไม่ว่าจ […]

The post ส่อง 15 หุ้นที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกถือครองมากที่สุดในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘หุ้น’ หนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนต่างสนใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ทั้งผู้จัดการกองทุน นักลงทุนมหาเศรษฐี หรือนักลงทุนรายย่อย แต่หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้หุ้นสามารถทำผลตอบแทนได้ดีคือเม็ดเงินที่มาจากรายใหญ่ ซึ่งมีเม็ดเงินมากพอที่จะขับเคลื่อนหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้อย่างรุนแรง และรักษาระดับราคาของหุ้นนั้นๆ ไว้

 

ในทางกลับกัน ก็ทำให้หุ้นติดลบอย่างรุนแรงได้เช่นกัน หากกองทุนเหล่านี้เทขาย

 

ในบทความนี้ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปดู ‘15 หุ้นที่ถูกถือครองมากที่สุดในโลกโดยเหล่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ของปี 2024’ ว่ารายใหญ่สนใจหุ้นประเภทไหน และกองเงินไว้ในหุ้นแบบใด

 

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

 

The post ส่อง 15 หุ้นที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกถือครองมากที่สุดในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: หุ้น Tesla พุ่ง หลัง ‘ทรัมป์’ เล็งผ่อนปรนกฎเกณฑ์ยานยนต์ไร้คนขับของสหรัฐฯ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-19112024-2/ Tue, 19 Nov 2024 06:05:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1010268

หุ้นของ Tesla พุ่งสูง (18 พฤศจิกายน) หลังมีรายงานว่าทีม […]

The post ชมคลิป: หุ้น Tesla พุ่ง หลัง ‘ทรัมป์’ เล็งผ่อนปรนกฎเกณฑ์ยานยนต์ไร้คนขับของสหรัฐฯ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

หุ้นของ Tesla พุ่งสูง (18 พฤศจิกายน) หลังมีรายงานว่าทีมงานของ ‘ทรัมป์’ มีแผนกำกับดูแลรถยนต์ไร้คนขับให้มีความสำคัญสูงสุดสำหรับกระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: หุ้น Tesla พุ่ง หลัง ‘ทรัมป์’ เล็งผ่อนปรนกฎเกณฑ์ยานยนต์ไร้คนขับของสหรัฐฯ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>